คลังเก็บป้ายกำกับ: FEATURED_POSTS

Fortinet เผยผลสำรวจ SASE ใน APAC ตอบโจทย์การทำงานยุค Hybrid Work แนะองค์กรมองหาโซลูชันที่สามารถทำงานร่วมกัน

การทำงานในยุค Hybrid Work ได้ท้าทายการป้องกันขององค์กรหลายด้าน ซึ่งทำให้องค์กรต้องคิดใหม่เกี่ยวกับการป้องกันแบบเดิมที่ไม่สามารถดูแลได้ทั่วถึง ยืนยันได้จากภัยคุกคามที่เกิดขึ้นทั่วโลก ที่งานสัมมนา Fortinet Accelerate Asia 2023 นอกจากที่จะมีการรวมตัวของเหล่าพาร์ทเนอร์และลูกค้าแล้ว ทีมงาน Fortinet ยังได้แชร์ข้อมูลประสบการณ์ในปัจจุบันผ่านสื่อต่างๆ โดยทีมงาน TechTalkThai ขอรวบรวมประเด็นสำคัญมาให้ทุกท่านได้ติดตามกันครับ

คุณภัคธภา ฉัตรโกเมศ ผู้จัดการประจำประเทศไทย ฟอร์ติเน็ต

การที่องค์กรส่งเสริมแผนการเปลี่ยนระบบสู่ดิจิทัลถือเป็นแนวโน้มที่ดี ตัวอย่างในประเทศไทยก็คือการตอบรับ Thailand 4.0 อย่างไรก็ดีเรายังเผชิญกับความเสี่ยงที่ตามมาโดยคุณภัคธภา ฉัตรโกเมศ ผู้จัดการประจำประเทศไทย ฟอร์ติเน็ต เน้นย้ำให้ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของแรนซัมแวร์ว่ายังคงวางใจไม่ได้อ้างอิงถึงสถิติว่า “ประเทศไทยถือเป็นเป้าหมายหลักของการโจมตีจากแรนซัมแวร์โดยข้อมูลที่รวบรวมโดย Fortinet ที่ตรวจพบเกี่ยวกับแรนซัมแวร์มีมากถึง 152 ล้านเหตุการณ์ต่อวัน ซึ่งเทียบในภูมิภาค APAC แล้วไทยถือว่าอยู่อันดับต้นๆ” นอกจากนี้การขาดบุคคลากรผู้มีทักษะไอที และความซับซ้อนของการทำงานที่มีมากกว่าเดิมก็เป็นปัจจัยสำคัญ ตลอดจนความเร่งที่ในอนาคตมูลค่าของตลาดเทคโนโลยีดิจิทัลยังมีแนวโน้มที่พุ่งทะยานมากขึ้นเรื่อยๆ 

คุณราชิช แพนเดย์ รองประธานฝ่ายการตลาดและการสื่อสาร ภูมิภาคเอเชีย ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์

จากแนวโน้มข้างต้นก็สอดคล้องกับผลสำรวจจาก IDC ที่มีการเก็บข้อมูลจากผู้ปฏิบัติงานจริงในประเทศไทย โดยคุณราชิช แพนเดย์ รองประธานฝ่ายการตลาดและการสื่อสาร ภูมิภาคเอเชีย ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ได้นำผลสำรวจมาให้ข้อมูลเชิงลึก โดยกล่าวถึงความเสี่ยงจากการเพิ่มจำนวนของอุปกรณ์ที่ไร้การจัดการ (Unmanaged)อันมาจากการทำงานแบบรีโมต คลาวด์และ SaaS ซึ่งทำให้ความหลากหลายของอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องซับซ้อน “สมัยก่อนองค์กรอาจมีเพียงแค่สำนักงานหลักและสาขาย่อยจำนวนหนึ่ง แต่ปัจจุบันคุณต้องมองถึงว่าพนักงาน 1 คนเทียบได้กับ 1 สาขาที่ต้องการการจัดวางระบบความมั่นคงปลอดภัย” นอกจากนี้โซลูชันที่ดังมาจากการริเริ่มของ Hybrid Work อย่าง SASE ก็กำลังถูกคาดหวังถึงความสามารถที่ครอบคลุมทุกการใช้งานโดย Fortinet กล่าวถึงว่าเป็น Universal SASE โดยผมสำรวจเผยให้เห็นแนวโน้มว่าองค์กรต้องการลดจำนวนของ Vendor ตลอดจนมีแพลตฟอร์มน้อยลงแต่ครอบคลุมการป้องกันได้หลากหลาย

คุณ Peerapong Jongvibool รองประธานประจำเอเซียตะวันออกเฉียงใต้และฮ่องกง

ในช่วงท้ายคุณ Peerapong Jongvibool รองประธานประจำเอเซียตะวันออกเฉียงใต้และฮ่องกง ได้ทิ้งท้ายว่า “การที่ Fortinet กลายเป็นเจ้าตลาดนั้นมีความสำคัญต่อลูกค้าอย่างยิ่ง นั่นหมายถึงการที่เราสามารถมีข้อมูลจริงได้มากกว่า มองเห็นได้มากกว่า เข้าใจสถานการณ์ได้มากกว่า และสิ่งที่เรานำเสนอสู่มือของลูกค้านี้ก็ย่อมให้ Visibility ได้มากกว่า ที่ปัจจุบัน Network และ Security ไม่ควรต่างคนต่างพูดแต่ต้องไปควบคู่กัน ซึ่งภาพของ Security ที่องค์กรควรมองหาต่อจากนี้คือการที่หลายโซลูชันต่างทำงานประสานกันได้(Consolidation)

from:https://www.techtalkthai.com/fortinet-press-sase-apac-report-in-hybrid-work-org-need-consolidation-solutions/

ขอเชิญร่วมงานสัมมนาในหัวข้อ “ปรับองค์กรสู่ Digital Transformation สร้างระบบ ERP และ Barcode Solution ด้วยระบบ SAP Business One” [29 มิ.ย. 2023]

บริษัท ฟอร์เวิร์ด แมเนจเม้นท์ เซอร์วิส จำกัด ขอเรียนเชิญผู้สนใจทุกท่านเข้าร่วมงานสัมมนาในหัวข้อ “ปรับองค์กรสู่ Digital Transformation สร้างระบบ ERP และ Barcode Solution ด้วยระบบ SAP Business One” โดยงานจะจัดขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 29 มิถุนายน 2566 ตั้งแต่เวลา 10.00 – 16.00 น. ณ อาคาร The Parq , WeWork Office คลองตัน

สนใจลงทะเบียนได้ที่http://fmsconsult.com/en/news-event/seminar/upcoming-event/fms-digital-transformation.html

หากใครที่อยู่ในธุรกิจอุตสาหกรรมการผลิต Trading และอีคอมเมิร์ซ เชื่อแน่ว่าหลายปีที่ผ่านมาท่านคงจะได้รับฟังเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับการทำ Digital Transformation ที่เมื่อทุกอย่างกลายเป็นระบบดิจิทัลแล้ว ธุรกิจจะสามารถเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันได้ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อนำมาใช้ตัดสินใจและวางกลยุทธ์

อย่างไรก็ดีในการประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมการผลิต อีคอมเมิร์ซ และ Trading ต้องมีการบริหารจัดการสินค้า ลูกค้า พาร์ทเนอร์ การขาย การเงิน และอื่นๆ ซึ่งสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือระบบ ERP ที่เชื่อมต่อให้การทำการเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างเป็นระบบ พร้อมสำหรับการรวมศูนย์ข้อมูลและสกัดออกเป็นมุมมองที่สร้างคุณค่าทางธุรกิจ อนึ่งระบบ Barcode เองก็ช่วยให้กระบวนทำงานและจัดการสินค้าง่ายขึ้นเป็นอย่างมาก ลดข้อผิดพลาดและเพิ่มความรวดเร็วในการติดตาม ด้วยเหตุนี้เองการที่ธุรกิจจะเริ่มต้นกับทั้งสองระบบนี้ถือเป็นเรื่องจำเป็น ที่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริง

ในงานสัมมนาครั้งนี้ บริษัท ฟอร์เวิร์ด แมเนจเม้นท์ เซอร์วิส จำกัด ชวนผู้ประกอบการทุกท่านที่สนใจเข้าร่วมเพื่อเรียนรู้แนวทางในการเริ่มต้นระบบ ERP และ Barcode Solution ผ่านโซลูชันระดับโลกจาก SAP Business One ซึ่งเชื่อแน่ว่าเมื่อจบงานในครั้งนี้ท่านจะได้ไอเดียเพื่อนำกลับไปใช้ในแผน Digital Transformation นอกจากนี้ทีมงานยังมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะให้คำปรึกษาและตอบทุกข้อสงสัย พบกันได้ที่ อาคาร The Parq , WeWork Office คลองตัน ในวันพฤหัสบดีที่ 29 มิถุนายน 2566 ตั้งแต่เวลา 10.00 – 16.00 น.

ลิงก์ลงทะเบียนhttp://fmsconsult.com/en/news-event/seminar/upcoming-event/fms-digital-transformation.html

ท่านใดมีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่คุณวุฒิพร (เล็ก) 0-2274-4070 , 08-1923-9112 หรือ Line ID: @fmsconsult

from:https://www.techtalkthai.com/fms-dx-seminar-with-sap-b1-for-your-erp-and-barcode-solution/

เปลี่ยนองค์กรให้ Productive เพิ่มยอดขายให้เติบโตอย่างยั่งยืนด้วย Data & Automation คุณเองก็ทำได้เช่นกัน!

