ซีเกมส์ 2019 ประเทศฟิลิปปินส์ เริ่มวันที่ 30 พ.ย. 2562

สำหรับคนที่ติดตามมหกรรมกีฬาของชาติอาเซียน หรือ ซีเกมส์ ซึ่งในปีนี้ก็จะเวียนมาถึงอีกรอบกับ ซีเกมส์ 2019 โดยประเทศฟิลิปปินส์เป็นเจ้าภาพ พิธีเปิดซีเกมส์ 2019 นั้นจะเริ่มวันที่ 30 พฤศจิกายน 2562 และทำการแข่งขันกีฬาทั้งหมด 56 ชนิด

สนามกีฬาหลักที่ใช้ในพิธีเปิด ชื่อว่า ฟิลิปปินอารีนา

from:http://www.9tana.com/node/2019-seagames/

สลิงชอท กับหลักสูตร OMG แพลตฟอร์ม โค้ชชิ่ง ออนดีมานด์ พัฒนาความเป็นผู้นำในยุคดิสรัปชั่น

เห็นข่าวทุกวันนี้ก็รู้แล้วว่า โลกกำลังเปลี่ยนแปลง ผู้บริโภคก็เปลี่ยน และทำให้องค์กรธุรกิจต้องเปลี่ยน หรือที่เรียกว่า Business Transformation ถ้าไม่เปลี่ยนให้ทัน มีความเป็นไปได้สูงที่องค์กรจะไปไม่รอด

และจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุด คือ การพัฒนาบุคลากร โดยต้องเริ่มต้นจากผู้นำองค์กรเป็นอันดับแรก ถ้าผู้นำไม่เปลี่ยนจะให้พนักงานเปลี่ยนได้อย่างไร นี่คือจุดที่ บริษัท สลิงชอท กรุ๊ป จำกัด เข้ามาช่วยให้การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น กลายเป็นการพัฒนาองค์กรไปสู่อนาคต

ไม่เยอะ ไม่เน้นทฤษฎี แต่ต้องประยุกต์ใช้และปฏิบัติได้จริง

ดร.สุทธิโสพรรณ ช่วยวงศ์ญาติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สลิงชอท กรุ๊ป จำกัด บอกว่า องค์กรด้านให้คำปรึกษาและพัฒนาบุคลากรมีอยู่จำนวนไม่น้อย แต่สิ่งที่ สลิงชอท แตกต่างจากที่อื่น คือ การเป็นองค์กรที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อน ไม่ต้องใช้ทฤษฎีเยอะ แต่เน้นที่การประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ต่างๆ ได้ และต้องสามารถปฏิบัติได้จริง

ถือเป็นส่วนสำคัญที่องค์กรธุรกิจอยากเห็น และเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาบุคลากรในทุกระดับ ซึ่งหัวใจสำคัญคือ ต้องพัฒนาความเป็นผู้นำในพนักงานทุกคนให้เกิดขึ้น โดยไม่ต้องรอการเลื่อนขั้นในสายงาน เพราะองค์กรจะก้าวหน้าได้ ทุกคนต้องพร้อมจะก้าวไปด้วยกัน

ตลอด 15 ปี สลิงชอท จะเน้นออกแบบหลักสูตรร่วมกับลูกค้า เพื่อให้ได้หลักสูตรที่เหมาะสมกับองค์กรนั้นๆ ไม่ได้ใช้หลักสูตรแบบฝรั่งมาโดยตรง เพราะเป้าหมายของสลิงชอท คือ หลักสูตรการพัฒนา เพื่อนำพา องค์กรไทย และคนไทย ไปสู่ระดับสากล

จับมือพันธมิตร โกลบิช เปิด OMG แพลตฟอร์มโค้ชชิ่งออนดีมานด์

เพื่อสร้างแพลตฟอร์มการเรียนรู้ที่ทันสมัย ตรงกับความต้องการขององค์กรต่างๆ สลิงชอท ได้ร่วมมือกับ บริษัท โกลบิช อคาเดมีย (ไทยแลนด์) จำกัด สตาร์ทอัพด้าน EdTech ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มเรียนภาษาอังกฤษ ที่มีผู้ใช้งานกว่า 15,000 ราย เปิดตัว OMG แพลตฟอร์มโค้ชชิ่งออนดีมานด์   รายแรกในไทย

หลักสูตรแรกคือ “Coaching In Transition” การมีโค้ชระดับผู้บริหาร ที่มีประสบการณ์สูง คอยให้คำปรึกษาสำหรับยุค Digital Disruption ที่สำคัญคือ ทำได้แบบทุกที่ทุกเวลา (On-Demand) ถ้าต้องการคำปรึกษา คำแนะนำ หรือผู้ช่วยในการตัดสินใจ จนถึงการพัฒนาตัวเองในเวลาจำกัด

สิ่งที่ต้องทำคือจับคู่ หรือ Matching เวลาระหว่างโค้ชกับผู้รับการโค้ช ก็เข้าสู่ขั้นตอนการโค้ชได้ทันที ไม่เพียงแต่ทำลายข้อจำกัดเรื่องเวลาและสถานที่เท่านั้น ด้วยความเป็น On-Demand ผู้รับการโค้ชสามารถเปลี่ยนโค้ชระหว่างทางได้ เพื่อให้ได้คนที่ชอบ คนที่เคมีตรงกันจริงๆ 

ทั้งหมดเป็นไปตามหลักปรัชญาการดำเนินงานของสลิงชอท (Guiding Principles) คือ Simple (เรียบง่าย) Practical (ใช้ได้จริง) Effective (มีประสิทธิผล) และ Empathetic  (เข้าใจและยึดความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก)

6 ทักษะแห่งโลกอนาคตของผู้นำยุคใหม่

ดร.สุทธิโสพรรณ บอกว่า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในด้านต่างๆ ส่งผลให้โลกการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวันของทุกคนเปลี่ยนไปอย่างมาก ส่งผลให้ผู้นำและคนทำงานในทุกระดับต้องปรับตัวให้สอดรับกับลักษณะงานและรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนไป

สำหรับทักษะที่จำเป็นสำหรับการทำงานในอนาคต ได้แก่ 

  1. Creative Conception – ความสามารถในการก้าวข้ามกรอบความคิด เพื่อสร้างสรรค์สิ่งที่หลากหลายและแปลกใหม่ 
  2. Logical Investigation – ความสามารถในการใช้เหตุผลวิเคราะห์และสังเคราะห์เพื่อประเมินผล 
  3. Wicked-Problem Self-Efficacy -ความสามารถในการตรวจสอบและเลือกใช้ข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ ที่หลากหลายเพื่อแก้ไขปัญหาซับซ้อนที่เกิดขึ้น 
  4. Connectedness – ความสามารถในการเชื่อมต่อกับผู้อื่นและแสดงการตอบสนองระหว่างกันอย่างเหมาะสม เพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์และอยู่ร่วมกันอย่างที่ต้องการ 
  5. Virtual Collaboration – ความสามารถในการประสานงานและทำงานอย่างมีประสิทธิผล ผ่านช่องทางต่าง ๆ โดยไม่มีพรมแดนด้านพื้นที่และเวลา และ 
  6. Life-Long Learning Experimentation – ความสามารถในการเรียนรู้ พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องและสมัครใจ

