คลังเก็บป้ายกำกับ: HIGHLIGHT

TikTok ออกกฎคุมไลฟ์สตรีม ปิดกั้นการมองเห็นเนื้อหาที่เป็นภาพนิ่ง

ใครที่เล่น TikTok กันบ่อย ๆ อาจจะเคยเจอคลิป หรือเจอการไลฟ์สดจากผู้ใช้งานที่เป็นภาพนิ่งหรือวิดีโอที่ไม่มีการเคลื่อนไหว ซึ่งบางคลิปก็ถือเป็นเนื้อหาไม่ได้ส่งเสริมให้แพลตฟอร์มเป็นที่น่าดึงดูด  ล่าสุดทาง TikTok ก็เตรียมแก้ปัญหาด้วยการออกบทลงโทษสำหรับการไลฟ์สตรีมเนื้อหาภาพนิ่ง

ทำไม TikTok ถึงไม่อนุญาตให้ไลฟ์สตรีมเนื้อหาภาพนิ่ง

เพื่อส่งเสริมประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์ให้มีความน่าสนใจ TikTok Shop ได้ออกมาควบคุมเนื้อหาภาพนิ่งทั้งหมดบนแพลตฟอร์ม โดยจะถือว่าไลฟ์สตรีมที่ไร้การเคลื่อนไหว หรือแสดงภาพนิ่งที่มีการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยจะต้องได้รับบทลงโทษ

เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมกับผู้ใช้ ควรแนะนำสินค้าจริงและโต้ตอบกับผู้ใช้ตลอดทั้งไลฟ์สตรีม

การเล่นภาพสไลด์ที่แสดงภาพสินค้าต่างๆ แบบเฟรมต่อเฟรมจะถือว่าเป็นภาพนิ่งแม้ว่าจะมีการเคลื่อนไหวก็ตาม รวมไปถึงไลฟ์สตรีมมิ่งที่เห็นเพียงแต่ภาพพื้นหลัง แต่เจ้าของบัญชีไม่มีส่วนร่วมบนหน้าจอถือว่าเป็นเนื้อหาภาพนิ่ง

วิธีหลีกเลี่ยงบทลงโทษ

ผู้ใช้งานที่สตรีมเนื้อหาภาพนิ่งหรือไร้การเคลื่อนไหวอาจได้รับบทลงโทษ ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงทาง TikTok ได้ให้คำแนะนำดังนี้

  • หลีกเลี่ยงการใช้ภาพนิ่งหรือฉากที่ไร้การเคลื่อนไหวในไลฟ์สตรีม
  • หลีกเลี่ยงการใช้เพียงแค่สไลด์โชว์ในไลฟ์สตรีม
  • ทำให้มีกิจกรรมบนหน้าจอที่มองเห็นได้ เช่น การเคลื่อนไหวหรือการโต้ตอบด้วยคำพูด
  • มีส่วนร่วมกับผู้ใช้ตลอดไลฟ์สตรีม
  • มีการแนะนำสินค้าและคำอธิบายที่เพียงพอ เช่น การสาธิตการใช้งานสินค้าจริงหรือการแสดงสินค้าให้เห็น
  • ครีเอเตอร์ควรใช้ฟีเจอร์หยุดชั่วคราวหากออกจากหน้าจอระหว่างไลฟ์สตรีม:
  • ควรใช้ฟีเจอร์ “หยุดไลฟ์ชั่วคราว” หากออกจากหน้าจอ โดยฟีเจอร์นี้สามารถใช้ได้สูงสุด 3 ครั้งต่อไลฟ์สตรีม

หมายเหตุ: ไลฟ์สตรีมจะจบลงโดยอัตโนมัติหากผู้ใช้ไม่ดำเนินการต่อภายใน 5 นาที

บทลงโทษสำหรับเนื้อหาภาพนิ่ง

TikTok Shop จะลงโทษผู้ใช้งานหรือผู้ขายที่โพสต์เนื้อหาอาจทำการลงโทษครีเอเตอร์หรือผู้ขายที่โพสต์เนื้อหาที่เป็น ‘ภาพนิ่ง’ ซ้ำๆ รายการการดำเนินการบางส่วนที่เราอาจใช้มีดังนี้:

