Service Host Process หรือไฟล์ svchost.exe คืออะไรทำไมถึงใช้ทรัพยากรเครื่อง Windows หนักขนาดนั้น วันนี้เราจะมาไขปริศนาพร้อมบอกวิธีแก้ไขเบื้องต้นกัน
Service Host Process หรือไฟล์ svchost.exe
เชื่อว่าหลายๆ คนที่เคยเปิด Task Manager ดูนั้นจะสังเกตเห็นบริการหนึ่งที่ทำงานอยู่ตลอดเวลาซึ่งนั่นก็คือ Service Host Process หรือไฟล์ svchost.exe บางครั้งมันก็ทำงานแบบนิ่งๆ ไม่ใช้ทรัพยากรของเครื่องคอมพิวเตอร์ระบบปฎิบัติการ Windows เท่าไรนัก ทว่าในบางครั้งเจ้า Service Host Process หรือไฟล์ svchost.exe นี้ก็ใช้งานทรัพยากรของเครื่องสูงมากๆ ทั้งในส่วนของ CPU และ RAM
ในบทความนี้เราจะขอนำเสนอว่า Service Host Process หรือไฟล์ svchost.exe นั้นคืออะไร ทำไมมันถึงใช้ทรัพยากรของเครื่องหนักมากและคุณสามารถจัดการอะไรกับเจ้า Service Host Process หรือไฟล์ svchost.exe ได้หรือไม่ จะเป็นอย่างไรบ้างนั้นไปติดตามกันได้เลย
Service Host Process หรือ Svchost.exe เป็นชื่อกระบวนการโฮสต์ทั่วไปสำหรับบริการที่เรียกใช้จากไลบรารีไดนามิกลิงก์
ข้อความทางด้านบนนี้เป็นคำตอบของ Microsoft เกียวกับเรื่องที่มีคนถามว่า Service Host Process หรือ Svchost.exe คืออะไรแต่นั่นไม่ได้อธิบายอะไรเรื่องดังกล่าวนี้มากนัก ดังนั้นหากอยากจะพูดถึง Service Host Process หรือ Svchost.exe แล้วนั้นต้องย้อนกับไปเมื่อไม่นานมานี้ที่ทาง Microsoft ได้เริ่มทำการเปลี่ยนฟังก์ชันการทำงานของ Windows ส่วนใหญ่จากการใช้บริการ Windows ภายใน (หรือเรียกใช้งานบริการต่างๆ ที่ Windows ต้องการจากไฟล์ EXE) เป็นการใช้ไฟล์ DLL แทน
ดังนั้น Service Host Process (svchost.exe) จึงถือกำเนิดขึ้น เพื่อเป็นไฟล์กลางในการเรียกใช้งานบริการต่างๆ ที่อยู่ในรูปแบบของไฟล์ DLL ตามที่ Windows ต้องการ
ทำไมถึงมี Service Host หลายอันใน Task Manager
หากคุณเคยดู Services(หรือบริการโดยหลังจากนี้จะใช้คำว่าบริการแทน) ใน Control Panel คุณอาจสังเกตเห็นว่า Windows ต้องการบริการจำนวนมาก หากทุกบริการทำงานภายใต้ Service Host เดียว นั่นหมายความว่าหาก Service Host ล้มเหลวขึ้นมาแล้วล่ะก็ระบบปฎิบัติการ Windows ก็จะล้มเหลวไปด้วย ดังนั้นทาง Microsoft จึงได้ทำการแยก Service Host ออกมาเป็นหลายๆ ส่วนเพื่อให้ Service Host แต่ละอันควบคุมบริการต่างๆ ที่แตกต่างกันไปเช่น
Service Host ที่ให้บริการแตกต่างกันไปนั้นจะใช้เพื่อควบคุมการทำงานแยกกันอย่างชัดเจนตัวอย่างเช่น Service Host สำหรับควบคุม Network, Service Host สำหรับควบคุม UI หรือ Service Host สำหรับควบคุม Remote เป็นต้น
ด้วยความที่ Service Host Process หรือไฟล์ svchost.exe นั้นเป็นตัวเรียกในการทำงานบริการของระบบปฎิบัติการ Windows ทั้งหมด ดังนั้นจึงไม่แปลกที่มันจะใช้งานทรัพยากรของเครื่องคอมพิวเตอร์คุณในทุกๆ ส่วนไม่ว่าจะเป็น CPU, RAM, GPU หรือแม้กระทั่ง Network เองนั้น Service Host Process หรือไฟล์ svchost.exe ก็เรียกใช้ทรัพยากรดังกล่าวด้วยเช่นเดียวกัน
วิธีตรวจสอบ Service Host processes ใน Task Manager
สำหรับวิธีการดังตรวจสอบดูว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณมี Service Host processes อะไรทำงานอยู่บ้างนั้น คุณสามารถที่จะตรวจสอบได้ใน Task Manager ตามขึ้นตอนต่อไปนี้
คลิก Name เพื่อจัดเรียงตามชื่อและหยุดไม่ให้งานที่ทำอยู่โดดข้ามไปมา จากนั้นให้เลื่อนและค้นหา Service Host processes ที่ใช้งานอยู่ (คุณอาจต้องเลื่อนไปที่ด้านล่างใต้ Windows processes) จากนั้น คลิกขวาที่บริการที่คุณต้องการตรวจสอบ และเลือกไปที่ Go to details
ไฟล์ Service Host ที่คุณคลิกจะถูกเน้นในตารางใหม่ที่ Task Manager โหลดขึ้นมาซึ่งทางด้านขวาคุณจะเห็นการใช้งาน CPU และ RAM (หรือทรัพยากรอื่นๆ) ที่กระบวนการนั้นใช้อยู่
svchost.exe ปลอดภัยหรือไม่
Service Host Process หรือไฟล์ svchost.exe โดยปกติแล้วมักจะปลอดภัย ทว่าด้วยความที่มันเป็นไฟล์ระบบดังนั้นจึงทำให้แฮ็กเกอร์และอาชญากรไซเบอร์สามารถสร้างมัลแวร์ svchost เพื่อเลียนแบบ svchost.exes ของตัวระบบปฎิบัติการ Windows ขึ้นมาได้เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้ใช้งานสงสัยว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ของตัวเองโดนไวรัสหรือมัลแวร์เข้าให้แล้ว