นี่เป็นส่วนหนึ่งจากการศึกษาและวิจัยของ สลิงชอท และนำไปพัฒนาจนกลายเป็น OMG แพลตฟอร์มโค้ชชิ่งออนดีมานด์ ซึ่งเชื่อว่าจะแก้ Pain Point ให้กับองค์กรและผู้นำไทย ที่มีเวลาจำกัดในการคิดวิเคราะห์และตัดสินใจต่าง ๆ ในโลกยุคดิจิทัล ดิสรัปชั่น ที่แข่งขันกันที่ความเร็ว

ใครคือคนที่ควรสนใจ OMG แพลตฟอร์มโค้ชชิ่งออนดีมานด์

 นี่คือโลกยุค Business Transformation เกิด Digital Disruption ขึ้นทุกอุตสาหกรรม ดังนั้นกลุ่มที่ต้องให้ความสนใจคือ กลุ่มคนทำงาน นักธุรกิจ ผู้บริหารระดับกลางและสูง เจ้าของกิจการ ที่ต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในองค์กร

เร่ิมต้นโดย เริ่มนำหลักสูตร “Coaching in Transition” (สู่ก้าวที่แกร่ง) เป็นหลักสูตรแรกที่ลงในแพลตฟอร์ม และมีแผนที่จะพัฒนาหลักสูตรให้ครอบคลุมทั้งชีวิตในและนอกการทำงานของผู้นำไทย เช่น โค้ชสำหรับผู้บริหาร การโค้ชสำหรับธุรกิจ การโค้ชแนะนำอาชีพ และการโค้ชด้านการใช้ชีวิตและกิจกรรมที่สนใจ เช่น การโค้ชสำหรับพ่อแม่ และการโค้ชสำหรับนักกีฬา 

เบื้องต้น คาดว่าจะมีผู้นำองค์กรที่มาใช้บริการไม่ต่ำกว่า 300 ราย 

นายธกานต์ อานันโทไทย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โกลบิช อคาเดเมีย (ไทยแลนด์) จำกัด บอกว่า ความสำคัญของการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาผสมผสานกับการเรียนรู้ในองค์กร ซึ่งผู้เรียนมีความต้องการข้อมูลที่รวดเร็วและสามารถปรับแต่งให้ตรงตามความต้องการของแต่ละบุคคล ดังนั้น องค์กรจึงจำเป็นต้องปรับตัวด้วยการสร้างเครื่องมือที่ช่วยให้บุคลากรในองค์กรสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา

โกลบิช ได้ใช้จุดเด่นของการสอนภาษาอังกฤษแบบออนไลน์มาใช้ เช่น การโค้ชแบบตัวต่อตัวผ่านวิดีโอคอล มีสื่อการสอนต่างๆ มีระบบติดตามและประเมินผลการโค้ช ซึ่งจะเก็บข้อมูลในการโค้ชทั้งหมด ทำให้โค้ช ผู้ได้รับการโค้ช รวมไปถึงองค์กรสามารถติดตามข้อมูลจากการโค้ช เพื่อนำไปวิเคราะห์และสรุปผลได้อย่างครบถ้วน

สำหรับ สลิงชอท มีธุรกิจหลัก 3 ส่วน คือ Training – classroom and workshop โดยเรียนจาก case study ที่ใกล้เคียงลูกค้า, Consulting ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาผู้นำและองค์กร โดยลูกค้ามีส่วนร่วมในการคิดและทำ และ Coaching & Mentoring  – เรียนแบบ 1-1 กับผู้บริหาร ตั้งแต่เปิดบริษัทมามีผู้นำเข้าร่วมโครงการ/หลักสูตรกว่า 90,000 ราย

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/slingshot-omg-platform-coaching-on-demand/

Samsung แนะนำเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 45W ที่งาน MWC 2019 Shanghai อาจนำมาใช้กับ Galaxy Note 10

Samsung เปิดตัวเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 45 วัตต์ ต่อสาธารณะเป็นครั้งแรกที่งาน MWC 2019 Shanghai ขณะที่สมาร์ทโฟนของ Samsung ในปัจจุบันที่รองรับชาร์จเร็วที่สุด คือ Galaxy A series สนับสนุน 25 วัตต์ และเป็นสมาร์ทโฟนระดับกลาง

ก่อนหน้านี้ Samsung เคยประกาศว่า กำลังพัฒนาเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 100 วัตต์ ด้วยชิป SE8A และ MM101 สำหรับควบคุมการส่งพลังงานผ่านพอร์ต USB Type-C ทั้งคู่ถูกสร้างในรูปแบบ eFlash สามารถจ่ายพลังงานได้สูงถึง 20V 5A

อย่างไรก็ตาม คาดว่าเรือธงรุ่นถัดไปอย่าง Galaxy Note 10 จะสนับสนุนเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 45 วัตต์ ซึ่งเร็วกว่า 3 เท่า เมื่อเทียบกับ 15 วัตต์ ของ Galaxy S10

ที่มา – Gizchina

from:https://www.flashfly.net/wp/257800

ลุ้น GeForce RTX 2070 SUPER series รุ่นใหม่ แรงเร้าใจ ไม่แพง

nVIDIA น่าจะมีการยืนยันราคา SKU ของการ์ดจอ Turing refresh ใหม่ล่าสุดออกมาแล้วในไลน์ที่เราได้ยินข่าวกันมาคือ SUPER เพื่อเป็นการปรับทัพรับการมาของ AMD Navi รุ่นใหม่ ที่ยกขบวนกันเข้าสู่ตลาด ด้วยกระบวนการผลิตที่ 7nm และราคาที่เคาะออกมาเป็นมิตรกับเงินในกระเป๋าเกมเมอร์ โดยในไลน์ของ SUPER เช่น RTX 2070 SUPER นี้ คาดว่าจะพร้อมให้สัมผัสกันในได้ในช่วง กรกฎาคม 2562 นี้แล้ว

RTX 2070 SUPER

สนนราคาที่ดูคร่าวๆ จากตารางของ Techpoweruo นั้น เริ่มต้นที่ 399USD (ราวๆ 12,700 บาท) สำหรับ RTX 2060 SUPER ที่มาพร้อม GDDR6 256-bit 14Gbps ในส่วนของ RTX2070 SUPER อยู่ที่ 499USD (ประมาณ 16,000 บาท) และรุ่นท็อปสุด RTX 2080 SUPER ให้แบนด์วิทธิ์สูงระดับ 256-bit (512GB/s) กับ GDDR6 8GB เคาะอยู่ที่ 699USD หรือประมาณ 22,000 บาท เรียกว่าใกล้เคียงกับรุ่นพี่ RTX 2080 Ti แต่ราคาต่างกว่าราว 300USD เลยทีเดียว

RTX 2070 SUPER

สังเกตได้ว่าตลาดที่แข่งขันกันสนุกในเวลานี้ น่าจะอยู่ที่ RTX 2000  SUPER และ RTX 2070 SUPER เพราะราคาแตะที่ราว 16,000 บาท ซึ่งเป็นราคาคาดการณ์สำหรับ AMD RX5700 และ RX5700XT แน่นอนว่า เมื่อในช่วงที่จะวางตลาดพร้อมๆ กันแบบนี้ น่าจะทำให้เหล่าเกมเมอร์ได้สนุกกันมากขึ้น แม้ว่าผลทดสอบจะยังไม่ออกมาอย่างชัดเจนในช่วงนี้ เพราะต้องรอหลังวันที่ 7 กรกฎาคม ตามที่ AMD วางไว้ แต่ก็ไม่แน่ว่าอาจจะมีเซอร์ไพรซ์จาก nVIDIA มาให้ลุ้นกันก็ได้ อย่างไรก็ดีใครที่กำลังคิดจะซื้อการ์ดรุ่นใหม่ รอเช็คราคากันอีกครั้ง เพื่อความมั่นใจ

