คลังเก็บป้ายกำกับ: CONTENT

6 ลำโพงคอมตัวเด็ดปี 2023 เพื่อคนรักเสียงเพลง ดูหนังก็มันส์! เริ่มแค่ 329 บาทเอง!

ลำโพงคอมดีๆ ปี 2023 นี้มีให้เลือกหลายรุ่นตั้งแต่ราคาเบาไปจนตัวพรีเมี่ยมเลย!

7ลำโพง

คนที่ชื่นชอบเรื่องไอทีรู้ว่าอุปกรณ์คอมแทบทุกชิ้นสามารถอ่านกระดาษสเปคแล้วตัดสินใจซื้อได้ ยกเว้นลำโพงคอมเพียงชิ้นเดียวเท่านั้นที่ทำอย่างนั้นแทบไม่ได้เลย เพราะเรื่องของเสียงเกี่ยวข้องกับรสนิยมของแต่ละคน บางคนอาจจะชอบเสียงแหลมเคลียร์ เบสฟังสบายหู แต่บางคนก็ตรงกันข้ามอยากได้เสียงเบสหนัก โทนเสียงทึบดุดัน เพราะชอบเพลงร็อคและเมทัล ถ้าได้ลำโพงสไตล์นั้นไปก็คงจะส่ายหน้า ดังนั้นอุปกรณ์คอมที่เกี่ยวข้องกับรสนิยมและความชอบของแต่ละคนจึงเอากระดาษสเปคมาดูได้ แต่ก็ต้องไปทดลองฟังเสียงของลำโพงตัวนั้นด้วย ว่าถูกใจหรือเปล่า? แต่ถ้าไม่คิดมากจะซื้อมาต่อคอมให้ได้ยินเสียงของหนังที่ดูเพลงที่ฟังอย่างนี้ก็ไม่ต้องคิดมากก็ได้

ถ้าตัดสินใจแล้วว่าจะลงทุนกับลำโพงคอมดีๆ สักตัว ณ ตอนนี้ก็มีตั้งแต่รุ่นราคาไม่แพงแค่ 2,000 บาทก็ใช้ฟังเพลงได้แล้ว หรือจะจริงจังก็ซื้อแบบเป็นตู้ลำโพงมีพอร์ตเชื่อมต่อหลายๆ อย่างในตัวทั้ง Banana plug, สายเปลือยแยกฝั่งซ้ายขวา, Optical ไปจนรุ่นต่อ Bluetooth เข้ามือถือได้ก็มี ซึ่งราคาก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ว่าไปตามฟีเจอร์ของลำโพงแต่ละตัว ว่ากันไปตามโจทย์ของแต่ละคน

Advertisementavw
ลำโพงคอม

วิธีเลือกลำโพงคอมฉบับเข้าใจง่าย อ่านเสร็จเดินหน้าเข้าร้านคอมไปลองฟังเสียงได้เลย!

cq5dam.web .1000.1000

เพราะในยุคนี้การเลือกลำโพงสักตัวนอกจากจิ้มสายหูฟังแล้วใช้ได้เลย ยังมีปัจจัยอื่นๆ ให้คิดอีกหลายอย่าง เพราะบางคนนอกจากคอมแล้วก็อยากต่อมือถือหรือแท็บเล็ตเพื่อดูหนังฟังเพลงได้ด้วย แต่จะเลือกอย่างไรถึงดีสุด ก็มีวิธีดูดังนี้

  1. ดีไซน์และขนาด เป็นสิ่งแรกที่หลายคนน่าจะคิดถึง โดยเฉพาะคนจัดโต๊ะคอมอยากคุมธีมข้าวของบนโต๊ะให้ใช้สีโทนใกล้เคียงหรือเหมือนกันตามรสนิยมและความชอบของแต่ละคน และยังต้องคิดถึงขนาดของลำโพงให้พอดีวางบนโต๊ะได้ด้วย ถ้าใหญ่เกินไปก็วางไม่ได้หรือเบียดพื้นที่ข้าวของบนโต๊ะจนรกไปหมด ส่วนนี้ยังสามารถดูขนาดของลำโพงในหน้าสเปคแล้ววัดพื้นที่โดยคร่าวๆ เอาไว้ก่อนได้
  2. ระบบเชื่อมต่อจะเอาอะไรบ้าง? เริ่มต้นถ้าจะใช้กับคอมอย่างเดียว จะเริ่มจากรุ่นต่อสายหูฟัง 3.5 มม. แล้วใช้งานได้เลยก็ได้ แต่ถ้าอยากต่อมือถือหรือแท็บเล็ตได้ก็ควรหารุ่นที่ต่อ Bluetooth ได้ด้วยก็สามารถกดสลับโหมดได้ทันที และรุ่นราคาสูงขึ้นหลายๆ รุ่นก็จะมีช่องต่อ Subwoofer, เสริม DAC ให้ปรับจูนเสียงได้ละเอียดและดียิ่งขึ้นได้อีกด้วย
  3. กำลังขับก็สำคัญ ลำโพงแต่ละตัวจะมีกำลังขับแตกต่างกัน โดยแยกเป็น 2 ค่า คือ RMS (Root Mean Square) คือกำลังขับที่เหมาะสมของลำโพงหรือแอมปลิฟายเออร์นั้นๆ ตอนฟังเพลงอย่างต่อเนื่องและลำโพงไม่เสียหาย ส่วน Peak หรือกำลังขับสูงสุดเท่าที่ลำโพงหรือแอมปลิฟายเออร์ทำได้ตอนเปิดเสียงดังสุด แต่ควรเปิดเพียงชั่วคราวเป็นเวลาสั้นๆ ไม่อย่างนั้นดอกลำโพงจะเสียหายได้ สมมติถ้าอ่านในหน้าสเปคแล้วเจอคำว่า 42W RMS (60W Peak) นั่นคือกำลังขับของลำโพงตัวนั้นๆ เวลานับกำลังขับต่อข้าง ให้เอาค่า RMS มาหาร 2 เช่น 42W RMS คือ 21W RMS ต่อข้างนั่นเอง
  4. ค่าการตอบสนองความถี่ก็สำคัญ! บางคนอาจมองข้ามเรื่องนี้ แต่ค่าการตอบสนองความถี่ (Frequency Response) มีผลต่อลำโพงและหูฟังมาก ซึ่งถ้ามีค่าความถี่ที่ดีและเหมาะสมจะทำให้ลำโพงตัวนั้นๆ สามารถเล่นเสียงต่ำ, กลาง, สูง ออกมาได้อย่างถูกต้องไม่มีเสียงเพี้ยน ส่วนหูของมนุษย์จะได้ยินคลื่นความถี่เสียงแตกต่างกันไป เริ่มต้นที่ 20Hz (เสียงเบส) ไปจนสุดราว 20,000Hz (20kHz) ซึ่งเป็นเสียงแหลมและถ้าเกินจากนี้หูก็จะไม่ได้ยินแล้ว พออายุเพิ่มขึ้นประสาทหูจะเสื่อมสภาพลงและฟังเสียงความถี่สูงได้น้อยลงเรื่อยๆ โดยผู้สูงอายุส่วนใหญ่จะได้ยินเสียงราว 13~14kHz และลำโพงคอมทั่วไปจะมีค่าตอบสนองความถี่ 20Hz~20kHz
  5. เสียงกี่แชนแนลดี? ลำโพงหลายๆ ตัวจะเขียนหน้าสเปคเอาไว้ว่าเป็น 2.0, 2.1, 5.1 แชนแนล ซึ่งข้อมูลในส่วนนี้จะบอกถึงจำนวนลำโพงในเซ็ต เช่น 2.1 ก็มีดอกลำโพง (Satellite) 2 ตัว และ Subwoofer อีก 1 ตัว ซึ่งหน้าที่ของ Subwoofer จะช่วยเสริมเสียงย่านความถี่ต่ำ (low frequency) และเนื้อเสียงโดยองค์รวมให้ดีมีมิติยิ่งขึ้นรวมถึงเบสให้มีมิติยิ่งกว่าเดิม ซึ่งถ้าใช้ดูหนังฟังเพลงทั่วไปก็ใช้แบบ 2.0 แชนแนลพอแล้ว แต่ถ้าเน้นดูหนังฟังเพลงให้เต็มอิ่มมีมิติกว่าเดิมก็หาแบบ 2.1 แชนแนลเพิ่มได้ ทว่าลำโพงบางรุ่นถึงเป็น 2.0 แชนแนล แต่ก็มีช่องเอาไว้ต่อ Subwoofer เพิ่มให้เป็น 2.1 แชนแนลได้
  6. มีชิป DSP ในตัวยิ่งแจ่ม! อย่างลำโพงคอมรุ่นราคา 2-3 พันบาทหลายๆ รุ่นในตอนนี้ ผู้ผลิตหลายๆ เจ้าก็ใส่ชิปเสียงดิจิตอล (DSP – Digital Signal Processor) เสริมเข้ามาให้เพื่อประมวลผลเสียงให้ดีมีรายละเอียดมากยิ่งขึ้น โดยมีลำดับขั้นตอนทำงานคือ สัญญาณอนาล็อค > ตัวแปลงสัญญาณอนาล็อคเป็นดิจิตอล (ADC – Analog-to-Digital Conversion) > DSP > ตัวแปลงสัญญาณดิจิตอลเป็นอนาล็อค (DAC – Digital to Analog Converter) > สัญญาณอนาล็อค (ที่ปรับจูนเสียงให้ดีขึ้นแล้ว) นั่นเอง ซึ่งเสียงของเพลงเดียวกันจากลำโพงที่มีและไม่มี DSP ต่างกันอย่างมาก
  7. รับรีโมตคุมเพิ่มไหม? นอกจากปรับเสียงลำโพงด้วยลูกบิดบนตัวหรือในคอมแล้ว ลำโพงคอมบางตัวจะมีรีโมตแยกมาให้โดยเฉพาะเอาไว้ควบคุมได้ง่ายขึ้น เผื่อว่าเอาลำโพงตัวเดียวต่อทั้งเครื่องเสียง, คอมพิวเตอร์, แท็บเล็ตก็กดสลับโหมดไปมาได้ หรือแม้แต่กด Mute เสียงลำโพงชั่วคราวก็ด้วย

สรุปสเปค 6 ลำโพงคอมตัวเด็ด มีติดโต๊ะดูหนังดีฟังเพลงก็เพลิน!

สเปคลำโพงคอม ขนาด

น้ำหนัก

ค่าตอบสนองความถี่

กำลังขับ

พอร์ตเชื่อมต่อ ชุดควบคุม ราคา (บาท)
Logitech Z120 ข้างละ
110 x 90 x 88 มม.

รวม 250 กรัม

1.2 วัตต์ RMS AUX

USB สำหรับจ่ายไฟ

ลูกบิดปรับเสียง
และเป็นสวิตช์
329
CREATIVE Pebble Plus ดอกลำโพงข้างละ 116 x 122 x 115 มม.

Subwoofer
150 x 195 x 202 มม.

ดอกลำโพง
ข้างละ
300 กรัม

Subwoofer 1 กิโลกรัม

50Hz~20kHz

8 วัตต์ RMS
(16 วัตต์ Peak)

AUX

USB สำหรับจ่ายไฟ

ลูกบิดปรับเสียง
และเป็นสวิตช์
1,450
Edifier G2000 ข้างละ
106 x 105 x 130 มม.
98Hz~20kHz

8+8 วัตต์ RMS
(16+16 วัตต์ Peak)

AUX

USB

Bluetooth 5.0

USB-DAC

ก้านปรับเพิ่มลดเสียงลำโพง 2,790
Edifier R1380DB ข้างละ
150 x 240 x 180 มม.

รวม 5 กก.

55Hz~20kHz

21+21 วัตต์ RMS

Coaxial

Optical

RCA คู่

Bluetooth 5.1

รีโมต

ลูกบิด 3 ตัว ปรับ Volume / Treble / Bass

4,290
BOSE Companion 2
Series III
ข้างละ
190 x 80 x 150 มม.

รวม 2 กก.

AUX x 2

Headphone Jack x 1

ลูกบิดปรับเสียง
และเป็นสวิตช์
4,700
Audioengine A2+ ข้างละ
152 x 102 x 133 มม.

รวม 3 กก.

65Hz~22kHz

15+15 วัตต์ RMS
(30+30 วัตต์ Peak)

AUX

RCA L/R

USB

Bluetooth 5.0 รองรับ aptX

ลูกบิดปรับเสียง
และเป็นสวิตช์
11,500

6 ลำโพงคอมตัวแจ่ม! ถูกใจสายดูหนังฟังเพลง เล่นเกมก็เพลินได้อีก!

สำหรับลำโพงคอมที่ผู้เขียนเลือกมาแนะนำ ณ ตอนนี้ จะมีตั้งแต่ลำโพงคอมรุ่นเริ่มต้นราคาเบาๆ เอาไว้ใช้งานทั่วไปฟัง Podcast ได้จนกระทั่งตัวแพงฟีเจอร์เยอะไปต่อได้แยะรวมอยู่ด้วย โดยทั้ง 7 รุ่นที่แนะนำมีดังนี้

  1. Logitech Z120 (329 บาท)
  2. CREATIVE Pebble Plus (1,450 บาท)
  3. Edifier G2000 (2,790 บาท)
  4. Edifier R1380DB (4,290 บาท)
  5. BOSE Companion 2 Series III (4,700 บาท)
  6. Audioengine A2+ (11,500 บาท)

1. Logitech Z120 (329 บาท)

8140205670332c097294c90c393d25cf

ถ้าเอาง่ายเน้นราคาถูกต่อใช้งานได้เลย Logitech Z120 ถือว่าน่าสนใจในงบประมาณไม่เกิน 500 บาท ได้เสียงค่อนข้างดีไปทางใสและเคลียร์พอเอาไว้ดูหนังฟังเพลงได้ระดับหนึ่ง เผื่อว่าใครมีคอมพิวเตอร์ที่ออฟฟิศหรือซื้อเอาไว้ให้ลูกหลานฟังเพลงก็ได้ ติดลูกบิดเอาไว้ด้านหน้าลำโพงปรับเพิ่มลดระดับเสียงได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง แต่เสียงจะดังระดับหนึ่งเพราะกำลังขับรวม 1.2 วัตต์ RMS เท่านั้น แต่ก็ถือว่าคุ้มสุดในระดับราคาเบาๆ เช่นนี้

สเปคของ Logitech Z120

ขนาด (สูง x กว้าง x ลึก)

น้ำหนัก

ข้างละ 110 x 90 x 88 มม.

รวม 250 กรัม

ค่าตอบสนองความถี่

กำลังขับ

1.2 วัตต์ RMS, 2.0 แชนแนล

พอร์ตเชื่อมต่อ AUX, USB สำหรับจ่ายไฟ
ชุดควบคุม ลูกบิดปรับเสียงและเป็นสวิตช์ในตัว
Price 329 บาท (ckonline Shopee Mall)

2. CREATIVE Pebble Plus (1,450 บาท)

d15993f9f199a9c558e02967a9e6d6c5

ลำโพงในช่วงราคา 2,000 บาท ที่ดีและคุ้มสุดต้องยกให้ CREATIVE Pebble Plus ซึ่งเป็นตัวอัพเกรดจาก Creative Pebble โดยเพิ่มตู้ Subwoofer มาให้เสียงดีหนักแน่นขึ้น เนื้อเสียงจะเน้นโทนใส มีเบสแน่นมีมิติใช้ฟังเพลงได้หลากหลายแนวตั้งแต่แจ๊สไปจนเพลง R&B เน้นเบสหนักๆ ได้เลย จึงดูหนังฟังเพลงได้อรรถรสขึ้น รายละเอียดที่น่าสนใจคือ CREATIVE ออกแบบให้ดอกลำโพงเฉียงขึ้น 45 องศาให้คลื่นเสียงทำมุมกับหูของผู้ฟังให้คลื่นเสียงยิงตรงไปที่หูผู้ฟังโดยตรง ส่วนเสียงจากตู้ Subwoofer ยิงอัดลงพื้นให้มีแรงปะทะดี เหมาะจะเอาไปต่อใช้งานกับคอมในห้องส่วนตัวมากๆ ถือเป็นตัวจบราคาสมเหตุผลสำหรับคนที่อยากซื้อมาใช้แล้วไม่มีแผนไปต่ออะไรเยอะนัก

สเปคของ CREATIVE Pebble Plus

ขนาด (สูง x กว้าง x ลึก)

น้ำหนัก

ดอกลำโพงข้างละ 116 x 122 x 115 มม.

Subwoofer 150 x 195 x 202 มม.

ดอกลำโพงข้างละ 300 กรัม, Subwoofer 1 กิโลกรัม

ค่าตอบสนองความถี่

กำลังขับ

50Hz~20kHz

8 วัตต์ RMS (16 วัตต์ Peak)

พอร์ตเชื่อมต่อ AUX, USB สำหรับจ่ายไฟ
ชุดควบคุม ลูกบิดปรับเสียงและเป็นสวิตช์ในตัว
Price 1,450 บาท (Creative Shopee Mall)

3. Edifier G2000 (2,790 บาท)

th 11134207 23010

เกมเมอร์ที่อยากได้ลำโพงคอม RGB เสียงดีแรงปะทะหนักแน่น ต้อง Edifier G2000 นอกจากเอฟเฟคไฟ 12 แบบ ยังติดชิป DSP “Hecate” มาให้ เสียงตอนฟังเพลงและเล่นเกมมีมิติโดยเฉพาะเบสจะหนักแน่นเป็นพิเศษและยังเก็บรายละเอียดเสียงต่างๆ ได้ดี ปรับ Equalizer ได้ 3 โหมด ได้แก่ Gaming, Movie, Music มีก้านปรับเพิ่มลดเสียงติดตั้งมาให้ นอกจากคอมยังต่อ Bluetooth กับสมาร์ทโฟนเอาไว้ฟังเพลงได้และยังใช้เป็น USB-DAC ตอนต่อหูฟังเพิ่มได้อีกด้วย เป็นลำโพงต่อคอมราคาไม่แรงแต่ฟีเจอร์เยอะเกินตัวมาก

สเปคของ Edifier G2000

ขนาด (สูง x กว้าง x ลึก)

น้ำหนัก

ข้างละ 106 x 105 x 130 มม.

ค่าตอบสนองความถี่

กำลังขับ

98Hz~20kHz

8+8 วัตต์ RMS (16+16 วัตต์ Peak)

พอร์ตเชื่อมต่อ AUX, USB, Bluetooth 5.0, USB-DAC
ชุดควบคุม ก้านปรับเพิ่มลดเสียงลำโพง
Price 2,790 บาท (5decibel Shopee Mall)

4. Edifier R1380DB (4,290 บาท)

th 11134207 23010 211za3m72dmv2d

Edifier R1380DB ภาคต่อของ R1280DBs ตัวนี้เป็นลำโพง Bookshelf ตู้ไม้ดีไซน์สวยเรียบหรูสำหรับคนชอบฟังเพลงโดยเฉพาะ มีรีโมตใช้ควบคุมเปลี่ยนโหมดการเชื่อมต่อและเพลงได้ และยังต่ออุปกรณ์อื่นๆ อย่าง Subwoofer หรือ DAC ก็ได้เพราะมีพอร์ต Coaxial, Optical, RCA คู่ หรือต่อมือถือด้วย Bluetooth 5.1 ก็ได้แถมยังรองรับ aptX ในตัว มีแอมปลิฟายเออร์ Class-D ติดมาให้พร้อมลูกบิดปรับโทนเสียงข้างลำโพงอีกด้วย นอกจากลำโพงตัวหลักแล้วยังมีดอกเสียงแหลม Silk dome เสริมให้ย่านเสียงสูงดียิ่งขึ้น ซึ่งโทนเสียงหากอิงจากรุ่นก่อนนับเป็นลำโพงเสียงโทนอุ่น ได้เสียงใสเคลียร์รายละเอียดเยอะ สเตจกว้างฟังเพลงได้หลากหลายแนวตั้งแต่เพลงคลาสสิคได้จน EDM ถ้าเติม Subwoofer กับ DAC เข้าไปยิ่งได้เสียงหนักแน่นเบสลึกมีมิติยิ่งขึ้น เป็นลำโพงคอมราคาสมเหตุผล ลงทุนซื้อมาคุ้มค่าเงินแน่นอน

สเปคของ Edifier R1380DB

ขนาด (สูง x กว้าง x ลึก)

น้ำหนัก

ข้างละ 150 x 240 x 180 มม.

รวม 5 กก.

ค่าตอบสนองความถี่

กำลังขับ

55Hz~20kHz

21+21 วัตต์ RMS

พอร์ตเชื่อมต่อ Coaxial, Optical, RCA คู่, Bluetooth 5.1
ชุดควบคุม รีโมต, ลูกบิด 3 ตัว ปรับ Volume / Treble / Bass
Price 4,290 บาท (5decibel Shopee Mall)

5. BOSE Companion 2 Series III (4,700 บาท)

cq5dam.web .600.600

BOSE Companion 2 Series III ลำโพงคอมดีไซน์เรียบง่ายแต่เบสหนักแน่นได้เบสเป็นลูก โทนเสียงใสกำลังดี ซึ่งลำโพงแนวนี้จะเด่นตอนเปิดดูหนังเพราะแรงแรงปะทะเยอะเกินตัวและหนักแน่นมาก สเตจเสียงถือว่ากว้างกำลังพอดีให้เสียงเครื่องดนตรีและนักร้องห่างจากคนฟังเกินไป เวลาใช้งานก็ง่ายเพราะมีลูกบิดปรับเสียงและปิดลำโพงรวมถึงช่องหูฟัง AUX หน้า, หลังและช่องหลักเอาไว้ต่อคอมพิวเตอร์โดยตรงอีกด้วย เป็นลำโพงสำหรับคอมพิวเตอร์ที่เผื่อช่องให้ต่อแท็บเล็ตหรือสมาร์ทโฟนได้ด้วยสาย AUX เส้นเดียว แนะนำให้หา USB-DAC สำหรับมือถือมาต่อเพิ่มจะได้เสียงเพราะมีอรรถรสขึ้นแน่นอน

สเปคของ BOSE Companion 2 Series III

ขนาด (สูง x กว้าง x ลึก)

น้ำหนัก

ข้างละ 190 x 80 x 150 มม.

รวม 2 กก.

ค่าตอบสนองความถี่

กำลังขับ

พอร์ตเชื่อมต่อ AUX x 2, Headphone Jack x 1
ชุดควบคุม ลูกบิดปรับเสียงและเป็นสวิตช์ในตัว
Price 4,700 บาท (HD HiFi Shopee Preferred)

6. Audioengine A2+ (11,500 บาท)

7a3ce3915b3af48690dbc2986f2c3338

สุดท้ายเป็นลำโพงคอมระดับพรีเมี่ยมทรง Bookshelf อย่าง Audioengine A2+ ซึ่งลำโพงตัวนี้ขนาดไม่ใหญ่มากพอวางโต๊ะคอมได้สบายๆ มีให้เลือกหลายสี ตัวลำโพงจะเน้นเสียงกลางที่ทรงพลังเบสหนักแน่นลงลึกด้วยวูฟเฟอร์ Aramid Fiber และ Silk dome tweeter เลยเก็บเสียงทุกย่านดีมากฟังเพลงได้ทุกแนว แถมยังต่ออุปกรณ์เสริมได้เยอะเพราะมีพอร์ตหลากหลายแบบ จะเสริม DAC, Subwoofer เพิ่มมิติเสียงให้อลังการยิ่งกว่าเดิมหรือจะใช้เดิมๆ ก็มีแอมป์ในตัวช่วยขยายเสียงให้สมจริง และถ้าไม่ได้เปิดคอมแต่อยากฟังเพลงก็ต่อ Bluetooth เข้ากับมือถือก็ฟังเพลงได้เลย รองรับ aptX ในตัวด้วย เรียกว่าดีสมค่าตัวสำหรับคนรักเสียงเพลงและอยากได้ลำโพงคอมคุณภาพสูงไว้ใช้สักตัวมาก

สเปคของ Audioengine A2+

ขนาด (สูง x กว้าง x ลึก)

น้ำหนัก

ข้างละ 152 x 102 x 133 มม.

รวม 3 กก.

ค่าตอบสนองความถี่

กำลังขับ

65Hz~22kHz

15+15 วัตต์ RMS (30+30 วัตต์ Peak)

พอร์ตเชื่อมต่อ AUX, RCA L/R, USB, Bluetooth 5.0 รองรับ aptX
ชุดควบคุม ลูกบิดปรับเสียงและเป็นสวิตช์ในตัว
Price 11,500 บาท (Mercular Shopee Mall)
2022022209355016454937508498

นอกจากต้องไปลองฟังเพลงที่ชอบด้วยลำโพงตัวที่สนใจแล้ว พอซื้อมาถ้าเป็นลำโพงแบบ Bookshelf ที่ต่ออุปกรณ์เสริมอื่นๆ อย่าง DAC หรือ Subwoofer เพิ่มได้ อยากแนะนำให้ทดลองใช้งานเปิดเพลงฟังไปก่อนราว 100~200 ชั่วโมงเพื่อ “เบิร์นไดรเวอร์” ให้เข้าที่ก่อน โทนเสียงลำโพงจะมีมิติยิ่งกว่าตอนที่ซื้อมาใหม่ๆ แล้วถ้าชื่นชอบก็ใช้งานต่อไปได้เลยหรือจะเสริมอุปกรณ์ชิ้นอื่นเข้าไปก็ขึ้นอยู่กับโจทย์ของแต่ละคนได้เลย


บทความที่เกี่ยวข้อง

MsiNotebook
NBS 230521 image link arm Razer BlackWidow V4 Pro
NBS 230615 image link arm Zenbook S 13 OLED

from:https://notebookspec.com/web/706723-6-recommend-computer-speaker-2023

วิธีเพิ่ม VRAM ให้กับชิปกราฟิกแบบฝังบน Windows 11

VRAM หรือหน่วยความจำสำหรับขิปกราฟิกแบบฝังบนหน่วยประมวลผลนั้นมีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่งก็ต้องใช้งานร่วมกับหน่วยความจำหลักของเครื่อง มาดูกันว่าเราจะปรับแต่งมันได้อย่างไรบ้าง

วิธีเพิ่ม VRAM ให้กับชิปกราฟิกแบบฝังบน Windows 11
วิธีเพิ่ม VRAM ให้กับชิปกราฟิกแบบฝังบน Windows 11

คุณเคยได้รับคำเตือนเกี่ยวกับหน่วยความจำของการ์ดกราฟิกคอมพิวเตอร์ของคุณในขณะที่ใช้ซอฟต์แวร์กราฟิกที่หนักหน่วงหรือเกมใหม่หรือไม่ เพื่อป้องกันปัญหาเหล่านี้และเพื่อให้สามารถเรียกใช้เกมหรือแอปพลิเคชันที่ใช้ทรัพยากรมากได้อย่างราบรื่น สิ่งจำเป็นที่คุณจะต้องมีก็คือกราฟิกการ์ดและ RAM ที่ตรงตามข้อกำหนด

ไม่ว่าคอมพิวเตอร์ของคุณจะเก่าหรือประสบปัญหาด้านกราฟิกโดยไม่ทราบสาเหตุ คุณสามารถแก้ไขปัญหาได้โดยการปรับแต่งพารามิเตอร์บางอย่างในบางสถานการณ์ วิธีที่เราจะอธิบายในบทความนี้คือการเพิ่ม VRAM ใน Windows 10 และ Windows 10 ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้ประโยชน์จากคอมพิวเตอร์ของคุณให้มากขึ้นโดยเฉพาะในส่วนของกราฟิกการ์ด

Advertisementavw

แต่ก่อนที่เราจะเข้าเรื่อง เรามาดูกันว่า VRAM คืออะไรและทำหน้าที่อะไร ถ้าคุณพร้อมแล้วก็มาเริ่มกันเลย



Dedicated Video RAM (VRAM) คืออะไร

VRAM 001

Video RAM (หรือ VRAM อ่านว่า “VEE-ram”) เป็น RAM ชนิดพิเศษที่ทำงานร่วมกับหน่วยประมวลผลกราฟิกหรือ GPU ของคอมพิวเตอร์ของคุณ

GPU เป็นชิปในการ์ดกราฟิกของคอมพิวเตอร์ของคุณ(เรียกอีกอย่างว่าการ์ดแสดงผลหรือจะเป็น VGA Card ก็ได้) มันมีหน้าที่ในการประมวลผลเพื่อแสดงภาพบนหน้าจอของคุณ แม้ว่าจะไม่ถูกต้องทางเทคนิค แต่คำว่า GPU และกราฟิกการ์ดมักจะใช้แทนกันได้

VRAM ของคุณเก็บข้อมูลที่ GPU ต้องการ อย่างเช่นพื้นผิวของเกมและเอฟเฟกแสง สิ่งนี้ทำให้ GPU สามารถเข้าถึงข้อมูลและทำกราฟิกภาพเอาต์พุตไปยังจอภาพของคุณได้อย่างรวดเร็ว

