รีวิว ASUS Zenbook 14 OLED UM3402 ซีพียู Ryzen 7000 Series แบตฯ อึดเหลือใช้ โปรแกรมครบเครื่อง ค่าตัว 32,990 บาทเท่านั้น!!

ASUS Zenbook 14 OLED UM3402 บอดี้เดิม เติมความแรงด้วย Ryzen 7000 Series มี Office 2021 ติดเครื่องมาพร้อมใช้ ได้จอ OLED ขั้นเทพด้วย!!

NBS 230130 FB Link Review Zenbook 14 OLED 1

เมื่อพูดถึงโน๊ตบุ๊คสายทำงานระดับพรีเมี่ยมของ ASUS อย่าง ASUS Zenbook 14 OLED UM3402 เชื่อว่าผู้อ่านหลายท่านจะคิดถึงโน๊ตบุ๊คงานประกอบดี ฟีเจอร์ล้ำสมัยไม่ว่าจะ ASUS NumberPad 2.0 แป้นทัชแพดเปลี่ยนโหมดเป็น Numpad ได้, เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบรวมกับปุ่ม Power พอร์ต USB-C Full Function รองรับการต่อหน้าจอแยก DisplayPort และชาร์จแบตเตอรี่ Power Delivery ได้ด้านหน้าจอ 14 นิ้ว ความละเอียด 2.8K พาเนล OLED ขอบเขตสีกว้าง 100% DCI-P3 ได้รับการรับรอง PANTONE Validated, VESA DisplayHDR True Black 600 มีฟีเจอร์ถนอมสายตา SGS Eye Care Display และภาพบนหน้าจอยังลื่นไหลเพราะมีค่า Refresh Rate ถึง 90Hz ด้านตัวเครื่องก็ทนทานผ่านการทดสอบ MIL-STD 810H การันตีความแข็งแรงทนทานอีกด้วย และทาง ASUS ก็ติดตั้ง Microsoft Office Home&Student 2021 มาให้ ไม่ต้องเสียเงินซื้อซอฟท์แวร์เพิ่มเติมให้เปลืองเงินอีกด้วย จัดว่าคุ้มค่าครบเครื่องมาก

Advertisementavw

ข้อดีถัดมา คือซีพียูของ ASUS Zenbook 14 OLED UM3402 ถูกอัพเกรดจาก Ryzen 5000 Series มาเป็น 7000 Series อย่าง AMD Ryzen 7530U แบบ 6 คอร์ 12 เธรด แล้ว คอร์ประมวลผลก็ทรงพลังและจัดการพลังงานได้ดีกว่าเดิมมากได้รับการรับรองการจัดการพลังงานจาก Energy Star การันตีว่าตัวเครื่องจัดการพลังงานได้ดีใช้งานได้นาน ส่วนทีเด็ดของ Ryzen 7000 Series คือการ์ดจอออนบอร์ดถูกปรับแต่งให้ประสิทธิภาพดีขึ้น หากรุ่นก่อนใช้แต่งภาพและดูคอนเทนต์ความละเอียดสูงได้ไหลลื่นอย่างเดียวล่ะก็ รุ่นใหม่นี้ก็ใช้เล่นเกมออนไลน์ปรับกราฟิคระดับกลาง~สูงได้เลยทีเดียว จัดว่าน่าประทับใจมาก

ASUS Zenbook 14 OLED UM3402

NBS Verdicts

ASUS Zenbook 14 OLED Ryzen 7000 DSC00072

ASUS Zenbook 14 OLED UM3402 แม้จะใช้บอดี้ร่วมกับ Zenbook 14 OLED รุ่นก่อนหน้าและยกจุดเด่นต่างๆ อย่าง NumberPad 2.0, เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือ, พอร์ต USB-C Full Function มาแทบทั้งหมดและเปลี่ยนเพียงซีพียูเป็น AMD Ryzen 5 7530U อย่างเดียว จนอาจกล่าวได้ว่าเป็น Zenbook รุ่นไมเนอร์เชนจ์ก็ตาม แต่การอัพเกรดครั้งนี้กลายเป็นการเสริมจุดเด่นให้ Zenbook 14 OLED UM3402 ดียิ่งขึ้น ทั้งแบตเตอรี่ใช้งานได้นานขึ้นและกราฟิคการ์ดออนบอร์ดมีประสิทธิภาพสูงขึ้นมากจนดูแล้วคุ้มค่าเกินค่าตัว 32,990 บาทมาก

หากเอา ASUS Zenbook 14 OLED UM3402 ไปเทียบกับโน๊ตบุ๊คคู่แข่งในระดับราคาใกล้เคียงกันแล้ว ต้องถือว่า Zenbook 14 OLED รุ่นนี้สมบูรณ์แบบทั้งด้านสเปคที่ดีทรงพลังและดีไซน์สวยงามแข็งแรงดูหรูหรา ตอบโจทย์ตั้งแต่นักศึกษาหรือพนักงานออฟฟิศที่อยากลงทุนซื้อโน๊ตบุ๊คระดับพรีเมี่ยมไว้ใช้งานได้หลายปี ไม่ต้องกังวลว่าประสิทธิภาพจะลดลงหรือไม่พอใช้รันโปรแกรมในอนาคตเลยก็ได้ ยิ่งใครเป็นเซลส์ที่ต้องออกไปพบลูกค้าและพรีเซนต์งานโปรเจคต่างๆ ก็พกเครื่องติดตัวไปได้สะดวกเพราะน้ำหนักเครื่องเพียง 1.39 กิโลกรัม และพาเนลจอ OLED ขอบเขตสีกว้าง 100% DCI-P3 ได้รับการรับรอง PANTONE Validated, VESA DisplayHDR True Black 600 แล้ว จึงใช้พรู้ฟงานอาร์ทและการันตีสีบนหน้าจอว่ามีความเที่ยงตรงกับผลงานจริงที่ปริ้นท์ออกมาใช้งานอย่างแน่นอน

จุดสังเกตของ ASUS Zenbook 14 OLED UM3402 มีเรื่องบอดี้เครื่องยกมาจาก Zenbook 14 OLED รุ่นก่อนทั้งหมดไม่ได้ปรับดีไซน์เพิ่มความแตกต่างจากรุ่นก่อนมากนัก หากวางเทียบคู่กันอาจจะแยกกันได้ยาก และการซีลตัวเครื่องทำมาแข็งแรงปิดสนิทมากถึงแม้จะดีกับความแข็งแรงสวยงามแต่ก็ไม่ถูกใจผู้ใช้ที่ต้องการเปิดฝาอัพเกรดด้วยตัวเองอย่างแน่นอน หากมีชิ้นส่วนภายในเสียหรือจะอัพเกรด SSD แนะนำให้เอาเครื่องไปให้ช่างผู้ชำนาญการประจำศูนย์บริการเป็นผู้จัดการให้จะดีที่สุด ลดความเสี่ยงว่าถ้าแกะทำเครื่องด้วยตัวเองแล้วจะเกิดความเสียหายด้วย 

ข้อดีของ ASUS Zenbook 14 OLED UM3402
  1. บอดี้เป็นอลูมิเนียมแข็งแรงดูหรูหราพรีเมี่ยม ผ่านการทดสอบ MIL-STD 810H แล้ว
  2. น้ำหนักเครื่องเพียง 1.39 กิโลกรัม พกพาง่าย เหมาะกับผู้ใช้ทุกคน
  3. มีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือติดตั้งมาให้โดยรวมไว้กับปุ่ม Power ปลดล็อคสะดวกรวดเร็ว
  4. ขาบานพับจอออกแบบให้กางได้แบนราบ 180 องศา มีความแข็งแรงทนทานมาก
  5. ทัชแพดมี ASUS NumberPad 2.0 ใช้งานสะดวก กดพิมพ์ตัวเลขได้สะดวกรวดเร็ว
  6. หน้าจอ 14 นิ้ว ความละเอียด 2.8K พาเนล OLED มีขอบเขตสีกว้าง 100% DCI-P3 ได้รับการรับรอง PANTONE Validated, VESA DisplayHDR True Black 600 ใช้พรู้ฟสีงานอาร์ทได้ดี
  7. หน้าจอมีค่า Refresh Rate 90Hz แสดงผลภาพได้ไหลลื่นต่อเนื่องลื่นไหลดีมาก
  8. มี Microsoft Office Home&Student 2021 ติดตั้งมาให้ใช้ครบเครื่อง ไม่ต้องซื้อเพิ่ม
  9. ได้พอร์ต USB-C Full Function ถึง 2 ช่อง ใช้ต่อหน้าจอแยกและชาร์จแบตฯ ได้ ใช้งานสะดวก
  10. แบตเตอรี่ 75Wh กับซีพียู Ryzen 5 7530U จัดการพลังงานดีมาก ใช้งานได้นาน 15 ชั่วโมง
  11. ลำโพงได้ harman/kardon มาปรับจูนเสียงให้ ได้เสียง Dolby Atmos เนื้อเสียงดีน่าประทับใจ
  12. ได้ประกัน ASUS Perfect Warranty 1 ปีแรก ช่วยดูแลตัวเครื่องเมื่อเกิดปัญหาได้เป็นอย่างดี
ข้อสังเกตของ ASUS Zenbook 14 OLED UM3402
  1. ดีไซน์ภายนอกยังคล้ายรุ่นก่อนหน้า ยังไม่ความแตกต่างหรือโดดเด่นมากนัก
  2. ตัวเครื่องซีลมาแน่นมากจนเปิดฝาเองไม่ได้ หากจะซ่อมหรืออัพเกรดควรให้ศูนย์บริการจัดการ

รีวิว ASUS Zenbook 14 OLED UM3402

Specification

Screenshot 2023 01 30 102049 1

ASUS Zenbook 14 OLED UM3402 เป็นโน๊ตบุ๊คบางเบาระดับพรีเมี่ยมของทาง ASUS ที่ได้อัพเกรดซีพียูจาก AMD Ryzen 5000 Series มาเป็น Ryzen 7000 Series แล้ว โดยสเปคจะเป็นดังนี้

CPU AMD Ryzen 5 7530U แบบ 6 คอร์ 12 เธรด ความเร็ว 2.0~4.5GHz
GPU AMD Radeon Graphics แบบ 7 คอร์ ความเร็ว 2,000MHz
SSD M.2 NVMe SSD 512GB PCIe 3.0 x4
RAM 16GB LPDDR4x บัส 4266MHz
Display 14 นิ้ว ความละเอียด 2.8K พาเนล OLED ค่า Refresh Rate 90Hz ขอบเขตสีกว้าง 100% DCI-P3 ได้รับการรับรอง PANTONE Validated, VESA DisplayHDR True Black 600
Connectivity USB-A 3.2 Gen 2 x 1, USB-C 3.2 Gen 2 Full Function x 2, HDMI 2.1 x 1, MicroSD Card Reader x 1, Audio combo x 1

Wi-Fi 6E มาตรฐาน 802.11ax และ Bluetooth 5.0

Software Windows 11 Home, Microsoft Office Home&Student 2021
Weight 1.39 กิโลกรัม
Price 32,990 บาท (ASUS Shopee Mall)

Hardware & Design

ASUS Zenbook 14 OLED Ryzen 7000 DSC00070

ASUS Zenbook 14 OLED Ryzen 7000 DSC00055
ASUS Zenbook 14 OLED Ryzen 7000 DSC00056
ASUS Zenbook 14 OLED Ryzen 7000 DSC00061
ASUS Zenbook 14 OLED Ryzen 7000 DSC00046

บอดี้ของ ASUS Zenbook 14 OLED UM3402 จะยืนพื้นเหมือน Zenbook 14 OLED รุ่นก่อนหน้า นั่นคือบอดี้อลูมิเนียมเนื้อด้านมีความแข็งแรงสวยงาม บอดี้เป็นสีดำเหลือบน้ำเงินและตัดเว้นขอบล่างใต้ทัชแพดให้เว้าเข้ามาเล็กน้อย ใช้นิ้วชี้เพียงนิ้วเดียวกางเปิดหน้าจอได้ง่ายแถมยังวางบาลานซ์เครื่องได้ดีไม่มีอาการตัวเครื่องยกตามนิ้วขึ้นมาอีกด้วย ด้านที่วางข้อมือฝั่งซ้ายจะติดสติ๊กเกอร์การรับประกัน ASUS Perfect Warraty, Microsoft Office Home&Student 2021, ซีพียู AMD Ryzen และการ์ดจอ AMD Radeon มาให้ ฝั่งขวาจะติดสติ๊กเกอร์โชว์ฟีเจอร์เด่นของ Zenbook 14 OLED UM3402 เอาไว้เพื่อให้ผู้ใช้ทราบจุดเด่นของโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้ในทันที

ปุ่ม Power จะติดตั้งรวมเอาไว้กับชุดคีย์บอร์ด โดยอยู่ระหว่างปุ่ม Print Screen, Delete รองรับการสแกนลายนิ้วมือเพื่อปลดล็อคเครื่องได้โดยทำงานร่วมกับระบบ Windows Hello สามารถตอบสนองได้รวดเร็ว ไม่แพ้เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือของสมาร์ทโฟนเลย ตัวปุ่มแข็งโดยใช้น้ำหนักกดมากกว่าปุ่มใช้งานของคีย์บอร์ดพอสมควร ลดโอกาสกดพลาดแล้วเผลอปิดเครื่องในนาทีสำคัญไปได้ระดับหนึ่ง ถ้าไม่ตั้งใจกดก็แทบไม่พลาดกดดับเครื่องเลย

ASUS Zenbook 14 OLED Ryzen 7000 DSC00035

ASUS Zenbook 14 OLED Ryzen 7000 DSC00033
ASUS Zenbook 14 OLED Ryzen 7000 DSC00041
ASUS Zenbook 14 OLED Ryzen 7000 DSC00031
ASUS Zenbook 14 OLED Ryzen 7000 DSC00029