ขอเชิญรับชมวิดีโอที่จะช่วยเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ Data & Automation for Sustainability ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเทรนด์ของเทคโนโลยีที่กำลังได้รับความนิยมและเข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างมากในโลกแห่งธุรกิจยุคใหม่ ซึ่งจะช่วยยกระดับและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน พร้อมสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน ผ่านมุมมองของผู้เชี่ยวชาญที่มากด้วยประสบการณ์ด้านการทำ Data & Automation อาทิ

  • ดร.ธนชาติ นุ่มนนท์ ผู้อำนวยการสถาบัน IMC
  • คุณจิรยุทธ์ กาญจนมยูร จาก The Mall Group
  • คุณสิงหเดช ชำนาญนาค จาก Bridgestone Sales Thailand
  • ดร.จิรวัฒน์ ตั้งปณิธานนท์ QTFT
  • คุณอาภาพร สกุลกิตติยุต จาก Microsoft Thailand
  • คุณอำไพกาญจน์ หุ่นธานี จาก UiPath

ที่มาร่วมถ่ายทอดความรู้ นวัตกรรมที่น่าสนใจในการใช้ข้อมูลและระบบอัตโนมัติเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน

คลิกเพื่อรับชมวิดีโอได้ฟรีที่นี่! https://fujitsuthondemand.com/

from:https://www.techtalkthai.com/fujitsu-data-and-automation-for-sustainability-on-demand-videos/

เพิ่มประสิทธิภาพแอปพลิเคชัน ด้วยการจัดการทรัพยากรคลาวด์แบบอัตโนมัติ ด้วย IBM Instana และ Turbonomic [Guest Post]

ในยุคที่องค์กรต้องการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจอย่างรวดเร็ว การจัดการทรัพยากรคลาวด์เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพื่อให้ระบบทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และให้บริการที่ยืดหยุ่นแก่ผู้ใช้งาน ด้วยความซับซ้อนของระบบ Cloud ที่กำลังเพิ่มขึ้น การจัดการทรัพยากรแบบดั้งเดิมอาจไม่เพียงพอต่อการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง และการเข้าถึงทรัพยากรที่ต้องการในเวลาที่แน่นอน เพื่อให้มีการใช้ทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพสูง และลดการใช้ทรัพยากรที่ไม่จำเป็นออกไป

และในขณะเดียวกัน ยุคที่ธุรกิจออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว การดูแลและตรวจสอบความสามารถของแอปพลิเคชันเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ด้วยปริมาณและความซับซ้อนของระบบที่เพิ่มมากขึ้น การตรวจสอบและการจัดการแบบดั้งเดิมอาจไม่เพียงพอเพื่อการรองรับธุรกิจในปัจจุบัน

ดังนั้นการตรวจสอบการทำงานในมุมของ Application หรือ Infrastructure เพียงด้านเดียวอาจะยังไม่เพียงพอที่จะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าว วันนี้เราอยากนำเสนอ Solution ที่จะเข้ามาช่วยเหลือในส่วนนี้ คือ Instana และ Turbonomic

Instana และ Turbonomic เป็นสองแพลตฟอร์มที่มีความสามารถที่แตกต่างกัน แต่สามารถทำงานร่วมกันเพื่อเสริมสร้างการจัดการและปรับปรุงระบบ IT ของธุรกิจได้ดังนี้:

รูปภาพประกอบ Instana

แพลตฟอร์มสังเกตการณ์ (Observability) สามารถตรวจสอบสิ่งที่เกิดขึ้นกับ Performance ของ Application ตรวจจับปัญหาของ Application ครอบคลุมทั้งระบบ  สามารถตรวจจับปัญหาที่เกิดขึ้นได้อัตโนมัติ ติดตามการใช้งานและประสิทธิภาพของระบบ และให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับปัญหาและข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในระบบของคุณ

รูปภาพประกอบ Turbonomic

ทำหน้าที่จัดสรรทรัพยากรบนพื้นฐานความต้องการของ Application นั่นแปลว่าเราสามารถรักษาเสถียรภาพของ Application ได้อย่างต่อเนื่องและลดค่าใช้จ่ายได้ ไม่ว่าจะทำงานอยู่ที่ไหนหรือสถาปัตยกรรมถูกออกแบบมาอย่างไร โดย Turbonomic ใช้ AI เพื่อรับรองประสิทธิภาพการทำงานของแอปพลิเคชันอย่างต่อเนื่องและอัตโนมัติ

การร่วมงานระหว่าง Instana และ Turbonomic อาจมีลักษณะการแบ่งแยกงานหรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการจัดการแอปพลิเคชันและระบบคลาวด์ ตัวอย่างเช่น:

  1. การแสดงข้อมูลอย่างรวดเร็ว: Instana ใช้ข้อมูลที่ได้รับจาก Turbonomic เพื่อเสริมสร้างการแสดงผลและรายงานประสิทธิภาพของแอปพลิเคชัน นั่นจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเห็นภาพรวมและรายละเอียดเกี่ยวกับประสิทธิภาพของแอปพลิเคชันได้อย่างรวดเร็ว
  2. การปรับแต่งและจัดการทรัพยากร: Turbonomic อาจใช้ข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิภาพแอปพลิเคชันที่ได้รับจาก Instana เพื่อดำเนินการปรับแต่งทรัพยากรและการจัดสรรทรัพยากรให้เหมาะสม เช่น เพิ่มหรือลดการทำงานของContainer หรือสเกลแอปพลิเคชันให้ตอบสนองต่อความต้องการด้านประสิทธิภาพของแอปพลิเคชัน
  3. การตอบสนองและปรับปรุงอัตโนมัติ: Instana และ Turbonomic สามารถทำงานร่วมกันเพื่อตรวจจับปัญหาและความผิดปกติที่เกิดขึ้นในระบบ และระบุการปรับปรุงที่เหมาะสมเพื่อเรียนรู้และปรับปรุงอัตโนมัติ

สรุป

ทั้ง Instana และ Turbonomic เป็นสองแพลตฟอร์มที่มีความสำคัญในการเสริมสร้างความปลอดภัยและความเสถียรของระบบ โดยมีลักษณะการทำงานที่แตกต่างกันดังนี้:

  • Instana: มีความสามารถติดตามและวิเคราะห์ประสิทธิภาพและปัญหาที่เกิดขึ้นในแอปพลิเคชันและระบบ IT ของธุรกิจ ด้วยการตรวจจับและติดตามการทำงานของแอปพลิเคชัน ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถรับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้นทันทีและดำเนินการแก้ไขเพื่อรักษาความปลอดภัยและความเสถียรของระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • Turbonomic: ช่วยให้สามารถติดตามและจัดการทรัพยากรคลาวด์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งส่งผลในการลดความเสี่ยงทางด้านการเกิดปัญหาในการใช้งานทรัพยากร รวมถึงการใช้ทรัพยากรในระบบที่ปลอดภัยและเสถียร

ด้วย Instana และ Turbonomic  เป็นแพลตฟอร์มที่มีความสามารถในการจัดการระบบ IT ของธุรกิจให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น การใช้งานร่วมกันของสองแพลตฟอร์มนี้มีประโยชน์อย่างมาก ด้วยการวางแผนและจัดสรรทรัพยากรคลาวด์อย่างมีประสิทธิภาพด้วย Turbonomic และการตรวจสอบประสิทธิภาพและปัญหาที่เกิดขึ้นในแอปพลิเคชันและระบบ IT ด้วย Instana ทั้งสองแพลตฟอร์มช่วยให้เราสามารถตรวจจับและแก้ไขปัญหาอัตโนมัติ นอกจากนี้ยังมีการวิเคราะห์และรายงานที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถติดตามและวิเคราะห์ประสิทธิภาพของระบบได้อย่างแม่นยำ และทั้งสองแพลตฟอร์มยังมุ่งเน้นความปลอดภัยและความเสถียรของระบบ IT เพื่อให้ธุรกิจมีความเชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจ

ทั้งนี้สำหรับผู้ที่สนใจสามารติดต่อ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บริษัท คอมพิวเตอร์ยูเนี่ยน จำกัด

โทร 02 311 6881 #7156 หรือ email : cu_mkt@cu.co.th

เขียนบทความโดย  คุณตรีทศ ลาภธนไพบูลย์

Presales Software Specialist

บริษัท คอมพิวเตอร์ยูเนี่ยน จำกัด

from:https://www.techtalkthai.com/ibm-instana-x-turbonomic-by-cu-062023/

Last Line of Defense Series I : เทรนด์ของ Ransomware ในปี 2023 และการรับมือตาม NIST Framework

องค์กรจำนวนมากยังคงประสบภัยจาก Ransomware อย่างต่อเนื่อง สังเกตได้จากรายงานแนวโน้มภัยด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ซึ่งชี้ตรงกันว่า Ransomware ได้สร้างความเสียหายในแก่บริษัทองค์กรมากมาย แล้วเราจะทำอะไรได้บ้างจากสถานการณ์ที่ยังกดดันให้องค์กรตกเป็นฝ่ายตั้งรับเช่นนี้ ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่บทความ “Last Line of Defense Series” ในหัวข้อของ Ransomware ตอนที่ 1 ซึ่งเราจะพูดถึงรายงานในปี 2023 ที่ทีมงานของ Veeam ได้เข้าไปสำรวจเหยื่อกว่า 1,200 ราย พร้อมกับแนวทางการป้องกันของหน่วยงานระดับโลกจาก NIST 

สถานการณ์ความรุนแรงของ Ransomware ในปี 2022 – 2023

แม้ปี 2023 ผ่านไปแค่ครึ่งเดียวแต่ก็พอจัดเก็บสถิติได้ว่าปี 2023 85% จากผู้เข้าร่วมตอบแบบสอบถามราว 1,200 คน ที่กระจายกันในภูมิภาคต่างๆทั่วโลกเช่น ยุโรป เอเชีย แอฟริกา ตะวันออกกลาง อเมริกา ต่างก็ถูกโจมตีทางไซเบอร์อย่างน้อย 1 ครั้งในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ซึ่ง Veeam ได้จัดทำรายงานฉบับนี้ขึ้นเพื่อหวังว่าทุกคนจะได้รับรู้ถึงความเสี่ยงและความรุนแรงที่ทั่วโลกต่างได้รับจาก Ransomware โดยรายงานยังพูดถึงสถิติอีกมากมายดังนี้