การใช้ VRAM สำหรับงานนี้เร็วกว่าการใช้ RAM ระบบมาก เนื่องจาก VRAM อยู่ติดกับ GPU ในกราฟิกการ์ด VRAM สร้างขึ้นเพื่อจุดประสงค์ที่มีความต้องการสูงและด้วยเหตุนี้ VRAM จึงถือว่าเป็นฮาร์ดแวร์ที่จำเป็นไม่น้อยไปกว่าฮาร์ดแวร์อื่นๆ ซึ่งโดยปกติแล้วนั้นสำหรับกราฟิกการ์ดแบบแยกจะมี VRAM เป็นของตัวเองอยู่แล้วแต่สำหรับกราฟิกการ์ดแบบฝังในหน่วยประมวลผลนั้นจะไม่มี VRAM แยกต่างหากมาให้ทำให้มันจะต้องใช้ RAM ของระบบแชร์มาให้กราฟิกชิปแบบฝังในหน่วยประมวลผล


วิธีตรวจสอบ VRAM ของคุณใน Windows 10 และ Windows 11

Increase VRAM 886x590 1

คุณสามารถดูจำนวน VRAM ที่คุณมีใน Windows 10 ได้ง่ายๆ โดยทำตามขั้นตอนเหล่านี้

  • เปิดเมนู Settings โดยกด Win + I
  • เลือกรายการ System จากนั้นคลิก Display ที่แถบด้านข้างขวา
  • เลื่อนลงและคลิกข้อความ Advanced display settings ที่ด้านล่าง
  • ในเมนูผลลัพธ์ ให้เลือกจอภาพที่คุณต้องการดูการตั้งค่า จากนั้นคลิกข้อความ Display adapter properties ที่ด้านล่าง
  • ในหน้าต่างใหม่คุณจะเห็น RAM ของชิปกราฟิก(VRAM) ปัจจุบันของคุณแสดงอยู่ถัดจากหน่วยความจำวิดีโอเฉพาะ
Windows 10 Video RAM Information

หากต้องการเข้าถึงเมนูนี้ใน Windows 11 ให้ไปที่ Settings > System > Display > Advanced display จากนั้นเลือกจอแสดงผลและคลิก Display adapter properties

ใต้ Adapter Type คุณจะเห็นชื่อกราฟิกการ์ด Nvidia หรือ AMD ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ที่คุณมี หากคุณเห็น AMD Accelerated Processing Unit หรือ Intel HD Graphics (มีโอกาสมากกว่าบนโน๊ตบุ๊ค) แสดงว่าคุณกำลังใช้กราฟิกแบบฝังในตัวหน่วยประมวลผล


ทำไมคุณจึงควรเพิ่ม VRAM

Check Dedicated Video Memory

ก่อนที่เราจะตัดสินใจเราต้องชี้ให้เห็นว่าด้านใดด้านหนึ่งของเกมและซอฟต์แวร์กราฟิกที่ใช้ VRAM มากที่สุด หลักเกณฑ์สำคัญในการใช้ VRAM คือความถูกต้องของการแสดงผลภาพหน้าจอของคอมพิวเตอร์และความละเอียดหน้าจอที่ดีกว่า(เช่น เกม 4K) จะมีความต้องการใช้ VRAM มากกว่า เนื่องจากภาพที่แม่นยำกว่าจะมีพิกเซลแสดงผลมากกว่า

นอกจากหน้าจอแล้ว การออกแบบและพื้นผิวในเกมจะส่งผลต่อปริมาณ VRAM ที่คุณต้องการใช้อย่างมาก ถึงแม้ว่าเกมคอมพิวเตอร์สมัยใหม่หลายเกมช่วยให้คุณสามารถปรับปรุงกราฟิกหรือการตั้งค่าคุณภาพภาพได้แต่กระนั้นแล้ว VRAM ก็ยังถือว่าเป็นส่วนสำคัญสำหรับการแสดงผลให้มีประสิทธิภาพอยู่ดี

เกมบางเกมอาจต้องใช้ VRAM ในปริมาณที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น เกมอย่าง Overwatch ไม่ต้องการกราฟิกสูงมากนัก แต่เกมที่มีแสงและพื้นผิวขั้นสูงและการออกแบบที่มีรายละเอียดมากขึ้น เช่น Shadow of the Tomb Raider และ Far Cry 6 ต้องการทรัพยากรกราฟิกที่มากขึ้น

กราฟิกการ์ดราคาถูกที่มี VRAM เพียง 2GB (หรือกราฟิกแบบฝังในหน่วยประมวลผล) ก็เพียงพอสำหรับเล่นเกมยิงคอมพิวเตอร์แล้ว นอกไปจากนั้นคุณสามารถเรียกใช้เกมที่เก่ากว่าด้วยหน่วยความจำกราฟิกที่น้อยลงได้ด้วยอีกต่างหาก

แม้ว่าคุณจะไม่สนใจในการเล่นเกม แต่ซอฟต์แวร์ยอดนิยมบางตัวก็ต้องการ VRAM ขนาดความจุสูง ตัวอย่างเช่น ซอฟต์แวร์ออกแบบ 3 มิติ อย่าง AutoCAD, ซอฟต์แวร์ตัดต่อกราฟิกระดับมืออาชีพ เช่น Photoshop หรือการตัดต่อวิดีโอคุณภาพสูงอาจได้รับผลกระทบหากคุณมีหน่วยความจำ VRAM ไม่เพียงพอ

ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะอัปเกรด GPU หรือเพิ่ม VRAM บนคอมพิวเตอร์ Windows 10 หรือ 11 การเรียกใช้แอปที่ใช้ทรัพยากรมากจำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ที่มี VRAM เพียงพอ


วิธีเพิ่ม VRAM ใน Windows 10 และ 11

ใช้ BIOS

ASUS motherboard Bios
  1. รีสตาร์ทพีซีของคุณและกดปุ่มเข้า BIOS ซ้ำๆ ระหว่างการบู๊ต โดยสามารถใช้ปุ่ม F2, F5, F8 หรือ Del เพื่อเข้าถึง BIOS ขึ้นอยู่กับแบรนด์ผู้ผลิต BIOS ของคุณ
  2. ในเมนู BIOS ให้มองหาตัวเลือกที่เรียกว่า Advanced Features หลังจากนั้นให้มองหาตัวเลือก Graphics Settings, Video Settings หรือ VGA Share Memory Size options
  3. ส่วนนี้ควรให้ตัวเลือกแก่คุณในการเปลี่ยนจำนวนหน่วยความจำที่จัดสรรให้กับ GPU ของคุณ ค่าเริ่มต้นที่นี่คือ 128 MB หากคุณมีหน่วยความจำ(RAM) เพียงพอ คุณสามารถเพิ่มจำนวนนี้เป็น 256 หรือ 512 MB ได้ตามความต้องการ
  4. สุดท้ายให้บันทึกการเปลี่ยนแปลงและรีสตาร์ทเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ

คุณสมบัตินี้มีอยู่ในหน่วยประมวลผลและไบออสทั้งหมด อย่างไรก็ตาม หากวิธีนี้ใช้ไม่ได้ผลให้ดำเนินการตามวิธีแก้ไขปัญหาถัดไป แม้ว่าวิธีการแรกนี้จะเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดและมีอยู่ใน CPU และ BIOS ทั้งหมด แต่คุณอาจใช้ Registry Editor เพื่อเพิ่ม VRAM ใน Windows 10 และ Windows 11 โดยทำตามคำแนะนำด้านล่างต่อไปนี้

ใช้ Registry Editor

Open Registry
  • เปิดแอป Run โดยให้ไปที่เมนู Start พิมพ์ Run จากนั้นกด Enter
  • จากนั้นพิมพ์ regedit เพื่อเปิด Registry Editor
  • เข้าไปยังเส้นทางต่อไปนี้ HKEY_LOCAL_MACHINE\Software\Intel (ที่อยู่ทางด้านซ้ายของ regedit)
Go to Intel directory and increase VRAM in windows 11
  • ในแผงด้านซ้าย คลิกขวาที่โฟลเดอร์ Intel วางเมาส์เหนือ New แล้วเลือก Key
Create a new key in registry to increase VRAM 2
Name the key GMM
  • ตั้งชื่อคีย์เป็น GMM แล้วคลิก
  • หลังจากนั้น ให้คลิกขวาที่แผงด้านขวา เลือก New จากนั้นคลิกที่ DWORD (32-bit) Value
right click inside the right panel and create a new key
  • จากนั้นตั้งชื่อว่า DedicatedSegmentSize โปรดทราบว่า ตัวอักษรเริ่มต้นของแต่ละคำควรเป็นตัวพิมพ์ใหญ่และไม่ควรใช้ช่องว่างระหว่างคำขณะที่คุณพิมพ์
name it DedicatedSegmentSize
  • ดับเบิลคลิกเลือกเลขฐานสิบหกจากนั้นป้อนข้อมูลค่าที่แนะนำโดยใช้ข้อมูล RAM ของระบบแล้วกดตกลง ซึ่งเราขอแนะนำดังนี้(ขนาดหน่วยความจำของระบบ – ขนาดหน่วยความจำที่จะใช้งานเป็น VRAM) 1GB – 128MB; 2GB – 256MB; 4GB – 512MB; 6GB – 1024MB; 8GB – 2048MB; 16GB – 4096MB
Put a number in the key to increase VRAM

รีสตาร์ทคอมพิวเตอร์เพื่อให้การแก้ไขมีผล จากนั้นทดสอบซอฟต์แวร์หรือเกมเพื่อดูว่าทำงานอย่างไรดีขึ้นหรือไม่


ควรต้องใช้หน่วยความจำ VRAM เท่าใด

ปัจจัยสำคัญในการใช้ VRAM คือความละเอียดของจอภาพของคุณ (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความละเอียดที่คุณใช้เล่นเกม) Video RAM จัดเก็บเฟรมบัฟเฟอร์ซึ่งเก็บภาพก่อนและระหว่างเวลาที่ GPU ของคุณแสดงบนหน้าจอ จอแสดงผลคุณภาพสูงกว่า(เช่น จอภาพ 4K HDR) ใช้ VRAM มากกว่า เนื่องจากภาพที่มีความละเอียดสูงต้องใช้พิกเซลในการแสดงผลมากกว่า

นอกเหนือจากการแสดงผลของจอภาพแล้ว พื้นผิวในเกมอาจส่งผลต่อปริมาณ VRAM ที่คุณต้องการอย่างมาก เกมพีซีสมัยใหม่ส่วนใหญ่ให้คุณปรับแต่งการตั้งค่ากราฟิกอย่างละเอียดเพื่อประสิทธิภาพหรือคุณภาพของภาพให้เข้ากับสเปคของเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ

คุณอาจเล่นเกมเก่าเมื่อหลายปีก่อนได้ที่การตั้งค่าต่ำหรือปานกลางด้วยการ์ดที่ถูกกว่า (หรือแม้แต่กราฟิกที่ฝังในหน่วยประมวลผล) แต่คุณภาพสูงหรือพิเศษหรือม็อดแบบกำหนดเองที่ทำให้พื้นผิวในเกมดูดียิ่งขึ้นกว่าปกติ จะต้องใช้ VRAM จำนวนมากขึ้นตามไปด้วย

  • VRAM 1-2GB: การ์ดเหล่านี้มักมีราคาต่ำกว่า 3,xxx บาท ซึ่งให้ประสิทธิภาพที่ดีกว่ากราฟิกแบบฝังในหน่วยประมวลผล ทว่ามันไม่สามารถที่จะจัดการกับเกมสมัยใหม่ส่วนใหญ่ที่การตั้งค่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยได้ เราแนะนำให้คุณซื้อการ์ดที่มี VRAM จำนวนนี้หากคุณต้องการเล่นเกมเก่าที่ไม่รองรับกราฟิกแรงๆ ในตัว และไม่แนะนำสำหรับผู้ใช้งานการตัดต่อวิดีโอหรืองาน 3 มิติ
  • VRAM 3-6GB: เป็นขนาด VRAM ของการ์ดระดับกลางซึ่งเหมาะสำหรับการเล่นเกมระดับปานกลางหรือการตัดต่อวิดีโอที่ไม่หนักหนาสาหัดเท่าไรนัก ขอให้จำเอาไว้ว่าคุณจะไม่สามารถใช้เท็กซ์เจอร์แพ็คสุดบ้าบิ่นได้หากมี VRAM เพียงเท่านี้แต่คุณสามารถคาดหวังที่จะเล่นเกมสมัยใหม่ที่ความละเอียด 1080p กับกราฟิกชิปที่มาพร้อมกับหน่วยความจำขนาด 6GB ได้แต่อาจจะไม่สามารถเปิดเอฟเฟคหรูๆ ได้มากเท่าไรนัก
  • VRAM 8GB-12GB ขึ้นไป: การ์ดแสดงผลระดับไฮเอนด์ที่มี RAM มากขนาดนี้เหมาะสำหรับนักเล่นเกมที่นิยมความคมชัดของกราฟิกที่คุณต้องการ หากคุณต้องการเล่นเกมล่าสุดที่ความละเอียด 4K คุณต้องใช้การ์ดที่มี VRAM จำนวนมาก

ที่มา : makeuseofwindowsreport, studytonight

from:https://notebookspec.com/web/706851-how-to-increase-dedicated-video-ram-vram-in-windows-10-and-11

5 โน๊ตบุ๊ค Microsoft Surface สุดแจ่มน่าใช้ Intel Gen 12 พกง่ายทำงานสะดวกสุดๆ อัพเดทปี 2023

โน๊ตบุ๊ค Microsoft Surface พกง่ายเหมือนแท็บเล็ตแต่ทำงานดีไม่แพ้โน๊ตบุ๊คเลยนะ!

5Notemicrosoft

ถ้าอยากได้ประสบการณ์ใช้งานโน๊ตบุ๊ค Windows ที่ดีสุด ก็ต้องลองใช้ฮาร์ดแวร์ของทาง Microsoft เองเลย อย่างเช่น โน๊ตบุ๊ค Microsoft Surface ซึ่งมีให้เลือกหลายดีไซน์ ทั้ง Surface Laptop แบบฝาพับเหมือนโน๊ตบุ๊คปกติที่คุ้นเคยและมีรุ่นราคาประหยัดอย่าง Surface Go ให้เลือก, Surface Pro ร่างแท็บเล็ตแต่ใช้งานดีไม่แพ้โน๊ตบุ๊คทั่วไป เน้นพกพาง่ายหรือแม้แต่ Surface Laptop Studio รุ่นประสิทธิภาพสูงมีการ์ดจอแยก NVIDIA GeForce สำหรับครีเอเตอร์ไว้ใช้ทำงานกราฟิคต่างๆ ได้ด้วย

อย่างไรก็ตาม โน๊ตบุ๊ค Microsoft Surface นั้นได้รับความนิยมก็จริง แต่ค่อนข้างเฉพาะกลุ่มที่ชื่นชอบและเน้นใช้ระบบปฏิบัติการ Windows เป็นหลัก อาจเพราะราคาที่ค่อนข้างสูงและสเปคซึ่งถ้าเทียบกับคู่แข่งหลายๆ เจ้าแล้วไม่ดึงดูดใจเท่าไหร่ก็จริง แต่ในแง่ใช้งานจริงกลับใช้งานดีมากทั้งปลดล็อคเครื่องได้ง่ายๆ ด้วยเซนเซอร์สแกนใบหน้าหรือนิ้วตามโมเดลที่เลือก, ใช้ปากกา Surface Pen เขียนจดสิ่งต่างๆ ลงบนจอทัชสกรีนได้ง่ายพกพาก็สะดวก ถ้าหากใครได้ลองใช้สักครั้งน่าจะประทับใจแน่นอน

Advertisementavw
โน๊ตบุ๊ค Microsoft Surface

ทำไมโน๊ตบุ๊ค Microsoft Surface ถึงน่าใช้?

surfacewhy

ข้อดีของโน๊ตบุ๊ค Microsoft Surface ทั้งฝั่ง Surface Laptop ดีไซน์ฝาพับมาตรฐานหรือ Surface Pro ในร่างแท็บเล็ตต่างก็มีข้อดีอยู่หลายข้อ ได้แก่

  1. Surface ทุกรุ่นเป็นหน้าจอทัชสกรีน – หน้าจอ PixelSense ของ Surface ทุกรุ่นเป็นพาเนลทัชสกรีนทั้งหมด สามารถแตะสัมผัสได้ง่ายและรวดเร็วไม่ต้องพกเมาส์เพิ่มให้วุ่นวาย สามารถกางหน้าจอใช้งานได้ทันทีไม่ต้องเตรียมตัวเยอะ
  2. อัตราส่วนหน้าจอ 3:2 ดีต่องานคอนเทนต์ – อัตราส่วนหน้าจอโดยปกติในปัจจุบันเป็น 16:9 ซึ่งเหมาะกับการใช้งานทุกประเภทแต่เน้นพื้นที่แนวนอนมากกว่า ทว่าโน๊ตบุ๊ค Microsoft Surface จะเป็น 3:2 ซึ่งเน้นอัตราส่วนแนวตั้งเป็นหลัก จึงเหมาะกับงานคอนเทนต์ประเภทเขียนเป็นพิเศษ ซึ่งผู้เขียนได้อธิบายข้อดีของหน้าจอ 3:2 ไปโดยละเอียดในบทความนี้แล้ว สามารถคลิ๊กเพื่ออ่านรายละเอียดได้
  3. ใช้ปากกา Surface Pen เขียนบนหน้าจอได้ – Microsoft Surface ทุกรุ่นเอาใช้ปากกา Surface Pen เขียนจอจดสิ่งต่างๆ ได้ ใช้กับ Microsoft Whiteboard ยิ่งจดไอเดียต่างๆ ได้สะดวกขึ้น ได้สัมผัสเหมือนเอาปากกาเขียนบนกระดาษและยังชาร์จไร้สายกับตัวเครื่องได้ด้วย
  4. ถอดคีย์บอร์ดใช้งานเป็นแท็บเล็ตได้ – เวลานั่งรถแท็กซี่หรือยืนอยู่บนรถไฟฟ้าก็หยิบเจ้า Surface Pro ออกมาใช้งานได้ง่ายๆ และมีกล้องหลังติดมาให้ใช้ถ่ายภาพกระดานประชุมหรือเลคเชอร์เอาไว้ใส่ในโน๊ตเพิ่มเติมความเข้าใจได้ง่ายๆ ซึ่งสะดวกมาก
  5. มีเซนเซอร์ยืนยันตัวแบบชีวมาตร (Biometric) – โน๊ตบุ๊ค Microsoft Surface ทุกรุ่นจะมีเซนเซอร์ดังกล่าวติดมาให้อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น เซนเซอร์สแกนใบหน้าหรือนิ้วมือ เพื่อให้ปลดล็อคเครื่องได้ง่ายๆ ไม่ต้องพิมพ์รหัสผ่านให้เสียเวลาหรือโดนคนอื่นแอบมองเพื่อขโมยใช้งานได้ด้วย
  6. มีพอร์ต Thunderbolt 4 – พอร์ตสารพัดประโยชน์รุ่นใหม่ล่าสุดนี้ ทาง Microsoft ติดตั้งมาให้อย่างน้อย 1-2 พอร์ต ขึ้นอยู่กับซีรี่ส์ ใช้งานได้เต็มฟังก์ชั่นทั้งถ่ายโอนข้อมูลเข้าออกเครื่อง, ต่อหน้าจอแยกแบบ DisplayPort หรือชาร์จแบตเตอรี่แบบ Power Delivery ก็ได้ ใช้สาย Thunderbolt เส้นเดียวก็ใช้งานได้ครบเครื่อง ถ้ามีอุปกรณ์ที่เหมาะสมอย่างจอคอมที่ต่อ USB-C แล้วใช้งานได้เลยและเป็น Port Hub ในตัวยิ่งใช้งานสะดวกต่ออุปกรณ์ต่างๆ ใช้งานพร้อมกันได้หรือจะต่อ USB-C Multiport Adapter ก็แยกเป็นพอร์ตต่างๆ ใช้งานได้ง่าย

สรุปสเปค 5 โน๊ตบุ๊ค Microsoft Surface น่าใช้ รวมทั้ง Laptop และ Pro Series

สรุปสเปค
โน๊ตบุ๊ค Microsoft Surface
CPU

GPU

SSD

RAM

Software

Display

Weight

Connectivity Price (บาท)
Microsoft Surface Laptop 5
i5/8GB/256GB
Intel Core
i5-1235U

Intel Iris Xe Graphics

M.2 NVMe
256GB

8GB LPDDR5
5200MHz

Windows 11 Home

ทัชสกรีน
13.5″
(2256×1504) IPS

Dolby Vision IQ

1.27 กก.

Thunderbolt 4 x 1

USB-A 3.1 x 1

Surface Connect x 1

Audio combo x 1

Wi-Fi 6

Bluetooth 5.1

40,900
Microsoft Surface Laptop 5
i7/8GB/256GB
Intel Core
i7-1255U

Intel Iris Xe Graphics

M.2 NVMe
256GB

8GB LPDDR5
5200MHz

Windows 11 Home

ทัชสกรีน
15″
(2496×1664) IPS

Dolby Vision IQ

1.27 กก.

Thunderbolt 4 x 1

USB-A 3.1 x 1

Surface Connect x 1

Audio combo x 1

Wi-Fi 6

Bluetooth 5.1

50,900
Microsoft Surface Pro 9
i5/8/128GB
Intel Core
i5-1235U

Intel Iris Xe Graphics

M.2 NVMe
128GB

8GB LPDDR5
5200MHz

Windows 11 Home

ทัชสกรีน
13″
(2880×1920) IPS

Refresh Rate 120Hz

Dolby Vision IQ

กล้องหลัง
10 ล้านพิกเซล

880 กรัม

Thunderbolt 4 x 2

MicroSD
Card Reader x 1

Surface Connect x 1

Audio combo x 1

Wi-Fi 6

Bluetooth 5.1

40,900
Microsoft Surface Pro 9
i5/8/256GB
Intel Core
i5-1235U

Intel Iris Xe Graphics

M.2 NVMe
256GB

8GB LPDDR5
5200MHz

Windows 11 Home

ทัชสกรีน
13″
(2880×1920) IPS

Refresh Rate 120Hz

Dolby Vision IQ

กล้องหลัง
10 ล้านพิกเซล

880 กรัม

Thunderbolt 4 x 2

MicroSD
Card Reader x 1

Surface Connect x 1

Audio combo x 1

Wi-Fi 6

Bluetooth 5.1

50,900
Microsoft Surface Pro 9
i7/16/256GB
Intel Core
i7-1255U

Intel Iris Xe Graphics

M.2 NVMe
256GB

16GB LPDDR5
5200MHz

Windows 11 Home

ทัชสกรีน
13″
(2880×1920) IPS

Refresh Rate 120Hz

Dolby Vision IQ

กล้องหลัง
10 ล้านพิกเซล

880 กรัม

Thunderbolt 4 x 2

MicroSD
Card Reader x 1

Surface Connect x 1

Audio combo x 1

Wi-Fi 6

Bluetooth 5.1

62,900

5 โน๊ตบุ๊ค Microsoft Surface น่าใช้ พกสะดวกสบายใช้ดีสุดๆ

BNN Coverpage Edit Claim Surface Q2FY23 130623 300623 1752x640 category banner medium

หากต้องการใช้ระบบปฏิบัติการ Windows ให้ได้ประสบการณ์ที่ดีสุด ก็ต้องใช้กับโน๊ตบุ๊ค Microsoft Surface ซึ่งตอนนี้ทาง BaNANA จัดโปรโมชั่นให้ส่วนลดนักเรียนนักศึกษาถึง 10% รวมทั้งได้ของแถมเพิ่มเติมอีกด้วย โดยรุ่นแนะนำจะมีทั้งหมด 5 รุ่นดังนี้

  1. Microsoft Surface Laptop 5 i5/8GB/256GB (40,900 บาท)
  2. Microsoft Surface Laptop 5 i7/8GB/256GB (50,900 บาท)
  3. Microsoft Surface Pro 9 i5/8/128GB (40,900 บาท)
  4. Microsoft Surface Pro 9 i5/8/256GB (44,900 บาท)
  5. Microsoft Surface Pro 9 i7/16/256GB (62,900 บาท)

1. Microsoft Surface Laptop 5 i5/8GB/256GB (40,900 บาท)

Microsoft Surface Laptop 5 13in i58 256 Platinum QZI 00022 1

Microsoft Surface Laptop 5 ภาคต่อของ Surface Laptop 4 ซึ่งได้รีวิวไปแล้ว ซึ่งรุ่นใหม่นี้จัดการเปลี่ยนซีพียูเป็น Intel 12th Gen รุ่นล่าสุดแล้วและผ่านมาตรฐาน Intel Evo เป็นที่เรียบร้อย ได้หน้าจอทัชสกรีน PixelSense รองรับการแสดงผล Dolby Vision IQ ให้ภาพสวยคมชัดยิ่งขึ้นและลำโพง Omnisonic รองรับ Dolby Atmos ให้เสียงดีมีคุณภาพ สแกนหน้าปลดล็อคเครื่องได้ด้วยกล้อง IR Camera ตรงขอบบนหน้าจอ และทาง Microsoft เคลมว่าแบตเตอรี่ในเครื่องสามารถใช้งานได้นาน 18 ชั่วโมงทีเดียว ถ้าพกเครื่องไปประชุม, เข้าห้องเรียนหรือทำงานนอกสถานที่ก็ใช้งานได้ทั้งวันแน่นอน แถมยังได้แรม LPDDR5 ที่แม้จะมีความจุ 8GB ก็ตามแต่ทำงานแบบ Dual channel ในตัว จึงใช้งานได้ดีไม่มีติดขัด เหมาะกับคนทำงานที่หาโน๊ตบุ๊คพกพาสะดวกงานประกอบพรีเมี่ยมอย่างแน่นอน

สเปค Microsoft Surface Laptop 5 i5/8GB/256GB

CPU Intel Core i5-1235U แบบ 10 คอร์ 12 เธรด (2P+8E) ความเร็วสูงสุด 4.4GHz
GPU Intel Iris Xe Graphics
SSD M.2 NVMe SSD ความจุ 256GB
RAM 8GB LPDDR5 บัส 5200MHz
Display ทัชสกรีน PixelSense 13.5 นิ้ว (2256×1504) พาเนล IPS รองรับ Dolby Vision IQ
Connectivity Thunderbolt 4 x 1, USB-A 3.1 x 1, Surface Connect x 1, Audio combo x 1

Wi-Fi 6 มาตรฐาน 802.11ax รองรับ Bluetooth 5.1

Software Windows 11 Home
Weight 1.27 กิโลกรัม
Price 40,990 บาท ได้รับ Surface Slim Pen 2 และเคสใส่โน้ตบุ๊ค คลิ๊กสั่งซื้อที่นี่

2. Microsoft Surface Laptop 5 i7/8GB/256GB (50,900 บาท)

Microsoft Surface Laptop 5 15in i7 8 256 Platinum RBY 00022 2

โน๊ตบุ๊ค Microsoft Surface Laptop 5 อีกสเปคที่แนะนำจะยกสเปคจากข้อก่อนมาทั้งหมดแต่อัพเกรดซีพียูเป็น Intel Core i7 รุ่นที่ 12 แทน ทำให้ทำงานได้รวดเร็วยิ่งขึ้นและเพิ่มขนาดหน้าจอ PixelSense ให้ใหญ่ขึ้นเป็น 15 นิ้ว มีเซนเซอร์สแกนใบหน้าปลดล็อคเครื่องได้เหมือนกันแต่แบตเตอรี่มีความจุมากขึ้นจึงใช้งานได้ 18 ชั่วโมงเท่ากันด้วย ถูกใจคนชอบโน๊ตบุ๊คจอใหญ่ดูคอนเทนต์บนจอได้สะดวกและน้ำหนักกำลังดีแค่ 1.5 กิโลกรัม เลยพกพาง่ายไม่หนักไหล่เกินไป

สเปค Microsoft Surface Laptop 5 i7/8GB/256GB

CPU Intel Core i7-1255U แบบ 10 คอร์ 12 เธรด (2P+8E) ความเร็วสูงสุด 4.7GHz
GPU Intel Iris Xe Graphics
SSD M.2 NVMe SSD ความจุ 256GB
RAM 8GB LPDDR5 บัส 5200MHz
Display ทัชสกรีน PixelSense 15 นิ้ว (2496×1664) พาเนล IPS รองรับ Dolby Vision IQ
Connectivity Thunderbolt 4 x 1, USB-A 3.1 x 1, Surface Connect x 1, Audio combo x 1

Wi-Fi 6 มาตรฐาน 802.11ax รองรับ Bluetooth 5.1

Software Windows 11 Home
Weight 1.27 กิโลกรัม
Price 50,900 บาท ได้รับ Surface Slim Pen 2 และเคสใส่โน้ตบุ๊ค คลิ๊กสั่งซื้อที่นี่

