คลังเก็บป้ายกำกับ: HYBRID_WORK

Fortinet เผยผลสำรวจ SASE ใน APAC ตอบโจทย์การทำงานยุค Hybrid Work แนะองค์กรมองหาโซลูชันที่สามารถทำงานร่วมกัน

การทำงานในยุค Hybrid Work ได้ท้าทายการป้องกันขององค์กรหลายด้าน ซึ่งทำให้องค์กรต้องคิดใหม่เกี่ยวกับการป้องกันแบบเดิมที่ไม่สามารถดูแลได้ทั่วถึง ยืนยันได้จากภัยคุกคามที่เกิดขึ้นทั่วโลก ที่งานสัมมนา Fortinet Accelerate Asia 2023 นอกจากที่จะมีการรวมตัวของเหล่าพาร์ทเนอร์และลูกค้าแล้ว ทีมงาน Fortinet ยังได้แชร์ข้อมูลประสบการณ์ในปัจจุบันผ่านสื่อต่างๆ โดยทีมงาน TechTalkThai ขอรวบรวมประเด็นสำคัญมาให้ทุกท่านได้ติดตามกันครับ

คุณภัคธภา ฉัตรโกเมศ ผู้จัดการประจำประเทศไทย ฟอร์ติเน็ต

การที่องค์กรส่งเสริมแผนการเปลี่ยนระบบสู่ดิจิทัลถือเป็นแนวโน้มที่ดี ตัวอย่างในประเทศไทยก็คือการตอบรับ Thailand 4.0 อย่างไรก็ดีเรายังเผชิญกับความเสี่ยงที่ตามมาโดยคุณภัคธภา ฉัตรโกเมศ ผู้จัดการประจำประเทศไทย ฟอร์ติเน็ต เน้นย้ำให้ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของแรนซัมแวร์ว่ายังคงวางใจไม่ได้อ้างอิงถึงสถิติว่า “ประเทศไทยถือเป็นเป้าหมายหลักของการโจมตีจากแรนซัมแวร์โดยข้อมูลที่รวบรวมโดย Fortinet ที่ตรวจพบเกี่ยวกับแรนซัมแวร์มีมากถึง 152 ล้านเหตุการณ์ต่อวัน ซึ่งเทียบในภูมิภาค APAC แล้วไทยถือว่าอยู่อันดับต้นๆ” นอกจากนี้การขาดบุคคลากรผู้มีทักษะไอที และความซับซ้อนของการทำงานที่มีมากกว่าเดิมก็เป็นปัจจัยสำคัญ ตลอดจนความเร่งที่ในอนาคตมูลค่าของตลาดเทคโนโลยีดิจิทัลยังมีแนวโน้มที่พุ่งทะยานมากขึ้นเรื่อยๆ 

คุณราชิช แพนเดย์ รองประธานฝ่ายการตลาดและการสื่อสาร ภูมิภาคเอเชีย ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์

จากแนวโน้มข้างต้นก็สอดคล้องกับผลสำรวจจาก IDC ที่มีการเก็บข้อมูลจากผู้ปฏิบัติงานจริงในประเทศไทย โดยคุณราชิช แพนเดย์ รองประธานฝ่ายการตลาดและการสื่อสาร ภูมิภาคเอเชีย ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ได้นำผลสำรวจมาให้ข้อมูลเชิงลึก โดยกล่าวถึงความเสี่ยงจากการเพิ่มจำนวนของอุปกรณ์ที่ไร้การจัดการ (Unmanaged)อันมาจากการทำงานแบบรีโมต คลาวด์และ SaaS ซึ่งทำให้ความหลากหลายของอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องซับซ้อน “สมัยก่อนองค์กรอาจมีเพียงแค่สำนักงานหลักและสาขาย่อยจำนวนหนึ่ง แต่ปัจจุบันคุณต้องมองถึงว่าพนักงาน 1 คนเทียบได้กับ 1 สาขาที่ต้องการการจัดวางระบบความมั่นคงปลอดภัย” นอกจากนี้โซลูชันที่ดังมาจากการริเริ่มของ Hybrid Work อย่าง SASE ก็กำลังถูกคาดหวังถึงความสามารถที่ครอบคลุมทุกการใช้งานโดย Fortinet กล่าวถึงว่าเป็น Universal SASE โดยผมสำรวจเผยให้เห็นแนวโน้มว่าองค์กรต้องการลดจำนวนของ Vendor ตลอดจนมีแพลตฟอร์มน้อยลงแต่ครอบคลุมการป้องกันได้หลากหลาย

คุณ Peerapong Jongvibool รองประธานประจำเอเซียตะวันออกเฉียงใต้และฮ่องกง

ในช่วงท้ายคุณ Peerapong Jongvibool รองประธานประจำเอเซียตะวันออกเฉียงใต้และฮ่องกง ได้ทิ้งท้ายว่า “การที่ Fortinet กลายเป็นเจ้าตลาดนั้นมีความสำคัญต่อลูกค้าอย่างยิ่ง นั่นหมายถึงการที่เราสามารถมีข้อมูลจริงได้มากกว่า มองเห็นได้มากกว่า เข้าใจสถานการณ์ได้มากกว่า และสิ่งที่เรานำเสนอสู่มือของลูกค้านี้ก็ย่อมให้ Visibility ได้มากกว่า ที่ปัจจุบัน Network และ Security ไม่ควรต่างคนต่างพูดแต่ต้องไปควบคู่กัน ซึ่งภาพของ Security ที่องค์กรควรมองหาต่อจากนี้คือการที่หลายโซลูชันต่างทำงานประสานกันได้(Consolidation)

from:https://www.techtalkthai.com/fortinet-press-sase-apac-report-in-hybrid-work-org-need-consolidation-solutions/

Apple เริ่มใช้มาตรการ ‘นับวันเข้าทำงาน’ ให้พนักงานเข้าออฟฟิศ อย่างน้อย 3 วัน/สัปดาห์

หลังจากช่วงที่โลกต้องเผชิญกับ COVID-19 ชีวิตประจำวันของเราเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง รวมไปถึงชีวิตการทำงานด้วยเช่นกัน ออฟฟิศหลายแห่งเริ่มใช้มาตรการที่ช่วยเพิ่มระยะห่างทางสังคม หนึ่งในนั้น คือบริษัท Apple ที่เริ่มนโยบาย remote work ตั้งแต่ช่วงเกิดโรคระบาดใหม่ๆ

จนกระทั่งในช่วงเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา เมื่อสถานการณ์เริ่มดีขึ้น จึงขยับมาเป็นนโยบายการทำงานแบบ hybrid ที่ให้พนักงานเข้าออฟฟิศ 1 วันต่อสัปดาห์ และขยับมาเป็น 2 วันต่อสัปดาห์ตามลำดับ

ล่าสุด Zoë Schiffer จาก Platformer เปิดเผยว่า นโยบายการทำงานแบบ hybrid ของ Apple ได้เพิ่มวันเข้าออฟฟิศมาเป็น 3 วันต่อสัปดาห์ โดยจะมีการเก็บสถิติวันเข้าทำงานและมีการตักเตือนอย่างเคร่งครัด หากพนักงานเข้าทำงานไม่ครบตามจำนวนวันที่กำหนด 

พนักงานบางส่วนได้เปิดเผยอีกว่า หากไม่ปฏิบัติตามอาจนำไปสู่การเลิกจ้างได้เลย ถึงอย่างนั้น เราก็ยังไม่เห็นนโยบายนี้ในนโยบายหลักขององค์กร

นั่นหมายความว่า Apple กำลังใช้ไม้แข็งกับพนักงานที่ไม่ยอมปฏิบัติตามนโยบายขององค์กร โดยเฉพาะด้านการเข้าทำงานที่ออฟฟิศ เพื่อให้พนักงานที่กลับเข้ามาทำงาน ได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ มีความรวดเร็วในการสื่อสาร หรืออย่างน้อยก็อยู่ในสายตาขององค์กรนั่นเอง ต้องรอดูกันว่า นโยบายนี้ของ Apple จะมีการขยับขยายเป็นนโยบายที่จริงจังในอนาคต หรือจะมีนโยบายใหม่ออกมาให้เหมาะกับสถานการณ์ในตอนนั้น

อ้างอิง

https://9to5mac.com/2023/03/22/apple-remote-work-policies-monitoring/ 

https://wccftech.com/apple-tracking-employee-attendance-through-badge-records/ 

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post Apple เริ่มใช้มาตรการ ‘นับวันเข้าทำงาน’ ให้พนักงานเข้าออฟฟิศ อย่างน้อย 3 วัน/สัปดาห์ first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/apple-tracking-employee-attendance/

Microsoft แจกฟรี เอกสารภาษาไทย “เตรียมความพร้อมสำหรับการทำงานแบบ Hybrid Work ไม่ยากอย่างที่คิด”

Hybrid Work เป็นหัวข้อที่ถูกปฏิบัติใช้จริงภาคบังคับให้อย่างแพร่หลายจากสถานการณ์ของการแพร่ระบบจากโคโรน่าไวรัส แม้ว่าปัจจุบันผู้คนจะกลับมาใช้ชีวิตเข้าออฟฟิศกันเกือบปกติแล้วก็ตาม ที่สิ่งที่ต่างออกไปคือความรู้สึกและพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว เพราะมีผู้คนมากมายได้สัมผัสถึงคุณภาพชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่งและหลายคนก็ชอบเสียด้วย