ที่มา: RTX 2000  SUPER

from:https://notebookspec.com/vga-geforce-rtx-2000-super-series/486808/

[Short review] หนังสือเล่มเก่าที่คุ้นเคย: Strengths Finder 2.0

เมื่อ 3 ปีก่อน ผมจำได้ว่ามีเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งถามผมแบบทีเล่นทีจริงว่า “พี่ปองเอาเวลาที่ไหนเขียน Blog ครับ” ผมตอบเขาแบบกวนๆ ไปว่า “จัดเวลามาเขียนครับ” ซึ่งผมหมายถึงอย่างนั้นจริงๆ คนที่ไม่มีเวลาเขียนหนังสือ ก็แสดงว่าไม่ได้มองว่าการเขียนหนังสือเป็นเรื่องสำคัญ แล้วตอนนั้นผมมองว่า thumbsup มันเป็นหัวจิตหัวใจของผมกับเพื่อนๆ มันเป็นพื้นที่ที่เราได้แสดงออก การเขียนจึงสำคัญกับผมมาก (ผมก็เลยมีเวลาไง) แต่พอมาถึงปีนี้ ผมกับเพื่อนๆ ที่ thumbsup ส่งไม้ต่อให้ The Zero บวกกับผมต้องทำหน้าที่ขับเคลื่อนบริษัทอื่น การเขียนก็ลดน้อยลง แต่อย่างไรเสีย ผมก็พบว่าการที่ผมเขียนน้อยลง ทำให้ผมมีเวลาอ่านมากขึ้นเช่นกัน และแน่นอนว่ารวมถึงหนังสือเก่าที่เราเคยอ่านผ่านๆ แต่พอกลับมาอ่านอีกรอบกลับได้เรียนรู้สิ่งใหม่จากมันมากเหลือเกิน หนึ่งในเล่มที่ผมเอามาเล่าวันนี้ก็คือ Strengths Finder 2.0 โดย Tom Rath ครับ

Strengths Finder 2.0 เป็นหนังสือที่ออกมาตั้งแต่ปี 2007 เนื้อหาภายในจะประกอบไปด้วยคำอธิบายคุณสมบัติของมนุษย์ พร้อมกับแบบทดสอบออนไลน์ สิ่งที่เราจะต้องทำก็คือตอบคำถามเชิงจิตวิทยาต่างๆ เมื่อทำเสร็จ ระบบจะระบุออกมาว่าเรามีคุณสมบัติอะไรที่ถือว่าเป็นจุดแข็งบ้าง โดยเบื้องต้น Report ที่เราจะได้เขาจะดึงเอา 5 คุณสมบัติเด่นจากทั้งหมด 34 คุณสมบัติ ผมแนะนำว่าคุณควรลองจ่ายเงินเพิ่มเติมอีก 50 เหรียญ เพื่อซื้อ Report ทั้ง 34 คุณสมบัติ เพราะมันจะทำให้เรามองเห็นว่าตัวเรามีคุณสมบัติใดเป็นจุดแข็งของเราบ้าง

แต่ปัญหาของผมอย่างหนึ่งก็คือลองจ่ายเงินอีก 50 เหรียญไปแล้วแต่ยังอ่านไม่แตก ก็เลยลองไปเข้า Workshop กับคุณป้อม ศิวัตร (เขาจัดคอร์สชื่อ Better Way is your Way ครับ ในบ้านเราก็มี Coach ที่ได้ใบรับรองจากทาง Gallup อยู่หลายท่านนะครับ คุณป้อมเป็นคนหนึ่ง) ปรากฏว่าเข้าใจมากขึ้นเยอะครับ เช่น ตัวผมเองได้คุณสมบัติอย่างหนึ่งคือ Input (นักสะสม – เป็นคุณสมบัติที่บอกว่าผมเป็นคนที่ชอบหาและจัดเก็บข้อมูล การพัฒนาความชำนาญและการเข้าถึงความรู้ของผมจะช่วยให้ผมตัดสินใจได้อย่างน่าเชื่อถือบนพื้นฐานของข้อมูลที่ครบถ้วน) เป็นหนึ่งในจุดแข็ง และในหนังสือเล่มนี้เขาจะมีสิ่งสำคัญที่เรียกว่า Ideas for action กับ Working with others who have ‘ชื่อคุณสมบัติ’ มาด้วย

Ideas for action 

Ideas for action คือคำแนะนำที่ไม่ใช่แค่ concept แต่จะบอกเลยว่าถ้าคุณมีคุณสมบัตินี้เป็นจุดแข็ง คุณควรพัฒนาในภาคปฎิบัติอย่างไร คุณควรเลือกอาชีพอะไร คุณควรหาเพื่อนที่มีจุดแข็งแนวไหน และบอกอีกครับว่าผมเป็นแนวชอบอ่าน แต่ชอบอ่านไปหมด อ่านไปเรื่อย ซึ่งถ้าหากเราอ่านแต่ไม่มี Focus ก็จะทำให้ความรู้ที่ได้กระจัดกระจาย ดังนั้นจึงควรที่จะตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนว่าจะอ่านไปทำไม

Working with others who have ‘ชื่อคุณสมบัติ’ (ในกรณีของผมคือ Input)

คำแนะนำว่าถ้าจะทำงานกับคนที่มีคุณสมบัติ Input จะต้องทำอะไรบ้าง ซึ่งคนที่มี Input แบบผมก็จะเป็นคนที่ต้องการข้อมูลข่าวสารล่าสุด ส่งหนังสือ ส่งบทความที่ผมน่าจะชอบอ่านก็จะทำให้ทำงานกับผมราบรื่นขึ้น เป็นต้น

จุดสำคัญที่ไม่อยากให้พลาดคือ คนโดยทั่วไปที่ซื้อหนังสือเล่มนี้จะได้ Report ที่ระบุแค่ 5 คุณสมบัติ แต่ถ้าคุณมีเวลา คุณควรลงไปทั้ง 34 คุณสมบัติครับ เพราะแต่ละคนมันจะเรียงไม่เหมือนกัน ผมก็จะเรียงอย่างหนึ่ง แต่ถ้าคุณมาทำแบบทดสอบ มันก็จะเรียงลำดับไม่เหมือนกัน และเมื่อคุณได้ทั้ง 34 คุณสมบัติมาแล้ว คุณควรจะใช้เวลาในการอ่านคุณสมบัติสักประมาณ 10 คุณสมบัติแรกให้แตก ซึ่งคำว่า “อ่านให้แตก” คือการที่เราอ่านคำอธิบายคุณสมบัติแต่ละอัน ถ้าหากว่าคุณทำแบบทดสอบด้วยใจจริง ด้วยความตั้งใจ ส่วนใหญ่มันจะออกมาตรงครับ อยากให้คุณขีดเส้นใต้ในสิ่งที่มันระบุความเป็นตัวตนของคุณมากที่สุด

