แว่น Vision Pro สุดล้ำจาก Apple ที่เปิดตัวมาในราคาราว ๆ แสนสองหมื่นบาท ตอนดูพรีเซ้นท์ในงาน หลาย ๆ คนก็น่าจะว้าวอยู่ว่ามันสามารถทำนู่นทำนี่ได้เหมือนในหนัง Sci-fi เลย แต่ก็น่าจะมีคำถามกันหลายข้ออยู่ว่าความสามารถจริง ๆ ของมันมีอะไรบ้าง มันเอาไว้ใช้ทำอะไร และทำไมถึงแพงมหาศาลขนาดนี้ เราก็เลยรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ มาสรุปให้ชัด ๆ ไปเลยว่า Vision Pro มันมีดีตรงไหนครับ
Vision Pro คืออะไร?
Apple ไม่ได้วางคาแรคเตอร์ของ Vision Pro เอาไว้ว่าเป็นแว่น VR, AR หรือ MR ที่มีคู่แข่งมากมายในตลาดนะครับ แต่เค้าจำกัดความว่ามันคือ Spatial Computer รุ่นแรกของ Apple ถ้าอธิบายแบบเข้าใจง่าย ๆ ก็คือคอมพิวเตอร์สวมใส่ที่สามารถแสดงผลภาพแบบดิจิทัลเข้ากับภาพของโลกจริงได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งทำงาน และความบันเทิง
แม้ว่าทาง Apple จะไม่อยากใช้คำว่า VR หรือ AR กับเจ้า Vision Pro แต่จากการพรีเซ้นต์ที่เราได้เห็นในงาน WWDC มันก็คือแว่นที่รวมเอาเทคโนโลยี VR และ AR มาไว้ในอุปกรณ์เดียวกันนี่แหละ เพราะมันทำได้ทั้งการผสานภาพดิจิทัลเข้ากับโลกจริงเหมือนแว่น AR และการเข้าสู่โลกไซเบอร์แบบเต็ม ๆ โดยที่ไม่เห็นโลกจริงแบบแว่น VR ก็ได้เหมือนกัน
รูปร่างหน้าตาของ Vision Pro
Vision Pro มีหน้าตาที่เหมือนกับแว่นดำน้ำ (โดนแซวจนยับแล้ว) ที่มีกรอบเป็นอลูมินัมอัลลอย และมีเลนส์สีดำอยู่ด้านหน้า ซึ่งจริง ๆ แล้วมันไม่ใช่เลนส์โปร่งแสงแบบที่คนใส่จะมองทะลุออกมาได้เหมือนกับ Hololens ของ Microsoft นะครับ แต่มันเป็นหน้าจอ OLED ที่สามารถแสดงภาพบริเวณดวงตาของเราให้คนอื่นเห็นได้ ในขณะที่เราก็มองเห็นคนด้านนอกได้เช่นกัน
เวลาจะเข้าใช้งาน Vision Pro แต่ละที จะต้องยืนยันตัวตนผ่านการสแกนดวงตาด้วยเซนเซอร์ Optic ID ที่อยู่ด้านในแว่นซะก่อน เนื่องจาก visionOS มีทั้ง App Store และแอปอื่น ๆ ที่ผูกกับ Apple ID เอาไว้นั่นเอง ก็เลยต้องมีการล็อคเครื่องล็อคบัญชีเหมือนกับ iPhone นั่นเองครับ
Vision Pro ใช้แอปอะไรได้บ้าง
visionOS จะมีแอปให้เลือกใช้ได้เหมือนกับ iOS เลย ไม่ว่าจะเป็นเบราว์เซอร์ Safari, Apple TV, Photos, Music ฯลฯ และสามารถดาวน์โหลดเพิ่มเติมได้จาก App Store ที่มีติดตั้งอยู่แล้ว โดยแอปเหล่านี้ก็จะถูกออกแบบมาให้ใช้งานคู่กับ visionOS โดยเฉพาะ เนื่องจากมันมีการแสดงผลและการสั่งการที่ต่างจากบนหน้าจออุปกรณ์ทั่วไปนั่นเอง แต่ตอนเปิดตัววางขายจริงก็จะมีแอปอื่น ๆ เพิ่มขึ้นมาจากเหล่านักพัฒนาอีกเพียบแน่นอน