  • 60% ต้องการยกเครื่องทีมงานทางไซเบอร์และระบบ Backup ใหม่ในจำนวนนั้น 17% หวังว่าจะเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิงและ 43% หวังถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยภายในความคาดหวังเหล่านั้นพวกเขา 70% พุ่งเป้าไปที่การเพิ่มศักยภาพในหน้าที่ Backup Administrator ผู้ปฏิบัติงานไอที (62%)  ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงปลอดภัย (59%) และรั้งทายด้วย CISO 51%
  • องค์กรกว่า 87% มีการจัดทำ Risk Management เพื่อสร้างกลยุทธ์และวางแผนงานด้านความมั่นคงปลอดภัย แต่มีเพียง 35% เท่านั้นที่เชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นจะใช้ได้จริง โดย 52% ยังมองการการพัฒนาศักยภาพขึ้นไปอีก ในขณะที่ 13% ไม่มีแม้แต่โปรแกรมใดๆ
  • ผู้คนราว 37% เห็นตรงกันว่าแนวทางการตอบสนอง incident ที่ดีที่สุดคือต้องมั่นใจว่าไฟล์ Backup ต้องสะอาดและ 36% ยังแนะให้ทำการตรวจสอบไฟล์ Backup อย่างสม่ำเสมอ
  • ในปี 2022 การจ่ายค่าไถ่เป็นทางเลือกหนึ่งของเหยื่อกว่า 96% แต่ในปีนี้สัดส่วนนี้ลดลงเพราะอยู่นอกเหนือจาก Policy โดยมีเพียง 49% เท่านั้นที่มีประกันที่ระบุถึงเรื่องทางไซเบอร์ จึงตีความได้ว่าการเยียวยาค่อนข้างจำกัดมากขึ้นเรื่อยๆ
  • 80% เลือกที่จะยอมจ่ายค่าไถ่แม้ว่าราว 21% ก็ไม่สามารถกู้คืนข้อมูลได้อยู่ดี อีกทั้งความแข็งขันที่เคยตั้งเป้าว่าจะไม่จ่ายค่าไถ่ยังมีท่าทีอ่อนลงอีกด้วย จากปีก่อนที่มี 19% ยืนยันขันแข็งแต่ล่าสุดลงลงเหลือ 16% แล้ว
  • สาเหตุที่เหยื่อยอมจ่ายค่าไถ่มี 2 ส่วนหลักคือ ประกันจ่ายให้กับ ไม่มีทางเลือกนักเพราะ Backup ก็โดนเล่นงานไปด้วยทำให้ไม่สามารถนำมากู้คืนข้อมูลได้
  • จากค่าเฉลี่ยของการโจมตีพบว่าการโจมตีทางไซเบอร์กระทบกับข้อมูลที่องค์กรใช้งานจริงกว่า 45% ซึ่งในส่วนนั้นมีเพียง 66% ที่กู้มาได้สำเร็จ หรือประมาณการว่าองค์กรราว 15% สูญเสียข้อมูลไปตลอดกาล
  • เหยื่อกว่า 75% ถูกโจมตีส่วนที่จัดเก็บ Backup และมี 39% ที่ได้รับผลกระทบจนไม่สามารถใช้การได้ 
  • ค่าเฉลี่ยเวลาที่องค์กรใช้เพื่อกู้คืนข้อมูลจนกลับมาได้สำเร็จอยู่ที่ประมาณ 3 สัปดาห์ สาเหตุเพราะต้องมีการตรวจสอบด้วยข้อมูลบนระบบ Backup นั้นปลอดภัยจริงหรือไม่ ส่วนใหญ่ปนเปื้อนเซิร์ฟเวอร์ไหนยังปลอดภัยเชื่อถือได้ 
  • ในปี 2023 แนวโน้มของการป้องกันข้อมูลด้วย Immutable Cloud อยู่ที่ 82% และ Immutable Disk 64% อย่างไรก็ดีเทปยังคงอยู่ในแผนการที่มีนัยสำคัญอยู่

จากข้อสรุปนี้พอจะชี้ได้ว่า Ransomware ยังคงดำเนินปฏิบัติการอย่างต่อเนื่อง หลายองค์กรก็มีกลยุทธ์ที่ใช้ได้จริง บ้างก็ยังไม่มีการวางแผน แต่แน่นอนว่าส่วนใหญ่ตระหนักถึง Backup ที่สะอาดปลอดภัย โดยการมี Immutable Backup เป็นเพียงการการันตีความมั่นใจส่วนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งต้องตรวจสอบซ้ำ โดยมีองค์กรเพียง 44% เท่านั้นที่ทำ และแน่นนอนว่าคนร้าย Ransomware ย่อมพุ่งเป้ากวาดล้างไปถึงระบบ Backup เพื่อตัดช่องทางการกู้คืนและกดดันองค์กรให้ถึงที่สุด เนื่องจากกล่าวได้ว่าระบบ Backup คือปราการด่านสุดท้ายที่องค์กรต้องมีหรือ Last Line of Defense และต้องมั่นใจได้ว่าแนวรับนั้นแข็งแรงพอด้วยเช่นกัน

5 ขั้นตอนของ NIST Framework

National Institute of Standards and Technology (NIST) เป็นผู้คิดค้นมาตรฐานหรือระเบียบปฏิบัติต่างๆ ซึ่งในมุมของผู้ปฏิบัติงานด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ต่างรู้จักกันดี โดย NIST Cybersecurity Framework ได้มีพูดถึงกฏระเบียบ แนวทางปฏิบัติ ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับธุรกิจองค์กรทุกขนาดทุกอุตสาหกรรม โดย Framework นี้ได้แบ่งขั้นตอนออกเป็น 5 ส่วนคือ

1.) Identify

ก่อนที่องค์กรจะเริ่มคิดหาวิธีการป้องกันไม่ว่าด้วยจุดประสงค์ใดหรือวิธีการใด จุดเริ่มต้นก็คือการรู้จักตัวเองว่า องค์กรของคุณมีสภาพแวดล้อมการทำงานอย่างไร มีโปรเซส หรือสินทรัพย์ใดที่เกี่ยวของ ต่อมาจึงเริ่มเชื่อมโยงว่าภัยคุกคามอะไรที่อาจส่งผลกระทบและเกี่ยวข้องกับเป้าหมายทางธุรกิจอย่างไร สิ่งเหล่านี้คือการมองเห็นภาพรวมว่ามีอะไรที่เกี่ยวข้อง โดยในมุมมองของผู้คนเองก็ต้องได้รับการอมรบที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่นั้นๆ ให้รู้จักสังเกตถึงภัยคุกคามและแจ้งเตือนต่อผู้รับผิดชอบได้ เช่นกันตัวองค์กรเองก็ต้องมีความสามารถในการติดตามสินทรัพย์หรือข้อมูลของคุณด้วยเช่นกัน เพื่อจะได้จัดลำดับความสำคัญต่อการวางกลยุทธ์หรือมาตรการป้องกัน รวมถึงแผนต่อสนองด้วย

2.) Protect

เมื่อทราบแล้วว่าในองค์กรมีองค์ประกอบใดเกี่ยวข้องบ้าง มีความสำคัญมากน้อยเพียงใด ก็ถึงเวลาที่จะวางมาตรการล้อมรอบการให้บริการ ซึ่งนอกจากเป็นการป้องกันยังลดผลกระทบหากเกิดเหตุได้ ทั้งนี้องค์กรก็ต้องทราบถึงการโจมตีจากภัยคุกคามหรือคนร้ายที่มีโอกาสเข้ามา ในมาตรการป้องกันนี้ประกอบไปด้วยหลายขั้นตอนเช่น

  • ให้ความรู้กับบุคคลากรเพื่อให้สามารถป้องกันตนเองได้ และต้องทำซ้ำอย่างสม่ำเสมอเพื่ออัปเดตความรู้ให้ทันสมัย
  • การออกแบบระบบความมั่นคงปลอดภัยในตั้งแต่เริ่มแรกของโปรเจ็ค ซึ่งการเพิ่มภายในมักมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการเผื่อโอกาสไว้ตั้งแต่วันแรก ตลอดจนมาตรการต้องเน้นความง่ายไม่ซับซ้อนมากเพราะยากต่อการดูแล
  • แผนกลยุทธ์การสำรองข้อมูลแบบ 3-2-1 ก็เป็นมาตรการทางการป้องกันระบบ Backup ที่ดี รวมถึงมีการ Backup อย่างสม่ำเสมอลดความสูญเสียจากระดับหายนะกลายเป็นการรบกวนต่อการให้บริการในช่วงเวลาหนึ่ง 
  • ให้สิทธิ์น้อยที่สุดที่จำเป็น (Least Privilege) คือใครมีหน้าที่ใดก็ได้รับเพียงสิทธิ์นั้น ซึ่งช่วยทั้งข้อผิดพลาดจากมนุษย์หรืออันตรายจากการโจมตีได้
  • แบ่งหน้าที่ให้เป็นสัดส่วน (Segregation Duties) ไม่มอบหน้าที่ให้คนใดคนหนึ่งมากเกินไป เช่น ผู้ทำ Primary Backup และ Secondary อาจเป็นคนละบุคคลกัน
  • แบ่งระบบออกเป็นโซน (Segmentation) ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งเรื่องการจัดทำ Policy ที่อาจมีร่วมกันหรือส่วนที่เข้มงวดเป็ฯกรณีพิเศษ รวมถึงช่วยในบริหารจัดการระบบที่มีกฏหมายบังคับเช่น จัดกลุ่มให้อยู่โซนเดียวกันเพื่อให้ง่ายต่อการตรวจสอบ
  • ปฏิบัติตามข้อบังคับเพื่อซักฟอกให้มีพฤติกรรมทางดิจิทัลที่ดี เช่น ไม่ใช้รหัสผ่านซ้ำในหลายบริการ พึ่งพา Password Manager ช่วยจัดการเพราะรหัสผ่านมีมากมายซึ่งยังการใช้เครื่องมือจะช่วยให้มีรหัสผ่านที่แข็งแรง หรือการทำ Logout Policy และ MFA ก็เป็นแนวทางปฏิบัติที่จำเป็น
  • การเข้ารหัสก็คือถือสิ่งที่สมควรทำหากมาตรการป้องกันอื่นล้มเหลว โดยสามารถป้องกันไม่ให้ผู้อื่นอ่านข้อมูลได้ซึ่งท่านสามารถเลือกระดับได้ตามความเหมาะสม

3.) Detect

มีระบบมากมายที่สามารถตรวจจับถึงความน่าสงสัยของกิจกรรมต่างๆ แต่ไม่ว่าจะตรวจจับได้หรือไม่ ประเด็นสำคัญคือความรวดเร็วที่จะช่วยลดโอกาสความเสียหายที่เกิดขึ้น ในมุมของ Ransomware ก็คือการที่องค์กรสามารถมองเห็น Visibility ไม่ให้การติดเชื้อลุกลามไปยังระบบต่างๆต่อไป นอกจากนี้องค์กรยังอาจวางกับดักเสมือนการขึงลวดส่งสัญญาน เช่น ใช้บัญชีแอดมินปลอมทิ้งไว้และคอยมอนิเตอร์กิจกรรมที่เกิดขึ้น 

4.) Respond

ในทุกความฉุกเฉินการสื่อสารถือเป็นเรื่องสำคัญมาก หากเกิดเหตุขึ้นแล้วแต่คุณไม่ทราบว่าควรปฏิบัติตนอย่างไร ใครเกี่ยวข้องบ้างและจะติดต่อพวกเขาอย่างไร เชื่อแน่ว่าความโกลาหลย่อมเกิดขึ้น ดังนั้นการจัดทำแผนการตอบสนองเหตุการณ์ฉุกเฉินจึงเป็นเรื่องที่องค์กรต้องมี อีกทั้งภายในต้องมีการแนะนำวิธีปฏิบัติ ผู้รับผิดชอบ ให้เอาตัวรอดไปให้ได้จนกระทั่งระบบฟื้นคืนกลับมา กล่าวคือเป็นการทำให้ทุกคนรู้หน้าที่ของตน สื่อสารและทำงานได้อย่างมีลำดับ โดยแผนเหล่านี้ยังต้องได้รับการซักซ้อมและอัปเดตข้อมูลให้สอดคล้องกับบริบทขององค์กรด้วย

