รวมโปรโมชั่น Samsung ในงาน Thailand Mobile Expo 2019 นำทัพโดย Galaxy S10,S10+ และ S10e พร้อมกับโปรรับส่วนลดค่าเครื่อง 4,000 บาท หรือรับฟรี Galaxy Buds มูลค่า 4,990 บาท

 ซัมซุงเตรียมส่งมอบความพิเศษสุดยิ่งใหญ่ให้กับกาแลคซี่แฟนชาวไทยภายในงาน “ไทยแลนด์ โมบายล์ เอ็กซ์โป 2019” ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 พฤษภาคม – 2 มิถุนายน 2562 นี้ โดยเตรียมขนทัพสุดยอดสมาร์ทโฟน และอุปกรณ์อิเล็คโทรนิคส์สุดล้ำ พร้อมจะเข้ามาตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค ให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสร้างสรรค์และลงตัวตอกย้ำแนวคิด ‘Do What You Can’t’ นำทัพโดย กาแลค ซี่ เอส ซีรี่ส์ ทั้ง กาแลคซี่ เอส 10 พลัส เอส 10 และเอส 10e ที่มาพร้อมกับโปรโมชั่นพิเศษ เลือกรับส่วนลดค่าเครื่อง 4,000 บาท หรือรับฟรี Galaxy Buds มูลค่า 4,990 บาท (เฉพาะกาแลคซี่ เอส 10 และ เอส10 พลัส 128 GB) พร้อมผ่อน 0% นานสูงสุด 24 เดือนกับบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ รวมทั้งรับบัตรกำนัลมูลค่าสูงสุด 3,000 บาท เพื่อใช้จับจ่ายที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ฟรีทันที

พร้อมจัดหนักโปรโมชั่นพิเศษอย่างต่อเนื่องกับสมาร์ทโฟนของคนชอบไลฟ์ เมื่อซื้อ กาแลคซี่ เอ 70 ภายในงาน รับฟรี Belt Bag Galaxy A x RUKKIT มูลค่า 1,290 บาท หรือเป็นเจ้าของ กาแลคซี่ เอ 50 ในราคาพิเศษ 10,490 บาท จากราคาปกติ 11,490 บาท รับฟรี T-Shirt Galaxy A x RUKKIT มูลค่า 1,290 บาท พร้อมรับประกันจอแตก 1 ปี ในกรณี ตก แตก หรือร้าว เมื่อลงทะเบียนผ่านGalaxy Gift และบัตรกำนัลมูลค่า 1,000 บาท รวมทั้ง Accessories Voucher มูลค่า 500 บาท สำหรับ กาแลคซี่ เอ ทั้งสองรุ่นฟรีทันที ยังไม่หมดเพียงเท่านี้! สำหรับใครที่ซื้อ กาแลคซี่ โน้ต เตรียมพบกับดีลสุดพิเศษภายในงานโดยมีสิทธิเลือกรับ กาแลคซี่ วอตช์ แอ็คทีฟ มูลค่า 7,490 บาท หรือรับสิทธิซัมซุงผ่อนให้ฟรี 2 เดือน มูลค่า 6,780 บาท เมื่อเลือกผ่อน 0% 10 เดือน ส่วนใครที่เป็นแฟน กาแลคซี่ เอส 9 พลัส ยังสามารถเป็นเจ้าของได้ที่ราคาเริ่มต้น 27,900 บาท พร้อมรับฟรีทันทีบัตรกำนัลมูลค่าสูงสุดถึง5,000 บาท

ซัมซุงยังจัดหนักปล่อยโปรโมชั่นชุดใหญ่ ขนกองทัพแท็บเล็ตในตระกูล “กาแลคซี่” มาให้เลือกเป็นเจ้าของกันหลากหลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็น กาแลคซี่ แท็บ เอส 4, กาแลคซี่ แท็บ เอส 5e, กาแลคซี่ แท็บ เอ 10.5” และกาแลคซี่ แท็บ เอ 8.0” (2019)  รวมทั้งอุปกรณ์เสริมต่างๆ มอบส่วนลด ของแจก ของแถมพิเศษอีกมากมาย พร้อมข้อเสนอที่ให้ลูกค้าสามารถเป็นเจ้าของสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่ได้ง่ายๆ ผ่อนสบายๆ กับบัตรเครดิตของธนาคารที่ร่วมรายการ พิเศษสุดๆ ตลอด 4 วัน ภายในงานนี้เท่านั้น!

เตรียมพบกับสุดยอดข้อเสนอและโปรโมชั่นสุดยิ่งใหญ่จากซัมซุงได้ที่บูธของโอเปอร์เรเตอร์และพาร์ตเนอร์ในงาน “ไทยแลนด์ โมบายล์ เอ็กซ์โป 2019” จัดขึ้นระหว่างวันที่30 พฤษภาคม – 2 มิถุนายน 2562 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุม ไบเทค บางนา

from:https://www.flashfly.net/wp/253487

เอาบ้าง! จีนตอบกลับขู่จะทำบัญชีดำ (Entity List) เป็นของตัวเองเพื่อแบนบริษัทสัญชาติเมกันไม่ให้ค้าขายในประเทศ

จากการรายงานของ Global Times ซึ่งเป็นเว็บไซต์ข่าวจีนกล่าวว่า ประเทศจีนนั้นกำลังวางแผนที่จะปล่อย Entity List หรือบัญชีดำห้ามการค้าขายในประเทศเป็นของตัวเองบ้างแล้ว เพื่อเป็นการตอบโต้ที่ปธน.ของสหรัฐฯ อย่างโดนัลด์ ทรัมป์ที่ออกมาประกาศใส่ชื่อ Huawei ไว้ในบัญชีดำดังกล่าว ทำให้บริษัทจากแดนมังกรตอนนี้แทบจะล้มจนลุกไม่ขึ้นเลยทีเดียว

โฆษกกระทรวงพาณิชย์ของประเทศจีน Gao Feng Gao ออกมากล่าวว่า

นักประกอบการต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรหรือรายบุคคลที่ไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์การตลาด ไม่ทำตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญา ขัดขวางไม่ยอมส่งสินค้าให้กับผู้ประกอบการสัญชาติจีนเนื่องจากเหตุผลใดอื่นที่มิใช่ทางการค้า หรือละเมิดสิทธิ์และผลประโยชน์ของนักลงทุนของจีน จะถูกใส่ชื่อไว้ในบัญชีดำทันที