3. Microsoft Surface Pro 9 i5/8/128GB (40,900 บาท)

Microsoft Surface Pro9 i5 8 128 Thai Platinum QCB 00017 1

Microsoft Surface Pro 9 เป็นโน๊ตบุ๊ค Microsoft Surface รูปร่างแท็บเล็ตพกพาง่าย ได้จอทัชสกรีนและเอาปากกา Surface Pen เขียนวาดบนหน้าจอได้สะดวกมาก ถ้าใช้คู่กับ Microsoft Whiteboard ก็ใช้วาดเขียนและจดไอเดียที่ต้องการได้ง่ายๆ และทาง Microsoft ยังดีไซน์ติดขาตั้ง (Kickstand) มาให้ที่ด้านหลังเอาไว้ตั้งเครื่องใช้งานได้ง่ายๆ แถมยังพิมพ์งานได้เหมือนโน๊ตบุ๊คเมื่อต่อคีย์บอร์ด Type Cover เพิ่มเข้าไปก็ใช้เป็นเคสปิดหน้าจอได้ มีฟีเจอร์สแกนหน้าปลดล็อคเครื่อง, พอร์ต Thunderbolt 4 ติดมาถึง 2 ช่อง และทาง Microsoft ยังเคลมระยะเวลาใช้งานไว้นาน 15.5 ชั่วโมงทีเดียว มีน้ำหนักยังเบาพกง่ายเพียง 880 กรัม เหมาะกับนักเรียนนักศึกษาไปจนคนทำงานที่ต้องการแท็บเล็ตระบบปฏิบัติการ Windows ที่คุ้นมือเอาไว้ใช้สักเครื่องหนึ่ง ซึ่ง Surface Pro 9 ตัวนี้ถือว่าราคาไม่แพงถ้าอยากลองเริ่มใช้โน๊ตบุ๊ค Microsoft Surface ดู แต่เพราะมีความจุเพียง 128GB ถ้าจะใช้งานหนักแนะนำให้พ่วงระบบ Cloud หรือมี External Harddisk เอาไว้เซฟงานแยกโดยเฉพาะจะสะดวกกว่า

สเปค Microsoft Surface Pro 9 i5/8/128GB

CPU Intel Core i5-1235U แบบ 10 คอร์ 12 เธรด (2P+8E) ความเร็วสูงสุด 4.4GHz
GPU Intel Iris Xe Graphics
SSD M.2 NVMe SSD 128GB
RAM 8GB LPDDR5 บัส 5200MHz
Display จอทัช PixelSense 13 นิ้ว (2880×1920) พาเนล IPS ค่า Refresh Rate 120Hz
รองรับ Dolby Vision IQ

กล้องหลังความละเอียด 10 ล้านพิกเซล

Connectivity Thunderbolt 4 x 2, MicroSD Card Reader x 1, Surface Connect x 1, Audio combo x 1

Wi-Fi 6 มาตรฐาน 802.11ax, Bluetooth 5.1

Software Windows 11 Home
Weight 880 กรัม
Price 40,900 บาท แถมคีย์บอร์ด Type Cover และซองใส่โน๊ตบุ๊ค คลิ๊กสั่งซื้อที่นี่

4. Microsoft Surface Pro 9 i5/8/256GB (44,900 บาท)

Microsoft Surface Pro9 i5 8 256 Thai Sapphire QEZ 00051

ถ้าโน๊ตบุ๊ค Microsoft Surface Pro 9 ในข้อก่อนมีความจุในเครื่องไม่พอใช้งาน ผู้เขียนขอแนะนำให้เพิ่มเงินอีก 4,000 บาท จะได้รุ่นความจุ 256GB ซึ่งความจุนี้ถือว่ามากกำลังดีพอใช้เซฟงานหรือพรีเซนต์ที่ใช้บ่อยๆ และลงโปรแกรมได้ระดับหนึ่ง แต่ก็ต้องหมั่นจัดการโปรแกรมและไฟล์งานภายในเครื่องเป็นระยะๆ ให้ SSD มีความจุรวมทั้งหมดไม่เกิน 70% เพื่อไม่ให้ตัวชิปความจุและคอนโทรลเลอร์เสียเร็วเกินไป ซึ่งผู้เขียนยังแนะนำให้ซื้อ External Harddisk หรือใช้บริการ Cloud เอาไว้แบ็คอัพงานร่วมด้วยจะดีสุด

สเปค Microsoft Surface Pro 9 i5/8/256GB

CPU Intel Core i5-1235U แบบ 10 คอร์ 12 เธรด (2P+8E) ความเร็วสูงสุด 4.4GHz
GPU Intel Iris Xe Graphics
SSD M.2 NVMe SSD 256GB
RAM 8GB LPDDR5 บัส 5200MHz
Display จอทัช PixelSense 13 นิ้ว (2880×1920) พาเนล IPS ค่า Refresh Rate 120Hz
รองรับ Dolby Vision IQ

กล้องหลังความละเอียด 10 ล้านพิกเซล

Connectivity Thunderbolt 4 x 2, MicroSD Card Reader x 1, Surface Connect x 1, Audio combo x 1

Wi-Fi 6 มาตรฐาน 802.11ax, Bluetooth 5.1

Software Windows 11 Home
Weight 880 กรัม
Price 44,900 บาท แถมคีย์บอร์ด Type Cover และซองใส่โน๊ตบุ๊ค คลิ๊กสั่งซื้อที่นี่

5. Microsoft Surface Pro 9 i7/16/256GB (62,900 บาท)

Microsoft Surface Pro9 i7 16 256 Thai Graphite QIL 00034 4

ถ้าใครต้องเปิดโปรแกรมพร้อมกันหลายตัวหรือต้องเปิดเบราเซอร์พร้อมกันหลายแท็บล่ะก็ แนะนำให้เพิ่มงบอีกนิดมาซื้อโน๊ตบุ๊ค Microsoft Surface Pro 9 รุ่น Intel Core i7-1255U กับแรม 16GB LPDDR5 แทนจะใช้งานได้สะดวกไหลลื่นยิ่งขึ้น ไม่เจอปัญหาแรมไม่พอใช้แล้วเกิดอาการหน่วงมากวนใจ ทว่าราคาก็สูงพอสมควรถึง 62,900 บาท ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องนี้และตั้งใจจะใช้นานๆ จ่ายครั้งเดียวจบไปเลยก็ลงทุนซื้อเจ้าเครื่องนี้ไปก็ดีเช่นกัน

สเปค Microsoft Surface Pro 9 i7/16/256GB

CPU Intel Core i7-1255U แบบ 10 คอร์ 12 เธรด (2P+8E) ความเร็วสูงสุด 4.7GHz
GPU Intel Iris Xe Graphics
SSD M.2 NVMe SSD 256GB
RAM 16GB LPDDR5 บัส 5200MHz
Display จอทัช PixelSense 13 นิ้ว (2880×1920) พาเนล IPS ค่า Refresh Rate 120Hz
รองรับ Dolby Vision IQ

กล้องหลังความละเอียด 10 ล้านพิกเซล

Connectivity Thunderbolt 4 x 2, MicroSD Card Reader x 1, Surface Connect x 1, Audio combo x 1

Wi-Fi 6 มาตรฐาน 802.11ax, Bluetooth 5.1

Software Windows 11 Home
Weight 880 กรัม
Price 62,900 บาท แถมคีย์บอร์ด Type Cover และซองใส่โน๊ตบุ๊ค คลิ๊กสั่งซื้อที่นี่
surface 2

Alan Kay นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ชาวอเมริกันเคยกล่าวไว้ว่า “People who are really serious about software should make their own hardware.” (บริษัทใดที่จริงจังกับซอฟท์แวร์ของตน ควรสร้างฮาร์ดแวร์ของตัวเองด้วย) นั่นเพราะถ้านำซอฟท์แวร์นั้นๆ ไปรันบนเครื่องอื่นๆ ที่ตัวเองไม่ได้สร้างแม้จะรันได้แต่ก็ให้ประสบการณ์ใช้งานไม่ดีเท่าฮาร์ดแวร์ที่บริษัทตัวเองทำและ Optimized เองให้ทำงานได้ดีที่สุดอย่างแน่นอน

เหตุผลนี้เราจึงได้เห็นทาง Microsoft กระโดดลงสนามฮาร์ดแวร์ด้วยตัวเอง สร้างโน๊ตบุ๊ค Microsoft Surface มาขายทั้งที่ไปทำข้อตกลงร่วมพัฒนากับบริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ชั้นนำให้ทำรุ่นพิเศษที่พัฒนาร่วมกับตนก็ได้ แต่ก็ไม่มีใครรู้จักระบบปฏิบัติการ Windows เท่ากับ Microsoft อยู่แล้ว ดังนั้นถ้าใครอยากได้ประสบการณ์ใช้งานระบบปฏิบัติการ Windows อย่างที่มันควรเป็น ก็มาลองใช้ Surface ดูสักครั้ง เชื่อว่าจะได้คำตอบว่าทำไมถึงมีแฟนคลับที่ชื่นชอบโน๊ตบุ๊คเหล่านี้อยู่


บทความที่เกี่ยวข้อง

7Notebook30K 1
NBS 230615 image link arm Zenbook S 13 OLED
6NotebookOLED

from:https://notebookspec.com/web/706431-5-recommend-microsoft-surface-2023

คู่มือเลือกซื้อมอนิเตอร์: ซื้อจอใหม่ทั้งที ต้องมีอะไรบ้าง

FY23Q3 Dell SA Blog1 1 Hero 1322 x 470

เพราะจอมอนิเตอร์ก็เปรียบเสมือนหน้าต่างที่กำหนดประสบการณ์การใช้งาน PC ของคุณในแต่ละวัน ไม่ว่าคุณจะให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพในการใช้งาน ผลงานสุดปัง ประสบการณ์ความบันเทิงสมจริง รวมไปถึงการปรับสรีระตอนนั่งทำงานเพื่อสุขภาพของคุณ จอมอนิเตอร์ที่ใช่และเหมาะกับคุณอาจช่วยยกระดับไลฟ์สไตล์ของคุณให้ดีขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว

จากตัวเลือกมอนิเตอร์ในตลาดทุกวันนี้ที่ทั้งหลากสเปกหลายฟีเจอร์ อาจทำให้คุณเกิดคำถามว่า แล้วเราจะเลือกจอมอนิเตอร์ที่ใช่และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของเราที่สุดได้อย่างไร? วันนี้เดลล์เลยอยากพาทุกคนไปดู คู่มือการเลือกซื้อมอนิเตอร์ ว่าต้องมีอะไรบ้าง ถึงจะตรงใจและตอบโจทย์!

Advertisementavw
FY23Q3 Dell SA Blog1 Banner 1 1322 x 780 1024x605 1

เลือกไซส์ที่จุได้ทุกความต้องการ

จอมอนิเตอร์นั้นใช้หน่วยวัดเป็น ‘นิ้ว (Inch)’ เช่นเดียวกับจอทีวี และขนาดที่วางขายในตลาดก็มีตั้งแต่ 14 นิ้ว ไปจนถึง 86 นิ้วเลยทีเดียว แต่โดยปกติแล้วมาตรฐานของจอมอนิเตอร์มักจะมีอยู่ 3 ขนาด คือ 24 นิ้ว, 27 นิ้ว และ 32 นิ้ว 

  • จอขนาด 22 หรือ 24 นิ้ว เป็นขนาดที่พอดีสำหรับโต๊ะทำงานขนาดเล็ก เหมาะสำหรับการใช้งานประจำวัน เช่น รับส่งอีเมล หรือการใช้งานอินเทอร์เน็ต 
  • จอขนาด 27 นิ้ว เป็นจอขนาดกลางที่เหมาะสำหรับการใช้งานทุกรูปแบบ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเรียน พนักงานออฟฟิศ หรือใช้เพื่อความบันเทิงภายในบ้าน
  • จอขนาด 32 นิ้วขึ้นไป จัดเป็นจอขนาดใหญ่ที่มอบพื้นที่ให้คุณจัดการงานหลายอย่างได้พร้อมกัน แถมยังตอบโจทย์ทุกการใช้งานในหนึ่งจอ

สำหรับการวางจอมอนิเตอร์ ควรวางในตำแหน่งที่ห่างจากดวงตาประมาณ 16 – 30 นิ้ว จึงควรเลือกขนาดที่มองแล้วสบายตาที่สุดจากระยะนี้

45

ความละเอียดคือหัวใจของวิชวลสุดตราตรึง

ความละเอียดของภาพ (Resolution) จะเป็นตัวบอกจำนวนพิกเซล (Pixels) ทั้งหมดในรูปแบบ ความกว้าง x ความสูง เช่น 1920 x 1080 เป็นต้น หากมอนิเตอร์มีความละเอียดสูง ก็แปลว่ามีจำนวนพิกเซลสูงเพื่อการแสดงภาพที่คมชัดยิ่งขึ้น ซึ่งทำให้คุณสามารถปรับขนาดเนื้อหาให้อ่านง่ายขึ้น หรือแสดงเนื้อหาที่มากขึ้นได้

  • HD (1366×768 – 1680×1050) เป็นความละเอียดจอที่ราคาไม่สูงและได้คุณภาพของภาพที่ดีเหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไป เช่น ค้นหาข้อมูลหรือท่องโลกอินเทอร์เน็ต พิมพ์เอกสารสำหรับการเรียนหรือทำงาน  
  • Full HD (1920×1080 – 1920×1200) คือความละเอียดมาตรฐานสำหรับการใช้งานในบ้าน สำนักงาน และยังเป็นความละเอียดขั้นต่ำสำหรับงานระดับมืออาชีพ เช่น การแชร์ภาพ การประชุมผ่านวิดีโอคอล และการสตรีมวิดีโอ
  • Quad HD or Wide QHD (2560×1440 – 3440×1440) ให้รายละเอียดและสีสันที่คมชัดมากขึ้น เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการผลิตคอนเทนต์ การพรีเซนต์แผนภูมิหรือกราฟที่มีรายละเอียดสูง หรือจะเล่นเกม PC ที่ใช้กราฟิกหนักๆ ก็ได้
  • 4K Ultra HD (3840×2160) มาพร้อมความหนาแน่นของพิกเซลที่มากขึ้น ทำให้คุณสามารถปรับขนาดจอเพื่อคุณภาพและความคมชัดที่มากขึ้นได้ มอนิเตอร์ระดับ 4K นั้นเหมาะสำหรับงานที่มีความซับซ้อนมากขึ้น เช่น การเรนเดอร์ CAD/CAM, การตัดต่อวิดีโอและภาพ, การสร้างภาพประกอบ (Illustrations) ในการออกแบบเว็บไซต์ และงานคอมพิวเตอร์กราฟิกแบบ 3 มิติ (3D computer graphics)
  • 8K (7680×4320) เป็นความละเอียดสูงสุดของจอในปัจจุบัน ซึ่งเป็นความคมชัดที่มากกว่าระดับ 4K ขึ้นมาอีกขั้น จึงทำให้ภาพที่ออกมามีความแม่นยำสมจริงมากที่สุดทั้งในแง่ของสี และการไล่สีแสงเงาแบบไร้รอยต่อ ความคมชัดระดับนี้นั้นถูกออกแบบมาให้เหมาะสำหรับ งานดีไซน์และการตัดต่อที่มีความซับซ้อนสูง รวมไปถึงการสร้างอนิเมชั่น การเรนเดอร์ภาพ 3 มิติ และการตัดต่อวิดีโอที่ความคมชัดระดับ 8K
12

อัตราการรีเฟรช: ยิ่งมาก = ยิ่งไหลลื่น

อัตราการรีเฟรช (Refresh rate) หมายถึง จำนวนครั้งต่อวินาที ที่หน้าจอของคุณนั้นทำการวาดภาพใหม่เพื่อแสดงผล ซึ่งจะวัดผลในหน่วยเฮิร์ต (Hz) และมีค่าปกติอยู่ที่ประมาณ 60Hz ถึง 240Hz 

  • อัตราการรีเฟรชยิ่งสูงก็ยิ่งดีต่อการรับชมของคุณ เพราะภาพที่ไหลลื่นจะช่วยลดอาการปวดตาได้
  • 60 Hz เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไป เช่น การทำเอกสาร ดูหนัง และการเล่นเกมเบาๆ
  • 144 Hz ให้ภาพที่ไหลลื่น เหมาะสำหรับเกมที่มีการแข่งขัน การแชร์รูปภาพ และการตัดต่อวิดีโอ
  • 240 Hz จะแสดงภาพที่ละเอียด การเคลื่อนไหวเนียนตาพร้อมลดความเบลอเป็นอัตรารีเฟรชที่เหมาะสำหรับเกมประเภทการยิง (FPS Games) และงานต่างๆ ที่ต้องการอัตรารีเฟรชสูง
47

ความเร็วในการตอบสนอง: ยิ่งเลขน้อย = ยิ่งตอบสนองไว

ความเร็วในการตอบสนอง (Response time) หมายถึง ความเร็วที่จอใช้ในการเปลี่ยนจากสีหนึ่งไปเป็นอีกสีหนึ่ง ซึ่งใช้หน่วยวัดเป็น มิลลิวินาที (ms)

  • ยิ่งเลขมิลลิวินาทีน้อย จอก็ยิ่งเปลี่ยนภาพได้ไวขึ้น
  • ยิ่งความเร็วในการตอบสนองมากขึ้น ก็จะสามารถช่วยลดอาการภาพซ้อน ลดการบิดเบือนและความเบลอของภาพได้ดีขึ้น ทำให้ภาพคมชัดมากขึ้นแม้จะมีการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว ดังนั้น เลขยิ่งน้อย ความเร็วในการตอบสนองจอก็ยิ่งไว 
FY23Q3 Dell SA Blog1 5 Banner 2 660 x 600 copy 2

ชนิดของเทคโนโลยีพาเนล

  • TN (Twisted Nematic) เป็นเทคโนโลยีใช้แสดงภาพที่เป็นที่นิยมสำหรับเดสก์ท็อปและแล็ปท็อป พาเนลแบบ TN สามารถมอบความเร็วในการตอบสนองต่ำ และอัตราการรีเฟรชสูง โดยมีอาการเบลอในการเคลื่อนไหวน้อย แถมยังอยู่ในราคาที่เหมาะสม เหมาะสำหรับผู้บริโภคที่มีงบประมาณจำกัดและต้องการใช้งานแบบพื้นฐาน
  • VA (Vertical Alignment) มีอัตราส่วนความแตกต่างของสีที่ชัดเจน (Static Contrast Ratios) และมีความลึกของภาพที่ยอดเยี่ยม ทำให้พาเนลแบบ VA เหมาะกับผู้ที่รักการชมภาพยนตร์ และผู้ที่มองหาความคมชัดสมจริงของภาพ นอกจากนี้ยังเหมาะกับเกมเมอร์ที่ชื่นชมเกมประเภท RPG อีกด้วย  
  • IPS (In-Plane Switching) ให้สีของภาพที่สมจริง และยังมอบมุมมองการรับชมที่ดีขึ้นด้วย พาเนลแบบ IPS สามารถรองรับเทคโนโลยีการแสดงสีแบบขั้นสูงได้ ซึ่งเหมาะกับผู้ใช้งานระดับมืออาชีพ เกมเมอร์ หรือแม้กระทั่งสาย Tech 
FY23Q3 Dell SA Blog1 6 Banner 2 660 x 600 copy 3

จอแบน vs จอโค้ง 

  • จอแบน เป็นตัวเลือกเหมาะสำหรับพื้นที่ทำงานที่มีข้อจำกัด เพราะใช้พื้นที่ไม่มาก แถมยังเหมาะสำหรับการใช้งานคอมพิวเตอร์ขั้นพื้นฐาน เช่น การท่องอินเทอร์เน็ต การพิมพ์งาน หรือแม้กระทั่งการช้อปปิ้ง 
  • จอโค้ง เหมาะสำหรับพื้นที่ที่กว้างและสามารถควบคุมแสงไฟได้ จอภาพแบบโค้งนี้เป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่กำลังมองหาประสบการณ์ของภาพที่มีความสมจริง นอกจากนี้จอโค้งยังเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับเหล่าเกมเมอร์ หรือผู้ที่ต้องตัดต่อวิดีโอในแนวนอนอีกด้วย 

ทริคการปรับสรีระง่ายๆ สำหรับผู้ใช้คอมพิวเตอร์

  • วางจอมอนิเตอร์ไว้ด้านหน้าของคุณ ในระยะห่างจากดวงตาประมาณ 51 ซม. หรือ 20 นิ้ว เป็นอย่างน้อย
  • หลีกเลี่ยงการวางจอไว้บริเวณหน้าต่างที่มีแสงจ้า หรือพื้นหลังของผนังที่มีความสว่างสูง
  • ปรับระดับหน้าจอให้กึ่งกลางของหน้าจออยู่ต่ำกว่าระดับสายตาของคุณเล็กน้อย
  • เอนจอภาพไปด้านหลังประมาณ 10° ถึง 20° เพื่อรักษาระยะห่างที่เหมาะสมระหว่างดวงตาและหน้าจอของคุณ

จอมอนิเตอร์ที่เหมาะสมและตอบโจทย์ไม่เพียงแต่จะช่วยทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของคุณเพิ่มขึ้น แต่ยังช่วยให้คุณใช้งานได้อย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำงานหรือสนุกไปกับความบันเทิงหลากหลายรูปแบบ คลิก ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับมอนิเตอร์ของเดลล์เพื่อค้นหาหน้าจอที่ใช่ที่สุดสำหรับคุณได้เลย!

from:https://notebookspec.com/web/705507-%e0%b8%84%e0%b8%b9%e0%b9%88%e0%b8%a1%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b9%80%e0%b8%a5%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%81%e0%b8%8b%e0%b8%b7

คู่มือเลือกซื้อมอนิเตอร์: ซื้อจอใหม่ทั้งที ต้องมีอะไรบ้าง

FY23Q3 Dell SA Blog1 1 Hero 1322 x 470

เพราะจอมอนิเตอร์ก็เปรียบเสมือนหน้าต่างที่กำหนดประสบการณ์การใช้งาน PC ของคุณในแต่ละวัน ไม่ว่าคุณจะให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพในการใช้งาน ผลงานสุดปัง ประสบการณ์ความบันเทิงสมจริง รวมไปถึงการปรับสรีระตอนนั่งทำงานเพื่อสุขภาพของคุณ จอมอนิเตอร์ที่ใช่และเหมาะกับคุณอาจช่วยยกระดับไลฟ์สไตล์ของคุณให้ดีขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว

จากตัวเลือกมอนิเตอร์ในตลาดทุกวันนี้ที่ทั้งหลากสเปกหลายฟีเจอร์ อาจทำให้คุณเกิดคำถามว่า แล้วเราจะเลือกจอมอนิเตอร์ที่ใช่และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของเราที่สุดได้อย่างไร? วันนี้เดลล์เลยอยากพาทุกคนไปดู คู่มือการเลือกซื้อมอนิเตอร์ ว่าต้องมีอะไรบ้าง ถึงจะตรงใจและตอบโจทย์!

Advertisementavw
FY23Q3 Dell SA Blog1 Banner 1 1322 x 780 1024x605 1

เลือกไซส์ที่จุได้ทุกความต้องการ

จอมอนิเตอร์นั้นใช้หน่วยวัดเป็น ‘นิ้ว (Inch)’ เช่นเดียวกับจอทีวี และขนาดที่วางขายในตลาดก็มีตั้งแต่ 14 นิ้ว ไปจนถึง 86 นิ้วเลยทีเดียว แต่โดยปกติแล้วมาตรฐานของจอมอนิเตอร์มักจะมีอยู่ 3 ขนาด คือ 24 นิ้ว, 27 นิ้ว และ 32 นิ้ว 

  • จอขนาด 22 หรือ 24 นิ้ว เป็นขนาดที่พอดีสำหรับโต๊ะทำงานขนาดเล็ก เหมาะสำหรับการใช้งานประจำวัน เช่น รับส่งอีเมล หรือการใช้งานอินเทอร์เน็ต 
  • จอขนาด 27 นิ้ว เป็นจอขนาดกลางที่เหมาะสำหรับการใช้งานทุกรูปแบบ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเรียน พนักงานออฟฟิศ หรือใช้เพื่อความบันเทิงภายในบ้าน
  • จอขนาด 32 นิ้วขึ้นไป จัดเป็นจอขนาดใหญ่ที่มอบพื้นที่ให้คุณจัดการงานหลายอย่างได้พร้อมกัน แถมยังตอบโจทย์ทุกการใช้งานในหนึ่งจอ

สำหรับการวางจอมอนิเตอร์ ควรวางในตำแหน่งที่ห่างจากดวงตาประมาณ 16 – 30 นิ้ว จึงควรเลือกขนาดที่มองแล้วสบายตาที่สุดจากระยะนี้

45

ความละเอียดคือหัวใจของวิชวลสุดตราตรึง

ความละเอียดของภาพ (Resolution) จะเป็นตัวบอกจำนวนพิกเซล (Pixels) ทั้งหมดในรูปแบบ ความกว้าง x ความสูง เช่น 1920 x 1080 เป็นต้น หากมอนิเตอร์มีความละเอียดสูง ก็แปลว่ามีจำนวนพิกเซลสูงเพื่อการแสดงภาพที่คมชัดยิ่งขึ้น ซึ่งทำให้คุณสามารถปรับขนาดเนื้อหาให้อ่านง่ายขึ้น หรือแสดงเนื้อหาที่มากขึ้นได้

  • HD (1366×768 – 1680×1050) เป็นความละเอียดจอที่ราคาไม่สูงและได้คุณภาพของภาพที่ดีเหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไป เช่น ค้นหาข้อมูลหรือท่องโลกอินเทอร์เน็ต พิมพ์เอกสารสำหรับการเรียนหรือทำงาน  
  • Full HD (1920×1080 – 1920×1200) คือความละเอียดมาตรฐานสำหรับการใช้งานในบ้าน สำนักงาน และยังเป็นความละเอียดขั้นต่ำสำหรับงานระดับมืออาชีพ เช่น การแชร์ภาพ การประชุมผ่านวิดีโอคอล และการสตรีมวิดีโอ
  • Quad HD or Wide QHD (2560×1440 – 3440×1440) ให้รายละเอียดและสีสันที่คมชัดมากขึ้น เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการผลิตคอนเทนต์ การพรีเซนต์แผนภูมิหรือกราฟที่มีรายละเอียดสูง หรือจะเล่นเกม PC ที่ใช้กราฟิกหนักๆ ก็ได้
  • 4K Ultra HD (3840×2160) มาพร้อมความหนาแน่นของพิกเซลที่มากขึ้น ทำให้คุณสามารถปรับขนาดจอเพื่อคุณภาพและความคมชัดที่มากขึ้นได้ มอนิเตอร์ระดับ 4K นั้นเหมาะสำหรับงานที่มีความซับซ้อนมากขึ้น เช่น การเรนเดอร์ CAD/CAM, การตัดต่อวิดีโอและภาพ, การสร้างภาพประกอบ (Illustrations) ในการออกแบบเว็บไซต์ และงานคอมพิวเตอร์กราฟิกแบบ 3 มิติ (3D computer graphics)
  • 8K (7680×4320) เป็นความละเอียดสูงสุดของจอในปัจจุบัน ซึ่งเป็นความคมชัดที่มากกว่าระดับ 4K ขึ้นมาอีกขั้น จึงทำให้ภาพที่ออกมามีความแม่นยำสมจริงมากที่สุดทั้งในแง่ของสี และการไล่สีแสงเงาแบบไร้รอยต่อ ความคมชัดระดับนี้นั้นถูกออกแบบมาให้เหมาะสำหรับ งานดีไซน์และการตัดต่อที่มีความซับซ้อนสูง รวมไปถึงการสร้างอนิเมชั่น การเรนเดอร์ภาพ 3 มิติ และการตัดต่อวิดีโอที่ความคมชัดระดับ 8K
12

อัตราการรีเฟรช: ยิ่งมาก = ยิ่งไหลลื่น

อัตราการรีเฟรช (Refresh rate) หมายถึง จำนวนครั้งต่อวินาที ที่หน้าจอของคุณนั้นทำการวาดภาพใหม่เพื่อแสดงผล ซึ่งจะวัดผลในหน่วยเฮิร์ต (Hz) และมีค่าปกติอยู่ที่ประมาณ 60Hz ถึง 240Hz 

  • อัตราการรีเฟรชยิ่งสูงก็ยิ่งดีต่อการรับชมของคุณ เพราะภาพที่ไหลลื่นจะช่วยลดอาการปวดตาได้
  • 60 Hz เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไป เช่น การทำเอกสาร ดูหนัง และการเล่นเกมเบาๆ
  • 144 Hz ให้ภาพที่ไหลลื่น เหมาะสำหรับเกมที่มีการแข่งขัน การแชร์รูปภาพ และการตัดต่อวิดีโอ
  • 240 Hz จะแสดงภาพที่ละเอียด การเคลื่อนไหวเนียนตาพร้อมลดความเบลอเป็นอัตรารีเฟรชที่เหมาะสำหรับเกมประเภทการยิง (FPS Games) และงานต่างๆ ที่ต้องการอัตรารีเฟรชสูง
47

ความเร็วในการตอบสนอง: ยิ่งเลขน้อย = ยิ่งตอบสนองไว

ความเร็วในการตอบสนอง (Response time) หมายถึง ความเร็วที่จอใช้ในการเปลี่ยนจากสีหนึ่งไปเป็นอีกสีหนึ่ง ซึ่งใช้หน่วยวัดเป็น มิลลิวินาที (ms)