5.) Recover

ท้ายที่สุดแล้วของทุกสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อการให้บริการย่อมกลับมาสู่การตั้งคำถามว่า ‘จะกู้คืนฟื้นฟูระบบกลับมาสู่ภาวะปกติได้อย่างไร’ โดยเรื่องเหล่านี้ต้องมีการออกแบบไว้ก่อนเช่น ระบบใดควรถูกกู้คืนขึ้นแรกสุดและถัดไป ในส่วนของ Backup ก็ต้องมั่นใจได้ว่าปลอดภัย อย่างไรก็ดีการออกแบบเหล่านี้ต้องเกิดขึ้นมาโดยคำนึงถึงความคาดหวังของธุรกิจก่อนว่ามี SLA เท่าใด หรือ RTO/RPO ได้แค่ไหน เป็นต้น

ปิดจุดอ่อนกลบช่องว่าง Ransomware ด้วย Veeam 

Credit : Veeam

จากข้อมูลข้างต้นทุกท่านคงพอทราบกันดีแล้วว่าการกู้คืนให้ระบบกลับมาทำงานได้ตามปกติเป็นเป้าหมายสูงสุดของธุรกิจ ซึ่งคำตอบชี้ไปที่เรื่องเดียวก็คือการทำ Backup ที่เกิดขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์นี้เท่านั้น โดย Veeam Backup & Replication คือเครื่องมือที่ตอบโจทย์ของการทำ Backup & Recovery ได้อย่างสมบูรณ์ ที่นำเสนอทางเลือกให้กับท่านได้อย่างยืดหยุ่น เช่น การกู้คืนไปยังปลายทางที่ท่านต้องการอื่นเพราะเป้าหมายเดิมอาจไม่ปลอดภัย การทำ Image Restore และการใช้งาน NAS ที่เก็บไฟล์จำนวนมากที่เป็นเป้าหมายใหญ่ของ Ransomware ทั้งนี้ผู้ใช้งานยังสามารถเลือก Restore ข้อมูลในระดับไฟล์หรือโฟลเดอร์ หรือช่วงของเวลาที่ต้องการได้อีกด้วย 

ในมุมของการวางแผนเพื่อตอบสนอง (Respond) Veeam Recovery Orchestrator จะช่วยให้ท่านสามารถสร้างแผนรับมือกับการโจมตีของ Ransomware ได้ตาม SLA ที่คาดหวัง โดยมีแผน 5 รูปแบบจาก Replicas, Backup, Storage Snapshot, Cloud และ Continuous Data Protection (CDP) ทั้งนี้แผนที่ถูกสร้างอย่างอัตโนมัติจะมาพร้อมกับ Log ที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น นั่นหมายถึงการช่วยลดโอกาสเกิดคอนฟิคที่ไม่เท่ากันและความผิดพลาดจากคนอีกด้วย

เครื่องมือ Veeam ONE จะช่วยให้องค์กรสามารถรับรู้ถึงความผิดปกติบางอย่างได้ (Detect) เช่น การแจ้งเตือนเมื่อพบอัตตราการใช้งาน CPU หรือ I/O ของดิสก์ หรือการส่งข้อมูลเครือข่ายที่สูงผิดปกติ โดยผู้ใช้งานสามารถปรับแต่งเกณฑ์ที่ต้องการวางเงื่อนไขเพื่อแจ้งเตือนถึงความผิดปกติที่สนใจ นอกจากนี้ใน Veeam Backup & Replication v10 ขึ้นไปยังมี Data Integration API ที่ทำให้ไฟล์ Backup เข้าถึงได้ในรูปแบบของ Mounted Folder ต่อยอดสู่การสแกนข้อมูล Backup เพื่อค้นหาภัยคุกคามต่อไปด้วยโซลูชันด้านสแกนมัลแวร์

Credit: Veeam

การ Tagging ข้อมูลของท่านเช่น VM นี้มีจุดประสงค์อะไร มีความสำคัญอย่างไร ถือเป็นการปฏิบัติที่ดีต่อการแก้ปัญหาในภายภาคหน้าเช่น ช่วยตัดสินว่าจะรวมเข้าไปในแผน DR หรือไม่ ซึ่งไม่ใช่ว่าทุกเครื่องจำเป็นต้องถูกกู้คืน หรืออาจมีการสำรองข้อมูลที่เข้มข้นไม่เท่ากันภายใต้ Veeam Backup & Replication หรือในมุมของ Veeam ONE จะช่วยแสดงภาพรวมได้ว่าเครื่องใดได้รับการปกป้องแล้ว โดยข้อมูล Tagging เหล่านี้ Veeam ONE สามารถทราบได้เพราะมีการซิงค์โครไนซ์ข้อมูลกับ vSphere และ Hyper-V เมื่อทราบภาพรวมได้แล้วจึงสร้างมาตรการป้องกันได้ต่อไป (Identify)

Credit : Veeam

การป้องกัน (Protect) ระบบ Backup ของ Veeam มีหลายฟังก์ชันไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ immutable บน S3 Storage หรือคลาวด์ผ่าน Veeam Scale-out Backup Repository (SOBR) การบันทึกข้อมูลลงเทป หรือความสามารถที่ทำให้ Service Provider กลายสร้างบริการ DRaaS ด้วย Veeam Cloud Connect ตลอดจนการสร้าง Immutable Backup ใน Repository ที่ได้รับการป้องกันอย่างดี (Linux Hardened) และการบันทึกข้อมูลลงในมีเดียแยกออกไปได้ (Air-gapped) นอกจากนี้ยังสามารถทดสอบการกู้คืนข้อมูลเพื่อการันตีความสำเร็จของแผนได้ด้วย SureBackup และ SecureRestore ที่ตรวจสอบ Ransomware ไม่เพียงเท่านั้นยังสามารถปิดกั้นการเข้าถึงข้อมูลได้ด้วยการทำ Data Encryption

บทส่งท้าย

Ransomware ยังคงเป็นภัยคุกคามสำคัญ ซึ่งไม่ว่าท่านจะมีโซลูชันป้องกันมากมายสักเพียงใด แต่ในโลกของ Security ไม่มีสิ่งใด 100% ดังนั้นประเด็นสำคัญคือเมื่อถูกโจมตีแล้วท่านจะปฏิบัติตัวอย่างไรเพื่อรับมือกับเหตุการณ์ และท้ายที่สุดจะกลับสู่ความเป็นปกติได้อย่างไร ซึ่งแนวรับสุดท้าย (Last Line of Defense) ก็คือระบบ Backup นั่นเอง โดย Veeam ได้นำเสนอเครื่องมือที่จะช่วยให้ท่านเอาตัวรอดได้จากช่วงเวลาวิกฤตที่เกิดขึ้นที่สอดคล้องกับหลักการปฏิบัติสากลจาก NIST

สนใจติดต่อทีมงานของ Veeam ได้ที่ sales.thailand@veeam.com

from:https://www.techtalkthai.com/last-line-of-defense-series-1-ransomware-trends-2023-nist-framework/

Next Generation HPE Aruba Networking Central: ระบบบริหารจัดการ Network ผ่าน Cloud โฉมใหม่ ใช้ง่ายด้วยพลังของ Data และ AI โดย VST ECS

หากพูดถึงระบบ Cloud Networking สำหรับธุรกิจองค์กร Aruba Central คงเป็นหนึ่งในโซลูชันที่หลายๆ คนนึกถึง ด้วยความสามารถของระบบที่ครอบคลุมหลากหลาย และความง่ายดายในการใช้งาน จนได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในภาคธุรกิจองค์กรทั่วโลก

แต่เมื่อโลกของระบบเครือข่ายเปลี่ยนแปลงไป Aruba Central จึงได้รับการปรับปรุงสู่โฉมใหม่ เพื่อตอบโจทย์โลกของระบบ Network ที่มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น มีการใช้งานข้อมูลในการจัดการมากยิ่งขึ้น และผสานนวัตกรรม AI เพื่อให้การบริหารจัดการระบบเครือข่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ในบทความนี้เราจะพาทุกท่านไปรู้จักกับ Next Generation HPE Aruba Networking Central ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนหน้าจอการใช้งานครั้งใหญ่ ให้ตอบโจทย์สำหรับเหล่า Network Engineer และ IT Administrator มากยิ่งกว่าที่เคยกันครับ

ทำไม HPE Aruba ถึงต้องอัปเกรดยกเครื่องครั้งใหญ่ให้ Aruba Central?

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ระบบเครือข่ายนั้นได้มีวิวัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วง 2 ปีล่าสุด ที่ธุรกิจองค์กรต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน และนำอุปกรณ์ IoT ใหม่ๆ มาใช้เพื่อตอบโจทย์การออกแบบออฟฟิศที่ไร้สัมผัส และจัดการสิ่งต่างๆ ในบริษัทให้เป็นอัตโนมัติมากยิ่งขึ้น

HPE Aruba ได้เล็งเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ และพบว่าผู้ใช้งาน Aruba ทั่วโลกนั้น ต่างกำลังเผชิญกับความท้าทายหลักๆ ด้วยกัน 2 ประการ ได้แก่

  1. การดูแลรักษาระบบเครือข่ายที่มีความซับซ้อนสูงยิ่งขึ้น การมาของ Hybrid Work, Cloud และ IoT นั้นได้ทำให้ระบบเครือข่ายซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม และมีอุปกรณ์หรือผู้ใช้งานจำนวนมากที่อาจตกสำรวจไป ทำให้ผู้ดูแลระบบเครือข่ายไม่สามารถตรวจสอบ ติดตาม และควบคุมการใช้งานเครือข่ายสำหรับอุปกรณ์หรือผู้ใช้งานเหล่านี้ จึงไม่อาจปรับแต่งระบบเครือข่ายเพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดได้อย่างเหมาะสม และการปรับเปลี่ยนการตั้งค่าของระบบเครือข่ายก็อาจกระทบกับเหล่าผู้ใช้งานและอุปกรณ์ที่ตกสำรวจนี้ได้โดยไม่ตั้งใจ
  2. การขาดแคลนทรัพยากรบุคคลด้าน IT ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น นับวันผู้เชี่ยวชาญด้านระบบเครือข่ายที่จะเข้ามารับหน้าที่ดูแลระบบเครือข่ายขององค์กรจะยิ่งหายากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ปริมาณของอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อเครือข่ายกลับมีมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้การทำ Network Automation แบบดั้งเดิมนั้นไม่อาจตอบโจทย์การบริหารจัดการได้เพียงพออีกต่อไป และต้องอาศัยพลังของ Data กับ AI เข้ามาช่วยในส่วนนี้

ความท้าทายเหล่านี้เองได้ทำให้ HPE Aruba ตัดสินใจยกเครื่องให้กับระบบ Aruba Central ครั้งใหญ่ เพื่อให้การดูแลรักษาระบบเครือข่ายเพื่อรองรับอุปกรณ์จำนวนมากและหลากหลายนั้นสามารถเป็นไปได้ด้วยผู้ดูแลระบบเครือข่ายเพียงไม่กี่คน