เมื่อพฤติกรรมการทำงานเปลี่ยนไปตัวองค์กรเองก็ต้องมองหากลยุทธ์เพื่อรับมือกับวิธีการปฏิบัติงานที่เกิดขึ้นด้วย ซึ่งแต่ละคนก็ตีความบริบทการทำ Hybrid Work ต่างกัน อนึ่ง Microsoft เองที่เป็นผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ระดับองค์กรมาอย่างยาวนานที่มีประสบการณ์ช่วยเหลือธุรกิจมากมาย จึงได้แจกเอกสารฟรีเพื่อเป็นแนวทางเชิงความคิด ว่าท่านจะสามารถสร้างสภาพแวดล้อมแบบ Hybrid Work ได้อย่างไร

เอกสารภาษาไทยที่มีความยาวราว 12 หน้ากระดาษนี้จะพาทุกท่านไปรู้จักกับเทรนด์ของการทำงานในปี 2022 ว่ามีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง ซึ่งรวมถึงประเทศไทยเองด้วย หลังจากนั้นท่านจะได้เรียนรู้กับแนวทาง 5 ข้อที่จะช่วยให้องค์กรของท่านเข้าสู่การทำงานในรูปแบบของ Hybrid Work ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

1.) แนวทางและเครื่องมือสำหรับการทำ Digital Workplace ซึ่งเมื่อการทำงานได้กระจายออกสู่นอกออฟฟิศผสมผสานกับการทำงานในออฟฟิศจะบูรณาสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร

2.) จะทำอย่างไรที่องค์กรจะเปลี่ยนวังวนการทำงานจากกระดาษที่ยุ่งยาก สู่การใช้งานผ่านแอปพลิเคชันซึ่งรวดเร็ว คล่องตัว และประหยัดเวลาได้มากกว่าเดิม

3.) เมื่อข้อมูลคือแหล่งน้ำมันแห่งใหม่ จะทำอย่างไรถึงจะสร้างให้องค์กรมีวัฒนธรรมแบบ Data Driven

4.) เมื่อพนักงานห่างเหินออกไปจะสังคมและสถานที่ที่คุ้นเคย อีกหนึ่งเรื่องที่องค์กรต้องกลับมาตีโจทย์คือจะทำอย่างไรถึงจะสามารถเข้าถึงพนักงานได้อีกครั้ง จะทำอย่างไรให้สารนั้นไปได้ทั่วถึง และทำอย่างไรให้พนักงานยังคงสามารถเรียนรู้เองได้แม้ไม่พบหน้ากัน

5.) ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์เป็นหัวใจสำคัญที่สุดเมื่อรูปแบบการทำงานไม่เหมือนเดิม สิทธิ์ที่ถูกให้เพื่อเข้าถึงคงต้องคิดใหม่ จะตรวจสอบอย่างไร แนวทางการยกมาตรการเพื่อป้องกัน และวิธีการตรวจสอบอุปกรณ์ที่เข้ามา

ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดเอกสารได้ฟรีที่  https://aka.ms/HybridWorkeBook

from:https://www.techtalkthai.com/microsoft-free-pdf-how-to-hybrid-work/

ส่องนวัตกรรมใหม่จาก Zoom ในงาน Zoomtopia 2022 ขับเคลื่อนการทำงานยุคปัจจุบัน

Zoom ได้เปิดตัวนวัตกรรมใหม่ที่ช่วยขับเคลื่อนการทำงานยุคไฮบริด ได้แก่ Zoom Email and Calendar, Zoom Spots, Zoom Virtual Agent และอื่น ๆ อีกมากมาย ในงาน Zoomtopia 2022 ที่จัดวานนี้ในรูปแบบไฮบริดครั้งแรกผ่าน Zoom Events

Eric S. Yuan CEO ของ Zoom กล่าวถึงฟีเจอร์ที่ทีม Zoom พัฒนามากกว่า 1,500 ฟีเจอร์ บนแพลตฟอร์ม Zoom เพื่อช่วยให้คนติดต่อสื่อสารระหว่างกัน รวมถึงระหว่างองค์กรกับลูกค้าได้อย่างราบรื่น ซึ่งเป็น “การเปิดประตูสู่ความคิดสร้างสรรค์และการทำงานร่วมกัน”

ไฮไลต์นวัตกรรมใหม่ที่พึ่งเปิดตัวล่าสุดในงาน Zoomtopia ได้แก่

  • Zoom Mail and Calendar (Beta): บริการอีเมลและปฏิทินที่รวมอยู่ใน Zoom ใช้งานได้ผ่านแพลตฟอร์มเดียว ติดต่อสื่อสารและจัดตารางงานของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ มั่นใจได้ในความเป็นส่วนตัวและความมั่นคงปลอดภัยด้วยการเข้ารหัสแบบ End-to-end

  • Zoom Spots: Co-working space ในโลกเสมือนจริง ซึ่งเป็นพื้นที่ถาวรสำหรับการใช้งานวิดีโอ สามารถพูดคุยติดต่อสื่อสารกัน เสริมการทำงานแบบไฮบริดอย่างยืดหยุ่น พร้อมเปิดให้บริการต้นปี 2023
Image credit: Zoom
  • Zoom Virtual Agent: แชตบอต AI ที่สามารถโต้ตอบด้วยภาษาธรรมชาติ พร้อม Machine learning ที่เข้าใจและแก้ปัญหาลูกค้าได้รวดเร็ว ตลอด 24 ชั่วโมง ให้ความช่วยเหลือผ่านหลายช่องทาง สนองความต้องการลูกค้าได้แบบเฉพาะบุคคล ลดจำนวนการโทรหาเจ้าหน้าที่ พร้อมเปิดให้บริการต้นปี 2023 โดยใช้งานได้บน Zoom Contact Center และแบบ Standalone
  • Zoom One: เชื่อมต่อการทำงานร่วมกันแบบรวมศูนย์ โดยรวม Team Chat, Phone, Whiteboard, Meetings และอื่น ๆ เข้าไว้ด้วยกัน ผนวกรวม Team Chat และ In-Meeting Chat เพื่อให้ผู้ใช้สามารถสื่อสารกันได้ต่อเนื่องแม้จบการประชุมไปแล้ว
  • Zoom IQ Virtual Coach: ผู้ช่วยฝึกสอนการขายบน Zoom IQ for Sales โดยจำลองสถานการณ์ให้นักขายได้ฝึกนำเสนอขายของ พร้อมคอมเมนต์และเคล็ดลับแบบเรียลไทม์

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับฟีเจอร์เพื่อการทำงานไฮบริด ได้ที่ https://blog.zoom.us/platform-enhancements-zoomtopia-2022/

from:https://www.techtalkthai.com/zoom-innovations-from-zoomtopia2022/

โพลีแนะสูตรสำเร็จสำหรับโลกการทำงานยุคใหม่ [Guest Post]

พนักงาน เทคโนโลยี และการจัดสรรพื้นที่ทำงานเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการรองรับพนักงานให้กลับมาทำงานที่สำนักงานหลังวิกฤตไวรัสระบาดคลี่คลาย

การทำงานไม่ได้หมายถึงแค่สถานที่อีกต่อไป แต่หมายถึงสิ่งที่พนักงานขององค์กรทำและทำงานนั้นอย่างไร ในปัจจุบัน โลกแห่งการทำงานเปลี่ยนได้ไปเป็นลักษณะการทำงานแบบไฮบริด (Hybrid working) ที่พนักงานชื่นชอบเนื่องจากเป็นการทำงานได้ทั้งที่สำนักงานและที่ใดก็ได้ องค์กรจึงจำเป็นต้องหาวิธีรองรับในการที่พนักงานกลับมาทำงานที่สำนักงานหลังวิกฤติไวรัสร้ายคลี่คลาย

เราได้ยินมามากมายเกี่ยวกับกลยุทธ์ที่องค์กรควรทำสำหรับโลกใหม่ของการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนลักษณะการปฏิบัติงานของพนักงาน การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเข้ามาใช้งาน หรือการออกแบบและกำหนดการใช้พื้นที่ในสำนักงานขึ้นมาใหม่

ที่โพลี เราเชื่อว่าสูตรสำเร็จสำหรับโลกของการทำงานยุคใหม่ในระยะยาว จะเริ่มต้นด้วยส่วนผสมหลัก 3 ประการ ได้แก่:

  1. พนักงาน อันเป็นทรัพย์สินที่สำคัญที่สุดขององค์กร
  2. องค์กรควรกำหนดความต้องการและสไตล์รูปแบบการทำงานของพนักงานส่วนใหญ่ เพื่อเลือกใช้โซลูชันเทคโนโลยีที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพและให้ประสิทธิผลในสถานที่พื้นที่ต่างๆ กัน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม

  3. หลังจากที่องค์กรทำความเข้าใจกับสไตล์รูปแบบการทำงานของพนักงานส่วนใหญ่แล้ว องค์กรจะสามารถออกแบบพื้นที่ในสำนักงานสำหรับการทำงานเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้นเมื่อพนักงนทำงานในพื้นที่ต่างๆ โดยขจัดอุปสรรค และหาหนทางสร้างการทำงานร่วมกันที่ราบรื่นระหว่างสำนักงาน กับที่บ้าน และพื้นที่ทั่วทั้งสำนักงานหรือที่ใดก็ได้ในระหว่างการทำงานนั้น ซึ่งช่วยให้เกิดผลงานใหม่ๆ นวัตกรรมใหม่ๆ ขึ้นได้