มาถึงตรงนี้แล้ว หลาย ๆ คนน่าจะสงสัยว่า Vision Pro มันจะเอามาทำอะไรได้บ้าง ซึ่งตามที่ Apple พรีเซ้นท์เอาไว้ หลัก ๆ ก็คือ…
ดูหนังจอยักษ์แบบส่วนตัว
Vison Pro สามารถแสดงจอสำหรับเล่นหนังได้แบบยักษ์ ๆ เหมือน IMAX ไปเลย โดยจะดูหนังแบบให้จอลอยอยู่กลางห้องนั่งเล่นแบบ AR ก็ได้ หรือจะปรับให้เป็นโหมด VR เปลี่ยนบริเวณรอบด้านกลายเป็นสภาพแวดล้อมอื่น ๆ อย่างโรงหนัง, กลางป่า, บนดวงจันทร์ ไปเลยก็ได้เหมือนกัน
เล่นเกมผ่าน Apple Arcade ด้วยจอยักษ์ส่วนตัว
Apple พรีเซ้นท์ว่า Vision Pro สามารถเล่นเกมผ่าน Apple Arcade ได้ ด้วยการเชื่อมกับคอนโทรลเลอร์เกมทั่วไป ซึ่งตัวเกมจะไม่ได้เป็นแบบ VR นะครับ แต่จะเป็นการแสดงหน้าจอขนาดใหญ่ขึ้นมาตรงหน้าเหมือนเวลาเราดูหนังนี่แหละ
ดูคอนเท้นต์ 360 องศา
Apple บอกว่าจะไปจับมือกับค่ายต่าง ๆ อย่าง Disney เพื่อผลิตคอนเท้นต์ 360 องศา ให้เหมือนกับว่าเราเข้าไปนั่งอยู่ในหนังหรือในการ์ตูนได้ นอกจากนี้ยังสามารถเข้าไปดูการแข่งขันกีฬาอย่าง NBA แบบติดขอบสนามได้ด้วย (เป็นคอนเท้นต์ที่ต้องเสียค่าบริการ)
นอกจากนี้แล้ว Samsung ก็กำลังพิจารณาอัปเกรดสเปคแว่น Galaxy XR ใหม่ด้วยเช่นกัน จากทีแรกที่ทางแบรนด์จะใช้พาเนลจอความละเอียด 2,000 PPI แต่ภายหลังเมื่อ Apple Vision Pro เปิดตัวมาพร้อมกับจอด้านในที่มีความละเอียดสูงกว่า 3,500 PPI ทำให้ Samsung ต้องตัดสินใจอัปเกรดความละเอียดจอให้สูงกว่าเดิมที่ 3,000 PPI เพื่อให้พอฟัดพอเหวี่ยงกับแบรนด์ผลไม้นั่นเอง
ข้อมูลของแว่น Vision รุ่นเล็กนี้ มาจากสายข่าวฝั่ง Apple อย่าง Mark Gurman ที่มักจะวิเคราะห์หลาย ๆ เรือ่งได้อย่างแม่นยำ ซึ่งล่าสุดเค้าออกมาเผยว่าทาง Apple กำลังพัฒนาแว่น MR รุ่นที่มีราคาถูกกว่า Vision Pro อยู่ เพื่อที่จะทำให้สินค้าประเภทนี้เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น โดยแว่นรุ่นเล็กอาจใช้ชื่อว่า Vision หรือ Vision One
รายละเอียดหนึ่งที่ CommScope ให้ความใส่ใจนั้นก็คือการมี QR Code ที่สามารถแสดง Serial Number ได้ในอุปกรณ์ทุกชิ้น ดังนั้นในการติดตั้ง ก็สามารถทำการตรวจสอบชนิด, การใช้งาน และประสิทธิภาพได้ทันที หรือถ้าหากอุปกรณ์ชิ้นใดมีปัญหา ผู้ดูแลระบบก็สามารถทำการตรวจสอบ Serial Number ที่หน้างานและทำการแจ้งรับซ่อมหรือเปลี่ยนอุปกรณ์ได้อย่างง่ายดาย