Next Generation HPE Aruba Networking Central ใช้งานง่ายกว่าเดิม ตอบโจทย์ผู้ดูแลระบบเครือข่ายยิ่งกว่าที่เคย

ในงาน Atmosphere’23 ซึ่งเป็นงานสัมมนาใหญ่ประจำปีของ HPE Aruba ในระดับโลกนั้น ได้มีการเปิดตัว Next Generation HPE Aruba Networking Central ซึ่งเป็นระบบบริหารจัดการเครือข่ายผ่าน Cloud รุ่นใหม่ที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้ธุรกิจองค์กรสามารถนำ Data จากระบบเครือข่ายมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และใช้ AI ช่วยดูแลรักษาบริหารจัดการเครือข่ายได้ดียิ่งกว่าเดิม ซึ่งผู้ใช้งาน Aruba Central นั้นสามารถปรับไปใช้หน้าจอบริหารจัดการแบบใหม่นี้ได้ทันทีโดยไม่มีค่าใช้จ่าย

สำหรับความสามารถใหม่ๆ ที่โดดเด่นภายในหน้า Dashboard ของ Next Generation HPE Aruba Networking Central จะมีดังนี้

Credit : HPE Aruba

1. Toggle View

ปุ่มสำหรับสลับรุ่นของ Aruba Central เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถปรับเปลี่ยนมาใช้ HPE Aruba Central รุ่นใหม่และรุ่นเก่าได้ตามต้องการ

2. Entity-centric Solar System

เนื่องจากองค์ประกอบใหม่ๆ ที่ถูกเพิ่มเข้ามาในระบบเครือข่ายนั้นมีความหลากหลายและซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ทำให้ระบบเครือข่ายมีขนาดใหญ่กว่าที่เคย HPE Aruba จึงเรียกระบบสำหรับบริหารจัดการภาพรวมของเครือข่ายว่า Solar System เพื่อสื่อถึงการตรวจสอบภาพรวมของระบบที่มีขนาดใหญ่และหลากหลายนี้

Solar System จะทำการ Correlate ส่วนต่างๆ ภายในระบบเครือข่ายเข้าด้วยกัน เพื่อให้ผู้ดูแลระบบสามารถเชื่อมต่อเข้าถึงแต่ละส่วนได้อย่างง่ายดาย โดยแยกเป็นส่วนของการจัดการ Network, Clients, Applications, Security และ Alert สำหรับระบบเครือข่ายในแต่ละสาขา

นอกจากนี้ ภายในระบบยังมีการรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ปัญหาถึงระบบ Layer 1 ของเครือข่าย เพื่อให้ผู้ดูแลระบบเครือข่ายสามารถตรวจสอบและแก้ไขปัญหาได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้นอีกด้วย

3. Blended Indicator

ภายใน Solar System จะมีการให้คะแนนของภาพรวมในแต่ละส่วน เพื่อให้ผู้ดูแลระบบสามารถเข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่าส่วนใดของระบบเครือข่ายที่กำลังมีปัญหารุนแรงในระดับใด และจัดลำดับความสำคัญในหารแก้ไขปรับปรุงระบบเครือข่ายให้มีประสิทธิภาพและส่งมอบประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้ใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง

4. Industry-first Time Travel

Next Generation HPE Aruba Networking Central จะมีการเก็บข้อมูลของระบบเครือข่ายทั้งหมดย้อนหลังเอาไว้ 7 วัน และมีแถบช่วงเวลาให้ผู้ดูแลระบบสามารถเลื่อนย้อนเวลากลับไปได้ถึงระดับนาที เพื่อตรวจสอบแก้ไขปัญหาย้อนหลังได้อย่างง่ายดาย ซึ่งถือเป็นระบบบริหารจัดการเครือข่ายแรกของวงการที่มีการนำเสนอความสามารถนี้

5. Dynamic Information Panels

มีกราฟแสดงผลข้อมูลต่างๆ ที่จะเปลี่ยนแปลงไปตามการเลือกแต่ละ Entity ภายใน Solar System ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถเข้าใจสถานการณ์โดยรวมในแต่ละภาคส่วนได้ง่ายดายยิ่งขึ้น

นอกเหนือไปจาก Dashboard ที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว Next Generation HPE Aruba Networking Central ก็ยังมีการเสริมความสามารถใหม่ๆ ที่น่าสนใจอีกหลายประการ เช่น

  • Sunburst Topology Views การนำเสนอ Network Topology ในแผนภาพแบบวงแหวน ที่ทำให้เข้าใจถึงภาพรวมของระบบเครือข่ายได้ง่ายดายกว่าการนำเสนอแบบกราฟความสัมพันธ์ เหมาะกับระบบเครือข่ายขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อนสูง
  • Assurance Indicators ข้อมูลชี้วัดสำหรับ Device Health และ Client Experience ที่มีความแม่นยำ จากการใช้อัลกอริธึมเฉพาะในการวิเคราะห์
  • Near real-time AI-powered Insights ใช้ AI วิเคราะห์และนำเสนอข้อมูลที่ผู้ดูแลระบบควรทราบในระดับเกือบ Real-Time ทำให้สามารถมองเห็นถึงปัญหาใหม่ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในระบบเครือข่ายได้อย่างรวดเร็ว
  • AI-powered Client Profiling ใช้ AI ในการจำแนกประเภทของอุปกรณ์ ที่มีความแม่นยำสูงกว่า 99% จากการนำข้อมูล Fingerprint ของอุปกรณ์มากกว่า 200 ล้านรูปแบบมาให้ AI เรียนรู้
  • Natural Language Aided AI Search ใช้ AI ที่เข้าใจภาษามนุษย์มาช่วยในการค้นหาข้อมูลต่างๆ ของระบบเครือข่าย ทำให้สามารถนำเสนอข้อมูลได้อย่างตรงจุดกว่าเดิม
  • Flexible Configuration สามารถกำหนดการตั้งค่าระบบเครือข่ายได้ในแบบ Hierarchy หลายชั้น เหมาะสำหรับการออกแบบเครือข่ายเพื่อรองรับกรณีการใช้งานที่หลากหลายได้เป็นอย่างดี
  • Device-agnostic Configuration Workflows สามารถออกแบบและกำหนดการตั้งค่าของระบบเครือข่ายได้ในแบบ Intent-based สำหรับการเชื่อมต่อเครือข่ายหลายรูปแบบพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็น Access Point, Switch หรือ Gateway ก็สามารถออกแบบนโยบายและบังคับใช้งานร่วมกันได้พร้อมกัน

จะเห็นได้ว่าความสามารถใหม่ๆ ภายใน Next Generation HPE Aruba Networking Central นี้สามารถตอบโจทย์ระบบเครือข่ายขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อนสูงได้ดีกว่าเดิมเป็นอย่างมาก ในขณะที่การบริหารจัดการดูแลรักษาระบบเครือข่ายที่มีขนาดเล็กเอง ก็จะได้ประโยชน์จากความง่ายดายในการใช้งานที่สูงขึ้น ทำให้ผู้ดูแลระบบไม่ต้องเสียเวลาในการตรวจสอบแก้ไขปัญหาอย่างในอดีตอีกต่อไป

สนใจโซลูชันของ HPE Aruba ติดต่อ VST ECS ได้ทันที

สำหรับผู้ที่สนใจโซลูชัน HPE Aruba Networking Central หรือโซลูชันใดๆ ของ HPE Aruba สามารถติดต่อทีมงาน VST ECS ได้ทันทีที่

บริษัท วีเอสที อีซีเอส (ประเทศไทย) จำกัด

โทร : 02-032-9999

Email : sukitta@vstecs.co.th

aruba.th@hpe.com

from:https://www.techtalkthai.com/next-generation-hpe-aruba-networking-central-by-vstecs/

James Cook University กับความสัมพันธ์ของดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันและการสร้างความยั่งยืน [Guest Post]

บทความโดย พอล เพตเตอร์สัน ประธานประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บริษัท Pexip

มหาวิทยาลัยชั้นนำอย่าง James Cook University ตัดสินใจใช้ Pexip ในการแก้ปัญหาระบบเทคโนโลยีวิดีโอรุ่นเก่าที่มีอยู่ตามห้องต่าง ๆ โดยยึดหลักผลตอบแทนจากการลงทุนที่เหมาะสม และปฏิบัติตามพันธสัญญาด้านความยั่งยืน

มีเรื่องให้ต้องขบคิดหลายประการเมื่อคุณกำลังใช้งานโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารดิจิทัลของ มหาวิทยาลัยเจมส์ คุก (James Cook University: JCU) ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งมีวิทยาเขตอยู่ในหลาย ๆ เมือง อย่าง ทาวน์สวิลล์, แคนส์, แมคเคย์, เกาะเธอร์สเดย์ นี่ไม่ได้หมายรวมถึงวิทยาเขตที่ประเทศสิงคโปร์ และวิทยาเขตขนาดเล็กอีกหลายแห่ง

การสื่อสารด้วยวิดีโอเป็นช่องทางสำคัญในการเชื่อมต่อกับนักศึกษาราว 15,000 คน เจ้าหน้าที่อีกราว 5,000 คน ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้หลักสูตรการเล่าเรียนที่นี่ที่โดดเด่นและมีชีวิตชีวา

JCU ผู้นำด้านการวิจัยและนวัตกรรมเขตร้อน

มหาวิทยาลัยเจมส์ คุก มีความโดดเด่นด้านวิชาการในหลาย ๆ สาขา โดยเฉพาะสาขาวิชาเฉพาะทางอย่างชีววิทยาทางทะเลและน้ำจืด, การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และการวิจัยสมอง เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของโลกด้านชีววิทยาทางทะเลและน้ำจืด และอันดับ 2 ด้านการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ โดย JCU มีศูนย์และสถาบันวิจัยเฉพาะทาง 21 แห่ง วิทยาเขต 8 แห่งในออสเตรเลีย รวมถึงวิทยาเขตนานาชาติในสิงคโปร์

มหาวิทยาลัยยังให้ความสำคัญกับการขยายโอกาสเชิงรุกออกไปยังสถานที่หรือกลุ่มประชากรที่ไม่มีโอกาสในการเข้าถึงการศึกษา อาทิ ชุมชนและประชากรพื้นเมืองในท้องถิ่น ซึ่งบ่อยครั้งที่ชุมชนต่าง ๆ ไม่สามารถเข้าถึงหรือเชื่อมต่อกับเทคโนโลยีของ JCU ซึ่งเปรียบเสมือนการขาดสะพานเชื่อมความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมของชุมชนด้วยการใช้วิดีโอ เหมือนการใช้งานขององค์กรหรือการประชุมคณะกรรมการบริหาร