และถึงแม้ว่าโฆษกคนนี้จะไม่ได้กล่าวถึงประเทศสหรัฐฯ หรือว่าบริษัทสัญชาติอเมริกาเป็นการเจาะจง แต่ก็เป็นไปได้สูงว่าบริษัทที่มีฐานมาจากประเทศสหรัฐฯ จะถูกใส่เข้าไปไว้ในบัญชีดำที่ว่านี้ทั้งหมด หากแผนการสร้างบัญชีดำตัวนี้ประสบความสำเร็จเป็นความจริงขึ้นมา ซึ่งจีนเองก็ออกมาปฏิเสธที่จะอธิบายเพิ่มเติมว่ากฎระเบียบและข้อบังคับของการใส่ชื่อบริษัทต่างๆ เข้าไปไว้ในบัญชีดำนั้นมีอะไรยังไงบ้าง

พอมีข่าวแบบนี้ออกมา ก็ทำให้มันไปขัดแย้งกับคำพูดของผู้ก่อตั้งบริษัท Huawei ว่าประเทศจีนไม่ค่อยไปตอบโต้สหรัฐฯ ด้วยการแบนไม่ให้มาทำการค้าขายสินค้าแบบที่สหรัฐฯ กำลังทำอยู่กับ Huawei ซึ่งเขาเองก็ได้เสริมอีกว่า บริษัทเขามีทุกวันนี้ได้ก็เพราะ Apple ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติอเมริกันเอง และหากมีการแบนสหรัฐฯ เกิดขึ้นจริงในจีน เขาก็จะเป็นคนแรกๆ เลยที่ออกมาต่อต้าน

อย่างไรก็ตาม ประเทศจีนและ Huawei ต่างมีกระบวนการทำงานกันคนละแบบ และก็มีความเป็นไปได้สูงว่าสาเหตุที่จีนออกมาวางแผนที่จะทำบัญชีดำ (Entity List) เป็นของตัวเองนั้นก็เพื่อที่จะยืนยันกับทางโลกว่าจีนกับ Huawei นั้นแยกกันนะ หลังจากที่มีรัฐบาลจากฝั่งตะวันตกอยู่เป็นจำนวนมากที่คิดว่าทั้งจีนและ Huawei นั้นต่างถูกควบคุมโดยคนๆ เดียวกัน และก็ยังมีความเป็นได้อีกว่าหากจีนสามารถทำบัญชีดำของตัวเองขึ้นมาสำเร็จ Huawei อาจจะตกอยู่ในสภาวะที่ยากลำบากกว่าเดิม..

การถูกใส่ชื่อเข้าไปไว้ในบัญชีดำจากสหรัฐฯ ครั้งนี้ของ Huawei ทำให้บริษัทต้องสูญเสียพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจที่สำคัญไปรายหลายไม่ว่าจะเป็น Google, ARM, Qualcomm, Microsoft และอื่นๆ อีกมากมาย

 

ที่มา: AndroidAuthority 

from:https://droidsans.com/china-trade-war-entity-list/

ก็มาดิครับ… | Huawei งัดข้อสุดกำลัง เร่งศาลตัดสินสหรัฐฯ ฐานกีดกันทางการค้า

ดุเดือดเลือดพล่านชนิดดูท่าจะยังไม่จบง่ายๆ สำหรับประเด็นดราม่าแห่งโลกไอที Huawei vs. USA ที่ล่าสุดทางบริษัทแม่ Huawei Technologies ได้ประกาศยื่นคำร้องเพิ่มเติมต่อศาลให้มีคำตัดสินในคดีความที่ฟ้องร้องกันไปตั้งแต่ช่วงต้นปี โดยมีรัฐบาลกลางสหรัฐฯเป็นจำเลยข้อหา “กีดกันทางการค้า” โดยหาก Huawei ชนะคดี สหรัฐฯอาจต้องยกเลิกคำสั่งที่มีลักษณะกีดกันขัดขวางกิจการของ Huawei เป็นการถาวร นับเป็นมาตรการตอบโต้การคว่ำบาตรของสหรัฐฯครั้งแรกอย่างเป็นทางการหลังจากถูกประกาศแบนติดชื่อบนบัญชีดำตามคำสั่งความมั่นคงของสหรัฐฯกันไปก่อนหน้านี้นั่นเอง

Huawei ไม่ยอม ล่าสุดยื่นคำร้องให้ศาลเร่งตัดสิน สหรัฐฯกีดกันทางการค้า

เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาทาง Huawei เองได้มีการทำคำฟ้องต่อศาลยุติธรรมสหรัฐเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า รัฐบาลกลางสหรัฐจงใจใช้ข้ออ้างเรื่องความปลอดภัยทางความมั่นคงเป็นเครื่องมือกีดขวางการทำธุรกิจโดยเสรี (ซึ่งเป็นหลักการที่อเมริกันชนยึดมั่นมาตลอด เรื่องการแข่งขันโดยเสรี) ทั้งๆที่ยังไม่มีข้อพิสูจน์ใดเป็นชิ้นเป็นอันว่าอุปกรณ์ของ Huawei จะเป็นภัยต่อความมั่นคงจริงๆ ล่าสุดทางบริษัทแม่ของ Huawei ไม่รอช้า ทำคำร้องเพิ่มเติมไปยังศาลยุติธรรมในมลรัฐเท็กซัสโดยมีใจความที่แถลงต่อสาธารณะว่า

ให้ศาลยุติธรรมทำคำตัดสินในคดีที่ฟ้องร้องกันไว้ในช่วงต้นปีว่า ใจความส่วนหนึ่งของ กฎหมายความมั่นคงของประเทศประจำปี 2019 (National Defense Authorization Act: NDAA) ที่มีลักษณะโจมตีและกีดกันการทำธุรกิจขององค์กรเอกชนอย่าง Huawei นั้นขัดต่อบทบัญญติสูงสุดของกฎหมาย และขอให้มีคำสั่งห้ามรัฐบาลกลางสหรัฐกระทำการเช่นนั้นต่อไป

อ่านเพิ่มเติม:

ฟ้องแล้วเคลมต่อได้ – Huawei แถลงสหรัฐฯเล่นไม่แฟร์ อ้างความมั่นคงมาขัดขวางความสำเร็จ

เมื่อวันที่ 29 พ.ค. ที่ผ่านมาทางผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมายของ Huawei – Song Liuping – ได้แถลงตอบโต้เป็นการเบื้องต้นว่าทางบริษัทกำลังศึกษาข้อมูลและกฎหมายอย่างถี่ถ้วนเพื่อที่จะยกข้อต่อสู้ให้มั่นใจได้ว่าจะไม่ต้องรับโทษการแบนครั้งนี้ พร้อมเคลมว่าการแบนครั้งนี้จะทำให้ suppliers กว่า 1,200 ราย และผู้บริโภคกว่า 3,000 ล้านคนใน 170 ประเทศทั่วโลกได้รับผลกระทบที่ไม่อาจคาดคิดและไม่ยุติธรรมต่อชื่อเสียงของ Huawei ในภาพรวม