  • ข้อความเตือน
  • ลบรายการสินค้าออกจากแพลตฟอร์ม
  • การลบหรือปิดกั้นเนื้อหา
  • การเพิกถอนสิทธิประโยชน์ของครีเอเตอร์/ผู้ขายชั่วคราวหรือถาวร
  • การระงับสิทธิ์ของการเป็นผู้ใช้งาน/ผู้ขาย

ที่มา TikTok

from:https://www.thumbsup.in.th/tiktok-ban-still-frame-live-content?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=tiktok-ban-still-frame-live-content

‘ไทยเวียตเจ็ท’ จัดโปร 0 บาท บินต่างประเทศ เปิดจองตั๋ว 20-30 มิ.ย.นี้

สายการบินไทยเวียตเจ็ท ออกโปรโมชั่น “Mid Year Mega Sale!” ลดกระหน่ำกลางปี 2566 เสนอบัตรโดยสารราคาพิเศษ เริ่มต้นเพียง 0 บาท (ราคาไม่รวมภาษีและค่าธรรมเนียม) สำหรับเดินทางบนเครือข่ายเส้นทางบินระหว่างประเทศของไทยเวียตเจ็ท ผู้โดยสารสามารถสำรองบัตรโดยสารได้ระหว่างวันที่ 20 – 30 มิถุนายน 2566 เดินทางได้ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม – 31 ธันวาคม 2566 (ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์)

บัตรโดยสารราคาโปรโมชั่นนี้สามารถใช้เดินทางได้จากกรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) สู่ เวียดนาม พนมเปญ สิงคโปร์ ฟูกุโอกะ และไทเป รวมถึงเส้นทางบินตรงจาก เชียงใหม่ สู่ โอซาก้า ผู้โดยสารสามารถสำรองบัตรโดยสารราคาพิเศษนี้ได้ที่เว็บไซต์ www.vietjetair.com หรือ แอปพลิเคชัน “Vietjet Air”

ปัจจุบัน เวียตเจ็ท กรุ๊ป ให้บริการเส้นทางบินระหว่างประเทศจาก โฮจิมินห์ซิตี้ สู่ ซิดนีย์ เมลเบิร์น และบริสเบน ประเทศออสเตรเลีย ผู้โดยสารชาวไทยสามารถเดินทางจาก กรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) สู่ ออสเตรเลีย ด้วยเที่ยวบินเชื่อมต่อของไทยเวียตเจ็ทจาก กรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) สู่ โฮจิมินห์ซิตี้ และต่อเที่ยวเที่ยวบินจาก โฮจิมินห์ซิตี้ สู่ ออสเตรเลีย ผู้โดยสารสามารถศึกษาตารางบิน บัตรโดยสารราคาโปรโมชั่น และข้อมูลเพิ่มเติมที่ http://www.vietjetair.com

สายการบินไทยเวียตเจ็ทให้บริการครอบคลุม 10 เส้นทางบินภายในประเทศ ได้แก่ เส้นทางบินจาก กรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) สู่ เชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ต กระบี่ อุดรธานี หาดใหญ่ ขอนแก่น อุบลราชธานี และสุราษฎร์ธานี รวมถึงเที่ยวบินข้ามภูมิภาค จาก ภูเก็ต สู่ เชียงใหม่

นอกจากนี้ สายการบินฯ ได้ขยายเส้นทางบินระหว่างประเทศสู่หลากหลายจุดหมายปลายทางในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เชื่อมต่อประเทศไทยกับเวียดนาม สิงคโปร์ กัมพูชา ญี่ปุ่น ไทเป และอีกหลายจุดหมายปลายทางทั่วทั้งภูมิภาค

from:https://www.thumbsup.in.th/vietjet-promotion-0-baht-2023?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=vietjet-promotion-0-baht-2023

ผลสำรวจชี้ 60% ของผู้บริโภค มีแนวโน้มเลือกซื้อรถยนต์ไฮบริดมากขึ้นในอนาคต

ซีบร้า เทคโนโลยีส์ คอร์ปอเรชั่น ผู้ให้บริการโซลูชันดิจิทัลชั้นนำที่ เผยผลการสำรวจ Automotive Ecosystem Vision Study ที่ชี้ให้เห็นว่าผู้ผลิตยานยนต์อยู่ภายใต้แรงกดดันให้พร้อมรองรับความต้องการรถยนต์ไฟฟ้า (EVs) ที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคในอนาคตอันใกล้

