How to: วิธีการทำ Brand Ambassador Program กับ Influencer

เชื่อว่านาทีนี้ทุกคนคงรู้อยู่แล้วนะครับว่า Influencer marketing เป็นหนึ่งในกระบวนท่าการตลาดไปแล้ว แต่ทว่าการทำงานร่วมกับ Influencer ก็ไม่ได้มีเพียงแค่ Influencer marketing แบบที่เราคุ้นเคยเท่านั้น แต่เรายังสามารถร่วมงานกับ พวกเขาในฐานะ Brand Ambassador ด้วยก็ได้ วันนี้เราจึงนำขั้นตอนการสร้าง Brand Ambassador Program มาแชร์กันครับ [บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจาก Affable]

การสร้าง Brand Ambassador Program ถือเป็นการลงทุนที่จะต้องใช้การวางแผน และการลงมือทำที่ระมัดระวัง อย่างไรก็ตามในระยะยาว มันจะสร้างผลลัพธ์ให้คุณได้แน่นอน

Brand Ambassador Program คืออะไร?

Brand Ambassador Program คือการที่แบรนด์เข้าไปมีความสัมพันธ์ระยะยาวกับ Influencer เพื่อสร้างการรับรู้ของแบรนด์กับกลุ่มผู้ติดตามของ Influencer คนนั้นๆ โดยรูปแบบการทำงานของ Brand Ambassador Program จะแตกต่างจากโฆษณา แต่เป็นการที่ Influencer คนนั้นใช้งาน หรือเข้าไปมีส่วนร่วมกับแบรนด์นั้นๆ อย่างเป็นธรรมชาติ

การชวน Influencer มาเป็น Brand Ambassador จะมีประโยชน์อะไรกับแบรนด์ของคุณ?

ตอบสั้นๆ ได้ว่ามันธรรมชาติกว่า… มันทำงานกันคนละแบบกับโฆษณา… มันเป็นการร่วมมือกันระยะยาวระหว่างแบรนด์ของคุณกับ Influencer หลายๆ คน… แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราก็ทำไปเพื่อจุดประสงค์ของการสร้างแบรนด์เป็นหลัก สิ่งหนึ่งที่เราคาดหวังได้ก็คือ การที่เราจะได้สร้างความสัมพันธ์อันดีกับกลุ่มคนเหล่านี้ และเมื่อเรามีความสัมพันธ์อันดี มันก็จะเป็นโอกาสในการเปลี่ยน influencer เหล่านี้มาเป็น ‘แฟน’ ของแบรนด์คุณ นั่นหมายความว่า Influencer เหล่านี้จะใช้สินค้าหรือบริการของคุณจริงๆ มันเป็นการ ‘ค่อยๆ build กันไป’ ระหว่างคุณกับ Influencer โดยคุณเองก็ต้องปล่อยให้เขาได้คิดและแชร์ Content ในแบบของเขาเอง ไม่ใช่ไป Brief จำกัด Key Message จนเกร็งกันไปหมด เพราะ Influencer คนนั้นเขารู้อยู่แล้วล่ะว่าแฟนๆ ที่ติดตามเขาชอบ Content แบบไหน

4 ขั้นตอนการเปิดตัว Brand Ambassador Program กับ Influencer

1. วางเป้าหมายของ Ambassador Program ให้ชัด

เหมือนกับการทำ Influencer Marketing Campaign ที่คุณเคยทำ ขั้นแรกในการทำ Ambassador Program ก็คือเราต้องวางเป้าหมายให้ชัดเสียก่อน เช่น คุณต้องการเพิ่มการรับรู้, คุณต้องการโปรโมทขายของชัดๆ, หรือคุณจะแนะนำ สายผลิตภัณฑ์ (Product Line) ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์หลักของคุณ

ที่เราย้ำเรื่องเป้าหมาย เพราะพอเป้าชัดแล้ว อีกอย่างที่มันจะชัดตามมาก็คือการวัดผล เช่น ถ้าคุณวางจุดประสงค์ของคุณว่าคือการขาย สิ่งที่คุณจะต้องวัดก็คือการตามดูว่ามีคนกด tracking links หรือกดใช้ code ส่วนลด จาก Content ของ Influencer แค่ไหน ยอดขายเพิ่มขึ้นหรือไม่เมื่อเทียบกันปีต่อปี จำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้นหรือไม่ ฯลฯ

ในขณะเดียวกัน ถ้าหากจุดประสงค์คือการเพิ่มการรับรู้ เราก็ไปดูสถิติค่าประมาณการณ์ของ reach, จำนวนโพสต์, จำนวนผู้เข้าร่วม มันเพิ่มขึ้นกี่เปอร์เซ็น อย่างไรก็ตามกิจกรรมทั้งหมดที่ว่ามานี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียง Social Media เรายังสามารถวัดผลแบบอื่นๆ กับเขาอีกก็ได้ เช่น ขอให้ influencer ช่วยชวนคนไปร่วมงาน event การวัดผลก็ไม่จำเป็นต้องเป็นตัวเลขบน Social Media แต่อาจเป็นจำนวนผู้เข้าร่วมงาน event แบบ offline ก็ได้

2. ใครคือ Ambassador ในฝันของคุณ?

สิ่งที่จำเป็นจะต้องทำก็คือ คุณต้องมีหลักเกณฑ์ภายในใจที่ชัดเจนว่าคุณจะคัดเลือก Brand Ambassador ของคุณอย่างไร ปัจจัยสำคัญที่เราควรจะดูก็คือ Influencer Brand Affinity (ซึ่งเป็น Metrics ที่ดูได้จาก Affable) รวมถึงการเลือกคนให้ครอบคลุมกลุ่มคนที่คุณอยากจะเข้าถึงไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติ สัญชาติ อายุ เพศ และ สิ่งที่ควรระวังก็คือการไม่ไปพาร์ทเนอร์กับ influencer ที่อาจจะมีคนตามเยอะ แต่ไม่เหมาะกับภาพลักษณ์ของแบรนด์คุณ

3. วางแนวทางสำหรับ ambassador ของคุณให้ชัด

คนที่จะมาเป็น Ambassador ของคุณก็จะต้องเข้าใจแนวทางของแบรนด์คุณ ดังนั้นคุณก็จะต้องให้ข้อมูลที่ชัดเจน สิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นข้อมูลวิธีการใช้งานโดยเฉพาะกลุ่มคนที่ยังใหม่กับแบรนด์ของคุณ หรือแม้กระทั่งว่าถ้าเห็นว่าเขายังใหม่จะลงไปคอยตอบคำถามเขา หรือให้คำแนะนำในการทำ Content ในช่องทางที่ทั้งสองฝ่ายสะดวกก็ได้

หนึ่งในตัวอย่าง อันนี้มาจากประเทศสิงคโปร์ แบรนด์ Under Armour Singapore ไปพาร์ทเนอร์กับ Influencer ชื่อ Kirsten Ong (@kerstinong) เธอเป็นนักเรียน และนักกีฬา สิ่งที่ Kirsten ทำก็คือแชร์รูปที่สวมใส่ Sneaker ของ Under Armour โดยการโปรโมทให้คนที่ตามเธออยู่มาดูว่าเธอจะกระโดดขาเดียวข้ามกล่องรองเท้า 7 กล่องได้หรือเปล่า วิดีโอคลิปอันนี้มันน่าสนใจจนคนดูเยอะที่สุดตั้งแต่เธอโพสต์มาเลย

View this post on Instagram

 

A post shared by Kerstin Ong (@kerstinong)

การทำงานร่วมกับ Influencer เหล่านี้คือการลงทุนระยะยาว และสานสร้างความสัมพันธ์กับเขาในแบบ ambassador ให้เขาเข้าใจแบรนด์ของคุณ ไม่ว่าจะเป็นแบบจ่ายเงิน หรือให้เป็นแบบส่วนลด สินค้าฟรี และบริการต่างๆ ฟรี ก็ตาม ยิ่ง ambassador เข้าใจ และชอบผลิตภัฑณ์คุณมากเท่าไหร่ Content ที่จริงใจ และออกมาเชิงบวกก็จะยิ่งถูกแชร์ไปกับคนที่ติดตาม Influencer คนนั้นๆ มากขึ้นเรื่อยๆ

4. คอยติดตามวัดผล

เหมือนกับ social media campaign ทั่วไป แบรนด์จำเป็นที่จะต้องวัดผล ซึ่ง Affable ก็จะมี feature influencer campaign management ที่จะช่วยเก็บยอด reach, ยอดโพสต์ (รวมถึง stories) และประวัติการทำงานร่วมกัน และพวก metric ต่างๆ เช่น CPE, CPM, หรือ KPI อื่นๆ โดยที่แบรนด์สามารถที่จะดาวน์โหลดออกมาเป็น PowerPoint ได้ด้วย

สรุป

การเลือก ambassador ที่ดีควรจะต้อง ชัดเจนในเป้าหมายของเรา ให้อิสระกับ influencer ให้แนวทางที่ชัดเจน และคอยติดตามวัดผล ตาม 4 ขั้นตอนการทำ Brand Ambassador Program ถ้าคุณยังใหม่ก็แนะนำว่าเริ่มลองทำเล็กๆ ก่อน เริ่มตั้งแต่การหา Influencer ที่ใช่กับแบรนด์ของคุณ, เริ่มติดต่อ, จัดการความสัมพันธ์ และวัดผล หลายๆ แบรนด์ใช้ influencer marketing platforms อย่าง Affable มาช่วยในการทำ ambassador programs ติดต่อเราวันนี้และลองขอ demo ได้ฟรีวันนี้เลย

ที่มา: Affable

from:https://www.thumbsup.in.th/brand-ambassador-program-influencers?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=brand-ambassador-program-influencers

ผลสำรวจคนใช้ Android ในอเมริกา มีเพียง 18% สนใจเปลี่ยนไปใช้ iPhone 13 จากปีก่อนมี 33%

SellCell เว็บเปรียบเทียบราคาสำหรับการซื้อขายโทรศัพท์มือสองในอเมริกา รายงานผลการสำรวจผู้ใช้ Android มากกว่า 5,000 คน ในประเด็นว่าพวกเขาสนใจเปลี่ยนไปใช้ iPhone รุ่นใหม่ที่กำลังจะเปิดตัวหรือที่เรียกกันตอนนี้ว่า iPhone 13 หรือไม่?

ภาพรวมของคำตอบนี้คือ 18.3% ของผู้ใช้ Android เท่านั้นที่สนใจเปลี่ยนไปใช้ iPhone น้อยกว่าการสำรวจคำถามเดียวกันในปี 2020 ซึ่งมีผู้สนใจถึง 33.1%

เมื่อเจาะเฉพาะกลุ่มผู้สนใจเปลี่ยนไปใช้ iPhone พบว่า 39.8% สนใจใช้รุ่น Pro Max ที่ขนาดจอใหญ่ที่สุด รองลงมาคือรุ่นปกติ (iPhone 13) ที่ 39.8% และมีเพียง 4.6% เท่านั้นที่สนใจรุ่น mini

คำถามต่อมาคืออะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้สนใจเปลี่ยนไปใช้ iPhone โดย 51.4% บอกว่าเพราะได้อัพเดตซอฟต์แวร์เป็นเวลานานกว่า 23.8% บอกว่าเพราะระบบนิเวศของแอปเปิล และ 11.4% บอกว่าปกป้องความเป็นส่วนตัวดีกว่า

เมื่อกลับมาที่กลุ่มไม่สนใจย้ายไป iPhone ว่าสาเหตุใดที่ทำให้ไม่อยากย้าย 31.9% บอกว่าเพราะไม่มีตัวสแกนนิ้ว 16.7% บอกว่าเพราะ iOS ปรับแต่งได้น้อย ขณะที่ประเด็นการสแกนรูป CSAM ใน iCloud มีคนให้เหตุผลนี้ 10.4%

ที่มา: SellCell ผ่าน Apple Insider

iPhone 12

from:https://www.blognone.com/node/124522

Windows 11 ที่ออกอัพเดต 5 ตุลาคมนี้ ยังไม่รองรับการใช้แอป Android

ตามที่ไมโครซอฟท์ประกาศว่า Windows 11 จะเริ่มทยอยออกมาให้อัพเดตกันตั้งแต่ 5 ตุลาคมนี้ อย่างไรก็ตามไมโครซอฟท์ก็ได้ระบุว่าคุณสมบัติการใช้งานแอป Android ยังไม่มีออกมาในอัพเดตรอบแรกนี้

Aaron Woodman ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการตลาดของไมโครซอฟท์อธิบายในบล็อกว่า Windows 11 ที่รองรับ Android ผ่านความร่วมมือกับ Intel และ Amazon นั้น จะเพิ่มเติมในเดือนถัด ๆ ไป ของการอัพเดต ซึ่งอาจตีความได้ว่า Windows 11 ที่รองรับแอป Android น่าจะได้เห็นเร็วที่สุดก็ปี 2022