ล่าสุดได้มีข่าวที่น่าสนใจจากแหล่งข่าวหลุดชื่อดังของฝั่ง Apple อย่าง Ming Chi Kuo ที่ออกมาให้ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ของแบรนด์ ที่คราวนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นแว่น VR สำหรับใช้งานกับอุปกรณ์ใน Eco-system ของ Apple เอง ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเล่นเกม หรือรับชมสื่อ Multimedia ในรูปแบบใหม่ได้
Ming Chi Kuo ได้ให้ข้อมูลว่า Apple ได้ลงทุนเป็นจำนวนมากให้กับเทคโนโลยี MR (Mixed Reality) และ AR (Augmented Reality) เพราะเชื่อว่าในอนาคตอันใกล้ 2 เทคโนโลยีนี้จะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะเชื่อมต่อช่องว่างระหว่างผู้ใช้งาน และอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้ แถม Ming Chi Kuo ยังบอกเพิ่มเติมด้วยว่า MR/AR จะกลายเป็นที่นิยมในหมู่ผู้ใช้งานทุกคน แต่ VR (Virtual Reality) จะกลายเป็นเพียงผลิตภัณฑ์เฉพาะกลุ่มเท่านั้น
ในข้อมูลที่เผยออกมาบอกว่า Apple จะแบ่งกำหนดการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ MR/AR ออกเป็น 3 ช่วงใหญ่ ๆ โดยจะเปิดตัวอุปกรณ์ VR ภายในปี 2022 ตามมาด้วย แว่น AR ภายในปี 2025 และจบด้วย คอนแทคเลนส์ AR ในช่วงปี 2030-2040
รูปสเกตช์ VR Headset ของ Apple จากข้อมูลที่มี (ขอบคุณรูปภาพจาก TheInformation)
Headset ดังกล่าวจะมาพร้อมกับหน้าจอ micro-OLED ที่ผลิตโดย Sony แถมยังมาพร้อมกับ See-through mode ที่ทำให้ผู้ใช้งานสามารถมองผ่านกล้องทะลุออกไปด้านนอกสำหรับใช้งาน AR ได้อีกด้วย ในส่วนของราคาดูเหมือนว่าจะอยู่ในช่วงเดียวกับ iPhone 12 Pro ที่ราว ๆ 1,000 ดอลล่าร์สหรัฐฯ (ราว ๆ 30,750 บาท) ซึ่งก็ถือว่าสูงกว่าหมวก VR ในตลาดของแบรนด์อื่น ๆ ในตอนนี้อยู่พอสมควร
ภาพเรนเดอร์ Concept ของ Apple VR (ขอบคุณภาพจาก Aderosa)
ส่วนอุปกรณ์ประเภทแว่นตา AR จะเน้นการใช้งานประจำวันเหมือนกับ Google Glass มากกว่า ซึ่งตัวแว่นจะมีแบตเตอรี่ และหน่วยประมวลผลติดมาที่แว่น สามารถเอาไปใช้กับ Apple Car เพื่อแสดงสถานะตอนขับรถได้ เช่นความเร็ว หรือการนำทาง
ผลิตภัณฑ์ชิ้นสุดท้ายที่ Ming Chi Kuo พูดถึงก็จะมาในรูปแบบของคอนแทคเลนส์ AR ที่จะต้องเชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์อื่นในการใช้งานเช่น iPhone ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถดูการแจ้งเดือนต่าง ๆ ลอยอยู่บนอากาศตรงหน้าแบบหนังไซไฟนั่นเอง
