Garmin เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่สามชิ้นประเดิมตลาดอุปกรณ์สวมใส่ประจำปี 2015 ประกอบด้วย Vivofit 2, Vivoactive และ Fenix 3
Garmin ถือได้ว่าเป็นแบรนด์ที่จับตลาดอุปกรณ์สวมใส่ (Wearable Device) อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2014 ถ้ายังจำกันได้ Mobiledista เราเคยนำเสนอ Vivofit รุ่นแรกมาก่อนหน้านี้แล้ว
อ่านเพิ่ม:
Garmin Vivofit สายรัดข้อมือเพื่อคนรักสุขภาพ แบตอยู่ได้นาน 1 ปี ราคา 4,800 บาท
บทสรุปการใช้งาน Garmin Vivofit – Wearable Device ตัวแรกของผู้เขียน
5 เหตุผล ทำไมถึงซื้อ Garmin Vivofit
โดยการเปิดตัวแบ่งออกเป็น 3 รุ่น 3 สไตล์ ประกอบด้วย Vivofit 2 ที่เป็นรุ่นไมเนอร์เช้นจ์จาก Vivofit รุ่นแรก ซึ่งมีการปรับปรุงสิ่งที่เคยเป็นปัญหาจากรุ่นแรกอย่างครบถ้วน Vivoactive เป็นนาฬิกาจอเหลี่ยม มู้ดแอนด์โทนใกล้เคียงกับ Sony Smartwatch และอีกรุ่นหนึ่งที่ผมคิดว่า น่าสนใจครับ นั่นคือ Fenix 3 ซึ่งเป็นนาฬิกาแนวสปอร์ตกึ่งลำลอง
เราลองมาเจาะทีละรุ่นครับ
Vivofit 2
ตามที่บอกไว้ในพารากราฟก่อนหน้านี้ครับว่า เป็นไมเนอร์เช้นจ์ของรุ่นที่แล้ว สิ่งที่เพิ่มเข้ามา ก็เป็นสิ่งที่ Garmin เคลียร์ปัญหาจากรุ่นก่อนที่ผู้ใช้หลายคนต้องเผชิญ เช่น การจับเวลาสำหรับการวิ่ง (Activity Time) ทำให้คราวนี้ผู้สวมใส่ตัดปัญหาเรื่องที่อุปกรณ์ที่อยู่บนข้อมือเราจับเวลาไม่ได้เสียที
ที่น่าสนใจอีกอย่างคือ Move bar alert ถ้าจำกันได้ Vivofit รุ่นแรก มีฟังก์ชันการเตือนเมื่อผู้สวมใส่หยุดนิ่งนานเกินไป โดยจะเป็นสัญลักษณ์ลูกศรสีแดงๆ แต่พอมาเป็นรุ่นไมเนอร์เช้นจ์นี้ มีการปรับปรุงโดยเพิ่มเสียงเข้ามา สำหรับกรณีที่ผู้สวมใส่หยุดนิ่ง (idle) นานเกินไปแล้ว เพราะบางทีผู้สวมใส่อย่างเราอาจจดจ่ออยู่กับงาน กระทั่งไม่ได้สังเกตส่วนนี้
ขณะเดียวกันหน้าจอใน Vivofit 2 ได้เพิ่มจอ backlit เข้ามา เผื่อในกรณีที่ต้องการมองข้อมูลจากหน้าจอในที่มืด ถ้าเป็นรุ่นก่อนถ้าเข้าสู่พื้นที่มืดๆ เป็นอันจบกันไม่เห็นหน้าจอเลย พร้อมกันนี้ที่สายรัดจะมีเพิ่มแกนล็อกที่สายเผื่อกันการเกี่ยวหลุดจากข้อมือ
นอกนั้นความสามารถที่มีมาแต่เดิม ยังอยู่ครบครัน เช่น ระบบเซ็ตก้าวเดินอัตโนมัติ และแบตเตอรีใช้งานได้นาน 1 ปี (เป็นถ่านนาฬิกา 2 ก้อน)
Vivoactive
อุปกรณ์สวมใส่ที่เปิดตัวชิ้นต่อมาคือ Vivoactive ซึ่งเป็นสมาร์ทวอช ในความเห็นผมหน้าตาเหมือนกับ Sony Smartwatch พอสมควร จากรูปร่างหน้าตาทรงเหลี่ยม ส่วนความสามารถก็โอเคครับ เพราะรองรับกับผู้สวมใส่ที่ชื่นชอบการออกกำลังกาย โดยรองรับกีฬาที่ปุถุชนนิยมออกกำลังกาย เช่น การวิ่ง ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ และกอล์ฟ
รูปแบบนาฬิกาเป็นแบบเป็นทัชสกรีน รองรับ notification สามารถซิงค์กับสมาร์ทโฟน เพื่อเชื่อมข้อมูลระหว่างสมาร์ทโฟนกับนาฬิกาเข้าด้วยกัน ทั้งอีเมล ปฎิทิน
ส่วนความสามารถที่คุ้นเคยของ Garmin ก็ยังอยู่ครับ เช่น การจับนับก้าวการเดิน กันน้ำได้ลึก 50 เมตร แบตเตอรีใช้งานได้นาน 3 สัปดาห์ และเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชัน Garmin Connect ได้
Fenix 3
สำหรับรุ่นนี้ เป็นตัวทีเด็ดของ Garmin เลยก็ว่าได้ครับ เพราะรูปแบบเป็นหน้าตานาฬิกาแนวสปอร์ตกึ่งลำลอง ทำให้รองรับการสวมใส่ในหลายรูปแบบ และด้วยความสามารถที่เป็นแนวสปอร์ตทำให้ Fenix 3 ใช้งานร่วมกับกีฬาสุดโปรด เช่น การวิ่ง ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ และกอล์ฟ
ตัวเรือนนาฬิกามีสองแบบนะครับ เป็นแบบสายยาง และสายเหล็ก ซึ่งผมได้ลองทั้งสองสายแล้ว พบว่า สายยางค่อนข้างก๊องแก๊งระดับหนึ่งครับ ส่วนสายยางมีน้ำหนักค่อนข้างมาก จะว่าไปตัวเรือนค่อนข้างเข้าใจง่ายครับ เพราะตรงหน้าปัดมีบอกเอาไว้ครับว่า แต่ละปุ่มมีความสามารถหรือทำอะไรได้บ้าง
Fenix 3 มาพร้อมกับแบตเตอรี 300 mAh ถ้าใช้ในโหมดนาฬิกาอย่างเดียวจะพร้อมใช้งานนาน 6 สัปดาห์ กันน้ำได้ลึก 100 เมตรเลยทีเดียว
สำหรับการซิงค์ข้อมูลจะซิงค์ผ่านแอปพลิเคชัน Garmin Connect ครับ
ราคา
ทั้ง 3 รุ่นเปิดราคาอย่างเป็นทางการออกมาแล้วครับ
- Vivoactive จะวางจำหน่ายในราคา 9,700 บาท
- Fenix 3 สายยาง 15,490 บาท ถ้าเป็นสายเหล็ก 20,490 บาท
- Vivofit 2 สนนราคา 4,750 บาท
from:http://mobiledista.com/archives/81163