คลังเก็บป้ายกำกับ: E-Commerce

Google ลบ Pinduoduo แอป E-commerce ยักษ์ใหญ่ในจีนออกจาก Play Store เหตุดูดข้อมูลผู้ใช้งาน

Pinduoduo แอปช็อปปิ้งจีนยักษ์ใหญ่ที่มีผู้ใช้งานมากกว่า 800 ล้านคนได้ถูก Google แบนเนื่องจากถูกรายงานว่าเป็นมัลแวร์ โดยพบว่าแอปมีพฤติกรรมที่น่าสงสัย มีโค้ดที่เป็นอันตรายที่สามารถเข้าถึงผู้ใช้งานได้ ล่าสุดได้มีการแจ้งเตือนผู้ใช้งานและได้ระงับการใช้งานแอปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ใครที่เคยโหลดไว้ก็จะถูกแจ้งเตือนให้ลบออก ส่วนคนที่กำลังจะโหลดตอนนี้จะไม่สามารถโหลดได้แล้ว

พฤติกรรมอันน่าสงสัยของเจ้าแอป Pinduoduo นี้ที่ทาง Google จับโป๊ะได้คือ ตัวแอปดึงข้อมูลจากผู้ใช้งานมากเกินไปดึงไปเกินความจำเป็น แถมแอปก็พยายามหลบซ่อนตัวเอง นอกจากนี้นักวิเคราะห์ยังให้ข้อมูลว่า แอปมีช่องโหว่ Zero-day Vulnerability ซึ่งเป็นช่องโหว่ที่อันตรายและมีโอกาสที่ข้อมูลต่าง ๆ จะถูกแฮกได้ทันที

ปกติแล้ว Google จะมีระบบกันผู้ใช้งานไม่ให้ติดตั้งแอปอันตราย หรือแจ้งเตือนเราให้ถอนการติดตั้งแอปเหล่านี้อยู่แล้ว (Google Play protect) ซึ่ง Pinduoduo ที่ถูกสงสัยว่ามีมัลแวร์ร้ายซ่อนอยู่จึงถูกตรวจสอบว่าเป็นแอปอันตราย และถูกถอดออกจาก Play Store เป็นที่เรียบร้อย

แต่ที่น่าแปลกคือถึงแม้ว่าตัวแอปจะถูกถอดออกจาก Play Store แต่ดันไปเจอในร้านค้าแอป Custom Stores ของแบรนด์ต่าง ๆ ทั้ง Galaxy Store, HUAWEI App Gallery, OPPO App Market และอื่น ๆ ทำให้สื่อนอกตั้งเริ่มตั้งข้อสงสัยว่า ร้านค้าแอปของแบรนด์เหล่านี้มีมาตรการคัดกรองแอป หรือมาตรการดูแลรักษาความปลอดภัยของผู้ใช้งานที่รัดกุมหรือไม่?

ทั้งนี้ยังไม่มีคำชี้แจงใด ๆ จาก Pinduoduo นะคะ แต่เหนือสิ่งอื่นใดที่อยากให้ตระหนักมาก ๆ เลยก็คือการพิจารณาดาวน์โหลดแอปจากแหล่งที่เชื่อถือได้ หรือก่อนจะติดตั้งอะไรก็แนะนำให้อ่านเงื่อนไขการเข้าถึงข้อมูลให้ดี จะได้เป็นการลดความเสี่ยงที่จะถูกดูดข้อมูลและใช้งานได้อย่างปลอดภัยสบายใจด้วย

 

ที่มา : Gizmochina 

 

from:https://droidsans.com/pinduoduo-app-ecommerce-from-china/

Advertisement

ใช้กันหรือยัง? อีกหนึ่งช่องทางขายของออนไลน์ ด้วย TikTok Shop Shopping Center

อัตราการเติบโตของอีคอมเมิร์ซทั่วโลกในปี พ.ศ. 2566 คาดว่าจะเติบโตขึ้นสูงถึงร้อยละ 10.4 ดันยอดขายอีคอมเมิร์ซทั่วโลกให้สูงถึง 6.3 ล้านล้านดอลลาร์ซึ่งระบุไว้ในรายงาน Global Ecommerce Sale Growth ขณะเดียวกันมูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยคาดว่าจะมีการเติบโตถึงร้อยละ 13 ในปีนี้

อ้างอิงจากข้อมูลผู้เชี่ยวชาญสมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทยกล่าวว่าอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยจะเติบโตมากกว่า 5 เท่าภายใน 3 ปีข้างหน้า TikTok ได้เล็งเห็นถึงโอกาสและพร้อมผลักดันการเติบโตด้วยการเปิดตัว TikTok Shop Shopping Center ในประเทศไทย

การเปิดตัว TikTok Shop Shopping Center อย่างเป็นทางการในประเทศไทย คาดว่าจะสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับภาคธุรกิจค้าปลีกด้วยการช้อปปิ้งรูปแบบใหม่ที่เชื่อมแบรนด์และชุมชนบนแพลตฟอร์มเข้าด้วยกัน เพื่อขับเคลื่อนประสบการณ์ช้อปปิ้งอันน่าตื่นใจที่ไม่มีวันสิ้นสุด ทั้งการค้นพบสินค้าใหม่ ๆ การพิจารณาเปรียบเทียบราคา การซื้อสินค้า การรีวิว และการมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่น่าสนใจต่าง ๆ

เสมือนเป็นศูนย์กลางแห่งวัฒนธรรมการช้อปปิ้งยุคใหม่ ที่ซึ่งเป็นทั้งชุมทางพาณิชย์ ความบันเทิง และพื้นที่ที่ชาว TikTok ได้เติบโตร่วมกัน อีกทั้งยังเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างไวรัลระดับโลกทำให้ความต้องการในการซื้อสินค้าเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย ที่ซึ่งลูกค้าสามารถค้นหาแคมเปญโปรโมชั่น คอนเทนต์การขายสินค้า และเข้าถึงสินค้าหลากหลายประเภทที่ถูกรวมไว้ในที่เดียว

กรณิการ์ นิวัติศัยวงศ์ TikTok Shop Lead ประเทศไทย กล่าวว่า “เรามุ่งมั่นที่จะเชื่อมโยงแบรนด์และพาร์ทเนอร์ร้านค้าต่าง ๆ กับเหล่าครีเอเตอร์และชุมชนของเราอยู่เสมอ เพื่อให้ผู้ใช้แพลตฟอร์มได้ค้นพบสินค้าและสั่งซื้อได้ง่าย ๆ ภายในไม่กี่วินาที พร้อมสร้างความสำเร็จทางธุรกิจให้พาร์ทเนอร์ของเรา”

คอนเทนต์ความบันเทิงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยตัวตนตามแบบฉบับของครีเอเตอร์แต่ละคนที่ไม่ซ้ำใครเกิดขึ้นบนแพลตฟอร์ม TikTok ตลอดเวลาทำให้เกิดเทรนด์ในการช้อปปิ้งออนไลน์ใหม่ ๆ ที่เรียกว่า “Shoppertainment

“Shoppertainment ใน TikTok จะผสมผสานสิ่งที่ทำให้ TikTok มีเอกลักษณ์ อย่างคอนเทนต์ที่สนุกสนานสร้างความบันเทิง ต่อเนื่องด้วยการซื้อขายสินค้าเพื่อช่วยขับเคลื่อนความสำเร็จทางธุรกิจและเชื่อมโยงแบรนด์สินค้า ผู้ค้า และครีเอเตอร์ เข้าสู่ชุมชนของเรา”

โอกาสที่ไม่สิ้นสุด

การเปิดตัว TikTok Shop Shopping Center ในประเทศไทย จากรายงาน Marketing Science Global Retail Path to Purchase Study of 2021 ซึ่งจัดทำโดย Material ระบุว่าชุมชน TikTok ยินดีซื้อสินค้าที่พวกเขาพบเจอบนแพลตฟอร์มากกว่าถึง 1.5 เท่า และผู้ใช้ TikTok ร้อยละ 37 จะซื้อสินค้าที่พบเห็นจากแพลตฟอร์มทันที

ประเทศไทยติดอันดับสูงสุดจากทั่วโลกในการเจาะตลาดผู้ใช้ TikTok และมีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตมากถึงร้อยละ 50 ใช้แพลตฟอร์ม TikTok อย่างน้อยหนึ่งครั้งต่อเดือน และด้วยจำนวนผู้ใช้แพลตฟอร์ม TikTok อันมหาศาลนี้ ที่ทำให้ TikTok Shop มอบโอกาสอันไม่สิ้นสุดให้แก่แบรนด์และผู้ค้าในการใช้ประโยชน์จากอีคอมเมิร์ซโซลูชั่น และประสบการณ์ Shoppertainment

ศูนย์รวมร้านค้า

Shopping Center ของ TikTok Shop จะเป็นศูนย์รวมร้านค้าชั้นเยี่ยมที่ผู้ใช้สามารถค้นพบโปรโมชั่น สินค้าที่หลากหลาย ตลอดจนสามารถบริหารจัดการคำสั่งซื้อทั้งหมดได้อย่างง่ายดายในที่เดียว

“การเปิดตัว TikTok Shop Shopping Center จะช่วยให้ผู้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นนักช้อปหรือผู้ค้า เข้าถึงพื้นที่การช้อปได้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า TikTok Shop Shopping Center จะช่วยยกระดับประสบการณ์ความสนุกสนานในการช้อปปิ้งให้กับเหล่านักช้อปมากขึ้นไปอีกขั้น” กรณิการ์ อธิบาย