แนวทางการทำงานที่ให้ความสำคัญกับบุคคลผู้ทำงาน (People-focused approach) จะก้าวข้ามเรื่องของสถานที่ทำงานไปอย่างสิ้นเชิง แต่จะพยายามทำความเข้าใจในพนักงานผู้ที่ลงมือปฏิบัติงาน ทั้งนี้ โพลีได้ศึกษาวิวัฒนาการของรูปแบบการทำงานมาเกือบทศวรรษแล้ว และได้ระบุรูปแบบการทำงานที่แตกต่างกัน 6 รูปแบบ ซึ่งมักเรียกกันว่ากลุ่มบุคคลในที่ทำงาน (Workplace personas) ได้แก่ 1. Connected executive (ผู้บริหารที่มีการเชื่อมต่อกับที่ทำงานอยู่เสมอ) 2. Road warrior (กลุ่มพนักงานที่ปฏิบัติงานนอกสำนักงานตลอดเวลา) 3. Flexible worker (พนักงานที่ปฏิบัติงานทั้งในและนอกสำนักงาน) 4. Remote collaborator (กลุ่มพนักงานที่ทำงานสนับสนุนอยู่นอกสำนักงานหรือที่บ้าน) 5. Office collaborator (กลุ่มพนักงานที่ทำงานร่วมกันในสำนักงานตลอดเวลา) และ 6. Office communicator (กลุ่มที่ทำงานที่โต๊ะทำงานตลอดเวลา คุ้นชินกับอุปกรณ์สื่อสารแบบเดิมๆ ในสำนักงาน) องค์กรทั่วไป 97% มีกลุ่มบุคคลในที่ทำงานในลักษณะแบบนี้

โดยกลุ่มบุคคลในที่ทำงาน (Workplace personas) แต่ละแบบนี้มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน มีปัญหาในการทำงานต่างกัน และมีความนิยมในรูปแบบการสื่อสารต่างกัน ซึ่งองค์กรมีความจำเป็นต้องทำความเข้าใจในความแตกต่างเหล่านั้น และจับคู่รูปแบบการทำงานและพฤติกรรมของพนักงาน ให้เข้ากับอุปกรณ์และเทคโนโลยีที่เหมาะสมกันมากขึ้น อันเป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานขององค์กรในท้ายที่สุด

คุณซามีร์ ซายิด กรรมการผู้จัดการ ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและเกาหลีแห่งโพลีกล่าวว่า “องค์กรที่จะประสบความสำเร็จในโลกที่มีการทำงานแบบใหม่นี้ ก่อนอื่น องค์กรต้องเข้าใจถึงวิธีที่พนักงานของตนเองทำงานได้ดีที่สุด กำหนดจัดสรรพื้นที่การทำงานเพื่อให้กลุ่มพนักงานได้ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด อาจจำเป็นต้องขยายพื้นที่ออกไปในรูปแบบต่างๆ รวมถึงอาจต้องลงทุนในเทคโนโลยีที่จะให้ประสบการณ์การทำงานที่ราบรื่น ยืดหยุ่น และสร้างความเท่าเทียมในการประชุมมากยิ่งขึ้น

จากการสำรวจของโพลี “Poly Global Segmentation Research, 2022” พบประเด็นสำคัญที่องค์กรควรคำนึงถึง คือ:

  • รูปแบบการทำงานจากทางไกลจะมีการเปลี่ยนแปลงต่อไปอย่างต่อเนื่อง: โพลีพบว่าตั้งแต่ก่อนเกิดการระบาดของไวรัสครั้งใหญ่จนถึงปีพ.ศ. 2565 นี้ มีพนักงานใช้รูปแบบและชื่นชอบในการทำงานจากไกลเพิ่มขึ้นถึง 25%
  • พนักงานต้องการเชื่อมโยงถึงกันเป็นปัจจัยดึงให้พนักงานกลับมาทำงานที่สำนักงาน: ถึงแม้ว่าองค์กรจะมีอุปสรรคมากมายระหว่างการจัดให้พนักงานกลับมาทำงานที่สำนักงาน แต่การที่พนักงานยอมรับว่าการทำงานในสำนักงานจะให้ประสบการณ์การทำงานที่เชื่อมต่อกับทีมอื่นๆ อย่างราบรื่นคล่องตัวดีกว่า รวมถึงการประชุมกับทีมงานอย่างใกล้ชิดร่วมกัน การได้พบหน้ากัน การนำเสนอแผนงานให้กับลูกค้าร่วมกัน จึงเป็นองค์ประกอบสำคัญในการดึงให้พนักงานกลับมาทำงานที่สำนักงาน
  • การเชื่อมโยงการทำงานของพนักงานมีผลในการจัดสรรพื้นที่ในสำนักงาน: ก่อนเกิดโรคระบาดนั้น มากกว่า 70% ของพื้นที่ในสำนักงานเป็นการจัดสรรเพื่อโต๊ะทำงานให้แต่ละบุคคลและพื้นที่ของหน่วยงานสนับสนุนธุรกิจ แต่หลังเกิดโรคระบาดนั้นจะเปลี่ยนจากการจัดสรรพื้นที่ทำงานให้แต่ละบุคคลดังกล่าว ไปเป็นการใช้พื้นที่ตามบทบาทในการทำงานที่อยู่ห่างไกลจากที่อื่น (Remote-centric role) ซึ่งเป็นพื้นที่ทำงานที่สนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ที่สามารถเชื่อมโยงพนักงานในการทำงานร่วมกันได้

คุณโล ฮี บัน Senior Solution Architect แห่งโพลีกล่าวว่า “องค์กรต่างๆ กำลังให้ความสนใจใช้กลยุทธ์การทำงานแบบไฮบริดในระยะยาวอย่างจริงจัง ซึ่งรวมถึงแผนการปรับปรุงพื้นที่สำนักงานของตนเองเพื่อให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ใหม่ของสำนักงานในฐานะที่เป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมองค์กร  ทั้งนี้การวางแผนรองรับการกลับมาทำงานที่สำนักงานของพนักงานเป็นเรื่องเกี่ยวกับการออกแบบประสบการณ์สำหรับโลกแห่งการทำงานแบบผสมผสานใหม่ ที่จะให้ผู้คนมาที่สำนักงานเพื่อสร้างการเชื่อมต่อ และในขณะเดียวกันก็เพิ่มประสบการณ์ให้สูงสุดสำหรับผู้ที่ทำงานในสำนักงานและผู้ที่ทำงานจากที่ห่างไกล”

โซลูชันในการประชุมของโพลีรองรับการทำงานที่เป็นแบบไฮบริด โดยได้เน้นพัฒนาเทคโนโลยีที่ใช้ในการประชุมเพื่อคุณสมบัติระดับพรีเมี่ยม รวมถึงเทคโนโลยี NoiseBlockAI ที่นำเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยแยกแยะเสียงรบกวน เช่น เสียงเครื่องปรับอากาศ เสียงพิมพ์คีย์บอร์ด เสียงคลิกเมาส์ออกจากเสียงผู้พูด แล้วตัดเสียงรบกวนเหล่านั้นออกไป เหลือเฉพาะเสียงผู้พูดส่งไปยังระบบวิดีโอคอนเฟอร์เร้นท์ รวมทั้งเทคโนโลยี Acoustic Fencing ที่รวมเฉพาะเสียงภายในพื้นที่ที่กำหนดเท่านั้น ผู้พูดจะได้ยินแต่เสียงของตนเอง และคู่สนทนาจะได้ยินเฉพาะเสียงของผู้พูดเท่านั้น  และใช้เทคโนโลยีระดับมือโปรควบคุมและจัดการภาคเสียงและภาควิดีโอในทุกพื้นที่และทุกอุปกรณ์  อีกทั้งยังใช้เอไอในการสร้างความเท่าเทียมกันด้วยระบบ DirectorAI, People-framing และ speaker framing โดยเฉพาะอย่างยิ่ง องค์กรสามารถบริหารจัดการกับอุปกรณ์ที่ใช้ในการประชุมในและนอกสถานที่จากส่วนกลางได้อย่างราบรื่น  มีรายงานที่องค์กรสามารถวิเคราะห์ถึงประสิทธิภาพการใช้ห้องและระบบประชุมทั้งหมดได้

from:https://www.techtalkthai.com/poly-people-work-enabling-work-across-spaces/

Cisco Webex เปิดตัวนวัตกรรมสุดล้ำ พร้อมใช้งานร่วมกับ MS Teams เดินหน้ารับเทรนด์ Hybrid Work

Cisco ได้เปิดตัวอัปเดตมากมายสำหรับ Webex Suite เพื่อการพลิกโฉมการทำงานยุคใหม่ ตอบรับ Hybrid Work รองรับการทำงานแบบยืดหยุ่น เพิ่มความมั่นคงปลอดภัยด้วย Audio Watermarking ป้องกันข้อมูลการประชุมรั่วไหล พร้อมประกาศความร่วมมือกับ Microsoft ที่เปิดให้ใช้งาน Microsoft Teams ร่วมกับอุปกรณ์ของ Cisco ได้

ในงานประชุม WebexOne 2022 วานนี้ Jeetu Patel รองประธานบริหารและผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายโซลูชันการรักษาความปลอดภัย และธุรกิจ Collaboration ประจำ Cisco เผยถึงแนวโน้มการทำงานรูปแบบ Hybrid Work ว่า เมื่อออฟฟิศกลับมาเปิดอีกครั้ง การทำงานรูปแบบไฮบริดก็ย่อมท้าทายมากขึ้นกว่าเดิม อย่างกรณีการสลับกันมาเข้าออฟฟิศ จะจัดประชุมอย่างไรสำหรับคนที่เข้าออฟฟิศกับคนที่ทำงานนอกสถานที่ และทำงานร่วมกันได้โดยไม่มีข้อจำกัดด้านสถานที่

ดังนั้น องค์กรจึงจำเป็นต้องอาศัยโซลูชันแบบองค์รวมที่รองรับได้ทุกแพลตฟอร์มเพื่อใช้งานร่วมกันได้กับซอฟต์แวร์ อุปกรณ์ที่ทำงานร่วมกัน รวมถึงระบบเครือข่ายและความมั่นคงปลอดภัยด้วย 