  • ยิ่งเลขมิลลิวินาทีน้อย จอก็ยิ่งเปลี่ยนภาพได้ไวขึ้น
  • ยิ่งความเร็วในการตอบสนองมากขึ้น ก็จะสามารถช่วยลดอาการภาพซ้อน ลดการบิดเบือนและความเบลอของภาพได้ดีขึ้น ทำให้ภาพคมชัดมากขึ้นแม้จะมีการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว ดังนั้น เลขยิ่งน้อย ความเร็วในการตอบสนองจอก็ยิ่งไว 
FY23Q3 Dell SA Blog1 5 Banner 2 660 x 600 copy 2

ชนิดของเทคโนโลยีพาเนล

  • TN (Twisted Nematic) เป็นเทคโนโลยีใช้แสดงภาพที่เป็นที่นิยมสำหรับเดสก์ท็อปและแล็ปท็อป พาเนลแบบ TN สามารถมอบความเร็วในการตอบสนองต่ำ และอัตราการรีเฟรชสูง โดยมีอาการเบลอในการเคลื่อนไหวน้อย แถมยังอยู่ในราคาที่เหมาะสม เหมาะสำหรับผู้บริโภคที่มีงบประมาณจำกัดและต้องการใช้งานแบบพื้นฐาน
  • VA (Vertical Alignment) มีอัตราส่วนความแตกต่างของสีที่ชัดเจน (Static Contrast Ratios) และมีความลึกของภาพที่ยอดเยี่ยม ทำให้พาเนลแบบ VA เหมาะกับผู้ที่รักการชมภาพยนตร์ และผู้ที่มองหาความคมชัดสมจริงของภาพ นอกจากนี้ยังเหมาะกับเกมเมอร์ที่ชื่นชมเกมประเภท RPG อีกด้วย  
  • IPS (In-Plane Switching) ให้สีของภาพที่สมจริง และยังมอบมุมมองการรับชมที่ดีขึ้นด้วย พาเนลแบบ IPS สามารถรองรับเทคโนโลยีการแสดงสีแบบขั้นสูงได้ ซึ่งเหมาะกับผู้ใช้งานระดับมืออาชีพ เกมเมอร์ หรือแม้กระทั่งสาย Tech 
FY23Q3 Dell SA Blog1 6 Banner 2 660 x 600 copy 3

จอแบน vs จอโค้ง 

  • จอแบน เป็นตัวเลือกเหมาะสำหรับพื้นที่ทำงานที่มีข้อจำกัด เพราะใช้พื้นที่ไม่มาก แถมยังเหมาะสำหรับการใช้งานคอมพิวเตอร์ขั้นพื้นฐาน เช่น การท่องอินเทอร์เน็ต การพิมพ์งาน หรือแม้กระทั่งการช้อปปิ้ง 
  • จอโค้ง เหมาะสำหรับพื้นที่ที่กว้างและสามารถควบคุมแสงไฟได้ จอภาพแบบโค้งนี้เป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่กำลังมองหาประสบการณ์ของภาพที่มีความสมจริง นอกจากนี้จอโค้งยังเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับเหล่าเกมเมอร์ หรือผู้ที่ต้องตัดต่อวิดีโอในแนวนอนอีกด้วย 

ทริคการปรับสรีระง่ายๆ สำหรับผู้ใช้คอมพิวเตอร์

  • วางจอมอนิเตอร์ไว้ด้านหน้าของคุณ ในระยะห่างจากดวงตาประมาณ 51 ซม. หรือ 20 นิ้ว เป็นอย่างน้อย
  • หลีกเลี่ยงการวางจอไว้บริเวณหน้าต่างที่มีแสงจ้า หรือพื้นหลังของผนังที่มีความสว่างสูง
  • ปรับระดับหน้าจอให้กึ่งกลางของหน้าจออยู่ต่ำกว่าระดับสายตาของคุณเล็กน้อย
  • เอนจอภาพไปด้านหลังประมาณ 10° ถึง 20° เพื่อรักษาระยะห่างที่เหมาะสมระหว่างดวงตาและหน้าจอของคุณ

จอมอนิเตอร์ที่เหมาะสมและตอบโจทย์ไม่เพียงแต่จะช่วยทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของคุณเพิ่มขึ้น แต่ยังช่วยให้คุณใช้งานได้อย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำงานหรือสนุกไปกับความบันเทิงหลากหลายรูปแบบ คลิก ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับมอนิเตอร์ของเดลล์เพื่อค้นหาหน้าจอที่ใช่ที่สุดสำหรับคุณได้เลย!

from:https://notebookspec.com/web/705507-pc-dell-thailand

วิธีเลือกจอคอมเล่นเกมในปี 2023

เวลาจะเลือกจอคอมเล่นเกม นอกเหนือจากเรื่องขนาดและดีไซน์จอแล้ว ในปัจจุบันผู้ผลิตได้มีการใส่ฟีเจอร์ คุณสมบัติยิบย่อยต่าง ๆ เพื่อสร้างจุดต่างและจุดขายให้กับจอแต่ละรุ่น โดยเฉพาะกลุ่มของจอเกมมิ่ง ที่ออกแบบมาให้เหมาะกับการเล่นเกมเป็นพิเศษ โดยจะมีคุณสมบัติบางข้อที่ทั้งฝั่งผู้ผลิตก็ต้องเน้น ฝั่งผู้ซื้อก็ต้องพิจารณาเป็นหลัก อาทิ เรื่องของรีเฟรชเรต (refresh rate) ระยะเวลาการตอบสนอง (response time) และก็ประเภทของพาเนลจอ สามข้อนี้คือคุณสมบัติหลักที่ต้องให้ความสำคัญซักนิดนึง รวมถึงยังเป็นตัวกำหนดระดับราคาแบบคร่าว ๆ ได้อีกด้วย

วิธีเลือกจอคอมสำหรับเล่นเกมปี 2023

Advertisementavw

ในบทความนี้เราจะมาดูกันครับว่าปัจจัย 3 ข้อนี้มีความสำคัญอย่างไร และควรเลือกแบบไหน สำหรับการมองหาจอคอมสำหรับเล่นเกมในปี 2023 นี้

รีเฟรชเรต (Refresh Rate)

รีเฟรชเรตคือตัวเลขที่บ่งบอกความถี่ ว่าจอสามารถแสดงภาพได้กี่เฟรมในเวลา 1 วินาที มีหน่วยเป็น Hz ตัวอย่างเช่น ถ้าบอกว่าจอนี้เป็นจอ 120Hz ก็เท่ากับว่าตัวจอมีความสามารถในการแสดงภาพได้สูงสุด 120 เฟรมต่อวินาที ซึ่งก็จะสัมพันธ์กันกับเฟรมเรตที่มาจากการ์ดจอด้วย แต่ต้องย้ำกว่า รีเฟรชเรตและเฟรมเรต ไม่ใช่ค่าเดียวกัน รีเฟรชเรตคือส่วนของจอ เฟรมเรตคือมาจาก GPU ที่ทำงานร่วมกับ CPU ในระบบ โดยจอปกติทั่วไปจะมีรีเฟรชเรตมาตรฐานที่ 60Hz

s5 a04 01 refresh chart rwd.jpg.rendition.intel .web .1920.1080

ในภาพด้านบนนี้ เป็นการอธิบายให้เห็นภาพว่ารีเฟรชเรตที่ต่างกัน ให้ผลกับภาพที่แสดงบนจอคอมอย่างไรบ้าง โดยที่ความถี่ 120Hz จะมีการเปลี่ยนเฟรมภาพแต่ละเฟรมแค่ 8.33 มิลลิวินาทีเท่านั้น เราจึงเห็นรายละเอียดการเคลื่อนไหวที่มากกว่า เมื่อเทียบกับ 60Hz ที่มีการเปลี่ยนเฟรมภาพที่ช้ากว่า 120Hz ถึงประมาณ​ 2 เท่า ส่วน 30Hz ยิ่งหนักเลยครับ แทบจะเหมือนว่าขาและแขนดูข้ามจังหวะกันเลย นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เรามองเห็นภาพบนจอที่รีเฟรชเรตสูง ๆ มันดูไหลลื่นกว่า มันก็เนื่องมาจากเรามองเห็นการเคลื่อนไหวที่ละเอียดมากขึ้นนั่นเอง

สำหรับการเลือกจอคอมสำหรับเล่นเกมในแง่ของรีเฟรชเรต แน่นอนว่าการที่จอรองรับรีเฟรชเรตได้สูง ก็หมายถึงโอกาสในการใช้งานกับการ์ดจอในเดสก์ท็อป โน้ตบุ๊ก รวมถึงเครื่องเกมคอนโซลได้หลากหลายกว่า เพราะถึงแม้จะบอกว่าจอนี้เป็นจอ 144Hz แต่ในการใช้งานจริง จอจะใช้การแสดงรีเฟรชเรตตามที่ตั้งค่าในระบบปฏิบัติการเป็นหลัก ซึ่งปกติแล้วก็จะตั้งค่าไปที่รีเฟรชเรตสูงสุดของจออยู่แล้ว เพื่อให้ใช้งานได้เต็มสมรรถภาพที่ซื้อมา

Screen tearing during gameplay1652682533270448

ส่วนในการเล่นเกม กรณีที่ดีที่สุดก็คือควรจะใช้จอที่มีรีเฟรชเรตเหมาะสมกับเฟรมเรต ของการ์ดจอ คือในอัตราส่วน 1:1 เช่น จอ 144Hz ก็จะเหมาะที่สุดกับการเล่นเกมที่ระดับ 144fps แต่แน่นอนว่าย่อมจะมีกรณีที่เฟรมเรตน้อยกว่ารีเฟรชเรต เช่น จอ 144Hz แต่คอมของเราทำเฟรมเรตได้แค่ 90fps เท่านั้น ในเคสนี้จะไม่เกิดผลกระทบกับภาพครับ สามารถใช้งานได้ปกติ แต่ถ้าเป็นกรณีที่เฟรมเรตมากกว่ารีเฟรชเรต เช่น การ์ดจอขับเฟรมภาพได้ระดับ 200fps แต่ใช้บนจอ 60Hz ปกติ แบบนี้จะเกิดอาการภาพฉีกขาด (tearing) ขึ้นมา อันเนื่องมาจากจออัปเดตเฟรมภาพไม่ทันกับข้อมูลที่การ์ดจอส่งมาให้

สำหรับในกรณีหลัง สามารถแก้ไขได้ด้วยการเปิดใช้งาน VSync ในเกม หรือถ้าจอมีฟังก์ชันในการซิงค์ภาพกับการ์ดจอ เช่น NVIDIA G-SYNC หรือ AMD FreeSync และทางฝั่งการ์ดจอก็รองรับเทคโนโลยีเดียวกัน ระบบก็จะมีการสื่อสารกันเองในการปรับการส่งข้อมูลให้เหมาะสม เพื่อให้ไม่เกิดอาการภาพฉีกขาด โดยจอคอมส่วนใหญ่ในท้องตลาด มักจะรองรับ AMD FreeSync อยู่แล้ว นอกจากนี้ ตัวของ FreeSync ยังสามารถใช้งานร่วมกับการ์ดจอ NVIDIA ได้อีกด้วย

Viewsonic VX2718 P MHD Game 11

ดังนั้น ถ้าเป็นไปได้ ก็ควรเลือกจอคอมเล่นเกมที่มีรีเฟรชเรตสูงซักหน่อย เช่น 120Hz ขึ้นไป ที่มาพร้อม AMD FreeSync ไว้ก่อน หรือถ้างบถึง และใช้การ์ดจอ NVIDIA ก็จะเลือกจอที่รองรับ G-SYNC ไปเลยก็ได้ แต่ทั้งนี้ ก็ควรพิจารณาปัจจัยด้านอื่น ๆ ประกอบกันด้วย เช่น ประเภทพาเนลจอ ขนาด ความละเอียด พอร์ตเชื่อมต่อ โดยค่ารีเฟรชเรตยอดนิยมของกลุ่มจอสำหรับเล่นเกมก็เช่น 144Hz 165Hz 240Hz 360Hz ล่าสุดก็มีทำไปได้ถึง 480Hz แล้ว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่เล่นเกมที่ต้องมีการ action เยอะ ๆ เร็ว ๆ เช่นเกมแนว FPS เกมต่อสู้ หรือเกมแข่งรถ ควรเลือกจอที่รีเฟรชเรตสูงไว้ก่อน เพื่อที่จะได้เพิ่มโอกาสการมองเห็นเฟรมการเคลื่อนไวของอีกฝ่ายได้ดีกว่า ตั้งแผนรับมือได้ดีขึ้น แต่ถ้าใช้เล่นเกมแนววางแผน เกมที่มีการแบ่งเทิร์นชัดเจน หรือเกมที่ไม่ได้มีการเปลี่ยนเฟรมภาพเร็ว ๆ มากนัก จอ 60Hz ก็ยังใช้งานได้สบาย ขอแค่การ์ดจอดีพอที่จะขับได้ 60fps แบบนิ่ง ๆ ก็โอเคแล้ว

 

Screenshot 2023 05 29 at 4.35.53 PM

ระยะเวลาการตอบสนอง (Response Time)

เป็นค่าบ่งบอกความเร็วในการตอบสนองของเม็ดพิกเซล ในการเปลี่ยนจากสีหนึ่งไปเป็นอีกสี่หนึ่ง หรือมีการเปลี่ยนแปลงการแสดงผล โดยในปัจจุบัน สำหรับจอคอมมักจะมีอยู่สองมาตรฐานที่นิยมใช้ในการบอก response time ของจอ นั่นคือ

  1. แบบ Grey-To-Grey (GtG) – ความเร็วการเปลี่ยนสี จากสีเทาไปเป็นสีเทาอีกค่าหนึ่ง
  2. แบบ Moving Picture Response Time (MPRT) – ระยะเวลาที่เม็ดพิกเซลแสดงผลอยู่ ก่อนที่จะเปลี่ยนไปภาพใหม่

img mnt ultragear 27gr95qe 09 1 0.03ms gtg response time

ค่า response time แบบ GtG นั้นอยู่คู่วงการจอคอมมาอย่างยาวนาน เพราะเป็นค่าที่สามารถวัดได้ไม่ยากนัก และยังได้ตัวเลขที่ต่ำมาก เช่น 1 มิลลิวินาที (ms) หรือ 3 ms โดยเลขยิ่งต่ำ ก็แสดงว่าเม็ดพิกเซลสามารถเปลี่ยนสีได้เร็ว ทำให้สามารถตอบสนองกับการเปลี่ยนเฟรมภาพที่รวดเร็วได้ดีด้วย สำหรับจอเล่นเกม ส่วนใหญ่มักจะมาพร้อม response time แบบ GtG เริ่มต้นที่ 4 ms ในรุ่นราคาประมาณ 5,000 บาทขึ้นไป

แต่ในปัจจุบัน ผู้ผลิตหน้าจอ โดยเฉพาะกลุ่มของจอเกมมิ่ง มักจะมีการระบุค่า response time ในแบบ MPRT เพิ่มมาให้ด้วย เนื่องจากการวัดค่าแบบ MPRT จะเป็นตัวช่วยบ่งบอกว่าจอสามารถเปลี่ยนภาพได้เร็วขนาดไหน จะมีเงาค้างติดจอ (ghosting) แบบเห็นได้ชัดหรือเปล่า โดยจะใช้การบอกค่าเป็นเวลาหลักมิลลิวินาทีเหมือนกัน แต่ด้วยการที่ MPRT เป็นการบ่งบอกถึงการเปลี่ยนการแสดงผลของเม็ดพิกเซล จึงทำให้เลขที่ออกมาจะไม่มีทางเกินระยะเวลาการแสดงผลของแต่ละเฟรมอยู่แล้ว เช่น ของจอ 144Hz ก็จะมีค่า response time แบบ MPRT ที่ไม่เกิน 1/144 วินาที (6.9 ms) เพราะถ้าเฟรมภาพเปลี่ยน ก็เท่ากับเม็ดพิกเซลจะถูกบังคับให้เปลี่ยนการแสดงผลอยู่ดี

แต่ทั้งนี้ ค่า response time แบบ MPRT ก็อาจจะไม่สามารถบ่งบอกประสิทธิภาพจอได้แบบ 100% ครับ เพราะส่วนหนึ่งมันขึ้นอยู่กับมาตรฐานที่แต่ละแบรนด์ทดสอบ ค่ารีเฟรชเรตของจอ และสายตาของผู้ใช้งานด้วย อย่างถ้าตาไม่ได้ไวต่อแสงมากนัก ก็อาจจะสามารถใช้จอที่มี response time แบบ MPRT สูงหน่อยได้แบบไม่มีปัญหา ส่วนถ้าต้องการวัดค่า MPRT ของจอที่ใช้อยู่ ลองเข้าไปดูที่เว็บนี้ได้เลย

MSI MPG ARTYMIS 323CRQ OSD 8

ในจอสำหรับเล่นเกมบางรุ่น ผู้ผลิตอาจจะใส่ฟังก์ชันประเภทการ overdrive ที่ช่วยลด response time ลงมา เพื่อให้ตอบสนองกับการเล่นเกมที่มีภาพเคลื่อนไหวเร็ว ๆ ได้ดีขึ้น ภาพเบลอในจุดเคลื่อนไหวน้อยลง ซึ่งจะเปิดใช้นิดหน่อยก็ได้ครับ แต่ถ้าเปิดเยอะไป นานไป อาจส่งผลเสียต่อจอในระยะยาวได้ ที่เรียกอาการว่าเป็น overshoot (มีเงาแบบภาพเลือน ภาพติดตา) เพราะปกติแล้วการ overdrive จะเป็นการจ่ายไฟที่สูงกว่าระดับปกติเล็กน้อยเข้าไป

สำหรับการเลือกจอคอมสำหรับเล่นเกมในปี 2023 ถ้าเป็นในกลุ่มของจอราคาตั้งแต่ 5,000 – 10,000 บาท มักจะมาพร้อม response time แบบ GtG ตั้งแต่ 5ms ลงมา และ MPRT (ถ้ามีระบุ) ที่ 1ms ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่โอเคแล้วครับ แต่ทางที่ดีก็ควรลองไปดูตัวจริงหน้าร้านก่อนตัดสินใจซื้อจะดีที่สุด เพราะสายตาของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน

MSI Modern MD272QPW 155

ประเภทของพาเนลจอ – TN / IPS / VA

พาเนลจอคือส่วนสำคัญที่จะบ่งบอกถึงคุณภาพของการแสดงผลขอจอ ซึ่งในปัจจุบันก็จะมีที่ใช้กันอยู่ 3 รูปแบบหลัก ๆ ได้แก่ พาเนลประเภท TN, IPS และ VA ซึ่งแต่ละแบบก็จะเลือกใช้เทคโนโลยีที่แตกต่างกันไป ทำให้แต่ละแบบมีจุดเด่นที่แตกต่างกันดังนี้

พาเนล TN

เป็นพาเนลที่อยู่คู่จอ LCD/LED มาอย่างยาวนาน โดยในปัจจุบันจะพบอยู่ในกลุ่มจอราคาไม่สูงมาก (ต่ำกว่า 3,000 บาท) และกลุ่มจอสำหรับเล่นเกม ที่ออกแบบมาเพื่อเน้นการตอบสนองที่เร็ว เนื่องจากพาเนล TN มีจุดเด่นคือมี response time ที่ต่ำสุดในพาเนล 3 ประเภทหลัก สามารถทำได้เร็วสุดน้อยกว่า 1 ms จะช้าสุดก็แค่ 4-5 ms ซึ่งจัดว่ายังเร็วกว่าพาเนลอื่นอยู่ดี รวมถึงยังสามารถออกแบบให้มีรีเฟรชเรตได้สูงมาก ๆ ด้วย จึงทำให้มักจะเกิดอาการภาพเบลอ ภาพติดตาที่น้อยหรือแทบไม่มี และก็มี input lag ที่ต่ำ ทำให้จอที่ใช้พาเนล TN จะเหมาะกับใช้ในการเล่นเกมแนว FPS เกมต่อสู้ เกมแอคชันที่มีการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วเป็นพิเศษ เราจึงจะได้เห็นกลุ่มจอสำหรับอีสปอร์ตหลาย ๆ รุ่นเลือกใช้พาเนล TN เป็นหลัก

ZOWIE XL2746S 94

แต่พาเนล TN ก็จะมีจุดด้อยในเรื่องของสีสัน และมุมมองภาพที่แคบกว่าพาเนลอื่นด้วยข้อจำกัดทางด้านเทคโนโลยี โดยในด้านของขอบเขตสี (color gamut) มักจะทำได้ที่สูงสุดระดับ 100% sRGB  และมีน้อยรุ่นมาก ๆ ที่สามารถทำคอนทราสต์ได้ถึง 1000:1 ส่วนมุมมองภาพตามทฤษฎีก็ทำได้มากสุดแค่ 170 องศาในแนวตั้งและ 160 องศาในแนวนอนเท่านั้น ซึ่งในความจริงอาจจะน้อยกว่านี้ลงไปอีก ทำให้ถ้ามองจากด้านข้างหรือด้านบนของจอ จะพบว่าภาพมีสีและความสว่างเพี้ยน สีเหลือบไปจากภาพจริง แต่ถ้านำมาใช้เล่นเกมก็ไม่มีปัญหาเลย เพราะปกติแล้วเวลาจะเล่นเกมกับจอคอม ผู้ใช้ก็ต้องนั่งอยู่ตรงกลางจออยู่แล้ว

พาเนล IPS

IPS ย่อมาจาก In-plane switching ซึ่งสื่อถึงรูปแบบการวางผลึกคริสตัลที่มีการบิดมุมในแนวนอนเมื่อมีการจ่ายไฟให้มีการแสดงผล ซึ่งทำให้เป็นจุดเด่นของ IPS นั่นคือมุมมองภาพที่กว้างสุดถึง 178/178 องศา ทั้งยังมีคุณสมบัติในด้านการแสดงสีสันที่ดี สามารถแสดงสีได้สูงสุดถึงระดับ 100% DCI-P3 ขึ้นไปแล้วแต่คุณภาพของพาเนล ทำให้ค่อนข้างเหมาะกับการใช้เป็นจอคอมที่ต้องเน้นด้านสีสัน ความแม่นยำของสี เพื่อให้ได้ภาพที่สมจริงในการทำงานและการเล่นเกม แม้จะมองจากด้านเฉียงของจอก็ยังได้ภาพที่คมชัดอยู่

DSC00359

ส่วนจุดด้อยของพาเนล IPS ก็จะมีเรื่องของสีดำที่ดูไม่ดำสนิทเท่าพวก TN และ VA เนื่องจากไม่สามารถทำค่าคอนทราสต์ได้สูงเท่า ในบางรุ่นอาจพบอาการแสงเป็นดวง ๆ เมื่อภาพเป็นสีดำ (IPS Glow) ซึ่งเป็นเรื่องปกติของพาเนล IPS เลย ส่วนเรื่อง response time ก็จะสูงกว่า TN พอสมควร คือมักอยู่ในช่วง 5-7 ms แม้ในปัจจุบันจะมีการพัฒนาให้เร็วขึ้นใกล้เคียง TN แล้วก็ตาม แต่ก็จะมีอยู่ในรุ่นที่ราคาสูงขึ้นกว่าปกติไปอีก ด้านรีเฟรชเรตก็เช่นเดียวกันครับ ถ้าเทียบในช่วงราคาเดียวกัน มักจะพบว่าจอ IPS มักให้ค่ารีเฟรชเรตสูงสุดต่ำกว่าจอ TN และ VA อย่างเห็นได้ชัดเลย อาจจะมีแค่บางรุ่นที่ทำได้เทียบเท่า แต่ก็มักจะลดสเปคในจุดอื่นลงเพื่อให้สามารถทำราคาได้อยู่ดี

จอคอมพาเนล IPS เหมาะกับผู้ที่เล่นเกม หรือทำงานด้านกราฟิกที่ต้องการภาพสวย สีสันแม่นยำ สมจริง มุมมองของจอที่กว้าง โดยเฉพาะกับการเล่นเกมภาพสวย มี effect ตระการตา โดยอาจจะไม่จำเป็นต้องเน้นเรื่อง response time ที่ว่องไวขีดสุด ไม่ได้ใช้งานด้านอีสปอร์ตแบบจริงจังมากนัก

พาเนล VA

ให้เข้าใจง่าย ๆ คือเป็นพาเนลที่อยู่ระหว่างกลางของ TN และ IPS ในด้านของสีสันและมุมมองภาพ จะทำได้ดีกว่า TN แต่ยังไม่ถึงระดับ IPS เวลามองจากด้านข้างหรือด้านบน จะพบอาการสีและความสว่างเพี้ยนน้อยกว่า TN หรือแทบไม่เพี้ยนเลย ที่น่าสนใจคือสามารถทำคอนทราสต์ได้ดีกว่า IPS มาก ๆ เริ่มต้นก็มักจะมาที่ 2000:1 เข้าไปแล้ว ทำให้ได้ภาพที่ดูสีสันสดใส มีความดำที่ลึกกว่า ให้ภาพที่มีมิติ จึงเหมาะกับการใช้งานเป็นจอคอมเพื่อความบันเทิง จะเล่นเกมหรือดูหนังก็สบาย ส่วนในด้านของ response time จัดว่าไม่ดีไม่แย่ครับ เพราะช่วงนั้นค่อนข้างกว้างมาก มีตั้งแต่ระดับช้ากว่า IPS จนไปถึงระดับใกล้เคียง TN เลย (แต่ก็ยังมีระยะห่างอยู่) อันนี้ต้องเช็คเป็นรายรุ่นไป ทั้งแบบ GtG และ MPRT

crosshair 8

ด้านของรีเฟรชเรตก็เป็นอีกจุดที่ VA ทำได้ดี อยู่กึ่งกลางระหว่าง TN และ IPS โดยถ้าเทียบจอคอมที่มีค่ารีเฟรชเรตสูงสุดเท่ากัน สเปคโดยรวมเหมือนกัน จอ VA มักจะมีราคาที่ย่อมเยากว่าจอ IPS อยู่นิดนึง ทำให้จอคอมที่ใช้พาเนล VA ได้รับความนิยมสูงในปัจจุบัน เพราะตอบโจทย์ด้านสีสันที่ดีกว่า TN ในหลาย ๆ รุ่น รีเฟรชเรตที่ดีกว่า IPS แม้จะมี repsonse time สูงขึ้นมาหน่อย แต่ถ้าไม่ได้เล่นเกมระดับจริงจังก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ส่วนด้านมุมมองภาพที่อาจจะไม่กว้างเท่า IPS แต่ถ้านั่งใช้งานหน้าจอคนเดียวก็ไม่มีปัญหาแน่นอน

จอคอมพาเนล VA จึงเหมาะกับการใช้เล่นเกม ดูหนัง หรืองานอื่น ๆ ที่ต้องการความสดใสของสีสัน มิติภาพที่ดีจากสีดำที่ดำลึก ขาวที่สว่าง ในราคาที่เป็นมิตรกว่า IPS หรือจะซื้อมาใช้ทำงานก็ได้เช่นกัน สำหรับงานที่ไม่เน้นความแม่นยำของสีระดับมือโปร

Mi Curved 34 144Hz Gaming 76

สรุป – เลือกจอคอมเล่นเกมแบบไหนดี?