โดยผู้ผลิตยานยนต์ต้องวางแผนให้การเปลี่ยนไปผลิต EVs ตั้งแต่วัตถุดิบไปจนถึงการประกอบขั้นสุดท้าย ดังนั้นการเพิ่มระบบอัตโนมัติ การสร้างเทคโนโลยีสำหรับใช้ภายในองค์กร และการเพิ่มการเข้าถึงข้อมูล/สถานะของการผลิต และซัพพลายเชนที่อัปเดตอยู่ตลอดเวลา จึงเป็นสิ่งที่ผู้ผลิตยานยนต์ควรให้ความสนใจมากขึ้น

แม้ปัจจุบันเศรษฐกิจจะผันผวน ผู้ผลิตยานยนต์ก็พร้อมที่จะลงทุนในนวัตกรรมทางเทคโนโลยี โดย 7 ใน 10 (74% ทั่วโลก, 69% ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก) คาดว่าจะเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านเทคโนโลยี และ 6 ใน 10 (67% ทั่วโลก, 63% ในเอเชีย-แปซิฟิก) วางแผนที่จะเพิ่มการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานของการผลิตภายในปีพ.ศ. 2566

การสำรวจ Automotive Ecosystem Vision Study ดำเนินการโดยซีบร้า เทคโนโลยีส์ มีผู้ตอบแบบสำรวจทั้งหมด 1,336 คน ทั่วโลก ซึ่งมีทั้งผู้มีอำนาจตัดสินใจในอุตสาหกรรม ผู้จัดการด้านการขนส่ง และผู้บริโภค ในเอเชีย-แปซิฟิก มีผู้ตอบแบบสำรวจรวมทั้งหมด 350 คน ในประเทศอินเดีย จีนแผ่นดินใหญ่ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้

ผู้บริโภคในเอเชีย-แปซิฟิกมากขึ้นจะหันมาเลือกซื้อ EVs ในไม่ช้า

ผู้บริโภคมากกว่าครึ่ง (53% ทั่วโลก, 60% ในเอเชีย-แปซิฟิก) มีแนวโน้มจะเลือกซื้อรถยนต์ไฮบริด (HEV) แต่การตอบสนองต่อความต้องการ EVs ที่เพิ่มขึ้นนี้ก็ต้องพบกับความท้าทาย ผลการสำรวจยังชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคเจนเนอเรชั่นต่าง ๆ ก็ผลักดันให้ผู้ผลิตยานยนต์เร่งพัฒนานวัตกรรมทางเทคโนโลยี โดย 87% ของผู้บริโภคกลุ่มมิลเลนเนียลให้ความสำคัญกับความยั่งยืนของรถยนต์ของตัวเอง ตามมาด้วยผู้บริโภคกลุ่มเจนเอ็กซ์ 78% และผู้บริโภคกลุ่มเบบี้บูมเมอร์ 76%

นอกจากนี้ผู้บริโภคก็มีส่วนในการเน้นการปรับแต่งแบบเฉพาะบุคคล (Personalisation) ให้มากขึ้น ผู้บริโภคเกือบ 4 ใน 5 ระบุว่าตัวเลือกการปรับแต่งแบบเฉพาะบุคคลเป็นหนึ่งในปัจจัยในการตัดสินใจซื้อ

ขณะเดียวกันอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกตระหนักดีว่าปัจจุบันผู้บริโภคคาดหวังตัวเลือกรถยนต์ที่มีความยั่งยืน และความเป็นส่วนตัวมากขึ้น แต่ราว 7 ใน 10 ก็ยอมรับว่าเป็นเรื่องยากที่จะตอบสนองต่อความต้องการการปรับแต่งที่เพิ่มขึ้น เหตุนี้ผู้ผลิตยานยนต์ 3 ใน 4 ทั่วโลกจึงระบุว่าสิ่งสำคัญสูงสุดคือการสร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับบริษัทเทคโนโลยีสำหรับการผลิตรถยนต์รุ่นต่อไป

Mr. Tan Aik Jin, หัวหน้าฝ่ายการตลาดด้านโซลูชั่นแนวดิ่งประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก, ซีบร้า เทคโนโลยีส์ กล่าวว่า “จากการสำรวจเราพบว่าผู้บริโภคอยากเห็นการส่งเสริมยานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นในอนาคต อีกทั้งความนิยมรถยนต์ไฟฟ้าของผู้บริโภคเอง ทั้งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและทั่วโลก ก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ผู้มีอำนาจตัดสินใจในอุตสาหกรรมยานยนต์ต้องรุกลงทุนในเทคโนโลยีที่เหมาะสมให้มากขึ้น เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของการผลิตให้แข็งแกร่ง และสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นนี้ได้ดียิ่งขึ้น”