จากรายงานการศึกษาของ Frost & Sullivan เมื่อเดือนตุลาคม 2022 พบว่า แม้โมเดล Hybrid Work จะกลายเป็นวิถีการทำงานแบบใหม่ แต่เมื่อสำรวจตลาดอุปกรณ์สำหรับการประชุมผ่านวิดีโอพบว่า มีเพียงห้องประชุมและห้องเรียนเพียง 6.4% เท่านั้นที่รองรับวิดีโอ

Image credit: Cisco Webex

Cisco จึงได้พัฒนาโซลูชันใหม่ พร้อมร่วมกับพาร์ตเนอร์ต่าง ๆ เพื่อมอบความสามารถใหม่ในการทำงานร่วมกันในทุกสภาพแวดล้อมและประสบการณ์การประชุมที่ราบรื่นยิ่งขึ้น อาทิ

  • Cisco x Microsoft กับการใช้งาน Microsoft Teams Rooms ร่วมกับอุปกรณ์การทำงานร่วมกันของ Cisco รวมถึงใช้ Webex Calling ผ่าน Microsoft Teams เพื่อการทำงานอย่างต่อเนื่อง
Image credit: Cisco Webex
  • Cisco Room Kit EQ ชุดอุปกรณ์การทำงานร่วมกันสำหรับการแปลงพื้นที่ทำงานขนาดใหญ่เพื่อรองรับ Hybrid Work ขับเคลื่อนโดย Cisco Codec EQ ชุดอุปกรณ์ Computing ระบบ AI
Image credit: Cisco Webex
  • Cisco x Apple ที่ให้ผู้ใช้งาน iPhone และ iPad แชร์คอนเทนต์จากกล้องหน้าหรือกล้องหลังผ่านแอป Webex Meetings และใส่คำอธิบายประกอบผ่าน Mobile Camera Share
  • และฟีเจอร์อื่น ๆ อีกมาก เช่น Webex Whiteboard App, ฟีเจอร์ตัดต่อด้วย AI สำหรับ Vidcast เพื่อประหยัดเวลาการประชุม
Image credit: Cisco Webex

อีกหนึ่งคุณสมบัติสำคัญที่น่าสนใจบน Cisco Webex คือ Audio Watermarking เพื่อติดแท็กสตรีมเสียงสำหรับผู้เข้าร่วมในการประชุมลับ เพื่อป้องกันเหตุพนักงานอัดเสียงและเผยแพร่ข้อมูลลับจากที่ประชุม ซึ่งบริษัทจะสามารถติดตามข้อความบันทึกเสียงนั้นมายังบุคคลต้นทางที่ปล่อยคลิปได้

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับฟีเจอร์ใหม่ของ Cisco Webex ได้ที่ https://www.webex.com/content/webex/c/en_US/index/webexone-wire-2022.html/

from:https://www.techtalkthai.com/cisco-webex-advances-hybrid-work-with-innovations-and-partnerships/

TTT 2022 Reinforce: ขับเคลื่อนธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพด้วย Network Modernization โดย HPE Aruba

ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เหตุการณ์ต่างๆ ได้ทำให้ธุรกิจนั้นต้องเปลี่ยนแปลงตนเองอย่างรวดเร็ว มีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในการทำงานรูปแบบใหม่อย่าง Remote Working และ Hybrid Working ซึ่งทั้งหมดนี้ย่อมส่งผลให้ธุรกิจนั้นต้องวางแผนใหม่สำหรับระบบเครือข่าย ให้มีความยืดหยุ่นและคล่องตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงอันไม่คาดฝันในอนาคตกันต่อไป

คุณประคุณ เลาหกิตติกุล Country Manager (Thailand) แห่ง HPE Aruba ได้มาเล่าถึงหัวข้อ “Accelerate Your Business with Network Modernization” ภายในงานสัมมนา TTT 2022 Reinforce ที่ผ่านมา ถึงความจำเป็นและแนวทางในการทำ Network Modernization อย่างเข้มข้น เพื่อให้ธุรกิจสามารถวางระบบเครือข่ายซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจขับเคลื่อนต่อไปได้อย่างต่อเนื่องในอนาคตเป็นอย่างน้อย 4-5 ปีนับถัดจากนี้

4 เป้าหมายหลักของการทำ Network Modernization

คุณประคุณได้เล่าว่าในการทำ Network Modernization นั้น ธุรกิจองค์กรมักมีเป้าหมายหลักด้วยกัน 4 ประการ ได้แก่

  1. Hybrid Work – การทำงานแบบผสมผสานทั้งจากภายในองค์กรและภายนอกองค์กรได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยประสบการณ์เดียวกัน และความมั่นคงปลอดภัยในระดับสูงที่ไว้วางใจได้
  2. Digital Transformation Acceleration – เร่งความเร็วในการปรับตัวของธุรกิจ รองรับการนำนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาใช้งานเพื่อตอบสนองต่อการเติบโตของธุรกิจได้
  3. Personalized Experiences – นำเสนอประสบการณ์เฉพาะบุคคลให้กับผู้ใช้งานได้ตั้งแต่ระดับของเครือข่าย, ข้อมูล และ Application อย่างครบถ้วน สร้างขีดความสามารถในการแข่งขันทั้งภายในและภายนอกองค์กร
  4. Need for Efficiencies – ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและรองรับการเกิดขึ้นของธุรกิจรูปแบบใหม่ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง โดยใช้บุคลากรฝ่าย IT จำนวนเท่าเดิมในการบริหารจัดการกับเทคโนโลยีที่มีการใช้งานมากขึ้นได้

เพื่อให้ธุรกิจองค์กรสามารถบรรลุเป้าหมายทั้ง 4 ประการนี้ได้ คุณสมบัติของระบบเครือข่ายแห่งอนาคตจึงต้องครอบคลุมถึงทั้งการทำ Automation เพื่อลดความผิดพลาดในการทำงาน และช่วยให้ทรัพยากรฝ่าย IT สามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการระบบเครือข่ายที่มีขนาดใหญ่และซับซ้อนได้ Security ซึ่งถูกผนวกรวมเป็นส่วนหนึ่งของระบบเครือข่าย เพื่อเสริมความมั่นคงปลอดภัยเพิ่มขึ้นไปอีกขั้น และ Agility มีความยืดหยุ่นรองรับการเปลี่ยนแปลงระบบเครือข่ายที่จะเกิดขึ้นจากการมาของเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้อย่างทันท่วงที

ปรับระบบเครือข่ายให้ทันสมัยด้วย Aruba ESP Solutions

คุณประคุณได้สรุปถึงเทคโนโลยีทั้งหมดที่ HPE Aruba ได้ทำการคิดค้น พัฒนา และนำเสนอสู่ธุรกิจองค์กรทั่วโลกในช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมานี้ ด้วยภาพของ Aruba ESP หรือ Edge Services Platform ที่จะเปลี่ยนให้ Network นั้นกลายเป็น Platform สำคัญทั้งสำหรับการทำงานและส่งมอบประสบการณ์หรือนวัตกรรมใหม่ๆ ไปยังผู้ใช้งานทั้งภายในและภายนอกองค์กร ซึ่งมีแนวคิดหลักด้วยกัน 3 ประการ

1. Unified Infrastructure

ผสานรวมระบบ Wired, Wireless และ SD-WAN รวมถึงระบบเครือข่ายสำหรับอุปกรณ์ IoT เข้าเป็นหนึ่งเดียวภายในระบบเครือข่าย โดยสามารถเลือกวิธีการบริหารจัดการได้ทั้งบน Cloud, Centralized หรือแม้แต่ Standalone

2. Security

HPE Aruba นั้นได้ผสานระบบ Security ให้เป็นส่วนหนึ่งของระบบเครือข่ายตั้งแต่แรก และในทุกวันนี้ก็ได้เพิ่มเรื่องของการทำ Automation เข้าไปด้วย เพื่อให้ Security กลายเป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่งขึ้นกว่าเดิม

3. AIOps

ด้วยปริมาณของอุปกรณ์เครือข่ายที่มากยิ่งขึ้น ในขณะที่แต่ละองค์กรนั้นไม่ได้มีทีมผู้ดูแลระบบมากขึ้นตามไปด้วย ทำให้ผู้ดูแลระบบเครือข่ายต้องรับภาระในการดูแลรักษาระบบ IT ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ดังนั้นการนำ AIOps เข้ามาช่วย เพื่อให้การบริหารจัดการระบบเหล่านี้เป็นไปได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย

คุณประคุณได้เล่าถึงกรณีของลูกค้ารายหนึ่ง ที่ย้ายการบริหารจัดการระบบเครือข่ายจากเดิมที่แยกส่วนอยู่ภายในองค์กร ไปอยู่บน Cloud ของ Aruba โดยตรง ทำให้ข้อมูลของระบบเครือข่ายทั้งหมดในส่วนของ Wired, Wireless และ SD-WAN ถูกรวมอยู่ที่เดียวบน Cloud และ AIOps ก็สามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์ตรวจสอบปัญหาต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ช่วยให้ลูกค้าของ HPE Aruba ในประเทศไทยสามารถจัดการกับปัญหาภายในระบบเครือข่ายได้อย่างทันท่วงที

ความสามารถใหม่ในระบบเครือข่ายที่น่าจับตามองจาก HPE Aruba

เมื่อมองไปถึงอนาคต คุณประคุณก็ได้เล่าถึงนวัตกรรมใหม่ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นภายใน HPE Aruba ที่หลายส่วนก็ได้กลายเป็นฟีเจอร์ใหม่ๆ ในโซลูชันให้พร้อมใช้งานได้แล้ว ได้แก่