คุณสมบัติการรองรับแอป Android บน Windows 11 เป็นคุณสมบัติเด่นอีกอย่าง โดยไมโครซอฟท์บอกว่าเป็นการใช้เทคโนโลยี Intel Bridge ทำให้ทำงานบนซีพียู x86 ได้ ส่วนตัว Store ของแอปนั้นเป็น Amazon Appstore

ที่มา: The Verge

Android on Windows 11

from:https://www.blognone.com/node/124521

Windows 11 มาวันที่ 5 ตุลาคมนี้ ค่อยๆ ปล่อยเป็นกลุ่มถึงกลางปีหน้า

ไมโครซอฟท์ประกาศปล่อย Windows 11 วันที่ 5 ตุลาคมนี้ โดยจะปล่อยเป็นอัพเดตเป็นกลุ่มๆ กลุ่มอุปกรณ์ใหม่ๆ ที่เข้าข่ายจะได้รับอัพเดตก่อน โดยคอมพิวเตอร์ทั้งหมดที่เข้าข่ายได้รับอัพเกรด น่าจะได้รับครบภายในกลางปี 2022

ประกาศครั้งนี้ไมโครซอฟท์พยายามบอกผู้ใช้ว่าไม่ต้องรอซื้อคอมพิวเตอร์ใหม่พร้อม Windows 11 เพราะเครื่องส่วนใหญ่จะได้รับอัพเกรดฟรีในที่สุด ส่วนเครื่องที่ยังไม่เข้าข่าย ไมโครซอฟท์จะปล่อยโปรแกรม PC Health Check ให้ทุกคนตรวจสอบสเปคสุดท้ายว่าอัพเกรดได้หรือไม่ สำหรับเครื่องที่ไม่ได้รับอัพเกรดฟรี จะยังได้รับซัพพอร์ต Windows 10 ไปจนถึงตุลาคม 2025

Windows 11 ไม่ซัพพอร์ตซีพียู Intel Core 7th Gen กับ AMD Zen 1 ในการประกาสเสปคครั้งแรก และยังบังคับว่าต้องติดตั้งชิป TPM 2.0 เพื่อใช้งาน ทำให้คอมพิวเตอร์จำนวนมากไม่เข้าข่าย แม้จะค่อยๆ ปลดล็อกสเปคบางอย่างไปตอนหลังก็ตาม

ที่มา – Windows Blog

No Description

Topics: 

from:https://www.blognone.com/node/124520

Motional และ Hyundai เปิดตัวแท็กซี่ไฟฟ้าไร้คนขับ IONIQ 5 robotaxi ขับอัตโนมัติระดับ 4

Motional บริษัทพัฒนารถยนต์ไร้คนขับที่เป็นการร่วมทุนกับ Hyundai จากเกาหลีใต้และ Aptiv ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์จากไอร์แลนด์ ประกาศเปิดตัวรถแท็กซี่ไฟฟ้า IONIQ 5 robotaxi ที่เคลมว่าสามารถขับอัตโนมัติได้ถึงระดับ 4 ตามมาตรฐาน SAE

IONIQ 5 robotaxi ถูกพัฒนาโดยมีพื้นฐานมาจากรถยนต์ไฟฟ้า Hyundai IONIQ 5 ที่เปิดตัวในปีนี้ แต่เพิ่มเซ็นเซอร์ต่างๆ ไปกว่า 30 ตัว ทั้งกล้อง, เรดาร์ และ Lidar เพื่อให้รถมองเห็นได้รอบคัน 360 องศา และตรวจจับวัตถุต่างๆ ได้จากระยะไกล ผนวกกับระบบขับขี่อัตโนมัติที่พัฒนาโดย Motional เอง ใช้ machine learning ที่ระบุว่าเทรนจากข้อมูลของโลกจริงจำนวนหลายสิบปี

alt="CBqvMf.png"

ทีมงาน Motional ระบุว่ารถแท็กซี่ IONIQ 5 robotaxi มีระบบป้องกันความผิดพลาดสองชั้นในทุกฟีเจอร์ เช่นการเร่ง, เลี้ยว, เบรค เพื่อความปลอดภัย และหากรถตกอยู่ในสถานการณ์ที่ขับต่อเองไม่ได้ เช่นน้ำท่วมหรือมีการก่อสร้างบนถนน เจ้าหน้าที่ของ Motional จะเข้าควบคุมรถได้จากระยะไกลผ่านระบบ Remote Vehicle Assistance

alt="CBqJwa.png"

นอกจากนี้ Motional ยังเป็นพาร์ทเนอร์กับ Lyft โดยตั้งเป้าเริ่มให้บริการแท็กซี่ไร้คนขับผ่าน Lyft ในปี 2023 และจะโชว์รถคันจริงในงาน IAA Mobility ที่มิวนิคในเดือนกันยายนนี้

No Description

Motional เป็นบริษัทหน้าใหม่ เพิ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนมีนาคม 2020 นี่เอง แต่ทีมงานอยู่ในวงการมานาน โดยเริ่มต้นจากการก่อตั้ง nuTonomy สตาร์ทอัพด้านซอฟต์แวร์รถยนต์ไร้คนขับที่แยกออกจากมหาวิทยาลัย MIT ในปี 2013 ส่วนอีกทีมงานก่อตั้ง Ottomatika จากมหาวิทยาลัย Carnegie Mellon ที่พัฒนาซอฟต์แวร์รถไร้คนขับเช่นกัน และผ่านการควบรวมกิจการโดย Aptiv ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์จากไอร์แลนด์ให้ทั้งสองบริษัทเข้ามาอยู่ใต้บริษัทแม่เดียวกัน พร้อมตั้งเป็นทีมพัฒนารถไร้คนขับ ก่อนจะร่วมทุนกับ Hyundai และกลายมาเป็น Motional เมื่อปีที่แล้ว

SAE (Society of Automotive Engineers) เป็นหน่วยงานที่กำหนดมาตรฐานต่างๆ ในวงการรถยนต์ โดยมาตรฐานของรถยนต์ไร้คนขับที่ยึดถือกันในปัจจุบันก็กำหนดโดย SAE แบ่งออกเป็น 6 ระดับ ตั้งแต่ 0 ถึง 5 ซึ่ง IONIQ 5 robotaxi เคลมว่าอยู่ในระดับ 4 หมายถึงสามารถขับอัตโนมัติได้เต็มรูปแบบโดยไม่ต้องการให้มนุษย์เข้ามาควบคุมรถเมื่อสิ่งแวดล้อมและสถานการณ์เข้าเงื่อนไขที่กำหนดไว้ ส่วนระดับ 5 คือขับอัตโนมัติได้เต็มรูปแบบในทุกสถานการณ์

No Descriptionภาพโดย SAE

ที่มา – Motional
ภาพรถทั้งหมดโดย Motional/Hyundai

from:https://www.blognone.com/node/124519

[รีวิว] ASUS Chromebook Flip CX5500: Chromebook รุ่น 2-in-1 มีปากกา ราคาสองหมื่นต้นๆ!

ถึงแม้ว่าในประเทศไทย Chromebook เครื่องคอมพิวเตอร์ Notebook ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Chrome OS จาก Google จะยังไม่ได้เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายมากนัก แต่ในต่างประเทศส่วนแบ่งตลาดของ Chromebook ก็ถือว่าค่อยๆ เติบโตและมีความโดดเด่นมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดด้านการศึกษา และการทำงานของธุรกิจสมัยใหม่ที่ใช้ Cloud เป็นหลัก

ในครั้งนี้ทีมงาน TechTalkThai ได้มีโอกาสทดลองใช้งาน ASUS Chromebook Flip CX5500 ที่ทางทีมงาน ASUS ส่งมาให้ทดลองใช้งานกัน ซึ่งจริงๆ แล้วก็เรียกได้ว่าเป็นการรีวิว Chromebook ครั้งแรกของทีมงานเราเลยก็ว่าได้ แต่ก็ได้ใช้รุ่นที่มีฟีเจอร์น่าสนใจมากมายอย่างรุ่นนี้กันแล้ว ซึ่งขอบอกเลยครับว่าการใช้ Chromebook ถือว่าเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ที่น่าสนใจมากทีเดียว ส่วนจะเป็นอย่างไรนั้น ไปติดตามรายละเอียดกันในบทความกันได้เลยครับ

ASUS Chromebook Flip CX5500 ในภาพรวม

ASUS Chromebook Flip CX5500 นี้ถูกออกแบบมาให้เป็น Chromebook รุ่นที่มีทั้งความสวยงามและหวือหวาน่าสนุกในตัว ทั้งด้วยการออกแบบด้วยโทนสี Immersive White ที่ให้สัมผัสเหมือนวัสดุเซรามิกภายนอกตัวเครื่องทำให้มีความเรียบหรู ส่วนภายในก็มีพื้นผิว Obsidian Velvet สีดำที่ให้สัมผัสนุ่มสบาย ไปจนถึงการออกแบบเครื่องในแบบ Convertible ซึ่งเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานได้หลากหลายด้วยการพลิกจอได้ 360 องศา พร้อมหน้าจอสัมผัส FHD แบบขอบบาง NanoEdge ขนาด 15.6 นิ้วที่รองรับปากกา USI Stylus ซึ่งใช้งานได้อย่างแม่นยำด้วย AI จาก Google เป็นการส่งมอบประสบการณ์การใช้งานที่หลากหลายผ่านระบบปฏิบัติการ Chrome OS ที่มีทั้งความสามารถของ Google Chrome และ Android รวมกัน

Credit: ASUS

ประสิทธิภาพของตัวเครื่องเองก็ถือว่าไม่ด้อยทีเดียว ด้วยการเลือกใช้หน่วยประมวลผล Intel Core Gen 11 รุ่นล่าสุดที่เลือกได้ทั้ง i3/i5/i7 พร้อม RAM 8/16GB, M.2 NVMe SSD PCIe 3.0 128/256/512GB และการ์ดจอที่เลือกได้ระหว่าง Intel UHD และ Intel Iris Xe ก็เรียกได้ว่าสามารถตอบโจทย์ได้ทุกช่วงความต้องการ

ตัวเครื่องสามารถเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สายได้ผ่าน WiFi 6 และมีพอร์ตมาให้ใช้อย่างครบถ้วนได้แก่ 1x USB 3.2 Gen 2 Type-A, 2x USB 3.2 Gen 2 Type-C support display / power delivery, 1x HDMI 2.0a, 1x Audio Jack, Micro SD card reader

สำหรับการประชุมงานและความบันเทิง ASUS Chromebook Flip CX5500 มาพร้อมกับกล้อง 720p HD และลำโพง harman/kardon certified (Premium) ที่มี Smart Amp Technology ช่วยให้คุณภาพเสียงคมชัด

เครื่องนี้ทนทานทั้งต่อการใช้งานอันหนักหน่วงด้วยการผ่านมาตรฐาน MIL-STD 810H และใช้งานได้ยาวนานด้วยแบตเตอรี่ที่ทดสอบแล้วว่าใช้งานได้นานประมาณ 11 ชั่วโมง

Credit: ASUS

ทั้งหมดนี้อยู่ในตัวเครื่องความหนาประมาณ 1.85 เซนติเมตร ที่หนัก 1.95 กิโลกรัม เรียกได้ว่าพอๆ กับ Notebook รุ่นทั่วๆ ไป แต่ใส่เทคโนโลยีที่น่าสนใจมาเยอะมากตั้งแต่ Software ไปจนถึง Hardware

ส่วนการรับประกันนั้น เครื่องนี้มาพร้อมกับการรับประกัน 3 ปี Onsite Service, การรับประกัน 3 ปี Global Warranty (ครอบคลุม 57 ประเทศทั่วโลก) และการรับประกันอุบัติเหตุ 1 ปีแรก

ผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/3yVh8wc

แกะกล่องทดลองใช้งานจริง

ถึงเวลาเปิดกล่องของ ASUS Chromebook Flip CX5500 มาใช้งานกันแล้วครับ ในกล่องนอกจากจะมีตัวเครื่องที่ห่อกันรอยมาเป็นอย่างดีแล้ว ก็ยังมีแถมตัวซองใส่ Chromebook มาให้ด้วย และยังมีเมาส์ไร้สาย, Adapter ชาร์จไฟแบบ USB-C และปากกา ASUS Pen มาให้ใช้ด้วยครับ โดยสเป็คของเครื่องที่รีวิจะเป็นดังนี้

  • CPU: Intel® Core™ i3-1115G4 Processor 3.0 GHz (6M Cache, up to 4.1 GHz, 2 cores)
  • RAM: 8GB
  • Disk: 256GB M.2 NVMe™ PCIe® 3.0 SSD
  • GPU: Intel® UHD Graphics
  • Network: WiFi 6
  • Interfaces: 1x USB 3.2 Gen 2 Type-A, 2x USB 3.2 Gen 2 Type-C support display / power delivery, 1x HDMI 2.0a, Micro SD card reader, 1x Audio Jack
  • OS: Google Chrome OS
Credit: ASUS