มากกว่าหนึ่งในสามของผู้ผลิตอุปกรณ์ดั้งเดิม(OEMs) จากทั่วโลกและในเอเชียแปซิฟิก ต่างออกความเห็นว่าการใช้เทคโนโลยีในกระบวนการผลิตจะมีส่วนช่วยในการปรับปรุงจัดการห่วงโซ่อุปทานได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นหุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติ (AMRs), การระบุตัวตนด้วยคลื่นความถี่วิทยุ (RFID), คอมพิวเตอร์มือถือแบบพกพาที่มีคุณสมบัติแข็งแรง ทนทาน(Rugged Handheld Mobile Computers) และเครื่องสแกนแบบพกพา (Scanner) รวมถึงแมชชีนวิชั่น (Machine Vision) ที่นำมาใช้ตรวจสอบคุณภาพของผลิตภัณฑ์ในโรงงาน

จากการสำรวจแบบสอบถามพบว่าจำนวนกว่าหนึ่งในสามของบริษัทซัพพลายเออร์ต่าง ๆ ก็มีความเห็นเช่นเดียวกันในด้านการเทคโนโลยีมาเป็นตัวช่วย เช่น การใช้เครื่องพิมพ์สติกเกอร์บาร์โค้ดแบบพกพาและเครื่องพิมพ์สติกเกอร์แบบใช้ความร้อน (Thermal Printer), อุปกรณ์ Mobile Computer แบบสวมที่แขน หรือแม้แต่การใช้เทคโนโลยีในการระบุตำแหน่งของสิ่งของหรือบุคคล

from:https://www.thumbsup.in.th/%e0%b8%9c%e0%b8%a5%e0%b8%aa%e0%b8%b3%e0%b8%a3%e0%b8%a7%e0%b8%88%e0%b8%8a%e0%b8%b5%e0%b9%89-60-%e0%b8%82%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%9c%e0%b8%b9%e0%b9%89%e0%b8%9a%e0%b8%a3%e0%b8%b4%e0%b9%82%e0%b8%a0?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=%25e0%25b8%259c%25e0%25b8%25a5%25e0%25b8%25aa%25e0%25b8%25b3%25e0%25b8%25a3%25e0%25b8%25a7%25e0%25b8%2588%25e0%25b8%258a%25e0%25b8%25b5%25e0%25b9%2589-60-%25e0%25b8%2582%25e0%25b8%25ad%25e0%25b8%2587%25e0%25b8%259c%25e0%25b8%25b9%25e0%25b9%2589%25e0%25b8%259a%25e0%25b8%25a3%25e0%25b8%25b4%25e0%25b9%2582%25e0%25b8%25a0

ผลสำรวจชี้ 60% ของผู้บริโภค มีแนวโน้มเลือกซื้อรถยนต์ไฮบริดมากขึ้นในอนาคต

ซีบร้า เทคโนโลยีส์ คอร์ปอเรชั่น ผู้ให้บริการโซลูชันดิจิทัลชั้นนำที่ เผยผลการสำรวจ Automotive Ecosystem Vision Study ที่ชี้ให้เห็นว่าผู้ผลิตยานยนต์อยู่ภายใต้แรงกดดันให้พร้อมรองรับความต้องการรถยนต์ไฟฟ้า (EVs) ที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคในอนาคตอันใกล้

โดยผู้ผลิตยานยนต์ต้องวางแผนให้การเปลี่ยนไปผลิต EVs ตั้งแต่วัตถุดิบไปจนถึงการประกอบขั้นสุดท้าย ดังนั้นการเพิ่มระบบอัตโนมัติ การสร้างเทคโนโลยีสำหรับใช้ภายในองค์กร และการเพิ่มการเข้าถึงข้อมูล/สถานะของการผลิต และซัพพลายเชนที่อัปเดตอยู่ตลอดเวลา จึงเป็นสิ่งที่ผู้ผลิตยานยนต์ควรให้ความสนใจมากขึ้น