จาก 3 ปัจจัยหลักข้างต้น ถ้าต้องเลือกจอคอมมาใช้เล่นเกมซักรุ่น จะพอสรุปได้ประมาณนี้ครับ

เน้นเล่นเกม เน้นอีสปอร์ตจริงจัง

เลือกจอ TN เน้นรีเฟรชเรตสูง และ response time ต่ำสุดเท่าที่จะเป็นไปได้

เน้นเล่นเกมยิง เกม FPS / TPS / Action เร็ว ๆ

เลือกจอ TN เน้นรีเฟรชเรตสูง และ response time ต่ำสุดเท่าที่จะเป็นไปได้เช่นกัน แต่ถ้างบถึง จะดูเป็นกลุ่มจอ IPS ก็ได้

เน้นเล่นเกมเนื้อเรื่อง / Cinematic / RPG / MOBA / Simulation / เกมทั่วไป เน้นเล่นสนุก ๆ มีดูหนังบ้าง

เลือกจอ IPS หรือ VA ค่าสีดี ๆ ความละเอียดสูงในระดับที่การ์ดจอทำงานไหว ส่วนรีเฟรชเรต ถ้าเป็นไปได้ก็ขั้นต่ำที่ 144Hz ไว้ก่อนเลย เผื่ออัปเกรดการ์ดจอในอนาคต เพราะจอ 144Hz ตอนนี้ก็มีราคาที่จับต้องได้ง่ายขึ้นมากแล้ว แต่ถ้างบจำกัดจริง ๆ 75Hz ที่เป็นจอสำหรับใช้ทำงานก็ยังโอเค เล่นเกมได้สบาย

เน้นเล่นเกมกีฬาเช่น FIFA / Forza

เลือกจอที่มีการตั้งค่าโหมดเล่นเกมมาให้ เพื่อลด input lag ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ส่วนรีเฟรชเรตก็เลือกจอที่มีรีเฟรชเรตสูงสุดที่เหมาะกับการ์ดจอไว้ก่อน เพื่อให้เกมไม่สะดุดระหว่างเล่น ถ้าให้ดีก็คือเลือกจอที่มีเทคโนโลยีการซิงค์ภาพที่ตรงกับการ์ดจอที่มี สำหรับ response time ถ้าเป็นจอราคา 5,000 บาทขึ้นไป ส่วนใหญ่จะสามารถเล่นเกมในกลุ่มนี้ได้แบบไม่ต่างกันมากนัก เพราะขนาดใช้เล่นกับทีวียังทำได้สบายเลย

ด้านของประเภทพาเนล ถ้าได้ IPS ก็จะดีครับ เพื่อความสวยงามของภาพ ส่วน VA ก็ไม่ต่างกันมากนัก ขึ้นอยู่กับแต่ละรุ่นอีกที

เน้นเล่นเกมคอนโซล PS5 / Xbox / Switch

จะใช้เป็น VA หรือ IPS ก็ได้ ถ้าใช้ VA ก็จะได้ภาพที่สีสันดูเต็มอิ่มกว่า รีเฟรชเรตสูงไว้ก่อน เพราะถ้าเป็นเครื่องคอนโซลรุ่นใหม่อย่าง PS5 และ Xbox Series S | X จะได้รับการออกแบบมาให้รองรับกับจอ 120Hz ได้ดี ส่วนความละเอียด ก็เริ่มต้นที่ Full HD 1920×1080 ซึ่งเหมาะกับทุกเครื่อง โดยเฉพาะ Nintendo Switch หรือถ้าจะขยับสูงขึ้นไป ก็แนะนำให้ข้ามไปที่ 4K 3840×2160 เลย ไม่แนะนำจออัลตร้าไวด์ จอ 21:9 เพราะระบบและเกมของคอนโซลมักจะออกแบบมาสำหรับจออัตราส่วน 16:9 มากกว่า ถ้าใช้บนจอ 21:9 อาจจะพบกับขอบจอดำขนาดใหญ่ด้านข้างทั้งสองฝั่ง หรือหนักหน่อยก็คือเจอการยืดภาพในแนวนอนจนเต็มจอไปเลย

from:https://notebookspec.com/web/703712-how-to-choose-gaming-monitor-2023

จะซื้อโน้ตบุ๊กใหม่ในปี 2023 ต้องดูอะไรบ้าง

มาถึงช่วงกลางปี 2023 กันแล้ว แต่ละแบรนด์ก็เริ่มขนเทคโนโลยีแบบจัดเต็มมาใส่ในโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ ๆ กันแล้ว ในบทความนี้จะมาดูกันครับ ว่าถ้าจะซื้อโน้ตบุ๊กใหม่ในปีนี้ มีจุดไหนที่ต้องพิจารณาบ้าง และเลือกแบบไหนที่จะตอบโจทย์การใช้งานแต่ละแบบมากกว่ากัน

ซื้อโน้ตบุ๊กใหม่ปี 2023

Advertisementavw

ดีไซน์ของตัวเครื่อง

ในช่วงสองสามปีหลังมานี้ ผู้ผลิตโน้ตบุ๊กรายใหญ่หลายแบรนด์ได้เปิดตัวโน้ตบุ๊กที่มีดีไซน์หลากหลายกว่าแต่ก่อน จากดีไซน์แบบ clamshell ที่พับจอลงมาได้เพียงอย่างเดียว ตอนนี้เราได้พบกับโน้ตบุ๊กที่หลากหลายขึ้น อาทิ

โน้ตบุ๊กพับจอกลับได้สูงสุด 360 องศา

เครื่องในกลุ่มนี้ก็อย่างเช่น Lenovo IdeaPad Flex, Dell Latitude บางรุ่น เป็นต้น ซึ่งอาจจะเรียกโน้ตบุ๊กกลุ่มนี้ว่าเป็นเครื่องแบบ 2-in-1 ก็ได้ เพราะสามารถใช้เป็นได้ทั้งโน้ตบุ๊กและแท็บเล็ตในเครื่องเดียว เมื่อพับจอกลับไปจนชนกับหลังคีย์บอร์ด นอกจากนี้แต่ละแบรนด์ก็จะมีจุดขายที่พ่วงมากับการพับจอ เช่น สามารถตั้งเครื่องแบบสามเหลี่ยมได้ เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับการใช้งานในบางสถานการณ์

Screenshot 2023 05 20 at 12.29.21 PM

เครื่องกลุ่มนี้จะค่อนข้างเหมาะกับคนที่ต้องการโน้ตบุ๊กแบบพกสะดวกซักเครื่อง เพื่อไปใช้ในบางสถานการณ์ที่อาจไม่สามารถวางเครื่องในแบบโน้ตบุ๊กปกติได้ เช่น อาจต้องพกเพื่อไปยืน config อุปกรณ์หน้างาน ซึ่งโน้ตบุ๊กในลักษณะนี้จะสะดวกกว่าการใช้แท็บเล็ตตรงที่ตัวเครื่องจะมีพอร์ตเชื่อมต่อที่ครบครันกว่า แถมในเวลาที่ต้องทำงานเต็มสูบ ก็สามารถพับจอมาเป็นโน้ตบุ๊กปกติ เพื่อวางทำงานบนโต๊ะ บนตักได้ทันที ถ้าใครต้องการเครื่องมาใช้ในลักษณะนี้ ก็อาจจะหาซื้อโน้ตบุ๊ก 2-in-1 ในสไตล์นี้ดูครับ

ส่วนโน้ตบุ๊กที่เน้นนวัตกรรมด้านจอ เช่น มีสองจอในเครื่องเดียว โน้ตบุ๊กจอพับโค้งได้ อันนี้ก็จะตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างกัน แต่ก็มักจะมาพร้อมราคาที่สูงขึ้นไปกว่าโน้ตบุ๊กปกติที่สเปคเทียบเท่ากันพอสมควรเลย

โน้ตบุ๊กที่แยกส่วนกับคีย์บอร์ดได้

กลุ่มนี้จะค่อนข้างคล้ายกับโน้ตบุ๊ก 2-in-1 ในข้างต้น คือใช้เป็นได้ทั้งโน้ตบุ๊กและแท็บเล็ตในเครื่องเดียว แต่จุดแตกต่างกันก็คือผู้ใช้สามารถถอดคีย์บอร์ดแยกมาจากหน้าจอได้ ซึ่งเมื่อถอดแยกออกมา ส่วนจอก็ยังสามารถทำงานต่อเนื่องได้ทันที โดยจะสลับไปทำงานเป็นแบบแท็บเล็ตจอสัมผัส ตัวอย่างเช่น กลุ่มของ Microsoft Surface Pro และ Surface Go เป็นต้น รวมถึงกลุ่มเครื่องที่มักมีการใส่คำว่า Detachable เข้ามาในชื่อ หรือในการโฆษณา

Screenshot 2023 05 20 at 12.40.25 PM

เครื่องกลุ่มนี้จะเหมาะสำหรับคนที่ต้องการความคล่องตัวในการใช้งานสูงสุด ด้วยความโดดเด่นในด้านตัวเครื่องที่บางเบากว่าโน้ตบุ๊กทั่วไป ในขณะที่ประสิทธิภาพก็สามารถใช้งานปกติได้อยู่ แม้ว่าอาจจะต้องลดทอนประสิทธิภาพลงบ้าง จากการใช้ชิปประมวลผลที่มีความแรงน้อยลงหน่อย เพื่อยืดระยะเวลาการใช้งานแบตให้นานที่สุด ควบคู่กับการคุมความร้อนภายในเครื่องให้ได้ นอกจากนี้ หากใครที่กำลังจะซื้อโน้ตบุ๊กซักเครื่อง เพื่อนำมาใช้งานด้านกราฟิก วาดภาพ จดบันทึกเยอะ ๆ เครื่องกลุ่มนี้ก็น่าสนใจมากครับ เพราะเราสามารถมองเป็นแท็บเล็ตเครื่องนึงที่สามารถใช้โปรแกรมฝั่ง Windows ได้สบาย ๆ ได้เลย

แต่ถ้าต้องการความแรงเพื่อใช้ในการเล่นเกมด้วย ตอนนี้ก็มี ASUS ROG Flow Z13 ออกมาให้เลือกซื้อเหมือนกัน นับว่าเป็นกลุ่มโน้ตบุ๊กที่น่าจับตามองมาก ๆ ในยุคนี้เลยทีเดียว

โน้ตบุ๊กปกติทั่วไป

กลุ่มนี้คงเป็นที่คุ้นเคยกันอยู่แล้ว กับดีไซน์ตัวเครื่องแบบฝาพับปกติ ที่ตอนนี้หลาย ๆ รุ่นก็พัฒนาบานพับจอให้สามารถกางได้สูงสุด 180 องศา เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้งานมากขึ้น จุดเด่นของโน้ตบุ๊กในสไตล์นี้ก็คงจะเป็นเรื่องความหลากหลาย และตัวเลือกที่มีเยอะมากในท้องตลาด ราคาเริ่มต้นที่หลักพันไปจนถึงหลักแสน โน้ตบุ๊กรุ่นเริ่มต้น โน้ตบุ๊กทำงาน ไปจนถึงโน้ตบุ๊กเล่นเกม และอีกข้อก็คือมักจะมาพร้อมพอร์ตเชื่อมต่อที่มากกว่าสองแบบข้างต้น ร่วมกับประสิทธิภาพที่สามารถทำได้สูงกว่า เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วจะไม่จำเป็นต้องเน้นความบางเบาเท่าสายที่เน้นการพกพาแบบขีดสุด

newsroom intel 13th gen p series closeup 5.jpg.rendition.intel .web .1648.927

ชิปประมวลผลกลาง (CPU)

ยังคงเป็นจุดที่ผู้ซื้อโน้ตบุ๊กให้ความสำคัญอยู่เสมอมา เพราะเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงระดับประสิทธิภาพได้ค่อนข้างชัดเจน รวมถึงเป็นชิ้นส่วนที่แทบจะไม่สามารถเปลี่ยนเองได้ในภายหลังด้วย จึงจำเป็นต้องเลือกให้ตอบโจทย์ตั้งแต่แรกไปเลย โดยในช่วงนี้ก็จะมีผู้ผลิต CPU อยู่ 3 แบรนด์หลักคือ Intel, AMD และ Apple ที่ทำชิปให้เฉพาะ MacBook ของตนเองเท่านั้น

Intel

ปีนี้ Intel เปิดตัวชิป 13th Gen mobile สำหรับโน้ตบุ๊กออกมา และก็มีวางจำหน่ายให้ได้เลือกซื้อกันแล้ว ซึ่งหลัก ๆ ก็จะแบ่งกลุ่มเป็น Core i3, i5, i7 และ i9 ตามเดิม โดยมีการจัดกลุ่มย่อยด้วยตัวอักษรท้ายชื่อรหัสรุ่น CPU อีกที ได้แก่

  • HX สำหรับชิปที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เช่น Core i9-13980HX
  • H สำหรับชิปรุ่นรองลงมา ประสิทธิภาพสูง พบได้มากสุดในกลุ่มเกมมิ่งโน้ตบุ๊ก
  • P เป็นชิปสำหรับกลุ่มโน้ตบุ๊กเน้นการพกพา โดยที่ยังมีประสิทธิภาพสูงพอตัวอยู่
  • U สำหรับชิปกลุ่มเน้นประหยัดพลังงาน ออกแบบมาสำหรับโน้ตบุ๊กที่เน้นความบางเบา ใช้แบตได้นาน

และถึงแม้ชิปรุ่นใหม่สุดในตอนนี้ของ Intel จะเป็น Gen 13 ก็ตาม แต่ชิป Gen 12 ที่ออกมาเมื่อปีก่อนก็ยังเป็นทางเลือกที่น่าสนใจอยู่ครับ เพราะประสิทธิภาพโดยทั่วไปไม่ต่างกันแบบก้าวกระโดดมากนัก สามารถใช้งานทั่วไป เล่นเกมได้สบาย ๆ อยู่ ถ้าตอนที่กำลังเลือกซื้อโน้ตบุ๊ก แล้วเจอเครื่องชิป Gen 12 ราคาดี ๆ สเปคโดยรวมตอบโจทย์ ก็สอยมาใช้งานได้อยู่

AMD

ด้าน AMD ก็ไม่น้อยหน้า มีการออกชิป Ryzen series 7000 mobile ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นจากเดิม โดยเฉพาะเรื่องประสิทธิภาพการประมวลผลแบบ single thread ที่เป็นจุดอ่อนอยู่ เมื่อเทียบกับทาง Intel แต่ต้องบอกว่าถ้าจะเลือกซื้อโน้ตบุ๊กที่ใช้ชิป AMD Ryzen 7000 series อาจจะต้องอ่านรหัสรุ่นของชิปให้ดี ๆ ว่าเป็นชิปที่ใช้คอร์รุ่นไหนนะครับ เพราะในตอนนี้มีแค่ชิปบางรุ่นเท่านั้นที่ใช้คอร์ Zen 4 ที่เป็นรุ่นใหม่ล่าสุด นั่นคือ ชิปที่มีรหัสรุ่นตัวที่สามเป็นเลข 4 ได้แก่ Ryzen X 7X4XHX และ Ryzen X 7X4XHS เท่านั้น ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นชิปที่ออกแบบมาเพื่อโน้ตบุ๊กสเปคระดับท็อปเป็นหลัก

แต่ในการใช้งานจริง ชิป Ryzen 7000 series ที่ใช้คอร์รุ่นก่อนหน้า เช่น Zen 3+ และ Zen 3 เองก็ยังตอบสนองการใช้งานในปัจจุบันได้ดีอยู่

Apple

กลุ่มนี้จะค่อนข้างเฉพาะทางนิดนึง เพราะเป็นชิปที่มีอยู่ใน MacBook เท่านั้น ซึ่งถ้าใครที่วางแผนจะซื้อโน้ตบุ๊กในกลุ่ม MacBook ของ Apple ก็ค่อนข้างง่ายหน่อยครับ เพราะมีให้เลือกแค่ M2, M2 Pro และ M2 Max เรียงตามลำดับของประสิทธิภาพเลย โดย M2 จะมีอยู่ในทั้ง MacBook Air และ MacBook Pro 13″ ส่วน M2 Pro และ M2 Max จะอยู่ใน MacBook Pro 14″ และ 16″ เท่านั้น ซึ่งราคาก็จะแบ่งกันค่อนข้างชัดเจน

สำหรับในแง่ของประสิทธิภาพ ต้องบอกว่าแค่ M2 ก็ทำได้ดีมาก ๆ แล้ว ตอบโจทย์งานทั่วไป จนถึงงานที่เน้นพลังประมวลผลระดับสูงกว่าปกติเล็กน้อยได้ดี จะเอาไปใช้เรนเดอร์งาน เขียนโปรแกรมต่าง ๆ ก็ทำได้เลย ทั้งยังมีอัตราประสิทธิภาพต่อการใช้พลังงานที่ดี ความร้อนต่ำอีกด้วย ทำให้สามารถใช้งานแบตได้ค่อนข้างยาวนาน

ส่วนกลุ่มของชิป M2 Pro และ M2 Max จะออกแบบให้มีช่วงของประสิทธิภาพที่สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งพลังการประมวลผลและพลังด้านกราฟิก แต่ก็ตามมาด้วยราคาที่กระโดดพอตัว และต้องแลกกับระยะเวลาการใช้งานแบตที่ลดลงกว่าชิป M2 ปกติพอสมควร ซึ่งถ้าคุณต้องการซื้อ MacBook มาใช้งานทั่วไป ไม่ได้มีงานที่ต้องประมวลผลซับซ้อน ไม่ได้ต้องเรนเดอร์วิดีโอยาว ๆ บ่อย ๆ ก็หารุ่นที่ใช้ชิป M2 ปกติก็เหลือเฟือแล้ว

download

กราฟิกชิป

หรือที่คุ้นเคยในชื่อเรียกว่าการ์ดจอ เป็นฮาร์ดแวร์ส่วนที่เริ่มได้รับความสนใจน้อยลง ในกลุ่มของผู้ที่ต้องการซื้อโน้ตบุ๊กมาสำหรับใช้งานทั่วไป เนื่องจาก CPU สำหรับโน้ตบุ๊กแทบทุกรุ่น จะมาพร้อมกับหน่วยประมวลผลกราฟิกในตัว ซึ่งได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพดีขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในทุก ๆ ปี เพียงพอสำหรับการใช้งานพื้นฐาน การต่อจอหลายจอ รวมไปถึงการเล่นเกมได้พอประมาณแล้ว โดยเฉพาะกลุ่มของกราฟิกซีรีส์ Vega ในชิป AMD Ryzen ที่สามารถใช้เล่นเกมใหม่ ๆ ได้พอตัวเลย

แต่สำหรับกลุ่มเกมมิ่งโน้ตบุ๊ก กราฟิกชิปคือสิ่งที่สำคัญมากไม่แพ้กับ CPU เลยทีเดียว เพราะเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะบอกอนาคตได้เลยว่าเกมมิ่งโน้ตบุ๊กเครื่องนั้น จะสามารถเล่นเกมได้ระดับไหน เล่นไปได้อีกกี่ปี แต่นอกเหนือจากกลุ่มเกมเมอร์ที่ต้องพิจารณาเรื่องกราฟิกชิปให้ถี่ถ้วนแล้ว งานกลุ่มที่ต้องใช้พลังของ GPU ในการประมวลผลก็ต้องให้ความสำคัญกับจุดนี้ด้วยเช่นกันครับ เช่น กลุ่มงานมัลติมีเดียที่ใช้โปรแกรมที่รองรับการนำ GPU มาช่วย encode/decode ไฟล์ รวมถึงกลุ่มงานที่เกี่ยวข้องกับด้าน AI และ neural network ต่าง ๆ ด้วย เพราะชุดคำสั่งมักจะได้รับการออกแบบมาให้ทำงานร่วมกับ GPU ค่ายเขียวเป็นหลัก เพื่อให้สามารถรีดประสิทธิภาพออกมาได้สูงสุด ใช้เทรนโมเดลได้เร็วขึ้น เป็นต้น

ทีนี้ถ้าแยกเป็นค่าย กราฟิกชิปค่ายที่ได้รับความนิยมในโน้ตบุ๊กมากสุดในไทยก็คือ NVIDIA ที่ปีนี้ก็จะเป็นคิวของ RTX 4000 series เป็นหลัก ซึ่งถ้าให้แนะนำสำหรับคนที่ต้องการซื้อโน้ตบุ๊กมาเล่นเกมให้ได้กราฟิกสวย ภาพลื่น ก็คงต้องเป็น RTX 4060 ขึ้นไป แต่ถ้าต้องการคุมงบลงมาหน่อย จะเลือกรุ่นที่ใช้ RTX 3060 ขึ้นไปก็ยังโอเคอยู่ครับ ส่วนถ้าเป็นค่ายแดง AMD ปีนี้ก็จะมีรุ่นใหม่เป็น AMD RX 7000M series สถาปัตยกรรม RDNA3 แต่ในไทยอาจจะหาซื้อยากซักนิดนึง เพราะตัวเลือกในตลาดมีน้อยมาก

MSI Raider GE 78HX DSC01816

จะซื้อโน้ตบุ๊กเกมมิ่ง เน้น CPU หรือ GPU ดีกว่า?

คำถามข้อนี้ นับเป็นคำถามที่อยู่คู่วงการโน้ตบุ๊กมานานพอตัว เพราะสเปคของรุ่นที่ขายในไทย บางตัวก็เน้น CPU ใหม่แรง แต่ GPU ระดับกลาง ส่วนอีกรุ่นที่ราคาใกล้เคียงกัน มาพร้อม GPU ตัวแรงกว่า แต่ ดันเลือกใช้ CPU รุ่นเก่ากว่าตัวแรก เลยทำให้ตัดสินใจตอนซื้อยากซักนิดนึง

อันนี้ก็คงต้องมาพิจารณาเรื่องโจทย์การใช้งานเป็นหลักครับ ว่าเราต้องการซื้อโน้ตบุ๊กเครื่องนี้มาทำอะไรเป็นส่วนใหญ่ ถ้าต้องการซื้อมาเล่นเกมภาพสวย เล่นเกมแบบ single player ก็แนะนำว่าเลือกเครื่องที่ GPU แรงกว่าไว้ก่อน เพราะถึงแม้ CPU จะด้อยกว่า แต่เชื่อว่าในช่วงราคาเดียวกัน ประสิทธิภาพก็น่าจะไม่ต่างกันมากเกินไปจนส่งผลกระทบถึงการเล่นเกม

แต่สำหรับกรณีที่ต้องการนำเครื่องมาใช้ทำงานเป็นหลัก หรือเล่นเกมที่มี unit เยอะ ๆ เล่นเกมแนว FPS multiplayer เช่น Overwatch, Call of Duty ที่อาจจะไม่ต้องเน้นความสวยของกราฟิกแบบจัดเต็มมากนัก แต่ขอเฟรมเรตสูง ๆ นิ่ง ๆ อันนี้อาจจะไปเลือกโน้ตบุ๊กรุ่นที่เน้น CPU หน่อย แล้วกราฟิกรองลงมานิดนึงก็ยังไหว

Kingston DDR5 04

แรม – 8GB ขึ้นไปเท่านั้น!!

ถ้าคุณต้องการซื้อโน้ตบุ๊กใหม่ซักเครื่อง แล้วต้องการให้สามารถทำงานร่วมกับระบบปฏิบัติการยอดนิยมรุ่นล่าสุดอย่าง Windows 11 ได้อย่างราบรื่น แนะนำเลยว่าต้องเลือกโน้ตบุ๊กที่มาพร้อมแรมตั้งแต่ 8GB ขึ้นไปเท่านั้น หรือถ้าเป็นเครื่องรุ่นราคาย่อมเยาที่ให้แรมมาแค่ 4GB ก็ต้องตรวจสอบก่อนซื้อว่าสามารถซื้อแรมใส่เพิ่มได้ มีช่องให้เพิ่มแรมได้ในภายหลัง เพื่อจะได้เติมให้เป็นขั้นต่ำ 8GB ได้ เนื่องจากตัว Windows 11 เองต้องการแรมขั้นต่ำในการทำงานที่ 4GB ดังนั้นถ้าจะให้สามารถใช้งานโปรแกรมอื่น ๆ ได้ ก็ควรจะมีแรมตั้งแต่ 8GB ขึ้นไป ส่วนปริมาณแรมแนะนำในยุคนี้ก็คงเป็นตั้งแต่ 16GB ขึ้นไปเลย ส่วนกลุ่มเกมมิ่งโน้ตบุ๊กก็คงต้องยึด 16GB เป็นขั้นต่ำ และถ้าเป็นไปได้ก็ขอซัก 32GB เป็นขั้นแนะนำครับ

ส่วนประเภทแรม ระหว่าง DDR5 ที่ใหม่กว่า เร็วกว่า กับ DDR4 จะเลือกโน้ตบุ๊กที่มาพร้อมแรมแบบไหนดี ก็ต้องบอกว่าเป็นไปตามงบเป็นหลักครับ เพราะส่วนของ CPU รุ่นใหม่ ๆ ของทั้ง Intel และ AMD ต่างก็ยังมีรุ่นที่รองรับแรม DDR4 อยู่ แถมประสิทธิภาพของ DDR4 ก็ยังดีมาก ๆ อยู่ด้วย ลงตัวสำหรับการทำงานทั่วไปดี หรือจะใช้เล่นเกมก็ยังทำได้สบาย แถมถ้าตัวเครื่องรองรับการอัปเกรดแรมเพิ่มได้ ราคาของแรม DDR4 ก็ยังย่อมเยากว่า DDR5 อยู่พอสมควร

แต่ถ้าคุณจริงจังในเรื่องของประสิทธิภาพ หรือต้องนำโน้ตบุ๊กไปใช้กับงานที่ต้องพึ่งพาแรมเร็ว ๆ แรง ๆ เช่น งานตัดต่อวิดีโอ งานที่ต้องมีการอ่าน/เขียนไฟล์เยอะ ๆ ก็อาจจะต้องไปเลือกซื้อโน้ตบุ๊กที่มาพร้อมแรม DDR5 ไปเลย เริ่มต้นซัก 16GB แล้วค่อยอัปเกรดตามมาในภายหลังถ้าจำเป็น

สำหรับการเทียบประสิทธิภาพระหว่างแรม DDR4 และ DDR5 นั้น เข้าไปอ่านต่อได้ที่นี่เลย

ktc hero ssd skc3000 lg

 

SSD – ของที่ต้องมีในยุคนี้

นับเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ไปแล้วสำหรับคอมพิวเตอร์ในยุคนี้ กับอุปกรณ์เก็บข้อมูลแบบ SSD ที่เข้ามาแทน HDD จานหมุนได้เกือบเต็มตัวแล้วในปัจจุบัน จากราคาต้นทุนที่ถูกลง เราเลยได้เห็นแม้กระทั่งในโน้ตบุ๊กระดับเริ่มต้นที่ราคาไม่สูงมาก ยังมาพร้อม SSD ให้ได้ใช้กันแล้ว (แต่ในรุ่นราคาเบาสุด อาจจะใช้เป็น eMMC ที่ช้ากว่าแทน) ซึ่งข้อดีที่เห็นได้ชัดสุดของ SSD ก็คือความเร็วในการอ่าน/เขียนข้อมูลที่สูงกว่า HDD จานหมุนหลายเท่าตัว เหมาะที่จะใช้งานร่วมกับระบบปฏิบัติการสมัยใหม่ ที่มีการเรียกใช้ข้อมูลอยู่แทบตลอดเวลา

สำหรับประเภทของ SSD ในโน้ตบุ๊กปี 2023 นี้ ก็จะยังมีที่เป็นแบบขั้ว SATA ขนาดปกติ ใช้งานร่วมกับ SSD ขนาด 2.5″ และแบบขั้ว M.2 ที่มีขนาดเล็กกว่า ใช้งานร่วมกับ SSD แบบที่เป็นแท่งเล็ก ๆ ซึ่งเจ้าขั้ว M.2 นี้ก็จะมี SSD แยกย่อยประเภทของอินเตอร์เฟสการเชื่อมต่อไปอีก ว่าเป็นแบบ M.2 ผ่าน SATA และ M.2 ผ่าน PCIe ซึ่งถ้าเป็น SSD M.2 PCIe ในยุคนี้ ก็มักจะมาพร้อมกับเทคโนโลยี NVMe ด้วย ซึ่งสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ SSD แต่ละประเภทได้ที่นี่

HP 15 AMD Up SSD Review NBS 9

ทีนี้ สำหรับการเลือกซื้อโน้ตบุ๊กในปี 2023 ความจุ SSD ขั้นต่ำที่ควรเลือกก็จะแนะนำเป็นที่ 256GB ขึ้นไป ซึ่งถ้าคุณต้องการแค่ใช้งานเบา ๆ ไม่เน้นความเร็วมากนัก ก็เลือกโน้ตบุ๊กที่มาพร้อม SSD แบบ M.2 SATA ก็ได้ แค่นี้ก็เร็วกว่า HDD จานหมุนหลายเท่าตัวแล้ว รวมถึงถ้าจะซื้อ SSD มาอัปเกรดภายหลัง ค่าใช้จ่ายก็ค่อนข้างย่อมเยากว่าด้วย แต่ถ้าคุณต้องการความเร็วแรง ก็เลือกรุ่นที่ใช้ SSD แบบ M.2 PCIe NVMe ไปได้เลย จะเป็น PCIe 3.0 (เร็ว) หรือ PCIe 4.0 (เร็วขึ้นไปอีก) ก็ได้

แต่ทั้งนี้จะมีอีกประเภทคือ โน้ตบุ๊กที่มาพร้อม SSD แบบบัดกรีติดมากับเมนบอร์ดเลย ซึ่งตอนซื้ออาจจะต้องเช็คอีกทีครับ ว่าในเครื่องมีช่องสำหรับอัปเกรด SSD มาให้หรือไม่ เพราะถ้าไม่มี เท่ากับว่าคุณจะไม่สามารถเพิ่มความจุ SSD ในเครื่องได้เลยตลอดการใช้งานโน้ตบุ๊กเครื่องนั้น ซึ่งส่วนใหญ่ โน้ตบุ๊กที่เน้นความบางเบา มักจะไม่ค่อยมีช่องติดตั้ง SSD เพิ่มมาให้ รวมถึงไม่มีช่องใส่แรมเพิ่มด้วย ทางที่ดีคือควรตรวจสอบจากผู้ผลิต หารีวิวโน้ตบุ๊กรุ่นนั้น หรือรุ่นใกล้เคียง และสอบถามหน้าร้านเพื่อความมั่นใจอีกที เพราะโน้ตบุ๊กสมัยนี้ มักจะไม่ค่อยเปิดให้ผู้ใช้อัปเกรดฮาร์ดแวร์ในเครื่องเองได้ง่าย ๆ นัก

Review Avita Liber NotebookSPEC 18

หน้าจอ เลือกแบบไหนดี?