ก้านขาบานพับของหน้าจอจะติดเป็นแนวนอนทำมุมกับตัวบานหน้าจอเป็นตัว L เป็นโลหะแข็งแรง ติดก้านพลาสติกรองใต้ขอบล่างของหน้าจอเอาไว้ซัพพอร์ตและยกตัวเครื่องขึ้นเล็กน้อย ช่วยลดริ้วรอยเวลากางหน้าจอทำงานได้ดีมากและสังเกตว่าตัวเครื่องจะยกขึ้นเล็กน้อยให้พิมพ์งานได้ถนัดมือกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปที่วางราบไปกับพื้นโต๊ะอีกด้วย

ด้านการกางหน้าจอ ทางบริษัทก็ออกแบบให้ ASUS Zenbook 14 OLED UM3402 กางจอได้แบนราบ 180 องศา ทำให้องศาการมองเห็นกว้างมาก จะตั้งพิมพ์งานบนโต๊ะหรือวางบนแท่นวางโน๊ตบุ๊คก็ปรับมุมหน้าจอให้มองเห็นได้ง่ายและยังกางจอวางราบกับพื้นโต๊ะให้เพื่อนร่วมงานดูหน้าจอร่วมกันได้ง่ายๆ อีกด้วย จัดเป็นดีไซน์ที่มีประโยชน์มากไม่แพ้การพับจอกลับเป็นแท็บเล็ตเลย

ASUS Zenbook 14 OLED Ryzen 7000 DSC00078
ASUS Zenbook 14 OLED Ryzen 7000 DSC00079

ฝาหลังของ Zenbook 14 OLED จะเน้นความเรียบง่าย ไม่มีลวดลายอะไรมากกว่าโลโก้ ASUS แบบเส้นกราฟิตี้ตรงกลางเครื่องฝั่งขวามือและสกรีนคำว่า ASUS Zenbook ไว้ตรงกลางขอบล่างของตัวเครื่องอีกจุด ดีไซน์ดูเรียบร้อยไม่หวือหวาสมกับที่ทางบริษัทเน้นออกแบบให้ดูพรีเมี่ยมมีระดับ ช่วยเสริมบุคลิคให้กับเจ้าของเวลาเครื่องติดไปประชุมงานกับลูกค้าก็ดูดีมีระดับยิ่งขึ้น

ASUS Zenbook 14 OLED Ryzen 7000 DSC00025

ฝาด้านใต้ตัวเครื่องจะมีแถบยางกันลื่นและช่วยป้องกันบอดี้เกิดริ้วรอยทั้งหมด 3 เส้น โดยมีแถบเส้นยาวขอบล่างตัวเครื่องและเส้นสั้นอีก 2 เส้นตรงขอบบนใกล้กับขาบานพับหน้าจอ ตรงกลางมีช่องสำหรับดึงอากาศเย็นเข้าไประบายความร้อนภายในเครื่องแล้วเป่าออกทางช่องระบายความร้อนที่ช่องฝั่งขวาของตัวเครื่อง แม้ช่องลมเข้าและออกจะมีขนาดไม่ใหญ่แต่ก็นำความร้อนออกจากตัวเครื่องได้ดี จากการทดลองใช้งานแม้จะรันโปรแกรมทดสอบอยู่ ความร้อนภายในเครื่องไม่มีการระอุหรือรบกวนผู้ใช้เลยแม้แต่น้อย ต้องถือว่าทาง ASUS จัดการเรื่องอุณหภูมิและระบบภายในเครื่องได้ดีมาก

Screen & Speaker

ASUS Zenbook 14 OLED Ryzen 7000 DSC00036

ASUS Zenbook 14 OLED Ryzen 7000 DSC00038
ASUS Zenbook 14 OLED Ryzen 7000 DSC00037
ASUS Zenbook 14 OLED Ryzen 7000 DSC00039
ASUS Zenbook 14 OLED Ryzen 7000 DSC00040

หน้าจอขนาด 14 นิ้ว ความละเอียด 2.8K (2880×1800) พาเนล OLED ของ Zenbook 14 OLED ใช้ดีไซน์แบบ NanoEdge โดยทำให้กรอบหน้าจอทั้ง 3 ด้านบางและขอบล่างสกรีนคำว่า ASUS Zenbook เอาไว้ แต่จอของเครื่องทดสอบจะไม่ได้เป็นจอทัชสกรีน ส่วนตัวผู้เขียนคาดว่าจะสงวนเอาไว้ให้รุ่น Ryzen 7 หรือเป็นรุ่นที่ไม่ได้นำมาจำหน่ายในประเทศไทยก็เป็นไปได้ 

คุณสมบัติของจอนี้นอกจากจะมองเห็นได้กว้าง 178 องศาโดยสีสันไม่เพี้ยนหรือมีเงาสะท้อนขึ้นบนจอ ก็ได้รับการรับรอง PANTONE Validated, VESA DisplayHDR True Black 600 และการันตีขอบเขตสีกว้าง 100% DCI-P3 แสดงสีสันได้มากถึง 1.07 พันล้านสี มีความสว่างสูงสุด 550 nits มีค่า Refersh Rate 90Hz และเป็นจอ SGS Eye Care Display ลดแสงสีฟ้าถนอมสายตาผู้ใช้อีกด้วย

ASUS Zenbook 14 OLED Ryzen 7000 DSC00067

display 1
gamut
luminance 1

ขอบเขตสีหน้าจอของ ASUS Zenbook 14 OLED UM3402 เมื่อทดสอบด้วย DisplayCal 3 และใช้เครื่อง Colorchecker ของ Calibrite วัดค่า Gamut coverage ซึ่งเป็นค่าขอบเขตสีจริงของหน้าจอนี้ได้ 99.8% sRGB, 92.6% Adobe RGB, 99.2% DCI-P3 ส่วน Gamut volume ซึ่งเป็นขอบเขตสีโดยรวมทั้งหมดของจอนี้สูงถึง 165.9% sRGB, 114.3% Adobe RGB, 117.5% DCI-P3 มีค่าความเที่ยงตรงสีหรือ Delta-E เฉลี่ย 0.08~2.58 และหน้าจอนี้แสดงค่าสีได้สูงถึง 10-bit อีกด้วย จึงถือได้หน้าจอของ Zenbook 14 OLED นี้ยังคงยอดเยี่ยมคงเส้นคงวา ใช้พรู้ฟสีงานอาร์ทหรือใช้แต่งภาพก็ได้ และคุณภาพสีของผลงานกับบนจอคอมก็จะได้ความเที่ยงตรงกันอย่างแน่นอน

ความสว่างหน้าจอเมื่อตั้งความสว่าง 100% วัดได้ 387.58 cd/m2 จัดว่าสว่างมากพอสู้แสงแดดที่สะท้อนบนหน้าจอได้สบายๆ ดังนั้นถ้าใครพกเครื่องไปนั่งทำงานตามร้านกาแฟก็เร่งความสว่างจอสู้ได้สบายๆ แต่ถ้านั่งทำงานในอาคารหรือออฟฟิศขอแนะนำให้ตั้งความสว่างราว 40~50% ก็สว่างเหลือเฟือพอมองเห็นจอได้สบายๆ แล้ว

ASUS Zenbook 14 OLED Ryzen 7000 DSC00026
ASUS Zenbook 14 OLED Ryzen 7000 DSC00027

เสียงลำโพงของ ASUS Zenbook 14 OLED UM3402 ได้ทาง harman/kardon มาปรับจูนเสียงให้และให้เสียงแบบ Dolby Atmos เนื้อเสียงมีมิติและทิศทางเสียงดี สเตจเสียงถือว่ากว้างระดับหนึ่ง โทนเสียงของลำโพงจะเน้นเสียงร้องกับเครื่องดนตรีเป็นหลัก มีเสียงเบสจากลำโพงจะเน้นทางซัพพอร์ตให้โทนเสียงมีมิติฟังสนุกขึ้น เมื่อเปิดเสียงดัง 100% แล้ววัดด้วยเครื่องวัดเสียงจะมีความดังราว 85dB ซึ่งถ้าใครชอบฟังเพลงป็อปและแจ๊สน่าจะชอบลำโพงของโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้มากและยังฟังเพลงแนวร็อคได้ด้วย แต่ถ้าเป็นแนว EDM ถึงจะฟังได้สนุกระดับหนึ่งก็ตาม แต่เบสอาจจะไม่หนักและแรงปะทะยังไม่หนักแน่นมาก กรณีนั้นแนะนำให้ต่อลำโพงแยกไปอีกชุดจะดีกว่า 

Keyboard & Touchpad

ASUS Zenbook 14 OLED Ryzen 7000 DSC00042

ASUS Zenbook 14 OLED Ryzen 7000 DSC00053
ASUS Zenbook 14 OLED Ryzen 7000 DSC00054
ASUS Zenbook 14 OLED Ryzen 7000 DSC00049
ASUS Zenbook 14 OLED Ryzen 7000 DSC00048
ASUS Zenbook 14 OLED Ryzen 7000 DSC00047
ASUS Zenbook 14 OLED Ryzen 7000 DSC00044
ASUS Zenbook 14 OLED Ryzen 7000 DSC00051
ASUS Zenbook 14 OLED Ryzen 7000 DSC00052

คีย์บอร์ดของ ASUS Zenbook 14 OLED UM3402 ใช้ดีไซน์ Dished Keycaps เหมือน Zenbook 14 OLED รุ่นก่อน ซึ่งคีย์แคปจะดีไซน์ตรงกลางปุ่มโค้งลงเหมือนท้องจานลึก 0.2 มม. มีระยะกด 1.4 มม. ซึ่งข้อดีของคีย์แคปนี้ทาง ASUS ลดโอกาสตอนพิมพ์ให้ผิดน้อยลงและกดได้แม่นยำยิ่งขึ้น ซึ่งดีไซน์และระยะกดถือว่ากำลังดีใช้งานถนัดกว่าปุ่มแบบแบนมาก และตัวแป้นคีย์บอร์ดจะมีไฟ LED Backlit ปรับไฟสว่างได้ 3 ระดับ ทำงานแบบ Toggle โดยกดเพิ่มไปสว่างสุดแล้วกดอีกครั้งไฟจะดับลง ช่วยให้พิมพ์งานในที่แสงน้อยได้สะดวกยิ่งขึ้นมาก

ปุ่มกดและคีย์ลัดสำคัญของคีย์บอร์ดจะมี Fn+Esc เพื่อสลับเลย์เอ้าท์ระหว่าง Function Hotkey กับปุ่ม F1~F12 ตามปกติได้ ปุ่มลูกศรทั้ง 4 ด้านจะมี Home, End, Page Up/Down แยกไปเป็น Delete กับ Insert ซ้อนเลเยอร์เอาไว้ สามารถกด Fn ค้างไว้ก่อนแล้วกดเรียกคำสั่งเหล่านี้มาใช้งานได้เลย สามารถกดใช้งานได้สะดวกและทำงานได้รวดเร็วดี

ASUS Zenbook 14 OLED Ryzen 7000 DSC00043

ส่วน Function Hotkey บริเวณบรรทัดบนสุด ทาง ASUS ก็เซ็ตปุ่มใช้งานหลักเอาไว้ครบถ้วนกดใช้งานได้สะดวกหรือจะสลับปุ่ม F1~F12 มาใช้งานก็ได้ โดยมีคีย์ลัดดังนี้

  • F1~F3 – ปิด, ลดหรือเพิ่มเสียงลำโพง
  • F4~F5 – ลดหรือเพิ่มความสว่างหน้าจอ
  • F6 – ปิด/เปิดทัชแพด
  • F7 – ปรับความสว่างหน้าจอ
  • F8 – ปุ่ม Project ตั้งค่าหน้าจอหลักและจอเสริม
  • F9 – ปิด/เปิดไมโครโฟน
  • F10 – ปิด/เปิดกล้อง Webcam
  • F11 – เรียกคำสั่ง Snipping Tool ขึ้นมาบันทึกภาพหน้าจอ
  • F12 – เรียกโปรแกรม MyASUS ขึ้นมาตั้งค่าตัวเครื่อง

ต้องถือว่าคีย์ลัดทั้งหมดนี้ของ ASUS Zenboook 14 OLED UM3402 เป็นคีย์พื้นฐานซึ่งผู้ใช้ส่วนใหญ่เรียกใช้งานเป็นประจำอยู่แล้วและทางบริษัทก็เซ็ตไว้ให้เรียกใช้งานได้ง่ายดีด้วย แต่ถ้าให้ดีขึ้นอีกก็ขอแนะนำให้ทางบริษัทนำคำสั่ง Snipping Tool ตรง F11 ย้ายไปรวมไว้กับปุ่ม Print Screen ข้างๆ กันแล้วใส่คำสั่งสลับค่า Refresh Rate 60~90Hz มาให้จะดีกว่า ให้ผู้ใช้เลือกได้ว่าจะให้ภาพบนหน้าจอลื่นไหลหรือเน้นประหยัดพลังงานจะดีกว่า

ASUS Zenbook 14 OLED Ryzen 7000 DSC00057
ASUS Zenbook 14 OLED Ryzen 7000 DSC00058
ASUS Zenbook 14 OLED Ryzen 7000 DSC00063
ASUS Zenbook 14 OLED Ryzen 7000 DSC00062

ทัชแพด ASUS NumberPad 2.0 จะรวมชุดแป้น Numpad เอาไว้ให้ผู้ใช้กดใช้งานได้โดยเป็นแป้นแบบเลเซอร์ ตอนเปิดใช้งานจะเป็นแป้นทัชแพดธรรมดาแต่ถ้าแตะค้างตรงไอคอนกรอบสี่เหลี่ยมมุมบนขวาจะเปิดฟังก์ชั่น Numpad ขึ้นมาใช้งาน ส่วนไอคอนสามเหลี่ยมมุมบนซ้ายมือจะใช้ปรับความสว่างของแป้นได้ หากแตะไอคอนมุมบนซ้ายแล้วลากออกจะเรียกโปรแกรม Calculator ขึ้นมาใช้งานได้ด้วย