นอกจากนี้เธอยังเล่าว่า “TikTok Shop Shopping Center ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยให้ผู้ค้าสามารถปลดล็อกศักยภาพอีคอมเมิร์ซบน TikTok ได้มากยิ่งขึ้นและช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจรูปแบบใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม”

การให้ความรู้เพื่อสร้างความเข้าในเรื่องอีคอมเมิร์ซให้กับชุมชนผู้ค้าบน TikTok เป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญ เพื่อวางรากฐานให้ TikTok Shop Shopping Center เติบโตอย่างมั่นคงในประเทศไทย

ช้อปง่าย สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

การเปิดตัว TikTok Shop Shopping Center ในครั้งนี้ TikTok มุ่งเน้นการนำเสนอประสบการณ์การช้อปปิ้งที่เชื่อถือได้ สะดวกสบาย และครบวงจรในหนึ่งเดียว (one-stop shopping experience)

TikTok Shop Shopping Center จะอยู่ด้านข้างปุ่ม Home เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้ พร้อมช่วยให้ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของร้านค้าบน TikTok Shop ได้ถูกค้นพบง่ายขึ้น สร้างโอกาสในการเพิ่มรายได้ให้กับชุมชนร้านค้าบนแพลตฟอร์มโดยไม่ต้องลงทุนเพิ่มเติม
TikTok Shop Shopping Center ทำให้ผู้ใช้สามารถค้นหาสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ พบสินค้าที่ถูกใจได้ง่ายยิ่งขึ้นผ่านฟีเจอร์การค้นหาและการแนะนำข้อมูล ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงกิจกรรมการช้อปปิ้งได้โดยตรง ครบ จบ ในที่เดียว นอกจากนี้ให้ผู้ใช้สามารถเลือกดูคำสั่งซื้อ รถเข็นสินค้า ประวัติการซื้อ แชตกับผู้ค้า และกำหนดรายละเอียดที่อยู่และการชำระเงินได้อีกด้วย

ผลักดันยอดขาย

ผู้ค้าจะได้รับประโยชน์จากโซลูชั่นอีคอมเมิร์ซ รูปใหม่ผ่าน Shopping Center ด้วยฟีเจอร์ที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อและเพิ่มการกลับมาซื้อซ้ำได้อย่างต่อเนื่อง

สินค้าใน Shopping Center จะถูกแบ่งเป็นหมวดหมู่ต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถค้นพบสินค้าที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ทั้งผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม เสื้อผ้าผู้หญิง เครื่องใช้ไฟฟ้า ของใช้ภายในบ้าน ของตกแต่งบ้าน อาหาร และอื่น ๆ อีกทั้งยังมีแฟลชเซล พร้อมแจ้งเวลานับถอยหลังให้ไม่พลาดสินค้าลดราคาพิเศษในขณะนั้น

สำหรับผู้ค้าเองก็สามารถตรวจสอบและติดตามผลการดำเนินงาน รวมถึงความสำเร็จของการจัดโปรโมชั่นของทางร้านได้ผ่านทางเครื่องมือรายงานข้อมูล ซึ่งจะรายงานข้อมูลทั้งรายรับสะสม ช่องทางที่ผู้ชมสนใจเลือกซื้อสินค้า และเทรนด์สินค้าที่ได้รับความนิยม ในรูปแบบการรายงานข้อมูลที่อ่านผลง่ายเป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน โดยผู้ค้าสามารถเปิดดูข้อมูลรายรับจากแต่ละช่องทางในทุกขั้นตอนการสั่งซื้อสินค้า

แรงบันดาลใจสู่ความสร้างสรรค์

TikTok ยังคงเดินหน้าส่งเสริมคอนเทนต์ความบันเทิงระดับโลกที่น่าเชื่อถือผ่านการขับเคลื่อนของชุมชนที่สร้างแรงบันดาลใจสู่ความสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง TikTok ในประเทศไทยจะยังคงมุ่งมั่นเพื่อพัฒนาต่อไปในอนาคต

“เราจะมอบความสนุกสนานให้แก่ชาวไทยอย่างต่อเนื่อง และสร้างความมั่นใจถึงการเติบโตอย่างรับผิดชอบในประเทศ TikTok จะส่งเสริมให้คนไทยค้นพบความสุขและโอกาสการเติบโตมากขึ้น มุ่งสร้างแรงบันดาลใจให้เหล่าครีเอเตอร์ชาวไทยกล้าที่จะทำตามความฝันของตนเอง พร้อมสนับสนุนให้ธุรกิจในประเทศสามารถเติบโตและประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าเป้าหมายของผู้คนในชุมชนคืออะไรก็ตาม TikTok คือพื้นที่สำหรับคุณ” กรณิการ์ กล่าวสรุป

ลองใช้งานกันได้ตามลิ้งนี้เลย : Seller Tiktok

from:https://www.thumbsup.in.th/tiktok-shop-ecommerce?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=tiktok-shop-ecommerce

ปลดคน ส่วนลดน้อย ยังขาดทุน ล่าสุด Shopee ยอด Active User รายสัปดาห์ยังแพ้ Lazada อีก

Shopee ยังเผชิญปัญหาต่อเนื่อง หลังเจอกระแสข่าวปลดพนักงาน, ผลประกอบการขาดทุน และในสื่อสังคมออนไลน์มองว่าเริ่มให้ส่วนลดน้อยลง ล่าสุดจำนวน Active User รายสัปดาห์ ของ Shopee ยังแพ้ Lazada

Shopee

Shopee ยังอยู่ในช่วงขาลงต่อเนื่อง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จำนวน Active User รายสัปดาห์ ของแอปพลิเคชัน Shopee ในประเทศไทย เริ่มทรงตัวตั้งแต่เดือน ก.ย. 2022 และปรับตัวลดลงก่อนขยับขึ้นมาเล็กน้อยในช่วงปลายเดือน ม.ค. 2023 เป็นราว 17.5 ล้านบัญชี/สัปดาห์ อ้างอิงข้อมูลจาก Data.ai

ตัวเลขดังกล่าวแพ้ Lazada คู่แข่งตลอดกาลมาตั้งแต่ช่วงกลางเดือน ก.ย. 2022 จนถึงปัจจุบันที่ Lazada ประเทศไทย มีค่าดังกล่าวอยู่ราว 21 ล้านบัญชี/สัปดาห์ ซึ่งยังไม่มีความชัดเจนว่าปัจจัยใดที่ทำให้ตัวเลข Active User ของ Shopee ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง

Shopee Lazada

ทั้งนี้ช่วงที่ตัวเลข Active User รายสัปดาห์ของ Shopee ทยอยปรับตัวลดลง มีข่าวด้านลบของ Shopee ออกมเช่นกั ไม่ว่าจะเป็น การปรับลดพนักงานหลายครั้งในไทย รวมถึงการรายงานผลประกอบการประจำปี 2022 ที่ Lazada มีกำไรสุทธิ 413 ล้านบาท และเป็นปีที่ 2 ติดกันที่มีกำไรสุทธิ ส่วน Shopee ยังน่าจะขาดทุนสุทธิเช่นเดิม

นอกจากนี้บนโลกออนไลน์ยังมีการพูดถึงเกี่ยวกับส่วนลดของ Shopee ทั้งฝั่งส่วนลดค่าส่ง และส่วนลดสินค้า ที่เริ่มแจกให้น้อยลง รวมถึงบางส่วนลดยังไม่สามารถใช้ได้จริง ซึ่งปัจจัยดังกล่าวอาจส่งผลให้ผู้บริโภคเริ่มหันไปใช้งาน Lazada มากขึ้น และดันให้ Lazada กลายเป็นเบอร์ 1 เหนือ Shopee

สรุป

เมื่อตัวเลข Active User มีนัยสำคัญในการทำธุรกิจ เพราะมักถูกอ้างอิงเสมอเมื่อต้องการเปรียบเทียบว่าใครเป็นเบอร์ 1 ในแต่ละบริการ ดังนั้นเมื่อตัวเลขของ Shopee ตกลงอย่างต่อเนื่อง หลังจากนี้อาจมีการทำโปรโมชันต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นยอด และฟื้นความเป็นเบอร์ 1 ของ Shopee ให้กลับมา

อ้างอิง // Data.ai

อ่านเพิ่มเติม

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post ปลดคน ส่วนลดน้อย ยังขาดทุน ล่าสุด Shopee ยอด Active User รายสัปดาห์ยังแพ้ Lazada อีก first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/shopee-lose-lazada-active-user/

CRC อัดงบลงทุน 28,000 ล้านบาท ตั้งเป้ารายได้รวมปี 2023 ทะลุ 2.7 แสนล้านบาท โต 15%

บมจ. เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น หรือ CRC กางแผนลงทุน 28,000 ล้านบาท ดันรายได้รวมปี 2023 ทะลุ 2.7 แสนล้านบาท โต 15% จากปี 2022 ต่อยอดกลยุทธ์ Retailligence พร้อมเติบโตยั่งยืน

CRC

ญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CRC กล่าวว่า ปี 2022 เซ็นทรัล รีเทล ดำเนินแผนธุรกิจตามยุทธศาสตร์ 5 ปี CRC Retailligence เพื่อขยายพอร์ตธุรกิจให้เติบโตทั้งในไทย เวียดนาม และอิตาลี ครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจ ได้แก่ ฟู้ด แฟชั่น ฮาร์ดไลน์ พร็อพเพอร์ตี้ และเฮลธ์แอนด์เวลเนส จากแผนดังกล่าวช่วยให้ CRC สร้างรายได้รวมปี 2022 เติบโตมากกว่า 20% ถือเป็นผลประกอบการที่เกินเป้าที่ตั้งไว้

สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2566 CRC มองเห็นสัญญาณบวกของภาคค้าปลีก และบริการในทั้ง 3 ประเทศ จากสภาพเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคัก การเปิดประเทศของจีน รวมถึงกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ฟื้นตัว จึงเตรียมลงทุน 28,000 ล้านบาท บนยุทธศาสตร์ CRC Retailligence เพื่อสร้าง CRC ให้เป็นเบอร์ 1 Next-Gen Omni Retailer ของเอเชีย

พร้อมสร้างการเติบโตในประเทศเวียดนามอย่างก้าวกระโดด ด้วยการขยายโมเดลธุรกิจฟู้ด และศูนย์การค้า GO! ควบคู่กับการดำเนินธุรกิจบนความยั่งยืน มุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี 2050 ตามเป้าหมาย Green & Sustainable Retail องค์กรค้าปลีกต้นแบบด้านความยั่งยืนรายแรกในประเทศไทย

The Next Sustainable Growth ของเซ็นทรัล รีเทล ผ่าน 4 กลยุทธ์หลัก ประกอบด้วย

Accelerate Core Leadership – เร่งสร้างการเติบโตของกลุ่มธุรกิจหลักในทั้ง 3 ประเทศ

  • กลุ่มแฟชั่น : ตอกย้ำความเป็นผู้นำในกลุ่มแฟชั่น โดยใช้ประโยชน์จากเครือข่ายห้างสรรพสินค้าลักชูรี่ในยุโรปของกลุ่มเซ็นทรัล เพื่อต่อยอดธุรกิจกลุ่มแฟชั่นให้ครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า ทั้งสินค้าใหม่ แบรนด์ใหม่ และเชื่อมต่อแพลตฟอร์มของห้างลักชูรี่ทั้งหมด เพื่อให้ลูกค้าสามารถช้อปปิ้งจากทุกห้างของกลุ่มได้ทุกที่ทุกเวลา พร้อมทั้งเดินหน้าขยาย และรีโนเวทสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนจะเปิดห้างสรรพสินค้าโรบินสัน อีก 2 สาขา ในปีนี้
  • กลุ่มฮาร์ดไลน์ : เสริมแกร่งความเป็นผู้นำในกลุ่มฮาร์ดไลน์ของประเทศไทย ด้วยการเร่งเครื่องขยายสาขาใหม่ของไทวัสดุ และไทวัสดุ ไฮบริด ฟอร์แมท รวมอีก 10 สาขาในปีนี้
  • กลุ่มฟู้ด : สร้างการเติบโตในเวียดนามอย่างก้าวกระโดด รวมถึงผลักดันแบรนด์ Tops ขึ้นเป็น Food Discovery & Destination และ เบอร์ 1 Food Omni Retailer ด้วยการขยายสาขา Tops รวมอีก 15 สาขาในปีนี้
  • กลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ : ขึ้นแท่นผู้นำศูนย์การค้า Lifestyle and Experiential Community Platform ของประเทศไทย ด้วยการขยายและรีโนเวทศูนย์การค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ อย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนเปิดเพิ่มอีก 1 สาขาในปีนี้ นอกจากนี้ในเวียดนามก็มีการก่อสร้างศูนย์การค้า GO! สาขาใหม่ๆ เพื่อเตรียมเปิดอีก 6-8 สาขา ในปี 2024
  • สร้างฐานการเงินที่แข็งแกร่ง บนกลยุทธ์ 3C คือ Cost บริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด, Capex เน้นการลงทุนให้เกิดประโยชน์สูงสุดใน Strategic Business และเร่งขยาย Proven Format และ Cash Flow ขยายขีดความสามารถในการจัดการเงินทุนหมุนเวียนให้มีความรวดเร็ว คล่องตัว และเพิ่มกระแสเงินสดให้มากขึ้น สำหรับสร้างการเติบโตทางธุรกิจต่อไป

Reinvent Next-Gen Omni Retail – ยกระดับ CRC Ecosystem ให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ด้วยการนำเทคโนโลยีและระบบต่างๆ ที่ดีที่สุดจากทั่วโลก มาสร้างการเติบโตแบบ Inclusive Growth ให้ทั้งลูกค้า แบรนด์ และพาร์ทเนอร์ บนแพลตฟอร์ม Next-Gen Omni Retail เพื่อมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่าในทุกมิติให้แก่ผู้บริโภค ทั้งในด้าน Experience-driven ที่เชื่อมโยงทุกช่องทางอย่างไร้รอยต่อ การใช้ AI เพื่อมอบสินค้าและบริการที่ตรงใจลูกค้าแบบ Smart Retail รวมถึงการปรับเปลี่ยนแพลตฟอร์มได้อย่างรวดเร็ว ตามเทรนด์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปด้วย Agile Commerce และตอบสนองความต้องการของลูกค้าในทุกที่ทุกเวลาแบบ Multi-Moment

Build New Growth Pillars – ต่อยอดสู่ธุรกิจใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น โดยมีแผนเปิดตัวธุรกิจขนาดใหญ่ เพื่อเสริมทัพธุรกิจในประเทศไทย และเวียดนาม

Drive Partnership, Acquisition and Spin Off – ขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างรวดเร็วผ่านการร่วมมือกับพันธมิตรและการทำ M&A พร้อมนำ MEB เบอร์ 1 แพลตฟอร์ม E-Book เข้าตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เสนอขายหุ้น IPO แก่ประชาชนทั่วไป ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2023 นี้

“ทั้ง 4 กลยุทธ์ดังกล่าว จะทำให้เซ็นทรัล รีเทล เติบโตสู่ The Next Sustainable Growth และคาดว่าจะสร้างรายได้รวมในปี 2023 ราว 270,000 ล้านบาท เติบโตมากกว่า 15% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ที่สำคัญ CTC พร้อมที่จะเป็นกำลังสำคัญในการทำทุกสิ่งที่สามารถทำได้ เพื่อส่งมอบโลกที่น่าอยู่ให้กับคนเจนเนอเรชั่นต่อ ๆ ไป”

อ่านเพิ่มเติม

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post CRC อัดงบลงทุน 28,000 ล้านบาท ตั้งเป้ารายได้รวมปี 2023 ทะลุ 2.7 แสนล้านบาท โต 15% first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/crc-business-plan-2023/

NocNoc เผย 3 ปี ยอดขายทะลุ 5,000 ล้านบาท หวังเฟอร์นิเจอร์ของตกแต่งบ้านดันธุรกิจโต 100%

3 ปี NocNoc ทำยอดขายทะลุ 5,000 ล้านบาท มีผู้ขายในระบบ 3,000 ราย รวมสินค้า 5 แสน SKU ปี 2566 หวังเติบโตมากกว่า 100% ตั้งเป้ายกระดับวงการ Home & Living เช่นเดิม

NocNoc

NocNoc โตกระฉูดช่วงโควิด-19 ระบาด

ชลลักษณ์ มหาสุวีระชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เบ็ตเตอร์บี มาร์เก็ตเพลส จำกัด ผู้ให้บริการ NocNoc เล่าให้ฟังว่า หลังให้บริการมา 3 ปี NocNoc มีสินค้าในระบบมากกว่า 5 แสน SKU และมีผู้ขายราว 3,000 ราย โดยมีสินค้าเฟอร์นิเจอร์ของตกแต่งบ้านกินสัดส่วนยอดขายอันดับ 1 รองมาเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า

“สินค้าที่ได้รับความนิยมอันดับ 1 มากกว่า 50% คือกลุ่มเฟอร์นิเจอร์ของตกแต่งบ้าน หากไล่ตามอันดับคือ โซฟา, เครื่องนอน, ชั้นจัดเก็บ, โต๊ะ เก้าอี้ และกระเบื้อง โดยหากนับ 3 ปีที่เปิดให้บริการ NocNoc มียอดขายรวมกว่า 5,000 ล้านบาท มีผู้เข้ามาใช้บริการเฉลี่ยกว่า 3 ล้านราย/เดือน”

ปัจจัยที่ทำให้ NocNoc เติบโตคือจุดที่แตกต่างทั้งในสินค้า Home & Living, การบริการเรื่องบ้าน (Service), การจัดส่งทั่วไทยที่พร้อมให้บริการแบบ End-to-End การดูแลผู้ใช้บริการอย่างเต็มที่ เพื่อประสบการณ์ที่ดีที่สุดของ ผู้ซื้อ และผู้ขาย ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำเพื่อสร้างเกิดความเชื่อใจที่มีต่อ NocNoc

ปี 2566 NocNoc มีเป้าหมายที่จะเป็นมากกว่าแพลตฟอร์มมาร์เก็ตเพลส ผ่านการเป็น Home and Living Destination พร้อมเปิดตัว Community ใน แอปพลิเคชัน NocNoc ที่ทุกคนสามารถเข้ามาร่วมแชร์ แลกเปลี่ยนไอเดีย และประสบการณ์เรื่องบ้านที่อยากป้ายยา หรือรีวิวให้กับกลุ่มคนรักบ้านได้เข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น