สัมผัสแรกของเครื่องนี้ตอนหยิบออกมาก็คือทำวัสดุออกมาค่อนข้างหรูมากครับ ด้วยตัวเครื่องที่ออกแบบมาด้วยโทนสีขาวภายนอกและสีดำภายในซึ่งเลือกสีมาให้เข้ากันได้เหมาะสมดี โดยตัวเครื่องดูแข็งแรงดีด้วยฝาที่ทำจากวัสดุ Aluminium-Alloy ที่เคลือบแบบพิเศษทำให้ตอนจับจะรู้สึกเหมือนจับเซรามิกเย็นๆ อยู่ ในขณะที่ตรง Keyboard ในตัวเครื่องก็ทำสัมผัสมาได้ดีไม่แพ้กัน

น้ำหนักของเครื่องถือว่าหนักอยู่ครับกับน้ำหนัก 1.95 กิโลกรัม เรียกได้ว่าตอนใช้งานจริงเน้นวางเป็นหลักๆ น่าจะดีกว่าถือพกพาไปมา ซึ่งก็ถือว่าสมเหตุสมผลเพราะเครื่องนี้มาพร้อมกับจอขอบบาง NanoEdge ที่ใหญ่ถึง 15.6 นิ้วแบบ FHD ก็ทำให้การใช้งานจริงสบายตาดีครับ

ทั้งนี้ด้วยตัวเครื่องที่ออกแบบมาแบบ Flip คือเป็น Convertible Laptop ที่สามารถพลิกจอได้ 360 องศา ทำให้สามารถใช้งานได้ทั้งในแบบ Notebook ธรรมดา, แบบวาง Keyboard คว่ำลงไปกับโต๊ะ, กางเป็น Tent หรือแม้แต่จะพลิกจนกลายเป็น Tablet เลยก็ได้ แต่ด้วยน้ำหนักของตัวเครื่องการจะถือไปไหนมาไหนในแบบ Tablet ก็อาจลำบากเล็กน้อย แต่ถ้าวางใช้กับโต๊ะนี่ถือว่าค่อนข้างตอบโจทย์เลยครับ เหมาะกับการใช้ปากกาวาดรูปบนโต๊ะมากๆ

Credit: ASUS

สำหรับตัวเครื่องที่ได้มารีวิวนี้ ทางทีม ASUS ได้มีการติดตั้งเบื้องต้นและมีการผูกเครื่องเข้ากับ Demo Account มาให้อยู่แล้ว โดย Account ดังกล่าวนี้ก็คือ Google Account นั่นเองครับ ทำให้เมื่อเรา Login เข้าไปแล้ว ตัว Chromebook ก็จะดึงข้อมูลต่างๆ จาก Account ของเรามาให้ใช้งานในเครื่องได้เลย

พอ Login เข้าเครื่องไปแล้ว เราก็จะพบกับหน้าจอที่ให้ความรู้สึกเหมือนเป็น Android นิดๆ Google Chrome หน่อยๆ ซึ่งใครที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของ Google มาก่อนก็น่าจะเริ่มต้นลองใช้งานได้แทบจะทันทีครับ

สำหรับวิธีการใช้งาน Application ต่างๆ ในเครื่องนี้จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนด้วยกัน ได้แก่

  1. App ที่อยู่บน Google Chrome ครับ เรายังสามารถติดตั้ง App เสริมต่างๆ บน Browser ได้เหมือนกับที่เคยใช้บน PC เลย
  2. App ใน Google Play ครับ ดังนั้นใครที่ใช้ App อะไรทำงานบน Android มาก่อน ก็สามารถโหลดมาใช้งานบนเครื่องได้เลย ถึงแม้บาง App ก็อาจจะไม่รองรับบ้าง แต่ App หลักๆ มีครบครับ

คราวนี้ก็ได้เวลาลองเชื่อมต่อปากกา ASUS Pen ที่แถมมาด้วยแล้ว วิธีการก็ไม่ยากครับ หมุนตรงปลายปากกา แล้วเอาแผ่นพลาสติกกั้นถ่านออก จากนั้นก็หมุนปลายปากกากลับไป จากนั้นก็ใช้ปากกาสัมผัสหน้าจอได้เลยครับ

เพียงเท่านี้ ASUS Chromebook Flip CX5500 ของเราก็จะรองรับทั้งการพิมพ์ผ่าน Keyboard, สัมผัสผ่าน Touchpad, สัมผัสผ่านหน้าจอด้วยนิ้ว และการใช้ปากกา ASUS Pen แล้วครับ ส่วนใครจะเพิ่ม Mouse เข้าไปอีกก็สามารถทำได้ไม่ยากเช่นกัน

สำหรับการใช้งานด้วย Keyboard และ Touchpad นั้นก็เรียกได้ว่าไม่ต่างจาก Notebook ปกติเลยครับ ตัว Keyboard Layout ก็ถือว่าค่อนข้างปกติ และยังคงมี Shortcut ต่างๆ ให้ใช้เพื่อเพิ่มความเร็วในการทำงานกับ Browser หรือ App ต่างๆ ได้ ก็จะเป็นจุดเด่นที่เหนือกว่าการใช้ Tablet แบบสัมผัสหน้าจอปกติครับ

ส่วนการใช้งานด้วยนิ้วสัมผัสบนหน้าจอนั้น ก็จะมีความคล้ายคลึงกับการใช้ Tablet เลยคือมีการตอบสนองที่รวดเร็วทันใจมาก และค่อนข้างแม่นยำแม้ปุ่มจะเล็กแต่ก็กดแทบไม่พลาดเลย ทำการปัดหน้าจอไปมาสำหรับ Android App ได้ ในขณะที่การใช้ Google Chrome ด้วยนิ้วสัมผัสบนหน้าจอใหญ่ๆ ก็ทำให้เข้าถึงเนื้อหาต่างๆ ได้รวดเร็วกว่าการใช้ Touchpad หรือ Mouse ครับ

สุดท้ายคือการใช้ปากกา ASUS Pen โดยทั่วไปจะคล้ายคลึงกับการใช้นิ้วสัมผัสบนหน้าจอครับ แต่เวลาจิ้มลงไปที่ช่องสำหรับพิมพ์ตัวหนังสือ เราจะสามารถเลือกได้ว่าจะใช้ปากกาเขียนภาษาอะไร และสามารถเปลี่ยนภาษาที่เราต้องการได้เหมือนเวลาใช้ Keyboard บน Android เพื่อให้ระบบสามารถแปลงลายมือของเราไปยังภาษานั้นๆ ได้อย่างแม่นยำ โดยรวมแล้วการแปลงลายมือนี้แม่นมากๆ แต่ก็อาจจะต้องฝึกใช้ให้คุ้นชินเรื่องของการเว้นวรรคหรือการเขียนคำยาวๆ ต่อกันอยู่บ้างครับ ซึ่งการเขียนนี้จะเปิดให้ใช้ได้เมื่อเราพลิกหน้าจอไปเกินกว่า 180 องศาเพื่อใช้งานในโหมดอื่นๆ นอกจากโหมดปกติแล้วเท่านั้นครับ

คราวนี้อีกจุดหนึ่งที่ถือว่าทำมาได้น่าสนใจมากๆ คือการเก็บปากกาของเครื่องนี้ โดย ASUS Chromebook Flip CX5500 นี้จะมีแถมปลอกปากกาที่มี Interface สำหรับเสียบเข้ากับช่อง Micro SD Card Reader แบบเบาๆ ได้โดยอาศัยแม่เหล็ก ทำให้สามารถถอดเสียบใช้งานได้ค่อนข้างสะดวก ถือพกพาไปไหนได้ค่อนข้างง่ายไม่หล่นหายไปไหน แต่ถ้าเก็บในกระเป๋าแล้วมีอะไรไปชน หรือถืออยู่แล้วเผลอเอามือไปปัดโดน ปากกาก็อาจจะหล่นได้ครับ

ในแง่ของการใช้งานโดยทั่วไปนั้นไม่ติดขัดอะไร ตัวเครื่องจัดการ CPU กับ Memory ได้ค่อนข้างดีทำให้สามารถเปิด App ต่างๆ ทำงานได้อย่างลื่นไหลแม้ตัวเครื่องที่ได้มาจะมีสเป็คของ CPU ที่ไม่แรงมากนัก แต่ก็เพียงพอต่อการทำงานแล้ว

ทางด้านของการทำงานนั้น App มาตรฐานสำหรับการทำงานทั้งจาก Google นั้นมีตัวหลักๆ ครบหมด ใช้ทำงานได้แน่นอน ส่วน App ประชุมก็มีครบแทบจะทุกค่ายใหญ่ๆ เปิดกล้องพอใช้ประชุมทำงานได้ถึงแม้ภาพจะไม่ได้ละเอียดมากนัก ส่วนระบบเสียงวางใจได้เพราะใช้ลำโพงคู่ harman/kardon certified เสียงออกมาค่อนข้างดี โดยไมโครโฟนก็ใช้งานได้ปกติไม่มีปัญหาอะไร แถมยังใช้ระบบสั่งคำสั่งผ่านเสียงกับ Google Assistant ได้อีกด้วย

สำหรับการเรียน ตัวเครื่องก็มี App ทางการศึกษาให้ใช้งานเหมือนที่มีบน Android แต่สำหรับโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยที่ใช้เครื่องมือจาก Google เป็นหลักก็ถือว่าเป็นเครื่องที่เหมาะมากเลยครับ เพราะรองรับเครื่องมือทั้งหมดครบถ้วนในตัวเลย

ตอนทดลองใช้งานจริงถือว่าโอเคเลยครับ โดยปกติใช้งานได้โดยไม่ได้ช้าหรือติดขัดอะไร การอัปเดต Google Chrome OS ก็ทำได้ง่ายๆ ไม่มีปัญหา รู้สึกคล้ายกับการอัปเดต Google Chrome บนเครื่องคอมเลยครับ แต่ว่าตอนใช้งานไปบางครั้งจะมีบางช่วงที่ CPU ทำงานจนพัดลมดังทั้งๆ ที่ไม่ได้เปิด App อะไร คิดว่าคงเป็นการทำงานของ System ซักส่วน ซึ่งระหว่างนั้นเครื่องก็ใช้งานได้ปกติ และรอซักพักทุกอย่างก็กลับเป็นปกติครับ

ต่อไปนี้จะเป็นผล Benchmark นะครับ โดยเริ่มจากทดสอบการใช้ซอฟต์แวร์ด้วย https://benchmarks.ul.com/ ในแง่การใช้ทำงานเอกสารถือว่าผ่านดีไม่มีประเด็นอะไรครับ ส่วนการใช้เล่นเกมนั้นสำหรับเกมที่ไม่ได้ต้องแสดงผลกราฟฟิกเข้มข้นมากนัก ก็ถือว่าใช้ได้เลย

ถัดมาคือการทดสอบการใช้ Web Application ด้วย https://browserbench.org/ โดยรวมถือว่าผ่านด้วยคะแนนที่โอเคเลยครับ

จุดเด่นที่ชอบ

1. ใช้แล้วรู้สึกเหมือนกำลังใช้ทั้ง Notebook และ Tablet ไปพร้อมๆ กัน

ตอนก่อนที่ได้มารีวิวคิดว่าเครื่องนี้จะคล้ายๆ กับเครื่อง Convertible หรือ Detachable อื่นๆ ที่รองรับปากกา แต่พอใช้งานจริงกลับรู้สึกว่ามันเป็นลูกผสมระหว่าง Notebook และ Tablet มากกว่าครับ เพราะเราสามารถผสมผสานระหว่าง Keyboard, Mouse, นิ้ว, ปากกาในการทำงานต่างๆ ได้ ทำให้งานบางงานสามารถทำได้เร็วขึ้น แต่แรกๆ ก็คงต้องลองผิดลองถูกจนชินก่อนครับว่าเวลาทำอะไรต้องใช้วิธีการไหนถึงจะสะดวกที่สุด

แต่จุดที่ทำให้รู้สึกต่างมากจริงๆ ก็คือระบบปฏิบัติการนี่แหละครับ ปกติถ้าใช้เครื่องที่เป็น Windows ประสบการณ์ในการใช้นิ้วและปากกาก็อาจจะไม่ได้คล้ายกับ Tablet มากนัก แต่เครื่องนี้ถือว่ามีความคล้ายมาก ทั้งการออกแบบปุ่มเพิ่มลดเสียงหรือเปิดปิดเครื่องที่ด้านข้าง ไปจนถึงตำแหน่งวางปุ่มต่างๆ ที่มีกลิ่นอายของ Android

สิ่งที่ทำให้ ASUS Chromebook Flip CX5500 นี้เหนือกว่า Tablet ทั่วๆ ไปก็คือความสามารถในการทำงานแบบ Multitasking ได้อย่างเต็มที่นั่นเองครับ เราสามารถเปิดหลายๆ หน้าต่างทำงานพร้อมๆ กันได้ สลับหน้าต่างไปมาได้ง่ายในแบบ Notebook แต่ใช้ App ในแบบ Mobile ทำงาน และด้วย Keyboard Shortcut ก็ยิ่งทำให้การทำงานเร็วขึ้นไปอีก รองรับการใช้งานได้หลายรูปแบบเลยครับ

2. เปิดปิดเร็วจนน่าตกใจ!