ฟังก์ชั่นฝั่งทัชแพดของ NumberPad 2.0 ก็รองรับคำสั่ง Gesture ของ Windows 11 ครบถ้วน สามารถลากนิ้วตั้งแต่ 2~3 นิ้วเพื่อคุมการทำงานได้ง่ายๆ เวลาวางมือเพื่อพิมพ์งานแล้วสันมืออาจจะพาดตรงขอบของตัวทัชแพดเล็กน้อยแต่ก็ไม่เจออาการทัชแพดลั่นรบกวนการใช้งานเลย

Connector / Thin & Weight

ASUS Zenbook 14 OLED Ryzen 7000 DSC00064
ASUS Zenbook 14 OLED Ryzen 7000 DSC00065

พอร์ตการเชื่อมต่อของ ASUS Zenbook 14 OLED UM3402 จะถูกติดตั้งเอาไว้ 2 ฝั่งของตัวเครื่อง โดยฝั่งซ้ายมือจะเป็น USB-A 3.2 Gen 2 เพียงพอร์ตเดียวโดยอยู่ข้างๆ ช่องระบายความร้อน ส่วนฝั่งขวาจากซ้ายมือจะมีพอร์ต MicroSD Card Reader, USB-C 3.2 Gen 2 Full Function x 2, Audio combo และ HDMI 2.1 ส่วนการเชื่อมต่อไร้สายรองรับ Wi-Fi 6E มาตรฐาน 802.11ax และ Bluetooth 5.0

ส่วนนี้ถือว่าทางบริษัทให้พอร์ตใช้งานมาครบเครื่องทำงานได้สะดวกสบายมาก ฝั่งเจ้าของเครื่องไม่ต้องลำบากหา USB-C Multiport Adapter มาต่อแยกให้ลำบากเลย อย่างมากถ้าผู้ใช้คนไหนต้องใช้ SD Card ก็หา Card Reader มาต่อเพิ่มอีกสักหน่อยก็เพียงพอแล้ว

ASUS Zenbook 14 OLED Ryzen 7000 DSC00018

ASUS Zenbook 14 OLED Ryzen 7000 DSC00086
ASUS Zenbook 14 OLED Ryzen 7000 DSC00020
ASUS Zenbook 14 OLED Ryzen 7000 DSC00019

น้ำหนักของ ASUS Zenbook 14 OLED UM3402 ทาง ASUS เคลมเอาไว้ที่ 1.39 กิโลกรัม แต่พอชั่งน้ำหนักดูแล้วมีน้ำหนักเพียง 1.35 กิโลกรัมเท่านั้น เมื่อรวมอแดปเตอร์หัวพอร์ต USB-C กำลังชาร์จ 65 วัตต์น้ำหนัก 224 กรัมแล้ว มีน้ำหนักรวมเพียง 1.58 กิโลกรัมเท่านั้น ถือว่าน้ำหนักเบาพกพาง่ายมาก จะใช้อแดปเตอร์ของตัวเครื่องอย่างเดียวหรือพกอแดปเตอร์ GaN กำลังชาร์จ 65 วัตต์เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ก็ได้ ทำให้ผู้ใช้มีตัวเลือกเวลาจัดอุปกรณ์ในกระเป๋ายิ่งขึ้น

Performance & Software

cpu 1

mb 1
ram 1

ASUS อัพเกรดซีพียูใน ASUS Zenbook 14 OLED UM3402 ให้เป็น AMD Ryzen 5 7530U แบบ 6 คอร์ 12 เธรด ความเร็ว 2.0~4.5GHz สถาปัตยกรรม TSMC 7nm FinFET รองรับชุดคำสั่งพื้นฐานครบถ้วน อิงจากหลักการอ่านรหัสซีพียู AMD ในปี 2023 แล้ว Ryzen 5 7530U จะเป็นซีพียูโมเดลปี 2023 สถาปัตยกรรม Zen 3 / Zen 3+ รุ่นมาตรฐาน ออกแบบมาใช้งานกับโน๊ตบุ๊คบางเบาค่า TDP 15~28 วัตต์ 

แรม Zenbook 14 OLED เป็นแบบออนบอร์ด ความจุ 16GB LPDDR4x บัส 4266MHz ติดตั้งมาแบบ Dual Channel เป็นความจุที่มากพอใช้ทำงานต่างๆ ตั้งแต่งานเอกสาร Microsoft Office ไปจนงานตัดต่อแต่งภาพก็ยังพอมีให้ใช้ได้อย่างเหลือเฟือ แต่น่าสังเกตว่าทาง ASUS ยังใช้แรม LPDDR4x ไม่ใช่ LPDDR5 บัส 5500MHz อย่างโน๊ตบุ๊คบางเบาหลายๆ รุ่นในปัจจุบันนิยมกัน แต่ส่วนตัวผู้เขียนคิดว่าตัวแรมประเภทนี้ก็ได้บัสสูงพอและทำงานได้ไหลลื่นแล้ว ถ้าอัพเกรดมาแม้จะได้ความสดใหม่แต่ราคาสูงขึ้นแล้วประสิทธิภาพไม่หนีจากเดิมเกินไปอาจจะไม่คุ้มกันเท่าไหร่ แต่ถ้าในอนาคตเชื่อว่าทาง ASUS จะต้องมี Zenbook 14 OLED พร้อมแรม LPDDR5 ออกมาอย่างแน่นอน

gpu

การ์ดจอออนบอร์ดในซีพียูเป็น AMD Radeon Graphics แบบ 7 คอร์ ความเร็ว 2,000MHz รองรับชุดคำสั่งต่างๆ ไม่ว่าจะ OpenCL, OpenGL 4.6, DirectCompute, DirectML, Vulkan และ DirectX 12 ที่จำเป็นต้องใช้งานครบถ้วน จึงใช้ทำงานกราฟิคและโปรแกรมตัดต่อได้ดีอย่างแน่นอน

devicemgr 1

เมื่อเช็คพาร์ทในเครื่องด้วย Device Manager จะเห็นว่า ASUS Zenbook 14 OLED UM3402 ติดตั้งชิป TPM 2.0 และ AMD PSP 10.0 มาประสานงานกับระบบ Windows Hello เพื่อรักษาความปลอดภัยภายในเครื่อง ด้านเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ปุ่ม Power ผลิตโดย EgisTec เป็นผู้ผลิตเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือของทางไต้หวันเอง

ด้าน Wi-Fi PCIe Card เป็น MediaTek Filogic 330 MT7922 รองรับการเชื่อมต่อด้วย Wi-Fi 6E มาตรฐาน 802.11ax คลื่น 6GHz แบนด์วิธ 160MHz เชื่อมต่อแบบ Dual band, MU-MIMO ความเร็ว Data Thoughput สูงสุดได้ 1.9Gbps และรองรับ Bluetooth 5.0 ในตัวอีกด้วย

ssd

 M.2 NVMe SSD ภายในเครื่องเป็นรุ่น INTEL SSDPEKNU512GZ เมื่อเช็คข้อมูลแล้วเป็น Intel 670p ความจุ 512GB เป็น QLC NAND โดยข้อดีจุดเด่นของ SSD นี้คือใช้ไฟน้อยประหยัดพลังงานและเย็น ส่วนความเร็วที่วัดได้จากโปรแกรม CrystalDiskMark 8 ได้ค่า Sequential Read 3,009.03 MB/s และ Sequential Write 1,643.15 MB/s ซึ่งความเร็วนี้จัดว่าสูงพอใช้ทำงานออฟฟิศและรันโปรแกรมต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ไม่ต้องอัพเกรดก็ได้

3dmark

เมื่อนำ ASUS Zenbook 14 OLED UM3402 มาทดสอบกับโปรแกรม 3DMark Time Spy แล้วจะได้คะแนนเฉลี่ย 1,428 คะแนน แยกเป็นคะแน CPU score 5,667 คะแนน และ Graphics score 1,262 คะแนน โดยคะแนนเฉลี่ยระดับนี้ถือว่าพอใช้เล่นเกมออนไลน์หลาๆ เกมในปัจจุบันได้อย่างแน่นอน แต่ไม่เหมาะกับเกมฟอร์มใหญ่นักเพราะการ์ดจอออนบอร์ดอาจประมวลผลไม่ไหวและทำให้เฟรมเรทตกเป็นระยะๆ อย่างแน่นอน

gaming r2

จากการทดสอบเล่นเกมทั้งหมด 3 เกม ได้แก่ Genshin Impact, DotA 2 และ Resident Evil Village ปรับกราฟิคสูงสุดจะเห็นว่าซีพียู AMD Ryzen 5 7530U และการ์ดจอ AMD Radeon Graphics 7 คอร์ ใน ASUS Zenbook 14 OLED UM3402 ได้รับการพัฒนามาพอสมควร ทำให้เล่นเกมออนไลน์ได้ดีพอสมควร โดยเฉพาะ DotA 2 ซึ่งเป็นเกมเน้นใช้คอร์ซีพียูเป็นหลัก (CPU Intensive) จะทำเฟรมเรทเฉลี่ยได้สูงถึง 57 Fps

ด้านเกมยอดนิยมอย่าง Genshin Impact ก็ทำเฟรมเรทเฉลี่ยได้ค่อนข้างดี แม้จะตั้งกราฟิคในระดับสูงและเปิดค่าเฟรมเรทเอาไว้ 60 Fps ตัวเกมก็ทำเฟรมเรทเฉลี่ยได้ 29 Fps ซึ่งถ้าใช้เล่นฆ่าเวลา ASUS Zenbook 14 OLED UM3402 ก็พอเล่นได้ระดับหนึ่ง แต่ข้อสังเกตที่พบระหว่างทดสอบ คือ เมื่อมีเอฟเฟคไฟหรือท่าไม้ตายเมื่อไหร่ ภาพจะหน่วงแล้วเฟรมเรทลดลงจนรู้สึกได้ ดังนั้นผู้เขีนยแนะนำว่าถ้าจะเล่น Genshin Impact ควรเปิดกราฟิคระดับกลางหรือต่ำเพื่อเน้นความไหลลื่นสูงสุดไปจะดีกว่า

กรณีเกมฟอร์มใหญ่อย่าง Resident Evil Village แม้เอนจิ้นเกมจะเอื้อ AMD Ryzen และ Radeon และทำเฟรมเรทเฉลี่ยได้ 27 Fps ก็ตาม แต่ตอนทดลองเล่นจริงแล้วผู้เขียนไม่แนะนำนัก เนื่องจากเครื่องต้องเรนเดอร์กราฟิคอย่างต่อเนื่องและใช้พลังของกราฟิคการ์ดสูงมาก ทำให้ภาพหน่วงและตอบสนองได้ไม่เร็วเท่ากับเกมมิ่งโน๊ตบุ๊คแบบมีการ์ดจอแยก ดังนั้นถ้าเป็นเกมฟอร์มใหญ่เน้นประมวลผลภาพด้วยการ์ดจอแยก AMD Radeon Graphics 7 คอร์ใน AMD Ryze 5 7530U จะไม่แนะนำนัก

สรุปคือ ASUS Zenbook 14 OLED UM3402 สามารถเล่นเกมออนไลน์ทั่วไป เช่น DotA 2, Genshin Impact, PUBG หรือแม้แต่ Valorant ได้ไหลลื่นระดับหนึ่ง ส่วนเกมฟอร์มใหญ่จะเหมาะกับประเภทที่เน้นใช้ซีพียูทำงานเป็นหลัก (CPU Intensive) เช่น Civilization VI หรือ Total War ก็พอเล่นได้ แต่ถ้าเป็นเกมเน้นกราฟิคการ์ดเป็นหลักอาจต้องปรับกราฟิคระดับ Medium~Low ถึงจะเล่นได้ลื่นขึ้น

pcmark10

กลับกันถ้าเอา ASUS Zenbook 14 OLED UM3402 ไปทำงานจัดว่าทรงพลังไม่มีข้อกังขาแน่นอน โดยคะแนนจากโปรแกรมทดสอบการทำงานอย่าง PCMark 10 ทำคะแนนเฉลี่ยได้สูงมากถึง 5,903 คะแนน และถ้าดูแยกตามหมวดคะแนนจะเห็นว่า AMD Ryzen 5 7530U ทำคะแนนในกลุ่ม Essential อย่างการเปิดโปรแกรม, ประชุมงานออนไลน์หรือเปิดเว็บเบราเซอร์ได้ยอดเยี่ยม ถัดลงมาเป็นหมวด Productivity อย่างการเปิดโปรแกรมทำงานเอกสารและออฟฟิศไม่ว่าจะ Word, Excel ก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน รองลงมาจะเป็นหมวด Digital Content Creation โดยเฉพาะการตัดต่อแต่งภาพจะทำได้ดีทีเดียว ส่วนการเรนเดอร์พรีวิวโมเดล 3D CG หรือตัดต่อวิดีโอต้องถือว่าใช้งานได้ แต่ไม่โดดเด่นเท่ารุ่นมีการ์ดจอแยก