“ภาพรวมตลาด E-Commerce ประเทศไทยปี 2566 คาดว่าจะเติบโต 10% ซึ่งถือว่าไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับช่วงสามปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามเนื่องจากสัดส่วนการขายออนไลน์ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้า Home and Living ยังไม่สูงนัก ถือเป็นความท้าทาย แต่เรายังคงมีโอกาสเติบโตใน Sector นี้อีกมาก”

ทั้งนี้ในปี 2566 NocNoc มีเป้าหมายที่จะเติบโตมากกว่า 100% โดยยังคงเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมยกระดับวงการ Home and Living ให้สอดรับกับเทรนด์ตลาด พฤติกรรมผู้บริโภคที่มีความซับซ้อน และเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

อ้างอิง // NocNoc

อ่านเพิ่มเติม

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post NocNoc เผย 3 ปี ยอดขายทะลุ 5,000 ล้านบาท หวังเฟอร์นิเจอร์ของตกแต่งบ้านดันธุรกิจโต 100% first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/nocnoc-3rd-yr/

ย้อนรอย JD Central แพลตฟอร์มขายออนไลน์รายล่าสุดที่โบกมือลาจากประเทศไทย

JD Central คือแพลตฟอร์มขายออนไลน์ หรือ E-Commerce รายล่าสุดที่ประกาศยุติการทำธุรกิจในประเทศไทย หลังเริ่มให้บริการจริงเดือน มิ.ย. 2561

ที่น่าสนใจคือ JD Central เกิดจากความร่วมมือ 17,500 ล้านบาท ของ เซ็นทรัล ยักษ์ใหญ่ค้าปลีกของไทย กับ JD.com แพลตฟอร์มขายออนไลน์จากจีน ทั้งเป็นคู่แข่งที่คู่ขี่กับกลุ่ม Alibaba พร้อมเป้าหมายเบอร์ 1 ตลาดไทย

แต่ผ่านไปเพียงไม่ถึง 6 ปี JD Central กลับประกาศยุติธุรกิจในไทยในเดือน 3 มี.ค. 2566 ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น Brand Inside ชวนมาย้อนรอยแพลตฟอร์มขายออนไลน์ทุนไทย-จีน รายนี้กัน

JD Central

JD Central กับจุดเริ่มต้นปี 2560

เดือน พ.ย. 2560 กลุ่มเซ็นทรัล ได้จัดงานแถลงข่าวเปิดเผยถึงความร่วมมือกับ JD.com แพลตฟอร์มขายออนไลน์ยักษ์ใหญ่จากจีน เพื่อร่วมกันลงทุน 17,500 ล้านบาท จัดตั้ง JD Central แพลตฟอร์มขายออนไลน์ในประเทศไทยที่ผสานความแข็งแกร่งเรื่องการขายปลีกของเซ็นทรัล และความเชี่ยวชาญด้านออนไลน์ของ JD.com

เงินลงทุนดังกล่าวครึ่งหนึ่งเป็นการพัฒนาแพลตฟอร์มขายออนไลน์ และระบบจัดส่งสินค้า และอีกครึ่งใช้เพื่อพัฒนาบริการทางการเงินดิจิทัลที่ให้บริการในชื่อ Dolfin ส่วนสินค้าที่จำหน่ายช่วงแรกมีทั้งสินค้าที่นำเข้ามาจากประเทศจีน และสินค้าจากซัพพลายเออร์ของกลุ่มเซ็นทรัล โดย JD Central ตั้งเป้าขอขึ้นเป็นเบอร์ 1 ตลาดนี้ในไทย

เวลานั้น JD Central ตั้งเป้าหมายให้ JD Central เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนยอดขายจากช่องทางออนไลน์เป็น 15% จากรายได้รวม โดยปี 2559 ยอดขายจากช่องทางออนไลน์คิดเป็น 1-2% ของยอดขายรวมกว่า 3.3 แสนล้านบาท และหวังให้ช่องทางดังกล่าวเติบโตเฉลี่ยปีละ 15% ทั้งยังไม่มองเรื่องกำไรของความร่วมมือครั้งนี้

JD Central

ผ่าน 2 ปี ยอดขายโต 550%

JD Central เริ่มให้บริการอย่างเป็นทางการช่วงกลางปี 2561 ซึ่งเวลานั้นเกิดขึ้นก่อนที่ 11Street แพลตฟอร์มขายออนไลน์ทุนเกาหลีได้ประกาศปิดตัวเมื่อเดือน ก.ค. 2561 เพียง 1 เดือน ถือเป็นคำขู่ของตลาดนี้ในประเทศไทยว่าถึงจะทุนหนา และแน่มาจากต่างประเทศ ก็ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จเสมอไป

แต่แม้จะมีคำขู่ JD Central ได้แถลงอย่างเป็นทางการว่า หลังจากเริ่มให้บริการอย่างเป็นทางการในปี 2561 ผ่านมา 2 ปี หรือปี 2563 JD Central มีฐานลูกค้ามากกว่า 5 ล้านราย และมียอดขายสินค้าออนไลน์รวม (GMV) เติบโตกว่า 550% ผ่านมูลค่าเฉลี่ยการจับจ่ายที่ 2,500 บาท

ในทางกลับกัน หากเปรียบเทียบเรื่องโปรโมชัน และความต่อเนื่องในการทำตลาด JD Central ยังค่อนข้างห่างจาก Lazada และ Shopee อยู่มาก โดยเฉพาะเรื่องความหลากหลายของสินค้า เนื่องจาก JD Central พยายามเจาะลูกค้าแค่กลุ่มกลางบน ต่างจากคู่แข่งที่พยายามเจาะในทุกตลาด

jd central

ประกาศรีแบรนด์เพิ่มยอดขาย

อย่างที่แจ้งไปข้างต้น JD Central ยังไม่สามารถตีแตกคู่แข่งสองรายใหญ่ และห่างไกลเป้าหมายเบอร์ 1 ของตลาดอยู่มาก ทำให้แพลตฟอร์มขายออนไลน์รายนี้เริ่มมีการปรับเปลี่ยนผู้บริหาร เช่น การดึงคนจาก GET! หรือ Go Jek ในไทยมาช่วยทำตลาด รวมถึงตัดสินใจรีแบรนด์ในปีช่วงกลางปี 2021 ด้วย

อย่างไรก็ตามการรีแบรนด์นั้นแทบไม่ได้ส่งผลบวกกับ JD Central นัก เนื่องจากทุกอย่างแทบไม่แตกต่างภาพลักษณ์เดิม ประกอบกับกลุ่มเซ็นทรัลเหมือนจะให้ความสำคัญกับ Central.co.th และช่องทางออนไลน์อื่น ๆ ของทางกลุ่มมากกว่า สังเกตจากสื่อโฆษณา และการรับรู้ในช่องทางต่าง ๆ ที่มักจะเห็น Central.co.th ก่อน JD Central เสมอ

แม้จะมีการระบาดของโรคโควิด-19 มาช่วยเพิ่มยอดขายของช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ แต่ JD Central ก็เหมือนจะแย่งชิงลูกค้าจาก Lazada และ Shopee ไม่ได้เช่นเดิม จนสุดท้ายความเคลื่อนไหวของ JD Central ค่อย ๆ ลดลงในครึ่งหลังของปี 2022 และเริ่มมีข่าวการยุติการทำตลาดของ JD Central ออกมาอย่างต่อเนื่อง

JD Central

สุดท้ายก็ปิดตัว 3 มี.ค. 2023

ล่าสุด JD Central ส่งเอกสารชี้แจงกับสื่อมวลชนว่า JD Central เตรียมยุติการให้บริการตั้งแต่ 3 มี.ค. 2023 พร้อมชี้แจงข้อมูลสำคัญกับลูกค้า และพาร์ตเนอร์ เช่น การรับประกันสินค้า และรายละเอียดของร้านค้าในระบบ ถือเป็นการปิดฉากอย่างเป็นทางการของแพลตฟอร์มขายออนไลน์ทุนไทย-จีน

อ้างอิงข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าพบว่า  JD Central ทำธุรกิจในชื่อ บริษัท เซ็นทรัล เจดี คอมเมิร์ซ จำกัด ทุนจดทะเบียน 4,959 ล้านบาท แบ่งเป็น ชาวฮ่องกง 2,888.92 ล้านบาท 1 ราย และชาวไทย 2,070.35 ล้านบาท 3 ราย โดยต่างชาติถือหุ้นมากกว่าตั้งแต่ปี 2564 ก่อนหน้านั้นมีสัดส่วนเท่ากันตลอด

มีรายได้รวม และกำไร/ขาดทุนสุทธิ ดังนี้ (ปี 2565 ยังไม่ส่งงบการเงิน)

  • ปี 2564 รายได้รวม 7,443 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 1,930 ล้านบาท
  • ปี 2563 รายได้รวม 3,491 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 1,375 ล้านบาท
  • ปี 2562 รายได้รวม 1,284 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 1,342 ล้านบาท

ตัวเลขดังกล่าวห่างไกลกับ Lazada ที่ทำธุรกิจในชื่อ บริษัท ลาซาด้า จำกัด ปี 2565 มีรายได้รวม 20,675 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40% จากปีก่อน กำไรสุทธิ 413 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 82% (มีกำไรสุทธิติดต่อกัน 2 ปี) ส่วน Shopee ที่ทำธุรกิจในชื่อ บริษัท ช้อปปี้ (ประเทศไทย) จำกัด ปี 2564 มีรายได้รวม 13,322 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 129% ขาดทุนสุทธิ 4,972 ล้านบาท ขาดทุนมากขึ้น 19%Lazada Shopee