การใช้อำนาจทางปกครองเช่นนี้ของสหรัฐฯ เป็นการสร้างมาตรฐานที่สุ่มเสี่ยงมาก วันนี้มันเป็นคราวของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมและ Huawei พรุ่งนี้มันอาจเป็นคราวของบริษัทหรืออุตสาหกรรมของคุณ และลูกค้าของคุณก็ได้ – Song Liuping | Chief Legal Officer – Huawei Technologies

การขึ้นบัญชีดำ Huawei ตามข่าวล่าสุดที่เราคงพอได้ทราบกันบ้างแล้วนั้นเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของสถานการณ์ดราม่าระหว่าง Huawei กับรัฐบาลสหรัฐฯอันเป็นที่เชื่อกันอย่างสนิทใจว่าเป็นส่วนหนึ่งของเกมส์การเมืองในประเด็นสงครามทางการค้าระหว่าง 2 ชาตินี้นั่นเอง และถึงแม้เบื้องต้นจะมีการผ่อนผันโทษแบนออกไปอีก 90 วันด้วยกันแต่ดู Huawei จะไม่ได้พอใจเอาเสียเลยพร้อมปฏิเสธทุกกรณีว่านี่ไม่ใช่เรื่องความมั่นคง แต่เป็นการขัดขวางการทำธุรกิจอย่างเสรีล้วนๆ โดย Huawei ยังให้ความเห็นเอาไว้ด้วยว่า “การกระทำเช่นนี้มันเกินไปกว่าขอบเขตปกติของการแข่งขันกันในตลาดเสรี ซึ่งอาจเป็นการทำลาย Ecosystem และมาตรฐานทางเทคโนโลยีของโลกได้เลย” เช่นที่ปัจจุบัน ทุกคนจะเชื่อมถึงกันได้เป็นส่วนใหญ่ผ่านเซอร์วิสของ Google ก็อาจจะถูกแยกออกจากกันโดยสิ้นเชิงไปเลยก็ได้

เบื้องต้นยังดูไม่ง่ายที่ Huawei จะชนะ คาดกันยายนนี้ รู้กัน!

ล่าสุดทางบริษัทที่ปรึกษากฎหมาย Jones Day ตัวแทนฝ่ายกฎหมายของ Huawei ได้แจ้งเอาไว้ว่าทางศาลยุติธรรมสหรัฐฯได้มีการตอบรับกำหนดวันนัดพิจารณาคดีเอาไว้ในเดือนกันยายนของปีนี้ โดยจะมีตัวแทนของทั้ง 2 ฝ่ายเข้าร่วมฟังการพิจารณา ส่วนทางด้านตัวแทนของรัฐบาลกลางสหรัฐเองได้ออกมาให้ความเห็นต่อแถลงการณ์ของ Huawei เอาไว้ด้วยในวันเดียวกัน โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นาย Mike Pompeo อ้างว่า “Huawei เป็นเครื่องมือของรัฐบาลจีน พวกเขามีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งเลยล่ะ มันยากเกินกว่าที่ชาวอเมริกันจะเข้าใจ”

อย่างไรก็ดี มีความเห็นจากนักวิชาการสายกฎหมายหลายท่านต่อสำนักข่าว Reuters เอาไว้ว่า ศาลยุติธรรมอาจไม่สามารถให้ในสิ่งที่ Huawei ต้องการได้อย่างชัดเจนและเจาะจงเสียทีเดียว เพราะเป็นที่เชื่อกันว่าสถานการณ์นี้เกินขอบเขตของแค่เรื่องธุรกิจและการค้าไปแล้ว ทำให้ศาลไม่อาจคาดเดาไปเองได้โดยง่ายว่าการตัดสินใจในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของรัฐเช่นนี้จะแตกต่างกันไปได้ระหว่างบรรดาหน่วยงานของรัฐเดียวกันนั่นเอง

อ้างอิง: Reuters | Fox Business News | Huawei Press Conference

from:https://droidsans.com/huawei-challenges-legal-action-against-us-government-ban/

คลายปริศนา 5 ข้อบนฟีดข่าว Facebook ด้วยฟีเจอร์ “ทำไมฉันจึงเห็นโพสต์นี้”

  • Facebook ยังคงลงทุนอย่างต่อเนื่องในการให้ข้อมูลเชิงบริบทแก่ผู้คนบนแพลตฟอร์ม
  • Facebook ปล่อยฟีเจอร์ “ทำไมฉันจึงเห็นโพสต์นี้ ให้ใช้ทั่วโลกเพื่อช่วยให้

ในแต่ละวัน ผู้คนใช้ Facebook เพื่อเชื่อมต่อกับเพื่อนและครอบครัว และเกาะติดกับข้อมูลข่าวสารบนโลกรอบตัว สำหรับคนทั่วไปแล้ว นิวส์ฟีด (ฟีดข่าว) ถือเป็นศูนย์กลางของประสบการณ์การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร

ฟีดข่าวที่มีหน้าตาเหมือนกันนั้นไม่มีอยู่จริง เพราะเป็นฟีเจอร์ที่ถูกปรับให้เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละบุคคลในเชิงลึกยิ่งขึ้น ซึ่งมีทั้งชุดภาพ วิดีโอ ลิงค์ และอัพเดทตามเวลาจริง ที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ฟีดข่าวถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่วิสัยทัศน์ของ Facebook ยังคงเหมือนเดิม นั่นคือต้องการช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างการเชื่อมต่อที่มีความหมาย และสร้างสภาพแวดล้อมบนโลกออนไลน์ที่ปลอดภัย และเชื่อมต่อพวกเขากับผู้คน เพจ และกลุ่มต่างๆ ที่พวกเขาสนใจได้ดียิ่งขึ้น

เพื่อช่วยให้ผู้คนเข้าใจและสามารถควบคุมสิ่งที่พวกเขาเห็นบนฟีดข่าวได้ง่ายยิ่งขึ้น เมื่อเร็วๆ นี้ Facebook จึงได้อัพเดทฟีเจอร์“ทำไมฉันจึงเห็นโฆษณานี้” พร้อมแนะนำฟีเจอร์ “ทำไมฉันจึงเห็นโพสต์นี้” ซึ่งอธิบายว่าปฏิสัมพันธ์ของผู้คนส่งผลกระทบต่อการจัดอันดับโพสต์บนฟีดข่าวของพวกเขาอย่างไร โดยการอัพเดทและแนะนำฟีเจอร์ใหม่ครั้งนี้เกิดขึ้นไล่เลี่ยกับการอัพเดทการจัดอันดับเนื้อหา เมื่อไม่นานมานี้ เพื่อช่วยให้ผู้คนเชื่อมต่อกับโพสต์ที่มีความหมายมากที่สุดสำหรับพวกเขา