สิ่งสำคัญของโน้ตบุ๊กก็คือหน้าจอ เพื่อที่จะทำให้เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานได้ในทุกที่ ซึ่งส่วนของจอนับเป็นอีกจุดหนึ่งที่มีรายละเอียดปลีกย่อยเยอะมาก ไล่มาตั้งแต่ขนาด ประเภทพาเนล ค่าสี รีเฟรชเรต ซึ่งจอแต่ละแบบก็มีจุดประสงค์ในการออกแบบที่แตกต่างกัน เรามาเริ่มดูปัจจัยแต่ละข้อกันเลยครับ

ขนาดจอที่เหมาะสม

คำว่าเหมาะสมของแต่ละท่านคงจะมีความแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความต้องการในด้านต่าง ๆ ได้แก่ พื้นที่แสดงผลที่ต้องการใช้ และความสะดวกในการพกพา ซึ่งโน้ตบุ๊กในปัจจุบันมักจะมาพร้อมกับหน้าจอขนาดเริ่มต้นที่ 12″ – 16″ โดยขนาดยอดนิยมก็จะเป็น 13.x” และ 15.6″ ที่มีให้เลือกหลากหลายมาก ๆ ในปัจจุบัน ทั้งในกลุ่มของโน้ตบุ๊กเน้นพกพา โน้ตบุ๊กทั่วไป จนถึงกลุ่มเกมมิ่งโน้ตบุ๊กเลย โดยขนาดของหน้าจอ ก็มักจะแปรผันตามกับขนาดและน้ำหนักของตัวเครื่องด้วยครับ ยกเว้นบางรุ่นที่ทำขอบจอบางมากจริง ๆ เช่น ตัวเครื่องมีขนาดบอดี้เท่า ๆ กับโน้ตบุ๊กจอ 13″ แต่จอของเครื่องจริง ๆ มีขนาด 14″ เป็นต้น

ความละเอียดจอ เท่าไหร่ดี

โดยมากแล้ว ความละเอียดจอเริ่มต้นของโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ ๆ มักจะให้มาที่ระดับ Full HD (FHD) 1920×1080 กันแล้ว ซึ่งถือว่าพอเหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไปบนจอขนาด 13″ ไปจนถึง 15.6″ เลย ทั้งยังไม่กินแรงการ์ดจอเกินไป ทำให้ความละเอียดระดับนี้ค่อนข้างเหมาะกับทั้งโน้ตบุ๊กทั่วไปและเกมมิ่งโน้ตบุ๊กที่ราคาไม่สูงมากนัก เริ่มต้นที่ 20,000 บาทกลาง ๆ ส่วนถ้าต้องการใช้งานด้านกราฟิกที่เน้นความแม่นยำของสี แน่นอนว่ายิ่งจอความละเอียดสูงเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เพราะมันจะหมายถึงพื้นที่ในการทำงานที่สเกลได้ละเอียดขึ้น แต่ปัจจัยสำคัญสำหรับงานด้านนี้ จะเป็นพวกเรื่องค่าสีซะมากกว่าครับ ถ้าจอมีขอบเขตค่าสีที่สูง จะใช้ความละเอียดที่ระดับ FHD ก็ยังได้เลย

ประเภทของพาเนลจอ – IPS / OLED / Mini-LED

โน้ตบุ๊กส่วนใหญ่ในท้องตลาดตอนนี้ มักจะมาพร้อมพาเนลจอแบบ IPS LCD เป็นมาตรฐานกันแล้ว ที่จะมีความแตกต่างในด้านคุณภาพ เกรดท็อป เกรดรองไปอีก ซึ่งก็สะท้อนออกมาตามราคาเครื่องครับ แต่ข้อดีของ IPS ก็คือค่าสีที่ค่อนข้างดี และมุมมองจอกว้างกว่าเมื่อเทียบกับจอแบบ TFT LCD ที่ตอนนี้หาได้ค่อนข้างยากแล้วในโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ ๆ แต่จอ IPS ก็จะมีจุดสังเกตอยู่บ้าง คือมักจะมีอาการแสงรั่วที่บริเวณขอบภาพ อันเกิดจากแสงสว่างของหลอดไฟ backlight ให้แสงที่อยู่ด้านหลังพาเนลจอ ซึ่งโดยทั่วไปก็จะไม่กระทบกับการใช้งาน ยกเว้นเวลาที่หน้าจอแสดงภาพสีดำ เช่น เวลาดูหนังที่มีขอบดำบน/ล่างแบบ letterbox ส่วนที่เป็นขอบดำก็จะไม่ดำสนิท

ส่วนจออีกประเภทที่กำลังได้รับความนิยม และเริ่มเห็นในโน้ตบุ๊กราคาจับต้องได้ง่ายมากขึ้น ก็คือจอแบบ OLED ที่มีจุดเด่นในด้านสีสัน ความดำสนิท ความสว่างที่เหนือกว่า IPS แบบเห็นได้ชัด ทั้งยังไม่มีปัญหาเรื่องแสงรั่วที่ขอบจอด้วย สู้แสงได้ดี แต่อาจจะมีจุดด้อยกว่าในเรื่องของรีเฟรชเรตในจอโน้ตบุ๊กรุ่นราคาไม่สูงมาก และก็จุดอ่อนที่สุดก็คือเรื่องการ burn in ของหลอดไฟ LED ในจุดที่จอต้องแสดงผลแบบเดิมนาน ๆ ซึ่งก็สามารถป้องกันปัญหาดังกล่าวได้ด้วยการตั้งเวลาปิดจอเมื่อไม่ได้ใช้งาน หรือพยายามให้จอเปลี่ยนรูปแบบการแสดงภาพไปเรื่อย ๆ

และประเภทสุดท้ายที่พอจะมีเห็นบ้างในโน้ตบุ๊กสมัยนี้ก็คือจอแบบ Mini-LED ซึ่งที่จริงแล้วก็เป็นการประยุกต์จากเทคโนโลยีจอ LCD ที่มีหลอดไฟ LED backlight ด้านหลัง มาใช้เป็นหลอด LED ขนาดเล็ก ๆ จำนวนมากแทน ทำให้สามารถแสดงภาพที่ดูมีมิติดีขึ้น ส่วนที่เป็นสีดำก็ดูมืดกว่า มีอาการแสงฟุ้งน้อยกว่าจอปกติ แต่ก็ยังไม่สามารถทำได้ถึงระดับจอ OLED และข้อดีที่สำคัญอีกเรื่องเลยก็คือ จะไม่มีปัญหาเรื่องอาการ burn in แบบจอ OLED ด้วย สำหรับโน้ตบุ๊กรุ่นเด่น ๆ ที่ใช้จอ Mini-LED ก็เช่น MacBook Pro 14″ และ 16″ ครับ

Screenshot 2023 05 21 at 3.28.38 PM

แล้วถ้าจะซื้อโน้ตบุ๊กซักเครื่อง เลือกจอแบบไหนดี ก็อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า ควรเลือกที่จอพาเนล IPS เป็นขั้นต่ำไว้ก่อน แล้วค่อยไปพิจารณาค่าสี ดูเครื่องจริงกันอีกที ส่วนถ้าต้องการโน้ตบุ๊กมาใช้ทำงาน จะเลือกแบบไหนก็ได้เลย ขึ้นอยู่กับประเภทของงานที่ใช้ จะเป็น IPS เกรดสูง, OLED หรือจะ Mini-LED ก็ได้ แต่ถ้าเป็นงานที่ต้องเปิดจอทิ้งไว้นาน ๆ อาจจะพิจารณาเป็นโน้ตบุ๊กจอ IPS จะดีกว่าครับ เพื่อป้องกันปัญหาอาการ burn in รวมถึงถ้าจอมีปัญหา ก็พอจะสามารถหาอะไหล่จอมาเปลี่ยนได้ในราคาย่อมเยากว่าจอ Mini-LED อยู่

ส่วนถ้าเป็นการเล่นเกม ในตอนนี้ก็ยังคงเลือกจอ IPS เอาไว้ก่อนเช่นกัน เพราะเป็นพาเนลจอที่ค่อนข้างลงตัวทั้งด้านสีสัน รีเฟรชเรต ระยะเวลา response time ของจอ รวมถึงยังไม่ต้องกลัวปัญหาเรื่องจอ burn in ด้วย ในกรณีที่ต้องเปิดเกมที่มี HUD นาน ๆ

ถ้าต้องการดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเปรียบเทียบจอ IPS กับ OLED ก็เข้าไปดูเพิ่มเติมได้ที่นี่เลย

ค่าสี ควรเลือกแบบไหน เท่าไหร่ดี

ในตอนนี้ ผู้ผลิตโน้ตบุ๊กแต่ละราย มักจะบอกรายละเอียดสเปคเรื่องค่าขอบเขตสีที่จอสามารถแสดงได้มาด้วยแทบทั้งนั้นแล้ว เพราะเป็นอีกจุดที่ลูกค้าให้ความสำคัญ โดยค่าของมาตรฐานที่เราพบได้บ่อยก็ได้แก่ sRGB, NTSC และ DCI-P3 โดยจะใช้การแสดงระดับประสิทธิภาพเป็น % ที่จอนั้นสามารถแสดงสีสันได้ตามมาตรฐานต่าง ๆ เช่น 120% sRGB ก็คือจอนั้นสามารถแสดงสีสันทั้งหมดได้สูงกว่าที่มาตรฐาน sRGB กำหนดไว้ ซึ่งแน่นอนว่ายิ่งสูงก็ยิ่งดี ยิ่งหมายความว่าจอนั้นแสดงสีได้แม่นยำ ใกล้เคียงหรือมากกว่าที่ตาเห็น เหมาะกับการใช้งานที่ต้องจริงจังด้านความแม่นยำสี เช่น งานสายกราฟิก งานออกแบบ ไปจนถึงคนที่ต้องการรับชมความบันเทิง แบบที่ได้อรรถรสอย่างที่ผู้สร้างคอนเทนต์ต้องการมากที่สุด

Screenshot 2023 05 21 at 3.32.20 PM

ทีนี้ ค่าขอบเขตสีที่เหมาะสม ควรจะเป็นเท่าไหร่ดี เริ่มต้นที่ sRGB ก็แนะนำว่าควรจะ 90% ขึ้นไป ได้ระดับ 100% ก็ดี ใช้งานกราฟิกทั่วไปได้ และถ้าสูงกว่า 100% ก็ยิ่งดีมาก ต่อมาคือค่ามาตรฐาน NTSC อันนี้มักจะไม่ค่อยมีการระบุในส่วนสเปคจอโน้ตบุ๊กเท่าไหร่ แต่ถ้าจะให้เทียบตัวเลข ค่า 72% NTSC นั้นจะเท่า ๆ กับระดับ 100% sRGB ครับ

ค่าสุดท้ายที่เจอบ่อยก็คือมาตรฐาน DCI-P3 ที่เป็นมาตรฐานของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ซึ่งปริมาณขอบเขตสีก็จะมากกว่า sRGB ราว ๆ 26% โดยเฉพาะในกลุ่มของสีโทนแดงและเขียว ทำให้ได้สีสันของภาพที่ดูอิ่มกว่าเล็กน้อย แน่นอนว่าตัวเลขยิ่งสูงก็ยิ่งดีเช่นกัน

Screenshot 2023 05 21 at 3.34.21 PM

รีเฟรชเรต

เป็นค่าความเร็วในการรีเฟรชหน้าจอเพื่อการแสดงผลในแต่ละวินาที มีหน่วยเป็น Hz โดยจอทั่วไปจะอยู่ที่ 60Hz นั่นคือสามารถแสดงได้ 60 เฟรมใน 1 วินาที ยิ่งเลข Hz สูง ก็เท่ากับจอสามารถแสดงเฟรมภาพได้มากขึ้นใน 1 วินาที ส่งผลให้ได้ภาพที่ดูลื่นไหล ต่อเนื่องกว่า

ในกลุ่มของโน้ตบุ๊กทั่วไป มักจะให้รีเฟรชเรตของจอมาที่ 60Hz เป็นหลัก อาจจะมีรุ่นสูงขึ้นมาในบางรุ่นที่ให้มาสูงสุด 90Hz ส่วนกลุ่มของเกมมิ่งโน้ตบุ๊ก มักจะมีตัวเลือกที่ระดับ 120Hz 144Hz 165Hz ซึ่งเป็นรีเฟรชเรตยอดนิยมในไทย ไปจนถึงระดับสูงสุดที่ 480Hz เลยทีเดียว

ทีนี้ถ้าจะซื้อโน้ตบุ๊กซักเครื่อง รีเฟรชเรตจำเป็นขนาดไหน ก็ต้องขึ้นอยู่กับการใช้งานเช่นเดียวกันครับ ถ้าใช้งานเอกสารทั่วไป ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเน็ต เขียนโปรแกรม งานกราฟิก จะใช้จอ 60Hz ปกติก็สบายมากแล้ว แต่ถ้าต้องการซื้อโน้ตบุ๊กมาเล่นเกม ก็คงต้องมองที่ระดับ 120Hz ขึ้นไปเป็นหลัก แต่ก็ควรจะสัมพันธ์กับความแรงการ์ดจอด้วย เพราะการที่รีเฟรชเรตจอสูง ก็ย่อมต้องการพลังประมวลผลภาพของชิปการ์ดจอที่สูงขึ้นเป็นเงาตามตัว อย่างถ้าเครื่องมาพร้อมการ์ดจอเล่นเกมระดับกลาง เช่น RTX 3050 ก็จะค่อนข้างเหมาะกับจอ FHD 120Hz ส่วนถ้าการ์ดจอสูงกว่านี้ ก็มักจะถูกจับคู่มากับจอ 144Hz ที่สามารถรีดประสิทธิภาพออกมาได้เหมาะสมกว่าด้วย

ฟีเจอร์เสริมอื่น ๆ

นอกจากปัจจัยข้างต้นแล้ว จอโน้ตบุ๊กหลายรุ่นในปัจจุบันก็มักพ่วงมากับฟีเจอร์เสริมในด้านการแสดงผลเพื่อเป็นจุดขายด้วย อาทิ การรองรับ HDR มาตรฐานระดับต่าง ๆ เทคโนโลยี Dolby Vision ที่เป็น HDR ในมาตรฐานอีกระดับหนึ่งที่ใช้เป็นมาตรฐานในวงการภาพยนตร์ รวมถึงเทคโนโลยีจอสัมผัสด้วย ว่ารองรับการสัมผัสพร้อมกันกี่จุด รองรับการทำงานร่วมกับปากกาสไตลัสแบบไหน ตรวจจับน้ำหนักแรงกดได้กี่ระดับ ซึ่งฟีเจอร์แต่ละอย่างก็จะเหมาะกับการใช้งานในบางแบบที่ค่อนข้างเฉพาะทาง เช่น ถ้าต้องการดูหนังบนจอโน้ตบุ๊ก ก็อาจจะต้องพิจารณาเรื่องการแสดงผลแบบ HDR ด้วย ว่ารองรับได้ระดับไหน ความสว่างจอกี่ nits และนำมาดูกับคอนเทนต์ที่รองรับได้ขนาดไหน เป็นต้น

MSI Raider GE 78HX DSC01845

พอร์ตเชื่อมต่อ

โน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ ๆ มักมาพร้อมพอร์ตเชื่อมต่อที่น้อยลง เพื่อทำให้สามารถออกแบบตัวเครื่องให้มีความบางเบายิ่งขึ้น รวมถึงเทคโนโลยีเองก็ได้รับการพัฒนาให้พอร์ตเดียวสามารถใช้งานได้หลากหลาย รองรับการต่อพ่วงได้ เป็นต้น ซึ่งในการเลือกซื้อโน้ตบุ๊กของปี 2023 นี้ พอร์ตที่น่ามี น่าสนใจก็มีดังนี้

USB-C ที่เป็นมากกว่า USB-C ปกติ

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าตัวช่อง USB-C ของทุกเครื่อง ทุกอุปกรณ์นั้นจะมีลักษณะหน้าตาที่เหมือนกันแทบจะ 100% คือเป็นพอร์ตรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ามุมโค้งมนคล้ายลู่วิ่ง มีขนาดความยาวราว ๆ 8 มิลลิเมตร รองรับเทคโนโลยีที่หลากหลายมาก ทั้งในด้านการรับส่งข้อมูล เช่น USB 3.0, USB 3.1, USB 3.2, USB 4.0 รวมถึง Thunderbolt เทคโนโลยีด้านการชาร์จ Power Delivery (PD) เทคโนโลยีด้านการถ่ายทอดสัญญาณภาพ DisplayPort 1.4 เพื่อเชื่อมต่อจอ เป็นต้น

ซึ่งผู้ผลิตโน้ตบุ๊กแต่ละราย มักจะมีการแจ้งรายละเอียดสเปคของพอร์ต USB-C ที่ติดมากับเครื่องอยู่แล้ว ว่ารองรับเทคโนโลยีอะไรบ้าง โดยสิ่งที่ควรพิจารณาก็คือ ควรจะเลือกโน้ตบุ๊กที่มี USB-C ซึ่งรองรับการชาร์จแบบ PD ด้วย (บางรุ่นคือตัดช่องชาร์จไปเลย เพื่อใช้ USB-C ในการชาร์จอย่างเดียว) เพื่อความสะดวกในการเสียบสายชาร์จ เพราะผู้ใช้สามารถเลือกซื้อสาย USB-C และอะแดปเตอร์ USB-C PD มาใช้ได้เองตามที่ต้องการ ขอเพียงแค่สายและอะแดปเตอร์รองรับวัตต์ในการจ่ายไฟเพียงพอกับความต้องการของเครื่อง อย่างในตอนนี้ อะแดปเตอร์ที่สามารถจ่ายไฟได้หลักร้อยวัตต์ ซึ่งมักจะมีขนาดเล็กกว่าอะแดปเตอร์ที่แถมมากับโน้ตบุ๊ก ก็มีขายแล้วในราคาเริ่มต้นที่เกือบพันถึงหนึ่งพันกลาง ๆ เท่านั้น

อีกเทคโนโลยีที่ควรมีก็คือ ควรจะเป็นพอร์ต USB-C ที่รองรับการต่อจอผ่านเทคโนโลยี DisplayPort ด้วย ซึ่งจะเพิ่มความสะดวกได้มากในเวลาที่ต้องการต่อจอนอกหลาย ๆ จอพร้อมกัน โดยปกติแล้วผู้ผลิตก็มักจะระบุไว้อยู่แล้ว รวมถึงบริเวณข้าง ๆ พอร์ต ก็มักจะมีสัญลักษณ์ DP อยู่ด้วย

ส่วนเรื่องมาตรฐานการรับส่งข้อมูล โดยส่วนใหญ่แล้วแทบทุกเครื่องรุ่นใหม่ ๆ ที่มีพอร์ต USB-C มักจะรองรับ USB 3.0/3.1 รวมถึง 3.2 กันอยู่แล้ว ส่วน USB 4.0 กับ Thunderbolt 4 ก็จะอยู่ในโน้ตบุ๊กรุ่นราคาสูงขึ้นมานิดนึง ซึ่งใครที่ต้องซื้อโน้ตบุ๊กมาใช้งานกับอุปกรณ์สตอเรจที่รองรับ Thunderbolt ก็คงต้องพิจารณาข้อนี้เป็นหลักด้วยเช่นกัน รวมถึงใครที่เล็งว่าจะซื้อกล่องใส่การ์ดจอ (External GPU enclosure) มาเพื่อต่อการ์ดจอใหญ่แบบแยกเพื่อใช้งานกับโน้ตบุ๊ก ก็ต้องดูเรื่องพอร์ตพวกนี้ดี ๆ เลยครับ เพราะส่วนใหญ่แล้วจะต้องใช้การเชื่อมต่อแบบ Thunderbolt 3 ขึ้นไปแทบทั้งนั้น

USB-A มีก็ดี ไม่มีก็ได้ (แหละ)

แทบจะกลายเป็นพอร์ตหายากไปแล้ว สำหรับพอร์ต USB-A แบบขนาดเต็มที่คุ้นเคยกันมาอย่างยาวนาน ด้วยขนาดของพอร์ตที่ค่อนข้างกว้างไปซักนิดนึง จนอาจทำให้ผู้ผลิตที่ต้องการออกแบบโน้ตบุ๊กที่มีความบางมาก ๆ จำเป็นต้องตัดพอร์ตนี้ออก จะยังเหลืออยู่เยอะก็แค่ในเกมมิ่งโน้ตบุ๊กที่ตัวเครื่องหนาหน่อย แต่ในตอนนี้ก็เริ่มมีการนำเทคโนโลยีการรับส่งข้อมูลรุ่นใหม่ ๆ อย่าง USB 3.2 มาใส่ใน USB-A บ้างแล้ว ทำให้โน้ตบุ๊กหลาย ๆ รุ่นยังคงใส่ USB-A มาให้ 1-2 ช่อง ซึ่งถ้าโน้ตบุ๊กมีช่องนี้อยู่ก็จะช่วยเพิ่มความสะดวกเวลาต้องใช้งานกับอุปกรณ์เสริมที่ยังเป็น USB-A อยู่ เช่น flashdrive หรือสายเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่น ๆ แต่ถ้าโน้ตบุ๊กที่เล็งไว้ไม่มีพอร์ตนี้ก็ไม่เป็นไรครับ เพราะสามารถหาซื้อหัวแปลงจาก USB-A เป็น USB-C อันเล็ก ๆ มาพกใส่กระเป๋าไว้ก็ได้ครับ ราคาหลักสิบ หลักร้อยเท่านั้น

Strix Scar G18 DSC01166

HDMI

เป็นพอร์ตต่อจอที่อยู่ยืนยงมาก ด้วยความแพร่หลายของอุปกรณ์ และการพัฒนาที่มีออกมาอยู่เรื่อย ๆ แต่สำหรับโน้ตบุ๊กรุ่นบาง ๆ เบา ๆ ก็อาจจะถูกตัดออกไป แล้วไปใช้การต่อจอนอกผ่านพอร์ต USB-C (DisplayPort) แทน แต่ถ้าเป็นไปได้ การเลือกโน้ตบุ๊กที่มี HDMI ขนาดเต็มติดเครื่องอยู่ บอกเลยว่ามันสะดวกกว่ามากจริง ๆ เพราะจอภาพ โปรเจ็คเตอร์ที่ใช้กันอยู่ แทบทุกเครื่องต้องมีพอร์ตและสาย HDMI ติดตั้งอยู่ทั้งนั้น

ส่วนมาตรฐานของ HDMI ก็มีเช่นเดียวกันครับ โดยในโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ ๆ มักจะมาพร้อมกับ HDMI 2.0 หรือ 2.1 เป็นหลัก (2.1 รองรับความสามารถของเวอร์ชัน 2.0 และต่ำกว่าลงมาทั้งหมด) ซึ่งถ้าจะเอาไปใช้ต่อจอนอก โดยเฉพาะสำหรับการเล่นเกม ก็ต้องพิจารณาจุดนี้ด้วยครับ อย่างถ้าจะซื้อโน้ตบุ๊กเกมมิ่งไปต่อจอ 4K 144Hz ผ่าน HDMI ก็ต้องเลือกโน้ตบุ๊กที่มาพร้อม HDMI 2.1 เท่านั้น ส่วนถ้าเป็นจอ 2K 144Hz จะเลือกเป็น HDMI 2.0 ก็ยังได้ แต่ถ้าจะใช้การต่อจอผ่าน DisplayPort ปัจจัยเรื่องเวอร์ชัน HDMI ก็ไม่มีผลครับ เพราะ DisplayPort 1.4 นั้นรองรับจอ 4K 144Hz สบาย ๆ ไปจนถึง 8K 60Hz ได้เลย

IdeaPad Slim 1 DSC00296

ช่องอ่าน SD Card

กลายเป็นช่องเชื่อมต่อสำหรับการใช้งานเฉพาะทางไปแล้วครับ เนื่องจากตอนนี้แทบจะมีแค่สายถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอ สายโปรดักชันเท่านั้นแล้วที่ใช้ SD Card ในการทำงานร่วมกับกล้อง ดังนั้นเราจึงเห็นโน้ตบุ๊กหลาย ๆ รุ่นตัดช่องอ่าน SD Card ออกไป หรือเปลี่ยนเป็นช่องอ่าน MicroSD แทน ซึ่งถ้าคุณคิดว่าคงไม่ได้ใช้เท่าไหร่อยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องซื้อโน้ตบุ๊กที่มีช่องนี้ก็ได้ครับ ไว้ถ้าจำเป็นจริง ๆ ก็ไปซื้อตัวอ่าน SD Card แบบ USB มาใช้แทนก็ได้ ราคาหลักร้อยเท่านั้นเอง

ASUS Zephyrus G14 Advantage Edition DSC00046

กล้องเว็บแคม

แม้จะเป็นส่วนที่หลาย ๆ คนมองข้าม เพราะกล้องเว็บแคมโน้ตบุ๊กโดยทั่วไปก็พอสำหรับการใช้งานพื้นฐาน ใช้ประชุม วิดีโอคอลอยู่แล้ว ส่วนคนที่ต้องใช้งานกล้องแบบจริงจัง เช่น ใช้กับการประชุมที่เป็นทางการมาก ๆ หรือใช้ประกอบการสตรีม ก็มักจะซื้อกล้องเว็บแคมแยกไปเลยซะมากกว่า แต่ที่จริงทางฝั่งผู้ผลิตโน้ตบุ๊กก็มีการพัฒนา และเสริมฟีเจอร์ให้กับกล้องเว็บแคมอยู่เป็นระยะ ๆ เช่น การเพิ่มความละเอียดภาพจากระดับ 720p ที่อยู่มาอย่างยาวนาน หลายรุ่นก็ขยับมาเป็นกล้อง FHD 1080p กันแล้ว รวมถึงบางรายก็มีการปรับฮาร์ดแวร์กล้องให้มีคุณภาพดีขึ้น มีการเพิ่มชิ้นเลนส์เพื่อเพิ่มความคมชัด ทำให้รับแสงได้มากขึ้น เป็นต้น ทำให้ผู้ใช้ได้ภาพจากกล้องที่ดูดีขึ้น ให้ภาพที่สว่าง ดูเป็นธรรมชาติ

ส่วนฟีเจอร์อีกกลุ่มที่มักจะมีมาในโน้ตบุ๊กราคาราว ๆ 30,000 กว่าบาทขึ้นไป ก็คือกล้องเว็บแคมที่มีอินฟราเรด (IR) มาด้วย เพื่อช่วยในการจับตำแหน่งและสแกนใบหน้า ทำให้สามารถใช้งานร่วมกับฟังก์ชัน Windows Hello ของ Windows 10 เป็นต้นมาได้ ช่วยให้การล็อกอินด้วยใบหน้าเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ แม้อยู่ในที่มีแสงน้อยก็ตาม นอกจากนี้ ในบางรุ่นยังมาพร้อมเซ็นเซอร์วัดระยะห่าง (proximity sensor) ที่มักจะถูกนำมาใช้งานร่วมกับฟีเจอร์ล็อกหน้าจออัตโนมัติ เช่น ถ้าเราลุกออกจากหน้าจอ โน้ตบุ๊กก็จะล็อกจอให้ทันที เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับข้อมูลในเครื่อง ส่วนพอเวลากลับมาถึงหน้าเครื่อง จอก็จะติดขึ้นมา พร้อมให้ผู้ใช้สแกนใบหน้า หรือกรอกรหัสเพื่อปลดล็อกหน้าจอได้เลย

IdeaPad Slim 1 DSC00267

ส่วนอีกฟีเจอร์เสริมสำหรับกล้องเว็บแคมที่น่าสนใจก็คือ แผ่นเลื่อนปิดหน้ากล้อง ที่ผู้ใช้สามารถเลื่อนแผ่นมาปิดหน้าเลนส์ได้เลยในเวลาที่ไม่ได้ใช้กล้อง เพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัว ป้องกันกรณีที่อาจโดนแฮคกล้องเว็บแคมได้ รวมถึงยังสะดวกกว่าการใช้เทปหรือสติกเกอร์มาปิดทับหน้ากล้องด้วย เพราะเป็นกลไกอยู่ในเครื่องเลย

สำหรับการเลือกซื้อโน้ตบุ๊กในปีนี้ ถ้าคุณจำเป็นต้องใช้งานกล้องเว็บแคม ถ้าเป็นไปได้ก็ควรเลือกรุ่นที่มาพร้อมกล้อง 1080p เป็นหลัก มีอินฟราเรดด้วยก็ดี เพื่อความสะดวกในการใช้งาน แต่ถ้ามีงบจำกัดจริง ๆ กล้อง 720p ก็ยังอยู่ในระดับที่ใช้งานได้ดีอยู่ ไว้เวลาที่ต้องการอัปเกรด ก็ค่อยซื้อกล้องเว็บแคมแยกมาใช้งานแทนก็ยังได้ แค่อาจจะไม่ค่อยสะดวกในเรื่องการเชื่อมต่อเท่านั้นเอง