สุดท้ายสมรภูมินี้ก็เหลือเพียง 2 ราย

นอกจากประเทศไทย JD.com ยังมีการถอนตัวจากตลาดอินโดนีเซีย เนื่องจากภาวะการแข่งขันแพลตฟอร์มขายออนไลน์ที่นั่นสูงเช่นเดียวกับประเทศไทย และการลงทุนเผาเงินมาระยะหนึ่งแต่ไม่สามารถแข่งกับเจ้าตลาดได้สักทีอาจไม่คุ้มค่าในการดำเนินธุรกิจอีกแล้ว

สุดท้ายสมรภูมิแพลตฟอร์มขายออนไลน์ หรือ E-Commerce ในประเทศไทยเหลือเพียง Lazada และ Shopee สองรายใหญ่ที่ขับเขี้ยวกันอย่างต่อเนื่อง รวมถึงยังเป็นสงครามตัวแทนทุนจีนเช่นเดิม เพราะ Lazada มี Alibaba หนุนหลัง ส่วน Shopee มี Tencent บริษัทเทคโนโลยีระดับโลกเป็นผู้ถือหุ้นหลักเช่นกัน

ส่วนตัวมองว่า เกมการเผาเงินในธุรกิจแพลตฟอร์มขายออนไลน์ หรือ E-Commerce ที่ประเทศไทยน่าจะเกิดขึ้นต่อไปอีกระยะหนึ่ง และคงไม่มีใครหน้าไหนกล้าลงทุนหนัก ๆ เพื่อหวังแข่งขันกับสองรายใหญ่นี้แน่ ๆ เพราะมันมีกรณีศึกษาออกมาหลายแบรนด์แล้วว่า ถึงทุนหนา และแกร่งในต่างประเทศแค่ไหน ก็พ่ายกลับบ้านไปกันหมด

อ้างอิง // กรมพัฒนาธุรกิจการค้า

อ่านเพิ่มเติม

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post ย้อนรอย JD Central แพลตฟอร์มขายออนไลน์รายล่าสุดที่โบกมือลาจากประเทศไทย first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/end-of-jd-central-thailand/

JD Central ประกาศปิดให้บริการในประเทศไทย ตั้งแต่ 3 มีนาคม เป็นต้นไป

JD Central ผู้ให้บริการอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย ออกประกาศยุติการให้บริการ มีผลตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2566 เป็นต้นไป โดยระบุสาเหตุว่าเป็นไปตามนโยบายของบริษัทแม่ JD.com ที่เน้นการขยายธุรกิจในต่างประเทศ โดยสร้างเครือข่ายซัพพลายเชนสำหรับการกระจายสินค้า และขนส่งสินค้าเป็นหลัก

สำหรับผลกระทบในส่วนลูกค้า ตัวแพลตฟอร์มจะหยุดให้บริการตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2566 เป็นต้นไป การสั่งซื้อสินค้าผ่านร้านค้าทางการของ JD Central หรือ JD Central Official Store จะปิดให้บริการตั้งแต่ 23.59น. ของวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 ตลาดกลางร้านค้าอื่น ๆ จะปิดให้บริการตั้งแต่ 23.59น. ของวันที่ 3 มีนาคม 2566

การจัดส่งสินค้าที่ทำคำสั่งซื้อเสร็จสมบูรณ์ ก่อนและภายในวันที่ 3 มีนาคม 2566

ที่มา: JD Central ผ่าน Brand Inside

No Description

from:https://www.blognone.com/node/132432

JD Central ยุติการให้บริการในประเทศไทยวันที่ 3 มี.ค. 2566

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า JD Central ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการมีรายละเอียดังนี้

JD Central

ทางบริษัทฯ ขอเรียนแจ้งให้ทราบว่า JD CENTRAL มีความจำเป็นต้องยุติการให้บริการในประเทศไทย โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2566 เป็นต้นไป

การตัดสินใจดังกล่าว เป็นไปตามนโยบายของบริษัท JD.com เพื่อมุ่งเน้นในการขยายและพัฒนาธุรกิจในตลาดต่างประเทศโ ดยการสร้างเครือข่ายซัพพลายเชนข้ามพรมแดนผ่านการกระจายสินค้าและการขนส่งเป็นหลัก

JD CENTRAL รู้สึกซาบซึ้งและขอบคุณลูกค้า ร้านค้า ผู้ใช้ พาร์ทเนอร์ รวมถึงพนักงานทุกท่านที่ให้การสนับสนุนเรามาอย่างต่อเนื่อง เราขอขอบคุณทุกท่านที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเดินทางของเรามาโดยตลอด

JD Central

ส่วนฝั่งลูกค้า JD Central มีการโพสต์ชี้แจงบนเฟสบุ๊กเพจทางการดังนี้

ทางเราขอเรียนแจ้งให้ท่านทราบว่า แพลตฟอร์ม JD CENTRAL จะหยุดการให้บริการโดยมีผลนับตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2566 โดยมีรายละเอียดดังนี้

การสั่งซื้อสินค้า: ร้านค้าอย่างเป็นทางการ ของ JD CENTRAL (JD CENTRAL Official Store) จะปิดการสั่งซื้อสินค้าเวลา 23.59 น. วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566

ตลาดกลาง : แพลตฟอร์ม JD CENTRAL (ร้านค้าอื่น ๆ) จะปิดการสั่งซื้อสินค้าเวลา 23.59 น. วันที่ 3 มีนาคม 2566

การจัดส่งสินค้า : JD CENTRAL จะจัดการคำสั่งซื้อสินค้าที่เสร็จสมบูรณ์ ก่อนและภายในวันที่ 3 มีนาคม 2566 โดยเวลาการจัดส่งจะขึ้นอยู่กับการดำเนินการของบริษัทขนส่งภายนอกและผู้ขาย

การบริการหลังการขาย : ศูนย์บริการหลังการขาย (Customer Services) ของเรา จะยังคงดำเนินการให้บริการหลังการขายสำหรับคำสั่งซื้อที่เสร็จสมบูรณ์ โดยจะเปิดให้บริการถึงวันที่ 31 มีนาคม 2566 ตั้งแต่เวลา 9.00 น. – 18.00 น. ผ่านช่องทางดังต่อไปนี้

  • แพลตฟอร์ม JD CENTRAL: ศูนย์บริการช่วยเหลือลูกค้าออนไลน์ (Live Chat Channel)
  • โทรศัพท์ : 02-030-4599
  • อีเมล : cs@jd.co.th

คูปองส่วนลด : คะแนนสะสม JD (JD POINTS) และคูปองส่วนลดจะสามารถใช้ได้จนถึงเวลา 23.59 น. วันที่ 3 มีนาคม 2566

การรับประกันสินค้า : ดำเนินการโดยแบรนด์ ตามนโยบายของแบรนด์และกฎหมายไทย

อ้างอิง // JD Central

อ่านเพิ่มเติม

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post JD Central ยุติการให้บริการในประเทศไทยวันที่ 3 มี.ค. 2566 first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/jd-central-thai-shutdown/

Amazon เปลี่ยนแปลงนโยบายเกี่ยวกับ Reverse Logistics ใหม่

นโยบายใหม่นี้เพิ่งมีผลบังคับใช้ โดยเปลี่ยนวิธีการจัดการต้นทุนการส่งคืนสินค้า

Reverse Logistics ในห่วงโซ่อุปทานเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม” โดย:
 
ก่อนหน้านี้ หากมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเกิดขึ้นจากการคืนสินค้า ค่าใช้จ่ายดังกล่าวจะถูกซัพพอร์ตโดย Amazon
 
ตั้งแต่วันที่ 14 มกราคม 2023 เป็นต้นไป นโยบายเกี่ยวกับ Reverse Logistics ได้ถูกบังคับใช้ โดยหากมีการส่งคืนสินค้าในลักษณะที่มีค่าธรรมเนียมจากผู้ให้บริการขนส่ง ผู้ขายจะเป็นผู้ชำระเงิน นโยบายใหม่นี้ถูกบังคับใช้กับคำสั่งซื้อที่ดำเนินการจัดส่งโดยผู้ขายเองเท่านั้น และจะไม่สามารถใช้ได้กับผู้ขายที่ใช้บริการแบบ Fulfillment by Amazon (FBA)
 
  • Fulfilled by Merchant แบบที่ไม่ใช้ FBA เป็นรูปแบบที่สินค้าจะจัดเก็บ (Stock) อยู่ที่ผู้ขายเอง เมื่อมีคำสั่งซื้อเข้ามา ผู้ขายจะดำเนินการจัดส่งสินค้าไปยังลูกค้าปลายทางด้วยตนเอง
  • Fulfilled by Amazon (FBA) สินค้าจะถูกนำจัดเก็บ (Stock) ณ คลังสินค้าของทาง Amazon เมื่อมีคำสั่งซื้อเข้ามา ทาง Amazon จะดำเนินการจัดส่งสินค้าไปยังลูกค้าปลายทางแทน ซึ่งรวมไปถึงระบบติดตามสินค้าระหว่างทางให้ผู้ขายและลูกค้า นั่นหมายถึงผู้ขายจะไม่ต้องดำเนินการใดๆ เลย
การเปลี่ยนแปลงนโยบายใหม่เกี่ยวกับ Reverse Logistics ของ Amazon ทำให้ FBA มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น โดยที่ผู้ขายจะไม่ต้องเสี่ยงกับการเผชิญหน้ากับต้นทุนที่ไม่คาดคิดที่เกิดจากการคืนสินค้า ทำให้ผู้ขายสามารถลดต้นทุนของตนได้ หรือสามารถคาดการณ์ได้มากขึ้น ด้วยต้นทุนด้านลอจิสติกส์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปัจจัยต่างๆ เช่น ต้นทุนเชื้อเพลิงและพลังงานที่เพิ่มขึ้น ผู้ขายอาจจะต้องการวางแผนควบคุมต้นทุนสำหรับการจัดส่งและการคืนสินค้าให้เหมาะสมที่สุด
 