โดยรวมในแง่การทำงาน ต้องถือว่า ASUS Zenbook 14 OLED UM3402 จะทำงานเอกสาร, ประชุมออนไลน์หรือเปิดเว็บแอพฯ ขึ้นมาทำงานเป็นอย่างมากและพอตัดต่อแต่งภาพด้วยโปรแกรม Photoshop ได้ดีระดับหนึ่ง อาจใช้พรีวิวโมเดล 3D CG เพื่อเสนองานให้กับลูกค้าได้ระดับหนึ่ง ดังนั้นมันจะเหมาะกับงานสายเซลส์ที่ต้องไปพบลูกค้าประชุมงาน ติดต่อรับส่งเมล์และแก้ไฟล์เอกสารรวมไปถึงนักศึกษาที่หาโน๊ตบุ๊คคุณภาพดีประสิทธิภาพสูงเอาไว้ทำงานสักเครื่องหนึ่งมาก

r15
r20

ด้านผลคะแนนเมื่อทดสอบด้วยโปรแกรม CINEBENCH R15 เพื่อดูพลังการเรนเดอร์กราฟิคของซีพียู AMD Ryzen 5 7530U แล้ว จะเห็นว่าส่วนของ OpenGL ทำได้ 125.86 fps และ CPU ได้ 1,480 cb สรุปได้ว่าซีพียูนี้สามารถพรีวิวโมเดล 3D เพื่อนำเสนองานให้ลูกค้าดูได้อย่างลื่นไหลต่อเนื่องแน่นอน ส่วน CINEBENCH R20 ที่ทดสอบพลังการทำงานของคอร์ซีพียูอย่างเดียว ได้คะแนน 3,423 pts จัดว่าสูงพอเรนเดอร์ภาพกราฟิคต่างๆ ได้สบายๆ ดังนั้นถ้าใครต้องทำงานกับโปรแกรมสาย Adobe Photoshop หรือแม้แต่ Lightroom ก็ทำได้ดีไม่มีปัญหา และแม้แต่เรนเดอร์โมเดลด้วยโปรแกรม Blender ก็ใช้งานได้ค่อนข้างไหลลื่นอีกด้วย

myasus1

oled care
customer support
settings

โปรแกรม MyASUS สำหรับตั้งค่าตัวเครื่องในส่วนต่างๆ จะมีฟังก์ชั่น ASUS OLED Care ไว้ตั้งค่าแสดงผลของพาเนล OLED ช่วยยืดอายุการใช้งานและลดปัญหาหน้าจอ Burn-in ลงไปได้ โดยผู้เขียนแนะนำให้เปิดฟังก์ชั่น OLED Care ทั้งหมดเอาไว้เลยเพื่อถนอมพาเนลให้อายุใช้งานนานที่สุด นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชั่นตั้งค่าตัวเครื่องในส่วนต่างๆ รวมทั้งหมวดการอัพเดทเฟิร์มแวร์ด้วย หากใครใช้โน๊ตบุ๊คเครื่องนี้รวมไปถึงเครื่องของแบรนด์ ASUS แนะนำให้เปิดซอฟท์แวร์นี้มาเช็คเฟิร์มแวร์เวอร์ชั่นใหม่ๆ และอัพเดทเป็นระยะๆ จะช่วยให้เครื่องทำงานได้ดีต่อเนื่อง

Battery & Heat & Noise

batt 1

แบตเตอรี่ของ ASUS Zenbook 14 OLED UM3402 เป็นแบตเตอรี่ความจุ 75Wh แบบฝังไว้ในเครื่อง ถ้าเทียบกับโน๊ตบุ๊คบางเบารุ่นอื่นในท้องตลาดต้องถือว่ามีความจุสูงทีเดียว เมื่อทดสอบตามมาตรฐานของทางเว็บไซต์โดยเปิดความสว่าง 50% เปิดเสียงลำโพง 10% แต่เมื่อซีพียูในเครื่องเป็น AMD Ryzen 5 7530U ผู้เขียนขอแนะนำให้เปลี่ยนจากการกดโหมด Battery Saver ของ Windows 11 มาเปิดฟังก์ชั่น Radeon Chill ใน AMD Software: Adrenalin Edition แทน และใช้ Microsoft Edge ดูคลิป YouTube โดยครั้งนี้ผู้เขียนทดลองเพิ่มระยะเวลาใช้งานให้นานขึ้นจาก 30 เป็น 45~50 นาทีแทน ตัว AMD Ryzen 5 7530U ก็สามารถใช้งานต่อเนื่องได้นานมากถึง 15 ชั่วโมง 10 นาที

อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนได้ทดสอบโดยตั้งค่าตัวเครื่องแบบเดียวกันแต่ปล่อยเอาไว้ 30 นาที แบบเดียวกับที่ได้ทดสอบโน๊ตบุ๊คเครื่องอื่นๆ มาก่อนหน้านี้เช่นกัน ซึ่งระยะเวลาใช้งานก็ไม่ต่างกันกับการทดสอบในรีวิวนี้ และหากเปลี่ยนวิธีการทดสอบเล็กน้อยโดยไม่ใช้ Radeon Chill แล้วใช้ระบบ Battery Saver แทน ระยะเวลาใช้งานด้วยแบตเตอรี่ของ ASUS Zenbook 14 OLED UM3402 จะลดลงเหลือราว 14 ชั่วโมง 30 นาที ซึ่งน้อยลงราว 40 นาที ดังนั้นถ้าใครซื้อโน๊ตบุ๊คซีพียู AMD Ryzen มาใช้งานก็ขอแนะนำให้ใช้ระบบ Radeon Chill แทน จะจัดการพลังงานได้ดียิ่งขึ้นและแนะนำให้ลง AMD Chipset Driver ของโน๊ตบุ๊คเพิ่มเข้าไปอีกหน่อยจะรีดประสิทธิภาพและจัดการพลังงานได้ดีกว่าเดิมอย่างมาก

ASUS Zenbook 14 OLED Ryzen 7000 DSC00028

ช่องระบายความร้อนของ ASUS Zenbook 14 OLED UM3402 จะมีเพียงช่องเดียว โดยอยู่ถัดมาจากพอร์ต USB-A 3.2 Gen 2 ฝั่งซ้ายมือ เป็นช่องเล็กๆ ไม่กว้างมากแต่ก็ระบายความร้อนได้ดี เสียงตอนพัดลมโบลเวอร์ทำงานเต็มประสิทธิภาพจะดังราว 55~60dB เท่านั้น

temp

และแม้จะมีช่องระบายความร้อนเพียงช่องเดียวก็ตาม แต่เมื่อทดลองรันโปรแกรม Benchmark แล้วเช็คอุณหภูมิในเครื่องด้วย CPUID HWMonitor จะเห็นว่าอุณหภูมิในเครื่องจะวิ่งอยู่ราว 62.5~95.4 องศา มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 63.1 องศาเซลเซียสเท่านั้น และเวลาใช้งานจริงต้องถือว่าตัวเครื่องจัดการเรื่องอุณหภูมิได้ดีมาก จะวางเครื่องบนหน้าตักเพื่อใช้งานก็ได้ไม่ร้อนมากแต่ถ้ารันโปรแกรมกินทรัพยากรตัวเครื่องหนักๆ อย่าง Adobe Photoshop, Lightroom ตัวเครื่องจะอุ่นขึ้นมาระดับหนึ่ง แนะนำให้วางบนโต๊ะทำงานแทนจะดีกว่า

User Experience

ASUS Zenbook 14 OLED Ryzen 7000 DSC00074

แม้รูปลักษณ์ของ ASUS Zenbook 14 OLED UM3402 จะเหมือนกับ Zenbook 14 OLED ในรุ่นก่อนก็ตาม ใช้บอดี้เป็นอลูมิเนียมได้ความพกพาง่ายแข็งแรงทนทานและลวดลายดีไซน์เน้นความสวยเรียบหรูดูดีและได้ซอฟท์แวร์ใช้งานติดตั้งมาให้ครบทั้ง Windows 11 Home และ Microsoft Office Home & Student 2021 เพียงเปิดเครื่องขึ้นมา Sign in ให้เรียบร้อยแล้วก็เริ่มทำงานได้ทันที และทัชแพดของ Zenbook 14 OLEd นี้ก็เป็น ASUS NumberPad 2.0 ชุด Numpad เลเซอร์ซึ่งใช้งานได้สะดวกมาก ไม่ต้องเป็นโน๊ตบุ๊คเครื่องใหญ่ระดับ 15.6 นิ้วก็ทำงานเกี่ยวกับตัวเลขและเอกสารได้ดีไม่แพ้กัน

นอกจากซอฟท์แวร์จะครบ น้ำหนักก็ยังเบาพกง่าย เพียง 1.35 กิโลกรัมเท่านั้น ซึ่งเป็นจุดที่ผู้เขียนชอบมาก เวลาจะหยิบเครื่องติดตัวไปออฟฟิศหรือไปร้านกาแฟใกล้บ้านเพื่อนั่งทำงานก็เบาสบายพกง่าย ไม่ต้องใช้เป้ใบใหญ่แค่ใช้กระเป๋าสะพายข้างเส้นหนึ่งกับเซ็ตสาย USB-C และอแดปเตอร์ GaN กำลังชาร์จ 65 วัตต์อีกอันใส่กระเป๋าไปก็ไม่ต้องห่วงว่าแบตเตอรี่จะหมดระหว่างวันแล้ว แต่อันที่จริงซีพียู Ryzen 5 7530U ของ ASUS Zenbook 14 OLED UM3402 ก็จัดการพลังงานได้ดีมาก เพียงลง AMD Chipset Driver แล้วเข้า AMD Software: Adrenalin Edition เปิด Radeon Chill ใช้โหมด Power Saving เท่านี้ก็ใช้งานด้วยแบตเตอรี่ได้ทั้งวัน ส่วนตัวผู้เขียนจะตั้งสว่างหน้าจอ 50% แล้วปิดเสียงลำโพงกับไฟ LED Backlit ไป กลับถึงบ้านแบตเตอรี่ยังเหลือให้ใช้อีกพอสมควร

อุณหภูมิตอนใช้งานจริง แม้ตอนทดสอบ CPUID HWMonitor จะขึ้นว่าอุณหภูมิพุ่งไปสูงสุดถึง 95 องศาเซลเซียสก็ตาม แต่ตอนใช้งานจริงถ้าใช้งานทั่วไปอย่างเปิดเบราเซอร์ทำงานด้วยเว็บแอพฯ, ทำงานเอกสารหรือแม้แต่เปิดดูหนังฟังเพลง ตัวเครื่องก็เย็นตลอดเวลาแถมพัดลมระบายความร้อนก็ไม่ได้ดังรบกวนเลยแม้แต่นิดเดียว อาจจะมีเสียงพัดลมแทรกเล็กๆ น้อยๆ เวลาเปิดโปรแกรมประเภท Photoshop, Lightroom อยู่บ้าง แต่เสียงพัดลมจะไปหมุนดังเต็มที่ก็ตอนเปิดเล่นเกมเท่านั้น จึงสรุปเรื่องอุณหภูมิได้ว่า ASUS Zenbook 14 OLED UM3402 นั้นถ้าใช้งานทั่วไปก็เย็นแทบตลอดเวลา ไม่ต้องห่วงว่าเครื่องจะร้อนเลยแม้แต่นิดเดียว

ด้านพอร์ตก็มี HDMI, USB-A 3.2 และ MicroSD Card Reader ติดเครื่องมาให้ใช้งานเลย ไม่จำเป็นต้องหา USB-C Multiport Adapter มาต่อกับ USB-C 3.2 Full Function เพื่อเพิ่มพอร์ตก็ได้ อย่างมากอาจจะหา SD Card Reader และหัวแปลง HDMI to VGA มาเผื่อเอาไว้กรณีต้องต่อโปรเจคเตอร์รุ่นเก่าจะได้ทำงานได้สะดวกยิ่งขึ้นแค่นี้ก็เหลือเฟือแล้ว

จุดแข็งแต่ก็เป็นจุดสังเกตในเวลาเดียวกันอย่างพาเนล OLED ที่ได้ขอบเขตสีกว้าง สว่างและได้รับการรับรองจาก PANTONE Validated และ VESA DisplayHDR True Black 600 แถมขอบเขตสียังกว้างถึง 100% DCI-P3 ถือเป็นพาเนลที่ดีมากๆ หากใครต้องทำงานเกี่ยวกับสีสันเป็นประจำ ต้องการหน้าจอที่ดีเอาไว้พรีเซนต์งานหรือเทียบสี ก็ใช้จอของ ASUS Zenbook 14 OLED UM3402 เทียบสีได้เลย แต่ก็ต้องระวังว่าพาเนล OLED อาจมีปัญหา Burn-in หากเปิดความสว่างจอสูงสุดหรือใช้ภาพใดภาพหนึ่งค้างบนหน้าจอเป็นเวลานานๆ แต่ทางบริษัทก็ใส่ฟีเจอร์ ASUS OLED Care มาใน MyASUS แล้ว ดังนั้นถ้าซื้อเครื่องไป ให้เปิดฟีเจอร์ทั้งหมดในหมวดนี้เอาไว้ได้เลย จะได้ลดโอกาสจอไหม้ไปในตัว แต่นอกจากนั้น Zenbook 14 OLED UM3402 ถือเป็นโน๊ตบุ๊คที่น่าใช้และได้ฟีเจอร์เกินค่าตัว 32,990 บาทมาก

Conclusion & Award

ASUS Zenbook 14 OLED Ryzen 7000 DSC00076

ASUS Zenbook 14 OLED UM3402 แม้จะอัพเกรดจากรุ่นก่อนเพียงแค่เปลี่ยนซีพียูเป็น AMD Ryzen 5 7530U แต่ก็ยังน่าสนใจ ถ้าเทียบกับรุ่นก่อนหน้าที่เป็น Ryzen 5000 Series ซึ่งวางขายไปก่อนหน้านี้แล้ว ถือเป็นการยกข้อดีทั้งหมดที่รุ่นก่อนมาใช้แล้วใส่ซีพียูที่ประสิทธิภาพดีขึ้นลงไปแทน ทั้งทำงานหนักได้สบายๆ และยังจัดการพลังงานได้ดีกว่าเดิมมากจนแทบไม่ต้องห่วงว่าแบตเตอรี่จะหมดระหว่างวันเลย ยังไม่รวมถึงเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ใช้งานได้ง่ายและเหมาะสมกับยุค New Normal และซอฟท์แวร์ที่ติดตั้งมาให้ครบเครื่องทั้ง Windows 11 Home และ Microsoft Office Home & Student 2021 ด้วย เรียกว่าเปิดเครื่องมาก็ทำงานต่อจากที่คั่งคางไว้ได้ทันที