อย่างของผมเองก็จะมีอีกคุณสมบัติหนึ่งก็คือ ‘Intellection’ หรือ ‘นักคิด’ อันเป็นคุณสมบัติของคนที่ชอบคิดไตร่ตรอง หนึ่งในคำแนะนำที่ผมไม่เคยคิดมาก่อนก็คือคนที่ชอบใช้ความคิดเงียบๆ แบบผมมักจะตกตะกอนความคิดด้วยการเขียน ดังนั้นในแต่ละวันก็จะมีคำแนะนำว่าผมควรจะหาเวลาเขียนสิ่งที่ตัวเองคิดออกมาเพื่อเชื่อมโยงความคิดเพื่อทำให้มันชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งมันเป็น tips ที่ค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว

นะ ก็ประมาณนี้ครับ รีวิวกันสั้นๆ ผมว่าคุณเองก็คงเคยอ่านผ่านๆ มาแล้ว แต่แนะนำให้เอามันมาปัดฝุ่นอ่านอีกครั้ง อ่านให้แตก อ่านให้ละเอียด แล้วคุณจะได้กับตัวเองมากๆ เลยล่ะครับ

หมายเหตุ: Strengths Finder 2.0 โดย Tom Rath มีแปลภาษาไทยแล้ว อ่านง่ายอ่านคล่อง แต่ถ้าอยากอ่านย้ำๆ ซ้ำๆ แนะให้อ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษเพราะคำในต้นฉบับหลายๆ คำสื่อได้ง่าย

บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ ที่ผมคิดว่าเขาเขียนได้ดี และอยากให้คุณไปอ่านเพิ่มเติม

StrengthsFinder : เครื่องมือช่วยค้นหาจุดแข็งในตัวคุณ – School of Changemaker

รีวิวหนังสือ StrengthsFinder 2.0 พร้อมประสบการณ์งานสัมมนาที่ได้เข้าร่วม – Cocojourney

รีวิวหนังสือ Strengths Finder 2.0 ใน thumbsup – thumbsup

สรุปหนังสือ จาก Workshop ในโครงการ ChAMP ของคุณเกรียงศักดิ์ นิรัติพัฒนะศัย จาก Slideshare ของคุณเกรียงศักดิ์

from:https://www.thumbsup.in.th/2019/06/relearn-strengths-finder-2/

เคล็ดลับ 7 ประการในการปรับแต่งประสิทธิภาพของ “จาวา”

ไม่ว่าคุณกำลังมองหาทิปในการปรับแต่งประสิทธิภาพของโปรแกรมจาวาที่ทำได้ง่าย เพื่อตอบสนองความอยากเรียนรู้ หรือมีประสบการณ์ด้านการพัฒนาโปรแกรมมากขึ้น หรือเพื่อเปลี่ยนแปลงขั้นตอนการปรับแต่งเดิมที่ปัจจุบันซับซ้อนเกินไปก็ตาม

ทาง Hackread.com ได้รวบรวมแนวทางที่ทำได้ง่ายในการเรียนรู้วิธีสร้างและปรับแต่งแอพพลิเคชั่นให้ดูดี และรันการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพไว้ดังต่อไปนี้

1. หลีกเลี่ยงการปรับแต่งที่มากเกินไป
พยายามยึดหลักการปฏิบัติที่ดีที่สุดในการปรับแต่งประสิทธิภาพของแอพพลิเคชั่นอยู่เสมอ มิเช่นนั้นคุณอาจจะพบกับความเสี่ยงจากการปรับแต่งประสิทธิภาพของแอพพลิเคชั่นมากเกินไปก็ได้ หรืออีกนัยหนึ่งคือ พยายามอย่าจัดการเกี่ยวกับประสิทธิภาพนอกจากจะจำเป็นจริงๆ

การปรับแต่งแก้ไขด้านประสิทธิภาพไปก่อนล่วงหน้ามักทำให้โค้ดซับซ้อนจนจัดการดูแล หรือแม้แต่ตีความอ่านโค้ดได้ยากขึ้นในระยะยาว จนสุดท้ายกลับเป็นการลดความสามารถการใช้งานของแอพพลิเคชั่นแทน

นักพัฒนาซอฟต์แวร์มักใช้เวลามากเกินไปกับการกังวลด้านประสิทธิภาพแอพพลิเคชั่นมากกว่าเรื่องของความง่ายหรือสะดวกสบายในการใช้ ซึ่งถือเป็นความผิดพลาดที่สำคัญ จนอาจกระทบกับเงินลงทุนปริมาณมหาศาลของบริษัทได้

2. ค้นหาจุดที่จำเป็นต้องพัฒนาในแอพพลิเคชั่น
เราจะไม่สามารถยกระดับประสิทธิภาพของแอพพลิเคชั่นได้ถ้ายังไม่แน่ใจว่าปัจจุบันเรากำลังต้องการอะไรกันแน่ รวมไปถึงความไม่แน่ใจเกี่ยวกับจุดที่จะเริ่มต้นพัฒนาด้วย นักพัฒนาบางคนดูจากโค้ด ขณะที่บางคนอาจเลือกวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมด้านประสิทธิภาพแทน

การใช้ทูล Profiler จะช่วยทำให้ได้ความเข้าใจที่แม่นยำเกี่ยวกับปัญหาต่างๆ ที่จะเปิดช่องให้สามารถจำกัดความสนใจในบริเวณที่สำคัญอย่างแท้จริง

3. ใช้ประโยชน์จากชุดทดสอบประสิทธิภาพ
กุญแจสำคัญคือการลดจำนวนปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งเป็นเหตุผลที่คุณควรสร้างและใช้ชุดทดสอบประสิทธิภาพเพื่อยกระดับการใช้งาน คุณจำเป็นต้องใช้ชุดทดสอบนี้เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพแอพพลิเคชั่นในภาพรวมมากกว่าวัดแค่ฟีเจอร์ใดฟีเจอร์หนึ่ง

4. จัดอันดับคอขวด
หลังจากประเมินความต้องการของแอพพลิเคชั่น พร้อมทดสอบผ่านชุดทดสอบตามแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดแล้ว คุณจำเป็นต้องสร้างรายการปัญหาด้านประสิทธิภาพที่ต้องการพัฒนา แม้หลายคนมักถูกจูงใจให้ทำงานเล็กๆ ก่อน คุณก็ต้องเริ่มจากคอขวดที่สำคัญมากที่สุดก่อนเสมอ

5. จัดความสำคัญของระดับบันทึก Log ขนาดใหญ่
นักพัฒนามักมองข้าม Log Level ในปัจจุบัน แทนที่จะเลือกมองข้ามโค้ดแล้วมาให้ความสำคัญกับงานที่ทำได้ชัดเจนกว่าอย่างการสร้างข้อความดีบั๊ก ซึ่งถ้าไม่ได้จัดการตามขั้นตอนนี้แล้ว อาจทำให้ได้ข้อความ Log ที่ถูกมองข้ามไปในที่สุด

6. ใช้ StringBuilder ในการเชื่อมต่อสตริง
จาวานั้นมีหลากหลายวิธีในการเชื่อมต่อสตริง ซึ่งรวมถึง StringBuilder ที่เปิดให้อ๊อพเจ็กต์ที่เป็นสตริงถูกปรับแต่งได้ ถ้าคุณเชื่อมต่อสตริงของโค้ดอยู่ ก็สามารถใช้ทูลนี้ในการสร้างลูปงานเพื่อยกระดับประสิทธิภาพได้