David Jinks หัวหน้าฝ่ายวิจัยผู้บริโภคของ ParcelHero กล่าวว่า “มีการส่งคืนคำสั่งซื้อในช่วงคริสต์มาสประมาณ 1.5 พันล้านปอนด์” ซึ่งเพิ่มขึ้น 25% จากปีก่อนหน้า
 

from:https://www.techtalkthai.com/amazon-changes-policy-about-reverse-logistics/

Dapper แบรนด์เสื้อผ้า และเครื่องหนังสัญชาติไทย กับภารกิจปลุกความเนี้ยบให้ผู้ชายยุคใหม่

ตอนนี้แบรนด์เสื้อผ้าสัญชาติไทยเริ่มปรับปรุงภาพลักษณ์แบรนด์ และหันมาทำตลาดผ่านช่องทางดิจิทัลเพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมคนรุ่นใหม่มากขึ้น หนึ่งในนั้นคือ Dapper แบรนด์เสื้อผ้า และเครื่องหนังที่เริ่มต้นธุรกิจตั้งแต่ปี 1979

หากนึกไม่ออก Dapper คือแบรนด์เสื้อผ้า และเครื่องหนังสำหรับผู้ชายที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ไม่ว่าจะเป็นสินค้า Formal Essential, Smart Casual, Functional, Trendy Fashion, Innovation, และสินค้า Sustainability  ทั้งยังมีประเภทสินค้าที่ครอบคลุมเท่าที่แบรนด์แฟชั่นสำหรับผู้ชายจะมีได้ ตั้งแต่เสื้อผ้าทั้งลำลองและทางการ, กางเกงชั้นใน, กระเป๋า, รองเท้า และสินค้า Accessory เช่น เข็มขัดหนัง, น้ำหอม, นาฬิกา เป็นต้น

Dapper มากับเป้าหมายแบรนด์ Lifestyle ที่ผู้ชายทุก Gen เข้าถึงได้ กับกลยุทธ์ใหม่ใช้ E-Angpao IG filters เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ในช่วงตรุษจีน รายละเอียดจะเป็นอย่างไร Brand Inside ได้พูดคุยกับ ศิริทิพย์ ศรีไพศาล ผู้อำนวยการธุรกิจ และผู้บริหารรุ่นที่ 2 ของ Dapper ดังนี้

Dapper

Dapper กับธุรกิจที่เริ่มต้นจากความเนี้ยบ

ศิริทิพย์ เล่าให้ฟังว่า Dapper เกิดจากความพยายามของคุณพ่อ ศิริชัย ศรีไพศาล ต้องการสร้างแบรนด์เสื้อผ้าผู้ชายสำเร็จรูป ไม่ต้องรอตัดเย็บใหม่ โดยพื้นฐานครอบครัวซึ่งเป็นห้องเสื้อ Tailor-made ทำให้เสื้อผ้าสำเร็จรูปนี้ต้องคงคุณภาพระดับ Tailor-made และด้วยสไตล์การเสื้อผ้าของสุภาพบุรุษที่มีความเนี้ยบ จึงเป็นที่มาของชื่อแบรนด์ Dapper ที่หมายถึง เนี้ยบ และเป็นระเบียบ จากคุณภาพของสินค้า กับราคาที่เอื้อมถึงได้ ทำให้แบรนด์เติบโตอย่างรวดเร็ว มีสาขาเกือบทุกห้างสรรพสินค้า แต่ด้วยระยะเวลาเปลี่ยนไป คุณภาพสินค้าอย่างเดียวอาจไม่ตอบโจทย์ ต้องมีการปรับภาพลักษณ์แบรนด์ใหม่เพื่อเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ โดยวางตำแหน่งแบรนด์เป็น แบรนด์ Lifestyle ที่ผู้ชายทุก Gen เข้าถึงได้

ปัจจุบัน Dapper มีหน้าร้านมากกว่า 50 สาขาทั่วไทย ทั้งพื้นที่จำหน่ายในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ เซ็นทรัล โรบินสัน สยามพารากอน เดอะมอลล์  รวมถึงเครือห้างสรรพสินค้าอื่น ๆ และสาขาแบบ Standalone โดยแบรนด์ไม่เคยหยุดนิ่งที่จะพัฒนาสินค้าและกลยุทธ์การตลาดเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในยุคที่ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว DAPPER มีกลยุทธ์ใหม่ ๆ อะไรบ้างที่ทำให้เป็นแบรนด์ที่ครองใจทุก Gen บทความนี้จะสรุปให้ทุกท่านได้ดูกัน

dapper

พัฒนาสินค้าเจาะตลาดลูกค้า Gen Z

โดยกลุ่มลูกค้ามีทุก Generation ตั้งแต่วัยรุ่น 15 ปี จนถึงวัยเกษียณ โดย 50% เป็นผู้ชายอายุตั้งแต่ 30 ปี นับเป็นความท้าทายของแบรนด์ที่ต้องเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายทุกกลุ่มทุกวัยที่มีความต้องการแตกต่างกัน แต่ชื่นชอบในแบรนด์ DAPPER เหมือนกันดังนั้นการจะเติบโตในอนาคตได้ต้องสร้างแบรนด์ให้เข้าถึงคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่ม Generation Z ให้ได้

“ในช่วงฤดูร้อนของปี 2023 นี้ Dapper มีแผนเปิดตัว Summer Capsule Collection ซึ่งเป็นการ Collaboration กับแบรนด์ Beach Wear ยอดนิยมของกลุ่มวัยรุ่น การร่วมมือครั้งนี้จะสร้างลุคซัมเมอร์ที่แปลกใหม่ที่ดึงจุดเด่นของแบรนด์ DAPPER และแบรนด์ที่เรา Collaboration เข้าด้วยกัน สินค้าก็จะมีสไตล์ที่เข้าถึงคนรุ่นใหม่มากขึ้น และลูกเล่นให้เหมาะกับการใช้ชีวิตในช่วงซัมเมอร์ ทั้งการออกไปท่องเที่ยว เทศกาลในช่วงนั้น ขอให้ติดตามคอลเลกชันพิเศษที่จะสร้างสีสันให้กับแฟชั่นไทยรับซัมเมอร์ปีนี้“

การที่ Dapper ดำเนินการสู่เป้าหมายครองใจคนทุก Gen ได้ เพราะ Dapper เป็นไม่กี่แบรนด์ในแบรนด์เสื้อผ้าผู้ชายไทยที่มีสินค้าตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ประกอบไปด้วย

Formal Essential สินค้าทางการที่เป็นจุดเริ่มต้นของแบรนด์ เช่น เสื้อเชิ้ต, เสื้อสูท,  และกางเกงทำงานที่ขายดีมาจนถึงปัจจุบันด้วยแพทเทิร์นที่อิงตามสรีระชายไทยโดยเฉพาะ ทำให้ใส่แล้วเสริมรูปร่างให้ดูดี, กระเป๋าใส่เอกสาร

Smart Casual สินค้าลำลอง เช่น เสื้อเชิ้ตฮาวายพิมพ์ลาย ที่มีลายใหม่คอยอัพเดทในทุก ๆ เดือนให้ลูกค้าแฟนพันธุ์แท้ได้จับจอง, กระเป๋าสะพายข้าง, กระเป๋าใส่โทรศัพท์มือถือ

Trendy Fashion สินค้าตามเทรนด์ที่กำลังเป็นกระแสในขณะนั้น และเอื้อให้ลูกค้า mix & match ในแบบของตัวเองได้

Functional นอกจากความสวยงาม แบรนด์ยึดหลัก Function และ Fashion ควบคู่กันในทุกสินค้า เช่น กระเป๋าต้องใช้งานได้จริง มีช่องจัดระเบียบในกระเป๋า, ใช้วัสดุที่สามารถลดการเกิดรอยขีดข่วนได้

Innovation นวัตกรรมที่ช่วยให้ชีวิตลูกค้าง่ายขึ้น เช่น ผ้า Bamboo Blend สัมผัสนุ่ม ช่วยลดแบคทีเรีย, ผ้า No More Iron รีดง่าย ยับยาก

Sustainability การใช้วัสดุเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ตอบโจทย์ค่านิยมของคนในปัจจุบันที่ต้องการความยั่งยืนและลดปริมาณขยะจากการผลิต เช่น Tech Leather ที่นำหนังจากการผลิตมาอัดเป็นหนังชิ้นใหม่

ซึ่งปัจจุบัน Dapper มีการพัฒนาสินค้าสำหรับลูกค้าคนรุ่นใหม่ ทั้งมีแผนพัฒนาสินค้ากลุ่ม Athleisure เสื้อผ้าแอคทีฟแวร์ที่เน้นความคล่องตัวที่สามารถสวมใส่ในชีวิตประจำวันได้ แต่ไม่ได้เป็นเสื้อผ้าที่ถูกออกแบบมาเพื่อออกกำลังกายเท่านั้นจนใส่ในชีวิตประจำวันได้ยาก รับกับกระแส Sports Fashion ที่กำลังเติบโตอยู่ในตอนนี้