คุณเควิน เลน หัวหน้าฝ่ายโซลูชันโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ประจำอยู่ที่วิทยาเขตทาวน์สวิลล์ของ JCU กล่าวว่า “การสื่อสารผ่านวิดีโอเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่เราทำอยู่เป็นประจำ เราคือสถาบันการศึกษา ซึ่งต้องใช้วิดีโอเพื่อการศึกษาเป็นอย่างมาก”

“หากแพลตฟอร์มวิดีโอของเราล้มเหลว และเราไม่สามารถสอนผ่านการประชุมทางวิดีโอได้ มันจะส่งผลกระทบต่อกระบวนการเรียนการสอนอย่างมาก มันยากที่จะกำหนดมูลค่าตัวเลขในทางธุรกิจ แต่จะส่งผลกระทบอย่างมาก”

มองหาโซลูชันที่ยืดหยุ่น ปรับขยายได้ และทำงานร่วมกันได้

ทีมงานของ คุณเลน เป็นผู้รับผิดชอบโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายการสื่อสารทั้งหมดของ JCU รวมถึงระบบโทรศัพท์สำหรับกิจกรรมอื่น ๆ ของมหาวิทยาลัย, การประชุมผ่านวิดีโอ และระบบการรักษาความปลอดภัยของเครือข่าย ซึ่งคุณเลน กล่าวว่า ห้องประชุมที่สามารถสื่อสารผ่านวิดีโอได้ของมหาวิทยาลัย ซึ่งรวมถึงอุปกรณ์ประชุมทางไกลผ่านจอภาพอย่าง Tandberg รวมถึงอุปกรณ์อื่น ๆ ของ Cisco นั้นล้าสมัยจนไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้ขายอีกต่อไป

JCU ตัดสินใจว่า การอัปเดตแค่อุปกรณ์การประชุมทางวิดีโอเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอสำหรับการใช้งานในอนาคต ซึ่งเป็นยุคที่ผู้คนจำนวนมากต้องการเข้าถึงวิดีโอบนอุปกรณ์ของตนเอง เนื่องจากการใช้งานประชุมวิดีโอจะกลายเป็นรูปแบบบริการซอฟต์แวร์บนเทคโนโลยีคลาวด์ (SaaS) ผนวกด้วยเทคโนโลยีในการแปลงและบีบอัดไฟล์วิดีโอ จะกลายเป็นเรื่องปรกติของการสื่อสาร “อุปกรณ์ที่ JCU มีอยู่มันไม่ได้เป็นอย่างที่โลกกำลังมุ่งหน้าไป” คุณเลน กล่าว

“คนในมหาวิทยาลัยเริ่มปฏิเสธการใช้ระบบการประชุมทางวิดีโอที่ JCU มีอยู่ เรื่องนี้กลายเป็นปัญหา และหัวข้อสนทนาระหว่างผมและทีมงาน ที่ผมพยายามหาทางออก และพวกเขากล่าวว่า คุณเคยลองพิจารณาผู้ให้บริการโซลูชันการสื่อสารวิดีโอที่ชื่อ Pexip หรือไม่?” 

ทำไม Pexip กลายเป็นคำตอบสุดท้าย

จากการพูดคุยถึงปัญหาเรื่องการประชุมดังกล่าว เป็นจุดเริ่มต้นให้เกิดความร่วมมือระหว่าง JCU กับ Pexip เมื่อมหาวิทยาลัยตัดสินใจไม่ผูกระบบการสื่อสารวิดีโอไว้กับแพลตฟอร์มใดแพลตฟอร์มหนึ่ง อย่าง Microsoft Teams หรือ Zoom ในช่วงต้นปี 2021 JCU ได้เริ่มการพูดคุยกับ Pexip และร่วมมือกันเพื่อพัฒนาแนวคิดในการใช้บริการโซลูชันวิดีโอในรูปแบบ video conferencing as-a-service หรือการใช้งานวิดีโอแบบสมาชิก ที่อุปกรณ์แต่ละชนิดต้องมีทะเบียนอุปกรณ์และการควบคุมการโทร

แนวคิดดังกล่าวทำให้ JCU สามารถนำอุปกรณ์รุ่นเก่า ๆ ที่ใช้ในการประชุมผ่านวิดีโอกว่า 120 เครื่อง กลับมาใช้ใหม่ เช่น อุปกรณ์ของ Cisco สามารถกลับมาใช้งานสื่อสารด้วยวิดีโอกับระบบวิดีโออื่น ๆ ทั้งการสื่อสารภายในและภายนอกองค์กร รวมถึงการใช้งานร่วมกับแอปพลิเคชันอย่าง Microsoft Teams, Google, Zoom และอื่น ๆ โดยไม่ต้องมีการปรับหรือเพิ่มเติมโครงสร้างพื้นฐานการประชุมทางวิดีโอเดิมแต่อย่างใด

จุดแข็งของ Pexip คือ ความยืดหยุ่น ซึ่งเป็นตัวแปรหลักในการมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดให้ผู้ใช้งาน ความสามารถในการรองรับแพลตฟอร์มต่าง ๆ ที่ครูและนักเรียนใช้ โดยมีการหยุดชะงักน้อยที่สุด “สิ่งสำคัญคือต้องรักษาสภาพแวดล้อมและการทำงานที่เหมือนเดิมเอาไว้ เราไม่ต้องการให้พนักงานต้องเรียนรู้ใหม่ทุกอย่าง” คุณเลน กล่าว

สิ่งที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือความสามารถของ Pexip ในการรวมระบบที่แตกต่างจากผู้ให้บริการคนละรายเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น Zoom, Microsoft Teams, Cisco Webex, BlueJeans และโซลูชันการประชุมผ่านวิดีโออื่น ๆ

ตัวอย่างเช่น กรณีศึกษาของ Queensland Health พันธมิตรที่สำคัญของ JCU ที่ใช้ Microsoft Teams ในขณะที่วิทยาลัยแพทยศาสตร์และทันตแพทยศาสตร์ของ JCU ใช้ Zoom

“แพลตฟอร์มที่แตกต่างกันในแผนกต่าง ๆ เป็นอุปสรรคที่ทำให้เราหาทางออกหรือแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการที่เหมาะสมได้ยาก เราพิจารณาว่า Pexip เป็นโซลูชันที่มีศักยภาพและเหมาะสมที่เข้ามายกระดับและแก้ปัญหาต่าง ๆ ในโลกของเทคโนโลยีการประชุมทางวิดีโอ ที่มีผู้ให้บริการหลายราย นอกจากนั้น เรายังสามารถมั่นใจได้ถึงความสามารถในการควบคุมและการจัดการระบบการสื่อสารทั้งหมดในอนาคต เกิดประสบการณ์ที่น่าประทับใจกับการสนทนาทางวิดีโอที่ราบรื่น และเครือข่ายที่มั่นใจได้ถึงคุณภาพ”

คุณเลน กล่าว

อนาคตที่ก้าวไปอย่างยั่งยืน

ในอนาคตอีกไม่กี่ปีข้างหน้า JCU ต้องการที่จะยกระดับคุณภาพห้องประชุมผ่านวิดีโอประมาณ 120 ห้อง โดยแทนที่ด้วยอุปกรณ์และการออกแบบใหม่ คุณเลน กล่าวว่า สิ่งนี้จะเกิดขึ้นทั่วทั้งวิทยาเขตหลักของมหาวิทยาลัยและเครือข่ายทั้งหมดของมหาวิทยาลัย อาทิ โรงพยาบาลเกือบทุกแห่งที่นักศึกษาฝึกงานอยู่ รวมถึงหอพักนักศึกษา คุณเลน กล่าวว่า เขามีประสบการณ์ที่ดีและประทับใจในการทำงานกับ Pexip

“การเปลี่ยนจากโครงสร้างพื้นฐานเดิมมาใช้ Pexip ในสภาพแวดล้อมที่มีอยู่เดิมนั้นมีความราบรื่น ส่วนหนึ่งมาจากการวางขอบเขตของโครงการที่ครอบคลุมทั้งเครือข่ายและอุปกรณ์ ซึ่งอาศัยการมีส่วนร่วมของทีมทำงานใน JCU อาทิ คุณจอห์น ครอฟท์ สถาปนิกโครงสร้างพื้นฐานอาวุโสของเรา, คุณนิค แพตเตอร์สัน และผู้เชี่ยวชาญด้าน VAVs ซึ่งพบว่าทั้งการออกแบบและกระบวนการทดสอบไอเดียธุรกิจก่อนเริ่มโปรเจกต์ (Proof of Concept) มีความชัดเจน และด้วยการใช้งานที่ง่ายนี้ทำให้ Pexip ไม่เพียงแต่เป็นโซลูชันที่เหมาะสมเท่านั้น แต่ยังเป็นโซลูชันที่สามารถทำงานร่วมกับทรัพยากรที่มีน้อยและสอดรับกับหลักการความยั่งยืนในด้านเทคโนโลยีด้วย” 

สำหรับความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวการใช้งานระบบวิดีโอ เป็นประเด็นที่ได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบในการวางแผนเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ศูนย์ควบคุมของ Pexip เป็นศูนย์ที่มีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการตรวจสอบการตั้งค่าอุปกรณ์และเครือข่ายของมหาวิทยาลัย ติดตามปัญหาทางเทคนิค และให้ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้วิดีโอได้อย่างรวดเร็ว 

“Pexip เป็นผู้ลดองค์ประกอบด้านความเสี่ยงต่าง ๆ ภายในสภาพแวดล้อมของมหาวิทยาลัย มันทำให้เรามีเวลามากขึ้นในการตัดสินใจที่ถูกต้อง เกี่ยวกับสถาปัตยกรรมการประชุมทางวิดีโอ การประชุมผ่านวิดีโอเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่เราทำ และ Pexip ทำให้เรามั่นใจว่าจะสามารถก้าวไปสู่อนาคตได้อย่างเหมาะสม”

ที่สำคัญ JCU กำลังแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการลดปริมาณขยะ ด้วยการนำเทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่เสื่อมสภาพกลับมาใช้ใหม่ 

“การตัดสินใจในครั้งนี้ หมายความว่าเราได้ยืดอายุการใช้งานของเทคโนโลยีการประชุมผ่านวิดีโอของเรา ลดค่าใช้จ่ายจากการฝังกลบขยะเทคโนโลยี และทำให้มันกลับมาใช้ได้อีกครั้งราวกับมีชีวิตที่สอง”

คุณเลน กล่าวสรุป

พอล เพตเตอร์สัน
ประธานประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บริษัท Pexip