หากคิดคำนวณแล้ว ราคาเครื่อง 32,990 บาท แลกกับฟีเจอร์และซอฟท์แวร์ทั้งหมดใน Zenbook 14 OLED UM3402 แล้วก็เป็นราคาที่สมน้ำสมเนื้อกัน ซื้อมาแล้วจบไม่ต้องเสียเงินซื้อโปรแกรมอะไรเพิ่มให้เสียอารมณ์หรืองานสะดุดเลย ส่วนตัวผู้เขียนคิดว่าถ้าโน๊ตบุ๊คใครมีอายุราว 2 ปีขึ้นไปหรือมีเพื่อนถามหาโน๊ตบุ๊คบางเบาน่าใช้สักเครื่องล่ะก็ นี่คือโน๊ตบุ๊ครุ่นน่าซื้อหรือจะเอาไปแนะนำให้เพื่อนก็ยอดเยี่ยมทั้งนั้น

award

NBS award 4 Mobility

best mobility

น้ำหนักเครื่อง 1.35 กิโลกรัม แม้จะรวมอแดปเตอร์เข้าไปก็หนักแค่ 1.58 กิโลกรัมเท่ากับโน๊ตบุ๊คจอ 15.6 นิ้ว แต่ฟีเจอร์และฟังก์ชั่นมีให้ใช้เยอะไม่แพ้กันแถมยังพกง่ายหยิบใช้ถนัดอีกด้วย น่าจะถูกใจสายพกพาอย่างแน่นอน

award new Battery Life

best battery life

Zenbook 14 OLED UM3402 มีแบตเตอรี่ความจุ 75Wh ติดตั้งมาให้ เมื่อตั้งค่าการจัดการพลังงานแล้วก็ใช้งานได้นานมากถึง 15 ชั่วโมงทีเดียว ไม่ต้องกลัวว่าแบตเตอรี่จะหมดระหว่างวันเลยสักนิด และยังใช้อแดปเตอร์ GaN ชาร์จผ่านพอร์ต USB-C ได้ด้วย ถือว่าสะดวกเหลือเฟือ

NBS award Features

 

best features

AMD Ryzen 5 7530U, ASUS NumberPad 2.0, เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือ, Windows 11 Home, Microsoft Office Home & Student 2021 เป็นฟีเจอร์และซอฟท์แวร์เด่นๆ ที่ทางบริษัทใส่มาในโน๊ตบุ๊คบางเบาแต่ทรงพลังราคา 32,990 บาทเครื่องนี้ เรียกว่าคุ้มเกินค่าตัวไปมาก!

award new Graphic

best graphic

จอของ Zenbook 14 OLED UM3402 เป็นพาเนล OLED ค่า Refresh Rate 90Hz ได้ภาพลื่นไหล มีขอบเขตสียังกว้าง 100% DCI-P3 แถมได้รับการรับรอง PANTONE Validated, VESA DisplayHDR True Black 600 มาแบบครบเครื่อง ถูกใจสายกราฟิคแน่นอน

from:https://notebookspec.com/web/684943-review-asus-zenbook-14-oled-um3402

dtac ไตรมาส 4/2565 ผู้ใช้บริการเพิ่มเป็น 21.16 ล้านเลขหมาย

ดีแทครายงานผลประกอบการของไตรมาสที่ 4 ปี 2565 จำนวนผู้ใช้บริการรวม 21.16 ล้านเลขหมาย เพิ่มขึ้นประมาณ 1 แสนเลขหมาย จากไตรมาสก่อนหน้านี้ แบ่งเป็นผู้ใช้รายเดือนลดลง 3.9 หมื่นเลขหมาย และระบบเติมเงินเพิ่มขึ้น 1.46 แสนเลขหมาย และมีรายได้เฉลี่ยต่อเลขหมาย ไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (APRU) 217 บาทต่อเดือน

รายได้รวมทั้งหมดอยู่ที่ 20,480 ล้านบาท ลดลง 5.1% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน มีกำไรสุทธิ 901 ล้านบาท ซึ่งดีแทคบอกว่ามาจากการได้รับค่าสินไหมทดแทนบางส่วน และค่าเสื่อมราคาที่ลดลง

ดีแทคคาดว่าจะควบรวมกิจการกับกลุ่มทรูเสร็จสิ้นภายในที่ 1 ของปี 2566

ที่มา: ดีแทค (pdf)

from:https://www.blognone.com/node/132444

[ลือ] โซนี่ปรับเป้ายอดขาย PSVR2 ช่วงเปิดตัว จาก 2 ล้านเหลือ 1 ล้านชุด หลังพรีออเดอร์ไม่เข้าเป้า

Bloomberg รายงานข่าวไม่ยืนยันว่า โซนี่ปรับลดเป้ายอดขาย PSVR2 ลงจากเดิมตั้งเป้า 2 ล้านชุดในไตรมาสแรก ลงมาเหลือเพียง 1 ล้านชุด หลังยอดพรีออเดอร์ไม่เข้าเป้า

นอกจากนี้ โซนี่ยังปรับเป้ายอดขายในรอบ 1 ปีแรกลงเหลือ 1.5 ล้านชุดด้วย (นับระหว่างเมษายน 2023 ถึงมีนาคม 2024)

PSVR2 มีกำหนดวางขาย 22 กุมภาพันธ์นี้ ในราคา 549 ดอลลาร์

ที่มา – Bloomberg

from:https://www.blognone.com/node/132443

นักท่องเที่ยวต่างชาติรุมกันเที่ยวญี่ปุ่น จนค่าใช้จ่ายอยู่ในระดับใกล้เคียงก่อนโควิดระบาดแล้ว!

ถ้าให้พูดถึงประเทศที่ประชาชนเป็นมิตร วัฒนธรรมน่ารัก อาหารอร่อย และไม่ค่อยมีประเด็นเรื่องเจ้าหน้าที่คอยตามรีดไถ ญี่ปุ่นถือว่าอยู่ในลิสต์นี้ ลิสต์ประเทศที่ใครๆ ก็อยากไปเที่ยว

Japan

ล่าสุดญี่ปุ่นเนื้อหอม จนทำให้ตอนนี้ค่าใช้จ่ายที่นักท่องเที่ยวพร้อมเปย์ในญี่ปุ่น ใกล้เคียงระดับก่อนโควิดระบาดแล้ว!!

ผลจากการวิเคราะห์ข้อมูลการใช้บัตรเครดิตของนักท่องเที่ยวต่างชาติล่าสุด ของ Sumitomo Mitsui Card และสถาบันวิจัยญี่ปุ่น เปิดรายงานเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา โดยเปรียบเทียบนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศในเดือนธันวาคม ปี 2022 กับช่วงเดือนธันวาคม ปี 2019 พบว่า การใช้จ่ายในด้านต่างๆ ของนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นใกล้ถึงระดับก่อนช่วงโควิดระบาดแล้ว

ค่าใช้จ่ายการท่องเที่ยวสวนสนุกเพิ่มขึ้นเกือบ 60% ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเครื่องแต่งกายเพิ่มขึ้น 40% และค่าใช้จ่ายร้านอาหารเพิ่มขึ้นราว 30% ส่วนศูนย์การค้าที่มักจะเป็นสถานที่ที่คนเข้ามาจับใจ่ายใช้สอยมากที่สุด กลับมีอัตราการใช้จ่ายลดลง 20% ขณะที่ห้างสรรพสินค้าก็มียอดการใช้จ่ายลดลงมากถึง 60%

การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญนับตั้งแต่ที่ญี่ปุ่นลดมาตรการจำกัดเพื่อป้องกันโควิด นับตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา เมื่อสำรวจในแต่ละพื้นที่พบว่า การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติในทางตอนเหนือของภูมิภาคโทโฮคุ (Tohoku) เพิ่มขึ้น 70% ภูมิภาคนี้มี 6 จังหวัดคือ อะโอโมริ อะคิตะ อิวะเตะ มิยะงิ ยะมะงะตะ และฟุคุชิมะ เป็นพื้นที่ภูเขาสูง ปกคลุมด้วยต้นไม้ใหญ่ มีทั้งทะเลสาบ น้ำตก ออนเซ็นกลางหุบเขา

ขณะที่การใช้จ่ายในภูมิภาคคิงกิ (Kinki) หรือคันไซ (Kansai) มีอัตราน้อยลง 25% พื้นที่นี้ประกอบด้วย 6 จังหวัด คือชิงะ นารา วากายะมะ เกียวโต โอซากา และเฮียวโงะ ย่านนี้ขึ้นชื่อด้วยทะเลสาบน้ำจืด อาหารท้องถิ่น และเมืองประวัติศาสตร์ และทางเหนือสุดของฮอกไกโดก็มีการใช้จ่ายลดลง 20%

จังหวัดที่เป็นที่นิยมสำหรับนักท่องเที่ยวจีนอย่างโอซากาก็ฟื้นตัวช้าขึ้น เพราะญี่ปุ่นยังคงจำกัดนักท่องเที่ยวจากจีน ขณะที่พื้นที่ที่มีการฟื้นตัวเร็วขึ้นคือพื้นที่ที่ไม่ได้จำกัดนักท่องเที่ยวขาเข้า  เช่น โออิตะ จังหวัดทางตอนใต้ของญี่ปุ่น โดยรวม ยอดการใช้จ่ายจากบัตรเครดิตของนักท่องเที่ยวทั่วโลกเพิ่มขึ้นเพราะค่าเงินเยนอ่อน แต่มีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่มาจากไต้หวัน

ที่มา – Nikkei, JNTO (1), (2)

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post นักท่องเที่ยวต่างชาติรุมกันเที่ยวญี่ปุ่น จนค่าใช้จ่ายอยู่ในระดับใกล้เคียงก่อนโควิดระบาดแล้ว! first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/tourist-spending-in-japan/

“AFbrother” แพลตฟอร์มอินฟลูเอนเซอร์แอดเวอร์ไทซิ่ง เปิดมิติใหม่ในการดีลงานระหว่าง Brand – Influencer ครบ จบในที่เดียว

บริษัท เอเอฟบราเดอร์ ลิมิเต็ด เปิดตัวเว็บไซต์ ‘AFbrother’ Influencer Matching Platform ใหม่ล่าสุด เพื่อตอบสนองความต้องการด้านการตลาดออนไลน์ผ่านอินฟลูเอนเซอร์แบบครบวงจร 

ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่เปิดโอกาสให้เอเจนซี่ หรือผู้ประกอบการสามารถเข้ามาเลือก Influencer หรือผู้ให้บริการเว็บไซต์ ได้หลากหลายรูปแบบ เลือกได้ตามจำนวน Followers หรือการเลือก Influencer ที่มีความเชี่ยวชาญในสายงานต่างๆ 

ทั้งนี้จุดเด่นของ AFbrother คือ สามารถกำหนด  #Hashtag ที่ต้องการให้ Influencers ใช้ได้ และลูกค้าสามารถระบุชื่อ แบรนด์สินค้า(คู่แข่ง) เพื่อไม่ให้ Influencer รับงานก่อนและหลังการทำงานให้ Campaign ของลูกค้าได้เช่นกัน 

AFBrother

นางสาวทิพยาภรณ์ พรมราช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเอฟบราเดอร์ ลิมิเต็ด เปิดเผยว่า เนื่องจากเทรนด์การทำการตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์ยังถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่นักการตลาดเลือกใช้มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ปัจจุบันการตลาดอินฟลูเอนเซอร์ยังคงได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ซึ่งสามารถสังเกตได้จากมูลค่าตลาดอินฟลูเอนเซอร์ในช่วงที่ผ่านมา 

โดยปี 2021 มูลค่าของตลาดมีตัวเลขเพิ่มขึ้นมากกว่า 42% หรือคิดเป็น 13,800 ล้านเหรียญ จากปี 2020 อีกทั้งยังมีการคาดการณ์ว่าตัวเลขในปี 2022 อาจทะยานสูงถึง 15,000 ล้านเหรียญ ซึ่งหากตลาดอินฟลูเอนเซอร์ยังคงได้รับความนิยมนี่ก็ถือเป็นช่วงเวลาที่คนควรจะเรียนรู้ในเรื่องนี้ และเตรียมความพร้อมที่จะนำการตลาดแบบนี้มาประยุกต์ใช้ 

และมีการคาดการณ์ว่าตัวเลขในปี 2023 อาจทะยานขึ้นอีกมาก  ซึ่งทุกคนทราบดีว่าการแข่งขันในตลาดสูงมาก ทุกธุรกิจต่างพร้อมใจกันงัดกลยุทธ์เด็ดออกมาใช้เพื่อให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากที่สุด Influencer Marketing จึงเข้ามามีบทบาทในการโปรโมทธุรกิจและสร้าง Branding อย่างมาก

แพลตฟอร์มเว็บไซต์ AFbrother จะช่วยตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าลด pain point ในขั้นตอนการทำงานของแต่ละฝ่ายลง  ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีการสื่อสารการตลาดได้อย่างตรงใจมากขึ้น ในส่วนของ AFbrother ก็ใช้งานง่าย เรียกได้ว่าเป็นพื้นที่ให้นักการตลาด แบรนด์ และอินฟลูเอนเซอร์ สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 

เพียงแค่แบรนด์เข้าไปเปิดแคมเปญในแอปพลิเคชัน แล้วรอเลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่สนใจจะเข้าร่วมได้ทันที โดยระบบจะสรุปข้อมูลสำคัญที่จำเป็นต้องใช้ตัดสินใจในการเลือกอินฟลูเอนเซอร์รวมไปถึงการสรุปข้อมูลหลังจบแคมเปญโดยอัตโนมัติอย่างครบถ้วน ด้านอินฟลูเอนเซอร์เองก็สะดวก 