โปรแกรมสแกนไวรัส บางโปรแกรมอาจจะเข้าไปตั้งค่าสถานะการทำงานของไฟล์ svchost.exe ของระบบปฎิบัติการ Windows ได้เนื่องจากไฟล์นี้สามารถเข้าถึงข้อมูลในส่วนอื่นๆ ของคอมพิวเตอร์คุณได้เกือบทั้งหมด
อาการของไวรัส Svchost นั้นจะเห็นได้จากการที่ตัวเครื่องใช้ทรัพยากรไม่ว่าจะเป็น CPU หรือ RAM สูงมากผิดปกติ
นอกไปจากนั้นยังมี System Host process ที่ชื่อ csrss.exe (Client Server Runtime Subsystem หรือ ระบบย่อยไคลเอ็นต์เซิร์ฟเวอร์รันไทม์) เองก็ใช้งานทรัพยากรมากจนทำให้ผู้ใช้ Windows บางคนกังวล แต่ถ้ามันไม่ใช่มัลแวร์หรือไวรัสคุณก็ไม่จำเป็นที่จะต้องกังวลไป วิธีการตรวจสอบด้วยตัวเองที่ง่ายที่สุดคือให้ดูตำแหน่งไฟล์นั้นจัดเก็บเอาไว้ตามวิธีการเดียวกับ svchost.exe หากไฟล์อยู่ใน “Windows\System32” ก็ไม่เป็นไรแต่ถ้าอยู่ที่อื่นคุณสามารถที่จะลบมันทิ้งได้ทันที
แม้ว่าไ Service Host process ส่วนใหญ่จะชื่อ svchost.exe แต่ไฟล์ .exe ประเภทอื่นที่เรียกว่า utcsvc.exe ก็เป็น Service Host process ประเภทหนึ่งเช่นกัน ซึ่งมันจะเกี่ยวข้องกับการใช้งาน CPU สูง บางครั้งซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสยังตั้งค่าสถานะไฟล์เหล่านี้เป็น PUP แม้ว่าจะไม่ได้รับการพัฒนาโดย Microsoft แต่ไฟล์ utcsvc ก็ได้รับการติดตั้งไว้ล่วงหน้าใน Windows และจัดอยู่ในประเภท Diagnostic Tracking Tool ที่โดยปกติจะไม่ค่อยได้ทำการเรียกใช้งานมากเท่าไรนัก(นานๆ จะถูกเรียกขึ้นมาใช้งาน)
เนื่องจากไฟล์ utcsvc สามารถเข้าถึงพื้นที่ที่ละเอียดอ่อนในคอมพิวเตอร์ของคุณได้ จึงมีโอกาสที่ไฟล์เหล่านั้นจะถูกใช้เพื่อแพร่กระจายมัลแวร์ได้ และเช่นเดียวกับภัยคุกคามบนโลกออนไลน์ทั้งหมด Windows Defender อาจจะไม่เพียงพอสำหรับการให้ความมั่นใจว่าคุณจะปลอดภัยบนโลกออนไลน์ ดังนั้นหากเป็นไปได้คุณควรที่จะติดตั้งโปรแกรมสแกนไวรัสเพิ่มเติมอย่างน้อยหนึ่งโปรแกรม(เลือกโปรแกรมที่ชอบและใช่สำหรับคุณ)
วิธีปิดการทำงาน svchost.exe
สำหรับปิดการทำงาน Service Host Process หรือไฟล์ svchost.exe นั้นโดยปกติแล้วเราไม่อยากแนะนำให้คุณทำเพราะมันอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวระบบปฎิบัติการ Windows ได้ ดังนั้นก่อนที่จะทำตามขั้นตอนนี้ขอให้คุณพึงระลึกไว้เสมอว่าการปิดการทำงาน Service Host Process หรือไฟล์ svchost.exe นั้นมีความเสี่ยง หากคุณพร้อมที่จะลองก็สามารถที่จะทำได้ตามขั้นตอนต่อไปนี้่
กด Ctrl + Shift + Esc เพื่อเปิด Task Manager
คลิกที่ Name เพื่อจัดเรียงกระบวนการที่ใช้งานอยู่ตามชื่อ แล้วให้ค้นหา Service Host process ที่คุณต้องการหยุดจากนั้น คลิกขวา และเลือก End task
อย่างที่เราได้เตือนไว้ การหยุด Service Host process ใดๆ นั้นอาจทำให้ระบบเกิดความผิดพลาดขึ้นได้ ดังนั้นก่อนที่จะทำให้คุณบันทึกงานของคุณทุกอย่างก่อนที่คุณจะทำการหยุดการทำงาน svchost.exe เพื่อความปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม Windows ไม่อนุญาตให้คุณหยุดการทำงาน svchost.exe ที่กำลังใช้งานโดยโปรแกรมที่เปิดอยู่ดังนั้นหากเป็นไปได้ควรปิดโปรแกรมทุกอย่างก่อนทั้งหมด
วิธีลบไวรัส svchost.exe
อย่างที่ได้บอกไปแล้วว่า Service Host Process หรือไฟล์ svchost.exe นั้นโดนผู้ไม่หวังดีลอกเลียนชื่อไฟล์เพื่อทำเป็นมัลแวร์และไวรัสเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นหากคุณตรวจสอบดูตามด้านบนแล้วว่าตัวไฟล์ svchost.exe ที่มีปัญหาไม่ได้อยู่ในโฟลเดอร์ “Windows\System32” ก่อนที่คุณจะทำการลบเองนั้นเราขอแนะนำให้ทำการสแกนไฟล์ดังกล่าวด้วยโปรแกรมสแกนไวรัส(หรือมัลแวร์) ที่คุณใช้งานก่อน