พอล เพตเตอร์สัน ดำรงตำแหน่ง ประธานของ Pexip ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มีประสบการณ์มากกว่า 20 ปีในอุตสาหกรรมวิดีโอและการทำงานร่วมกันทั่วโลก พอล เป็นผู้บริหารด้านการขาย ช่องทางการขายผ่านพันธมิตร เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมต่าง ๆ และการพัฒนาธุรกิจ ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยสนับสนุนลูกค้าในการลดความซับซ้อนของการประชุมทางวิดีโอและเพิ่มขีดความสามารถในการทำงานร่วมกัน 

ปัจจุบัน พอล ประจำอยู่ที่สิงคโปร์ เป็นผู้ผลักดันการใช้โซลูชันการทำงานร่วมกันเพื่อช่วยลูกค้าในการปรับปรุงผลลัพธ์ทางธุรกิจ ก่อนมาร่วมงานกับ Pexip ในเดือนมกราคม 2021 พอล เป็นผู้บริหารของ Cisco Systems และ Tandberg ทั่วยุโรป ตะวันออกกลาง และเอเชีย 

ดาวน์โหลด e-book ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านการประชุมของคุณให้ทันสมัยสำหรับพนักงานในปัจจุบัน ฟรี ได้ที่นี่

from:https://www.techtalkthai.com/james-cook-university-embraces-sustainable-digital-transformation-guest-post/

Giga Computing ขยายการรองรับโปรเซสเซอร์ AMD EPYC™ รุ่นที่ 4 สำหรับการประมวลผลคลาวด์เนทีฟและการประมวลผลทางเทคนิค

Giga Computing บริษัทในเครือของ GIGABYTE และผู้นำในอุตสาหกรรมเซิร์ฟเวอร์ประสิทธิภาพสูง  เมนบอร์ดเซิร์ฟเวอร์ และเวิร์กสเตชัน ในวันนี้ประกาศรองรับโปรเซสเซอร์  AMD EPYC™ เจนเนอเรชัน 4 รุ่นล่าสุด โปรเซสเซอร์ใหม่ซึ่งใช้สถาปัตยกรรม “Zen 4c” และนำเสนอเทคโนโลยี AMD 3D V-Cache™ ได้ช่วยยกระดับโซลูชันระดับองค์กรของ Giga Computing ให้ประสิทธิภาพที่เหนือกว่าและความสามารถในการปรับขนาดสำหรับการประมวลผลแบบเนทีฟบนคลาวด์และแอปพลิเคชันการประมวลผลทางเทคนิค ในโซลูชันระดับองค์กรของ GIGABYTE 

จนถึงปัจจุบัน ระบบและแพลตฟอร์ม GIGABYTE ที่ไม่ซ้ำกันมากกว่า 30 รายการสนับสนุนโปรเซสเซอร์ AMD EPYC 9004 รุ่นล่าสุด และต่อไป Giga Computing จะเปิดตัว GIGABYTE รุ่นใหม่สำหรับแพลตฟอร์มนี้ เพิ่มเติม รวมถึงมี SKU มากขึ้นสำหรับเซิร์ฟเวอร์ที่พร้อมสำหรับระบบระบายความร้อนด้วยของเหลวโดยตรง

“สำหรับโปรเซสเซอร์ AMD EPYC รุ่นใหม่ทุกรุ่น GIGABYTE อยู่ที่นั่นเสมอ โดยนำเสนอตัวเลือกแพลตฟอร์มที่หลากหลายสำหรับปริมาณงานและผู้ใช้ทั้งหมด” Vincent Wang รองประธานฝ่ายขายของ Giga Computing กล่าว “และด้วยการประกาศเปิดตัวล่าสุดของโปรเซสเซอร์ AMD EPYC 9004 ใหม่สำหรับการประมวลผลทางเทคนิคและการประมวลผลแบบคลาวด์เนทีฟนั้น เราก็พร้อมให้การสนับสนุนแล้วบนแพลตฟอร์ม AMD EYPC 9004 Series ปัจจุบันของเรา”

โปรเซสเซอร์ AMD EPYC™ รุ่นที่ 4 รุ่นใหม่ ที่ขับเคลื่อนด้วยสถาปัตยกรรม “Zen 4c” มอบประสิทธิภาพ ความหนาแน่น ประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน และความเข้ากันได้ที่จำเป็นเพื่อให้มีการประมวลผลที่ไม่ลดลงสำหรับสภาพแวดล้อมแบบคลาวด์เนทีฟและการประมวลผลทางเทคนิคที่กำลังเติบโต

ปริมาณงานคลาวด์เนทีฟ

ความกังวลเรื่องการประหยัดพลังงานและพื้นที่ได้รับการแก้ไขด้วยโปรเซสเซอร์ที่มีความหนาแน่นของเธรดชั้นนำ ที่เพิ่มความหนาแน่นของชั้นวางและการปรับขนาดได้สูงสุด  คอร์ “Zen 4c” ใหม่ประสิทธิภาพสูง 128 และ 112 รุ่นใหม่นี้มาในสอง SKU คือ AMD EPYC 9754 และ 9734

“โปรเซสเซอร์ AMD EPYC™ รุ่นที่ 4 มอบความสามารถในการประมวลผลที่ลูกค้าของเราต้องการสำหรับบริการคลาวด์และโครงสร้างพื้นฐานที่ปรับขนาดได้ซึ่งเป็นที่ต้องการมากที่สุด” Lynn Comp รองประธานองค์กร ฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์เซิร์ฟเวอร์และเทคโนโลยีของ AMD กล่าว “สถาปัตยกรรม “Zen” และสถาปัตยกรรมที่ใช้ชิปเล็ตเป็นพื้นฐานได้รับการพิสูจน์แล้วของเราทำให้เราสามารถสร้าง CPU เพื่อเซิร์ฟเวอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงสามารถตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของศูนย์ข้อมูลสมัยใหม่ได้”

ปริมาณงานการคำนวณทางเทคนิค

Electronic design automation (EDA), computational fluid dynamics (CFD), and finite element analysis (FEA) ได้รับประโยชน์อย่างมากจากการเพิ่มแคช L3 อย่างมีนัยสำคัญในโปรเซสเซอร์ใหม่สามตัวนี้ด้วยเทคโนโลยี AMD 3D V-Cache

“การคำนวณทางเทคนิคต้องอาศัยชุดข้อมูลขนาดใหญ่เป็นอย่างมาก ด้วยเทคโนโลยี AMD 3D V-Cache ลูกค้าสามารถใช้ประโยชน์จากแคช L3 มากกว่า 1GB เพื่อมอบลาเทนซี่และทรูพุตที่น่าประทับใจ” Lynn Comp รองประธานองค์กรฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์เซิร์ฟเวอร์และเทคโนโลยีของ AMD กล่าว “โปรเซสเซอร์ AMD EPYC รุ่นที่ 4 พร้อมเทคโนโลยี AMD 3D V-Cache จะช่วยเร่งประสิทธิภาพการพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยจัดเตรียม CPU ประสิทธิภาพสูงให้กับลูกค้าเพื่อเร่งการตรวจสอบการจำลองและโมเดลที่ท้าทายต่างๆ”

ที่ Giga Computing เราพยายามอย่างต่อเนื่องที่จะเสนอทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับเทคโนโลยีเซิร์ฟเวอร์ให้กับลูกค้าของเรา และการรองรับโปรเซสเซอร์ตระกูล AMD ใหม่นี้ หมายความว่าเราจะมีการอัปเดตระบบให้ดาวน์โหลดได้และระบบในอนาคตจะมาพร้อมกับเฟิร์มแวร์ล่าสุด ด้วยการเตรียมพร้อมและมีตัวเลือกให้มากมาย สิ่งนี้จะช่วยให้ลูกค้าของเราสามารถเลือกโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีที่ปรับให้เหมาะกับความต้องการและความทะเยอทะยานของพวกเขาได้

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม: ติดต่อฝ่ายขาย
ติดตาม Giga Computing บน Twitter: https://twitter.com/GIGABYTEServer
ติดตาม Giga Computing บน LinkedIn: https://www.linkedin.com/company/giga-computing/

เกี่ยวกับ Giga Computing

Giga Computing Technology เป็นผู้ริเริ่มอุตสาหกรรมและเป็นผู้นำในตลาดคอมพิวเตอร์ระดับองค์กร หลังจากแยกตัวออกจาก GIGABYTE เรายังคงรักษาความเชี่ยวชาญด้านฮาร์ดแวร์ในการผลิตและการออกแบบผลิตภัณฑ์ ในขณะที่ดำเนินธุรกิจแบบสแตนด์อโลนที่สามารถผลักดันการลงทุนเพิ่มเติมในความสามารถหลัก เรานำเสนอกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่สมบูรณ์ซึ่งตอบสนองเวิร์กโหลดทั้งหมดตั้งแต่ดาต้าเซ็นเตอร์ไปจนถึงเอดจ์ รวมถึงเวิร์กโหลดแบบดั้งเดิมและที่เกิดขึ้นใหม่ใน HPC และ AI ไปจนถึงการวิเคราะห์ข้อมูล, 5G/เอดจ์, คลาวด์คอมพิวติ้ง และอื่นๆ ความร่วมมืออันยาวนานของเรากับผู้นำด้านเทคโนโลยีที่สำคัญทำให้มั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ใหม่ของเราจะล้ำสมัยที่สุดและเปิดตัวด้วยแพลตฟอร์มพันธมิตรใหม่ ระบบของเราประกอบด้วยประสิทธิภาพ ความปลอดภัย ความสามารถในการปรับขนาด และความยั่งยืน

เยี่ยมชมเว็บไซต์เราสำหรับข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.gigabyte.com/Enterprise หรือรับข่าวสารจาก newsletter

from:https://www.techtalkthai.com/giga-computing-supports-amd-epyc-gen-4-zen-4c/

Panduit Webinar: กลยุทธ์การย้ายออฟฟิศอย่างคุ้มค่า: ออกแบบระบบ Structured Cabling เพื่อการย้ายออฟฟิศอย่างไร้รอยต่อ [28 มิ.ย. 2023 – 14.00น.]

Panduit ขอเรียนเชิญ CTO, CIO, IT Manager, Network Engineer, ผู้ดูแลระบบ IT และผู้ที่สนใจทุกท่าน เข้าร่วม Webinar: กลยุทธ์การย้ายออฟฟิศอย่างคุ้มค่า: ออกแบบระบบ Structured Cabling เพื่อการย้ายออฟฟิศอย่างไร้รอยต่อ ในวันที่ 28 มิถุนายน 2023 เวลา 14.00น. – 15.30น.