แม้ปัจจุบันเศรษฐกิจจะผันผวน ผู้ผลิตยานยนต์ก็พร้อมที่จะลงทุนในนวัตกรรมทางเทคโนโลยี โดย 7 ใน 10 (74% ทั่วโลก, 69% ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก) คาดว่าจะเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านเทคโนโลยี และ 6 ใน 10 (67% ทั่วโลก, 63% ในเอเชีย-แปซิฟิก) วางแผนที่จะเพิ่มการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานของการผลิตภายในปีพ.ศ. 2566

การสำรวจ Automotive Ecosystem Vision Study ดำเนินการโดยซีบร้า เทคโนโลยีส์ มีผู้ตอบแบบสำรวจทั้งหมด 1,336 คน ทั่วโลก ซึ่งมีทั้งผู้มีอำนาจตัดสินใจในอุตสาหกรรม ผู้จัดการด้านการขนส่ง และผู้บริโภค ในเอเชีย-แปซิฟิก มีผู้ตอบแบบสำรวจรวมทั้งหมด 350 คน ในประเทศอินเดีย จีนแผ่นดินใหญ่ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้

ผู้บริโภคในเอเชีย-แปซิฟิกมากขึ้นจะหันมาเลือกซื้อ EVs ในไม่ช้า

ผู้บริโภคมากกว่าครึ่ง (53% ทั่วโลก, 60% ในเอเชีย-แปซิฟิก) มีแนวโน้มจะเลือกซื้อรถยนต์ไฮบริด (HEV) แต่การตอบสนองต่อความต้องการ EVs ที่เพิ่มขึ้นนี้ก็ต้องพบกับความท้าทาย ผลการสำรวจยังชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคเจนเนอเรชั่นต่าง ๆ ก็ผลักดันให้ผู้ผลิตยานยนต์เร่งพัฒนานวัตกรรมทางเทคโนโลยี โดย 87% ของผู้บริโภคกลุ่มมิลเลนเนียลให้ความสำคัญกับความยั่งยืนของรถยนต์ของตัวเอง ตามมาด้วยผู้บริโภคกลุ่มเจนเอ็กซ์ 78% และผู้บริโภคกลุ่มเบบี้บูมเมอร์ 76%

นอกจากนี้ผู้บริโภคก็มีส่วนในการเน้นการปรับแต่งแบบเฉพาะบุคคล (Personalisation) ให้มากขึ้น ผู้บริโภคเกือบ 4 ใน 5 ระบุว่าตัวเลือกการปรับแต่งแบบเฉพาะบุคคลเป็นหนึ่งในปัจจัยในการตัดสินใจซื้อ

ขณะเดียวกันอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกตระหนักดีว่าปัจจุบันผู้บริโภคคาดหวังตัวเลือกรถยนต์ที่มีความยั่งยืน และความเป็นส่วนตัวมากขึ้น แต่ราว 7 ใน 10 ก็ยอมรับว่าเป็นเรื่องยากที่จะตอบสนองต่อความต้องการการปรับแต่งที่เพิ่มขึ้น เหตุนี้ผู้ผลิตยานยนต์ 3 ใน 4 ทั่วโลกจึงระบุว่าสิ่งสำคัญสูงสุดคือการสร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับบริษัทเทคโนโลยีสำหรับการผลิตรถยนต์รุ่นต่อไป

Mr. Tan Aik Jin, หัวหน้าฝ่ายการตลาดด้านโซลูชั่นแนวดิ่งประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก, ซีบร้า เทคโนโลยีส์ กล่าวว่า “จากการสำรวจเราพบว่าผู้บริโภคอยากเห็นการส่งเสริมยานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นในอนาคต อีกทั้งความนิยมรถยนต์ไฟฟ้าของผู้บริโภคเอง ทั้งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและทั่วโลก ก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ผู้มีอำนาจตัดสินใจในอุตสาหกรรมยานยนต์ต้องรุกลงทุนในเทคโนโลยีที่เหมาะสมให้มากขึ้น เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของการผลิตให้แข็งแกร่ง และสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นนี้ได้ดียิ่งขึ้น”