แต่ปัญหาบางครั้งก็คือไวรัสหรือมัลแวร์ที่ใช้ชื่อว่า svchost.exe บางตัวนั้นอาจจะบล๊อคไม่ให้คุณเข้าถึง Task Manager เพื่อทำการตรวจสอบหาไฟล์เจ้าปัญหาดังกล่าวนี้ได้ วิธีการที่ดีที่สุดคือคุณควรที่จะต้องเข้าสู่ Windows Safe Mode แล้วทำการรันโปรแกรมสแกนไวรัสจากใน Safe Mode หลังจากนั้นให้ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้เพื่อที่จะสั่งให้ Windows ซ่อมแซมไฟล์ระบบ
กดที่ปุ่มค้นหา(รูปแว่นขยาย) ที่ Task Bar แล้วพิมพ์ CMD คุณจะเจอกับ Command Prompt ให้คุณทำการคลิกขวาแล้วเลือก Run as administrator
หากใครเคยลง Windows ใหม่, แบ่ง partition ดิสก์ หรือสั่ง format แฟลชไดรฟ์น่าจะคุ้นเคยกับคำว่า NTFS กันมาบ้าง NTFS ย่อมาจาก New Technology File System เป็นระบบจัดการไฟล์บนคอมพิวเตอร์ที่พัฒนาขึ้นโดย Microsoft ตั้งแต่ปี 1992 ถูกใช้งานบน Windows หลายรุ่นมาจนถึง Windows 11 โดยอยู่เบื้องหลังการโยนไฟล์เข้าออกจาก SSD และฮาร์ดดิสก์ที่เราใช้กันเป็นปกติในปัจจุบัน (ควบคู่กับ FAT32 และ exFAT ที่ใช้กับพวก แฟลชไดรฟ์หรือ memory card)
NTFS ถูกใช้มานานและไม่ใช่ของใหม่สุดอีกต่อไป เพราะถัดมาในปี 2012 Microsoft ได้พัฒนาระบบที่ทันสมัยกว่ามาแทนที่ (นำ NTFS มาปรับปรุงเพิ่ม) ใช้ชื่อว่า ReFS ย่อมาจาก Resilient File System แปลตรงตัวตามชื่อคือระบบไฟล์ที่มีความยืดหยุ่น Microsoft เริ่มใช้ ReFS ครั้งแรกบน Windows Server 8 และใช้อยู่กับฝั่งเซิร์ฟเวอร์เป็นหลักมาตลอด ขณะที่ฝั่ง Client ก็เคยได้ใช้มาบ้างเช่น Windows 10 Pro แต่ก็ถูกถอดออกไปด้วยความไม่พร้อมหลายอย่าง
แต่ล่าสุด Microsoft ได้ตัดสินใจเอา ReFS มาใช้กับ Windows 11 ด้วยอีกครั้ง เพื่อให้เป็นอีกทางเลือกสำหรับการจัดการไฟล์บนตัว OS เพราะ ReFS มีข้อดีกว่า NTFS หลายด้าน โดยเฉพาะด้านความพร้อมใช้งานของไฟล์ที่เพิ่มขึ้น (ความเข้ากันได้ดีขึ้น ความผิดพลาดน้อยลง) และด้านการปรับขนาด (scale) ไฟล์ที่ทำให้ระบบจัดการกับขนาดข้อมูลใหญ่ ๆ ได้ดีกว่าด้วย
อย่างไรก็ตามแต่แล้วนั้นปัญหาดังกล่าวทั้งหมดนี้อาจจะมีสาเหตุอีกอย่างหนึ่งมาจากการที่เครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณเริ่มช้าเกินไปสำหรับระบบปฎิบัติการ Windows เวอร์ชันใหม่ ดังนั้นคุณควรดูสเปคความต้องการของ Windows เวอร์ชันที่คุณต้องการจะติดตั้งก่อนว่าเข้ากันได้กับสเปคเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณหรือไม่
Windows ระบบปฎิบัติการที่มีผู้ใช้มากที่สุดจาก Microsoft มีอายุมาอย่างยาวนานและมีออกมาให้ใช้หลายเวอร์ชั่น มาดูกันดีกว่าว่านับตั้งแต่ Y2K มาเราผ่าน Windows อะไรกันมาบ้าง
จัดอันดับ Windows ตั้งแต่ Y2K
เชื่อไหมว่าคุณสามารถบอกอายุของคนอื่นๆ ได้ด้วยการถามว่า Windows เวอร์ชันใดที่พวกเขาชื่นชอบ เพราะ Windows นั้นอยู่กับวงการคอมพิวเตอร์มาอย่างยาวนานและยังไม่จางหายไปได้อย่างง่ายๆ ในขณะที่หลายๆ คนอาจจะบอกว่า Windows นั้นเหมือนจะไร้คู่แข่ง แต่จริงๆ แล้ว Windows นี่แหละที่แข่งกันเองภายใน Microsoft
การจัดอันดับเวอร์ชันต่างๆ ของ Windows นั้นเป็นมากกว่ายุคของคอมพิวเตอร์ที่คุณเติบโตมา มีบางอย่างที่ร้ายแรงมากในแคตตาล็อกด้านหลังของ Microsoft เช่นเดียวกับที่มีชัยชนะอยู่ด้วยเช่นกัน แต่ไม่ว่าคุณจะมองย้อนกลับไปถึงการเปิดตัวครั้งร้ายแรงของ Microsoft ด้วยสายตาอย่างแท้จริงต่อความผิดพลาดของ Microsoft
Advertisement
จะยังไงก็แล้วแต่นี่คือ Windows ทุกเวอร์ชันที่จัดอันดับจากดีที่สุดไปหาแย่ที่สุดนับตั้งแต่ในยุค Y2K เป็นต้นมา มาดูกันว่าอันดับที่เรายกมานั้นจะตรงใจคุณไหม
จาก Windows 7 ที่สวยงาม, ประสบความสำเร็จและเป็นที่รัก Microsoft ทำในสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นคือ ทำทุกอย่างให้พัง การก้าวพลาดที่เห็นได้ชัดของ Windows 8 นั้นสมเหตุสมผลมากในการเข้าใจถึงปัญหาหลังเหตุการณ์ต้นปี 2010 เป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และรวดเร็วสำหรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยส่วนใหญ่เป็นเพราะความสำเร็จของสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต (โดยเฉพาะ iPhone และ iPad) ทุกอย่างจำเป็นต้องมีหน้าจอสัมผัส Microsoft มองไปที่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของธุรกิจซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ของ Apple โดยเฉพาะ App Store และกล่าวว่า “เราต้องการสิ่งนั้น”