เครื่องที่ได้มาทดสอบนี้ใช้เวลาในการเปิดปิดเครื่องที่เร็วมากๆ ครับ โดยการเปิดใช้เวลาประมาณ 5 วินาที ส่วนการปิดใช้เวลาประมาณ 10 วินาที และการดับหน้าจอหรือปลุกหน้าจอกลับขึ้นมาใช้งานนั้นอยู่ในระดับต่ำกว่า 1 วินาที ก็คล้ายๆ กับ Tablet ที่บูทเครื่องเร็วๆ นั่นเองครับ

3. ปากกาที่มีประสบการณ์การใช้งานดีมากๆ เขียนแล้วแปลงลายมือได้แม่นทั้งภาษาไทยและอังกฤษ

จุดที่ประทับใจมากคือ AI แปลงลายมือที่ทำงานได้แม่นมากๆ ไม่ว่าจะใช้ภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษก็ตาม ทำให้ในการใช้งานปากกาเพียงอย่างเดียวก็สามารถใช้ท่องเว็บได้สบายๆ โดยไม่ต้องใช้ Keyboard เลย และด้วยปากการที่สัมผัสในการกดที่ค่อนข้างดี กับความฝืดในการเขียนหน้าจอที่กำลังดี ก็ทำให้ลายมือออกมาไม่แย่มาก เขียนแล้ว AI อ่านออกได้ครับ

ตัวปากกานี้จะเป็นแบบ USI Stylus ที่รองรับน้ำหนักกดได้ 4096 ระดับ เพียงแต่ว่ามีสิ่งที่ต้องรู้คือตัวปากกาใช้ถ่านนะครับ ซึ่งทาง ASUS ระบุว่าอายุการใช้งานจะอยู่ที่ราวๆ 300 วัน ดังนั้นก็อาจต้องซื้อถ่านเปลี่ยนทุกๆ ปีครับ

4. เรียนรู้ง่าย ใช้ Android กับ Google Chrome เป็นก็ใช้ Chromebook เป็น

ทั้งๆ ที่การรีวิวครั้งนี้เป็นการลองใช้งาน Chrome OS เป็นครั้งแรก แต่จากประสบการณ์ที่ใช้ Google Chrome และ Android เป็นหลักในชีวิตประจำวัน ก็ทำให้จัดการกับตัวเครื่องได้สบายๆ ครับ ทั้งหน้าจอ Setting ที่คล้ายๆ Google Chrome และการจัดการ App ในแบบของ Android ก็เล่นประมาณ 5 นาทีก็ใช้เป็นแล้วครับ

5. รองรับ App สำหรับการเรียนและการทำงานครบถ้วน ลงเกม Android หรือดูหนังฟังเพลงก็ได้

ด้วยการรองรับ App บนทั้ง Google Chrome และ Google Play ก็ทำให้เรามีทางเลือกหลากหลายค่อนข้างมากในการทำงานและการเรียนครับทั้ง Google Workspace, Google Doc, Google Sheet ไปจนถึง Google Classroom ส่วนถ้าจะคล้ายเครียดก็ลงเกม Android หรือดู YouTube/Netflix ได้เลยครับ

6. Guest Mode ไม่ได้เป็นเจ้าของเครื่องก็ใช้งานเบื้องต้นได้

ปัญหาปกติที่เรามักเจอเวลาให้คนอื่นยืมใช้งานเครื่องเราก็คือเราอาจเสียความเป็นส่วนตัวหรือถูกติดตั้งอะไรแปลกปลอมมาในเครื่องได้ ASUS Chromebook Flip CX5500 สามารถแก้ปัญหานี้ได้ด้วยฟีเจอร์ Guest Mode ของ Chrome OS ที่คนอื่นๆ สามารถมาใช้งานเครื่องเราได้โดยไม่ Login ในแบบ Guest นั่นเองครับ แต่จะใช้ได้แค่ Google Chrome เข้าเว็บต่างๆ หาข้อมูลพื้นฐานเท่านั้นโดยไม่เห็นข้อมูลส่วนตัวหรือประวัติการใช้งานใดๆ ของเราเลย และเมื่อ Guest ใช้เสร็จตัวเครื่องก็ไม่เก็บประวัติของ Guest เอาไว้ด้วยเช่นกัน

เครื่องนี้เหมาะกับใคร?

จากการลองใช้งานจริง เครื่อง ASUS Chromebook Flip CX5500 นี้น่าจะเหมาะกับกรณีการใช้งานที่เด่นๆ ดังนี้ครับ

  1. โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยที่ต้องการมีเครื่องในนักเรียนนักศึกษายืมใช้งาน ด้วยราคาที่ถือว่าไม่แพงมาก, ตัวเครื่องที่ดูแลรักษาง่ายไม่ซับซ้อน, การรองรับการทำงานร่วมกับเทคโนโลยีของ Google ได้ครบถ้วน และวิธีการใช้งานที่สนุกน่าสนใจ ก็น่าจะตอบโจทย์ในส่วนนี้ดีครับ
  2. ธุรกิจที่ใช้งานบริการ Cloud เป็นหลัก ด้วยตัวเครื่องที่ดูแลรักษาง่าย มีความมั่นคงปลอดภัยสูง และรองรับการทำงานได้หลายรูปแบบ เป็นได้ทั้ง Notebook และ Tablet ในตัว ก็สามารถใช้ทำงานโดยมี Google Workspace เป็นหัวใจหลักได้ครับ

ติดต่อทีมงาน ASUS ประเทศไทย

สำหรับผู้ที่สนใจสินค้าของ ASUS และต้องการข้อมูลรายละเอียดต่างๆ สามารถเข้าไปเยี่ยมชมรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ https://www.asus.com/th/business/

from:https://www.techtalkthai.com/asus-chromebook-flip-cx5500-review/

รีวิว ASUS Chromebook Flip CX5 โน๊ตบุ๊ค Chrome OS แบตอึด ใช้ง่ายเหมือนแท็บเล็ตแอนดรอยด์

ASUS Chromebook Flip CX5 โน๊ตบุ๊ค Chrome OS ที่มีให้เห็นน้อยรุ่นแต่ก็ถือว่าน่าใช้ทีเดียว

asus chromebook cover

นอกจาก Windows และ macOS ที่รู้จักกันดีแล้ว ASUS Chromebook Flip CX5 รุ่นนี้จะเป็นโน๊ตบุ๊ครุ่นที่แหวกขนบเดิม ๆ ด้วยการติดตั้ง Chrome OS ระบบปฏิบัติการที่ Google เป็นผู้พัฒนาและออกแบบด้วยตัวเอง นับเป็นสินค้าชิ้นหนึ่งใน ecosystem ที่หลาย ๆ บริษัทกำลังโฟกัสกันเป็นอย่างมาก และจุดเด่นของ Chrome OS เอง จะมีจุดเด่นเรื่องการทำงานที่รวดเร็ว, แบตเตอรี่ใช้งานต่อเนื่องได้นาน โดย Google เคลมไว้ว่าใช้ได้นานร่วม 12 ชั่วโมงและเป็นจอทัชสกรีนอีกด้วย นอกจากนี้ภาพจำเดิม ๆ ว่า Chrome OS จะใช้งานได้ต้องต่อเน็ตตลอดเวลาทิ้งไปโดยระบบปฏิบัติการจะจัดการดาวน์โหลดข้อมูลที่จำเป็นมาเก็บเอาไว้ในเครื่องให้ใช้งานได้ตลอดเวลาแล้วด้วย

อย่างไรก็ตามผู้ใช้ชาวไทยอาจจะไม่คุ้นเคยกับระบบปฏิบัติการนี้นัก เนื่องจากมีโน๊ตบุ๊คที่ติดตั้งระบบปฏิบัติการนี้ไม่กี่รุ่น แต่จริง ๆ แล้วถ้าใครใช้ Google Chrome และแอพฯ ของ Google เป็นประจำล่ะก็ ASUS Chromebook Flip CX5 เครื่องนี้นับว่าตอบโจทย์การทำงานได้ดีไม่แพ้โน๊ตบุ๊คที่ติดตั้งระบบปฏิบัติการ Windows 10 เลย เพราะนอกจากมีแอพฯ ของ Google มาให้แบบครบเครื่องก็ยังติดตั้งแอพฯ Android ลงไปในเครื่องได้โดยตรง ไม่ต้องพึ่งโปรแกรมแปลงแอพฯ มือถือมาเล่นในคอมให้วุ่นวายอีกด้วย

ASUS Chromebook Flip CX5

นอกจากนี้จุดเด่นที่ยิ่งทำให้ ASUS Chromebook Flip CX5 ตัวนี้ยิ่งเหมาะกับผู้ใช้หลากหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะนักเรียนหรือคนทำงานเพราะเราสามารถใช้ความคุ้นเคยจากที่เคยใช้สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต Android ต่าง ๆ มาปรับและทำความเข้าใจกับโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้ได้แล้ว หน้าจอยังเป็นทัชสกรีนและได้ ASUS Pen ปากกาสไตลัสแบบ USI (Universal Stylus Initiative) มาด้วยและยังต่อหน้าจอแยกพร้อมกัน 2 จอได้สบาย ๆ ทำให้คนที่ยกโน๊ตบุ๊คไปทำงานแล้วต่อหน้าจอเสริมทำงานได้สะดวกขึ้นมาก รวมทั้งใช้งานต่อเนื่องได้หลายชั่วโมง รวมทั้งมีชิป Titan C ที่เป็นชิปรักษาความปลอดภัยออนไลน์จาก Google ติดตั้งมาให้ด้วย

NBS Verdict

ASUS Chromebook DSC06121

ASUS Chromebook Flip CX5 กับ Chrome OS นั้น ถึงจะดูแปลกตาแหวกแนวจากโน๊ตบุ๊คทั่วไปที่วางขายในประเทศไทยบ้าง แต่จริง ๆ แล้วนี่คือโน๊ตบุ๊คที่สามารถใช้ความคุ้นเคยจากที่เคยใช้สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต Android มาปรับใช้งานได้โดยตรง ได้หน้าจอทัชสกรีนและปากกา ASUS Pen มาใช้เขียนจดหรือเซ็นเอกสารที่ต้องใช้งานได้ทันที จัดว่ามีฟีเจอร์หลัก ๆ สำหรับใช้งานค่อนข้างครบถ้วนไม่พอ ยังติดตั้งแอพฯ Android เข้าไปใช้งานในเครื่องได้เลยโดยไม่ต้องผ่านโปรแกรมแปลงแอพฯ และใช้งานต่อเนื่องได้หลายชั่วโมงแถมยังต่อหน้าจอแยกได้ 2 จอพร้อมกันอีกด้วย นับว่าตอบโจทย์คนที่ทำงานผ่านทางเบราเซอร์และใช้แอพฯ ของ Google เป็นอย่างมาก

นอกจากนี้เรื่องการพับตัวเครื่องกลับได้ 360 องศา ก็ทำให้ผู้ใช้สามารถปรับโหมดการใช้งานได้สะดวกทั้งแท็บเล็ตหรือโน๊ตบุ๊คก็ได้ ทำให้เลือกใช้งานในรูปแบบต่าง ๆ ได้สะดวกมาก ถ้านั่งทำงานในออฟฟิศก็ใช้เป็นทรงโน๊ตบุ๊คที่คุ้นเคยก็ได้ เปลี่ยนไปสเก็ตช์ไอเดียต่าง ๆ ในโหมดแท็บเล็ตหรือตั้งเป็นทรงเต็นท์เวลานั่งดูหนังฟังเพลงแล้วใช้นิ้วแตะหน้าจอได้เหมือนกับใช้แท็บเล็ตสักเครื่องก็ได้

แต่จุดสังเกตหลัก ๆ ที่คิดว่าทาง ASUS จะนำไปปรับปรุงให้ Chromebook Flip รุ่นต่อ ๆ ไปให้น่าใช้งานมากยิ่งขึ้น คือฟีเจอร์การปลดล็อคตัวเครื่องที่ควรติดตั้งระบบสแกนนิ้วหรือใบหน้าเข้ามาให้ใช้งานได้สะดวกขึ้น เวลาปลดล็อคเครื่องหรือจ่ายเงินบนเว็บไซต์ต่าง ๆ จะได้ปลอดภัยกว่าการพิมพ์รหัสผ่านอย่างเดียวด้วย และส่วนของการเก็บงานบางจุดอย่างเช่นทัชแพดที่ขอบยังมีอาการหลวมอยู่บ้าง ซึ่งไม่ควรมีอาการนี้ในโน๊ตบุ๊คยุคปัจจุบันแล้ว ซึ่งหาก ASUS นำสองจุดนี้ไปจัดการอีกสักหน่อย เชื่อว่าจะทำให้ผู้ใช้ที่อยากลองใช้โน๊ตบุ๊คประเภทนี้มากขึ้นอย่างแน่นอน