1. Aruba CloudAuth

เมื่อธุรกิจองค์กรนั้นมีการใช้งาน Cloud มากขึ้นเรื่อยๆ แนวคิดหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือการใช้ Cloud ให้ได้เต็มศักยภาพมากที่สุด และ HPE Aruba เองก็กำลังมุ่งไปทางนั้นด้วยเช่นกัน โดยความสามารถหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ Aruba CloudAuth นั่นเอง

Aruba CloudAuth คือการยกระบบ Network Authentication ขึ้นไปอยู่บน Cloud ด้วยการทำงานร่วมกับ Microsoft Azure AD และ Google Workspace ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม และทำหน้าที่เป็น Cloud Managed NAC ได้ทันที ซึ่งที่ผ่านมาก็มีลูกค้าในไทยใช้งานอยู่แล้วด้วยเช่นกัน

2. Wi-Fi 6E

เพื่อให้ธุรกิจองค์กรรองรับต่อการเชื่อมต่ออุปกรณ์ IoT จำนวนมหาศาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรองรับ Workload ใหม่ๆ ในระบบเครือข่ายได้อย่างเพียงพอ Aruba จึงได้นำ Wi-Fi 6E มานำเสนอในการตอบโจทย์นี้โดยเฉพาะ

Wi-Fi 6E นั้นได้ทำการพัฒนาต่อยอดจาก Wi-Fi 6 ที่รองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ปริมาณมหาศาลได้โดยส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพน้อยกว่าในอดีตมาก โดย Wi-Fi 6E ได้เพิ่มย่านความถี่ 6GHz เข้ามาด้วยเพื่อให้การเชื่อมต่อเครือข่ายรองรับอุปกรณ์และ Bandwidth ได้มากยิ่งขึ้นนอกเหนือจากการใช้เพียงแค่ 2.4GHz และ 5GHz ที่ใช้กันอยู่เดิม

อย่างไรก็ดี สำหรับในประเทศไทยก็ยังคงต้องติดตามต่อไปอีกซักระยะหนึ่ง จากกฎหมายที่ต้องรอให้ระบุชัดเจนว่าจะสามารถใช้ย่านความถี่ 6GHz ได้มากน้อยเพียงใด

3. IoT

HPE Aruba นั้นมีวิสัยทัศน์ที่นอกเหนือจากการเป็นเพียงแค่ Network Platform ไปสู่การเป็น IoT Platform ด้วย ทำให้ Access Point ของ Aruba นั้นสามารถให้บริการ BLE และ ZigBee เพื่อเชื่อมต่ออุปกรณ์ IoT ได้ รวมถึงยังสามารถติดตั้ง USB ที่เป็น Sensor เพิ่มเติมเข้าไปบน Access Point โดยตรงได้ด้วย

นอกจากนี้ Aruba ก็ยังเปิด API ให้ผู้ใช้งานสามารถทำการเชื่อมต่อนำ RFID Tag ใดๆ ก็ได้มาใช้งาน โดยใช้ Aruba Access Point ทำหน้าที่ในการอ่านค่าการเชื่อมต่อและส่งข้อมูลเหล่านี้ไปยังระบบประมวลผลอื่นๆ ทำให้สามารถพัฒนา Application ได้อย่างหลากหลาย โดยเฉพาะในกลุ่มของ Location Services

4. Open Locate

เมื่อ Aruba เปิดให้การทำ Location Services Application ง่ายดายมากยิ่งขึ้นแล้ว อีกส่วนหนึ่งที่ Aruba เสริมขึ้นมาก็คือการติดตั้ง GPS ลงไปใน Access Point โดยตรง ทำให้ Access Point ทั้งหมดมีข้อมูลพิกัดตำแหน่งที่แม่นยำ และนำข้อมูลพิกัดตำแหน่งนี้ไปใช้ใน Location Services ได้อย่างแม่นยำระดับความคลาดเคลื่อนเพียงแค่ 1 เมตรเท่านั้น

5. Zero Trust

จากเทรนด์ใหญ่ด้าน Zero Trust ที่กำลังกลายเป็นกระแสหลักของธุรกิจองค์กร HPE Aruba ก็ได้นำแนวคิดนี้มาพัฒนาเป็น Aruba Zero Trust Protection สามารถกำหนด Policy ให้กับทุกๆ การเชื่อมต่อและแบ่งหมวดหมู่นโยบายสำหรับอุปกรณ์แต่ละชนิด, ผู้ใช้งานแต่ละกลุ่ม ด้วยแนวคิด Aruba Dynamic Segmentation ที่สามารถจัดการ Security Policy ให้ระบบเครือข่ายทั้งหมดได้อย่างครอบคลุม

6. 4th Generation Data Center

ปัจจุบันนี้ 3rd Generation Data Center ที่ใช้แนวคิดของ Data Center Fabric บนสถาปัตยกรรมแบบ Leaf-Spine เพื่อรองรับการรับส่งข้อมูลระหว่าง Server ภายใน Data Center ดว้ยกันเองให้มีประสิทธิภาพสูงสุดนั้น ก็เริ่มเจอปัญหาในการใช้งานจริงแล้ว จากการที่เมื่อ Data Center มีขนาดใหญ่มากขึ้น แต่ Network Services และ Security Services บางส่วนกลับยังไม่ถูกผนวกรวมเข้าไปใน Fabric และกลายเป็นคอขวด

4th Generation Data Center จึงได้เกิดขึ้นมาเพื่อนำ Network Services และ Security Services เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอุปกรณ์เครือข่ายโดยตรง โดย HPE Aruba ได้จับมือกับ Pensando เพื่อนำหน่วยประมวลผลเฉพาะทางด้าน Network และ Security มาใช้งานภายใน Aruba CX10000 ทำให้ภายใน Data Center Fabric มีความสามารถทุกอย่างที่จำเป็นอย่างครบถ้วน และไม่เกิดคอขวดในแบบเดิมๆ อีกต่อไป

7. Unified SD-WAN Fabric

ด้วยกรณีการใช้งานของ SD-WAN ที่มีหลากหลายมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการที่ Application และ Data ถูกย้ายไปอยู่บน Cloud จำนวนมาก และผู้ใช้งานมีการใช้งานทั้งจากในแบบ Remote Work จากบ้านแต่ละหลังหรืออุปกรณ์แต่ละชิ้น, การมีออฟฟิศขนาดเล็กที่บ้าน, ออฟฟิศสาขาขนาดเล็ก ไปจนถึงธุรกิจองค์กรขนาดใหญ่ ทำให้ SD-WAN ได้รับความสำคัญมากยิ่งขึ้นกว่าในอดีตเป็นอย่างมาก

HPE Aruba ได้เข้าซื้อกิจการของ Silver Peak มา และนำจุดเด่นของ Silver Peak อย่างเช่นการทำ WAN Optimization เข้ามาช่วยเสริมประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อไปยังบริการ Cloud ต่างๆ ที่ธุรกิจมีการใช้งาน อีกทั้งยังได้มีการพัฒนาต่อยอดด้าน Security จนได้รับ ICSA Labs Secure SD-WAN Certification มาแล้วเป็นรายแรกของโลก

8. Network Assurance

เมื่อการส่งมอบประสบการณ์ที่ดีได้กลายเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญของทุกระบบ IT แน่นอนว่าระบบ Network เองก็ต้องตอบสนองในส่วนนี้ด้วย ซึ่ง Aruba UXI ก็สามารถตอบโจทย์นี้ได้ด้วยการนำ UXI Agent/Sensor มาทำหน้าที่จำลองพฤติกรรมของผู้ใช้งาน ในการเชื่อมต่อ Wi-Fi หรือ LAN แล้วทำการเชื่อมต่อไปยัง Cloud Application ที่ธุรกิจองค์กรใช้ เพื่อให้ทราบถึงข้อมูลด้านประสบการณ์ของผู้ใช้งานได้อย่างต่อเนื่องอยู่เสมอ และตรวจสอบแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที

9. Network-as-a-Service (NaaS)

ด้วยวิสัยทัศน์ของ HPE ที่ต้องการเปลี่ยน CapEx ในการลงทุน Server และ Storage มาสู่การเช่าใช้งานแบบ OpEx ภายใต้บริการ HPE GreenLake ทำให้ HPE Aruba เองก็ปรับตัวไปสู่ทิศทางเดียวกัน ด้วยบริการ HPE GreenLake for Aruba ทำให้ธุรกิจองค์กรสามารถเลือกใช้งานระบบเครือข่ายในแบบ OpEx ได้แล้ว และรองรับกรณีการใช้งานดังนี้

  • Indoor Wireless aaS
  • Outdoor Wireless aaS
  • Remote Wireless aaS
  • Wired Access aaS
  • Wired Aggregation aaS
  • Wired Core aaS
  • SD-Branch aaS
  • UXI aaS

ทาง IDC นั้นได้มีผลสำรวจว่า 69% ของธุรกิจองค์กรนั้นได้เริ่มใช้งาน NaaS หรือมีแผนจะใช้งานภายในอีก 2 ปีนับถัดจากนี้แล้ว ก็ถือเป็นทิศทางที่น่าสนใจไม่น้อยทีเดียว

ท่านใดสนใจโซลูชัน HPE Aruba หรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ คุณนวรัตน์ จิตรตระการวงศ์ อีเมล nawarat.ch@hpe.com

from:https://www.techtalkthai.com/ttt-2022-reinforce-network-modernization-by-hpe-aruba/

ขอเชิญร่วมงานสัมมนาออนไลน์ “Microsoft Teams: Unlocking your Business with Hybrid Work” [23 กันยายน 2565–9.30น.]