ดังนั้น Windows เวอร์ชันที่แย่ที่สุดจึงถือกำเนิดขึ้น ระบบปฏิบัติการที่สร้างขึ้นสำหรับทั้งเดสก์ท็อปและโน๊ตบุ๊คแบบจอสัมผัสที่ไม่ได้เก่งในด้านใดด้านหนึ่ง ระบบปฏิบัติการที่ต้องการควบคุม(และขาย) แอปพลิเคชันทั้งหมดผ่าน Microsoft Store ใหม่ แม้ว่า Windows จะเป็นแพลตฟอร์มแบบเปิดก็ตาม
Microsoft พยายามแก้ปัญหา UI ที่เลวร้ายที่สุดของ Windows 8 กับ Windows 8.1 ในปี 2013 โดยใช้วิธี backpedaling เพื่อนำปุ่ม Start ของแถบงานกลับมา มันทำให้ Windows 8.1 ใช้งานได้มากขึ้น แต่ก็ยังเป็นการผสมผสานระหว่างอินเทอร์เฟซเดสก์ท็อปและแท็บเล็ตที่น่าอึดอัดใจ
การยอมรับที่ซบเซาสะท้อนให้เห็นตามที่ NetMarketshare ได้เผยส่วนแบ่งในตลาดของ Windows ภายในช่วงปี 2015 ก่อนที่ Windows 10 จะวางจำหน่ายพบว่า Windows 8 และ Windows 8.1 รวมกันมีส่วนแบ่งตลาดพีซีเพียง 14% ในขณะที่ Windows 10 สามารถที่จะผ่าน 14% ได้ภายในหนึ่งปี
Windows Me (2000)
ติดตั้งผ่านทาง(ตามมาตรฐานของ Microsoft)
1 CD-ROM
พื้นที่แหล่งเก็บข้อมูลที่ใช้หลังติดตั้ง
320MB
คุณทราบดีว่าไม่ใช่สัญญาณที่ดีเมื่อ Windows เวอร์ชันหนึ่งมีอายุการใช้งานน้อยกว่าหนึ่งปี Windows Millennium Edition เป็นชื่อที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริงสำหรับซอฟต์แวร์ชิ้นหนึ่งที่ล้าสมัย อย่างจริงจัง ME คือปี 2000 ซีดีการติดตั้งเป็นโฮโลแกรม(นี่มัน Y2K ชัดๆ)
Windows ME ถูกกำหนดให้เป็นตัวตายตัวแทนของ Windows 95/98 ในแง่ที่ว่ามันรวบรวมข้อบกพร่องและปัญหาทั้งหมดของเวอร์ชันเหล่านั้นและรวมเข้าด้วยกันเป็นระบบปฏิบัติการเส็งเคร็งอย่างสมบูรณ์แบบ ในทางปฏิบัติดูเหมือนว่าจะ Windows ME เหมือนกับ Windows 98 และไม่มีฟีเจอร์ใหม่ใดที่เปิดตัวมาชดเชยความไม่เสถียรที่น่าอับอายได้มากนัก Windows ME ทำให้ Windows 95 ดูเสถียรขึ้นมาเป็นอย่างมากเลยทีเดียวหากเอามาเทียบกัน
บางทีบาปที่ร้ายแรงที่สุดที่ ME กระทำคือการจำกัดการเข้าถึงของผู้ใช้ไปยัง DOS แม้ว่าจะเป็นระบบปฏิบัติการ Windows สุดท้ายที่สร้างขึ้นจาก DOS มันสิ้นสุดยุคที่ก้าวล้ำของ Windows ด้วยเสียงครวญคราง ทว่า Microsoft ก็แก้เกมด้วย Windows XP ที่มาพร้อมกับเสียงตอบรับโครมครามในอีกหนึ่งปีต่อมาได้อย่างงดงาม
Windows Vista (2006)
ติดตั้งผ่านทาง(ตามมาตรฐานของ Microsoft)
1 DVD
พื้นที่แหล่งเก็บข้อมูลที่ใช้หลังติดตั้ง
20GB
ทุกวันนี้หากมองย้อนกลับไปที่ Vista แล้วหลายๆ คนอาจจะมองมันด้วยความเห็นอกเห็นใจ เพราะจริงๆ แล้ว Vista ไม่สมควรได้รับคำวิจารณ์แย่ๆ เลย
Windows Vista มีปัญหาด้านประสิทธิภาพที่เจ็บปวดอย่างแน่นอนในตอนเริ่มต้น Vista นั้นต้องการฮาร์ดแวร์ระบบมากกว่า Windows XP อย่างหนัก และบางระบบที่ได้รับการขนานนามว่าสามารถใช้งาน Vista นั้นจริงๆ แล้วก็ยังไม่สามารถใช้งานได้อย่างที่ควรจะเป็น(หรือจะทำได้ก็ต่อเมื่อคุณปิดกราฟิกที่สวยงามทั้งหมด เช่น เอฟเฟ็กต์ความโปร่งแสงของ Aero)
Vista เป็นการยกเครื่องครั้งใหญ่ของระบบปฏิบัติการที่มาจาก XP เพราะ Vista ต้องการไดรเวอร์ใหม่ทั้งหมดแถมยังมีการปล่อยออกมาช้า นั่นหมายความว่าฮาร์ดแวร์บางตัวใช้งานไม่ได้กับ Vista(ในช่วงแรก) และหลายเกมทำงานได้แย่กว่า XP ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้ Vista เปิดตัวได้แย่มาก
ป๊อปอัปการควบคุมบัญชีผู้ใช้ที่ยอดเยี่ยม(UAC) คือสิ่งยอดเยี่ยมที่ทาง Microsoft พยายามเสนอ ทว่าผู้ใช้เกือบทุกคนเกลียดสิ่งเหล่านี้และไม่มีใครเข้าใจว่าเหตุใด Vista จึงครอบครองหน้าจอทั้งหมดของคุณเพื่อเตือนคุณทุกครั้งที่คุณพยายามเปลี่ยนการตั้งค่าในแผงควบคุมหรือเปิดโปรแกรม
แต่ภายใต้ข้อบกพร่องที่เห็นได้ชัดเหล่านี้ Vista ได้แนะนำคุณสมบัติใหม่จำนวนมากและดูล้ำสมัยเมื่อเทียบกับ XP มันยกเครื่องแทบทุกระบบ Windows จาก XP มันเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ เพื่อเป็นการตอบแทนสำหรับขั้นตอนนั้น คุณเพียงแค่ต้องทนกับเกมที่แย่ลง เครื่องพิมพ์ไม่ทำงานและป๊อปอัปรบกวนคุณตลอดเวลา