7. แคชทรัพยากรที่มีมูลค่าสูง
นักพัฒนามักใช้การแคชเป็นวิธีแก้ปัญหาเพื่อหลีกเลี่ยง Code Snippet ที่มีมูลค่าสูง ดังนั้นจึงควรใช้เวลาในการแคชทรัพยากรต่างๆ ที่มีการใช้งานอยู่เป็นประจำ การนำทรัพยากรที่ราคาแพงกลับมาใช้ซ้ำนั้นถือเป็นวิธีที่ดีกว่าการเสียเวลาและเงินลงทุนพัฒนาสร้างทรัพยากรใหม่ทุกครั้งที่ต้องการ

ที่มา : Hackread

from:https://www.enterpriseitpro.net/7-easy-to-use-java-performance-tuning-tips/

เดอะมอลล์ กรุ๊ปเอาจริง! ประกาศงดให้ถุงพลาสติก อยากใช้ต้องจ่ายใบละ 1 บาท

เดอะมอลล์ กรุ๊ป ประกาศตัวเป็นห้างสรรพสินค้าและซูเปอร์มาร์เก็ต ปลอดถุงพลาสติกแห่งแรกในประเทศไทย ดีเดย์ พร้อมกันทุกสาขา 3 กรกฎาคม ถ้าลูกค้าต้องการใช้ ต้องเสียใบละ 1 บาท

ในปีนี้ได้เห็นทิศทางของห้างค้าปลีกต่างออกนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม การงดใช้ถุงพลาสติกจริงจังหลายแห่ง ก่อนหน้านี้กลุ่มเซ็นทรัลก็ได้ประกาศงดให้ถุงพลาสติกทุกกลุ่มธุรกิจในเครือ แต่กลุ่มซูเปอร์มาร์เก็ตยังคงให้บริการอยู่

ล่าสุดบริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัดเอาจริงกับเรื่องถุงพลาสติก ได้ประกาศตัวเป็นว่าเป็นห้างสรรพสินค้า และซูเปอร์มาร์เก็ต ปลอดถุงพลาสติกแห่งแรกในประเทศไทย

พร้อมเปิดตัวโครงการ เดอะมอลล์ กรุ๊ป โก กรีน (THE MALL GROUP GO GREEN) ;  GREEN EVERYDAY ซึ่งจะงดบริการถุงพลาสติกทุกวัน และรณรงค์ให้ลูกค้านำถุงผ้ามาช้อปปิ้ง

ความน่าสนใจอยู่ที่เงื่อนไขในการให้บริการถุงพลาสติก “หากลูกค้ามีความจำเป็นใช้ถุงพลาสติก ขอความร่วมมือบริจาค1 บาท ต่อถุงพลาสติก 1 ใบ” เพื่อนำไปสนับสนุนการทำงานด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมร่วมกับ WWF-ประเทศไทย

นั่นแสดงว่าเดอะมอลล์ กรุ๊ปจริงจังกับนโยบายนี้มาก เพราะค้าปลีกในประทเศไทยยังไม่มีใครกล้าหักดิบงดแจกถุงพลาสติก แล้วเก็บค่าใช้จ่ายกับลูกค้าแม้แต่รายเดียว มีแต่ขอความร่วมมือ หรือรณรงค์เสียมากกว่า

มาตรการนี้มีการใช้ในทุกกลุ่มธุรกิจทั้ง ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ ทุกสาขา, ดิ เอ็มโพเรียม, ดิ เอ็มควอเทียร์, พารากอน ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์, บลูพอร์ต หัวหิน รวมไปถึงกลุ่ม “ซูเปอร์มาร์เก็ต” อย่างกูร์เมต์ มาร์เก็ต ทุกสาขาก็งดให้ถุงพลาสติกเช่นกัน

แคมเปญนี้จะเริ่มใช้จริงจังในวันที่ 3 กรกฎาคม 2562 ถือโอกาสเป็นวันสำคัญ วันปลอดถุงพลาสติก

สรุป

เรียกว่าเป็นค้าปลีกรายแรกของไทยที่เริ่มมาตรการ “ลงโทษ” ด้วยการจ่ายเงินเพื่อรับถุงพลาสติก ก่อนหน้านี้มีแต่มาตรการสร้างแรงจูงใจในการรณรงค์ให้ใช้ถุงผ้า แล้วยกระดับงดแจกถุงพลาสติกในวันที่ 4 ของทุกเดอืน เชื่อว่าจะเริ่มปรับพฤติกรรมของผู้บริโภคได้เร็วขึ้น

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/the-mall-group-go-green-no-plastic-bag/

แนะนำ Gaming Notebook แรงคุ้ม !!! ช่วงราคา 40,000 บาท + – ในงาน Commart Joy 2019 เดือนกรกฎาคม

Gaming Notebook จัดว่าเป็น Notebook ประเภทนึงที่ได้รับความนิยมสูงที่สุด จากการที่ได้สเปกต่อราคาที่คุ้มค่า แน่นอนว่าทำให้สามารถเล่นเกมได้ลื่นไหล รวมไปถึงใช้งานอื่นๆ ก็รองรับได้สบายๆ เช่นกัน แต่ก็ต้องมีพื้นฐานสเปกที่แรงพอตัวกว่า Notebook ทั่วไป อีกทั้งถ้างบประมาณสูงหน่อยก็ได้เรื่องของฟีเจอร์อื่นๆ ด้วย อาทิ ไฟ RGB ระบบระบายความร้อนที่ดีกว่า เป็นต้น อย่างในงบประมาณช่วง 40,000 บาท สเปก Gaming Notebook หน้าจอ 15.6″ หรือ 17.3″ ที่ควรจะเป็นก็คือ

ใช้ชิปประมวลผล CPU อย่าง Intel  Core i7-9750H ที่เป็นรุ่นแรงยอดนิยมทำงาน ความเร็ว 2.60 – 4.50 GHz ทำงานแบบ 6 Core/12 Thread ประสิทธิภาพไว้ใจได้ ประสิทธิภาพที่สามารถขับการ์ดจอแรงๆ ได้ สำหรับการ์ดจอที่แนะนำเลยก็ควรเป็น NVIDIA GeForce GTX1650 / GTX 1660 Ti หรือ RTX 2060 อย่างแรมก็ต้องเป็น 8 – 16GB ส่วนแหล่งเก็บข้อมูลต้องเป็น SSD NVMe ความจุ 256GB – 512GB เป็นมาตรฐาน แทนที่ฮาร์ดดิสก์เดิมๆ หรือถ้ามีทั้งคู่ก็จะดีไปอีก ที่สำคัญในส่วนของหน้าจอ สเปกได้ คือ Full HD พาเนล IPS ที่ 120Hz หรือ 144Hz ก็จะมีความลื่นไหลกว่า 60Hz เดิมๆ แน่นอน

Acer Nitro 7 AN715-51-76SY ราคา 39,990 บาท

ดีไซน์ออกแบบ หลักๆ Acer Nitro 7 ยังมีทรงคล้ายๆ กับ Acer Nitro 5 แต่มีการปรับให้ตัวเครื่องมีความเล็กกระชับลงอีก ส่งผลให้ตัวเครื่องมีความบางเบากว่าเดิมแน่นอน ซึ่งจากการที่ใช้วัสดุเป็นอลูมิเนียมทำให้ดูแข็งแรงทนทานและหรูหรากว่า Acer Nitro 5 อย่างเห็นได้ชัด รวมไปถึงการพกพาก็สะดวกยิ่งขึ้น อย่าง Acer Nitro 7 รุ่นใหม่ หน้าจอ 15.6″ พาเนล IPS ก็มีขนาดตัวเครื่องพอๆ กับโน้ตบุ๊คหน้าจอ 14″