เมื่อการทำงานไม่ได้ถูกจำกัดอยู่เพียงแค่ในออฟฟิศ หรือ WFH อีกต่อไป หลายๆ บริษัทปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานให้มาอยู่ในรูปแบบไฮบริด การเชื่อมต่อการทำงานระหว่างทีมอย่างปลอดภัย จึงเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ ของการทำงานแบบไฮบริด ซึ่งต้องอาศัยโซลูชั่น และอุปกรณ์ที่ใช่ และเหมาะสม รวมถึงตอบโจทย์การทำงานขององค์กร จึงจะสามารถดึงสักยภาพการทำงานร่วมกันแบบไฮบริดได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

Making hybrid work work with Microsoft Teams

  • ไม่พลาดทุกการรับสายสำคัญ รองรับทั้งเบอร์ตรงและเบอร์ต่อภายในองค์กร
  • ไม่ว่าจะประชุม, จัดฝึกอบรมทีม หรือสัมมนา ก็สามารถทำได้จากทุกที่ รองรับทุกอุปกรณ์
  • สร้างห้องประชุมเสมือนด้วย Teams Rooms รองรับการทำงานแบบไฮบริด

เชื่อมต่อการทำงานระหว่างทีมแบบไฮบริดให้มีประสิทธิภาพ และสร้างประสบการณ์การประชุมแบบไฮบริดด้วย Microsoft Teams Rooms ไปพร้อมๆกัน ลงทะเบียนเพื่อรับฟังแบบเต็มๆ กับ

Microsoft Teams: Unlocking your Business with Hybrid Work

ในวันศุกร์ที่ 23 กันยายน 2565 เวลา 09.30 – 12.00 น. ผ่าน Microsoft Teams

ลงทะเบียนเข้าร่วมฟังได้ที่ https://forms.office.com/r/wx9Gnb77sL

#Microsoft365 #MicrosoftTeams #Teams #Webinar #Training #Yealink #Conference #Phonesystems #VoiceRecording #voice #calling

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

☎ 02-089-4431

📧 thachpan@metrosystems.co.th

from:https://www.techtalkthai.com/msc-webinar-microsoft-teams-unlocking-your-business-with-hybrid-work-092022/

[Guest Post] Cisco เปิดตัว Cisco Catalyst และ Cisco Nexus Cloud เครือข่ายอัจฉริยะที่เรียบง่าย ตอบรับเทรนด์ Hybrid Work

Cisco ประกาศวิสัยทัศน์ด้านเทคโนโลยีที่จะช่วยให้ทีมงานฝ่ายไอทีทำงานได้อย่างชาญฉลาดมากขึ้น พร้อมทั้งลดความยุ่งยากซับซ้อนในการดำเนินงานด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ ด้านระบบเครือข่ายที่จัดการผ่านระบบคลาวด์ และประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีแบบครบวงจร

สภาพแวดล้อมทางธุรกิจในปัจจุบันเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและคาดเดาได้ยาก ขณะที่องค์กรต่างๆ จำเป็นต้องพึ่งพาประสบการณ์ดิจิทัลเพิ่มมากขึ้นเพื่อช่วยให้บุคลากรทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าและคู่ค้าได้อย่างดีเยี่ยม ในการเพิ่มความคล่องตัวและยืดหยุ่นให้กับธุรกิจทุกวันนี้ ทีมงานไอทีจำเป็นต้องอาศัยโซลูชันแบบครบวงจรที่สามารถเชื่อมโยงเทคโนโลยีขององค์กร สถานที่ตั้ง ทีมงาน บุคลากร และอุปกรณ์ต่างๆ เข้าด้วยกัน

เดฟ เวสต์, ประธานกรรมการบริหารภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ญี่ปุ่น และจีน ของ Cisco กล่าวว่า “สภาพแวดล้อมไอทีเติบโตและมีความซับซ้อนมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการเปลี่ยนเป็นการทำงานแบบไฮบริดและระบบคลาวด์ ทำให้การสร้างเครือข่ายและประสบการณ์ด้านไอทีกระจัดกระจายมากขึ้น ปลอดภัยน้อยลง และปรับขนาดได้ยากขึ้น เราเชื่อว่าประสบการณ์ด้านไอทีที่เป็นหนึ่งเดียวเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความคล่องตัวของธุรกิจทั่วภูมิภาคอาเซียน พลังของนวัตกรรมของเรามาจากความสามารถในการจัดเตรียม จัดการ และคาดการณ์ปัญหาด้านไอที โดยช่วยให้ธุรกิจสามารถมอบประสบการณ์ระดับโลกที่ราบรื่น และปลอดภัยให้กับลูกค้าที่ให้ความสำคัญกับดิจิทัลโดยไม่มีการหยุดทำงาน”

Cisco รองรับไอทีแบบครบวงจร

ที่ Cisco Live งานอีเวนต์ประจำปีของ Cisco ที่จัดแสดงนวัตกรรมด้านเครือข่ายและความปลอดภัย Cisco ได้เผยโฉมความสามารถใหม่ในการจัดการคลาวด์ที่มอบประสบการณ์แบบครบวงจรซึ่งครอบคลุมกลุ่มผลิตภัณฑ์ Cisco Meraki, Cisco Catalyst และ Cisco Nexus พร้อมทั้งเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ Cisco ThousandEyes ที่สามารถคาดการณ์และปรับปรุงประสิทธิภาพของเครือข่าย WAN ในเชิงรุก นวัตกรรมใหม่เหล่านี้ตอกย้ำกลยุทธ์ของ Cisco ในการช่วยลูกค้าเพิ่มความคล่องตัว ความยืดหยุ่น และประสิทธิภาพที่ธุรกิจของพวกเขาจำเป็นต้องมีท่ามกลางสภาวะที่ไม่แน่นอน โดยอาศัยแพลตฟอร์มที่จัดการผ่านระบบคลาวด์

ทอดด์ ไนติงเกล รองประธานบริหารและผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายเครือข่ายองค์กรและระบบคลาวด์ของ Cisco กล่าวว่า “ลูกค้าของเราเลือกที่จะดำเนินธุรกิจโดยอาศัยเทคโนโลยีของ Cisco ซึ่งครอบคลุมทั้งในส่วนของระบบเครือข่าย ระบบรักษาความปลอดภัย และระบบคลาวด์ เราเชื่อว่าเครือข่ายเป็นรากฐานสำหรับองค์กรที่ทันสมัยและต้องมีความยืดหยุ่น คล่องตัว และเรียบง่าย Cisco แก้ไขข้อกังวลใจที่สำคัญที่สุดของลูกค้า นั่นคือ การจัดการระบบที่ซับซ้อนโดยอาศัยแพลตฟอร์มอัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล เพื่อเสริมศักยภาพให้แก่ธุรกิจดิจิทัล”

เทคโนโลยีในอนาคตถูกจัดการผ่านระบบคลาวด์

Cisco พัฒนาแพลตฟอร์มเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ลูกค้าสามารถเปลี่ยนไปสู่โมเดลการดำเนินงานที่ใช้ระบบคลาวด์ได้อย่างเหมาะสม ราบรื่น และปลอดภัย

  • ด้วยการจัดการระบบคลาวด์สำหรับ Cisco Catalyst ลูกค้าสามารถตรวจสอบสวิตช์ Catalyst บางรุ่นและจัดการเครื่องมือ Catalyst Wireless ใหม่ ผ่านแดชบอร์ด Meraki โดยช่วยเพิ่มการมองเห็นและความยืดหยุ่นให้กับประสบการณ์ของลูกค้า ลูกค้าเครือข่ายแคมปัสและสาขาสามารถลดความซับซ้อนของการดำเนินงานด้านไอทีโดยการเชื่อมการจัดการระบบคลาวด์ที่ดีที่สุดเข้ากับฮาร์ดแวร์เน็ตเวิร์กที่ดีที่สุด
  • การเปิดตัว Cisco Nexus Cloud แพลตฟอร์มการจัดการผ่านคลาวด์ที่นำเสนอรูปแบบการบริการที่ง่ายที่สุดในการติดตั้งใช้งาน จัดการ และควบคุมระบบเครือข่ายคลาวด์  Cisco Nexus Cloud ขับเคลื่อนด้วย Cisco Intersight สำหรับระบบสวิตชิ่งและการจัดการมัลติคลาวด์ที่ดีที่สุด โดยจะช่วยเพิ่มความสามารถให้ลูกค้าจัดการสภาพแวดล้อมทั่วทั้ง Public Cloud, Private Cloud และ Edge Computing สำหรับลูกค้าองค์กรทุกขนาด โดย Cisco Nexus Cloud จะให้บริการภายในปี 2565 นี้

อนาคตที่คาดการณ์ได้

ทุกวันนี้ การขับเคลื่อนประสบการณ์ดิจิทัลที่เหนือกว่ามีความสำคัญมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน  ประสบการณ์ที่ไม่ดีของลูกค้าหรือพนักงานย่อมจะก่อให้เกิดความรู้สึกแง่ลบอย่างยาวนาน ด้วยเหตุนี้ทีมงานฝ่ายไอทีจึงต้องการโซลูชันที่จะช่วยให้พวกเขาสามารถปรับเปลี่ยนแนวทางการทำงาน จากเดิมที่เป็นการตอบสนอง ต่อปัญหาด้านระบบเครือข่ายที่เกิดขึ้น ไปสู่การดำเนินการเชิงรุก เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจ

ตอนนี้ลูกค้าสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำของ Cisco ในระบบเครือข่ายที่สามารถทำนายปัญหา (Predictive Networking) ผ่าน Cisco ThousandEyes ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มด้านอินเทอร์เน็ตและคลาวด์อัจฉริยะระดับชั้นนำของอุตสาหกรรม  ThousandEyes WAN Insights เป็นก้าวแรกในการนำเสนอเทคโนโลยีภายใต้วิสัยทัศน์ Cisco Predictive Networks ซึ่งจะช่วยให้ฝ่ายไอทีในองค์กรสามารถเปลี่ยนระบบเครือข่ายแบบตอบสนอง (Reactive) ไปสู่ระบบเครือข่ายแบบป้องกัน (Preventative) พร้อมทั้งปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานและประสบการณ์การใช้งานแอพพลิเคชั่น โดย ThousandEyes WAN Insights ที่จะพร้อมใช้งานได้ในไม่ช้านี้ จะทำหน้าที่แจ้งเตือนทีมงานฝ่ายไอทีให้ได้รับทราบล่วงหน้าเกี่ยวกับปัญหา ก่อนที่ปัญหานั้นจะเกิดขึ้นและส่งผลกระทบผู้ใช้งาน พร้อมให้คำแนะนำเกี่ยวกับนโยบายและการปรับปรุงเส้นทางที่เหมาะสม  นอกเหนือจากความสามารถที่เหนือชั้นของ ThousandEyes ในการตรวจสอบสถานะของอินเทอร์เน็ตและพฤติกรรมต่างๆ แล้ว ThousandEyes WAN Insights ยังช่วยให้ลูกค้าใช้ประโยชน์จากสภาพแวดล้อมอินเทอร์เน็ตและคลาวด์ได้อย่างเต็มศักยภาพ และนำเสนอประสบการณ์ดิจิทัลที่ดีเยี่ยมได้อย่างไม่มีที่ติ

เพิ่มความสะดวกในการรักษาความปลอดภัยที่ Edge ของเครือข่าย

ที่งาน RSA Conference Ciscoได้เปิดตัวโซลูชัน Secure Access Service Edge (SASE) แบบครบวงจรภายใต้ชื่อ Cisco+ Secure Connect Now ซึ่งเป็นโซลูชันในรูปแบบบริการที่ได้รับการจัดการผ่านระบบคลาวด์  ลูกค้าที่สมัครใช้บริการจะสามารถใช้งานโซลูชัน SASE ได้อย่างรวดเร็ว และจัดการได้อย่างง่ายดาย ช่วยเพิ่มความสะดวกให้แก่องค์กรในการเชื่อมต่อและปกป้องผู้ใช้ อุปกรณ์ และแอพพลิเคชั่นต่างๆ

การตอบสนองของลูกค้าและพาร์ตเนอร์

ลูกค้าและคู่ค้าต่างแสดงความตื่นเต้นต่อวิสัยทัศน์ของCiscoในการทำให้ทีมไอทีเป็นหนึ่งเดียวจากการคำพูดและโค้ดของพวกเขา

ข้อมูลเพิ่มเติม

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ developer resources, สามารถเข้าไปดูที่ Cisco’s Meraki, ThousandEyes และ Nexus Dashboard dev centers. 

from:https://www.techtalkthai.com/cisco-introduces-cisco-catalyst-and-cisco-nexus-cloud/

[Guest] เอชพี ประเทศไทย ปลดล็อกขุมพลังการทำงานแนวไฮบริด เชื่อมต่อด้วยเทคโนโลยีใหม่ ไร้ขีดจำกัด

เอชพี ประเทศไทย เปิดตัวนวัตกรรมเทคโนโลยีทรงพลังเต็มรูปแบบภายใต้ธีม  “ปลดล็อกศักยภาพธุรกิจสร้างโอกาสเติบโตสู่โลกไฮบริด” ในงาน HP Thailand Day 2022 พร้อมส่งอุปกรณ์และโซลูชั่นกลุ่มใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อยกระดับการทำงานประสานกัน พร้อมร่วมสร้างประสบการณ์การสร้างสรรค์ในโลกไฮบริด ประกอบด้วย HP EliteBook x360 1040 G9, HP ProBook x360 435 G9 และเครื่องพิมพ์ HP Smart Tank งานนี้นำทัพโดย มร.อึ้ง เทียน ชอง กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชีย เอชพี อิงค์ และ มร.ลิม ชุน เต็ก กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอชพี อิงค์ (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมด้วยกูรูไอทีชื่อดัง “หนุ่ย พงศ์สุข” และ ครีเอเตอร์ที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก “เค เลิศสิทธิชัย” 

การทำงานรูปแบบไฮบริดต้องการมากกว่าแค่การเชื่อมต่อและทำงานร่วมกัน และเป็นเรื่องท้าทายสำหรับเทคโนโลยีในการส่งมอบประสบการณ์ให้กับผู้คนไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน แม้ว่าสถานที่ทำงานจะอยู่ในทุกที่ตามความต้องการของผู้คน แต่ความคาดหวังในการทำงานนั้นไม่เปลี่ยน ผู้คนยังต้องได้รับการมองเห็นและได้ยินเสียงอย่างชัดเจนมีประสิทธิภาพและสร้างแรงบันดาลใจ

คุณอึ้ง เทียน ชอง กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชีย เอชพี อิงค์

“ที่เอชพี เราคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เหล่านี้ และได้นำมากำหนดเป็นกลยุทธ์เพื่อขยายธุรกิจ ไม่ว่าจะผ่านการเล่นเกม อุปกรณ์เชื่อมต่อ โซลูชั่นสำหรับการทำงาน บริการระบบสมาชิก รวมถึงกราฟิกเพื่องานอุตสาหกรรมและ 3D เพื่อรองรับโอกาสใหม่ การพัฒนาด้านต่างๆ รวมไปถึงอนาคตที่น่าตื่นเต้นสำหรับวันนี้และในภายภาคหน้าฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และโซลูชั่นของเราพร้อมนวัตกรรมเทคโนโลยีล้ำสมัยจะมอบประสบการณ์ที่จำเป็นต่อการเติบโตในโลกไฮบริด โดยมอบพลังในการผสมผสานเข้ากับสภาพแวดล้อมที่ให้ประสิทธิผลสูงสุดสำหรับการทำงานและความคิดสร้างสรรค์ผสานแนวคิดที่ได้รับแรงบันดาลใจขั้นสูงสุดของเรา” มร.อึ้ง เทียน ชอง กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชีย เอชพี อิงค์ กล่าว

กระแส Work from Home (WFH) ยังคงมาแรงอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย และการทำงานแนวไฮบริดได้กลายเป็นเรื่องปกติในรูปแบบใหม่ (New Normal) ด้วยคนเราชอบสภาพการทำงานที่มีการเปลี่ยนแปลงตามแนวทางใหม่นี้ พนักงานองค์กรในไทยมากกว่า 80% สะท้อนถึงความต้องการการทำงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้นหลัง    โควิด ธุรกิจต่างๆ ต้องมองหาเครื่องมือที่เหมาะสมให้พนักงานเพื่อขยายการทำงานไปสู่รูปแบบไฮบริด

มร. ลิม ชุน เต็ก กรรมการผู้จัดการ เอชพี อิงค์ ประเทศไทย กล่าว “ปัจจุบันออฟฟิศอยู่ ‘ทุกที่’ และอนาคตของการทำงานก็เกิดขึ้นตอนนี้แล้ว เมื่อเรายอมรับรูปแบบการทำงานและการเรียนรู้แบบผสมผสาน ประสบการณ์จะมีความสำคัญมากขึ้นกว่าเดิม และเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องอัปเดตเทคโนโลยีที่มาก่อนการเกิดการแพร่ระบาด เพื่อนำเสนอวิธีการใหม่ในการทำงานร่วมกันและเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ ทั้งยังคงเพลิดเพลินได้ ที่เอชพี เราจะพยายามส่งเสริมให้ลูกค้าและกลุ่มธุรกิจได้ใช้ความสามารถอย่างเต็มที่และช่วยให้บรรลุศักยภาพสูงสุดโดยการจัดหาโซลูชั่นที่เหมาะสมตรงกับรูปแบบการทำงานแบบไฮบริดที่เกิดขึ้นใหม่นี้

คุณลิม ชุน เต็ก กรรมการผู้จัดการ เอชพี อิงค์ ประเทศไทย

ในงานนี้ได้รับเกียรติจาก คุณหนุ่ย พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี มาเน้นย้ำว่า ธุรกิจไทยจะต้องนำรูปแบบการทำงานแบบไฮบริดมาใช้เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ พนักงานที่มีความสามารถต้องการโซลูชั่นที่เหมาะสมและไม่ยุ่งยากมาติดตั้งในอุปกรณ์ของตน เช่น พีซีและเครื่องพิมพ์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นตลอดจนความปลอดภัย

ในฐานะที่เป็นครีเอเตอร์ นักแสดง และนักธุรกิจรุ่นใหม่ คุณเค เลิศสิทธิชัย เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ต้องมีอุปกรณ์ทางไอทีที่เหมาะสมในการจัดการอาชีพและไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายสำหรับเขา เพื่อให้สามารถเชื่อมต่อกับผู้คนได้อย่างไม่สะดุดและทำงานร่วมกับเพื่อน ครอบครัว และเพื่อนร่วมงานจากที่บ้านหรือทุกที่ทุกเวลา ซึ่งเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จในชีวิตการทำงาน การเล่นเกมต่างๆ บนพีซีที่ทรงพลัง ไม่เพียงแต่สร้างความบันเทิง แต่ยังช่วยให้สร้างและพัฒนาคอนเทนต์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ได้อีกด้วย

เอชพีเข้าถึงอนาคตของการทำงานแบบไฮบริด

โมเดลการทำงานและการเรียนรู้แบบผสมผสานช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างผลงาน ใช้งาน และทำงานร่วมกันได้อย่างมีอิสระและคล่องตัวมากขึ้น ในระดับองค์กร ธุรกิจยังต้องทำงานกับโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่เหมาะสมและเครื่องมือเพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่รูปแบบไฮบริด ด้วยเหตุนี้ เอชพี จึงได้ประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์ในกลุ่มพีซีและเครื่องพิมพ์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้พนักงานสามารถก้าวหน้าได้ในโลกไฮบริด