มากกว่าหนึ่งในสามของผู้ผลิตอุปกรณ์ดั้งเดิม(OEMs) จากทั่วโลกและในเอเชียแปซิฟิก ต่างออกความเห็นว่าการใช้เทคโนโลยีในกระบวนการผลิตจะมีส่วนช่วยในการปรับปรุงจัดการห่วงโซ่อุปทานได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นหุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติ (AMRs), การระบุตัวตนด้วยคลื่นความถี่วิทยุ (RFID), คอมพิวเตอร์มือถือแบบพกพาที่มีคุณสมบัติแข็งแรง ทนทาน(Rugged Handheld Mobile Computers) และเครื่องสแกนแบบพกพา (Scanner) รวมถึงแมชชีนวิชั่น (Machine Vision) ที่นำมาใช้ตรวจสอบคุณภาพของผลิตภัณฑ์ในโรงงาน

จากการสำรวจแบบสอบถามพบว่าจำนวนกว่าหนึ่งในสามของบริษัทซัพพลายเออร์ต่าง ๆ ก็มีความเห็นเช่นเดียวกันในด้านการเทคโนโลยีมาเป็นตัวช่วย เช่น การใช้เครื่องพิมพ์สติกเกอร์บาร์โค้ดแบบพกพาและเครื่องพิมพ์สติกเกอร์แบบใช้ความร้อน (Thermal Printer), อุปกรณ์ Mobile Computer แบบสวมที่แขน หรือแม้แต่การใช้เทคโนโลยีในการระบุตำแหน่งของสิ่งของหรือบุคคล

from:https://www.thumbsup.in.th/evs-automotive-survey-2023?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=evs-automotive-survey-2023

TCP ส่ง “Red Bull Energy Soda” ขยายฐานพรีเมียม ตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งตลาด 20%

“เรดบูล” ภายใต้กลุ่มธุรกิจ TCP ตอกย้ำผู้นำตลาดเครื่องดื่มเอเนอร์จี้ ดริงก์ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ เปิดตัวสินค้าใหม่ “Red Bull Energy Soda” (เรดบูล เอเนอร์จี้โซดา) อร่อยซ่า กลิ่นผลไม้ สร้างโอกาสเติบโตในเซกเมนต์ใหม่ Refreshment Booster ที่รวมเครื่องดื่มเอเนอร์จี้ดริงก์และเติมความสดชื่นเข้าไว้ด้วยกัน ขยายฐานตลาดพรีเมียมเอเนอร์จี้ดริงก์

พร้อมแต่งตั้ง “เจเจ-กฤษณภูมิ พิบูลสงคราม” เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์คนแรกของเรดบูล เอเนอร์จี้โซดา ตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่มีเอเนอร์จี้ในการทำกิจกรรมหลากหลาย สุดทุกแพสชั่น ถ่ายทอดภาพลักษณ์ของแบรนด์และโดยจุดเด่นของ เรดบูล เอเนอร์จี้โซดา ที่เป็นเครื่องดื่มสำหรับคนมีไลฟ์สไตล์แอ็กทิฟ กลิ่นผลไม้อร่อยโดนใจ และไม่มีน้ำตาล มีให้เลือก 2 กลิ่น คือ แอปเปิ้ลเขียวจับคู่กับองุ่นมัสแกต และ เกรปฟรุตกับสับปะรด (กลิ่นนี้จะมีจำหน่ายเฉพาะที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่นเท่านั้น) ราคา 20 บาท ปริมาณ 250 มล. ในรูปแบบกระป๋องอะลูมิเนียมรักษ์โลก สามารถซื้อได้ที่ร้านค้าทั่วไป และ TCP Online Shop

นายสราวุฒิ อยู่วิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ TCP กล่าวว่า “กลุ่มธุรกิจ TCP เป็นผู้บุกเบิกเครื่องดื่มเอเนอร์จี้ดริงก์แบรนด์ Red Bull ให้เป็นที่รู้จักจนได้รับความนิยมทั่วโลก และวันนี้เราพร้อมสร้างการเติบโตให้กับตลาดไทยด้วยการนำความแข็งแกร่งของ Red Bull มาต่อยอดเป็นสินค้าใหม่ “เรดบูล เอเนอร์จี้โซดา”