จุดเด่นของ ASUS Chromebook Flip CX5
  1. ติดตั้งซีพียู Intel รุ่นที่ 11 มาให้ สามารถทำงานได้เร็วและประหยัดพลังงาน
  2. ระบบปฏิบัติการ Chrome OS สตาร์ทเครื่องพร้อมใช้งานได้เร็ว ใช้ความคุ้นเคยตอนใช้งานสมาร์ทโฟน Android มาปรับใช้กันได้เลย
  3. พอร์ต USB-C 3.2 Gen 2 รองรับการชาร์จแบตเตอรี่แบบ Power Delivery ต่อหน้าจอแยกได้ ติดตั้งมาให้ใช้ 2 ช่อง คู่กับพอร์ต USB-A 3.2 Gen 2 และมี HDMI 2.0a ด้วย
  4. แบตเตอรี่ใช้งานต่อเนื่องได้หลายชั่วโมง เปลี่ยนจากโหมด Sleep มาพร้อมใช้งานได้เร็ว
  5. หน้าจอทัชสกรีน ทำให้ใช้งานได้สะดวกเหมือนใช้แท็บเล็ตเครื่องหนึ่ง
  6. มีปากกา ASUS Pen ที่เป็น USI Stylus ใช้เขียนได้สะดวกและตอบสนองได้ค่อนข้างดี
  7. งานประกอบตัวเครื่องแข็งแรง พับหน้าจอกลับได้ 360 องศาเป็นแท็บเล็ตได้
  8. โหลดและติดตั้งแอพฯ Android ลงไปในเครื่องได้โดยตรงเหมือนใช้มือถือหรือแท็บเล็ต ไม่ต้องผ่านแอพฯ หรือโปรแกรมแปลงใด ๆ
  9. ออกแบบตัวเครื่องแบบมีขาตั้งและยกตัวเครื่องขึ้น 3 องศา ทำให้พิมพ์งานสะดวกขึ้น
  10. ลำโพงปรับแต่งเสียงโดย harman/kardon ให้เสียงที่ดีและมีเบสระดับฟัง EDM ได้ค่อนข้างสนุก
  11. ได้พื้นที่ Google Drive ในแพ็คเกจ Google One ฟรี 100GB นาน 12 เดือน
  12. ตัวเครื่องเย็นและระบายความร้อนได้ดี ไม่มีปัญหาเรื่องเครื่องร้อนเลยแม้แต่น้อย
  13. ติดตั้งชิป Titan C สำหรับรักษาความปลอดภัยตัวเครื่องมาให้ในตัวเครื่องด้วย
ข้อสังเกตของ ASUS Chromebook Flip CX5
  1. ขอบแป้นทัชแพดมีอาการหลวมเล็กน้อย ไม่แน่นเท่าที่ควร
  2. ปลดล็อคเครื่องด้วยการพิมพ์รหัสผ่านเท่านั้น ไม่มีฟีเจอร์สแกนหน้าหรือนิ้วติดตั้งมาให้
  3. อาจเล่นแอพฯ เกมบางเกมที่เป็น FPS ไม่ได้เนื่องจากตัวแอพฯ มองว่าเป็นการเล่นเกมจาก Emulator
  4. ติดตั้งได้แต่แอพฯ สมาร์ทโฟนหรือใช้งานเว็บแอพฯ เท่านั้น ถ้าต้องการใช้โปรแกรมแบบ Windows ต้องมีเวอร์ชั่นแอพฯ ใน Play Store ด้วยถึงจะใช้งานได้

รีวิว ASUS Chromebook Flip CX5

Specification

สเปคของ ASUS Chromebook Flip CX5 นั้น จะมีให้เลือกหลากหลายสเปค ตั้งแต่ซีพียู Intel Core i3 ไปจน Intel Core i7 และเป็น Intel Core รุ่นที่ 11 ทั้งหมด ทำให้ทำงานได้เร็วและประหยัดพลังงาน มีปากกา USI Stylus ของ ASUS แถมมาให้ใช้เขียนบนหน้าจอได้เลยและเป็นจอความละเอียด Full HD แล้ว ทำให้ภาพที่แสดงบนหน้าจอคมชัดสวยงามทีเดียว

สเปคของเครื่องที่ได้รับมาทดสอบใช้ซีพียู Intel Core i3-1115G4 แบบ 2 คอร์ 4 เธรด ความเร็ว 3.0-4.1 GHz สถาปัตยกรรม Tiger Lake รุ่นใหม่ล่าสุด การ์ดจอออนบอร์ดรุ่น Intel UHD Graphics สามารถต่อหน้าจอเสริมแล้วแสดงความละเอียดได้สูงสุดระดับ 4K 60Hz ผ่านพอร์ต HDMI หรือ 7680×4320 พิกเซล 60 Hz ผ่าน DisplayPort ฮาร์ดดิสก์เป็น SSD แบบ M.2 NVMe อินเตอร์เฟส PCIe 3.0 ความจุ 256GB ติดตั้งระบบปฏิบัติการ Chrome OS มาให้ แรมมีความจุ 8GB LPDDDR4x แบบออนบอร์ด ส่วนหน้าจอเป็นจอทัชสกรีนขนาด 15.6 นิ้ว ความละเอียด Full HD รองรับการใช้ Stylus ในตัว เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ผ่านทาง Wi-Fi 6 และรองรับ Bluetooth มีปากกา ASUS Pen แถมมาให้ในกล่องด้วย

Hardware & Design

ASUS Chromebook DSC06116

บอดี้ของ ASUS Chromebook Flip CX5 จะเป็นดีไซน์ตัวเครื่องสีทูโทนคือด้านนอกเครื่องเป็นพลาสติกสีขาวด้านเนื้อแข็ง จับแล้วให้ความรู้สึกแข็งแรงและแน่น ส่วนด้านในเป็นพลาสติกเนื้อแข็งสีดำด้านให้ความรู้สึกเท่แบบเรียบง่ายดูดีทีเดียว ส่วนกรอบหน้าจอจะเป็นสีดำปิดด้วยกระจกเต็มบานหน้าเครื่อง

ASUS Chromebook DSC06114

ASUS Chromebook DSC06112
ASUS Chromebook DSC06111

ส่วนด้านหลังเครื่องจะเป็นพื้นสีขาวเรียบ มีโลโก้ Google Chrome กับคำว่า chromebook อยู่มุมบนซ้ายมือเป็นการสกรีนนูนติดเอาไว้ โลโก้ ASUS ตรงกลางเป็นอลูมิเนียมสีเงินสะท้อนแสง ส่วนด้านล่างจะเห็นขาฐานจออลูมิเนียม 2 ชิ้นติดเอาไว้ทั้งสองฝั่งซ้ายขวา

ASUS Chromebook DSC06110
ASUS Chromebook DSC06122

ตรงส่วนมุมด้านล่างของหน้าจอด้านส่วนขาฐานหน้าจอจะมีชิ้นครีบพลาสติกเล็ก ๆ ติดเอาไว้ด้านละ 1 ชิ้น เวลากางหน้าจอแล้วตัวเครื่องจะยกขึ้น 3 องศา ทำให้แป้นคีย์บอร์ดยกขึ้นตอนวางมือพิมพ์งานแล้วข้อมือจะไม่ติดกับที่วางข้อมือเกินไปและทำให้พิมพ์งานได้สะดวกกว่าเดิม

ASUS Chromebook DSC06166
ASUS Chromebook DSC06167

นอกจากนี้ ASUS ยังเสริมชิ้นครีบพลาสติกที่ส่วนล่างถัดจากขาฐานจออลูมิเนียมและขอบตัวเครื่องด้วย เวลาพับเครื่องเป็นแท็บเล็ตแล้ววางลงพื้นจะช่วยยกแป้นคีย์บอร์ดขึ้นเล็กน้อย ไม่ให้ปุ่มคีย์บอร์ดแนบติดกับพื้นโต๊ะที่วางโดยตรงเพื่อไม่ให้เกิดริ้วรอยที่ปุ่มคีย์บอร์ด จัดว่าทาง ASUS ใส่ใจเรื่องการออกแบบได้ดีทีเดียว

ASUS Chromebook DSC06104

ส่วนด้านใต้เครื่องจะเป็นสีขาวเรียบเหมือนกัน มียางรองใต้เครื่อง 4 มุม ตรงกลางด้านบนเป็นช่องดูดอากาศสำหรับนำไประบายความร้อนในตัวเครื่องและเป่าออกที่ช่องเหนือคีย์บอร์ดแบบโน๊ตบุ๊คหลาย ๆ รุ่นในปัจจุบัน มีช่องลำโพงที่ขอบด้านล่างซ้ายขวาอย่างละช่อง

ASUS Chromebook DSC06123

 

และเพราะตัวฐานหน้าจอเป็นอลูมิเนียมและออกแบบเป็น 360 ErgoLift hinge ทำให้พับตัวเครื่องกลับได้ 360 องศา นอกจากเป็นแบบโน๊ตบุ๊คทั่ว ๆ ไปแล้วยังเปลี่ยนเป็นทรงเต็นท์หรือแท็บเล็ตได้ด้วยตามความสะดวกของเรา และเมื่อกางหน้าจอเกิน 180 องศาเมื่อไหร่ Chrome OS จะเปลี่ยนรูปแบบการแสดงผลหน้า UI จากโหมดโน๊ตบุ๊ค โดยเปลี่ยนเป็นหน้ารวมแอพฯ ทั้งหมดแทนแล้วใช้งานแบบแท็บเล็ตโดยอัตโนมัติ

 

ซึ่งการออกแบบให้พับตัวเครื่องกลับ 360 องศาได้ ทำให้เปลี่ยนโหมดการใช้งาน ASUS Chromebook Flip CX5 ได้หลากหลายแบบตามสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นโน๊ตบุ๊คตอนนั่งทำงานบนโต๊ะตามปกติหรือจะเปลี่ยนเป็นแท็บเล็ตเวลาต้องการเขียนจดหรือสเก็ตช์ไอเดียต่าง ๆ ให้เห็นได้ง่าย ๆ อีกด้วย หรือจะเอาไปใช้แบบอื่นก็ได้ตามความสะดวกของแต่ละคน

Keyboard & Touchpad

ASUS Chromebook DSC06140

ดีไซน์ของคีย์บอร์ดจะเป็นแบบ Full-size เหมือนกับโน๊ตบุ๊คขนาด 15.6 นิ้วหลาย ๆ รุ่นและเป็นปุ่มแบบ ANSI ที่ปุ่ม Enter จะเป็นขนาดใกล้เคียงกับปุ่ม Shift โดยเว้นพื้นที่เอาไว้ให้ปุ่ม “\” เอาไว้หนึ่งปุ่ม ด้านข้างเป็นปุ่ม Numpad พร้อมปุ่ม Function ด้วย และแยกโซนปุ่มต่าง ๆ เอาไว้ชัดเจน แต่สังเกตว่าปุ่มตัวเลขที่ Numpad จะเป็นปุ่มขนาดเล็กทรงเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าแนวตั้ง ซึ่งตอนใช้งานจริงบางครั้งจะค่อนข้างเล็กไปบ้างและต้องปรับตัวให้คุ้นเคยสักหน่อยถึงจะกดได้คล่องเหมือนแป้น Numpad ขนาดปกติ และตัวคีย์บอร์ดจะมีแสงไฟ LED Backlit แบบลอดข้างปุ่ม ไม่ลอดตัวอักษรขึ้นมา

ASUS Chromebook DSC06141

ASUS Chromebook DSC06145
ASUS Chromebook DSC06153

โซนปุ่ม F1-F12 ที่มีให้ใช้งานในโน๊ตบุ๊ค Windows กลายเป็นปุ่ม Function สำหรับใช้คุมการทำงานตัวเครื่องอย่างเดียวเท่านั้น โดยไล่จากปุ่ม Esc ไปทางขวามือจะเป็นดังนี้

  • ปุ่ม Back
  • ปุ่ม Refresh
  • ปุ่มเปลี่ยนโหมด Google Chrome เป็นโหมด Full Screen เหมือนกด F11
  • ปุ่มหน้ารวมแอพฯ ที่มีฟังก์ชั่นสร้างหน้า Desktop ใหม่ในตัว
  • ปุ่มเซฟภาพหน้าจอ เมื่อกดแล้วเลือกพื้นที่ที่ต้องการเซฟเสร็จแล้วต้องกด Enter เพื่อแคปภาพ
  • ปุ่มเพิ่มและลดแสงสว่างหน้าจอ 2 ปุ่ม
  • ปุ่มปิด, ลด และเพิ่มเสียงลำโพงรวม 3 ปุ่ม
  • ปุ่มรูปแม่กุญแจเอาไว้กดล็อคหน้าจอ เป็นแบบกดค้าง 1-2 วินาทีเพื่อล็อคหน้าจอ