Acer Nitro 7 เพราะมาพร้อมกับสเปกใหม่ล่าสุดใช้ชิปประมวลผลเป็น Intel Core i7-9750H (2.60 – 4.50 GHz) ทำงานแบบ 6 Core/12 Thread ประสิทธิภาพไว้ใจได้ แรงกว่า i7-8750H พร้อมกราฟฟิการ์ดตัวแรงระดับ Desktop อย่าง NVIDIA GeForce GTX 1660 Ti (6GB GDDR6) รุ่นใหม่ มีที่เก็บข้อมูลฮาร์ดดิสก์ความจุ 1 TB 5400 รอบ พร้อมติดตั้ง SSD แบบ  M.2 PCIe จำนวน 2 ช่องอีกด้วย ใส่มาแล้ว 256GB ในส่วนของแรมเองมีมาให้ 8 GB แบบ DDR 4 Bus 2666 สามารถอัพเกรดได้สูงสุด 32 GB

นอกจากนี้ Acer Nitro 5 มาพร้อมจอแสดงผลแบบด้าน 15.6″ ที่ความละเอียด Full HD ความละเอียด 1920 x 1080 พาเนล IPS แบบ 144 Hz ให้สีสันที่สวยงามทุกมุมมอง และในส่วนของระบบเสียงเป็นลำโพงแบบสเตอริโอ 2.0 ให้เสียงที่ดีในระดับที่น่าพอใจกว่ารุ่นเดิม ประกอบกับมีซอฟต์แวร์จัดการเสียงอย่าง Wave MaxxAudio ทำให้มีคุณภาพที่ดียิ่งขั้นไปอีก ส่วนน้ำหนักจะอยู่ที่ 2.3 กิโลกรัมถือว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานของ Gaming Notebook หน้าจอ 15.6″

ตัวหน้าจอยังมาพร้อมกล้อง Webcam แบบ HD และมีไมค์ดิจิตอล 2 ตัวแบบตัดเสียง โดยพอร์ตเชื่อมต่อที่ครบครันอีกรุ่นเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น 2 x USB 3.1 Type-A, 1 x USB 3.1 Type-C, 1 x USB 2.0 Type-A , HDMI, RJ45 (Killer E2500) และ Mic-in/Headphone-out แบบ Combo เรียกได้ว่าพอเพียงกับการใช้งานทั่วไปอย่างแน่นอน ส่วนการเชื่อมต่อไร้สายอย่างรองรับทั้ง Bluetooth 5.0 และอินเตอร์เน็ตไร้สายมาตรฐาน 802.11b/g/n/ac รูปแบบมาตราฐาน Gigabit Wi-Fi 5 ที่มีเทคโนโลยี 2×2 MU-MIMO มีประกัน On-site Service ถึง 3 ปีเต็ม ถือว่าเป็น Gaming Notebook ที่น่าสนใจที่สุด ณ เวลานี้อีกรุ่นเลยทีเดียว

ASUS ROG Strix G G531GU-AL001T ราคา 40,900 บาท

สำหรับ ASUS ROG Strix G531 เป็น Gaming Notebook ขนาดหน้าจอ 15.6″ มีน้ำหนักที่ 2.2 กิโลกรัม เหมาะสำหรับคนที่ต้องการ Gaming Notebook สายจริงจัง ฟีเจอร์ครบครัน ในราคาที่เหมาะสม พร้อมมีให้เลือกหลากหลายสเปกและราคา ตามความต้องการของแต่ละคน สนนราคารุ่น 40,900 บาท ได้สเปกเป็น Core i7-9750H และการ์ดจอเป็น GTX 1660 Ti (6GB GDDR6) ส่วนแรมมีขนาด 8GB พร้อม SSD M.2 NVMe ความจุ 512GB เป็นมาตรฐาน หน้าจอเป็น IPS 120Hz ที่ลื่นไหลกว่า 60Hz แน่นอน

ฟีเจอร์อื่นๆ ที่น่าสนใจก็จะเป็นระบบระบายความร้อนอย่าง 3D Thermal Design ที่ใส่ทุกอย่างจัดเต็มกว่าทีเคยมีมา ที่แม้สเปกจะแรงขึ้นแต่ก็เย็นกว่าเดิม คีย์บอร์ดมีไฟหลากสีด้วยเทคโนโลยี AuraRGB ของทาง ROG แบ่งเป็น 4 โซน ที่สามารถปรับแต่งเองได้ด้วยซอฟต์แวร์ภายใน ให้ความสะดวกด้วยคีย์หลัก QWER ตามสไตล์ MOBA โดยระยะของปุ่มที่เลื่อนลงไปเพียง 1.8 มิลลิเมตร แต่ละปุ่มมีมุมโค้งขนาด 0.25 มิลลิเมตร เข้ากับนิ้วมือเวลากดลงไปสุดๆ  ที่สำคัญได้ไฟ RGB ด้านซ้ายและขวาของตัวเครื่องเข้ามา อย่าง Surrounded Light Bar รอบตัวเครื่อง

การเชื่อมต่อก็ครบครันด้วย USB 3.1 Type-C, mini DisplayPort, HDMI, 3 x USB 3.1, SD Card Reader, RJ-45 , Headset / Gigabit Ethernet / Bluetooth 5.0 / Wi-Fi AC ASUS RangeBoost เกมมิ่งโน้ตบุ๊ครุ่นแรกของโลกที่ใช้ตัวรับสัญญาน Wifi แบบ Multi-antenna บนมาตรฐาน Wave 2 (2×2 + 2×2) ให้ระยะการรับสัญญานที่ไกลขึ้นถึง 30% พร้อมอัตราการรับ-ส่งข้อมูลที่เร็วและเสถียรยิ่งขึ้น ส่วนการรับประกัน 2 ปี ส่งเคลม 7-11 และที่สำคัญเมื่อเอาซีเรียลไปลงทะเบียนในเว็บไซต์ ASUS จะได้รับประกันอุบัติเหตุฟรี 1 ปีแรกจากทาง ASUS

MSI GF75 Thin 9SC-225TH ราคา 39,990 บาท

Gaming Notebook รุ่นใหม่ใช้สเปก Core i Gen 9 + GTX 16 Series อย่าง MSI GF75 Thin 9SC มีหน้าจอขนาด 17.3″ ดีไซน์ขอบบางพิเศษ ทำให้มิติตัวเครื่องเทียบกับรุ่นหน้าจอ 15.6″ เท่านั้น ใหม่ล่าสุดด้วยสเปกเป็นชิปประมวลผล Intel Core i7-9750H ทำงานแบบ 6 คอร์ 12 เธร์ด ที่ความเร็ว 2.6 – 4.5 GHz และการ์ดจอ NVIDIA GeForce GTX 1650 (4GB GDDR5) ประสิทธิภาพแรงก่วารุ่นก่อนๆ แน่นอน

โดยการ์ดจอ GTX 1650 กราฟิกการ์ดตัวใหม่ที่มาพร้อมกับสถาปัตยกรรม Turing ที่ออกมาสานต่อความสำเร็จของกราฟิกการ์ดรุ่นก่อนหน้ากับสถาปัตยกรรม Pascal ซึ่ง GTX 1650  นั้นจะมาแทนที่ GTX 10 Series เดิม ที่แม้ว่าจะไม่ได้มาพร้อมกับ Tensor cores หรือรองรับกับเทคโนโลยี ray-tracing โดยตรงแต่ก็มาพร้อมกับความแรงที่เพิ่มมากขึ้นจากก่อน โดยประสิทธิภาพเทียบเท่ากับ GTX 1060 แต่ร้อนน้อยกว่า