โดยสามารถเลือกดูแบรนด์ที่ตัวเองสนใจ แล้วกดสมัครร่วมงานกับแบรนด์ที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย ซึ่งฟังก์ชันและบริการทั้งหมดที่กล่าวมานั้น นักการตลาด แบรนด์และอินฟลูเอนเซอร์ สามารถเข้าใช้บริการ AFbrother อย่างเต็มรูปแบบ ครบ จบได้ในที่เดียว 

ทั้งนี้ AFbrother จัดว่าเป็น Marketing Technology หรือ MarTech คือ การทำการตลาดในรูปแบบใหม่ด้วยการนำเทคโนโลยีมาเป็นส่วนสำคัญในการทำการตลาดที่มี Business Model แบบ Two-Sided Market ที่เปิดโอกาสให้ผู้ลงโฆษณา (Advertiser) ได้เจอกับ ผู้เผยแพร่โฆษณา (Publisher) โดยประโยชน์ที่จะได้จาก AFbrother ในมุมของนักการตลาดก็คือ

  • Transparency Commission / Incentive ทุกๆ ยอดการใช้จะเห็น Cost per transaction โปร่งใสชัดเจน ไม่ว่าจะ Cost per Impression, Cost per Click ต่างๆ ทำให้สามารถ Allocate Budget ได้ด้วยการดู Performance
  • Rocket Launch Social Campaign ลดเวลาในการสรรหา Influencer, การเจรจาต่อรองเงื่อนไข และลดเวลาการเข้าไป Analyze/Assessment จุดอ่อน จุดแข็งของ Influencers แต่ละคน

“AFbrother ตั้งใจที่จะช่วยแบรนด์ในการค้นหาอินฟลูเอนเซอร์ ตามหา KOL ที่ตรงใจ ให้รองรับสเกลของธุรกิจ การ Implement Platform อย่างมีระบบ การทำ Change Management และการติดตามการ Adoption ควบคุมการบริหารโครงการด้วยผู้มีประสบการณ์ตรง ได้ครบ จบ ภายในที่เดียว” คุณทิพยาภรณ์ กล่าวเพิ่มเติม

.fb-background-color {
background: #ffffff !important;
}
.fb_iframe_widget_fluid_desktop iframe {
width: 100% !important;
}

from:https://www.mobileocta.com/afbrother-influencer-advertising-platform/?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=afbrother-influencer-advertising-platform

ย้อนรอย JD Central แพลตฟอร์มขายออนไลน์รายล่าสุดที่โบกมือลาจากประเทศไทย

JD Central คือแพลตฟอร์มขายออนไลน์ หรือ E-Commerce รายล่าสุดที่ประกาศยุติการทำธุรกิจในประเทศไทย หลังเริ่มให้บริการจริงเดือน มิ.ย. 2561

ที่น่าสนใจคือ JD Central เกิดจากความร่วมมือ 17,500 ล้านบาท ของ เซ็นทรัล ยักษ์ใหญ่ค้าปลีกของไทย กับ JD.com แพลตฟอร์มขายออนไลน์จากจีน ทั้งเป็นคู่แข่งที่คู่ขี่กับกลุ่ม Alibaba พร้อมเป้าหมายเบอร์ 1 ตลาดไทย

แต่ผ่านไปเพียงไม่ถึง 6 ปี JD Central กลับประกาศยุติธุรกิจในไทยในเดือน 3 มี.ค. 2566 ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น Brand Inside ชวนมาย้อนรอยแพลตฟอร์มขายออนไลน์ทุนไทย-จีน รายนี้กัน

JD Central

JD Central กับจุดเริ่มต้นปี 2560

เดือน พ.ย. 2560 กลุ่มเซ็นทรัล ได้จัดงานแถลงข่าวเปิดเผยถึงความร่วมมือกับ JD.com แพลตฟอร์มขายออนไลน์ยักษ์ใหญ่จากจีน เพื่อร่วมกันลงทุน 17,500 ล้านบาท จัดตั้ง JD Central แพลตฟอร์มขายออนไลน์ในประเทศไทยที่ผสานความแข็งแกร่งเรื่องการขายปลีกของเซ็นทรัล และความเชี่ยวชาญด้านออนไลน์ของ JD.com

เงินลงทุนดังกล่าวครึ่งหนึ่งเป็นการพัฒนาแพลตฟอร์มขายออนไลน์ และระบบจัดส่งสินค้า และอีกครึ่งใช้เพื่อพัฒนาบริการทางการเงินดิจิทัลที่ให้บริการในชื่อ Dolfin ส่วนสินค้าที่จำหน่ายช่วงแรกมีทั้งสินค้าที่นำเข้ามาจากประเทศจีน และสินค้าจากซัพพลายเออร์ของกลุ่มเซ็นทรัล โดย JD Central ตั้งเป้าขอขึ้นเป็นเบอร์ 1 ตลาดนี้ในไทย

เวลานั้น JD Central ตั้งเป้าหมายให้ JD Central เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนยอดขายจากช่องทางออนไลน์เป็น 15% จากรายได้รวม โดยปี 2559 ยอดขายจากช่องทางออนไลน์คิดเป็น 1-2% ของยอดขายรวมกว่า 3.3 แสนล้านบาท และหวังให้ช่องทางดังกล่าวเติบโตเฉลี่ยปีละ 15% ทั้งยังไม่มองเรื่องกำไรของความร่วมมือครั้งนี้

JD Central

ผ่าน 2 ปี ยอดขายโต 550%

JD Central เริ่มให้บริการอย่างเป็นทางการช่วงกลางปี 2561 ซึ่งเวลานั้นเกิดขึ้นก่อนที่ 11Street แพลตฟอร์มขายออนไลน์ทุนเกาหลีได้ประกาศปิดตัวเมื่อเดือน ก.ค. 2561 เพียง 1 เดือน ถือเป็นคำขู่ของตลาดนี้ในประเทศไทยว่าถึงจะทุนหนา และแน่มาจากต่างประเทศ ก็ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จเสมอไป

แต่แม้จะมีคำขู่ JD Central ได้แถลงอย่างเป็นทางการว่า หลังจากเริ่มให้บริการอย่างเป็นทางการในปี 2561 ผ่านมา 2 ปี หรือปี 2563 JD Central มีฐานลูกค้ามากกว่า 5 ล้านราย และมียอดขายสินค้าออนไลน์รวม (GMV) เติบโตกว่า 550% ผ่านมูลค่าเฉลี่ยการจับจ่ายที่ 2,500 บาท

ในทางกลับกัน หากเปรียบเทียบเรื่องโปรโมชัน และความต่อเนื่องในการทำตลาด JD Central ยังค่อนข้างห่างจาก Lazada และ Shopee อยู่มาก โดยเฉพาะเรื่องความหลากหลายของสินค้า เนื่องจาก JD Central พยายามเจาะลูกค้าแค่กลุ่มกลางบน ต่างจากคู่แข่งที่พยายามเจาะในทุกตลาด

jd central

ประกาศรีแบรนด์เพิ่มยอดขาย

อย่างที่แจ้งไปข้างต้น JD Central ยังไม่สามารถตีแตกคู่แข่งสองรายใหญ่ และห่างไกลเป้าหมายเบอร์ 1 ของตลาดอยู่มาก ทำให้แพลตฟอร์มขายออนไลน์รายนี้เริ่มมีการปรับเปลี่ยนผู้บริหาร เช่น การดึงคนจาก GET! หรือ Go Jek ในไทยมาช่วยทำตลาด รวมถึงตัดสินใจรีแบรนด์ในปีช่วงกลางปี 2021 ด้วย

อย่างไรก็ตามการรีแบรนด์นั้นแทบไม่ได้ส่งผลบวกกับ JD Central นัก เนื่องจากทุกอย่างแทบไม่แตกต่างภาพลักษณ์เดิม ประกอบกับกลุ่มเซ็นทรัลเหมือนจะให้ความสำคัญกับ Central.co.th และช่องทางออนไลน์อื่น ๆ ของทางกลุ่มมากกว่า สังเกตจากสื่อโฆษณา และการรับรู้ในช่องทางต่าง ๆ ที่มักจะเห็น Central.co.th ก่อน JD Central เสมอ

แม้จะมีการระบาดของโรคโควิด-19 มาช่วยเพิ่มยอดขายของช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ แต่ JD Central ก็เหมือนจะแย่งชิงลูกค้าจาก Lazada และ Shopee ไม่ได้เช่นเดิม จนสุดท้ายความเคลื่อนไหวของ JD Central ค่อย ๆ ลดลงในครึ่งหลังของปี 2022 และเริ่มมีข่าวการยุติการทำตลาดของ JD Central ออกมาอย่างต่อเนื่อง

JD Central

สุดท้ายก็ปิดตัว 3 มี.ค. 2023

ล่าสุด JD Central ส่งเอกสารชี้แจงกับสื่อมวลชนว่า JD Central เตรียมยุติการให้บริการตั้งแต่ 3 มี.ค. 2023 พร้อมชี้แจงข้อมูลสำคัญกับลูกค้า และพาร์ตเนอร์ เช่น การรับประกันสินค้า และรายละเอียดของร้านค้าในระบบ ถือเป็นการปิดฉากอย่างเป็นทางการของแพลตฟอร์มขายออนไลน์ทุนไทย-จีน

อ้างอิงข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าพบว่า  JD Central ทำธุรกิจในชื่อ บริษัท เซ็นทรัล เจดี คอมเมิร์ซ จำกัด ทุนจดทะเบียน 4,959 ล้านบาท แบ่งเป็น ชาวฮ่องกง 2,888.92 ล้านบาท 1 ราย และชาวไทย 2,070.35 ล้านบาท 3 ราย โดยต่างชาติถือหุ้นมากกว่าตั้งแต่ปี 2564 ก่อนหน้านั้นมีสัดส่วนเท่ากันตลอด

มีรายได้รวม และกำไร/ขาดทุนสุทธิ ดังนี้ (ปี 2565 ยังไม่ส่งงบการเงิน)

  • ปี 2564 รายได้รวม 7,443 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 1,930 ล้านบาท
  • ปี 2563 รายได้รวม 3,491 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 1,375 ล้านบาท
  • ปี 2562 รายได้รวม 1,284 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 1,342 ล้านบาท

ตัวเลขดังกล่าวห่างไกลกับ Lazada ที่ทำธุรกิจในชื่อ บริษัท ลาซาด้า จำกัด ปี 2565 มีรายได้รวม 20,675 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40% จากปีก่อน กำไรสุทธิ 413 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 82% (มีกำไรสุทธิติดต่อกัน 2 ปี) ส่วน Shopee ที่ทำธุรกิจในชื่อ บริษัท ช้อปปี้ (ประเทศไทย) จำกัด ปี 2564 มีรายได้รวม 13,322 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 129% ขาดทุนสุทธิ 4,972 ล้านบาท ขาดทุนมากขึ้น 19%Lazada Shopee

สุดท้ายสมรภูมินี้ก็เหลือเพียง 2 ราย

นอกจากประเทศไทย JD.com ยังมีการถอนตัวจากตลาดอินโดนีเซีย เนื่องจากภาวะการแข่งขันแพลตฟอร์มขายออนไลน์ที่นั่นสูงเช่นเดียวกับประเทศไทย และการลงทุนเผาเงินมาระยะหนึ่งแต่ไม่สามารถแข่งกับเจ้าตลาดได้สักทีอาจไม่คุ้มค่าในการดำเนินธุรกิจอีกแล้ว

สุดท้ายสมรภูมิแพลตฟอร์มขายออนไลน์ หรือ E-Commerce ในประเทศไทยเหลือเพียง Lazada และ Shopee สองรายใหญ่ที่ขับเขี้ยวกันอย่างต่อเนื่อง รวมถึงยังเป็นสงครามตัวแทนทุนจีนเช่นเดิม เพราะ Lazada มี Alibaba หนุนหลัง ส่วน Shopee มี Tencent บริษัทเทคโนโลยีระดับโลกเป็นผู้ถือหุ้นหลักเช่นกัน

ส่วนตัวมองว่า เกมการเผาเงินในธุรกิจแพลตฟอร์มขายออนไลน์ หรือ E-Commerce ที่ประเทศไทยน่าจะเกิดขึ้นต่อไปอีกระยะหนึ่ง และคงไม่มีใครหน้าไหนกล้าลงทุนหนัก ๆ เพื่อหวังแข่งขันกับสองรายใหญ่นี้แน่ ๆ เพราะมันมีกรณีศึกษาออกมาหลายแบรนด์แล้วว่า ถึงทุนหนา และแกร่งในต่างประเทศแค่ไหน ก็พ่ายกลับบ้านไปกันหมด

อ้างอิง // กรมพัฒนาธุรกิจการค้า

อ่านเพิ่มเติม

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post ย้อนรอย JD Central แพลตฟอร์มขายออนไลน์รายล่าสุดที่โบกมือลาจากประเทศไทย first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/end-of-jd-central-thailand/

Windows 11 เตรียมเพิ่มการรองรับระบบไฟล์แบบ ReFS ดีกว่า NTFS ทั้งด้านความยืดหยุ่น และความพร้อมใช้งานของไฟล์

หากใครเคยลง Windows ใหม่, แบ่ง partition ดิสก์ หรือสั่ง format แฟลชไดรฟ์น่าจะคุ้นเคยกับคำว่า NTFS กันมาบ้าง NTFS ย่อมาจาก New Technology File System เป็นระบบจัดการไฟล์บนคอมพิวเตอร์ที่พัฒนาขึ้นโดย Microsoft ตั้งแต่ปี 1992 ถูกใช้งานบน Windows หลายรุ่นมาจนถึง Windows 11 โดยอยู่เบื้องหลังการโยนไฟล์เข้าออกจาก SSD และฮาร์ดดิสก์ที่เราใช้กันเป็นปกติในปัจจุบัน (ควบคู่กับ FAT32 และ exFAT ที่ใช้กับพวก แฟลชไดรฟ์หรือ memory card)