Lenovo ThinkPad X13 review 16

การเชื่อมต่อ WiFi และ Bluetooth

การเชื่อมต่อไร้สายเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก ๆ สำหรับโน้ตบุ๊ก เพราะหลาย ๆ รุ่นมักตัดพอร์ต LAN ออก รวมถึงอุปกรณ์เสริมก็ทำออกมาเป็นแบบเชื่อมต่อไร้สายกันมากแล้ว ซึ่งถ้าเป็นไปได้ก็ควรเลือกซื้อโน้ตบุ๊กที่มาพร้อมเทคโนโลยีการเชื่อมต่อไร้สายรุ่นใหม่ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ นั่นคืออย่างน้อยควรจะรองรับ WiFi 6 (802.11ax) และ Bluetooth 5.0 ขึ้นไป ซึ่งมักจะอยู่ในโน้ตบุ๊กรุ่นราคา 20,000 กว่าบาทขึ้นไป ตอบโจทย์กับการใช้งานร่วมกับ router ของเน็ตบ้าน ที่ ISP ส่วนใหญ่มักให้ router WiFi 6 มาแล้ว พวกหูฟังต่าง ๆ ก็มักรองรับ Bluetooth 5.0 ขึ้นไป ส่วนในกลุ่มราคาย่อมเยาลงมา ก็จะเจอเป็นกลุ่มของ WiFi AC และ Bluetooth 4.2 แทน ซึ่งยังพอสำหรับการใช้งานทั่วไปได้ดีอยู่ แต่อาจจะมีข้อจำกัดนิดนึงเวลาที่ต้องเชื่อมต่อเพื่อรับส่งข้อมูลจำนวนมาก เช่น การฟังเพลงที่ความละเอียดไฟล์ระดับสูง เป็นต้น

ส่วนในกลุ่มของโน้ตบุ๊กที่ราคาสูงหน่อย ตอนนี้ก็เริ่มจะมาพร้อมการรองรับ WiFi 6E และ Bluetooth 5.3 กันแล้ว ซึ่งถ้างบถึง จะเลือกเป็นกลุ่มนี้ไปเลยก็ดี เพื่อการรองรับอุปกรณ์ในอนาคต

Dell Inspiron 16 5625 Review 50

การอัปเกรดอุปกรณ์ในเครื่อง

อาจจะเป็นจุดที่หลายท่านไม่ได้เน้นมากนัก โดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องการโน้ตบุ๊กสายบางเบา เพราะโน้ตบุ๊กในกลุ่มนี้ ผู้ผลิตมักจะติดตั้งอุปกรณ์แบบบัดกรีมาบนเมนบอร์ดเลย ทำให้การอัปเกรดแทบเป็นไปไม่ได้ หรือทำได้ยากมาก ๆ

รองลงมาก็จะเป็นกลุ่มโน้ตบุ๊กรุ่นปกติ ซึ่งกลุ่มนี้ ส่วนมากแล้วจะยังพอสามารถอัปเกรดแรมและ SSD ได้อยู่บ้าง เช่น บางเครื่องอาจจะมีช่องใส่แรมว่างอยู่ 1 ช่อง บางเครื่องอาจจะมาพร้อม SSD แบบ M.2 ที่สามารถซื้อมาเปลี่ยนภายหลัง เพื่ออัปเกรดให้มีความจุเพิ่มขึ้นได้ตามต้องการ นอกจากนี้ อาจจะมีบางรุ่นที่สามารถอัปเกรดการ์ด WiFi+Bluetooth ได้ด้วย เช่น อาจจะสามารถเปลี่ยนจากการ์ด WiFi AC ที่ติดเครื่องมา ไปใช้เป็นการ์ด WiFi 6 เป็นต้น ซึ่งก็ต้องเช็คกันดี ๆ ก่อนนะครับ ว่าโน้ตบุ๊กเครื่องนั้นรองรับหรือเปล่า

ส่วนกลุ่มที่พอจะอัปเกรดได้มากสุดในตอนนี้ก็จะเป็นพวกเกมมิ่งโน้ตบุ๊ก ซึ่งปกติแล้วก็จะไม่หนีจากกลุ่มที่แล้วมากนัก แต่อาจจะมีจุดดีกว่าเช่น มีช่องใส่แรมมากกว่า เช่นมีทั้งหมด 2 ช่อง หรือมี 4 ช่อง ขึ้นอยู่กับการออกแบบเมนบอร์ด และความหนาของเครื่อง ทำให้สามารถซื้อแรมมาใส่เพิ่มได้มากกว่า บางรุ่นก็อาจมาพร้อมช่องใส่ SSD มากกว่า 1 ช่อง เช่นอาจจะเป็นช่องแบบ M.2 มาให้ 2 ช่อง หรือเป็น M.2 หนึ่งช่อง ส่วนอีกช่องเป็น SATA ปกติก็ได้ ช่วยให้ผู้ใช้สามารถซื้อ SSD มาใส่เพิ่มได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องถอดของเก่าออก ซึ่งก็จะช่วยเพิ่มพื้นที่เก็บข้อมูลในเครื่องได้ หรือในบางรุ่นที่รองรับการทำ RAID ผู้ใช้ก็สามารถเลือกได้เลยว่าจะตั้งค่าเป็นแบบไหน จะเน้นความเร็ว เน้นความจุ หรือเน้นความปลอดภัยของข้อมูลก็ทำได้ตามที่ผู้ผลิตออกแบบมาเลย

Lenovo IdeaPad Gaming 3i 9 2

ด้านของการอัปเกรด CPU การ์ดจอ รวมถึงแบตเตอรี่ ในปัจจุบันนี้หารุ่นที่ทำได้ยากมาก ๆ แล้วครับ อย่างในกลุ่มของ CPU และชิปการ์ดจอ ผู้ผลิตมักจะใช้การบัดกรีติดกับเมนบอร์ดไปเลย เพื่อทำให้ตัวเครื่องมีความบางที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ รวมถึงอาจมีผลในแง่ของความเร็วในการรับส่งข้อมูลด้วย ส่วนแบตเตอรี่ ด้วยการออกแบบตัวเครื่องในยุคหลังนี้ ผู้ผลิตมักจะใช้การติดตั้งแบตเตอรี่ไว้ในเครื่องเลย ไม่ได้เป็นแบบก้อนที่สามารถถอดเองได้ง่าย ๆ แล้ว จึงหาได้ยากมากที่จะมีการอัปเกรดแบตเตอรี่ในปัจจุบัน

ดังนั้น ในการเลือกซื้อโน้ตบุ๊กในปี 2023 นี้ ผู้ซื้อควรตั้งสเปคที่ต้องการจริง ๆ ในใจก่อน เช่นถ้าต้องการแรม 16GB ก็ไปมองหาโน้ตบุ๊กที่มาพร้อมแรม 16GB ไว้ก่อนเลย ถ้าราคาสูงเกินไป ก็ค่อยขยับลงมาหารุ่นที่ให้แรม 8GB แต่สามารถอัปเกรดแรมเพิ่มได้แทน

ส่วนของ SSD ก็เหมือนกันครับ แต่จะต้องเช็คเพิ่มนิดนึง ว่าถ้าสามารถอัปเกรดได้ จะต้องใช้ SSD แบบไหน ช่องเชื่อมต่อแบบใด ความยาวเท่าไหร่ เพราะพื้นที่ภายในของโน้ตบุ๊กนั้นมีน้อยมาก ผู้ผลิตจึงมักจะล็อกขนาดความยาวของ SSD มาเลย ว่าต้องใช้ขนาดเท่าไหร่ เช่น อาจจะระบุไว้ว่าต้องใช้ SSD แบบ M.2 2242 เท่านั้น ซึ่งก็อาจจะหายากหน่อย เพราะ SSD ที่มีขายทั่วไปในตอนนี้ จะเป็น M.2 ขนาด 2280 ซะเป็นส่วนใหญ่

 

การรับประกัน และศูนย์บริการ

โดยพื้นฐานแล้ว โน้ตบุ๊กศูนย์ไทยทุกเครื่องจะมาพร้อมการรับประกันขั้นต่ำ 1-2 ปี แบบที่ผู้ใช้ต้องนำเครื่องเข้าศูนย์บริการเอง แต่ก็จะมีบางรุ่น บางแบรนด์ที่ให้การบริการแบบ on-site service ถึงบ้าน/ที่นัดหมายเลย อย่างถ้าเมื่อก่อนก็จะเป็น Dell ที่มีชื่อเสียงมานาน ซึ่งในปัจจุบัน แบรนด์อื่น ๆ ก็มีเข้ามาให้สำหรับกลุ่มโน้ตบุ๊กที่พรีเมียมขึ้นมานิดนึง หรือถ้าไม่มี ก็มักจะมีขายแพ็คเสริมการรับประกันแยกให้ พร้อมกับต่อระยะเวลาการรับประกันด้วย ซึ่งก็ควรสอบถามความครอบคลุมให้ละเอียดก่อนซื้อครับ เช่น ว่าจะมีอะไรเพิ่มมาบ้าง ระยะเวลาเท่าไหร่ ค่าใช้จ่ายในการใช้บริการ จำนวนครั้งในการเคลมต่อปี เป็นต้น โดยราคาแพ็คเกจเสริมการรับประกันก็มักจะมีราคาอยู่ที่หลักพัน

นอกเหนือจากพวกประกันตัวเครื่อง บริการ on-site แล้ว หลายแบรนด์ก็จะมีพวกประกันอุบัติเหตุ ประกันแบตเตอรี่ บริการเครื่องใช้ทดแทนระหว่างซ่อมมาด้วย ซึ่งก็อาจจะต้องศึกษารายละเอียดให้ดีครับ จะได้ไม่เสียสิทธิ์ไปฟรี ๆ

ส่วนอีกประเด็นที่ยังคงเป็นข้อสงสัยกันมาอย่างยาวนาน ว่าถ้าอัปเกรดแรมและ SSD เอง โน้ตบุ๊กจะหมดประกันหรือไม่ อันนี้ถ้าเป็นเคสปกติ ไม่มีการงัดแงะจนชิ้นส่วนแตกหัก ไม่มีการบัดกรี หรือเกิดความเสียหายกับแผงวงจร ก็ไม่มีปัญหา ไม่หมดประกันครับ แต่ด้วยความที่โน้ตบุ๊กหลาย ๆ รุ่นมีการออกแบบที่เน้นความบาง จึงอาจทำให้การแกะเครื่องเพื่ออัปเกรดทำได้ยาก เช่น บางรุ่นช่องใส่แรมไปอยู่ใต้คีย์บอร์ด บางรุ่นใช้สลักพลาสติกล็อกฝาหลังทั้งชิ้น ทำให้แงะยาก ถ้าเป็นเครื่องในกลุ่มนี้ แนะนำว่าไปปรึกษาศูนย์บริการ เพื่อให้ช่างอัปเกรดให้จะปลอดภัยสุด

ด้านของศูนย์บริการ หลังจากช่วงโควิด-19 มา บางแบรนด์ก็อาจมีการปรับเปลี่ยนจุดให้บริการไปบ้าง ซึ่งหลัก ๆ แล้วจะสามารถเช็คข้อมูลล่าสุดได้จากหน้าเว็บไซต์ของแต่ละแบรนด์เองครับ โดยข้อมูลเบื้องต้นสามารถอ่านต่อได้ที่บทความนี้ และบทความนี้เลย (อัปเดตปี 2021)

HP Experience and Service Center 06

สรุปการซื้อโน้ตบุ๊กในปี 2023

โดยภาพรวม แนวคิดในการเลือกซื้อโน้ตบุ๊กใหม่ซักเครื่องก็คือควรจะเลือกรุ่นที่…

  • ราคาเหมาะสมกับงบที่ตั้งไว้
  • สเปคใหม่ล่าสุดเท่าที่เป็นไปได้ และตรงกับโจทย์ความต้องการ โดยยึดจากชิ้นส่วนที่อัปเกรด/เปลี่ยนไม่ได้เป็นหลัก

ซึ่งในข้อที่สองนี้ก็จะเป็นจุดที่ต้องใช้เวลาพิจารณากันซักนิดนึงครับ เพราฮาร์ดแวร์หลายส่วนนั้นถูกออกแบบมาให้อัปเกรด หรือเปลี่ยนแทบไม่ได้เลย เช่น CPU/GPU/จอ เป็นต้น อย่างในกรณีถ้าอยากเน้นเล่นเกม ก็คงต้องเลือกรุ่นที่การ์ดจอแรงเป็นหลัก จอดี รีเฟรชเรตสูงหน่อย แต่ถ้าจะเล่นเกมแบบต่อจอแยกอยู่แล้ว ก็อาจจะลดความสำคัญเรื่องจอลงนิดนึงได้

ส่วนถ้าอยากได้โน้ตบุ๊กทำงานทั่วไป ก็แนะนำว่าควรใช้ CPU ระดับกลางขึ้นไปไว้ก่อน เช่น ตั้งแต่ Core i3/i5 หรือ Ryzen 3/5 เป็นต้นไป ขึ้นอยู่กับงบประมาณ มีแรมขั้นต่ำ 8GB และ SSD 256GB เอาไว้ ถ้ารุ่นไหนสามารถอัปเกรดเพิ่มเติมได้ ก็ค่อยพิจารณาเรื่องการอัปเกรดในภายหลังได้

สำหรับสายครีเอเตอร์ ก็คงต้องเลือกโน้ตบุ๊กที่ CPU รุ่นสูงหน่อย มาพร้อมเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ช่วยในการ encode/decode ได้ดี มีคอร์เยอะ ๆ รวมถึงใช้จอคุณภาพสูง สีสันตรง มีพอร์ตเชื่อมต่อความเร็วสูงสำหรับใช้ร่วมกับ external storage เอาไว้ก่อน เพื่อเพิ่มความสะดวกในการทำงานร่วมกับไฟล์ขนาดใหญ่

ยังไง ถ้ากำลังเล็งโน้ตบุ๊กรุ่นไหน กลุ่มใดอยู่บ้าง ก็ลองเข้ามาชมรีวิวได้จากในส่วนของรีวิวโน้ตบุ๊กในเว็บของเราได้ครับ เพื่อเป็นแนวทางว่ารุ่นไหนเหมาะกับงานที่ต้องการที่สุด รวมถึงจากบทความแนะนำโน้ตบุ๊กน่าซื้อในแต่ละช่วงราคา อาทิ

 

from:https://notebookspec.com/web/702439-buy-a-new-notebook-in-2023

วิธีแก้ไขปุ่ม Print Screen ใช้งานไม่ได้บน Windows 11

ปุ่ม Print Screen เป็นปุ่มที่บางคนใช้งานค่อนข้างที่จะบ่อยเป็นอย่างมาก แต่บางครั้งก็มีปัญหาเกิดขึ้นกับปุ่ม Print Screen นี้ เรามาดูวิธีการแก้ไขกันว่าจะแก้ไขได้อย่างไรบ้างสำหรับผู้ใช้ Windows 11

วิธีแก้ไขปุ่ม Print Screen ใช้งานไม่ได้บน Windows 11
วิธีแก้ไขปุ่ม Print Screen ใช้งานไม่ได้บน Windows 11

ปุ่ม Print Screen (PrtScr) เป็นหนึ่งในวิธีที่เร็วที่สุดในบันทึกภาพหน้าจอบน Windows มาหลายยุคหลายสมัย อย่างไรก็ตามหากปุ่ม Print Screen ของคุณหยุดทำงานกะทันหัน คุณอาจสามารถลองแก้ไขบางอย่างได้ด้วยตัวของคุณเองก่อนที่จะทำการเปลี่ยนคีย์บอร์ด

ปุ่ม Print Screen ของคุณอาจหยุดทำงานเนื่องจากปัญหาฮาร์ดแวร์เช่น อาจมีปัญหากับแป้นพิมพ์ของคุณ ในกรณีนี้คุณจะต้องเปลี่ยนแป้นพิมพ์ใหม่เท่านั้นถึงจะได้ผลซึ่งเราแนะนำให้คุณลองเปลี่ยนดูก่อนว่าแป้นพิมพ์อันอื่นที่เอามาเปลี่ยนนั้นสามารถใช้งานปุ่่ม Print Screen (PrtScr) ได้หรือไม่

Advertisementavw

อย่างไรก็ตามไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่เพราะมีปัญหาอื่นๆ ที่อาจจะเป็นตัวก่อให้เกิดการใช้งานปุ่ม Print Screen (PrtScr) ไม่ได้ แต่ถึงกระนั้นหากคุณลองทำตามบทความนี้ทั้งหมดคุณอาจจะสามารถทำการแก้ไขจากต้นเหตุที่อาจทำให้ปุ่ม Print Screen (PrtScr) หยุดทำงาน มาดูกันว่าจะมีวิธีอะไรบ้างไปติดตามกันได้เลย



ตรวจสอบปุ่ม F-Lock

F lock

แป้นคีย์ F-lock เป็นคีย์ที่เอาไว้สำหรับเปิดหรือปิดใช้งานฟังก์ชันรองของแป้น F1–F12 แป้นพิมพ์ที่มีแป้น F-lock อาจมาพร้อมกับไฟ LED เพื่อส่งสัญญาณว่า F-lock เปิดหรือปิดอยู่ หากเปิดอยู่ให้ลองกดปุ่ม F-lock เพื่อปิดดูแล้วตรวจสอบว่าปุ่ม Print Screen (PrtScr) ของคุณทำงานได้อย่างถูกต้องหรือไม่


หยุดโปรแกรมที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง

task manager

โปรแกรมที่ทำงานอยู่เบื้องหลังอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ปุ่ม Print Screen ของคุณไม่ทำงาน ให้คุณลองเปิด Task Manager ของคุณและดูว่าแอปพลิเคชันเช่น OneDrive, Snippet Tool หรือ Dropbox กำลังทำงานในพื้นหลังหรือไม่

อาการดังกล่าวนี้เป็นสาเหตุที่พบบ่อย แต่แอปพิลเคชันอื่นๆ ก็อาจทำให้เกิดปัญหาได้เช่นกัน หากปัญหาเริ่มต้นขึ้นหลังจากติดตั้งแอปพลิเคชันใหม่ใดๆ ลงไปในตัวเครื่อง ให้ลองหยุดการทำงานแอปพลิเคชันนั้นและดูว่าสามารถแก้ไขปัญหาได้หรือไม่

หากคุณมีแอปพลิเคชันที่น่าสงสัยตั้งแต่ 2 แอปขึ้นไปที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง ให้หยุดทีละแอปพลิเคชันเพื่อดูว่าแอปใดเป็นสาเหตุของปัญหา หากต้องการหยุดแอปพลิเคชัน ให้เรียกใช้ Task Manager โดยกด Ctrl + Shift + Esc คลิกขวาที่แอปพลิเคชัน แล้วคลิก End task


อัปเดตไดรเวอร์คีย์บอร์ดของคุณ

print screen fix manager

หากระบบของคุณติดตั้งไดรเวอร์แป้นพิมพ์ที่ไม่ถูกต้อง, เสียหายหรือล้าสมัย อาจทำให้ปุ่ม Print Screen หยุดทำงาน คุณสามารถแก้ไขได้ด้วยการอัปเดทไดรเวอร์คีย์บอร์ดใหม่โดยคุณสามารถอัปเดตไดรเวอร์แป้นพิมพ์ได้จาก Device Manager

  • คลิกขวาที่ปุ่ม Start แล้วคลิก Device Manager หรือกดแป้น Windows + R ป้อน devmgmt.msc แล้วกด Enter เพื่อเปิด Device Manager
  • ค้นหาไดรเวอร์แป้นพิมพ์ของคุณแล้วทำการคลิกขวาจากนั้นให้เลือก Update driver

ในหน้าจอถัดไป ระบบจะถามว่าต้องการให้ Windows ค้นหาและติดตั้งไดรเวอร์โดยอัตโนมัติหรือติดตั้งจากคอมพิวเตอร์ของคุณ หาก Windows ไม่พบไดรเวอร์ให้ลองดาวน์โหลดไดรเวอร์จากเว็บไซต์ของผู้ผลิต นอกจากนี้ยังมีวิธีอื่นๆ อีกหลายวิธีในการอัปเดตไดรเวอร์ Windows หากไม่ได้ผล(แต่การโหลดจากวิธีที่เราบอกไปนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายที่สุด)

เมื่อคุณติดตั้งไดรเวอร์ที่อัปเดตแล้ว ให้รีสตาร์ทคอมพิวเตอร์เพื่อดูว่าปุ่ม Print Screen ของคุณใช้งานได้หรือไม่


ตรวจสอบการตั้งค่า OneDrive

print screen fix onedrive

หากคุณใช้ OneDrive บนพีซีระบบปฏิบัติการ Windows 11 ของคุณ(ซึ่งจะมีการติดตั้งมาด้วยกับตัวระบบปฏิบัติการอยู่แล้ว) ให้ตรวจสอบว่า OneDrive เป็นสาเหตุที่ทำให้ปุ่ม Print Screen ของคุณไม่ทำงานหรือไม่ เพราะนี่เป็นปัญหาทั่วไปของผู้ใช้ที่ใช้บริการที่เก็บข้อมูลบนคลาวด์ของ Microsoft เพื่อสำรองไฟล์

คุณสามารถทำได้จากการตั้งค่าของ OneDrive คลิกขวาที่ไอคอน OneDrive จากด้านล่างขวาของทาสก์บาร์แล้วคลิก Settings ถัดไป จากนั้นสลับไปที่แท็บ Backup

ภายใต้ส่วน Screenshots คุณจะเห็นกล่องสำหรับกาเครื่องหมายที่มีข้อความว่า “Automatically save screenshots I capture to OneDrive.” ตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้เลือกช่องนี้ออกแล้ว หากเลือกช่องนี้ออกแล้วให้ทำการตรวจสอบอีกครั้งเพื่อดูว่าจะสามารถใช้งานได้ตามปกติหรือไม่


ใช้เครื่องมือแก้ไขปัญหาฮาร์ดแวร์ Windows 11

print screen fix troubleshooter

Windows 11 มีตัวแก้ไขปัญหาฮาร์ดแวร์ในตัว ซึ่งรวมถึงตัวแก้ไขปัญหาเฉพาะสำหรับแป้นพิมพ์ของคุณ ซึ่งอาจช่วยแก้ไขปัญหา Print Screen ของคุณได้

  • กดปุ่ม Windows และค้นหา Troubleshoot Settings เพื่อเปิดหน้าต่างใหม่
  • ในบานหน้าต่างด้านขวา คลิกที่ Additional troubleshooters และเลื่อนลงไปที่ Keyboard เลือกและคลิกที่เรียกใช้ Run the troubleshooter

ทำตามคำแนะนำในตัวแก้ไขปัญหา เมื่อทำเสร็จแล้วดูว่าการดำเนินการนี้จะแก้ไขคีย์ Print Screen ของคุณหรือไม่


Clean Boot คอมพิวเตอร์ของคุณ

print screen fix selective

หากวิธีตามขั้นตอนข้างบนไม่ได้ผล ให้ลองคลีนบูตคอมพิวเตอร์ การคลีนบูตจะรีสตาร์ท Windows ตามปกติ แต่จะอนุญาตให้โหลดเฉพาะไดรเวอร์ที่จำเป็นเท่านั้น วิธีนี้จะช่วยให้คุณจำกัดสาเหตุของปัญหาให้แคบลงได้

วิธีการคลีนบูตเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ ให้กด Windows + R พิมพ์ msconfig แล้วคลิก OK จะเป็นการเปิดหน้าต่าง System Configuration

print screen fix services

ภายใต้แท็บ General คุณจะเห็นกล่องกาเครื่องหมายสองช่องใต้ Selective startup ยกเลิกการเลือกช่องที่สองที่ระบุว่า Load startup items และปล่อยให้ช่อง Load system services ทำเครื่องหมายไว้

ถัดไป เปลี่ยนไปที่แท็บ Services ที่ด้านล่างซ้าย คุณจะเห็นกล่องกาเครื่องหมายที่ระบุว่า Hide all Microsoft services ทำเครื่องหมายในช่องนั้น

สิ่งนี้จะทำให้คุณมีรายการบริการเล็กน้อยในการบูทเครื่อง จากนั้นคลิกปิดการใช้งานทั้งหมด แล้วคลิก ตกลง เมื่อคุณรีสตาร์ทคอมพิวเตอร์เครื่องจะบู๊ตด้วยบริการของ Microsoft เท่านั้น ลองใช้ปุ่ม Print Screen เพื่อดูว่าใช้งานได้หรือไม่


แก้ไข Registry

regedit print screen fix

คุณสามารถแก้ไขรีจิสทรีได้โดยใช้ Registry Editor เพื่อแก้ไขปัญหา Print Screen ไม่ทำงาน อย่างไรก็ตาม การทำผิดพลาดขณะแก้ไขรีจิสทรีอาจส่งผลเสียต่อพีซีของคุณ ดังนั้นทางที่ดีควรสร้างจุดคืนค่าระบบและสำรองไฟล์ของคุณก่อนที่จะพยายามแก้ไขปัญหานี้

  • หากต้องการเปิด Registry Editor ให้กด Windows + R แล้วพิมพ์ regedit จากนั้นคลิก ตกลง หรือกด Enter
  • ไปที่ HKEY_CURRENT_USER\Software\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Explorer
  • คลิกขวาที่โฟลเดอร์ Explorer แล้วเลือก New > DWORD และเปลี่ยนชื่อ Value เป็น ScreenShotIndex ตั้งค่า Value data ของ DWORD เป็น 4 แล้วคลิก OK
  • จากนั้นไปที่ HKEY_CURRENT_USER\Software\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Explorer\User Shell Folders
  • ค้นหาสตริงชื่อ {B7BEDE81-DF94-4682-A7D8-57A52620B86F} แล้วดับเบิลคลิกเพื่อเปิด
  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าตั้งค่าข้อมูลค่าเป็น %USERPROFILE%\Pictures\Screenshots

หากคุณหาไฟล์นี้ไม่พบ ให้สร้าง String Value ใหม่เหมือนกับที่เราสร้าง DWORD และใช้ค่าที่กล่าวถึงข้างต้นในช่อง Value name และ Value data

หากไม่ได้ผล ให้ลองดูว่าการเปลี่ยนฟิลด์ข้อมูลค่าสำหรับ ScreenShotIndex DWORD จาก 4 เป็น 695 ช่วยได้หรือไม่


Print Screen เป็นวิธีที่สะดวกรวดเร็วในการบันทึกภาพหน้าจอของเครื่องคอมพิวเตอร์พีซีโดยเฉพาะกับ Windows 11 ที่มีฟีเจอร์ในการใช้งานได้ดีมากยิ่่งขึ้น หากมันหยุดทำงานมันจะน่าจะสร้างความหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัดกับคุณขึ้นมาทันทีหากคุณต้องการใช้งานปุ่ม Print Screen บ่อยๆ 

เราหวังว่าหนึ่งในการแก้ไขในบทความนี้จะได้ผลและแก้ไขปัญหาของคุณได้ หากไม่เป็นเช่นนั้นคุณอาจต้องลองเสียบแป้นพิมพ์อื่นเพื่อดูว่าใช้แทนได้หรือไม่(ซึ่งเราได้บอกไปแล้วว่าหากคุณมีแป้นพิมพ์สำรองให้ลองเปลี่ยนดูก่อนเพราะจริงๆ แล้วปัญหาอาจจะเกิดมาจากปุ่ม Print Screen บนคีย์บอร์ดเก่าของคุณพังไปแล้วนั่นเอง)

หากวิธีการเหล่านี้ไม่ได้ผล มีสองสามวิธีที่คุณสามารถถ่ายภาพหน้าจอบน Windows โดยไม่ต้องใช้ปุ่มพิมพ์หน้าจอในกรณีที่คุณจำเป็นแต่ทว่าคุณจะต้องทำการโหลดแอปพลิเคชันเพิ่มเติม

ที่มา : lifewire, awesomescreenshot, partitionwizard, softwarekeep, makeuseof

from:https://notebookspec.com/web/706345-7-ways-to-fix-print-screen-not-working

คีย์ลัด windows 10 / คีย์ลัด windows 11 ใช้งานไว ประหยัดเวลา 2023

คีย์ลัด windows 10 / คีย์ลัด windows 11 ใช้งานเร็ว ลดเวลางาน ทำงานดุจมือโปร

คีย์ลัด windows 10

คีย์ลัด windows 10 / คีย์ลัด windows 11 ติดปีกให้งานไว ด่วนเร็วทันใจ ไม่ต้องคลิ๊กหรือกดปุ่มคีย์บอร์ดกันหลายรอบ ก็สั่งให้วินโดว์เปิดฟังก์ชั่นให้ใช้งานได้ทันที ซึ่งคีย์ลัดบน Windows ก็มีอยู่มากมายให้เลือกใช้ ซึ่งคีย์ลัดของ Windows มีความคล้ายคลึงกัน จะมีเพียงบางส่วนจะต่างกันบ้าง และข้อดีของการใช้คีย์ลัด ก็คือ การเรียกใช้ฟังก์ชั่นที่ต้องการได้รวดเร็ว แทนที่จะต้องคลิ๊กเข้าไปหลายขั้นตอน ไม่ต้องค้นหา ส่งผลให้ทำงานได้เร็วขึ้น ยิ่งบางครั้งต้องทำงานซ้ำๆ กันหลายครั้ง คีย์ลัดตอบโจทย์ได้ดีกว่าการคลิ๊กเมาส์ รวมถึงการปรับแต่งในบางจุด ทำได้ดีกว่า ส่วนข้อเสียจะมีอยู่บ้าง หากคุณจดจำรูปแบบของปุ่มที่เป็นคีย์ลัดไม่ค่อยได้ อาจจะไม่ได้สะดวกมากนักนั่นเอง ดังนั้นเรามาลองดูว่าทั้ง Windows 10 และ Windows 11 มีคีย์ลัดอะไรที่ช่วยให้คุณทำได้สะดวกขึ้นได้บ้างในปี 2023 นี้


