ขอเชิญรับชมวิดีโอที่จะช่วยเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ Data & Automation for Sustainability ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเทรนด์ของเทคโนโลยีที่กำลังได้รับความนิยมและเข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างมากในโลกแห่งธุรกิจยุคใหม่ ซึ่งจะช่วยยกระดับและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน พร้อมสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน ผ่านมุมมองของผู้เชี่ยวชาญที่มากด้วยประสบการณ์ด้านการทำ Data & Automation อาทิ
แต่เมื่อโลกของระบบเครือข่ายเปลี่ยนแปลงไป Aruba Central จึงได้รับการปรับปรุงสู่โฉมใหม่ เพื่อตอบโจทย์โลกของระบบ Network ที่มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น มีการใช้งานข้อมูลในการจัดการมากยิ่งขึ้น และผสานนวัตกรรม AI เพื่อให้การบริหารจัดการระบบเครือข่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ในบทความนี้เราจะพาทุกท่านไปรู้จักกับ Next Generation HPE Aruba Networking Central ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนหน้าจอการใช้งานครั้งใหญ่ ให้ตอบโจทย์สำหรับเหล่า Network Engineer และ IT Administrator มากยิ่งกว่าที่เคยกันครับ
การขาดแคลนทรัพยากรบุคคลด้าน IT ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น นับวันผู้เชี่ยวชาญด้านระบบเครือข่ายที่จะเข้ามารับหน้าที่ดูแลระบบเครือข่ายขององค์กรจะยิ่งหายากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ปริมาณของอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อเครือข่ายกลับมีมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้การทำ Network Automation แบบดั้งเดิมนั้นไม่อาจตอบโจทย์การบริหารจัดการได้เพียงพออีกต่อไป และต้องอาศัยพลังของ Data กับ AI เข้ามาช่วยในส่วนนี้
ความท้าทายเหล่านี้เองได้ทำให้ HPE Aruba ตัดสินใจยกเครื่องให้กับระบบ Aruba Central ครั้งใหญ่ เพื่อให้การดูแลรักษาระบบเครือข่ายเพื่อรองรับอุปกรณ์จำนวนมากและหลากหลายนั้นสามารถเป็นไปได้ด้วยผู้ดูแลระบบเครือข่ายเพียงไม่กี่คน
Next Generation HPE Aruba Networking Central ใช้งานง่ายกว่าเดิม ตอบโจทย์ผู้ดูแลระบบเครือข่ายยิ่งกว่าที่เคย
ในงาน Atmosphere’23 ซึ่งเป็นงานสัมมนาใหญ่ประจำปีของ HPE Aruba ในระดับโลกนั้น ได้มีการเปิดตัว Next Generation HPE Aruba Networking Central ซึ่งเป็นระบบบริหารจัดการเครือข่ายผ่าน Cloud รุ่นใหม่ที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้ธุรกิจองค์กรสามารถนำ Data จากระบบเครือข่ายมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และใช้ AI ช่วยดูแลรักษาบริหารจัดการเครือข่ายได้ดียิ่งกว่าเดิม ซึ่งผู้ใช้งาน Aruba Central นั้นสามารถปรับไปใช้หน้าจอบริหารจัดการแบบใหม่นี้ได้ทันทีโดยไม่มีค่าใช้จ่าย
สำหรับความสามารถใหม่ๆ ที่โดดเด่นภายในหน้า Dashboard ของ Next Generation HPE Aruba Networking Central จะมีดังนี้
1. Toggle View
ปุ่มสำหรับสลับรุ่นของ Aruba Central เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถปรับเปลี่ยนมาใช้ HPE Aruba Central รุ่นใหม่และรุ่นเก่าได้ตามต้องการ
2. Entity-centric Solar System