นำไปสู่การขยายเซกเมนต์ย่อย “Refreshment Booster” เติมเต็มช่องว่างระหว่างเครื่องดื่มเอเนอร์จี้ดริงก์กับเครื่องดื่มสร้างความสดชื่น เราเชื่อมั่นว่า “เรดบูล เอเนอร์จี้โซดา” จะสร้างประสบการณ์ที่ดีต่อผู้บริโภครุ่นใหม่ และต่อยอดการเติบโตในตลาดพรีเมียม ซึ่งปัจจุบันตลาดพรีเมียมมีการเติบโตจากปีที่ผ่านมา 19% โดยเราตั้งเป้าหมายจะเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดเป็น 20% ภายในปีนี้”

from:https://www.thumbsup.in.th/red-bull-energy-soda?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=red-bull-energy-soda

รู้จัก GREE ผู้นำด้านนวัตกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าสัญชาติจีน ที่มีคุณภาพเจ๋งไม่แพ้ใครในโลก

หากเอ่ยถึงบริษัทนวัตกรรมเราจะนึกว่า Meta Google หรือ Microsoft วันนี้เราจะมารู้จัก GREE บริษัทนวัตกรรมด้านเครื่องใช้ไฟฟ้าสัญชาติจีน ที่มีการลงทุนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมชั้นนำไม่แพ้ใคร

GREE คือ ผู้นำด้านนวัตกรรม และผู้ผลิตเครื่องปรับอากาศและเครื่องใช้ไฟฟ้ายักษ์ใหญ่ในประเทศประเทศจีน ครองส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดถึง 36.9% ของธุรกิจเครื่องปรับอากาศทั้งหมดในประเทศจีน และเป็นผู้นำติดต่อกันถึง 26 ปี

มูลค่าผลประกอบการรวมในจีนสูงสุดกว่า 560,000 ล้านบาท และยังเป็นผู้นำในการส่งออกสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าไปทั่วโลก โดยมีรายได้จากการขายสินค้าไปทั่วโลกสูงสุดกว่า 1,000,000 ล้านบาท ซึ่งเทียบเท่ามูลค่าการตลาดของแบรนด์ระดับโลกอย่าง Facebook, Google, หรือ Microsoft เป็นต้น

ต้นกำเนิดของ GREE

GREE จดทะเบียนในตลาดหุ้นของจีน ชื่อว่า Shenzhen Stock Exchange และเป็นบริษัทขนาดใหญ่ระดับโลก ซึ่งบริษัทได้รับการจัดอันดับจาก Fortune Global 500 ในฐานะบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลก 500 อันดับแรก โดยอยู่ในอันดับ 436 วัดจากยอดขายของบริษัท และ ได้รับการจัดอันดับ “China Most Admired Company” โดยอยู่อันดับ 7 และเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เป็นแบรนด์สัญชาติจีน

นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับการจัดอันดับจาก Forbes Global 2000 ในฐานะ “World Best Employer” โดยอยู่ในอันดับ 246 และยังคงอยู่ในกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลก 500 อันดับแรก โดยวัดจาก มูลค่าตลาด, สินทรัพย์, ยอดขาย และกำไร ของบริษัทฯ บริษัทเป็นสัญชาติจีนที่สามารถสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นได้สูงสุดในประเทศ ซึ่งสะท้อนถึงผลประกอบการที่เติบโตอย่างมั่นคงสม่ำเสมอ รวมถึงศักยภาพที่จะเติบโตมากขึ้นในอนาคต

จุดแข็งที่ทำให้ GREE เป็นบริษัทที่มีศักยภาพ สร้างผลประกอบการ และผลตอบแทนต่อนักลงทุนได้สูง

  1. GREE มีนวัตกรรมเป็นของตัวเอง มีการจดสิทธิบัตรนวัตกรรมของตัวเองถึงกว่า 79,000 สิทธิบัตร และได้รับรางวัลด้านนวัตกรรมมากมาย นอกจากนี้ GREE ยังมีศูนย์ R&D เกี่ยวกับเครื่องปรับอากาศที่ใหญ่ที่สุดในโลกเป็นของตัวเอง ดังนั้น GREE จึงไม่ได้เพียงจำหน่ายสินค้าออกสู่ตลาดโลก แต่ยังขายนวัตกรรมด้วย ดังนั้น รายได้ของบริษัทจึงมาจากทั้งการจำหน่ายสินค้าที่ผลิตภายใต้แบรนด์ GREE และยังเป็นเบื้องหลังของนวัตกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆอีกหลายแบรนด์อีกด้วย
  2. นวัตกรรมของ GREE เป็นนวัตกรรมที่สร้างเพื่ออนาคตอย่างแท้จริง สิ่งที่ GREE คิดค้นพัฒนาตอบสนอง Mega Trend ของเครื่องใช้ไฟฟ้าในตลาดโลก
  3. ไม่ว่าจะเป็นการลดการใช้พลังงาน ลดการปล่อยความร้อนสู่โลก เทคโนโลยีที่ทดแทนการใช้แรงงาน รวมถึงเทคโนโลเครื่องไฟฟ้าพลังงานทางเลือก ซึ่งเป็นเรื่องที่กำลังจะเป็นเทรนด์หลักของโลก ดังนั้น ประเทศทั่วโลกที่ตื่นตัวกับเรื่องนี้แล้ว จึงไม่ใช่เรื่องยากที่ GREE จะเป็นแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ได้รับการยอมรับและกวาดรายได้จากทั่วโลก โดยเคยทำรายได้สุงสุดถึง 1,000,000 ล้านบาท ในปี 2019