ร่วมเรียนรู้ถึงแนวโน้มใหม่ๆ และประโยชน์ที่ภาคธุรกิจองค์กรคาดหวังจากการย้าย Data Center และออฟฟิศครั้งใหญ่ทั่วโลก เพื่อเตรียมปรับองค์กรให้พร้อมรับต่อการทำงานแห่งอนาคต และรองรับการนำนวัตกรรมใหม่ๆ อย่างเช่น AI และ IoT เข้ามาใช้งานในภาคธุรกิจอย่างเต็มตัว รวมถึงแนวคิดในการวางแผนระบบ Data Center ใหม่ให้สอดคล้องกับโลกในยุค Hybrid Multi-Cloud

ตรวจสอบรายละเอียด กำหนดการ และวิธีการลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ดังนี้

Panduit Webinar: กลยุทธ์การย้ายออฟฟิศอย่างคุ้มค่า: ออกแบบระบบ Structured Cabling เพื่อการย้ายออฟฟิศอย่างไร้รอยต่อ

วันที่: วันพุธที่ 28 มิถุนายน 2023
เวลา: 14.00น. – 15.30น.
รูปแบบ: Online
ลงทะเบียนเข้าร่วมงาน (ไม่มีค่าใช้จ่าย): https://pages.panduit.com/ENT-Webinar-Office-Relocation-Strategies-TH.html?utm_medium=social-organic&utm_source=facebook&utm_campaign=2023-th-ent-webinar&utm_content=landing-page 

กลยุทธ์การย้ายออฟฟิศอย่างคุ้มค่า: ออกแบบระบบ Structured Cabling เพื่อการย้ายออฟฟิศอย่างไร้รอยต่อ

คุณกำลังวางแผนย้ายออฟฟิศและระบบโครงสร้างพื้นฐานทางด้านเครือข่าย หรือกำลังเริ่มรู้สึกไม่มั่นใจกับกระบวนการการย้ายออฟฟิศของคุณหรือไม่? มาพบกันในงาน Webinar ที่เต็มไปด้วยสาระประโยชน์ครั้งนี้ ที่เราจะแนะนำถึงปัจจัยพื้นฐานที่ต้องพิจารณาเพื่อให้การย้ายออฟฟิศประสบความสำเร็จได้เป็นอย่างดี พร้อมทั้งการนำเสนอแนวโน้มใหม่ล่าสุดเกี่ยวกับการย้ายออฟฟิศและองค์กรสำหรับปี 2023 และหลังจากนั้น รวมถึงร่วมเรียนรู้วิธีการออกแบบโซลูชันระบบ Structured Cabling ที่จะช่วยให้การย้ายออฟฟิศของคุณเป็นไปได้อย่างราบรื่น

การย้ายองค์กรและออฟฟิศนั้นได้กลายเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่จำเป็นเมื่อธุรกิจมีการเติบโตและมีความต้องการระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัยมากขึ้น โดยการย้ายระบบไปสู่ Data Center ขนาดใหญ่ยิ่งขึ้นจะช่วยสร้างโอกาสในการเพิ่มขยายพื้นที่และมีทรัพยากรที่จำเป็นอย่างเพียงพอ เพื่อให้ธุรกิจของคุณสามารถตอบโจทย์ความต้องการใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในงาน Webinar ครั้งนี้ เราไม่เพียงแต่จะสรุปถึงความท้าทายที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในการย้ายออฟฟิศเท่านั้น แต่ยังเล่าถึงสาเหตุและข้อดีที่เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการย้ายองค์กรและออฟฟิศ เพื่อให้คุณเข้าใจถึงมุมมองต่างๆ ในการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้นอีกด้วย

คุณจะได้รับชมเนื้อหาใดบ้างใน 
Webinar ครั้งนี้?

ภายใน Webinar นี้ เราจะเจาะลึกถึงปัจจัยสำคัญที่ควรจะต้องพิจารณาในการย้ายออฟฟิศ ซึ่งครอบคลุมถึงการวางแผนระบบโครงสร้างพื้นฐานเชิงกลยุทธ์, ทางเลือกในการเพิ่มขยายระบบ และการวางระบบเครือข่ายเพื่อรองรับความต้องการใหม่ๆ ในอนาคต พร้อมทั้งมุมมองที่จะเป็นประโยชน์อย่างเช่น แนวโน้มใหม่ๆ ที่กำลังเกิดขึ้น และแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับการย้ายออฟฟิศและองค์กรท่ามกลางภูมิทัศน์ที่กำลังเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด

เราจะมุ่งเน้นถึงวิธีการออกแบบโซลูชันระบบ Structured Cabling ที่ถูกปรับแต่งให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมของธุรกิจอย่างเหมาะสม ด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ชั้นนำของวงการจาก Panduit โดยในการเข้าร่วม Webinar ครั้งนี้ คุณจะได้เรียนรู้ถึงวิธีการในการปรับปรุงระบบโครงสร้างพื้นฐานทางด้านเครือข่ายให้ดียิ่งขึ้นในระหว่างกระบวนการการย้ายออฟฟิศ และแนวทางการย้ายออฟฟิศได้อย่างไร้รอยต่อ เพื่อให้ธุรกิจของคุณพร้อมที่จะเติบโตและประสบความสำเร็จได้ในระยะยาว

เนื้อหาของ Webinar

  • ปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาในการย้ายออฟฟิศ
  • วิธีการออกแบบระบบเครือข่ายด้วย Structured Cabling ที่ยั่งยืนสำหรับธุรกิจของคุณ;
  • แนะนำโซลูชันระบบเครือข่ายจาก Panduit:
    • Pathway และ Cable Basket
    • โซลูชันแบบ Pre-terminated
    • โซลูชัน Rapid ID Labelling และการจัดทำเอกสาร
    • SmartZone G5 Intelligence PDU, UPS, Cloud
    • แนะนำสาย Cat 6 UTP ที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก: TX6A Vari-Matrix HD Cable

เข้าร่วมรับชม Webinar ในครั้งนี้ที่นำเสนอเป็นภาษาไทยโดยทีมงาน Panduit โดยตรง พร้อมทีมงานที่จะตอบทุกคำถามและข้อสงสัยที่เกี่ยวข้อง

ลงทะเบียนเข้าร่วม Webinar ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ทันทีโดยไม่มีค่าใช้จ่ายที่ https://pages.panduit.com/ENT-Webinar-Office-Relocation-Strategies-TH.html?utm_medium=social-organic&utm_source=facebook&utm_campaign=2023-th-ent-webinar&utm_content=landing-page โดยทีมงานขอความกรุณากรอกข้อมูลตามความเป็นจริง

 

from:https://www.techtalkthai.com/panduit-webinar-structured-cabling-design-for-seamless-office-migration/

SiS ลงนามข้อตกลงเป็นผู้จัดจำหน่ายกับ CrowdStrike อย่างเป็นทางการ เพื่อนำ Cloud-Delivered Endpoint และ Workload Protection มาสู่ประเทศไทย

SiS Distribution Thailand (SiS) ผู้จัดจำหน่ายและนำเข้าสินค้า IT ชั้นนำในประเทศไทย ด้วยสินค้าและบริการแก่พาร์ตเนอร์กว่า 7,000 ราย ได้ประกาศลงนามในข้อตกลงเป็นผู้จัดจำหน่ายกับ CrowdStrike ผู้นำด้าน Cloud Delivered Endpoint และ Workload Protection ข้อตกลงนี้จะขยายขอบเขตของ SiS ในการเสนอราคาและเติมเต็มเป้าหมายของ CrowdStrike ให้กับพันธมิตรผู้ค้าปลีกในพื้นที่ประเทศไทย

นายทวีศักดิ์ สินพิพัฒน์มงคล ผู้จัดการทั่วไป กล่าวว่า “เรามีความยินดีที่ได้เป็นผู้จัดจำหน่าย CrowdStrike ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำด้าน Next-Generation of Endpoint และ Cloud Protection Platform เพื่อขับเคลื่อน กลุ่มสินค้า Cybersecurity ของเราทั่วประเทศไทย การเพิ่มขึ้นของภัยคุกคามทางไซเบอร์ในบริษัทไทยจะผลักดันการลงทุนด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ในธุรกิจไม่แม้แต่ธุรกิจองค์ขนาดใหญ่ที่ให้ความสนใจ ณ ปัจจุบันกลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก SMB และขนาดกลาง Mid-Markets ก็ให้ความสำคัญมากยิ่งขึ้น เราเชื่อว่าแพลตฟอร์ม CrowdStrike Falcon® ซึ่งเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีขั้นสูงบน Gartner Leader จะช่วยป้องกันภัยคุกคามที่ชาญฉลาดและมีทักษะระดับมืออาชีพช่วยให้ลูกค้าลดความเสี่ยงและพึงพอใจในการปกป้องภัยคุกคามเหล่านั้นในองค์กรของตน”

เกี่ยวกับ CrowdStrike

CrowdStrike เป็นผู้นำด้านความมั่นคงปลอดภัยในโลกไซเบอร์ หนึ่งในแพลตฟอร์มบนคลาวด์ที่ทันสมัยที่สุดสำหรับการปกป้องอุปกรณ์ หรือระบบที่สำคัญขององค์กร เช่น อุปกรณ์ปลายทางและการทำงานบนคลาวด์ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลอื่นๆ เพื่อให้ลูกค้าห่างไกลจากผู้ก่อการร้ายและหยุดการเข้าถึงข้อมูลที่ไม่ได้รับอนุญาต

ด้วยความสามารถของการจัดการความมั่นคงปลอดภัยของ CrowdStrike Security Cloud โดยมีชื่อทางการตลาดว่า CrowdStrike Falcon® ด้วยแพลตฟอร์มความสามารถนี้ ใช้ในการจัดการกับผู้บุกรุกโดยทันทีการจัดการกับภัยคุกคามอย่างชาญฉลาด และยกระดับขึ้นอีกด้วยการจัดการระยะไกลให้ครอบคลุมทั้งองค์กร โดย Telemetry เพื่อการตรวจสอบที่แม่นยำยิ่งขึ้น ระบบการป้องกันและการจัดการแก้ไขอัตโนมัติ  Threat Intelligence ด้วยการการหาข่าวทางลับของผู้ไม่หวังดี และการตรวจสอบระยะไกลที่สมบูรณ์จากทั่วทั้งองค์กร เพื่อมอบการตรวจจับที่แม่นยำสูง การป้องกันและการแก้ไขในทันที การตามล่าภัยคุกคามชั้นยอดและการแก้ไขให้กลับมาสู่สภาวะปกติ ความสามารถในการสังเกตช่องโหว่ 

โดยทั้งหมดนี้ทำได้ผ่าน Agent ตัวเดียวที่มีขนาดเล็ก ด้วย CrowdStrike ลูกค้าจะได้รับประโยชน์จากการป้องกันที่เหนือกว่า ประสิทธิภาพที่ดีขึ้น ความซับซ้อนที่ลดลง และได้รับความคุ้มค่าในทันที

from:https://www.techtalkthai.com/crowdstrike-appoints-sis-distribution-thailand-as-distributer/