เนื่องจากองค์ประกอบใหม่ๆ ที่ถูกเพิ่มเข้ามาในระบบเครือข่ายนั้นมีความหลากหลายและซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ทำให้ระบบเครือข่ายมีขนาดใหญ่กว่าที่เคย HPE Aruba จึงเรียกระบบสำหรับบริหารจัดการภาพรวมของเครือข่ายว่า Solar System เพื่อสื่อถึงการตรวจสอบภาพรวมของระบบที่มีขนาดใหญ่และหลากหลายนี้
Solar System จะทำการ Correlate ส่วนต่างๆ ภายในระบบเครือข่ายเข้าด้วยกัน เพื่อให้ผู้ดูแลระบบสามารถเชื่อมต่อเข้าถึงแต่ละส่วนได้อย่างง่ายดาย โดยแยกเป็นส่วนของการจัดการ Network, Clients, Applications, Security และ Alert สำหรับระบบเครือข่ายในแต่ละสาขา
ภายใน Solar System จะมีการให้คะแนนของภาพรวมในแต่ละส่วน เพื่อให้ผู้ดูแลระบบสามารถเข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่าส่วนใดของระบบเครือข่ายที่กำลังมีปัญหารุนแรงในระดับใด และจัดลำดับความสำคัญในหารแก้ไขปรับปรุงระบบเครือข่ายให้มีประสิทธิภาพและส่งมอบประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้ใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง
4. Industry-first Time Travel
Next Generation HPE Aruba Networking Central จะมีการเก็บข้อมูลของระบบเครือข่ายทั้งหมดย้อนหลังเอาไว้ 7 วัน และมีแถบช่วงเวลาให้ผู้ดูแลระบบสามารถเลื่อนย้อนเวลากลับไปได้ถึงระดับนาที เพื่อตรวจสอบแก้ไขปัญหาย้อนหลังได้อย่างง่ายดาย ซึ่งถือเป็นระบบบริหารจัดการเครือข่ายแรกของวงการที่มีการนำเสนอความสามารถนี้
5. Dynamic Information Panels
มีกราฟแสดงผลข้อมูลต่างๆ ที่จะเปลี่ยนแปลงไปตามการเลือกแต่ละ Entity ภายใน Solar System ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถเข้าใจสถานการณ์โดยรวมในแต่ละภาคส่วนได้ง่ายดายยิ่งขึ้น
นอกเหนือไปจาก Dashboard ที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว Next Generation HPE Aruba Networking Central ก็ยังมีการเสริมความสามารถใหม่ๆ ที่น่าสนใจอีกหลายประการ เช่น
Assurance Indicators ข้อมูลชี้วัดสำหรับ Device Health และ Client Experience ที่มีความแม่นยำ จากการใช้อัลกอริธึมเฉพาะในการวิเคราะห์
Near real-time AI-powered Insights ใช้ AI วิเคราะห์และนำเสนอข้อมูลที่ผู้ดูแลระบบควรทราบในระดับเกือบ Real-Time ทำให้สามารถมองเห็นถึงปัญหาใหม่ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในระบบเครือข่ายได้อย่างรวดเร็ว
AI-powered Client Profiling ใช้ AI ในการจำแนกประเภทของอุปกรณ์ ที่มีความแม่นยำสูงกว่า 99% จากการนำข้อมูล Fingerprint ของอุปกรณ์มากกว่า 200 ล้านรูปแบบมาให้ AI เรียนรู้
Natural Language Aided AI Search ใช้ AI ที่เข้าใจภาษามนุษย์มาช่วยในการค้นหาข้อมูลต่างๆ ของระบบเครือข่าย ทำให้สามารถนำเสนอข้อมูลได้อย่างตรงจุดกว่าเดิม
มหาวิทยาลัยชั้นนำอย่าง James Cook University ตัดสินใจใช้ Pexip ในการแก้ปัญหาระบบเทคโนโลยีวิดีโอรุ่นเก่าที่มีอยู่ตามห้องต่าง ๆ โดยยึดหลักผลตอบแทนจากการลงทุนที่เหมาะสม และปฏิบัติตามพันธสัญญาด้านความยั่งยืน
ร่วมเรียนรู้ถึงแนวโน้มใหม่ๆ และประโยชน์ที่ภาคธุรกิจองค์กรคาดหวังจากการย้าย Data Center และออฟฟิศครั้งใหญ่ทั่วโลก เพื่อเตรียมปรับองค์กรให้พร้อมรับต่อการทำงานแห่งอนาคต และรองรับการนำนวัตกรรมใหม่ๆ อย่างเช่น AI และ IoT เข้ามาใช้งานในภาคธุรกิจอย่างเต็มตัว รวมถึงแนวคิดในการวางแผนระบบ Data Center ใหม่ให้สอดคล้องกับโลกในยุค Hybrid Multi-Cloud