สิ่งที่ดีที่สุดที่สามารถพูดได้สำหรับ Vista คือการปรับปรุงพื้นฐานส่วนใหญ่ถูกนำกลับมาแทบไม่เปลี่ยนแปลงใน Windows 7 เพียงไม่กี่ปีต่อมา
Windows 98 (1998)
ติดตั้งผ่านทาง(ตามมาตรฐานของ Microsoft)
1 CD-ROM หรือ 38 floppy disks
พื้นที่แหล่งเก็บข้อมูลที่ใช้หลังติดตั้ง
255MB
เมื่อ Windows 98 มาถึง Microsoft ได้เปิดตัว Internet Explorer และพัฒนาเป็นเวอร์ชัน 4.0 ย้อนกลับไปในปี 1995 Microsoft เพิ่งเริ่มเข้าใจว่าอินเทอร์เน็ตอาจเป็นสิ่งที่จำเป็นจริงๆ แต่ก็ไม่สามารถทำให้ Internet Explorer เสร็จทันเวลาที่จะจัดส่งพร้อมกับการเปิดตัวครั้งแรกของ Windows 95 ภายในปี 1998 อินเทอร์เน็ตเป็นส่วนสำคัญของระบบปฏิบัติการระบบ (ต่อมาเป็นแรงผลักดันให้เกิดคดีต่อต้านการผูกขาดครั้งใหญ่) และ Windows 98 โดยรวมได้รับการออกแบบมาให้ดีขึ้นสำหรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
Windows 98 ดูค่อนข้างเหมือนกัน แต่แนะนำคุณสมบัติที่สำคัญบางอย่างที่เพิ่มขึ้นเช่น โมดูลไดรเวอร์ Windows และการรองรับ USB ที่ดีกว่า นอกจากนั้น Second Edition ของปี 1999 ได้ปรับปรุงระบบปฏิบัติการให้ดียิ่งขึ้น เมื่อมองย้อนกลับไป Windows 98 คือรุ่นก่อนของการอัปเดตตามฤดูกาลที่มีเนื้อหนังมากที่สุดของ Windows 10 หรือจังหวะการติ๊กต็อกของ Vista-to-7 และ 8-to-10 เพราะในความเป็นจริงแล้ว Windows 98 ไม่ได้แปลกใหม่ไปจาก Windows 95 แต่เป็นการอัพเกรดที่สำคัญที่ทำให้ระบบปฏิบัติการสามารถแข่งขันได้และเข้ากันได้กับฮาร์ดแวร์ล่าสุดในช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในยุคสมัยนั้น
Windows 11 (2021)
ติดตั้งผ่านทาง(ตามมาตรฐานของ Microsoft)
DVD 8GB, USB Flash drive และ Windows Update
พื้นที่แหล่งเก็บข้อมูลที่ใช้หลังติดตั้ง
25GB
เด็กใหม่ล่าสุดในกลุ่มนี้มีอะไรให้พิสูจน์อีกมาก แต่ก็ทิ้งร่องรอยเอาไว้แล้วจากการออกแบบเมนู Start และทาสก์บาร์ใหม่อย่างรวดเร็ว Windows 11 อาจมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับ Windows 8 แต่ก็ไม่เป็นเช่นนั้น อาจมีการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ แต่ Windows 11 เป็นวิวัฒนาการของ Windows 10 ดึงเอาอินเทอร์เฟซ Windows 7 รุ่นเก่าบางส่วนออกและทำให้ประสบการณ์โดยรวมมีความเป็นหนึ่งเดียวกันและน่าดึงดูดยิ่งขึ้น โดยหยิบยืมเอฟเฟกต์ความโปร่งใสจากคู่แข่ง Windows บางราย คุณยังสามารถเรียกใช้เดสก์ท็อปหลายเวอร์ชันพร้อมกัน สลับไปมาระหว่างเวอร์ชันต่างๆ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและการแบ่งส่วนหน้าจอได้อีกต่างหาก
แอปพลิเคชัน Android มีการรองรับ Windows 11 แบบเนทีฟ ทำให้เส้นแบ่งระหว่างตัวมันกับ Chrome OS รุ่นใกล้เคียงกันอีกครั้ง และแม้ว่า Microsoft Store จะไม่ได้เร่งรีบใน Windows 11 มากนัก แต่ก็ยังขยายออกไปด้วยการสนับสนุนใหม่สำหรับแอปพลิเคชัน Win32 เช่น Epic Games Store และ Firefox
ด้วย Windows 10 กลายเป็นบ้านของเกมเมอร์พีซียุคใหม่ Windows 11 จึงพยายามล่อใจพวกเขาด้วยคุณสมบัติใหม่สองสามอย่าง มีการเพิ่มประสิทธิภาพที่ดีขึ้นสำหรับการรันเกมในโหมดหน้าต่างและเพิ่มการรองรับสำหรับ AutoHDR และ DirectStorage
อาจใช้เวลาหลายปีกว่าที่ Windows 11 จะเข้ามาแทนที่ Windows 10 แต่หากอัตราการนำไปใช้ยังคงลดลง สักวันหนึ่ง Windows 11 จะกลายเป็นสิ่งที่น่าผิดหวังอันดับต้นๆ
Windows 2000 (2000)
ติดตั้งผ่านทาง(ตามมาตรฐานของ Microsoft)
1 CD-ROM
พื้นที่แหล่งเก็บข้อมูลที่ใช้หลังติดตั้ง
1GB
มี Windows หลายรุ่นที่ไม่รวมอยู่ในรายการนี้ เนื่องจากไม่สมเหตุสมผลเลยที่จะจัดอันดับ Windows Server 2003 มาร่วมกับทุกเวอร์ชันที่คนปกติใช้กันจริงๆ แต่ Windows 2000 เป็นข้อยกเว้น เนื่องจากเป็น Windows เวอร์ชันที่เน้นเวิร์กสเตชันเพียงรุ่นเดียวซึ่งลงเอยด้วยการใช้งานทั่วไป นอกจากนี้ยังเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในประวัติศาสตร์ของ Windows อีกด้วยต่างหาก