ส่วนการวางเลย์เอ้าท์ของปุ่ม ส่วนเหนือแป้น Numpad จะมีปุ่ม Page Up, Page Down, Home, End แล้วเอาปุ่ม Delete มาวางแทนปุ่ม Num Lock แทน ซึ่งคนที่สลับมาจากโน๊ตบุ๊ค Windows อาจจะรู้สึกแปลก ๆ อยู่บ้าง แต่ก็ถือว่าให้มาครบระดับหนึ่ง

แต่จุดที่แตกต่างจากที่ผู้ใช้หลายคนคุ้นเคย คือปุ่ม Cap Lock จะกลายเป็นปุ่ม The Everything Button ที่กดแล้วกลายเป็นการกดปุ่มค้นหาทั้งแอพฯ ในเครื่องและรวมการค้นหาสิ่งที่ต้องการใน Google Chrome ไปในตัวซึ่งใช้งานได้สะดวก แต่ตอนที่ต้องการกดพิมพ์ตัวอักษรใหญ่ทั้งหมด จะต้องกด Shift ค้างแทน ส่วนปุ่ม Ctrl, Alt จะใหญ่เท่ากัน โดยทั้งสองปุ่มจะขยายมากินพื้นที่ปุ่ม OS แบบโน๊ตบุ๊ค Windows 10 ไป เพราะรวมเอาไว้ที่ปุ่ม The Everything Button แทนแล้ว

เรื่องการเปลี่ยนภาษาพิมพ์สลับไปมาระหว่างไทยและอังกฤษก็จะแตกต่างจากความคุ้นเคยเดิม เพราะแทนที่จะกดเปลี่ยนภาษาที่ปุ่มตัวหนอน “~” ที่คุ้นเคย ต้องกดปุ่ม Ctrl+Spacebar แทน คล้ายกับการกดเปลี่ยนภาษาของ macOS ซึ่งต้องอาศัยการปรับตัวเช่นกัน

ส่วนที่ผู้เขียนรู้สึกไม่ค่อยชอบในแง่การเปลี่ยนภาษาของ Chrome OS คือ ตัวเครื่องจะสลับแค่ 2 ภาษาที่เลือกเอาไว้เท่านั้น ส่วนภาษาที่ 3 ต้องไปเลือก Enable ใน Setting > Language and inputs แทน ซึ่งบางคนที่เรียนภาษาที่ 3 แล้วจะพิมพ์ภาษานั้น ๆ ก็ต้องไปกดสลับเอง อธิบายแบบเข้าใจง่าย ๆ คือ ถ้าพิมพ์ภาษาไทยและอังกฤษเป็นปกติแต่อยากพิมพ์เป็นภาษาญี่ปุ่นก็ต้องไปกด Enable ภาษาญี่ปุ่นเป็นครั้งต่อครั้งไป ไม่เป็นการกดสลับภาษาแบบ Cycle ไปเรื่อย ๆ เหมือนวิธีสลับภาษาของ Windows ซึ่งในแง่ของคนที่ใช้งาน 3 ภาษาอาจจะไม่ค่อยสะดวกเท่าที่ควร แต่ก็ต้องนับเป็นจุดพิจารณาของ Chrome OS ไม่ใช่ปัญหาที่ตัวเครื่อง ASUS Chromebook Flip CX5 แต่อย่างใด

ASUS Chromebook DSC06165

ด้านของทัชแพดจะเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดกว้างพอควร เมื่อวางมือแล้วปลายของทัชแพดทั้งสองด้านจะแตะที่อุ้งมือตรงสันนิ้วโป้งของทั้งสองข้างพอดิบพอดีและซ่อนปุ่มคลิกซ้ายขวาไว้ เวลาเลื่อนเคอร์เซอร์ก็สามารถตอบสนองได้ดีและมี Gesture Control คล้ายกับ Windows ทั้งการปัด 3 นิ้วขึ้นเพื่อเรียกหน้ารวมแอพฯ ต่าง ๆ ขึ้นมาและอีกหลาย ๆ Gesture อีกด้วย

แต่ตรงขอบล่างตรงปุ่มคลิกซ้ายและขวาจะหลวมเล็กน้อย เวลากดคลิกซ้ายขวาจะให้สัมผัสที่ยังไม่แน่นเท่ากับโน๊ตบุ๊ค ASUS รุ่นอื่น ๆ ซึ่งในส่วนนี้ผู้เขียนคิดว่าถ้าทาง ASUS นำไปปรับปรุงให้ปุ่มคลิกซ้ายขวาแน่นกว่านี้ จะทำให้โน๊ตบุ๊คเครื่องนี้ให้ความรู้สึกตอนใช้งานพรีเมี่ยมขึ้นอีกมาก 

ASUS Chromebook DSC06178
ASUS Chromebook DSC06182

ด้าน ASUS Pen ที่แถมมาให้ในกล่องจะเป็นปากกา USI Stylus ที่ใช้เขียนบนหน้าจอของ ASUS Chromebook Flip CX5 เครื่องนี้ได้เลย โดยแถมมาให้พร้อมใช้ในกล่องและมีตัวปลอกปากกา 2 ชิ้นเอาไว้สวมแล้วติดเข้าข้างโน๊ตบุ๊คได้ด้วยแม่เหล็ก ซึ่งจะดูดเข้าทางพอร์ต Micro SD Card Reader ที่ด้านข้างขวามือของเครื่อง

ASUS Chromebook DSC06179

ASUS Chromebook DSC06181
ASUS Chromebook DSC06180

ปลายปากกาจะเป็นพลาสติกหัวแข็ง ด้ามเป็นอลูมิเนียมสีเงินและท้ายเป็นพลาสติกสีเงินสะท้อนแสง และตัวปากกาจะต้องใช้ถ่าน AAAA x 1 ก้อน เวลาถอดหรือใส่ถ่านจะต้องบิดเกลียวเข้าออกแล้วสอดปลายขั้วบวกเข้าไปในตัวด้ามและให้ท้ายขั้วลบเข้าสปริงท้ายปากกา

ASUS Chromebook DSC06185

ASUS Chromebook DSC06184
ASUS Chromebook DSC06183

เวลาสวมปากกาเข้าปลอกแล้วติดเข้ากับโน๊ตบุ๊ค จะดูดติดตรงพอร์ต Micro SD Card Reader และตัวปากกาจะค่อนข้างยาวเลยไปถึงตรงพอร์ต HDMI และแรงดูดถือว่าเยอะกำลังดี แค่เอาปากกาสวมปลอกแล้วถือไปอยู่ใกล้ ๆ ก็จะดูดติดเข้ากับพอร์ตโดยอัตโนมัติ และดึงออกมาใช้งานได้ง่าย ซึ่งผู้เขียนแนะนำว่าให้สวมปลอกปากกาเอาไว้เลยจะได้เป็นตัวกันปากกากลิ้งตกได้ด้วย

Screen & Speaker

ASUS Chromebook DSC06133

ASUS Chromebook DSC06136
ASUS Chromebook DSC06138
ASUS Chromebook DSC06139

หน้าจอของ ASUS Chromebook Flip CX5 จะมีขนาด 15.6 นิ้ว ความละเอียด Full HD เป็นหน้าจอกระจก Glossy ความสว่างสูงสุด 250nits และเป็นหน้าจอขอบบางทั้งด้านบนและข้าง โดยมีอัตราส่วน Screen-to-body ratio ที่ 81% ด้วยกัน ถือว่ามีขนาดเหมาะกับการทำงานเอกสารและดูหนังฟังเพลงเป็นอย่างมาก

ส่วนขอบบนของหน้าจอจะมีกล้อง Webcam พร้อมไมโครโฟนอีก 2 ตัว ใช้ประชุมออนไลน์และใช้เรียก Google Assistant ในเครื่องขึ้นมาทำงานได้เหมือนกับในสมาร์ทโฟน เพียงแค่พูดคำว่า “Ok! Google” หรือ “สวัสดี Google” ก็จะทำงานทันที

drm info

และจากการทดสอบด้วย DRM Info แล้ว ตัวเครื่องได้ Widevine CDM L1 เป็นตัวยืนยันว่าเราสามารถดูหนังสตรีมมิ่งที่ความละเอียดระดับ HD ได้อย่างแน่นอน ดังนั้นถ้าใครทำงานเสร็จแล้วอยากดูหนังก็รับชมที่ความละเอียดสูงได้เลยและยิ่งถ้าต่อหน้าจอเสริมก็ยิ่งดี

ASUS Chromebook DSC06105
ASUS Chromebook DSC06106

ส่วนของลำโพงที่ปรับจูนเสียงด้วย harman/kardon (Premium) ที่ติดตั้งไว้ 2 ตัวใต้เครื่อง ซึ่งเนื้อเสียงที่ได้ถือว่าทำออกมาได้ค่อนข้างดีทีเดียวและสามารถเก็บโทนเสียงได้ดีระดับหนึ่ง จะเด่นเรื่องเสียง Vocal ตามด้วยเสียงเครื่องดนตรีระดับหนึ่ง มีเบสให้ฟัง EDM ได้ระดับที่ค่อนข้างน่าพอใจทีเดียว ส่วนสเตจเสียงจะอยู่ระดับกลาง ๆ ไม่กว้างไม่แคบเกินไป

Connector / Thin & Weight

ASUS Chromebook DSC06168
ASUS Chromebook DSC06171

พอร์ตของ ASUS Chromebook Flip CX5 นั้น จะเป็นแบบติดตั้งข้างตัวเครื่องเท่านั้น โดยแบ่งข้างซ้ายขวาดังนี้

  • ด้านซ้ายจากซ้ายมือ : พอร์ต USB-C 3.2 Gen 2 รองรับการชาร์จแบบ Power Delivery และต่อหน้าจอเสริมได้, USB-A 3.2 Gen 2, ช่องหูฟัง 3.5 มม., ปุ่มเพิ่มลดเสียง, ปุ่ม Power สำหรับกดเปิดเครื่อง ถ้ากดค้างจะเลือกได้ว่าต้องการปิดเครื่อง ล็อคจอ หรือ Sign out รวมทั้งส่ง Feedback กลับไปยัง Google ได้ด้วย
  • ด้านขวาจากซ้ายมือ : พอร์ต Micro SD Card Reader แบบมีแม่เหล็กดูดปลอกปากกา, HDMI 2.0a, USB-C 3.2 Gen 2 รองรับการชาร์จแบบ Power Delivery และต่อหน้าจอเสริมได้

ซึ่งถ้าพิจารณาจากพอร์ตด้านข้างเครื่อง ต้องถือว่า ASUS Chromebook Flip CX5 เครื่องนี้ให้พอร์ตมาค่อนข้างครบครันทั้ง USB-A ที่เอาไว้ต่อรับส่งข้อมูลกับฮาร์ดดิสก์หรือแฟลชไดรฟ์แบบปกติหรือจะต่อเมาส์ก็ได้และพอร์ตสำหรับต่อหน้าจอก็มีให้ใช้ 3 พอร์ต ดังนั้นถ้าใครอยากต่อหน้าจอเสริมเอาไว้ 2-3 หน้าจอก็ทำได้ง่าย ๆ แค่มีสายต่อหน้าจอให้ครบก็เพียงพอแล้ว

ส่วนพอร์ต USB-C Power Delivery ที่ทาง ASUS แจ้งสเปคไว้นั้น ถ้าปลั๊กและสายสามารถจ่ายไฟได้เกิน 45 วัตต์ ก็สามารถชาร์จแบตเตอรี่ให้โน๊ตบุ๊คเครื่องนี้ได้เลย ดังนั้นถ้าใครใช้มือถือที่มีฟีเจอร์ชาร์จไวหรือมีปลั๊ก GaN (แกลเลี่ยไนไตรท์) กำลังชาร์จ 65 วัตต์แบบหลายหัวอยู่ ก็ใช้ปลั๊กอันเดียวแล้วชาร์จแบตเตอรี่ให้ทั้งมือถือและโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้ได้เลย

ASUS Chromebook DSC06174
ASUS Chromebook DSC06175
ASUS Chromebook DSC06103
ASUS Chromebook DSC06102

สำหรับความหนาของตัวเมื่อวัดด้วยเวอร์เนียดิจิตอลแล้ว ด้านหน้าส่วนที่วางข้อมือจะหนา 18.7 มิลลิเมตรและส่วนด้านหลังเครื่องใกล้ช่องระบายความร้อนจะหนา 19 มิลลิเมตร ถือว่าความหนาใกล้เคียงกันทั้งด้านหน้าและหลัง