NTFS ถูกใช้มานานและไม่ใช่ของใหม่สุดอีกต่อไป เพราะถัดมาในปี 2012 Microsoft ได้พัฒนาระบบที่ทันสมัยกว่ามาแทนที่ (นำ NTFS มาปรับปรุงเพิ่ม) ใช้ชื่อว่า ReFS ย่อมาจาก Resilient File System แปลตรงตัวตามชื่อคือระบบไฟล์ที่มีความยืดหยุ่น Microsoft เริ่มใช้ ReFS ครั้งแรกบน Windows Server 8 และใช้อยู่กับฝั่งเซิร์ฟเวอร์เป็นหลักมาตลอด ขณะที่ฝั่ง Client ก็เคยได้ใช้มาบ้างเช่น Windows 10 Pro แต่ก็ถูกถอดออกไปด้วยความไม่พร้อมหลายอย่าง

แต่ล่าสุด Microsoft ได้ตัดสินใจเอา ReFS มาใช้กับ Windows 11 ด้วยอีกครั้ง เพื่อให้เป็นอีกทางเลือกสำหรับการจัดการไฟล์บนตัว OS เพราะ ReFS มีข้อดีกว่า NTFS หลายด้าน โดยเฉพาะด้านความพร้อมใช้งานของไฟล์ที่เพิ่มขึ้น (ความเข้ากันได้ดีขึ้น ความผิดพลาดน้อยลง) และด้านการปรับขนาด (scale) ไฟล์ที่ทำให้ระบบจัดการกับขนาดข้อมูลใหญ่ ๆ ได้ดีกว่าด้วย

ข้อดีของ ReFS ที่พัฒนาเพิ่มเติมจาก NTFS

  • รองรับขนาดการจัดการพื้นที่ไฟล์สูงสุดจาก 256TB เพิ่มเป็น 35PB (1,024TB = 1PB) 
  • ใช้วิธีการเขียนไฟล์แบบ copy on write / allocate-on-write ซึ่งจะเขียนไฟล์ไว้บนบล็อกข้อมูลใหม่ก่อน แทนการเขียนทับบล็อกข้อมูลเก่าที่ NTFS ทำ ทำให้ข้อมูลเก่ายังไม่โดนแทนที่ทันทีจนกว่าจะเขียนเสร็จ ได้ข้อดีคือไฟล์เดิมก็จะไม่พังด้วยเวลากดยกเลิกหรือ copy ไม่สำเร็จ
  • ทำงานร่วมกับ Storage Spaces ซึ่งเป็นฟีเจอร์ใหม่ตั้งแต่ Windows 8 ได้ดีขึ้น มีประโยชน์คือมีการสำรองระบบไฟล์ไว้บนดิสก์อีกตัวหนึ่ง ซึ่งจะช่วยซ่อมตัวเองกลับมาได้เมื่อดิสก์ตัวใดตัวหนึ่งมีปัญหา
  • ในกรณีที่ต่อให้ดิสก์ 2 ตัวไฟล์ข้างในพังพร้อมกัน การกู้คืนระบบก็ยังทำได้ง่ายและเร็วกว่าของเดิม เพราะ ReFS จะดึงข้อมูลที่มีปัญหาออกจากระบบไฟล์ชั่วคราวก่อน เพื่อให้ระบบโดยรวมทำงานต่อไปได้ ซึ่งค่อนข้างเหมาะกับงานฝั่งเซิร์ฟเวอร์ที่แข่งกับเวลา
  • ใช้การ checksum ช่วยตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลปลายทางที่ copy มาว่าตรงกับต้นทางรึเปล่า เสริมข้อดีให้กับการวางไฟล์ที่ไม่ได้ทับของเดิมทันที คือใช้วิธีตรวจสอบทีหลังแทน ทำให้ยังได้ในเรื่องความปลอดภัยเหมือนเดิม (ม้าโทรจันแอบขึ้นรถแฝงตัวมากับไฟล์ไม่ได้)
  • พื้นฐานโดยรวมไม่ได้ต่างจาก NTFS มาก (ใช้โค้ดเดียวกัน แก้แค่ฐานส่วนจัดการไฟล์บนดิสก์) ทำให้ยังสามารถปรับความเข้ากันได้กับทุกอย่างที่อิงกับระบบเก่าได้ค่อนข้างเสถียร (อาจยังไม่เต็ม 100% แต่อยู่ในระดับสูง)

อย่างไรก็ตาม ReFS ก็ยังมีข้อจำกัดหลายอย่าง เช่น ไม่รับรองสตอเรจแบบถอดได้ (Removable Media) รวมถึงยังไม่รองรับการบีบอัด (Compression) และการเข้ารหัส (Encrytion) บางรูปแบบ พูดง่าย ๆ ว่ายังรองรับซอฟต์แวร์หลายอย่างได้ไม่ดีเท่า NTFS ซึ่งอยู่มานานกว่า เลยยังไม่เหมาะกับผู้ใช้ PC ทั่วไปขนาดนั้น

คาดว่าครั้งนี้ Microsoft ตั้งใจเตรียมนำ ReFS มาใส่ไว้ใน Windows 11 เพื่อการรองรับเผื่ออนาคตเฉย ๆ ยังไม่กะเอามาเป็น default สำหรับการลง Windows แทนที่ NTFS ในเร็ววันนี้ แต่ไม่แน่ เพราะปัจจุบันการใช้ข้อมูลในเครื่องระดับ PC เริ่มต้องการความยืดหยุ่นที่สูงขึ้น เห็นได้จากการเขียนไฟล์แบบคลาวด์เข้าออก OneDrive ทุกวัน, การจัดการไฟล์ Excel เรคคอร์ดใหญ่ ๆ หรือกระทั่งระดับประมวลผล AI (คอมบางเครื่องแทบจะกลายเป็น Workstation ที่เป็นเซิร์ฟเวอร์ในตัวได้แล้ว) ซึ่งทั้งหมดต้องการระบบจัดการไฟล์ที่ดีกว่าเดิมทั้งสิ้น นี่จึงน่าจะเป็นเหตุผลว่าทำไม Microsoft ถึงอยากนำ ReFS มาใช้กับ Windows ทั่วไปด้วยนั่นเอง

 

 

ที่มา : Windows Latest

from:https://droidsans.com/windows-11-to-get-refs-file-system-support/

โปรลดแรง 2.2 Double Sale ช้อป HUAWEI WATCH GT 3 Elegant Edition ที่ Lazada ราคาต่ำสุดเพียง 4,600 บาท

หัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป (ประเทศไทย) ร่วมกับ Lazada จัดแคมเปญ 2.2 Double Sale ฉลองเดือนแห่งความรักแนะนำแก็ตเจ็ตใหม่กับ HUAWEI WATCH GT 3 ขนาด 42 มม. รุ่น Elegant Edition สมาร์ทวอทช์ดีไซน์พรีเมียม

อัดแน่นด้วยฟังก์ชั่นดูแลสุขภาพรองรับมากกว่า 100 โหมด ลดสูงสุด 46% นอกจากนี้ยังพบกับสมาร์ทวอทช์ หูฟัง ลำโพงอัจฉริยะ มอนิเตอร์ และสินค้าอื่นๆที่ร่วมรายการจัดโปรสุดคุ้ม 3 ต่อ  ลด แลก แถม  รีบกดใส่ตระกร้ารอได้แล้ววันนี้! ตามไปดูรายละเอียดโปรโมชันได้ด้านล่างนี้เลย

ช้อปเลย ใหม่ HUAWEI WATCH GT 3 Elegant Edition

HUAWEI WATCH 3 Elegant Edition ขนาด 42 มม. รุ่น Elegant Edition ราคา Flash Sale เวลา 00:00 น. – 02:00 น. ต่ำสุดเพียง 4,600[1] บาท จากราคาปกติ 8,490 บาท แถมฟรีของสมนาคุณมูลค่ารวมสูงสุด 3,489 บาท[2] สำหรับ 10 คำสั่งซื้อแรก รับฟรี Bluetooth Speaker และ 100 คำสั่งซื้อแรก รับฟรี  HUAWEI Easyfit 2 Strap นอกจากลดราคาจุใจแล้วยังแจกคูปองส่วนลด 100 บาท และผ่อนสบายๆ 0% นานสูงสุด 10 เดือน เมื่อซื้อสินค้าตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 ถึง วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ร้านค้าอย่างเป็นทางการของหัวเว่ยใน Lazada เท่านั้น

2.2 SALE โปรสุดคุ้ม 3 ต่อ

พบกับโปรโมชั่นลดแรงจาก Lazada เมื่อซื้อสินค้าที่ร่วมรายการตั้งแต่วันที่ตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 ถึง วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ร้านค้าอย่างเป็นทางการของหัวเว่ยใน Lazada

  • ต่อที่ 1 รวมสินค้าลดสูงสุด 53%
  • HUAWEI MatePad SE 10.4 รุ่น WiFi (4+64GB) ราคาพิเศษเพียง 6,499 บาท จากราคาปกติ 7,490 บาท
  • HUAWEI FreeBuds 4 ราคาพิเศษเพียง 2,999 บาท จากราคาปกติ 5,999 บาท
  • HUAWEI Band 7 ราคาพิเศษเพียง 1,299 บาท จากราคาปกติ 1,899 บาท
  • HUAWEI MateView ราคาพิเศษเพียง 20,999 บาท จากราคาปกติ 22,990 บาท
  • HUAWEI Sound Joy ราคาพิเศษเพียง 3,999 บาท จากราคาปกติ 4,999 บาท
  • HUAWEI FreeBuds SE ราคาพิเศษเพียง 1,299 บาท จากราคาปกติ 1,899 บาท
  • ต่อที่ 2 รับคูปองส่วนลดสูงสุด 10%

รับคูปองส่วนลดเพิ่ม 10% มูลค่าสูงสุดถึง 500 บาท เมื่อซื้อสินค้าที่ร่วมรายการ ตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 ถึง วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ร้านค้าอย่างเป็นทางการของหัวเว่ยใน Lazada

  • ต่อที่ 3 หั่นราคาช่วง Flash Sale แถม Lazada Bonus

พบกับสินค้าร่วมรายการหั่นราคาลดแรงในช่วงเวลา Flash Sales ของวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566  แถมรับ Lazada Bonus ทุกคำสั่งซื้อครบ 500 บาท รับส่วนลด 30 บาท ตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 ถึง วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566

สามารถดูเงื่อนไขเพิ่มเติมของโปรโมชัน HUAWEI WATCH GT 3 Elegant Edition ขนาด 42 มม.ได้ที่นี่  และศึกษากำหนดและเงื่อนไขเพิ่มเติมของโปรโมชัน 2.2 Double Sale ได้ที่นี่ 

ติดตามอัปเดตข่าวสารล่าสุดก่อนใครได้ทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ HUAWEI Mobile TH สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการซื้อสินค้า คอมมิวนิตี้ และบริการ ง่ายๆ ในคลิกเดียว เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน My HUAWEI ใน AppGallery 


[1] ราคาในช่วง Flash sale วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 00:00 น. – 02:00 น. พร้อมคูปองส่วนลดจากแพลตฟอร์มและLazada Bonus และคูปองส่วนลดจากร้านค้า

[2] ของแถมมีจำนวนจำกัด ส่งมอบตามลำดับก่อน-หลังจนกว่าของแถมจะหมด

.fb-background-color {
background: #ffffff !important;
}
.fb_iframe_widget_fluid_desktop iframe {
width: 100% !important;
}

from:https://www.mobileocta.com/huawei-watch-gt-3-elegant-edition-promotion-at-lazada/?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=huawei-watch-gt-3-elegant-edition-promotion-at-lazada

realme GT Neo5 คอนเฟิร์มเปิดตัว 9 ก.พ. พร้อมยืนยันสเปคชาร์จไวเต็มสปีด 240W!

realme ยืนยันอย่างเป็นทางการ เตรียมเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุด realme GT Neo5 วันที่ 9 กุมภาพันธ์นี้ที่ประเทศจีน พร้อมปล่อยรูปทีเซอร์เผยสเปคชาร์จไวที่รองรับกำลังไฟสูงสุดถึง 240W ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงสุดในวงการสมาร์ทโฟนตอนนี้เลยทีเดียว

realme GT Neo5 Launch Teaser

realme GT Neo5 จะเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่มาพร้อมกับระบบชาร์จไวดุจสายฟ้า 240W หลังจากที่เพิ่งนำมาโชว์ในช่วงต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา แต่สำหรับใครที่ยังไม่มั่นใจกับระบบชาร์จไวเท่าไหร่ realme GT Neo5 ก็คาดว่าจะมีรุ่นย่อยที่ลดสปีดการชาร์จ หลังสมาร์ทโฟนรุ่นนี้เปิดตัวในจีน ก็อาจจะมีการนำตัวเครื่องมาโชว์ในงานมหกรรมมือถือระดับโลก หรือ Mobile World Congress (MWC) 2023 ด้วย

สเปคหลุด realme GT Neo5

realme GT Neo5 Model 7RMX3706

RMX3706

ตามข้อมูลที่หลุดออกมาจาก TENAA (หน่วยงานคล้าย กสทช. บ้านเรา) ก่อนหน้านี้ได้เผยรายละเอียดว่า realme GT Neo5 จะมีด้วยกัน 2 รุ่น ที่แตกต่างกันที่ชิปประมวลผล ความจุแบตเตอรี่ และความเร็วในการชาร์จ โดยรุ่น RMX3706 คาดว่าจะใช้ชิป Dimensity 8200 มีแบตเตอรี่ขนาด 5000 mAh รองรับการชาร์จสูงสุด 150W และอีกรุ่นคือรหัส RMX3708 ใช้ชิป Snapdragon 8+ Gen 1 แบบลดสปีด มีแบตเตอรี่ขนาด 4600 mAh ที่รองรับชาร์จไว 240W