ในปี 2000 Microsoft ได้เปิดตัวทั้ง Windows Me (สร้างขึ้นบนฐานรหัส 95/98) และ Windows 2000 ซึ่งสร้างขึ้นบน Windows NT คุณสามารถฝังตัวเองเพื่อค้นหารายละเอียดทางเทคนิคและพยายามเรียนรู้ความแตกต่างระหว่าง Windows ทั้ง 2 นี้ แต่รายละเอียดที่บอกได้มากที่สุดคือเมื่อ XP เปิดตัวในช่วงปลายปี 2001 นั้นใช้เคอร์เนลของ Windows NT ซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดของ Windows ที่สร้างขึ้นบน MS-DOS
Windows 2000 ดูเหมือน Windows 95 และ 98 มาก แต่ภายใต้ผิวเผินคือระบบปฏิบัติการที่เสถียรกว่ามาก อัดแน่นไปด้วยคุณสมบัติที่จะทำให้มีความเกี่ยวข้องและใช้งานได้นานหลายปี
Windows 2000 สามารถไฮเบอร์เนตได้ Windows 2000 รองรับอุปกรณ์ USB มากมาย (และ Firewire) ด้วยปลั๊กแอนด์เพลย์ที่ใช้งานง่าย เริ่มต้นด้วยการสนับสนุน DirectX 7 และได้รับการอัปเดตเป็น 9.0c(ซึ่งยังคงเกี่ยวข้องกับการเล่นเกมจนถึงปี 2010)
Windows 2000 ได้เพิ่ม Event Viewer ซึ่งเป็นเครื่องมือบันทึกระบบที่คุณหวังว่าจะไม่ต้องใช้ แต่น่าจะชอบถ้าคุณเคย รองรับการเข้ารหัสและมีตัวจัดการดิสก์แบบลอจิคัลซึ่งเป็นกุญแจสำคัญสำหรับยุคที่การใส่ฮาร์ดไดรฟ์ใน RAID เป็นวิธีหลักในการเพิ่มความเร็วพื้นที่จัดเก็บ และ Windows 2000 ยังแนะนำคุณสมบัติการช่วยสำหรับการเข้าถึงที่มีมาอย่างยาวนาน รวมถึงแป้นพิมพ์บนหน้าจอและผู้บรรยาย หากไม่ใช่เพราะหน้าตาแบบธรรมดาของ Windows 2000 ไม่แน่ว่า Windows 2000 อาจได้รับความรักจากผู้ใช้งาน XP ไปเต็มๆ
Windows 10 (2015)
ติดตั้งผ่านทาง(ตามมาตรฐานของ Microsoft)
USB Flash drive 8GB+
พื้นที่แหล่งเก็บข้อมูลที่ใช้หลังติดตั้ง
20GB
Windows 10 ดำเนินไปได้ด้วยดี แน่นอนว่า Microsoft ได้ทำผิดพลาดบ้างในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จำได้ไหมว่าการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวทั้งหมดของผู้ใช้ถูกยกเลิกเมื่อเปิดตัว Windows 10 ยัง พยายามบังคับให้ผู้ใช้สั่งงานด้วยเสียงไปยัง Cortana เพื่อเข้าสู่ระบบปฏิบัติการและดำเนินการติดตั้งโปแกรมต่างๆ แม้ว่าจะดูเหมือนไม่มีใครต้องการก็ตาม นอกจากนั้นยังมีบางเมนูที่ไม่เปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่ปี 2005 แต่ส่วนใหญ่แล้ว เชื่อเหลือเกินว่า Windows 10 นั้นก็เป็นอีกระบบปฎิบัตการหนึ่งที่ผู้ใช้เลือกที่จะใช้อย่างเต็มใจ
ที่เป็ํนเช่นนั้นก็เพราะส่วนใหญ่ Windows 10 ทำงานได้ดี, รวดเร็วและอินเทอร์เฟซของ Windows 10 ค่อนข้างสะอาด อีกทั้ง Windows 10 ยังมีเมนู Start ที่ถูกเรียกร้องให้กลับมา(ถึงแม้จะไม่เหมือนเดิม) วิธีที่ผู้ใช้สามารถย้อมสีหน้าต่างของคุณและนำไปใช้อย่างสม่ำเสมอทั่วทั้ง UI นั้นเป็นสิ่งที่ดีจริงๆ เพราะมันหมายถึงการใช้งานที่ไม่ต้องเบื่อหน่ายเมื่อต้องอยู่หน้าจอในทุกๆ วัน
รูปถ่ายหน้าจอล็อกเหล่านั้นมีประโยชน์จริงๆ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้ใช้ต้องเข้าสู่ระบบทุกวัน) และ Microsoft ก็ทำได้ดีในการปรับตัวให้เข้ากับยุคการแสดงผลความละเอียดสูง ด้วยการปรับขนาดที่ส่วนใหญ่ใช้งานได้โดยไม่ต้องยุ่งยากมากเกินไป
จุดที่น่าผิดหวังที่สุดคงหนีไม่พ้น Microsoft Store ที่ห่วยแตกแถม Microsoft ยังไม่สามารถที่จะพยายามทำให้ผู้พัฒนาโปรแกรมหันไปพัฒนาโปรแกรมลงใน Microsoft Store ได้เหมือนเดิม
Windows XP (2001)
ติดตั้งผ่านทาง(ตามมาตรฐานของ Microsoft)
1 CD-ROM
พื้นที่แหล่งเก็บข้อมูลที่ใช้หลังติดตั้ง
1.5GB
คงไม่มี Windows เวอร์ชันใดที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและคลุมเครือมากไปกว่า XP เพราะไม่ว่าจะไปที่ในในยุคสมัยนั้นก็จะพบแต่ผู้คนที่ใช้งานมัน
Windows XP สามารถขายได้ประมาณ 500 ล้านชุดเมื่อ Microsoft เลิกสนับสนุนในปี 2014
Windows XP ทำให้ผู้ใช้รู้สึกเป็นส่วนตัวด้วยโปรไฟล์ผู้ใช้แต่ละคนและธีมสีน้ำเงินและสีเขียวตัวหนาที่คุณสามารถเปลี่ยนสกินใหม่ได้หากต้องการ สำหรับผู้คนหลายล้านคน XP ยังเป็นประตูสู่อินเทอร์เน็ตในยุคออนไลน์ที่เฟื่องฟูไม่ว่าจะเป็น AIM, MSN Messenger, Limewire, Winamp และ Myspace ล้วนเป็นส่วนสำคัญของยุค XP แม้ว่าในปัจจุบันจะล้มหายตายจากไปเกือบหมดแล้วก็ตาม