เอชพี สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอด้วยผลิตภัณฑ์พีซีและเครื่องพิมพ์รุ่นใหม่ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน สร้างสรรค์งาน ทำงานร่วมกัน หรือเพื่อความบันเทิง

  • HP EliteBook x360 1040 G9 ปลดล็อกขีดจำกัดด้านประสิทธิภาพและน้ำหนักที่เบาสำหรับผู้ปฏิบัติงานนอกสถานที่ทุกแห่งหน ออกแบบมาใหม่เพื่อการทำงานที่ราบรื่นในการทำงานแบบไฮบริด ตัวเครื่องทำจากแชสซีที่บางเบา ด้วยอัตราส่วนหน้าจอ 16:10 เพื่อการแสดงผลเพิ่มเติมและลดการเลื่อนขึ้นลง ให้คุณภาพของภาพและเสียงได้ดีที่สุดด้วยกล้อง 5MP, กล้อง IR 940nm และซอฟต์แวร์เสียงสมจริงเพื่อความชัดเจนในการรับฟัง
  • ออกแบบมาสำหรับพนักงานที่ต้องทำงานโดยไม่ติดอยู่กับที่เมื่อต้องออกนอกสถานที่เพื่อธุรกิจที่กำลังเติบโต HP ProBook x360 435 G9 ผสมผสานการออกแบบที่ให้น้ำหนักเบาและอัปเกรดได้ พร้อมด้วยประสิทธิภาพการทำงานด้านธุรกิจ พร้อมการรักษาความปลอดภัย และทนทาน เหมาะสำหรับธุรกิจที่กำลังเติบโต แล็ปท็อป HP ProBook x360 435 G9 มาพร้อมกับระบบรักษาความปลอดภัย HP Wolf Security for Business ซึ่งช่วยป้องกันภัยคุกคาม ป้องกันมัลแวร์ และป้องกันตัวตนด้วยการกำหนดค่าเดียวและใช้งานง่าย
  • สร้างสรรค์ผลงานอย่างอิสระด้วย HP Spectre x360 14 ซึ่งเป็นแล็ปท็อปแบบปรับเปลี่ยนได้ด้วยอัตราส่วนภาพหน้าจอ 3:2 ให้ความสมจริงสำหรับการท่องเว็บและรองรับความต้องการผลิตงานอย่างมีประสิทธิภาพ แล็ปท็อป 2-in-1 รุ่นนี้มีความยืดหยุ่นสูงในการสร้างสรรค์ผลงานและรองรับการใช้ชีวิตอย่างราบรื่นในโลกไฮบริดสำหรับยุคปัจจุบัน ด้วยแพลตฟอร์มของ Intel® Evo™ และโปรเซสเซอร์ Intel® Core™ รุ่นที่ 12 ที่พัฒนาฟังก์ชันการทำงานพร้อมๆ กันหลายอย่างและทรงประสิทธิภาพมาพร้อมกับจอสัมผัสที่พับได้ในลักษณะต่างๆ รวมถึงการซูมด้วยนิ้วมือ การแตะสองครั้ง และการกดค้างไว้เพื่อสร้างและจัดการภาพวาดและเนื้อหาสร้างสรรค์อื่นๆ ให้เป็นไปอย่างง่ายดาย
  • สำหรับนักเล่นเกมมืออาชีพ เอชพีนำเสนอเกมมิ่งแล็ปท็อป HP OMEN 16 เพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดสำหรับการเล่นเกมที่ต้องอาศัยเครื่องที่ทรงพลังในทุกที่ มาพร้อมกับกราฟิกการ์ดที่ยืดหยุ่นและโปรเซสเซอร์ Intel ผสมผสานวัสดุเพื่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งรวมถึงฝาครอบอะลูมิเนียมรีไซเคิล และรุ่นVictus by HP 15 สำหรับผู้ชื่นชอบการเล่นเกมทั้งหมดจะช่วยยกระดับและดื่มด่ำอย่างเต็มที่ แล็ปท็อป Victus by HP 15  มีตัวเลือกสีที่โดดเด่นสองสีให้เลือกในสีเงินไมก้าและสีน้ำเงินให้อารมณ์ทรงประสิทธิภาพ ทั้งหมดนี้มีคีย์บอร์ดเรืองแสงมาตรฐานที่พิมพ์ด้วยแบบอักษรที่โดดเด่น พบได้ในอุปกรณ์ OMEN ด้วยโปรเซสเซอร์และกราฟิกที่ล้ำและแตกต่าง ผู้ใช้สามารถทำงานหลายๆ อย่างพร้อมกันได้ไม่ว่าจะเล่นเกม ท่องเว็บ ตัดต่อ และอื่นๆ

ผู้คนจำนวนมากต้องการใช้ประโยชน์จากการพิมพ์ไม่ว่าจะอยู่ที่ทำงานหรือที่บ้าน เอชพีพัฒนาเครื่องพิมพ์ให้ทันสมัยโดยลดความซับซ้อนของการพิมพ์ สร้างประสบการณ์การทำงานในสำนักงานที่แท้จริงเมื่ออยู่ที่บ้านและเปลี่ยนไปสู่ธุรกิจที่เน้นการบริการ

  • เอชพี ช่วยทำให้เทคโนโลยีเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้นด้วยการเปิดตัวโปรแกรมการลงทะเบียนด้วยหมึกเป็นครั้งแรกในประเทศไทยด้วย Easy Ink ช่วยให้ผู้ใช้ในบ้านและผู้ใช้งานธุรกิจสามารถสั่งซื้อตลับหมึกเอชพีผ่านทางออนไลน์และจัดส่งตลับหมึก ให้ผู้ใช้สามารถเพลิดเพลินกับการพิมพ์คุณภาพสูงอย่างไม่ขาดตอน ด้วยหมึกและผงหมึกของแท้ รับประกันคุณภาพการพิมพ์ที่โดดเด่นและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หลีกเลี่ยงการพิมพ์ติดขัดที่เกิดจากข้อผิดพลาดในระบบพิมพ์ หลีกเลี่ยงงานพิมพ์คุณภาพต่ำ ลูกค้าสามารถสั่งซื้อได้ตลอดเวลาและรับตลับหมึกผ่านการจัดส่งตรงถึงบ้านโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
  • ผู้บริโภคและธุรกิจขนาดเล็กต่างก็ขยายธุรกิจเติบโตขึ้นโดยอาศัยความสามารถจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ด้วยแอป HP Smart ช่วยให้ลูกค้าเพลิดเพลินกับความสามารถในการพิมพ์และสแกนจากทุกที่ ทั้งได้รับการแจ้งเตือนเมื่อพิมพ์ สแกน หรือคัดลอกคอนเทนต์จากมือถือ
  • สำหรับการใช้งานที่บ้านและออฟฟิศขนาดเล็ก เครื่องพิมพ์ HP Smart Tank 720 All-in-One มอบประสบการณ์การพิมพ์ที่ยอดเยี่ยมตั้งแต่ต้นจนจบด้วยงานพิมพ์คุณภาพสูงมาพร้อมกับคุณสมบัติอัจฉริยะขั้นสูงเหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการพิมพ์งานจำนวนมาก โดยเครื่องพิมพ์ออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในแต่ละวันสำหรับการทำงานหรือการเรียนในยุคไฮบริด
  • เครื่องพิมพ์ขนาดเล็กที่พิมพ์สองหน้าได้อย่างเร็ว HP LaserJet MFP M236dw ได้รับการออกแบบมาสำหรับนักธุรกิจมืออาชีพที่ต้องการการพิมพ์ขาวดำประสิทธิภาพสูงตัวเครื่องขนาดเล็ก กะทัดรัด มาพร้อมการเชื่อมต่อที่เสถียรขึ้นด้วยWi-Fi™ แบบดูอัลแบนด์พร้อมการรีเซ็ตในตัวเอง การสแกนคุณภาพสูง และสามารถแชร์ไปยัง Dropbox, Google Drive, อีเมล หรือระบบคลาวด์ได้

ราคาและการวางจำหน่าย

  • HP EliteBook x360 1040 G9 มีจำหน่ายแล้วที่ HP Online Store ราคา 44,990 บาท
  • HP ProBook x360 435 G9 มีจำหน่ายแล้วที่ HP Online Store ราคา 35,990 บาท
  • HP Spectre x360 14 จำหน่ายแล้วที่ HP Online Store ราคา 51,990 บาท
  • HP OMEN 16 วางจำหน่ายแล้วที่ HP Online Store และร้านค้าปลีกอื่นๆ ราคาเริ่มต้น 45,990 บาท
  • Victus by HP 15 วางจำหน่ายแล้วที่ HP Online Store และร้านค้าปลีกอื่นๆ ราคาเริ่มต้น 28,990 บาท
  • เครื่องพิมพ์ HP Smart Tank 720 All-in-One เริ่มต้น 7,390 บาท ที่ร้านค้าไอทีชั้นนำและออนไลน์ พร้อมรับประกัน 2 ปี และบริการนอกสถานที่ฟรี
  • HP LaserJet MFP M236dw Printer วางจำหน่ายแล้วที่ร้านค้าออนไลน์ของ HP และขายปลีก ราคาเริ่มต้นที่ 4,190 บาท พร้อมการรับประกัน 3 ปี และบริการนอกสถานที่

from:https://www.techtalkthai.com/guest-hp-thailand-unlock-the-power-of-hybrid-work-connect-new-technology-limitless/