หน้าจอขนาด 17.3 นิ้ว แบบด้าน ความละเอียด Full HD พาเนล IPS แถมตัวเครื่องยังมีลำโพง 2.0 ชาแนลบนซอฟแวร์เสียง Nahimic 3 ทำให้การขับเสียงเวลาเล่นเกม หรือดูหนังฟังเพลงทำได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย ทางด้านพอร์ทเชื่อมต่อเองมีมาให้อย่างครบถ้วนไม่ว่าจะเป็น USB 3.1 Type จำนวน 2 ช่อง, USB 3.1 Type-C หนึ่งช่อง, HDMI, SD(XC/HC) card reader, ช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5, ช่องเสียบไมค์ขนาด 3.5 และช่องสาย Lan RJ45  การเชื่อมต่อไร้สายอย่างก็รองรับตัวที่เป็น Bluetooth 5.0 และ Wireless มาตรฐาน 802.11 แบบ ac มีน้ำหนักตัวอยู่ที่ 2.2 กิโลกรัม ประกัน 2 ปี มี Windows 10 แท้ โดยสนนราคาอยู่ที่ 39,900 บาท

ASUS ROG Strix G G531GV-AL022T ราคา 46,900 บาท

สำหรับ ASUS ROG Strix G531 เป็น Gaming Notebook ขนาดหน้าจอ 15.6″ มีน้ำหนักที่ 2.2 กิโลกรัม เหมาะสำหรับคนที่ต้องการ Gaming Notebook สายจริงจัง ฟีเจอร์ครบครัน ในราคาที่เหมาะสม พร้อมมีให้เลือกหลากหลายสเปกและราคา ตามความต้องการของแต่ละคน สนนราคารุ่น 40,900 บาท ได้สเปกเป็น Core i7-9750H และการ์ดจอเป็น RTX 2060 (6GB GDDR6) ส่วนแรมมีขนาด 8GB พร้อม SSD M.2 NVMe ความจุ 512GB เป็นมาตรฐาน หน้าจอเป็น IPS 120Hz ที่ลื่นไหลกว่า 60Hz แน่นอน

ฟีเจอร์อื่นๆ ที่น่าสนใจก็จะเป็นระบบระบายความร้อนอย่าง 3D Thermal Design ที่ใส่ทุกอย่างจัดเต็มกว่าทีเคยมีมา ที่แม้สเปกจะแรงขึ้นแต่ก็เย็นกว่าเดิม คีย์บอร์ดมีไฟหลากสีด้วยเทคโนโลยี AuraRGB ของทาง ROG แบ่งเป็น 4 โซน ที่สามารถปรับแต่งเองได้ด้วยซอฟต์แวร์ภายใน ให้ความสะดวกด้วยคีย์หลัก QWER ตามสไตล์ MOBA โดยระยะของปุ่มที่เลื่อนลงไปเพียง 1.8 มิลลิเมตร แต่ละปุ่มมีมุมโค้งขนาด 0.25 มิลลิเมตร เข้ากับนิ้วมือเวลากดลงไปสุดๆ  ที่สำคัญได้ไฟ RGB ด้านซ้ายและขวาของตัวเครื่องเข้ามา อย่าง Surrounded Light Bar รอบตัวเครื่อง

การเชื่อมต่อก็ครบครันด้วย USB 3.1 Type-C, mini DisplayPort, HDMI, 3 x USB 3.1, SD Card Reader, RJ-45 , Headset / Gigabit Ethernet / Bluetooth 5.0 / Wi-Fi AC ASUS RangeBoost เกมมิ่งโน้ตบุ๊ครุ่นแรกของโลกที่ใช้ตัวรับสัญญาน Wifi แบบ Multi-antenna บนมาตรฐาน Wave 2 (2×2 + 2×2) ให้ระยะการรับสัญญานที่ไกลขึ้นถึง 30% พร้อมอัตราการรับ-ส่งข้อมูลที่เร็วและเสถียรยิ่งขึ้น ส่วนการรับประกัน 2 ปี ส่งเคลม 7-11 และที่สำคัญเมื่อเอาซีเรียลไปลงทะเบียนในเว็บไซต์ ASUS จะได้รับประกันอุบัติเหตุฟรี 1 ปีแรกจากทาง ASUS

Acer Predator Helios 300-PH315-52-74NQ ราคา 46,900 บาท

Acer Predator Helios 300 ปี 2019 รุ่นที่แนะนำเป็นชิปประมวลผล Core i7-9750H การ์ดจอเป็น NVIDIA GeForce GTX 160Ti (6GB GDDR6) พร้อม Ram 8GB DDR4 Bus 2666 ที่ฮาร์ดดิสก์เป็นแบบ SSD m.2 แบบ NVMe ที่ความจุ 512GB  รวมถึงยังใส่ฮาร์ดดิสก์ 2.5″ ได้อยู่ จัดว่าให้สเปกมาเหลือเฟือในการใช้งานทั่วไปมากๆ แต่เหมาะสำหรับการเล่นเกมแบบสุดๆ ที่ใช้เทคโนโลยีการระบายความร้อนด้วยพัดลมแบบพิเศษ AeroBlade 3D Gen 4 ใช้พัดลม 2 ตัว ตัวละ 59 ใบพัดขนาด 0.1 มิลลิเมตร ออกแบบพิเศษได้รับแรงบันดาลใจจากกลไกการบินที่เงียบสนิทและทรงพลังของนกฮูก ปลายใบพัดลมของเราจึงมีรอยหยักเพื่อให้อากาศผ่านได้มากขึ้น

หน้าจอขนาด 15.6″ แบบด้าน ความละเอียด Full HD พาเนลคุณภาพ IPS ตอบสนองที่ 144Hz 3ms แถมตัวเครื่องยังมีลำโพง 2.0 ชาแนล บนซอฟแวร์เสียง Waves Maxx Audio ทำให้การขับเสียงเวลาเล่นเกม หรือดูหนังฟังเพลงทำได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย ทางด้านพอร์ทเชื่อมต่อเองมีมาให้อย่างครบถ้วนไม่ว่าจะเป็น USB 3.1 Type-C จำนวน 1 ช่อง, USB 3.1 Type-A จำนวน 3 ช่อง, HDMI, mini-DisplayPort, ช่องเสียบหูฟังไมค์ขนาด 3.5 มิลลิเมตร พร้อมด้วยช่องสาย Lan RJ45 พร้อม E2500 Ethernet Controller

และการเชื่อมต่อ Wi-Fi แบบ Wireless-AC 1550 และ Killer Control Center 2.0 ของ Killer ที่ช่วยให้การเล่นเกมออนไลน์ให้มีเสถียรภาพและสมูทขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การเชื่อมต่อไร้สายอย่างก็รองรับตัวที่เป็น Bluetooth 5.0 เป็นมาตรฐาน แน่นอนว่า Acer Predator Helios 300 (2019) รุ่นที่ขายในไทยต้องมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Windows 10 แท้พร้อมใช้งานทันที มีประกัน 3 ปี On-site Service หรือส่งศูนย์ซ่อมด่วนใน 3 ชั่วโมง ตามมาตรฐานของ Acer Predator ที่เป็น Gaming Notebook ระดับกลางสูงในราคาที่รับได้อยู่