แต่ถ้ามองในมุม Microsoft แล้ว Windows XP อาจจะไม่ใช่ความทรงจำที่ดีนักเพราะทาง Microsoft ต้องโดนคดีต่อต้านการผูกขาดซึ่งนั่นหมายความว่า Microsoft ต้องแกะซอฟต์แวร์บางส่วนออกแทนที่จะรวมไว้ใน XP แต่ XP ยังคงมีซอฟต์แวร์ที่อัดแน่นอยู่มากมายทำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทั่วไปสามารถทำทุกอย่างที่ต้องการได้
Windows Movie Maker และ Windows Media Player นั้นยอดเยี่ยมในช่วงเวลานั้น คุณสามารถเบิร์นซีดีและดีวีดีได้โดยตรงจากตัวสำรวจไฟล์ Service Packs นำเสนอแนวคิดของการอัปเดตที่ดาวน์โหลดได้สำหรับ Windows ซึ่งทำให้ระบบปฏิบัติการดียิ่งขึ้น
นอกไปจากนั้นแล้ว XP ยังแก้ไขข้อบกพร่องและเพิ่มคุณสมบัติใหม่เช่นรองรับ USB 2.0 และโหมดความปลอดภัย wi-fi สิ่งนี้ช่วยยืดอายุการใช้งานของ Windows XP เป็นเวลาหลายปี(อาจนานกว่าที่ Microsoft ต้องการจริงๆ) ทำให้เป็น Windows เวอร์ชันที่คนส่วนใหญ่ใช้เป็นระยะเวลานานที่สุด
XP มีความเสถียร XP นั้นสะดวกสบาย เป็น Windows เวอร์ชันที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา… จนถึงปี 2009
Windows 7 (2009)
ติดตั้งผ่านทาง(ตามมาตรฐานของ Microsoft)
USB Flash drive 4GB+
พื้นที่แหล่งเก็บข้อมูลที่ใช้หลังติดตั้ง
20GB
ราชาแห่งกาลครั้งหนึ่งและอนาคตของ Windows
Windows 7 คือผู้ที่ช่วยชีวิตเราจากการควบคุมบัญชีผู้ใช้(UAC) ที่น่าสะพรึงกลัวของ Vista และปล่อยให้เราใช้ชีวิตอย่างอิสระในสรวงสวรรค์ที่ส่องประกายแวววาว มันเร็วและมีเสถียรภาพ มันทำทุกอย่างที่ Windows จำเป็นต้องทำ นอกไปจากนั้นยังมาพร้อมกับการยกระดับให้ระบบปฏิบัติการ Windows สวยขึ้นในขณะที่สามารถใช้งานง่ายขึ้นโดยไม่รบกวนประสบการณ์ที่สั่งสมมาหลายปี Aero ยังคงดูลื่นไหลในทศวรรษต่อมา แม้ว่าการออกแบบร่วมสมัยจะเปลี่ยนไปใช้การแรเงาสมัยใหม่ก็ตาม ปิดท้ายด้วยชุดรูปแบบที่ช่วยให้คุณปรับใช้รูปลักษณ์ที่สอดคล้องกันกับระบบปฏิบัติการทั้งหมดตามเดสก์ท็อปของคุณอย่างที่คุณต้องการ
ไลบรารีทำให้การจัดกลุ่มไฟล์เข้าด้วยกันง่ายขึ้นใน Windows Explorer ดังนั้นคุณจึงไม่ต้องสนใจการตั้งค่าโฟลเดอร์ “My Documents” แบบเก่า(และหักหน้าต่างไปที่ด้านข้างของหน้าจอ) Windows 7 อาจเป็นการเปลี่ยนแปลงประสิทธิภาพการทำงานที่ดีที่สุดที่ Microsoft ทำขึ้นในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา
สิ่งที่ทำให้ Windows 7 ยอดเยี่ยมนั้นจริงๆ มีอยู่แล้วใน Vista แต่ไมโครซอฟต์ได้กำจัดสิ่งที่หยาบกร้านเพื่อให้มันเปล่งประกายออกมา เพียงแค่กดปุ่ม Windows และพิมพ์ชื่อโปรแกรมที่ต้องการ การเปิดโปรแกรมใดๆ ก็ตามก็เป็นเรื่องง่ายที่ไม่ต้องมานั่งหากันให้ปวดหัวอีกต่อไป อีกทั้งยังเพิ่มแป้นพิมพ์ลัดสำหรับคุณสมบัติต่างๆ เช่น การสแนปหน้าต่างซึ่งทำให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
หาก Windows 10(หรือ Windows 11) เป็นเพียง Windows 7 ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ยกเว้นการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานและการอัปเดตสำหรับฮาร์ดแวร์สมัยใหม่ เชื่อเหลือเกินว่าอาจจะไม่มีใครอยากละทิ้งการใช้งานจาก Windows 7
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทาง Microsoft จะให้ Windows 7 เป็นมาตรฐานของระบบปฏิบัติการที่จะได้รับการปรับแต่งสำหรับฮาร์ดแวร์สมัยใหม่และความปลอดภัยในอนาคต
เนื่องจากระบบไฟล์หรือระบบปฏิบัติการมีหน้าที่ในการบีบอัดและคลายไฟล์ ผู้ใช้สามารถเข้าถึงและทำงานกับไฟล์ได้ แต่การทำงานนั้นจะขึ้นอยู่กับพลังการประมวลผลของ CPU ของคุณและโหลดงานที่ระบบปฎิบัติการใช้งานอยู่ คุณอาจจะไม่รู้สึกว่าประสิทธิภาพลดลงเลยก็ได้(หากเครื่องของคุณเร็วพอ)
เนื่องจากไดร์ฟ OS ของคุณมีไฟล์โปรแกรมต่างๆ ที่คุณใช้ทุกวัน การมีระบบไฟล์บีบอัดแบบโปร่งใสจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเครื่องในการอ่านและเขียนไฟล์อย่างต่อเนื่องแม้ในขณะที่บีบอัด