ผู้ใช้ Facebook บอกกับเราว่าการเชื่อมต่อแบบส่วนตัวคือปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่จะช่วยให้พวกเขาได้ใช้เวลาบน Facebook อย่างมีคุณภาพ ซึ่งหมายความว่าผู้คนต้องการเห็นสิ่งที่มีความสำคัญหรือมีความหมายต่อพวกเขามากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นโพสต์จากครอบครัวและเพื่อน บทความข่าว หรือวิดีโอจากเพจที่พวกเขาติดตาม พวกเขาเชื่อว่าฟีเจอร์ใหม่เหล่านี้ช่วยให้เข้าใจและจัดการกับสิ่งที่พวกเขาเชื่อมต่อได้ดียิ่งขึ้น

5 คำถามที่พบบ่อยที่สุดเกี่ยวกับฟีดข่าว ซึ่งเรามีคำตอบแล้ว   

1.      ฉันสามารถตัดสินใจเลือกสิ่งที่ฉันเห็นบนฟีดข่าวของฉันเองได้หรือไม่

คำตอบคือ ได้แน่นอน! ฟีดข่าวทำงานจากชุดอัลกอริธึมที่เรียกว่า ‘การจัดอันดับ’ เพื่อจัดการโพสต์จากเพื่อน ครอบครัว เพจ และกลุ่มของคุณ คุณจึงได้รับเนื้อหาที่เกี่ยวข้องมากที่สุดทุกครั้งที่คุณเปิด Facebook โดยมีกว่าหลายหมื่นสัญญานที่มีอิทธิพลต่อการจัดอันดับโพสต์ และสัญญาณเหล่านั้นมีที่มาจากข้อมูลของแต่ละบุคคล เช่น ใครโพสต์อะไร หรือเวลาที่เนื้อหานั้นถูกโพสต์ ซึ่งช่วยFacebook ในการคาดเดาแนวโน้มความเกี่ยวข้องของเนื้อหาต่างๆ กับตัวคุณได้

ฟีเจอร์“ทำไมฉันจึงเห็นโพสต์นี้” จะทำให้คุณสามารถเห็นสัญญาณสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการจัดอันดับโพสต์ และคุณยังสามารถจัดการกับเนื้อหาบนนิวส์ฟีดของคุณด้วยการเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าฟีดข่าว (“Preferences)” ของคุณได้ตามใจต้องการ

2.      Facebook กำลังฟังสิ่งที่ฉันพูดผ่านโทรศัพท์อยู่หรือไม่

Facebook ไม่ได้ฟังบทสนทนาของคุณผ่านไมโครโฟนของโทรศัพท์ โฆษณาและโพสต์ถูกแสดงอยู่บนฟีดข่าวตามความสนใจของผู้ใช้และข้อมูลอื่นๆ บนโปรไฟล์ของพวกเขา หากคุณสงสัยว่าทำไมบางโพสต์จึงปรากฏขึ้นมาบนฟีดข่าวของคุณ ลองใช้ฟีเจอร์ “ทำไมฉันจึงเห็นโพสต์นี้” เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับความเกี่ยวข้องของเนื้อหานั้นกับโปรไฟล์ของคุณ โดยคุณสามารถปรับเปลี่ยนการตั้งค่าเพื่อบอกให้เราทราบถึงความสนใจตามความต้องการของคุณได้อย่างง่ายดาย

3.      Facebook ขายข้อมูลส่วนตัวของฉันให้กับนักโฆษณาหรือไม่

Facebook ไม่เคยขายข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ให้กับนักโฆษณา เราใช้ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งานเพื่อทำความเข้าใจว่าเนื้อหาแบบใดที่ผู้ใช้ของเราอาจสนใจ เพื่อแสดงโพสต์และโฆษณาที่มีความเกี่ยวข้องกับพวกเขา สำหรับนักโฆษณา เราให้รายงานเกี่ยวกับลักษณะของกลุ่มคนที่ชมโฆษณาและประสิทธิภาพของโฆษณาของพวกเขา แต่ไม่ได้แบ่งปันข้อมูลที่ระบุตัวตนผู้ใช้งานแต่ละคนของเราโดยตรงแต่อย่างใด

ผู้ใช้สามารถเรียนรู้ว่าเหตุใดโฆษณาบางชิ้นจึงถูกแสดงให้พวกเขาเห็นผ่านฟีเจอร์ “ทำไมฉันจึงเห็นโฆษณานี้” ผ่าน Facebookเนื่องจากฟีเจอร์ดังกล่าวให้รายละเอียดเกี่ยวกับโฆษณา รวมถึง ‘ความสนใจ’ และลักษณะของกลุ่มเป้าหมายที่ถูกกำหนดเอาไว้สำหรับโฆษณานั้นๆ คุณยังสามารถตรวจสอบ ‘ความสนใจ’ 
ที่ถูกกำหนดมาหาคุณผ่านการตั้งค่าการกำหนดโฆษณาของคุณได้ พร้อมความสามารถในการอัพเดทการตั้งค่าตามความต้องการของคุณ

4.      Facebook ได้รับประโยชน์จากข่าวปลอมหรือไม่

ที่ Facebook เรามีเป้าหมายในการสร้างชุมชนและนำผู้คนให้มาอยู่ใกล้ชิดกันมากขึ้น เราเชื่อว่าชุมชนถูกสร้างขึ้นมาจากความไว้วางใจ ซึ่งข่าวปลอมเป็นสิ่งที่อยู่ตรงกันข้ามกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ Facebook ยึดถือ และสร้างความเสียหายให้แก่โมเดลธุรกิจของบริษัท เพราะเนื้อหาคุณภาพต่ำ ทำให้ผู้คนมีแนวโน้มที่จะเข้ามาใช้งานแพลตฟอร์มน้อยลง

หากคุณพบกับข้อมูลที่ไม่เป็นความจริงหรือเนื้อหาที่น่าสงสัยบนฟีดข่าว เราแนะนำเป็นอย่างยิ่งว่า คุณควรรายงานเนื้อหานั้น เรามีความมุ่งมั่นในการต่อสู้กับเนื้อหาที่ไม่เป็นความจริงและความร่วมมือจากชุมชนนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง

5.      ทำไมฉันจึงสามารถเห็นเพื่อนเพียงจำนวนหนึ่งบนฟีดข่าวของฉัน

โดยเฉลี่ยแล้ว ผู้คนจะมีคลังโพสต์ที่แสดงให้พวกเขาเห็นจำนวนหลายพันโพสต์ในแต่ละวัน แต่พวกเขามีเวลาในการดูโพสต์ต่างๆ เพียง 300 โพสต์เท่านั้น โพสต์ที่คุณเห็นบนฟีดข่าวของคุณถูกปรับให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล โดยมีที่มาจากเพื่อน ครอบครัว เพจ และกลุ่มของคุณ รวมถึงการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งเหล่านั้น และความนิยมของโพสต์

หากคุณต้องการเห็นโพสต์มากขึ้นหรือน้อยลงจากเพื่อน เพจ หรือกลุ่มแบบเฉพาะเจาะจง คุณสามารถปรับฟีดข่าวของคุณให้ตรงกับความต้องการได้ด้วยการใช้การตั้งค่าควบคุมความเป็นส่วนตัวต่างๆ เช่น ‘เห็นโพสต์ก่อน’ ‘เลิกติดตาม’ ‘ซ่อนโพสต์’ และ ‘ซ่อนโพสต์ชั่วคราว’ นอกจากนี้ ทางลัดสู่การตั้งค่าความเป็นส่วนตัวเหล่านี้ยังมีให้บริการในฟีเจอร์ “ทำไมฉันจึงเห็นโพสต์นี้” อีกด้วย

ทั้งฟีเจอร์ “ทำไมฉันจึงเห็นโฆษณานี้” และ “ทำไมฉันจึงเห็นโพสต์นี้” สามารถค้นพบได้โดยไปที่เมนูที่อยู่ด้านขวาของโพสต์ โดยฟีเจอร์ดังกล่าวพร้อมให้บริการกับผู้ใช้งานทุกคนแล้วในวันนี้

from:https://www.flashfly.net/wp/253481

[Guest Post] ผลสำรวจชี้พฤติกรรมด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของพนักงานภายในองค์กรแย่ลง

คนรุ่นใหม่ส่วนมากใช้รหัสผ่านซ้ำ ทั้งในที่ทำงานและในบัญชีส่วนตัว

แม้จำนวนที่มากขึ้นของเหตุการณ์ด้านความมั่นคงปลอดภัย และความกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ในองค์กร ก็ไม่อาจทำให้พนักงานเลิกพฤติกรรมสุ่มเสี่ยงบนโลกออนไลน์

พนักงานในองค์กรมีพฤติกรรมด้านไซเบอร์ที่แย่ลง จากผลการสำรวจ 2018 Market Pulse Survey โดย SailPoint ที่ทำการสำรวจพนักงานกว่า 1,600 คน จากหลากหลายองค์กร ในหลายประเทศทั้ง ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี สเปน อังกฤษ และอเมริกา

โดย 3 ใน 4 (75%) ของผู้ตอบแบบสอบถามยอมรับว่าพวกเขาใช้รหัสผ่านซ้ำในทุกบัญชี ซึ่งเพิ่มจากปี 2014 ที่มี 56% เท่านั้นที่ใช้รหัสผ่านซ้ำ

ซึ่งโดยทั่วไปเราอาจคิดว่าคนรุ่นใหม่ที่โตขึ้นมาพร้อมกับเทคโนโลยีนั้นน่าจะมีความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีเป็นอย่างดี แต่กลับกัน 87% ของคนอายุ 18-25 ปี ใช้รหัสผ่านซ้ำๆ และมีอีกเกือบครึ่งที่ใช้ทั้งที่บ้านและที่ทำงาน

นอกจากนี้ 31% ของผู้ตอบแบบสอบถามยังยอมรับว่าพวกเขาติดตั้งโปรแกรมโดยไม่แจ้งเจ้าหน้าที่ฝ่าย IT ก่อน สื่อถึงปัญหาการสื่อสารกันของพนักงานและฝ่าย IT และมีผู้ตอบแบบสอบถามถึง 55% ที่บอกว่าการติดต่อกับฝ่าย IT เป็นเรื่องลำบาก

ในความเป็นจริงแล้วมี 13% ของพนักงานที่ยอมรับว่าพวกเขาไม่แจ้งฝ่าย IT ทันที เมื่อพวกเขาคิดว่าตัวเองโดนแฮ็ก และแน่นอนว่า 49% ของพนักงานโทษฝ่าย IT เมื่อเกิดเหตุการณ์โจมตีไซเบอร์

ถึงแม้จะไม่ได้มีเจตนาร้ายแต่ การเพิกเฉยเกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัยก็นับเป็นการนำความเสี่ยงเข้ามาในองค์กรทางหนึ่ง นี่เป็นการเปิดเผยความปัญหาใหญ่ที่ต้องได้รับการแก้ไข เพื่อให้องค์กรอยู่ในยุคดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน

เกี่ยวกับ ESET

ESET เป็นผู้บุกเบิกการป้องกันไวรัส ด้วยเทคโนโลยี NOD32 ที่ได้รับการพัฒนามานานกว่า 30 ปี เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมและบริการความปลอดภัย IT ทั้งแบบบุคคลและองค์กรทั่วโลก ด้วยโซลูชันที่ครอบคลุมการใช้งานที่หลากหลายและรองรับทุกแพลตฟอร์ม ผลิตภัณฑ์ของ ESET เป็นตัวแทนของประสิทธิภาพและการใช้งานที่ง่าย ทำให้ผู้ใช้และองค์กรสามารถใข้งานเทคโนโลยีได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ด้วยการป้องกันตลอด 24 ชั่วโมง และสำนักงานวิจัยและพัฒนาที่คอยตรวจสอบภัยคุกคามที่เกิดขึ้นใหม่ตลอดเวลา การันตีด้วยรางวัล VB100 จาก Virus Bulletin ต่อเนื่องมากกว่า 100 รางวัล

ESET ปกป้องผู้ใช้มากกว่า 110 ล้านเครื่อง ในพื้นที่มากกว่า 200 ประเทศ

ติดตาม ESET ได้ที่ ESET Thailand และข่าวสารความมั่นคงปลอดภัยที่ Blog ESET

from:https://www.techtalkthai.com/employees-security-awareness-getting-worse/

กลุ่ม True แจ้งความคืบหน้ากรณีข้อพิพาทกับทีโอที เกี่ยวกับค่าเชื่อมต่อโครงข่ายแบบเดิม (Access Charge)