คีย์ลัด windows 10 / คีย์ลัด windows 11


จุดเด่น

  • ลดเวลาในการเข้าถึงคำสั่ง ทำงานได้ไวขึ้น
  • ปรับเปลี่ยนหรือตั้งค่าฟังก์ชั่นที่ต้องการได้ทันที
  • เรียกใช้ฟังก์ชั่นที่ซับซ้อนหลายขั้นตอนได้เร็วกว่า
  • ใช้งานบนโน๊ตบุ๊คได้สะดวก ไม่ต้องใช้เมาส์

ข้อสังเกต

  • ต้องจดจำฟังก์ชั่นจากปุ่มคีย์ลัดต่างๆ
  • บางฟังก์ชั่น ยังต้องใช้เมาส์เพิ่มความสะดวก

แนะนำวิธีการกดคีย์ลัด windows 10 / คีย์ลัด windows 11

ในการกดปุ่มเพื่อเรียกใช้คีย์ลัดบน Windows นั้น จะเป็นการกดปุ่มคีย์บอร์ดพร้อมกัน 2-3 ปุ่ม ขึ้นอยู่กับคำสั่งแต่ละอย่าง ว่าต้องใช้ปุ่มอะไรบ้าง โดยการกดนั้น จะยึดที่ปุ่มหลักอย่างปุ่ม Win หรือ Windows ที่มีโลโก้รูปหน้าต่าง ส่วนใหญ่จัดวางอยู่แถวล่างสุดด้านซ้ายของคีย์บอร์ด ใกล้กับปุ่ม Fn และปุ่ม Alt โดยจะกดปุ่มอื่นๆ พร้อมกันตามที่เราแนะนำมาเหล่านี้

Advertisementavw

Win + Tab

คีย์ลัด windows 10

แสดงหน้าต่างโปรแกรมทั้งหมดที่ใช้งานอยู่ ไม่ว่าจะเป็นแอพพลิเคชั่นของระบบ เช่น File Explorer หรือโปรแกรมที่ติดตั้งเพิ่มเติมเข้าไป เมื่อใช้งานอยู่ ช่วยให้การใช้งานพร้อมกัน หรือเปิดหลายงานทำได้ง่ายขึ้น เหมาะกับคนที่ทำงานทีเดียวพร้อมกันหลายหน้าต่าง หรือเปิดใช้ Virtual Desktop หลายเดสก์ทอป เป็นคีย์ลัด windows 10 / คีย์ลัด windows 11 ที่ค่อนข้างสะดวกมากๆ ทีเดียว


Win + A

เรียกใช้งานฟังก์ชั่นสำหรับตั้งค่า Battery, Sound, WiFi รวมถึงการดูการเชื่อมต่อต่างๆ ที่อยู่ใน Action Center ให้คุณปรับโหมดใช้งานได้ทันที คล้ายกับการปัดนิ้วเลื่อนแถบเครื่องมือ บนมือถือแอนดรอยด์ ดังนั้นจึงจัดการสิ่งต่างๆ ได้ง่ายขึ้น คล้ายกับการใช้ฮอตคีย์ แต่ฟังก์ชั่นนี้ จะรวมเอาจุดสำคัญมาไว้ในที่เดียวกัน เหมาะกับการตั้งค่าใช้งานแบบด่วนๆ


Alt + Tab

จะเป็นการสลับไปยังหน้าต่างที่คุณใช้อยู่ก่อนหน้านี้ให้ทันที โดยไม่ต้องเลื่อน Cursor หรือคลิ๊กเมาส์เลือกที่ทาส์กบาร์ให้เสียเวลา เหมาะสำหรับคนที่ใช้ 2 โปรแกรม ต้องสลับกันบ่อยๆ เช่น ดูหุ้น พร้อมกับคีย์ข้อมูล หรือทำเอกสาร ไปพร้อมๆ กับการอัพเดตข้อมูล ซึ่งบางครั้งการแบ่งหน้าจอ อาจไม่สะดวกเท่าใดนัก


Win + D

ต่อเนื่องจาก Win + Tab ในกรณีที่คุณเปิดใช้ Virtual Desktop เอาไว้ คีย์ลัดนี้ จะทำการสลับ Desktop ที่เปิดอยู่ให้คุณทันที โดยไม่ต้องกดปุ่มอื่นใดเพิ่ม เหมาะกับคนที่ทำงานหลายเดสก์ทอป แยกการเปิดโปรแกรมไม่เหมือนกัน ให้สามารถสลับใช้งานได้ง่ายกว่า


Win + X

เป็นการเรียกเมนู Quick Link ที่เหมือนกับการคลิ๊กเมาส์ขวา ไปที่โลโก้ Windows ในหน้า Desktop จะรวมเอาฟังก์ชั่นของระบบเอาไว้ทั้งหมด เรียกว่าเป็น Portal ของการตั้งค่าอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Power Options, Disk Management, Task Manager หรือ Search, Settings และ Run เป็นต้น สะดวกต่อการใช้งานไม่น้อยเลย ใช้ได้ทั้ง Windows 10 และ Windows 11


Win + P

คีย์ลัด windows 10

เป็นคีย์ลัดในการเลือกส่งสัญญาณภาพ จากพีซีหรือโน๊ตบุ๊คบุ๊คไปยังจอภาพภายนอก เช่น ต่อสัญญาณภาพจากโน๊ตบุ๊คไปแสดงผลยังจอทีวี หรือโปรเจ๊คเตอร์ เมื่อไปพบลูกค้า หรือต่อจอเสริมเพื่อทำงาน ทำให้เราเลือกได้ว่า จะต่อไปที่จอนอกเพียงอย่างเดียว หรือแสดงภาพให้เหมือนกันในแบบ Duplicate หรือจะใช้ขยายภาพเป็นจอที่ 2 ในแบบ Extend เป็นต้น เรียกว่าเป็นคีย์ลัดที่ประหยัดเวลาสุดๆ


Win + E

เป็นการเรียก File Explorer หรือที่หลายคนคุ้นเคยกับ Windows Explorer กันในอดีตนั่นเอง ช่วยให้คุณค้นหาไฟล์ เปิดไฟล์ ย้ายข้อมูล รวมถึงการจัดการไดรฟ์ และไปต่อกับฟังก์ชั่นอื่นๆ เช่น Properties, การเปลี่ยนชื่อไฟล์ ดูข้อมูล ที่มีการแยกย่อยเป็นหมวดหมู่ ไม่ว่าจะเป็น Download, Document, Pictures, Video หรือ Music เป็นต้น เป็นคีย์พื้นฐานของใครหลายคนเลยทีเดียว


Win + B

คีย์ลัด windows 10

ใช้เป็นคำสั่งเรียก Voice Typing หรือ Microsoft Speech เพื่อสั่งใช้งานเปิดฟังก์ชั่นต่างๆ ของระบบ ไม่ว่าจะเป็น ฟังก์ชั่นพื้นฐาน หรือโปรแกรมต่างๆ ที่ต้องการ รวมไปถึงคำพูดที่คุณ สั่งพิมพ์ด้วยเสียง ตอบโจทย์ผู้ใช้ที่ต้องการพิมพ์งาน หรือส่งข้อความต่างๆ ผ่านโปรแกรมแชตหรือส่งเมล์ได้อย่างรวดเร็ว เพียงแค่ใช้เสียงเท่านั้น ที่สำคัญใช้ภาษาไทยได้อีกด้วย


Win + U

เข้าสู่โหมด Accessibility โหมดนี้บางท่านอาจจะไม่ค่อยได้ใช้ ถ้าไม่ได้มีการปรับขนาด Font, Cursor, หรือปรับค่าสีแสง เสียง บ่อยนัก ซึ่งโหมดนี้บางครั้งถูกจัดให้เป็นตัวช่วยในการทำงานของผู้มีความผิดปกติทางการมองเห็นหรือได้ยินอยู่ด้วย แต่คนปกติทั่วไปก็ใช้ได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะเรื่องของภาพ เสียง และการมองภาพบนหน้าจอเป็นต้น


Win + I

เป็นการเปิดหน้าต่างเรียกใช้การตั้งค่า Settings ซึ่งการตั้งค่า กำหนดฟังก์ชั่น และการปรับแต่งสิ่งต่างๆ จะอยู่ในนั้นทั้งหมด โดยปกติคุณจะต้องคลิ๊กเมาส์ขวา ที่เมนู Start ของวินโดว์ แล้วเลือก Settings การกดคีย์ลัดแบบนี้ ค่อนข้างสะดวกกว่า


Win + G

คีย์ลัด windows 10

คีย์ลัด windows 11 นี้ Xbox Game Bar เหมาะกับคอเกม ที่ต้องการใช้ในงานด้านสตรีมเกม หรือการแคสเกมอยู่ด้วย โดยมีฟังก์ชั่นการ Capture จับภาพหน้าจอที่เป็นวีดีโอ ในช่วงที่คุณกำลังเล่นอยู่ เพื่อเอาไปใช้ในการแคสสตรีมต่อไป และยังเลือกตั้งค่าไมโครโฟน ลำโพง หูฟัง เมาส์ และยังมีแท็ป Performance ในการมอนิเตอร์ระบบ ขณะที่กำลังใช้งาน เพื่อเช็คโหลดการทำงาน ให้ระบบอยู่ในสภาพที่พร้อมอยู่เสมอ และแก้ไขในช่วงที่มีโหลดหนักๆ ได้ทันท่วงที เป็นอีกฟีเจอร์ที่ช่วยให้คนทำพรีเซนเทชั่น และทำสื่อการสอนได้อีกด้วย


Win + M

เป็นคีย์ลัดที่ใช้ในการย่อหน้าต่างทั้งหมดที่เปิดอยู่ลงมาที่ Taskbar ทั้งหมด และมองเห็นเพียงหน้าจอเดสก์ทอปเท่านั้น เป็นฟังก์ชั่นที่มีประโยชน์หลายอย่าง เช่น บางครั้งกำลังทำงานอยู่ และต้องการใช้ข้อมูลบนหน้า Desktop ก็ทำได้รวดเร็ว หรือจะใช้


Win + R

คีย์ลัด windows 10

ใช้เป็นคำสั่งเรียกหน้าต่าง Run ขึ้นมา เพื่อเข้าถึงช่องทางในการเปิดฟังก์ชั่น Command ต่างๆ เช่น การปรับแต่งสิทธิ์, การจัดการระบบ, การเปิด Control Panel, การปรับแต่งหน้าจอ หรือการตั้งค่าแบบอื่นๆ ซึ่งจะมีคำสั่งพิเศษใช้ร่วมกัน taskmgr ในการเปิด Task Manager หรือ msinfo32 เช็คองค์ประกอบต่างๆ ของระบบ หรือ msconfig ที่ใช้ในการตั้งค่าระบบนั่นเอง รวมไปถึง dxdiag ในการเปิด DirectX Dianostic Tool ที่ใช้เช็คฮาร์ดแวร์และไดรเวอร์พื้นฐานเป็นต้น


Win + Q

คีย์ลัด windows 10

ใช้เปิดหน้าต่าง Search เพื่อค้นหาสิ่งต่างๆ ที่คุณต้องการใช้งาน อัพเดตข่าวสาร หรือใช้งาน Bing ในการค้นหา และยังขึ้นแอพพลิเคชั่นที่คุณใช้อยู่ก่อนหน้านี้ เพื่อการใช้งานอีกครั้งได้รวดเร็วกว่าเดิม เหมาะกับคนที่ใช้งาน Bing บ่อยๆ เพราะคุณสามารถใช้วิธี Chat Ai ในการค้นหาสิ่งที่คุณต้องการได้ทันที


Win + L

คีย์ลัด Windows 10 และ Windows 11 ใช้ในการล็อคหน้าจอ ในกรณีที่คุณไม่ได้ใช้งานคอมหรือไม่ได้อยู่หน้าจอ เพื่อความปลอดภัย และเป็นส่วนตัว ไม่ให้ใครมาแอบส่องหรือเปิดหน้าจอของคุณ ลดปัญหาการถูกคุกคามหรือขโมยข้อมูลส่วนตัวได้เป็นอย่างดี อาจจะใช้ร่วมกับการใส่รหัส เพื่อปลดล็อคหรือการสแกนลายนิ้วมือ สแกนใบหน้าได้


Win + Z

คีย์ลัด windows 10

คีย์ลัดที่ใช้ในการ Split หน้าจอตามแบบที่ต้องการโดยอัตโนมัติ โดยวินโดว์จะแบ่งหน้าจอตามที่คุณเลือก ไม่ว่าจะเป็น 2, 3 หรือ 4 หน้าจอ ซึ่งจะมีรูปแบบให้เลือกใช้งานได้สะดวกทีเดียว เหมาะกับคนที่ต้องการใช้หลายโปรแกรมหลายหน้าต่างพร้อมๆ กัน เช่น การเทรดหุ้น เช็คเอกสาร หรือการดูยูทูปหลายๆ หน้าต่างได้ง่ายขึ้น


Win + F

คีย์ลัด windows 10

ใช้สำหรับส่งข้อมูลที่เป็น Feedback ในการใช้งานระบบ ไปยังไมโครซอฟท์ ซึ่งคุณสามารถกรอกข้อมูลและปัญหา รวมถึงสิ่งที่คุณคิดว่าน่าจะมีการปรับ เพื่อให้ใช้งานได้สะดวกขึ้น ด้วยการกรอกข้อมูลที่กำหนดหัวข้อมาให้ได้เลย


Win + (+ หรือ -)

คีย์ลัด windows 10

เป็นการเรียกใช้ฟังก์ชั่นย่อ-ขยายหน้าจอ หรือ Magnifier ในการซูมหน้าเดสก์ทอปหรือโปรแกรม ภาพ ที่กำลังใช้อยู่ในขณะนั้น และมีเครื่องมือเหล่านี้มาช่วยให้จัดการได้ง่ายขึ้น และที่สำคัญฟังก์ชั่นนี้ ยังมีเครื่องมือที่อ่านออกเสียงข้อมูลที่เป็น Text บนหน้าจอให้อีกด้วย ซึ่งทำให้คุณสามารถฟังจากเสียงจากหน้าต่างที่คุณเลือกเอาไว้ หรือจะใช้การลากแถบสีที่ต้องการให้ระบบอ่านให้ฟังได้ รวมถึงยังเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาด้านสายตาอีกด้วย


Win + Page Up/ Page Down

ย้ายหน้าต่างโปรแกรมที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ให้แบ่งครึ่งหน้าจอไปอยู่แถบด้านบน เหมือนเป็นการ Split Window ด้วยการกดเพียง 2 ปุ่มเท่านั้น ซึ่งคุณจะเลือกโปรแกรมอื่นที่จะแบ่งครึ่งหน้าจอด้านล่างได้อีกด้วย นับว่าเป็นฟังก์ชั่นที่เหมาะกับสายทำงาน โดยเฉพาะงานเอกสาร เปรียบเทียบไฟล์คล่องตัวเลยทีเดียว ส่วนถ้าใช้ Win + Page Down จะเป็นเพียงการแบ่งครึ่งหน้าจอเท่านั้น แบบไม่ Fit สำหรับแบ่งใช้งานชั่วคราว


Win + Left Arrow/ Right Arrow

คีย์ลัดที่คล้ายกับฟังก์ชั่น Win + Page Up/ Down แต่จะต่างตรง เป็นการแบ่งหน้าจอ หรือ Split Window แบบครึ่งหน้าจอ ซ้าย-ขวา เป็นวิธีที่สะดวกมากๆ ในการใช้งาน เพราะคุณไม่ต้องใช้เมาส์คลิ๊กที่แถบบนของหน้าต่างโปรแกรม แล้วลากไปจรดกับแถบด้านข้าง วิธีนี้ระบบจะแบ่งให้ทันที ที่เหลือคุณแค่เลือกโปรแกรมที่ฝั่งหนึ่ง เอาไปแปะทางด้านซ้ายหรือขวาเท่านั้น เรียกว่าลดขั้นตอนไปได้เยอะทีเดียว


Ctrl + Shift + Esc

คีย์ลัด windows 10

เป็นตัวช่วยอย่างดี สำหรับคนที่ต้องการเช็คระบบได้ในทุกวัน รวมถึงการแก้ไขปัญหาในบางจุด เมื่อระบบทำงานผิดปกติ วิธีนี้จ่วยให้คุณเข้าสู่ Task Manager ซึ่งมีประโยชน์อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการ End Task โปรแกรมที่ทำงานผิดพลาด ค้างหรือเสียหาย การมอนิเตอร์ ซีพียู แรม Storage GPU และ Ethernet LAN ว่ามีโหลดทำงานดีหรือไม่ แรมครบมั้ย ซีพียูมีโหลดหนักเกินไปรึเปล่า รวมไปถึงการเช็ค Service ของวินโดว์ได้อีกด้วย


Win + Prt Sc

คีย์ลัดที่พาเข้าสู่โหมดจับภาพหน้าจอหรือการ Print screen เรียกว่าสายทำงาน หรือนักขายออนไลน์ผ่านพีซี โน๊ตบุ๊คต้องไม่พลาด งานนี้จับภาพหน้าจอแบบรัวๆ แล้วเก็บไว้ให้คุณทันที ไม่ต้องไป Save As หรือดาวน์โหลดไฟล์ให้วุ่นวาย เข้าไปที่ Screenshot ภาพทั้งหลายที่กด Capture เอาไว้จะไปอยู่ที่นั่นทั้งหมด ข้อดีคือไว แต่ข้อเสียคือ มาทั้งหน้าเดส์กทอป ส่วนไหนไม่ใช้ก็มาด้วย แต่ถ้าไม่เน้นรัวเร็วแบบนี้ ให้ไปใช้ Win + Shift + S แทนได้เลย


Win + Shift + S

เป็นการจับภาพหน้าจอ ซึ่งจะต่างจากการ Printscreen เล็กน้อย นั่นคือ ไม่ได้เป็นการจับภาพให้เลยทันที แต่จะมีเครื่องมือที่คล้าย Sniping Tool นั่นคือ จะมีให้เลือกว่า จะจับภาพในแบบใด เช่น Freeform เลือกตามใจชอบ ด้วยการลากเมาส์, Window จับหน้าจอโปรแกรม, Full-screen ทั้งหมดที่แสดงอยู่บนหน้าจอ หรือจะเลือกเป็น Regtangular เป็นกรอบเฉพาะตามที่ต้องการ ช่วยให้งานง่ายขึ้นเยอะ


Conclusion

คีย์ลัด windows 10

สำหรับคีย์ลัด windows 10 / คีย์ลัด windows 11 นี้ ใครที่จะใช้แนะนำว่าจดจำคีย์หลักๆ ที่ใช้บ่อยๆ ได้ 5-6 คีย์ ก็เรียกว่าใช้งานได้สะดวกมากขึ้นแล้วครับ เน้นไปที่ 2 ปุ่มง่ายๆ ก่อนก็ได้ เพราะแทบจะครอบคลุมการใช้งานพื้นฐานในชีวิตประจำวันได้เกือบหมด อย่างไรก็ดีสิ่งที่ต้องเพิ่มเติมก็คือ การปรับใช้ฟังก์ชั่นที่เราเลือกเปิดขึ้นมา อย่างเช่นใน Control Center หรือการ Split Window เป็นต้น เมื่อเปิดใช้งานแล้ว ก็ต้องลองดูว่าคุณใช้งานแบบไหน ง่ายและรวดเร็วมากที่สุด จะปรับแต่งหรือเลือกใช้ให้ตรงกับความต้องการได้อย่างไรเป็นต้น ฝากนำไปลองใช้กันครับ ได้ผลอย่างไรก็มาคอมเมนต์บอกเพื่อนๆ กันบ้างครับ

from:https://notebookspec.com/web/702672-shortcut-windows-10-11-2023

มาทำการล็อค Folder ที่คุณไม่อยากให้ใครมาเปิดบน Windows 11 กัน

ทำการล็อค Folder บน Windows 11 ด้วยวิธีการง่ายๆ แบบที่จะทำให้คนอื่นไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลลับที่คุณปกป้องเอาไว้ได้ แถมด้วยแอปล็อค Folder ที่ทำให้วิธีการง่ายขึ้นกว่าเดิม

วิธีล็อค Folder บน Windows 11
วิธีล็อค Folder บน Windows 11

รู้หรือไม่ว่าวิธีบน Windows 11 นั้นมีฟีเจอร์อะไรหลายๆ อย่างที่ซ่อนเอาไว้อยู่มาก บางฟีเจอร์นั้นก็ไม่เคยมีการเผยออกมาอย่างเป็นทางการจากทาง Microsoft เลยแม้แต่สักครั้งเดียว และในวันนี้เราจะขอแนะนำฟีเจอร์หนึ่งที่ถูกซ่อนไว้ใน Windows 11 อย่างการล็อค Folder ไม่ให้ใครเข้ามายุ่งกับข้อมูลลับของคุณที่คุณไม่อย่างเปิดเผยได้ซึ่งจริงๆ แล้วใน Windows 11 มีหลายวิธีในการล็อกโฟลเดอร์และปกป้องเอกสารของคุณแต่รับรองว่าวิธีที่เราเลือกมานั้นรับลองได้ว่าทำง่ายและขั้นตอนน้อยที่สุด

นอกไปจากนั้นแล้วเรายั้งมีแอปพลิเคชันสำหรับการล็อค Folder ที่ทำให้วิธีการล็อคนั้นง่ายกว่าเดิมขึ้นไปอีก วิธีการล็อค Folder บน Windows 11 จะเป็นเช่นไร และแอปพลิเคชันล็อค Folder ที่เราจะเอามาแนะนำให้ทุกท่านได้ทราบกันคืออะไรนั้นไปติดตามกันได้เลย

Advertisementavw


วิธีล็อคโฟลเดอร์ใน Windows 11 Pro โดยใช้การเข้ารหัส

A3 LockaFolderinWindows11 annotated ab08ab70ca7149929b4174c476167c61

หากคุณใช้ Windows 11 Pro คุณสามารถเข้ารหัสไฟล์ได้โดยตรงภายใน Windows แต่ถ้าหากคุณใช้ Windows 11 Home คุณจะไม่สามารถทำตามขั้นตอนเหล่านี้ได้และคุณจะต้องลองใช้วิธีอื่นแทน

ในการล็อกโฟลเดอร์ใน Windows 11 Pro โดยใช้การเข้ารหัสสามารถที่จะทำได้ดังต่อไปนี้

  • เปิด File Explorer และไปที่โฟลเดอร์ที่คุณต้องการล็อค
  • คลิกขวาที่โฟลเดอร์แล้วเลือก Properties
windows 11 lock folder properties
  • ภายใต้แท็บ General ให้คลิก Advanced
windows 11 lock folder advanced
  • ที่ด้านล่างของหน้าต่าง ให้เลือก Encrypt Content To Secure Data
3 encrypt data 550x480 1
  • คลิก OK
  • คลิก Apply เพื่อใช้การเปลี่ยนแปลงที่เลือกเอาไว้
EFS apply
  • ตัดสินใจว่าคุณต้องการใช้การเปลี่ยนแปลงกับโฟลเดอร์นี้เท่านั้นหรือใช้การเปลี่ยนแปลงกับโฟลเดอร์, โฟลเดอร์ย่อยและไฟล์นี้แล้วคลิกตกลง
5 choose data to encrypt
  • หากคุณยังไม่เคยดำเนินการมาก่อน คุณจะเห็นข้อความที่สนับสนุนให้คุณสำรองข้อมูลใบรับรองและคีย์การเข้ารหัสไฟล์ของคุณ คลิกสำรองข้อมูลทันทีและทำตามคำแนะนำเพื่อบันทึกสำเนาของคีย์การเข้ารหัสของคุณ
  • ป้อนรหัสผ่านที่รัดกุมแล้วคลิกตกลง
  • หากต้องการเข้าถึงโฟลเดอร์ที่ล็อก ให้ดับเบิลคลิกตามปกติ เมื่อได้รับแจ้งให้ป้อนรหัสผ่านของคุณ คุณจะสามารถเข้าถึงโฟลเดอร์ของคุณได้

วิธีล็อกโฟลเดอร์ใน Windows 11 โดยใช้ WinRAR

  • ดาวน์โหลดและติดตั้ง WinRAR
  • ไปยังโฟลเดอร์ที่คุณต้องการล็อคใน File Explorer
  • คลิกขวาที่โฟลเดอร์แล้วคลิก WinRAR
windows 11 lock folder winrar
  • ทำเครื่องหมายที่ Delete Files After Archiving มิฉะนั้น คุณจะมีทั้งไฟล์เก็บถาวรที่มีการป้องกันและโฟลเดอร์ที่ไม่มีการป้องกันในคอมพิวเตอร์ของคุณ
windows 11 lock folder delete files
  • คลิกตั้งรหัสผ่าน(Set Password)
windows 11 lock folder set password
windows 11 lock folder winrar password
  • ป้อนรหัสผ่านที่รัดกุมแล้วคลิกตกลง(OK)
  • ไฟล์ที่ถูกบีบอัดของคุณจะถูกสร้างขึ้น
windows 11 lock folder winrar enter password
  • หากต้องการเปิดโฟลเดอร์ที่เก็บถาวร ให้ดับเบิลคลิกใน Windows Explorer คลิกสองครั้งที่ชื่อโฟลเดอร์เพื่อดูไฟล์ที่มีอยู่ โดยจะต้องป้อนรหัสที่ตั้งไว้เพื่อทำการเปิด(อย่าลืมเด็ดขาด)
windows 11 lock folder extract to 640x246 1
  • เมื่อคุณป้อนรหัสผ่านที่ถูกต้องแล้ว ไฟล์ของคุณจะเปิดขึ้น
  • หากคุณตัดสินใจว่าไม่ต้องการล็อกโฟลเดอร์อีกต่อไป ให้เลือกโฟลเดอร์แล้วคลิก แยกไปยัง(Extract To)
windows 11 lock folder winrar extraction path
  • ป้อนตำแหน่งที่คุณต้องการแตกโฟลเดอร์และคลิกตกลง(OK)
  • คุณจะถูกถามรหัสผ่านอีกครั้งเมื่อคุณป้อนถูกต้องแล้วโฟลเดอร์ของคุณจะถูกแยกไปยังปลายทางที่เลือกและจะปลดล็อคอีกครั้ง
  • ตอนนี้คุณสามารถลบไฟล์ที่ถูกบีบอัด(นามสกุล .RAR) ได้หากไม่ต้องการอีกต่อไป

วิธีล็อคโฟลเดอร์ใน Windows 11 โดยใช้ Wise Folder Hider

มีแอปพลิเคชันจำนวนหนึ่งที่คุณสามารถใช้เพื่อล็อคโฟลเดอร์ได้ หนึ่งในนั้นที่เราอยากขอแนะนำก็คือ Wise Folder Hider เวอร์ชันฟรีที่ช่วยให้คุณซ่อนไฟล์และโฟลเดอร์ได้สูงสุด 50 MB หรือคุณสามารถอัปเกรดเป็นเวอร์ชันที่ต้องชำระเงินเพื่อซ่อนไฟล์และโฟลเดอร์ได้ไม่จำกัด ในการล็อคโฟลเดอร์ใน Windows 11 โดยใช้ Wise Folder Hider นั้นสามารถทำได้ตามนี้

  • ดาวน์โหลดและติดตั้ง Wise Folder Hider
  • เปิดแอป คุณจะได้รับแจ้งให้สร้างรหัสผ่านเพื่อเข้าสู่แอป เลือกรหัสผ่านที่รัดกุมและตรวจสอบให้แน่ใจว่าเป็นรหัสผ่านที่คุณจำได้
windows 11 lock folder wise password
  • หากต้องการล็อกโฟลเดอร์ใด ให้ลากและวางจาก Windows Explorer ในหน้าต่าง Wise Folder Hider
windows 11 lock folder wise 640x410 1
  • โฟลเดอร์ของคุณจะไม่แสดงใน Windows Explorer อีกต่อไป หมายความว่าไม่มีใครสามารถเปิดได้
  • หากต้องการเปิดโฟลเดอร์ของคุณอีกครั้ง ให้เปิดแอป Wise Folder Hider
  • คลิกที่โฟลเดอร์ของคุณแล้วคลิกลูกศรชี้ลงข้าง Open แล้วเลือก Unhide
windows 11 lock folder wise unhide 640x231 1
  • โฟลเดอร์ของคุณจะปรากฏขึ้นอีกครั้งใน Windows Explorer คุณจะสามารถเปิดได้ตามปกติ หากแก้ไขเสร็จแล้วและต้องการซ่อนอีกครั้งให้ทำตามขั้นตอนวิธีเดิม

ที่มา : cashify, windowscentral, lifewire, groovypost

from:https://notebookspec.com/web/706273-how-to-lock-a-folder-on-windows-11