รุ่นนี้คาดว่าจะมาพร้อมกับจอ OLED ขนาด 6.74 นิ้ว ความละเอียด 1.5K รองรับรีเฟรชเรทสูงสุดทะลุ 144Hz มีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ ส่วนความจุคาดว่าจะมาพร้อมกับ RAM LDPPR5 สูงสุด 16GB และ ROM UFS 3.1 สูงสุด 1TB

realme GT Neo5 Model RMX3708

RMX3708

กล้องในรุ่นนี้อาจมีด้วยกันทั้งหมด 3 ตัว โดยกล้องหลักจะใช้เซนเซอร์ Sony IMX890 ความละเอียด 50MP มีกันสั่น OIS พ่วงมาด้วยกล้อง Ultrawide 8MP และ กล้อง Macro 2MP ส่วนกล้องหน้ามีความละเอียดที่ 16MP นอกจากนี้แล้วยังมีไฟ RGB และอินฟาเรด IR Blaster มาให้ด้วย

สเปค REALME GT NEO5 (ไม่เป็นทางการ)

  • หน้าจอ AMOLED 6.74 นิ้ว ความละเอียด 2772 x 1240
  • CPU : Snapdragon 8+ Gen 1 / Dimensity 8200
  • RAM LPDDR5 : 8GB / 12GB / 16GB
  • ความจุ UFS 3.1 : 128GB / 256GB / 512GB / 1TB
  • กล้องหลัง 3 ตัว
    – กล้องหลัก 50MP + OIS
    – กล้อง Ultrawide 8MP
    – กล้อง Macro 2MP
  • กล้องหน้า : 16MP
  • แบตเตอรี่ : SD8+ Gen 1 5000 mAh ชาร์จไว 150W / Dimensity 8200 4600 mAh ชาร์จไว 240W

ย้ำกันอีกครั้งว่า realme GT Neo5 จะเปิดตัวในประเทศจีนวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2023 เวลาบ่ายโมงตรง (ตามเวลาบ้านเรา) ส่วนสเปคอย่างเป็นทางการจะตรงตามที่หลุดหรือไม่ และจะเปิดมาในราคาที่คุ้มค่าขนาดไหน ต้องมารอลุ้นกัน

 

ที่มา: GizmoChina, GSMArena

from:https://droidsans.com/realme-gt-neo5-to-launch-9-feb/

เตรียมพบกับงาน Marketing Technology & Innovation Expo 2023 presented by SC ASSET

Future Trends สื่อผู้ให้บริการข้อมูลข่าวสารด้านเทคโนโลยีการตลาด และนวัตกรรมชั้นนําของประเทศไทย ผนึกกำลังกับ Marketing Tech Thailand คอมมูนิตี้สำหรับนักการตลาดที่กำลังมองหาโซลูชั่นเพื่อการพัฒนาธุรกิจ เตรียมจัดงาน Marketing Technology & Innovation Expo 2023 presented by SC ASSET งานมหกรรมด้านการตลาดสุดยิ่งใหญ่ครั้งแรกในประเทศไทย

ที่จะช่วยยกระดับธุรกิจให้ก้าวหน้าด้วยเทคโนโลยีการตลาดที่ทันสมัย เพื่อพัฒนาศักยภาพทางการตลาดให้ธุรกิจไทยก้าวหน้ายิ่งขึ้น พร้อมพบกับบูธแสดงสินค้าและบริการดิจิทัล จากบริษัทชั้นนำกว่า 50 บูธ ที่ขนทัพเทคโนโลยีทางการตลาดมาให้เลือกสรร

ร่วมพบปะพูดคุยกับตัวแทนจากองค์กรชั้นนำ และรับฟังการบรรยายสุดเอ็กซ์คลูซีฟจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญแถวหน้าของเมืองไทย และร่วมกิจกรรมเวิร์คช็อปต่าง ๆ ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ในวันที่ 1 มีนาคม 2566 ณ มิตรทาวน์ฮอลล์ สามย่านมิตรทาวน์

ธนโชติ วิสุทธิสมาน ผู้ก่อตั้ง Future Trends สื่อให้บริการข้อมูลข่าวสารด้านการเทคโนโลยีการตลาด และนวัตกรรมชั้นนําของประเทศไทย กล่าวถึงวัตถุประสงค์ในการจัดงานครั้งนี้ว่า “เราคือผู้คัดสรร (Curator) ที่สร้างสรรค์งานมหกรรมด้านเทคโนโลยีการตลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย งาน Marketing Technology & Innovation Expo 2023

คืองานที่เราตั้งใจจัดขึ้นเพื่อเป็นพื้นที่พบปะ สังสรรค์ แลกเปลี่ยนความคิด อัปเดตเทรนด์ของ MarTech และเป็นสื่อกลางให้ลูกค้าได้มา “Collect” หรือรวบรวมนวัตกรรมและเครื่องมือ เพื่อช่วยในการต่อยอดและเพิ่มศักยภาพให้กับบริษัท ไม่ใช่แค่ลูกค้าในกลุ่มธุรกิจขนาดกลางหรือขนาดใหญ่เท่านั้นที่จะได้ประโยชน์จากงานนี้

แต่กลุ่มลูกค้าในธุรกิจ SME ลูกค้ากลุ่มบุคคลหรือองค์กรขนาดย่อมก็สามารถมาตามหาเทคโนโลยีทางการตลาดที่ช่วยพัฒนาธุรกิจของพวกเขาได้เช่นกัน ซึ่งเราได้รวบรวมกับบูธแสดงสินค้าและบริการดิจิทัล จากบริษัทชั้นนำกว่า 50 บูธ ไม่ว่าจะเป็น PRIMO, Advice, Zanroo, Choco CRM, PAM, Predictive, Braze, AWS, Zoho, Paysolution และอื่น ๆ

มาให้ทุกท่านได้เลือกสรรในราคาที่สมเหตุสมผล นอกจากนี้ยังมีการบรรยายสุดเอ็กซ์คลูซีฟจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีทางการตลาด (Marketing Technology) แถวหน้าของเมืองไทย อาทิ คุณสุธีรพันธุ์ สักรวัตร คุณสโรจ เลาหศิริ, คุณวีร์ สิรสุนทร, คุณสิทธินันท์​ พลวิสุทธิ์ศักดิ์​, คุณไชยพงศ์ ลาภเลี้ยงตระกูล, สิรสิทธิ์ สุริยพัฒนพงศ์ ซึ่งทุกท่านสามารถเข้าร่วมงานนี้ได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย งานจะจัดขึ้นในวันพุธที่ 1 มีนาคม 2566 นี้ที่ มิตรทาวน์ฮอลล์ สามย่านมิตรทาวน์”

จิตติพงศ์ เลิศประดิษฐ์ ผู้ก่อตั้งชุมชน Marketing Tech Thailand ที่ใหญ่ที่สุดในไทย และเป็นผู้มีประสบการณ์ ด้าน Marketing Technology มากกว่า 20 ปี กล่าวว่า “Marketing Technology (MarTech) คือเครื่องมือ (Tool) และระบบ (Platform) ที่พัฒนาขึ้น เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ด้านกิจกรรมทางการตลาด เพื่อช่วยพัฒนาการตลาดไปจนถึงการจัดการแคมเปญทางการตลาดให้ง่ายขึ้น เพื่อสามารถสื่อสารกับลูกค้าได้หลากหลายรูปแบบไปจนถึงการวัดผลได้แม่นยำขึ้น

ซึ่งในปัจจุบันมีเครื่องมือและระบบที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้ครอบคลุมการทำการตลาดได้มากยิ่งขึ้น โดยจะขอยกตัวอย่างเครื่องมือของ MarTech ที่กำลังเป็นที่นิยมในแวดวงธุรกิจและการตลาดดังนี้ กลุ่มที่ช่วยในการจัดการด้านข้อมูล (Data) อาทิ แพลตฟอร์มสำหรับการจัดการข้อมูลลูกค้า CDP (Customer data platform) หรือเทคโนโลยีทางการตลาดที่มีความสามารถทางด้านการรวบรวมข้อมูลของลูกค้าจากฐานข้อมูลต่างๆ มาไว้ที่เดียวกัน, เครื่องมือวัดผลทางการตลาด (Marketing Analytics) คือเทคโนโลยีประเภทวิเคราะห์ข้อมูลทางการตลาด เพื่อการวัดประสิทธิภาพต่างๆ

Social Listening คือ การเก็บข้อมูลของผู้บริโภคที่อยู่บน Social Media เช่น Facebook, Instagram, Twitter และ YouTube เพื่อนำมาวิเคราะห์ข้อมูล และสามารถต่อยอดไปสู่กิจกรรมทางการตลาดอื่นๆได้ กลุ่มเครื่องมือทางด้านคอนเทนต์ (Content Marketing Tools) ซึ่งก็คือเทคโนโลยีที่ช่วยในการทำ Content Marketing หรือเครื่องมือ AI ที่ช่วยการการสร้างคอนเทนต์ เครื่องมือวางแผนคอนเทนต์ ไปจนถึง SEO tools

สำหรับ Search Marketing และกลุ่มการตลาดอัตโนมัติ (Marketing Automation) ซึ่งมีความสามารถในการสื่อสารกับกลุ่มลูกค้า โดยบางเครื่องมือมีความสามารถในการควบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ หรือที่เรียกว่า Data Integration ทำให้กระบวนการทำงานการตลาดมีประสิทธิภาพรวดเร็ว ลดการใช้งานมนุษย์ในการดึงข้อมูล ทำให้สามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และสื่อสารกับกลุ่มลูกค้าได้แม่นยำตรงกลุ่มเป้าหมาย และยังวัดผลตอบแทนจากการลงทุนทางการตลาด (ROI) ได้ลึกขึ้น”

งานมหกรรมการตลาดสุดยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ก็ได้รับการสนับสนุนโดย SC ASSET ผู้นำด้าน Marketing Technology ในตลาดอสังหาฯ ที่จะมาร่วมออกบูธ และร่วมเป็น Keynote speaker บนเวทีส่งต่อความรู้เรื่องเทคโนโลยีการตลาด

พร้อมมอบสิทธิพิเศษให้กับลูกบ้านของ SC ASSET ในการลงทะเบียนร่วม Workshop ต่าง ๆ ที่จัดขึ้นภายในงานโดยไม่มีค่าใช้จ่าย

นอกจากนี้ Marketing Technology & Innovation Expo 2023 ยังได้รับการสนับสนุนจากแบรนด์ Marketing Technology ชั้นนำซึ่งได้แก่ PRIMO, ChocoCRM, PAM, Predictive, AWS, Advice และ Braze

เทคโนโลยีทางการตลาด หรือ MarTech เริ่มเข้ามามีบทบาทในองค์กรธุรกิจขนาดกลางและขนาดใหญ่ ตั้งแต่ในช่วงปี 2012 โดยเริ่มต้นจากส่วนงานระบบจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (Customer Relationship Management) ระบบการรับส่ง Email และระบบจัดเก็บข้อมูลลูกค้า จนมาในช่วงปี 2019 ที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด 19 ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค ไปสู่ยุคดิจิทัลเพิ่มมากขึ้น จึงกลายเป็นตัวเร่งให้องค์กรธุรกิจต่างๆหันมาใช้ MarTech กันมากขึ้น

ซึ่งในปัจจุบันองค์กรธุรกิจขนาดกลางและขนาดใหญ่กว่า 90% มีการใช้เครื่องมือ MarTech ในบริษัทอย่างน้อย 2 ประเภท ซึ่งหากเปรียบเทียบกับองค์กรในต่างประเทศแล้ว มีการใช้ MarTech Stacks หรือการนำเครื่องมือเทคโนโลยีการตลาดมาประยุกต์ใช้งานร่วมกัน โดยประมาณ 5 – 20 ประเภท ครอบคลุมตั้งแต่การทำการตลาด การขาย ไปจนถึงการดูแลหลังการขาย

ซึ่งจากผลสำรวจ MarTech Research ที่ได้สอบถามกับสมาชิกกลุ่ม MarTech Thailand พบว่าเครื่องมือของ MarTech ที่ดูแลเกี่ยวกับ การจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (Customer Relationship Management) มีประสิทธิภาพต่อธุรกิจถึง 34% รองลงมาคือเครื่องมือที่ใช้ในการจัดเก็บ รวบรวมข้อมูลลูกค้า (Customer Data Platforms) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ธุรกิจถึง 18% การใช้ AI มาเพิ่มศักยภาพให้การตลาด (AI, Machine Learning) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ธุรกิจได้ 15%

การใช้เครื่องมือในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงตลาด (Marketing Analytics) 9% และการนำข้อมูลมาวิเคราะห์และนำเสนอแผนภาพข้อมูลรูปแบบที่เข้าใจง่าย (Data Visualization) 8%

ยกระดับธุรกิจให้ก้าวหน้าด้วยเทคโนโลยีการตลาดที่ทันสมัย เพื่อช่วยพัฒนาศักยภาพทางการตลาดให้ธุรกิจไทยก้าวหน้ายิ่งขึ้นในงาน Marketing Technology & Innovation Expo 2023 presented by SC ASSET วันที่ 1 มีนาคม 2566 นี้ ณ มิตรทาวน์ฮอลล์ สามย่านมิตรทาวน์
สนใจสอบถามข้อมูลโทร 080-526-5628 หรือเข้าเยี่ยมชมเว็ปไซต์ https://www.facebook.com/ThaiMartechExpo/?ref=page_internal

สำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมงาน Marketing Technology & Innovation Expo 2023 presented by SC ASSET สามารถลงทะเบียนเพื่อรับบัตรเข้าร่วมงานได้ที่ https://bit.ly/martechexpo1

from:https://www.thumbsup.in.th/marketing-technology-innovation-expo-2023-presented-by-sc-asset?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=marketing-technology-innovation-expo-2023-presented-by-sc-asset