พื้นที่อัจฉริยะที่เกิดขึ้นจากการผสานผู้คน, กระบวนการ, บริการ และสิ่งของอัจฉริยะจะเกิดมากขึ้นทั้งในโลกจริงและในโลก Digital เพื่อสร้างประสบการณ์รูปแบบใหม่ๆ ทั้งในการใช้ชีวิตและการทำงาน ต่อยอดจากเทคโนโลยี Smart City, Digital Workplace, Smart Home และ Connected Factory ขึ้นไปอีกขั้น ทำให้เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทต่อชีวิตของเรามากขึ้นไปด้วย
นอกจากนี้ ทิศทางของเทคโนโลยีกลุ่มนี้นับวันจะยิ่งง่ายขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญในอาชีพแขนงต่างๆ สามารถนำเครื่องมือและข้อมูลที่มีอยู่ไปสร้าง AI ที่ตอบโจทย์ความต้องการได้ด้วยตัวเองมากขึ้น ดังนั้นหากใครเชื่อว่า AI เป็นเรื่องของคนสาย IT เท่านั้นก็ควรรีบเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ และเริ่มต้นศึกษาเพื่อคว้าโอกาสในอนาคตกันได้แล้ว
เหล่าคน IT อาจต้องเริ่มเรียนรู้ว่าเทคโนโลยีเหล่านี้ทำงานได้อย่างไร และต้องการ IT Infrastructure พื้นฐานอย่างไรเพื่อให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ในขณะที่เหล่าคนนอกสาย IT ก็อาจต้องเรียนรู้ว่าในธุรกิจของตนมีการนำเทคโนโลยีเหล่านี้ไปใช้อย่างไรบ้าง เพื่อนำมาเป็นแนวทางประยุกต์ใช้ในธุรกิจของตน และประเมินความคุ้มค่าในการลงทุนได้อย่างแม่นยำ รวมถึงทำความเข้าใจว่าจะต้องจัดตั้งทีมงานอย่างไรในการนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้จริงให้ได้ประสบผลสำเร็จ
ในมุมคน IT คงต้องทำความเข้าใจภาพเหล่านี้และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องเอาไว้ เพื่อจะได้ช่วยองค์กรประเมินได้ว่าหากเลือกใช้บริการ Cloud เจ้าใดแล้วมีแผนจะย้ายออก จะจัดการได้อย่างไร ในขณะที่เหล่าคนนอกสาย IT เองก็ควรทราบเอาไว้แบบผิวเผิน เพื่อจะได้ให้คน IT ช่วยประเมินได้ก็น่าจะเพียงพอ
แน่นอนว่าคน IT เองนอกจากจะต้องเรียนรู้เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องแล้ว การเตรียมระบบเครือข่ายและพลังประมวลผลให้พร้อมเองก็ถือเป็นปัจจัยที่สำคัญ เพราะเทคโนโลยีเหล่านี้จะใช้ระบบเครือข่ายเยอะอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ในขณะที่เหล่าคนนอกสาย IT ก็คงต้องติดตามกันให้ดีว่าเทคโนโลยีเหล่านี้จะถูกนำไปใช้ทำอะไรกันบ้าง
ทั้งนี้อีกประเด็นที่น่าจับตามองเกี่ยวกับเทคโนโลยีกลุ่มนี้ คือการนำ AI เข้ามาผสานเพื่อสร้าง Content เสมือนที่มีความสมจริงมากยิ่งขึ้น เช่น ใบหน้าของมนุษย์ จนอาจนำไปสู่การสร้างข่าวปลอมที่มีความเหมือนจริงและยากต่อการแยกแยะได้ในอนาคตอันใกล้