วันนี้ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้แจ้งรายงานต่อ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เกี่ยวกับความคืบหน้ากรณีข้อพิพาทกับทีโอที ในคดีที่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง เพื่อเรียกร้องให้ บริษัท กสท. โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ บริษัท ทรู มูฟ จำกัด ชำระค่าเชี่อมต่อโครงข่ายแบบเดิม (Access Charge) จำนวนเงินประมาณ 59,628 ล้านบาท และดอกเบี้ยของต้นเงินดังกล่าวคิดตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

โดยวันนี้ (31 พ.ค. 2562) ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษายกฟ้องคดีในคดีดังกล่าว ทำให้ทรูมูฟ ไม่ต้องชำระค่าเสียหายตามที่ทีโอทีเรียกร้อง อย่างไรก็ตาม ทีโอทีมีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดภายใน 30 วัน นับแต่วันที่อ่านคำพิพากษา ทั้งนี้ บริษัทฯ มีความเห็นว่า ทรูมูฟไม่มีภาระผูกพันที่จะต้องจ่ายค่า Access Charge ตามที่ทีโอทีเรียกร้องข้างต้น และจะติดตามความคืบหน้าในกรณีดังกล่าวต่อไป

#TrueTogether

from:https://www.flashfly.net/wp/253478

OPPO Reno สมาร์ทโฟนซูมมากที่สุดในตลาด เผยสเปค พร้อมเปิดตัวในไทยทางการ 4 มิถุนายนนี้!

เมื่อไม่นานมานี้ เชื่อว่าหลายๆคนคงเห็นกันมาบ้างว่า OPPO กำลังจะเปิดตัว OPPO Reno Series รุ่นใหม่สุดพรีเมี่ยมในวันที่ 4 มิถุนายนนี้ ไม่เพียงแค่ประกาศผ่านหน้า Official Facebook ของ OPPO เท่านั้น แต่ยังจัดหนัก จัดเต็ม เหมาทั้งปกหน้าและปกหลังหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เพียงใส่ข้อความสั้นๆว่า 60x OPPO Reno Series แล้วพบกัน 4 มิถุนายน พ่วงด้วย 1x, 6x, 10x,…? Imagine more จนเป็นกระแสแรงที่สุดเลยก็ว่าได้สำหรับ OPPO ในช่วงนี้

นอกจากกระแสจากการเหมาหน้าหนังสือพิมพ์ไทยรัฐแล้ว OPPO จัดเต็มด้วยการส่งการ์ดเชิญเข้าร่วมงานเปิดตัว OPPO Reno Series แก่สื่อต่างๆ ซึ่งมีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก เพราะไม่ได้มีเพียงแค่ดีไซน์เดียว แต่มีทั้งหมดถึง 3 ดีไซน์ด้วยกัน แสดงให้เห็นถึงความ Creativity อันไร้ขอบเขต เข้ากับคอนเซ็ปต์ Creativity ของ OPPO Reno Series อีกด้วย โดยการ์ดเชิญนี้มาพร้อมข้อความว่า OPPO Reno Series ‘FURTHER YOUR VISION’

เรียกได้ว่าดีไซน์แรก สามารถเดาได้เลยว่า OPPO Reno Series จะมาพร้อมเทคโนโลยีการซูม 60 เท่า ด้วยกล้องหลัง 3 ตัว ซึ่งหาก OPPO Reno Series สามารถซูมได้ถึง 60 เท่า ก็ถือได้ว่า เป็นแบรนด์สมาร์ทโฟนที่สามารถซูมแบบดิจิทัลได้มากที่สุดในตลาด เห็นได้จากภาพถ่ายเปรียบเทียบการซูมทั้ง 3 ภาพพร้อมข้อความ 1x 10x และ 60x

การ์ดเชิญดีไซน์ต่อมา มาพร้อมข้อความ ‘The Real Full Screen with Creative Design’ เดาได้เลยว่า OPPO Reno Series อาจมาพร้อมดีไซน์หน้าจอแบบ Full Screen หน้าจอกว้าง 6.6 นิ้ว ไร้ติ่ง ไร้สิ่งกีดขวาง และด้วยภาพกล้องเลื่อนขึ้นในการ์ดเชิญ จะเห็นเป็นการเลื่อนขึ้นในรูปแบบใหม่ ให้ความโดดเด่นและไม่เหมือนใคร

ดีไซน์สุดท้าย มาพร้อมกับข้อความ ‘Enjoy High Speed Experience’ โดยอาจหมายถึง การเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์แบบไฮสปีด ซึ่ง OPPO Reno Series อาจมาพร้อมเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน ไม่ว่าจะไฮสปีดไปกับการเล่นเกม การใช้งานแอพพลิเคชั่น หรือ ไฮสปีดไปกับเทคโนโลยีชาร์จไว

แล้วมาค้นหาคำตอบของ OPPO Reno Series พร้อมกันในวันที่ 4 มิถุนายน 2562

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/oppothai/ 

from:https://www.flashfly.net/wp/253471

Oracle ERP Cloud: บริหารจัดการธุรกิจผ่าน Cloud พร้อมก้าวสู่อนาคตได้ด้วยการผสาน AI, IoT

การใช้งานระบบ Cloud ERP นั้นได้กลายเป็นที่นิยมอย่างมากในธุรกิจหลากหลายอุตสาหกรรมและหลากหลายขนาดทั่วโลก และ Oracle เองหนึ่งในฐานะของผู้พัฒนาระบบ ERP รายใหญ่ที่เป็นเบื้องหลังของธุรกิจชั้นนำจำนวนมาก ก็ได้ให้บริการ Oracle ERP Cloud แก่ธุรกิจองค์กรจนได้รับกระแสตอบรับอย่างดี ด้วยจุดเด่นเรื่องความยืดหยุ่นในการใช้งาน และความสามารถในการต่อยอดที่ตอบโจทย์ธุรกิจที่ต้องการทำ Digital Transformation ได้เป็นอย่างดี บทความนี้เราจะมาทำความรู้จัก Oracle ERP Cloud อย่างเบื้องต้นกันครับ

Oracle ERP Cloud: รวมทุก Application ที่จำเป็นต่อการบริหารธุรกิจ ให้เลือกใช้งานได้ตามต้องการ

Credit: Oracle

หลายๆ คนคงจะรู้จักกับบริการ Cloud ERP กันมาบ้างแล้วไม่มากก็น้อย ซึ่งหากจะสรุปอย่างย่นย่อแล้ว บริการ Cloud ERP นั้นก็คือการยกระบบ ERP ขึ้นไปไว้บนระบบ Cloud และคิดค่าใช้จ่ายในรูปแบบรายเดือนหรือ Subscription-based นั่นเอง โดยนอกจากการย้ายระบบไปอยู่บน Cloud แล้ว Cloud ERP นั้นก็ยังมักมาพร้อมกับบริการในการดูแลรักษาระบบ, การอัปเกรด, การจัดการด้าน Security และอื่นๆ อีกมากมายจากผู้ผลิตและผู้ให้บริการ Cloud ERP โดยตรง ทำให้องค์กรสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาลงไปได้เป็นอย่างมาก และสามารถมุ่งเน้นไปที่การทำธุรกิจหรือการปรับแต่งระบบ ERP ให้ตอบโจทย์ต่อการใช้งานจริงได้มากขึ้น