เป็นอย่างไรกันบ้างครับสำหรับ Gaming Notebook ช่วงงบประมาณ 40,000 บาท ไม่เกิน 50,000 บาท อาจจะมีบวกไปเกินบ้าง แต่คาดว่าราคาหน้าร้านต้องถูกลงกว่านี้แน่นอน ไว้ยังไงสามารถดูเป็นแนวทางในการซื้อที่งาน Commart Joy 2019 ที่จะจัดขึ้นช่วงวันที่ 4 – 7 กรกฎาคมนี้ได้ ณ ศูนย์ประชุมไบเทคบางนา หรือใครจะเอาไปซื้อตามร้านข้างนอกหรือร้านออนไลน์ได้เช่นเดียวกัน แต่ต้องบอกก่อนว่าถ้าซื้อในงานอาจจะได้ส่วนลดพิเศษๆ หรือได้ของแถมเฉพาะในงาน Commart นี้ด้วยนะ

from:https://notebookspec.com/gaming-notebook-40000-baht-in-commart-joy-2019/486795/

Huawei Mate 20 ซีรีส์ ได้รับการอัพเดตเป็น EMUI 9.1 แล้ว

ข่าวดีต่อเนื่องสำหรับแฟนๆ huawei เพราะนอกจากจะไม่ได้โดนอเมริกาแบนแล้ว สมาร์ทโฟนเรือธง Huawei Mate 20 รุ่น Top ทั้งสามรุ่นสามารถอัพเกรดเป็น EMUI 9.1  ได้แล้ว โดยมีทั้งรุ่น Huawei Mate 20, Mate 20 Pro, Mate 20 X และ รวมทั้งรุ่นพิเศษอย่าง Huawei Mate 20 RS Porsche Design ก็ได้รับการอัปเดทเช่นกัน

อย่างไรก็ตามรุ่น Huawei Mate 20 lite ไม่ได้อยู่ในรายชื่อการอัพเกรดในครั้งนี้ โดย EMUI 9.1 สร้างบนพื้นฐาน Android 9 Pie เหมือนกับ EMUI 9.0 แต่อัพเกรดเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงระบบไฟล์ใหม่ EROFS และอัพเกรดเพิ่ม GPU Turbo 3.0 (รองรับ 25 เกม) แอพกล้องถ่ายรูปรับโหมด Moon จากสมาร์ทโฟนร่น Huawei P30

โดยก่อนหน้านี้ กำหนดการอัปเดตของ Huawei ในเดือน มิถุนายน ไปจนถึงเดือน กรกฎาคมจะนำซอฟต์แวร์ใหม่อัพเกรดให้สมาร์ทโฟนอีก 14 รุ่น จากสมาร์ทโฟนทั้งหมด 49 รุ่น โดยหลังจากนี้จะทยอยอัปเดตให้ครบทั้งหมด และสำหรับ Android เวอร์ชั่นถัดไปจะมีสมาร์ทโฟน 14 รุ่นจะได้รับการอัปเดตเป็น Android Q รวมถึงรุ่น Mate 20 ทั้งสามรุ่นด้วยเช่นกัน

ข่าว: Huawei Mate 20 ซีรีส์ ได้รับการอัพเดตเป็น EMUI 9.1 แล้ว มีที่มาจาก: แอพดิสคัส.

from:https://www.appdisqus.com/2019/07/01/huawei-mate-20-series-updated-to-emui-9-1.html

รู้จัก GeckoView เอนจินตัวใหม่ของ Firefox Android ว่าที่คู่แข่งของ Android WebView

สัปดาห์ที่แล้ว Mozilla ออก Firefox ตัวใหม่บน Android โดยใช้โค้ดเนมภายในว่า Fenix (ตัวที่ใช้อยู่ในปัจจุบันคือ Fennec) โดยปรับเปลี่ยนทั้งหน้าตา UI และตัวเอนจินแสดงผลมาเป็น GeckoView

หลายคนอาจสงสัยว่า เอนจินของ Firefox เป็น Gecko อยู่แล้ว แล้ว GeckoView คืออะไรกันแน่ ซึ่ง Mozilla มีคำอธิบายในเรื่องนี้

No Description

เดิมที Firefox ทั้งบนพีซีและบน Android ใช้เอนจิน Gecko อยู่แล้ว แต่เนื่องจาก Gecko ออกแบบมาสำหรับ Firefox เป็นหลัก ตัวมันเองจึงผูกพันกับ Firefox อย่างแนบแน่น และไม่ได้แยกส่วนขาดจากกัน โค้ดทั้งหมดจึงรวมกันเป็นก้อนเดียว ทำให้ซอฟต์แวร์ตัวอื่นๆ เรียกใช้งาน Gecko ได้ยาก เราจึงไม่ค่อยเห็นเบราว์เซอร์ที่พัฒนาต่อจาก Gecko มากนัก

GeckoView เป็นความพยายามแก้ปัญหานี้บน Android โดยมันเป็นการตัดเฉพาะส่วน Gecko ออกมาเป็นไลบรารีเฉพาะของตัวเองเพื่อให้เกิดการต่อยอดได้ง่าย แอพพลิเคชันอื่นสามารถเรียกใช้งานได้ด้วย หรือถ้าอธิบายง่ายๆ GeckoView จะกลายมาเป็นคู่แข่งของ Android WebView นั่นเอง

No Description

จุดเริ่มต้นของ GeckoView มาจาก Firefox Focus เบราว์เซอร์มือถือที่เน้นความเป็นส่วนตัว (มีทั้งบน Android/iOS) โดยช่วงแรก Firefox Focus เน้นพัฒนาเฉพาะฟีเจอร์ด้านความเป็นส่วนตัว (เช่น tracking protection) ส่วนเอนจินแสดงผลก็เรียกใช้ของที่ระบบปฏิบัติการมีให้ (UIWebView และ Android WebView) โดยเวอร์ชัน Android เพิ่งเปลี่ยนมาใช้ GeckoView เมื่อเดือนตุลาคม 2018

No Description

นอกจาก Firefox Focus แล้ว แอพตัวอื่นที่ใช้งาน GeckoView คือ Firefox Reality เบราว์เซอร์สำหรับงาน VR และ Reference Browser เบราว์เซอร์ต้นแบบบน Android ที่ใช้ภายใน Mozilla เอง

Mozilla ระบุว่า GeckoView จะมีฟีเจอร์เยอะกว่า Android WebView ในระยะยาว โดยเปิด API ให้เรียกใช้งานฟีเจอร์ของเบราว์เซอร์เต็มรูปแบบ (WebView ปิด API ระดับสูงบางตัวไม่ให้เรียกใช้) ซึ่งก็น่าจะทำให้เราได้เห็นแอพใหม่ๆ ที่ไม่ใช่ของ Mozilla ทยอยหันมาใช้ GeckoView เพิ่มขึ้นในอนาคต

ส่วน Firefox for Android เวอร์ชันใหม่ (Fenix) กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน โดยทยอยย้ายฟีเจอร์จาก Firefox for Android ตัวเก่า (Fennec) เข้ามา ทาง Mozilla ระบุว่า Fenix จะเร็วกว่าเดิมถึง 2 เท่า และการพัฒนาบน GeckoView จะช่วยให้กระบวนการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ เร็วกว่าเดิมมาก

ที่มา – GeckoView, Mozilla Hacks

from:https://www.blognone.com/node/110643