ASUS Chromebook DSC06098

ASUS Chromebook DSC06101
ASUS Chromebook DSC06100

ส่วนน้ำหนักตัวเครื่องเมื่อชั่งด้วยตาชั่งดิจิตอลแล้ว เฉพาะตัวเครื่องอย่างเดียวจะหนัก 1.95 กิโลกรัมเท่ากับที่ ASUS ให้ข้อมูลไว้ที่หน้าเว็บไซต์ ส่วนอะแดปเตอร์รวมกับ ASUS Pen หนักเพียง 186 กรัมเท่านั้น ถือว่าเบามากทีเดียวและน้ำหนักโดยรวมนั้นจะอยู่ที่ 2.14 กิโลกรัมเท่านั้น ถ้าใครอยากพกทั้งเครื่องและปลั๊กไปทำงานก็สามารถพกติดตัวไปได้สบาย ๆ อย่างแน่นอน

Performance & Software

Screenshot 2021 08 03 9.32.21 AM

สเปคของ ASUS Chromebook Flip CX5 ตัวนี้ จะใช้ซีพียู Intel Core i3-1115G4 แบบ 2 คอร์ 4 เธรด ความเร็ว 3.0-4.1 GHz กับการ์ดจอออนบอร์ด Intel UHD Graphics สำหรับประมวลผลกราฟฟิคทั้งเรื่องดูหนังฟังเพลงและเล่นเกมที่เป็นแอพฯ Android ได้ในตัว

Screenshot 2021 08 03 9.32.36 AM
Screenshot 2021 08 03 9.32.57 AM

ความละเอียดหน้าจอ 15.6 นิ้วตามที่โปรแกรม CPU-Z วัดได้ จะอยู่ที่ Full HD (1920×1080 พิกเซล) ความหนาแน่นเม็ดพิกเซลต่อตารางนิ้ว (dpi) อยู่ที่ 160 dpi โดยรุ่นที่ได้รับมารีวิวเป็นรุ่นแรม 8GB ส่วน SSD เป็น M.2 NVMe ความจุ 256GB ติดตั้งระบบปฏิบัติการ Chrome OS ไว้ และเป็น Android 9 ด้วย 

Screenshot 2021 08 03 5.57.02 PM

สำหรับระบบปฏิบัติการ Google Chrome OS อัพเดทล่าสุด จะเป็นเวอร์ชั่น 91 และเป็นระบบปฏิบัติการแบบ 64-bit อีกด้วย เพื่อรองรับกับแอพฯ เวอร์ชั่นใหม่ ๆ ที่เป็นแบบ 64-bit ด้วย

Screenshot 20210730 193641

ส่วนการทดสอบประสิทธิภาพของตัวเครื่องด้วย Geekbench 5 แล้ว คะแนน Single Core ทำได้ที่ 1,161 คะแนน และ Multi Core ทำได้ 2,861 คะแนนด้วยกัน ซึ่งประสิทธิภาพอยู่ในระดับที่ดีเพียงพอสำหรับการทำงานหรือเล่นเกม Android ต่าง ๆ ก็ใช้งานได้สบาย ๆ อย่างแน่นอน

Battery / Heat & Noise

Screenshot 2021 08 03 9.34.04 AM

แบตเตอรี่ของ ASUS Chromebook Flip CX5 เครื่องนี้จากหน้าสเปคจะเป็นแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน (Li-ion) ความจุ 57Wh แบบ 3 เซลส์ ถ้าเทียบแล้วถือว่าความจุไล่เลี่ยกันกับโน๊ตบุ๊คขนาด 15.6 นิ้วหลาย ๆ รุ่นในปัจจุบันที่ความจุอยู่ราว 47-61Wh ทำให้ใช้งานต่อเนื่องแบบไม่เสียบปลั๊กได้หลายชั่วโมง

ถ้าอิงจากการเคลมของ Google แล้ว Chromebook แต่ละเครื่องจะใช้งานต่อเนื่องได้นานสุด 12 ชั่วโมง และจากการทดลองใช้งานจริงแล้ว ผู้เขียนขอยืนยันว่า ASUS Chromebook Flip CX5 เครื่องนี้ถ้าใช้งานแบบ Cafe Hopper เปิดเครื่องทำงานชั่วระยะหนึ่งแล้วพับหน้าจอพกไปไหนมาไหนก็สามารถใช้งานได้นานแบบไม่ต้องห่วงว่าแบตเตอรี่หมดได้เลย และคาดว่าอาจจะอยู่ได้นานเกิน 10 ชั่วโมงอย่างแน่นอน เพราะระบบปฏิบัติการ Chrome OS เองก็คล้ายกับ Android ระดับหนึ่งจึงไม่ใช้พลังงานมากแบบโน๊ตบุ๊คสาย Windows รวมทั้งตัวเครื่องก็ใช้ซีพียู Intel รุ่นที่ 11 ที่กินพลังงานน้อยอีกด้วย

ASUS Chromebook DSC06107
ASUS Chromebook DSC06109

สำหรับระบบระบายความร้อนของตัวเครื่องจะมีช่องลมเข้าด้านใต้ตัวเครื่องแล้วระบายอากาศออกตรงช่องเหนือคีย์บอร์ดที่เป็นช่องแถบยาว แต่ตอนใช้งานจริงแล้ว Chrome OS ใน ASUS Chromebook Flip CX5 นั้นเรียกว่าไม่มีเรื่องความร้อนหรือเสียงพัดลมดังมารบกวนระหว่างใช้งานเลย รวมทั้งตัวเครื่องก็เย็นตลอดเวลาใช้งาน คาดว่าเพราะตัวระบบปฏิบัติการนั้นไม่กินทรัพยากรตัวเครื่องมากนัก จะมีแค่ตอนที่เปิดแอพฯ เกม Android ขึ้นมาใช้งานเท่านั้นถึงจะพอได้ยินเสียงพัดลมทำงานบ้าง แต่ก็เป็นเสียงเบา ๆ ดังนั้นตัดปัญหาเรื่องความร้อนและเสียงพัดลมไปได้เลย

User Experience

ASUS Chromebook DSC06187

ด้านประสบการณ์การใช้งานที่ได้ใช้ ASUS Chromebook Flip CX5 เครื่องนี้ ส่วนตัวผู้เขียนอยากบอกคนที่กำลังกังวลว่ามันจะใช้ยากหรือเปล่า แล้วมีอะไรต้องปรับตัวไหม? ในส่วนนี้ขอปูพื้นความเข้าใจร่วมกันก่อนว่ามันคือ “แท็บเล็ต Android รูปร่างเป็นโน๊ตบุ๊คพับจอ 360 องศา มีปากกาใส่ CPU Intel” ซึ่งถ้าผู้อ่านใช้งานแท็บเล็ตหรือสมาร์ทโฟน Android เป็นประจำก็ปรับตัวกันได้ง่าย แค่หน้าตาของตัวเครื่องแตกต่างแท็บเล็ต Android ทั่วไปเล็กน้อย แล้วรูปทรงเป็นโน๊ตบุ๊คจอใหญ่เท่านั้น

ในแง่การใช้งานที่หลายคนกังวลกันว่าเป็น Chrome OS แล้ว จะทำอะไรกับมันได้บ้าง ในส่วนนี้ถ้าเราทำกับมือถือของเราอย่างไรให้ทำแบบนั้นกับโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้ได้เลย ไม่ว่าจะโหลดแอพฯ จาก Play Store ที่มีติดตั้งในเครื่องมาใช้งาน, เข้าเว็บไซต์เพื่อทำงานต่าง ๆ ผ่าน Google Chrome ได้ตามเดิม ส่วนเรื่องความลื่นนั้นคือลื่นไม่มีสะดุดระหว่างการใช้งานแม้แต่น้อย ซึ่งส่วนตัวผู้เขียนเองได้ทดลองใช้เครื่องนี้พิมพ์บทความ, เข้าเว็บไซต์และดูหนังผ่านทางเบราเซอร์ Chrome ที่เป็นหัวใจหลักของเครื่องนี้ก็ใช้งานได้ไม่ต่างกับโน๊ตบุ๊ค Windows 10 เลยแม้แต่น้อย แต่ข้อจำกัดคือมันจะใช้ได้แต่แอพฯ ของ Android และเว็บแอพฯ (Web application – เว็บไซต์ที่สร้างขึ้นมาให้ทำงานเหมือนแอพฯ หนึ่ง) เป็นหลักเท่านั้น ดังนั้นคนที่ใช้งานโปรแกรมเฉพาะที่มีแต่ใน Windows ก็จะไม่เหมาะกับเครื่องนี้นัก ทว่าคนที่ใช้ Microsoft Office ทำงานเป็นประจำก็มีแอพฯ ให้โหลดใน Play Store อยู่

ส่วนการใช้งานที่หลายคนจะติดภาพว่า Chrome OS ต้องต่ออินเตอร์เน็ตตลอดเวลานั้น ก็มีส่วนจริงอยู่บ้างเพราะว่าถ้าให้เครื่องนี้ทำงานได้ดีที่สุดเสมอ ควรต่ออินเตอร์เน็ตเพื่อใช้เซอร์วิสต่าง ๆ ของ Google แต่ตัวระบบก็มีการแบ็คอัพงานของเราเอาไว้ในเครื่องแบบออฟไลน์ด้วยเช่นกัน ตัวอย่างเช่นถ้าเราต้องการพิมพ์เอกสารใน Google Docs แต่ไม่มีอินเตอร์เน็ต ก็เปิดมาพิมพ์งานได้เหมือนเราใช้ Microsoft Word แต่ไฟล์จะโดนบันทึกเก็บเอาไว้ในเครื่องเท่านั้นก่อนที่จะแบ็คอัพเข้า Google Drive ของเราหลังจากเครื่องนี้ต่ออินเตอร์เน็ตได้อีกครั้ง

แต่อันที่จริงยุคนี้เรียกว่าหาอินเตอร์เน็ตใช้งานได้ง่ายมาก ไม่ว่าจะในออฟฟิศอย่างไรก็ต้องมี Wi-Fi ให้ใช้ทำงาน, ร้านกาแฟแทบทุกร้านก็จะมี Wi-Fi ให้ใช้งานได้ฟรี และอย่างน้อยที่สุดก็แชร์อินเตอร์เน็ตจากมือถือของเรามาแทนก็ต่ออินเตอร์เน็ตได้เหมือนกัน ดังนั้นประเด็นเรื่องการต่ออินเตอร์เน็ตก็ถือว่าผ่านไป

ASUS Chromebook DSC06133 1

ถัดมาในส่วนของหน้าตาระบบปฏิบัติการ ตอนใช้งานก็จะดูคล้าย ๆ กับ Windows 10 อยู่บ้าง เพราะหน้า Desktop ของ Chrome OS เอง ก็มีจุดรวมแอพฯ อยู่ตรงกลางเหมือน Windows Taskbar ให้คลิกหรือแตะเลือกใช้งานได้ทันที และมี Google Chrome ให้ใช้งานด้วย และถ้ามีแอพฯ Android หรือเกมอะไรที่ต้องใช้งานบ่อย ๆ พอติดตั้งก็ลากมาใส่เอาไว้ตรงนี้ได้เหมือนกัน

ด้านขวามือจะเป็นจุดรวมการตั้งค่าเหมือนตอนที่เราลากแถบ Notification Bar จากขอบบนหน้าจอมือถือ Android ลงมา ก็จะมีการตั้งค่าทั้งเรื่องอินเตอร์เน็ต, Wi-Fi, ความสว่างและเสียง ฯลฯ รวมเอาไว้ตรงนี้ทั้งหมด และเมื่อมีแจ้งเตือนใหม่เข้ามาก็จะขึ้นตรงแถบขวามือนี้ด้วย ส่วนหน้ารวมแอพฯ ให้ปัดจากขอบล่างของหน้าจอขึ้นมาเพื่อเปิด App Launcher ก็จะเห็นหน้ารวมแอพฯ ที่เราติดตั้งไว้ในเครื่องทั้งหมด

ในส่วนเรื่องแอพฯ ถ้าเราต้องการให้ ASUS Chromebook Flip CX5 เครื่องนี้มีแอพฯ อะไรก็โหลดจาก Play Store ของ Google ได้โดยตรง (สังเกตตรงกลางบรรทัดบนสุดเป็น Play Store) ซึ่งผู้เขียนได้ทดลองโหลดแอพฯ สำหรับทดสอบตัวเครื่องเช่น DRM Info, CPU-Z, Geekbench 5 มาติดตั้งในเครื่องได้โดยตรงเหมือนกับใช้แท็บเล็ต Android ได้ไม่มีผิดและใช้งานได้ไหลลื่นดีไม่มีอาการหน่วงช้าใด ๆ

ส่วนของเกมที่ได้ทดลองเล่นมา ซีพียู Intel Core i3-1115G4 ถึงจะมี 2 คอร์ 4 เธรดก็ตาม แต่ก็ทำงานได้เร็วลื่น ไม่มีอาการช้าเลย แม้หลาย ๆ คนอาจจะคิดว่าเป็นแค่ 2 คอร์ 4 เธรด แล้วจะไปแรงได้เท่ากับพวก Qualcomm Snapdragon ได้เหรอ? ในส่วนนี้ต้องบอกว่ามันเร็วลื่นไม่ต่างกันเลย