Oracle ERP Cloud เองก็เป็นอีกหนึ่งบริการ Cloud ERP ที่เกิดขึ้นมาภายใต้แนวคิดดังกล่าว โดย Oracle ได้แบ่งโมดูลต่างๆ ที่จำเป็นต่อธุรกิจเอาไว้ให้ธุรกิจต่างๆ สามารถเลือกใช้งานได้ตามความต้องการ ได้แก่

  • Oracle Financials Cloud รวมโซลูชันด้านการเงินและบัญชี เพื่อเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการต่อยอดระบบ ERP ด้วยการเปลี่ยนระบบด้านการเงินและบัญชีให้เป็นอัจฉริยะก่อน
  • Oracle Procurement Cloud โซลูชันด้านการจัดซื้อที่จะช่วยให้ทุกกระบวนการและเอกสารด้านการจัดซื้อนั้นถูกจัดการได้จากศูนย์กลางและติดตามได้อย่างง่ายดาย รวมถึงยังทำให้รวบรวมข้อมูลของ Supplier ได้อย่างเป็นระบบ
  • Oracle Enterprise Performance Management (EPM) Cloud โซลูชันระบบรายงานทางด้านการเงิน, ผลประกอบการ และการวางแผนดำเนินงานของธุรกิจ
  • Oracle Project Portfolio Management (PPM) Cloud โซลูชันด้านการบริหารจัดการโครงการแบบครบวงจรที่รองรับการใช้งานได้ในธุรกิจหลากหลายอุตสาหกรรม
  • Oracle Risk Management Cloud โซลูชันด้านการบริหารจัดการความเสี่ยงและการทำ Compliance สำหรับธุรกิจ
  • Oracle Supply Chain Management (SCM) Cloud โซลูชันสำหรับการจัดการ Supply Chain ที่ครอบคลุมตั้งแต่การจัดซื้อ, การทำ Product Lifecycle Management, การทำ Supply Chain Planning, การจัดการ Logistics และการทำ Order Management
  • Oracle Human Capital Management (HCM) Cloud โซลูชันสำหรับจัดการทรัพยากรบุคคลแบบครบวงจรตั้งแต่การจัดจ้าง, การฝึกอบรม, การติดตามประสิทธิภาพการทำงาน ไปจนถึงการบริหารจัดการทักษะและความสุขของพนักงาน

Credit: Oracle

จะเห็นได้ว่าบริการเหล่านี้ล้วนแต่เคยเป็นโซลูชันของ Oracle ที่เคยมีมาก่อนทั้งสิ้น โดย Oracle ได้ทำการพัฒนาโซลูชันเหล่านั้นต่อยอดขึ้นมาและปรับปรุงให้กลายเป็นบริการ Cloud พร้อมทั้งเปลี่ยนแปลงสถาปัตยกรรมการออกแบบระบบให้ระบบเหล่านี้สามารถทำงานได้อย่างดีที่สุดบน Cloud พร้อมยังรองรับการต่อยอดกับระบบอื่นๆ ในอนาคตอีกมากมาย

ทาง Oracle ได้ยกตัวอย่างของความคุ้มค่าในการเลือกใช้ Oracle ERP Cloud เอาไว้ดังนี้

  • Cloud ERP นั้นมี ROI สูงกว่า On-Premises ERP ถึง 3.2 เท่า
  • ความเร็วและความแม่นยำในการจัดทำรายงานทางการเงินนั้นสูงขึ้นเป็นอย่างมาก โดยเวลาที่ใช้ในการจัดทำรายงานการเงินประจำปีนั้นลดลงถึง 50%
  • ลดเวลาที่ต้องใช้ในการจัดการเอกสารด้านบัญชีลงถึง 30% และช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดการ Cash Flow ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยข้อมูลที่ครบถ้วนกว่าเดิม
  • การจัดทำรายงานทางธุรกิจในรูปแบบต่างๆ นั้นมีประสิทธิภาพสูงขึ้นถึง 51% ทำให้ทุกๆ แผนกในธุรกิจสามารถวางแผนได้รวดเร็วขึ้น โดยการจัดทำรายงานทางธุรกิจใดๆ นั้นถูกเปลี่ยนเป็นแบบ Self-Service ทำให้พนักงานหรือผู้บริหารสามารถออกรายงานต่างๆ ได้ตามต้องการ
  • สามารถทำการทำนายหรือจำลองเหตุการณ์ทางธุรกิจได้ดีมากขึ้น ด้วยการนำ AI และ Machine Learning มาใช้งาน

นอกเหนือไปจากความสามารถพื้นฐานทางด้าน ERP แล้ว Oracle ERP Cloud เองก็ได้มีการเสริมเทคโนโลยีใหม่ๆ รวมถึงรองรับการต่อยอดในรูปแบบที่หลากหลายได้ ดังเช่น:

ผสาน AI ในตัว ให้คำแนะนำและทำนายแนวโน้มต่างๆ ได้อย่างชาญฉลาด

จุดเด่นหนึ่งของ Oracle ERP Cloud ก็คือการนำ AI และ Machine Learning เข้ามาผสานในระบบโดยตรง โดย Oracle นั้นมีการรวบรวมข้อมูลทางธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรมเพื่อนำมาสร้างเป็นฐานข้อมูลสำหรับให้ AI และ Machine Learning ได้เรียนรู้และสร้าง Model สำหรับนำไปใช้งานในแง่มุมต่างๆ มากมาย ทำให้มี AI หรือ Machine Learning สำหรับตอบโจทย์เฉพาะทางในธุรกิจอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างหลากหลาย พร้อมนำไปใช้งานในระบบต่างๆ ของ Oracle ERP Cloud ได้เลย ลดค่าใช้จ่ายขององค์กรในการลงทุนจ้าง Data Scientist ในช่วงแรกเริ่มลงไปได้อย่างมหาศาล https://www.oracle.com/applications/ai-apps/