ปรับปรุงประสิทธิภาพ: ด้วยไฟล์ขนาดเล็กในไดรฟ์ OS ประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์อาจเร็วขึ้น เนื่องจากระบบสามารถเข้าถึงไฟล์ที่บีบอัดได้เร็วกว่าที่สามารถเข้าถึงไฟล์ที่ไม่บีบอัดได้ แต่เฉพาะเมื่อ CPU ไม่ทำงานเต็มประสิทธิภาพเท่านั้น
ขนาดการสำรองข้อมูลที่ลดลง: การสำรองข้อมูลไดรฟ์ OS ที่บีบอัดทำให้ไฟล์สำรองข้อมูลมีขนาดเล็กลง ประหยัดเวลาและพื้นที่จัดเก็บ
ถึงแม้จะฟังดูยอดเยี่ยม! แต่การบีบอัดพื้นที่ Harddisk ที่จัดเก็บ OS นั้นก็มีข้อเสียและแม้แต่ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการบีบอัดไดรฟ์ OS ของคุณ ก่อนที่จะทำการใดๆ นั้นคุณควรอ่านบทความนี้ให้จบก่อน
ความไม่เสถียรของระบบ: ไดร์ฟ OS ที่ถูกบีบอัดจะเพิ่มการประมวลผลอีกชั้นหนึ่งเพื่อเข้าถึงและเขียนข้อมูล ซึ่งอาจทำให้ระบบไม่เสถียรและล่มได้
ประสิทธิภาพการทำงานช้า: ในไดรฟ์ OS ที่มีการบีบอัด CPU ต้องใช้ทรัพยากรบางส่วนในการบีบอัดและคลายไฟล์ ซึ่งจะเพิ่มเวลาแฝงทุกครั้งที่พยายามเข้าถึงไฟล์ที่ถูกบีบอัดไว้(ให้นึกถึงภาพเวลาที่คุณจะใช้ไฟล์ๆ หนึ่งที่อยู่ในไฟล์นามสกุล RAR หรือ Zip ที่ก่อนจะใช้งานทุกครั้งคุณต้องแตกไฟล์ออกมาก่อน)
ไม่ใช่ทุกระบบปฏิบัติการที่รองรับการบีบอัดพื้นที่ Harddisk ที่จัดเก็บ OS เรามาพูดถึงสิ่งที่ทำได้ มาดูกันว่าระบบปฎิบัติการที่มีคนใช้ในปัจจุบันส่วนใหญ่ระบบปฎิบัติการไหนมีฟีเจอร์รองรับการบีบอัดพื้นที่ Harddisk ที่จัดเก็บ OS กันบ้าง
Windows
สำหรับ Windows 7 ขึ้นไป Microsoft ได้เปิดใช้งานการบีบอัดพื้นที่ Harddisk ที่จัดเก็บ OS ในตัวเองด้วยระบบไฟล์ NTFS ดังนั้น การบีบอัดไดรฟ์ C:/ ของคุณบน Windows จึงเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดเนื่องจากสนับสนุนการบีบอัดไดรฟ์ในตัวเอง สิ่งที่คุณต้องทำคือฟอร์แมตไดรฟ์ของคุณเพื่อใช้ NTFS จากนั้นอนุญาตการบีบอัดไฟล์แบบโปร่งใสโดยไปที่คุณสมบัติ(Properties)ของไดรฟ์ C: และทำเครื่องหมายในช่องที่ระบุว่า “บีบอัดเนื้อหาเพื่อประหยัดพื้นที่ดิสก์”(“Compress contents to save disk space.”)
Linux
สำหรับพีซีที่ใช้ Linux พวกเขาอาจใช้ระบบไฟล์ Brfts สำหรับการบีบอัดระบบปฏิบัติการ Brfts รองรับโดย Linux distros ยอดนิยมหลายตัว เช่น Arch Linux, Debian, Fedora, Ubuntu, Manjaro และ Red Hat
เซิร์ฟเวอร์ Linux อาจใช้ระบบไฟล์ ZFS ซึ่งรองรับโดย Fedora, Debian และ Cent OS
หากคุณใช้ Linux มาระยะหนึ่งแล้ว คุณควรจะสามารถบีบอัดพื้นที่ Harddisk ที่จัดเก็บ OS ของคุณได้อย่างง่ายดาย แม้ว่า Linux distros บางตัวจะรองรับ NTFS แต่ก็สามารถอ่านและเขียนข้อมูลได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนสิทธิ์
macOS
ขออภัยสำหรับ macOS การบีบอัดพื้นที่ Harddisk ที่จัดเก็บ OS ของคุณไม่ตรงไปตรงมาเหมือนกับ Windows และ Linux distros บางตัว แม้ว่า macOS จะรองรับการบีบอัดแบบโปร่งใสผ่าน HFS+ แต่ก็ไม่ได้ให้เครื่องมือแก่ผู้ใช้ในการดำเนินการดังกล่าว คุณจะต้องติดตั้ง Homebrew และใช้เครื่องมือของบริษัทอื่น เช่น afsctool เพื่อที่จะทำการบีบอัดพื้นที่ Harddisk ที่จัดเก็บ OS
คุณควรบีบอัดไดรฟ์ OS ของคุณหรือไม่
โดยทั่วไปไม่แนะนำให้คุณพื้นที่ Harddisk ที่จัดเก็บ OS เนื่องจากอาจทำให้ระบบไม่เสถียรและประสิทธิภาพการทำงานช้าลง
อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีอาจจำเป็นต้องบีบอัดไดร์ฟ OS ของคุณเพื่อเพิ่มพื้นที่ว่างและบีบประสิทธิภาพจากพีซีของคุณให้มากขึ้น
หากคุณใช้คอมพิวเตอร์รุ่นเก่า การบีบอัดพื้นที่ Harddisk ที่จัดเก็บ OS ควรเป็นความพยายามสุดท้ายเพื่อให้มีเครื่องที่ใช้งานได้มีพื้นที่ใช้งานเพิ่มอันเนื่องมาจากการที่คุณไม่มีทางเลือกจริงๆ
คอมพิวเตอร์สมัยใหม่อาจบีบอัดไดร์ฟระบบปฏิบัติการหากเครื่องมี CPU เร็วและฮาร์ดไดร์ฟช้า เนื่องจาก CPU ไม่ได้ถูกใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพด้วยเหตุผลจากข้อจำกัดของแบนด์วิธจากฮาร์ดไดรฟ์(คิดง่ายๆ เหมือนคุณใช้ CPU รุ่น Core i9-13900K แต่ใช้แหล่งเก็บข้อมูลเป็น Harddisk แบบจานหมุน) การให้ CPU ประมวลผลไฟล์ในเบื้องหลังน่าจะช่วยแก้ปัญหาคอขวดได้(แต่ก็ไม่แนะนำอยู่ดี)