รวมถึงประเภทสินค้าที่ครบครัน ตั้งแต่เสื้อ, กางเกง, กางเกงชั้นใน, รองเท้า, กระเป๋า, กระเป๋าสตางค์ และสินค้า Accessory เช่น เข็มขัดหนัง, น้ำหอม, นาฬิกา และอื่น ๆ เรียกได้ว่าถ้าไปร้าน DAPPER คุณจะได้สินค้าครบทั้งลุคตั้งแต่หัวจรดเท้ากลับไปอย่างแน่นอน

Dapper
ภาพหน้าร้านจัดแคมเปญ #iFeelDapper CNY และ AR Instagram filters

โซเชียลมีเดีย และเทคโนโลยี AR แจก E-Angbao ช่วงตรุษจีน

หากเจาะไปที่เรื่องเทคโนโลยีจะพบว่า Dapper พยายามสื่อสารแบรนด์ผ่านแคมเปญต่าง ๆ บนโซเชียลมีเดีย เช่น แคมเปญ #iFeelDapper เมื่อปี 2022 ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคมที่ผ่านมา ที่ให้ลูกค้าถ่ายภาพตัวเองกับสินค้าในร้าน Dapper สาขาต่าง ๆ และแชร์ลงโซเชียลมีเดีย เพื่อรับส่วนลด เกิดเป็นคอนเทนต์ที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยผู้บริโภคตัวจริง หรือที่เรียกว่า User-generated Content ช่วยสร้าง WOM (Word-of-Mouth marketing) การบอกต่อถึงแบรนด์, สินค้า และบริการพนักงาน  และเพิ่มการรับรู้ของสาขาต่าง ๆ ของ Dapper ให้มากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องบรรยากาศที่แตกต่างกันในแต่ละสาขา ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จจากการที่ มีลูกค้าซื้อสินค้าโดยร่วมกิจกรรมมากกว่า 1,400 ใบเสร็จ ในระยะเวลาเพียง 2 อาทิตย์แรกของแคมเปญ และยังช่วยผลักดันยอดขายเพิ่มจากเดือนก่อนหน้าถึง 30%

ล่าสุด Dapper เปิดตัวแคมเปญตรุษจีนที่ใช้เทคโนโลยี AR เข้ามาช่วยเพิ่มความสนุก 2 แบบคือ

  • E-Angpao Games Filter: ที่ให้ลูกค้าร่วมสนุกผ่านการเล่นเกมรับอั่งเปาแล้วแชร์ลงโซเชียลมีเดีย เพื่อแลกรับส่วนลดสินค้า
  • Virtual Try on CNY Collection Filter: ที่ให้ลูกค้าลองสินค้าคอลเลกชันใหม่ ช่วยโปรโมทสินค้าของแบรนด์อีกทาง

ถือเป็นการกระตุ้นยอดขายของ Dapper ที่น่าสนใจ เพราะนอกจากได้ฐานลูกค้าเดิมมาร่วมสนุก ยังเปิดโอกาสให้ลูกค้าใหม่เข้ามารู้จักแบรนด์มากขึ้น และเพื่อการเกิด O2O (Online to Offline Marketing) โดยลูกค้าอาจจะใช้ฟิลเตอร์ลองเสื้ออยู่ที่บ้าน ดูว่าเหมาะกับสีกับดีไซน์หรือไม่ แล้วไปที่หน้าร้าน ณ สาขา เพื่อลองและซื้อสินค้าจริง หรือช่วยให้ไอเดียกับลูกค้าในการซื้อสินค้า Online ที่ไม่สะดวกไปหน้าร้านว่าใส่ออกมาแล้วจะเป็นประมาณไหน

นอกจากนี้ยังวางแผนที่จะผสานการสื่อสารกับลูกค้าออนไลน์กับ Dapper Mascot Communication ที่สื่อสารกับลูกค้าด้วยคนจริง ๆ ไม่มีการใช้ระบบอัตโนมัติ แต่มีการโต้ตอบด้วยคาแรคเตอร์บุคลิกแบบ Dapper ทั้งหมด ทำให้ผู้ซื้อได้รับประสบการณ์ที่แตกต่าง ที่ยังคงได้สื่อสารกับคนจริง ๆ ที่มีความเข้าใจในความต้องการและปัญหาของลูกค้า ขณะเดียวกันก็มีสื่อสารในมาตรฐานเดียวกัน เพื่อเสริม Brand Personality ภาพลักษณ์ของแบรนด์

“ความท้าทายของเราคือการกำหนดให้ Dapper เป็นคนแบบไหน พูดจาอย่างไร เพราะลูกค้าในประเทศไทยชอบการ Chat & Shop มากกว่าการกดซื้อเองบนเว็บไซต์ ดังนั้นถ้าเรากำหนดเรื่องนี้ได้ โอกาสสร้างการจดจำ และความไว้ใจในการซื้อสินค้าออนไลน์กับ Dapper ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน”

Dapper

จำหน่ายในรูปแบบ Omni Channel

การระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ธุรกิจค้าปลีกประสบปัญหาช่องทางจำหน่าย Dapper คือหนึ่งในบริษัทที่ได้รับผลกระทบ เพราะไม่สามารถจำหน่ายสินค้าในห้างสรรพสินค้าได้ จึงเดินหน้าพัฒนาช่องทางจำหน่ายออนไลน์เต็มรูปแบบทั้งเว็บไซต์ DAPPER.com และแพลตฟอร์มยอดนิยม Lazada, Shopee, Central Online รวมถึงจัดการระบบคลังสินค้าใหม่เพื่อกระจายสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ

ปัจจุบันการระบาดของโรคโควิด-19 เริ่มทุเลา Dapper จึงเดินหน้าทำตลาดผ่านช่องทางแบบ Omni Channel หรือการผสานช่องทางออนไลน์ และออฟไลน์เข้าด้วยกัน เช่น จูงใจให้ลูกค้าเลือกดูสินค้าผ่านโซเชียลมีเดีย หรืออินฟลูเอนเซอร์ต่าง ๆ ก่อนปิดการขายที่หน้าร้านในห้างสรรพสินค้า เป็นต้น

สำหรับหน้าร้านของ Dapper มากกว่า 50 สาขาจะอยู่ในแผนกเสื้อผ้าของห้างสรรพสินค้าเป็นส่วนใหญ่ เช่น เซ็นทรัลเวิลด์, เซ็นทรัลปิ่นเกล้า และ สยามพารากอน เป็นต้น ส่วนหน้าร้านแบบ Stand Alone จะมีอยู่บ้าง เช่น แฟชั่นไอซ์แลนด์, ฟิวเจอร์พาร์ครังสิต ที่มีการปรับโฉมใหม่ให้มีความพรีเมียม รวมถึงโฟลว์ของสินค้าทุกประเภทในร้านเมื่ออยู่ร่วมกัน และเอาท์เล็ทมอลล์ พัทยา เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้านักท่องเที่ยวและชาวต่างชาติ เพราะหน้าร้านในห้างสรรพสินค้าช่วยควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีกว่า และยังกระจายสาขาไปยังพื้นที่ที่ต้องการได้รวดเร็วกว่า เมื่อเทียบกับหน้าร้าน Stand Alone ที่มีค่าเช่า ใช้เวลาในการเตรียมการเข้าพื้นที่นาน

อีกหนึ่งสิ่งที่โดดเด่นคือ ถึงแม้จะเป็นหน้าร้านในห้างสรรพสินค้าแต่ลูกค้าก็ยังได้รับประสบการณ์การช้อปปิ้งระดับพรีเมียม จากดีไซน์หน้าร้าน การจัดVM (Visual Merchandising) และสินค้า เช่น ในตัวเมือง ในสถานที่ท่องเที่ยว หรือต่างจังหวัด ก็จะแตกต่างกันไป เพื่อให้เหมาะสมกับสาขานั้น ๆ

Dapper

ยกระดับงานบริการด้วย WOW service experience

หนึ่งในกลยุทธ์ในการทำธุรกิจในปี 2023 ของ Dapper คือ วางแผนยกระดับงานบริการให้ดีขึ้นอีกระดับทั้งช่องทางออนไลน์ และออฟไลน์ ผ่านการอบรมพนักงานขายกว่า 150 ชีวิตให้เป็น Super PC หรือพนักงานขายที่เป็นมากกว่าผู้ขาย แต่คือผู้ให้บริการที่น่าประทับใจและมีความเฉพาะเจาะจงกับลูกค้าแต่ละคนได้

“เราให้ความสำคัญกับพนักงานขายมาก โดย Super PC หลัก ๆ จะเป็นเรื่องการสร้าง WOW factors ในบริการให้ตรงกับที่ลูกค้าต้องการ เช่น ขากางเกงควรตัดยาวเท่าไร และเจาะรูเข็มขัดอย่างไร การบริการหลังการขาย เป็นต้น ซึ่งเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องเฉพาะตัวของลูกค้า แต่ละคนจะมีข้อมูลที่ไม่เหมือนกัน การที่พนักงานจำรายละเอียดตรงนี้ได้ ถึงจะเป็นส่วนเล็ก ๆ ก็ทำให้เกิด WOW experiences ความประทับใจของลูกค้าต่อแบรนด์ เพราะเป็นสิ่งที่ลูกค้าไม่คาดคิดว่าจะได้รับ