วิเคราะห์ข้อมูลได้ตามต้องการทันที ไม่ต้องมีระบบ Data Warehouse เพิ่มเติม

สำหรับธุรกิจที่ต้องมีการวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจอย่างต่อเนื่องนั้น Oracle Analytics คือโซลูชันสำหรับตอบโจทย์นี้ด้วยความสามารถในการเข้าถึงและวิเคราะห์ข้อมูลจาก Oracle ERP Cloud ได้อย่างครบถ้วนครอบคลุม โดยที่ไม่ต้องมีการจัดเตรียมข้อมูลภายในระบบ Data Warehouse แต่อย่างใด ทำให้หลายๆ ธุรกิจนั้นสามารถลดความซับซ้อนในการวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจลงได้เป็นอย่างมาก https://www.oracle.com/solutions/business-analytics/

เสริม Blockchain ในธุรกิจได้อย่างง่ายดายผ่านบริการ SaaS

การนำ Blockchain มาใช้งานในธุรกิจนั้นถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญสำหรับธุรกิจที่ต้องการวางรากฐานสู่อนาคตอย่างยั่งยืน และ Oracle ก็ได้เตรียมโซลูชัน Blockchain Application อย่างหลากหลายมาให้บริการบน Cloud พร้อมให้นำไปใช้งานได้ทันที และบริการเหล่านี้ก็ยังสามารถทำงานร่วมกับ Oracle ERP Cloud ได้อีกด้วย https://www.oracle.com/applications/blockchain/

เริ่มต้นใช้งาน Internet of Things (IoT) อย่างจริงจังได้เลย ด้วยโซลูชันจาก Oracle

อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ถูกใช้งานกันเป็นอย่างมากในธุรกิจหลากหลายอุตสาหกรรมนั้นก็คือ IoT ที่มีบทบาทตั้งแต่การตรวจสอบดูแลและบริหารจัดการเครื่องจักรในการผลิต ไปจนถึงการเป็นส่วนหนึ่งของผลิตภัณฑ์หรือบริการของธุรกิจโดยตรง ซึ่ง Oracle ก็มีโซลูชันด้าน IoT ที่หลากหลาย และโซลูชันเหล่านี้เองก็พร้อมทำงานร่วมกับ Oracle ERP Cloud ได้ด้วยเช่นกัน https://www.oracle.com/internet-of-things/

ติดต่อทีมงาน Oracle ได้ทันที

สำหรับผู้ที่สนใจโซลูชัน Oracle Cloud ERP และต้องการข้อมูลเพิ่มเติมหรือต้องการให้ทีมงาน Oracle เข้าไปนำเสนอโซลูชัน สามารถติดต่อทีมงาน Oracle ในประเทศไทยโดยตรงได้ที่อีเมล์ market_th@oracle.com

from:https://www.techtalkthai.com/oracle-erp-cloud-introduction/

ดีแทครับข่าวดี ศาลปกครองกลางยกฟ้องคดีทีโอทีเรียกค่าเชื่อมโยงโครงข่ายจากดีแทค

 

ศาลปกครองกลาง (ศาลชั้นต้น) ได้มีคำพิพากษายกฟ้องในคดีของทีโอทีที่เรียกร้องค่าเชื่อมโยงโครงข่ายโทรคมนาคม (Access Charge)จากดีแทค ซึ่งทีโอทีได้ยื่นฟ้องคดีในปี พ.ศ. 2554 

โดยเรียกร้องให้บริษัทชำระค่าเชื่อมโยงโครงข่ายต่อทีโอทีที่เกิดจากการเชื่อมต่อโครงข่ายระหว่างผู้ใช้บริการของบริษัทและเครือข่ายของทีโอทีตั้งแต่วันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 ถึง 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 245,638 ล้านบาท รวมดอกเบี้ยและภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว

ทั้งนี้ คำพิพากษายกฟ้องทำให้ดีแทคไม่ต้องชำระค่าเชื่อมโยงโครงข่ายต่อทีโอทีตามที่ถูกยื่นฟ้อง อย่างไรก็ดี คำพิพากษายกฟ้องดังกล่าวยังไม่ถึงที่สุด โดยทีโอทียังมีสิทธิอุทธรณ์คำพิพากษายกฟ้องดังกล่าวภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด

 

from:http://mobileocta.com/central-administrative-court-issues-a-verdict-dismissing-tots-claim-on-access-charges-against-dtac-in-its-entirety/

[ไม่ยืนยัน] บริษัทขายซอฟต์แวร์และไลบรารีออกแบบชิป Synopsys หยุดทำธุรกิจกับหัวเว่ย

สำนักข่าว Nikkei อ้างแหล่งข่าวไม่เปิดเผยตัวตนสองแหล่งระบุว่าบริษัท Synopsys ผู้ผลิตซอฟต์แวร์ออกแบบชิป และผู้ขายพิมพ์เขียวโมดูลพื้นฐานในชิปได้หยุดทำธุรกิจกับหัวเว่ยตามคำสั่งรัฐบาลสหรัฐฯ แล้ว

Synsopsys คือผู้ขายโมดูลย่อยๆ (Silicon IP) ในชิปจำนวนมากทั่วโลก เช่น โมดูล USB ที่จำเป็นต่อการออกแบบซีพียูที่รองรับพอร์ต USB, โมดูลต่อจอภาพ, โมดูลเชื่อมต่อหน่วยความจำ ฯลฯ การใช้โมดูลเหล่านี้เป็นหัวใจของการปรับปรุงชิปที่อาจจะซื้อพิมพ์เขียวมาทั้งชุดจากบริษัทขายพิมพ์เขียวซีพียู เช่น ARM หรือ MIPS ทำให้ชิปแต่ละเจ้ามีความแตกต่างกันไป การพัฒนาโมดูลเหล่านี้ขึ้นมาเองทั้งหมดจะกินเวลานาน และอาจทำให้ได้ชิปที่มีคุณภาพแย่ลงเพราะผ่านการทดสอบมาน้อยกว่า

คู่แข่งของ Synopsys คือบริษัท Cadence ก็เป็นบริษัทสหรัฐฯ เช่นเดียวกัน และทางหัวเว่ยก็เป็นลูกค้าของทั้งสองบริษัท โดยยังไม่มีข้อมูลว่า Cadence ยังขายสินค้าให้กับหัวเว่ยอยู่หรือไม่

แม้ Nikkei จะอ้างแหล่งข่าวไม่เปิดเผยตัว แต่ Synopsys ก็ยืนยันว่าประกาศของรัฐบาลสหรัฐฯ จำกัดการทำธุรกิจกับลูกค้า “รายหนึ่ง”

ที่มา – Nikkei Asian Review

No Description

ภาพ EEPROM ผ่านกล้องจุลทรรศน์โดย Zephyris

Topics: 

from:https://www.blognone.com/node/110065