ด้านคนที่อยากเล่นเกม ผู้เขียนทดลองเล่น Arknights และ PUBG Mobile แล้วต้องบอกว่า ถ้าเป็นเกม RPG ต่าง ๆ สามารถเล่นได้ลื่นไม่ต่างกับที่เล่นในมือถือของเรา จะกดคำสั่ง, ตั้งตัวละคร, ใช้สกิล ฯลฯ ก็กดได้เร็วทันใจไม่มีอาการหน่วงเลยสักนิดเดียว แต่ต้องตั้งข้อสังเกตกับเกมแนว FPS ไว้คือ พอผู้เขียนเข้าเกมแล้วทดลองเล่นไปแค่ไม่นาน ก็ถูกตัดออกจากเซิร์ฟเวอร์ทันทีเนื่องจากตัวระบบมองว่านี่เป็นการเล่นเกมนี้จาก Android Emulator ในคอมพิวเตอร์ ดังนั้นเกมแนว PUBG Mobile แนะนำให้เล่นในมือถือตามเดิมจะดีกว่า เพื่อป้องกันปัญหากับไอดีของเราในภายหลัง

ASUS Chromebook DSC06131

ส่วน ASUS Pen ที่แถมมาในกล่อง ต้องถือว่ามันทำงานได้ดีในฐานะที่เป็นปากกาสำหรับเขียนงานด้ามหนึ่ง ตอบสนองได้เร็วและต่อเนื่องและเหมาะกับการเขียนจดงานหรือทำเครื่องหมายบนหน้าไฟล์ PDF ที่เราโหลดมาได้เป็นอย่างดี ถ้าเน้นเรื่องใช้ทำงานเอกสารต่าง ๆ ต้องถือว่าทำงานได้ดีหายห่วง ส่วนเรื่องงานวาดภาพนั้นถือว่าขึ้นอยู่กับแต่ละแอพฯ แต่ตัวปากกา ASUS Pen ที่เป็น USI Stylus จะจับน้ำหนักการกดหัวปากกาลงกับหน้าจอได้ละเอียดอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าเอาไว้ใช้วาดภาพหรือสเก็ตช์ก็ถือว่าใช้งานได้ระดับหนึ่งเลยทีเดียว

Conclusion & Award

ASUS Chromebook DSC06115

 

สุดท้ายแล้ว ในแง่การใช้งาน ASUS Chromebook Flip CX5 เครื่องนี้ ต้องถือว่านี่เป็น Chromebook เครื่องที่ให้ประสบการณ์การใช้งานที่ดีเครื่องหนึ่งหากเราใช้แอพฯ ของ Google ทำงานกันเป็นประจำ ไม่ว่าจะ Google Sheet, Google Docs ประชุมออนไลน์ด้วย Google Meet เข้าเว็บไซต์ผ่านทาง Google Chrome แล้วเสพย์ความบันเทิงหลังเลิกงานผ่านบริการสตรีมมิ่งต่าง ๆ ที่มีแอพฯ อยู่ใน Play Store ล่ะก็ โน๊ตบุ๊คเครื่องนี้ก็นับว่าเป็นเครื่องที่น่าสนใจไม่น้อยทีเดียว นั่นเพราะมันถูกสร้างออกมาตอบโจทย์คนที่ทำงานในยุคนี้ที่ทำงานผ่านทางเบราเซอร์เป็นหลักและคุ้นเคยกับแท็บเล็ตหรือสมาร์ทโฟนอยู่แล้วก็สามารถใช้งานได้ง่ายโดยไม่ต้องปรับตัวมากก็ใช้งานได้คล่องในเวลาสั้น ๆ อย่างแน่นอน

หากเราใช้งานโดยทั่วไปตามข้างต้นที่ผ่านมาถือว่าไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน ก็จะเหมาะกับผู้ใช้ทที่เป็นพนักงานบริษัทที่ทำงานเอกสารทั่วไปหรือประชุมออนไลน์เป็นหลัก, นักเรียนนักศึกษาที่ต้องการโน๊ตบุ๊คที่ประสบการณ์การใช้งานเหมือนใช้แท็บเล็ตเครื่องหนึ่งเพื่อเรียนทั้งออนไลน์และออฟไลน์ พกไปเข้าเรียนและทำรายงานได้สะดวกและมีพีซีเครื่องหลักเอาไว้ใช้โปรแกรมฝั่ง Windows อยู่แล้ว จะมีโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้เป็นตัวเสริมก็ถือว่าไม่เลว และก็รับบทบาทเป็นแท็บเล็ตเอาไว้อ่านเอกสาร PDF และ eBook คู่กับการเป็นโน๊ตบุ๊คไปพร้อม ๆ กันได้และมี ASUS Pen ที่เป็น USI Stylus แถมมาให้ใช้เขียนจดบนหน้าจอหรือจะเซ็นเอกสารอะไรก็ง่ายขึ้น 

ASUS Chromebook DSC06123

อย่างไรก็ตาม จุดสังเกตก็เป็นอย่างที่ได้กล่าวไปไม่ว่าจะจุดเล็กน้อยอย่างการไม่มีระบบสแกนใบหน้าหรือนิ้วมือมาให้เหมือนกับโน๊ตบุ๊คหลาย ๆ รุ่นเริ่มติดตั้งมาให้แล้ว และส่วนของแป้นทัชแพดหลวมเล็กน้อยแต่ก็ไม่กระทบกับการใช้งานนัก แต่จัดเป็นข้อสังเกตเพราะว่าโน๊ตบุ๊คในปัจจุบันทุกรุ่นทำงานประกอบได้ดีแล้ว แต่ในกรณีนี้คาดว่าอาจจะเป็นเฉพาะเครื่องทดสอบที่ได้รับมา แต่เครื่องขายจริงอาจจะทำงานประกอบได้ดีแล้วก็เป็นไปได้ 

สุดท้ายนี้ ไม่ว่าจะ ASUS Chromebook CX5 หรือ Google Chromebook เครื่องไหนก็ตาม ถ้าเป็นผู้ใช้ที่ชอบลองของใหม่ ๆ ไม่อยากซ้ำจำเจกับระบบปฏิบัติการแบบเดิม ๆ แล้วอยากทดลองดูว่าระบบปฏิบัติการ Chrome OS ของ Google จะใช้งานได้ดีและตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันของเราระดับไหน จะเริ่มจาก ASUS Chromebook Flip CX5 เครื่องนี้ก็เป็นเครื่องที่ดีและมั่นใจในชื่อชั้นแบรนด์ ASUS ได้อีกด้วย

Award

award new performance

Best Performance

ในแง่ของรางวัล Best Performance นั้น โน๊ตบุ๊คเครื่องนี้ เนื่องจากประสิทธิภาพการทำงานนั้นทำได้ดีและลื่นไหลแม้จะเป็นซีพียูรุ่นเริ่มต้นอย่าง Intel Core i3-1115G4 ก็ตาม แต่ก็ทำงานได้ดีเมื่อจับคู่กับ Chrome OS ที่ใช้ทรัพยากรตัวเครื่องน้อยและติดตั้งแอพฯ ของ Android เพิ่มได้รวมทั้งมีพอร์ตต่อหน้าจอแยกได้อีก 2 หน้าจอ ไม่ว่าจะด้วยพอร์ต USB-C ที่ต่อหน้าจอแบบ DisplayPort ได้และมีพอร์ต HDMI รวมทั้งพอร์ต USB-A ที่รับส่งข้อมูลได้เร็วอีกช่องหนึ่งด้วย นับว่าประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมของ ASUS Chromebook Flip CX5 เครื่องนี้เป็นโน๊ตบุ๊คสำหรับคนทำงานที่ดีเครื่องหนึ่งเลย

from:https://notebookspec.com/web/607602-review-asus-chromebook-flip-cx5

ธนาธร เตรียมทำโปรเจกต์ NFT กับ NFT1 รายได้ทั้งหมดมอบให้กองทุนด้านสิทธิมนุษยชน

ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เตรียมทำโปรเจกต์ชิ้นงานศิลปะดิจิตอลแบบ NFT ร่วมกับ NFT1 โปรดักชั่นเฮ้าส์ผลิตงานศิลปะ NFT สัญชาติไทย ที่เคยร่วมผลิตผลงาน NFT ให้กับศิลปินอย่าง YOUNGOHM

โปรเจกต์นี้ยังไม่เปิดเผยว่าเป็นงานศิลปะประเภทไหน ลงประมูลแพลตฟอร์มได้ หรือเริ่มเปิดประมูลเมื่อไร แต่ข้อมูลเบื้องต้นจากโพสต์ทวิตเตอร์ของธนาธร ระบุว่ารายได้ทั้งหมดจากการประมูลงานชิ้นนี้จะถูกนำไปบริจาคให้กับกองทุนด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย เพื่อเป็นส่วนในการสนับสนุนการต่อสู้ของประชาชน

No Description

ที่มา – Twitter: @Thanathorn_FWP

Topics: 

from:https://www.blognone.com/node/124518

เกาหลีใต้เคาะแล้ว Apple และ Google ต้องเปิดให้นักพัฒนาใช้ระบบจ่ายเงินภายนอกได้

ในที่สุด เกาหลีใต้ก็ผ่านกฎหมายที่ป้องกันไม่ให้เจ้าของแพลตฟอร์มรายใหญ่อย่าง Google และ Apple จำกัดนักพัฒนาแอปไม่ให้ไปใช้ระบบจ่ายเงินภายนอก โดยขั้นตอนอยู่ระหว่างรอประธานาธิบดี มุนแจอิน ลงนาม

กฎหมายฉบับนี้เป็นการแก้ไขพระราชบัญญัติธุรกิจโทรคมนาคมของเกาหลีใต้ หรือ Telecommunications Business Act ซึ่งคาดว่าจะกระทบต่อการดำเนินธุรกิจทั่วโลกของทั้งสองบริษัท

แน่นอนว่าทั้ง Google และ Apple ไม่เห็นด้วยกับกฎหมายดังกล่าว ทาง Google บอกว่า เช่นเดียวกันกับนักพัฒนาที่ต้องมีค่าใช้จ่ายเพื่อพัฒนาแอป แต่ Google เองก็มีค่าใช้จ่ายเพื่อสร้างและบำรุงรักษาระบบปฏิบัติการและร้านค้าแอปเช่นกัน ซึ่ง Google จะกลับไปหาวิธีที่จะปฏิบัติตามกฎหมายนี้ ในขณะที่ยังรักษาคุณภาพของระบบจัดการร้านค้าแอปต่อไป

ด้าน Apple ให้ความเห็นก่อนหน้านี้ว่า กฎหมายอาจทำกระทบความปลอดภัยแก่ผู้ใช้งานในการซื้อบริการแอปพลิเคชัน นอกจากนี้ฟีเจอร์ Ask to Buy และ Parental Controls ก็จะมีประสิทธิภาพน้อยลง และส่งผลกระทบต่อนักพัฒนาในเกาหลีกว่า 482,000 คนด้วย

No Description

ที่มา – The Verge

from:https://www.blognone.com/node/124517

โปรดิวเซอร์เกมฮิต Tekken 7 และ Soul Calibur VI ลาออกจาก Bandai Namco แล้ว

Motohiro Okubo โปรดิวเซอร์ผู้อยู่เบื้องหลังเกมฮิตอย่าง Tekken 7 และ Soul Calibur VI และ ล่าสุด Pacman 99  ได้ประกาศว่าเขาจะออกจากบริษัท Bandai Namco หลังจากใช้เวลานาน 25 ปีในการเข้าร่วมสตูดิโอ

โดย คุณโอคุโบะ ได้ลาออกอย่างเป็นทางการแล้ว และเขาขอบคุณทีมงานที่เขาร่วมงานด้วยตลอดหลายปีที่ผ่านมาและแฟนๆ ทุกคนที่สนุกกับงานของเขา  โดยเขาจะลาออกจาก Bandai Namco Entertainment ในวันที่ 31 สิงหาคม หลังจากได้ร่วมงานที่บริษัทเกมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง เมื่อ 25 ปีที่แล้ว  และได้พบกับผู้คนมากมาย และขอขอบคุณทีมงาน Bandai Namco อีกครั้ง

ซึ่ง Motohiro Okubo จะเริ่มทำงานที่บริษัทเกมแห่งใหม่ ที่ตั้งอยู่ในชิบูย่า แต่ไม่ได้ระบุว่าเป็นค่ายอะไร

ข่าว: โปรดิวเซอร์เกมฮิต Tekken 7 และ Soul Calibur VI ลาออกจาก Bandai Namco แล้ว มีที่มาจาก: แอพดิสคัส.
from:https://www.appdisqus.com/tekken-7-producer-leaves-bandai-namco/