จุดเริ่มต้นของการเดินหน้าสร้าง Super PC มาจากการที่ Dapper มีนักขายที่เก่งอยู่หลายคน และพนักงานขายทุกคนของแบรนด์สามารถให้บริการที่ดีให้กับลูกค้าได้อยู่แล้วตามมาตรฐาน แต่หากต้องการให้แบรนด์มีการเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ จำเป็นต้องสร้าง Super PC ให้มีมากขึ้น โดยสร้างมาตรฐานใหม่ของการบริการที่เหนือระดับไปอีกขั้น เพื่อมอบ Experience ที่ดีให้กับลูกค้า และเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับภาพรวมธุรกิจ

Dapper
โรงงานผลิตเครื่องหนังของ Dapper ในประเทศไทย

วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกยกระดับการบริหาร

ด้วยภาพรวมตลาดเสื้อผ้าผู้ชายแบบ Formal มีขนาดตลาดเล็กลงต่อเนื่อง เช่น จากมีกว่า 20 แบรนด์ เหลือเพียงหลัก 10 แบรนด์ ทำให้บริษัทเลือกใช้เทคโนโลยีมายกระดับการบริหารจัดการ Sell-Through ให้มีรูปแบบ  Real Time ที่เน้นความเร็วมากขึ้น รวมถึงการทำระบบสมาชิกแบบ Cardless เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า

“เราเลิกทำสินค้าเพื่อขายลดราคามานานแล้ว เพราะไม่ต้องการสร้างสินค้าสองเกรดให้ลูกค้า สินค้าทั้งหมดจะมีคุณภาพเดียวกัน ทำให้ตอนนี้เราบริหารสินค้าแค่ 3 เดือน ถ้าเกินกว่านั้นสินค้าที่ยังมีอยู่ในสต็อกจะถูกรวมไซส์ และนำไปเซลแทน ซึ่งการทำแบบนี้ทำให้สต๊อกเราไม่บวม ตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการความแปลกใหม่ และเรามีการพัฒนาสินค้าโดยอ้างอิงจากข้อมูลการซื้อของลูกค้าเช่นกัน”

การทำแบบนี้ได้ Dapper มีการพัฒนาระบบสต๊อกแบบ Real Time สามารถดึงข้อมูลสินค้าทุกตัวมาดูได้ ทั้ง สี, ไซส์ และดีไซน์ เพื่อประเมินว่าจะนำไปลดราคา หรือทำเพิ่มเพื่อสร้างยอดขาย และการทำระบบสมาชิกที่อยู่บนออนไลน์ 100% ทำให้บริษัททำ CRM (Customer relationship management) แบบ Personalization ส่งโปรโมชัน, สิทธิพิเศษ เพื่อลูกค้าแต่ละคนได้ และหากลูกค้าจะซื้อสินค้าก็เพียงแจ้งเบอร์โทรศัพท์เพื่อสะสมคะแนน โดยปัจจุบัน Dapper มีข้อมูลสมาชิกอยู่กว่า 2 แสนราย

dapper

ลงลึกในทุกรายละเอียดเสริมแกร่ง Lifestyle Brand

อีกจุดที่เสริมส่งเป้าหมาย แบรนด์ไลฟ์สไตล์ที่ผู้ชายทุกเจนเข้าถึงได้ คือการคงคุณภาพ และรายละเอียดการตัดเย็บ รวมถึงการเลือกใช้เนื้อผ้าระดับพรีเมียมที่ทำให้ Dapper ครองใจลูกค้าทั้งผู้ชาย และผู้หญิง ทั้งยังประกาศไม่ขึ้นราคาสินค้าในปี 2023 เพื่อช่วยเหลือลูกค้าในวิกฤตเศรษฐกิจช่วงนี้

“สินค้าเสื้อผ้าเราใช้โรงงานคุณภาพในการตัดเย็บ ส่วนสินค้าเครื่องหนัง เช่น เข็มขัด, กระเป๋าสตางค์ และรองเท้า จะผลิตโดยฝีมือคนไทยที่โรงงานในประเทศไทย จึงการันตีเรื่องคุณภาพของสินค้า มั่นใจได้ว่า Dapper เป็นสินค้าคุณภาพสูง ไม่มีการลดคุณภาพสินค้า เหมือนกับตลาดเสื้อผ้าที่เริ่มแข่งขันเรื่องราคา และลดคุณภาพเพื่อคงกำไร”

ทั้งนี้ Dapper ยังมีลูกค้าผู้หญิงอีก 30% ที่มักซื้อแทน และซื้อเป็นของขวัญให้ผู้ชายที่รัก หรือหัวหน้าในบริษัท โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องหนังที่ได้รับความนิยมในการซื้อเป็นของขวัญ ลูกค้าผู้หญิงถือเป็นลูกค้าที่มีปฏิสัมพันธ์ Engagement กับแบรนด์มาก ทั้งทางโซเชียลมีเดียคอยติดตามข่าวสาร ไลค์ แชร์, สอบถามข้อมูลจากแอดมิน และเข้าไปที่สาขาหน้าร้าน ทำให้ลูกค้าเชื่อมันเรื่องคุณภาพ ทำให้พวกเธอกลับมาซื้อซ้ำ และเมื่อนึกถึงสินค้าเพื่อให้ผู้ชาย สินค้า Dapper คือสิ่งที่ทำให้ผู้รับประทับใจแน่นอน

Dapper
ศิริทิพย์ ศรีไพศาล ผู้อำนวยการธุรกิจ และผู้บริหารรุ่นที่ 2 ของ Dapper

กลับมาที่จุดเริ่มต้นของความเนี้ยบที่หลากหลาย ตอบโจทย์ทุกระดับ

ความเนี้ยบที่หลากหลาย จากเดิมที่ความเนี้ยบจะอยู่ที่การแต่งกายแบบทางการ หรือ Formal แต่ปัจจุบันความเนี้ยบหมายถึงเรื่องสไตล์ และการใส่ใจในรายละเอียดมากกว่า ซึ่ง Dapper มีการทำเสื้อผ้าที่ดูสนุก และสวมใส่ได้ในโอกาสต่าง ๆ มากขึ้น

“เมื่อก่อนผู้ชายแบบ Dapper หรือ Dapper Men คือคนที่ชื่นชอบการแต่งตัวเนี้ยบ และเน้นสวมใส่เสื้อผ้าทางการ แต่หลังจากนี้เราจะทำให้ความเนี้ยบที่เข้าถึงง่ายยิ่งขึ้นด้วยการผสานเครื่องแต่งกายแบบ ลำลอง และ ทางการ เพื่อให้พวกเขาสามารถ Mix & Match กับสินค้าที่พวกเขาชื่นชอบได้อย่างลงตัว”

การเปลี่ยนแปลงในส่วนนี้ทาง Brand inside ได้ถามคุณ ศิริทิพย์ ว่าการปรับภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่เกิดขึ้นและแผนที่กำลังจะเกิดนั้นคุณพ่อ (ศิริชัย ผู้ก่อตั้งแบรนด์ DAPPER) มีความเห็นว่าอย่างไรบ้าง ก็ได้ความว่า

“การเดินหน้าปรับภาพลักษณ์ Dapper แพรว (ศิริทิพย์) มีโจทย์สำคัญที่ได้มาจากคุณพ่อ (ศิริชัย) คือ มาตรฐาน Dapper ต้องยังคงความเนี้ยบและคุณภาพของสินค้าให้เหมือนเดิมตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้นี้ที่แบรนด์ก้าวเข้าสู่ปีที่ 44 รวมถึงเรื่องของแพทเทิร์นที่ออกแบบเพื่อให้เข้ากับสรีระชายไทยโดยเฉพาะ แต่ตัวแบรนด์ไม่จำเป็นต้องคงรูปแบบเดิม เป็น DAPPER ที่ปรับให้เข้ากับยุคสมัยและลูกค้า ปัจจุบันจึงเห็น Dapper มีเสื้อผ้าที่ดูสนุก และไม่เป็นทางการเกินไป สามารถใช้ได้ในโอกาสต่าง ๆ มากขึ้น”

สรุป

กลยุทธ์ธุรกิจ Dapper ในปี 2023 แสดงให้เห็นถึงองค์กรอายุ 44 ปี ที่ไม่กลัวการปรับตัวให้ทันกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ไม่ยึดติดอยู่กับความสำเร็จเดิม ๆ พร้อมนำเทคโนโลยีในหลากหลายแง่มุมเข้ามาช่วยยกระดับธุรกิจ แต่ยังคงถึงจุดแข็งเรื่องคุณภาพ และการออกแบบสินค้าที่ตอบโจทย์ลูกค้า คงความเชื่อใจไว้ไม่เสื่อมคลาย

ยิ่ง Dapper มีความหลากหลายของสินค้า และมีการบริหารสต็อกแบบ Real Time ที่หมุนเวียนสินค้าใหม่อย่างรวดเร็ว ช่วยสร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์เสื้อผ้าผู้ชายแบรนด์อื่นในไทยอย่างชัดเจน และก้าวไปสู่เป้าหมายแบรนด์ Lifestyle ที่ครองใจผู้ชายทุก Gen ได้อย่างมั่นคง

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post Dapper แบรนด์เสื้อผ้า และเครื่องหนังสัญชาติไทย กับภารกิจปลุกความเนี้ยบให้ผู้ชายยุคใหม่ first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/dapper-2023-business-strategy/