GREE ให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรมในระดับที่เข้มข้นถึงขนาดกำหนดเป็น 1 ใน mission สำคัญขององค์กร เช่นล่าสุดในปี 2020 GREE ได้จดสิทธิบัตรจำนวน 15,072 ใบ แสดงว่า ทุกๆ 1 ชั่วโมง GREE ต้องสร้าง certificate ของนวัตกรรมใหม่ๆ 1-2 ใบ และเป็นเพียงบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าเพียงรายเดียวที่ติดอันดับ 1 ใน 10 ของบริษัทที่จดสิทธิบัตรสูงสุดในประเทศจีน และติดอันดับ Top 10 ต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 6 แล้ว

สิ่งนี้เพื่อยืนยันว่า GREE ไม่เคยหยุด และจะไม่หยุดพัฒนา ทุกนวัตกรรมที่ถูกสร้างขึ้น จะถูกพัฒนาต่อยอดทำลายสถิตินวัตกรรมของตัวเองอยู่ตลอดเวลา และนี่คือสิ่งที่ดึงดูดใจนักลงทุนทั่วโลกที่สุด เบื้องหลังความสำเร็จของการทุบสถิติการพัฒนานวัตกรรมของตัวเองนี้

บริษัท กรี อิเลคทริค (ไทยแลนด์) จำกัด ก่อตั้งขึ้นในปี 2009 โดยได้เริ่มเป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้าเครื่องปรับอากาศ แบรนด์ GREE ในปี 2010 บริษัท กรี อิเลคทริค (ไทยแลนด์) จำกัด นำเครื่องปรับอากาศที่ใช้ภายในบ้านเข้ามาทำตลาดให้ผู้บริโภคคนไทยได้รู้จัก และได้เริ่มขยายธุรกิจเครื่องปรับอากาศโดยครอบคลุมไปถึงธุรกิจเครื่องปรับอากาศอย่างครบวงจร

ด้วยการนำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้าประเภทเครื่องปรับอากาศสำหรับใช้ภายในบ้าน สำนักงาน เชิงพาณิชย์ รวมไปถึงกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมสำหรับโครงการในประเทศไทย ทำให้บริษัท กรี อิเลคทริค (ไทยแลนด์) จำกัด มีสินค้าครบวงจร ตามความต้องการของผู้บริโภคในทุกระดับชั้นและทุกประเภทของ การใช้งาน เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์ “Total Solution For Air Conditioners”

สินค้านวัตกรรมใหม่ที่ทาง บริษัท กรี อิเลคทริค (ไทยแลนด์) จำกัด นำเข้ามานี้ ทางบริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญกับในส่วนของบริการหลังการขายเป็นอย่างมากมาก นอกจากการรับประกันตัวสินค้าที่สูงกว่ามาตรฐานทั่วไป เช่น เครื่องปรับอากาศภายในบ้าน รับประกัน Compressor 10 ปี อะไหล่ 5 ปี เป็นรายแรกของประเทศไทย ทั้งนี้บริษัทยังได้เตรียมความพร้อมของศูนย์บริการลูกค้าอย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงมี Spare Part สินค้าทุกรุ่น

เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้ลูกค้าว่าสินค้าจะได้รับการดูแลหลังการขายอย่างดี และการส่งมอบงานบริการที่มีคุณภาพสู่ลูกค้าที่ซื้อสินค้าและบริการ โดยมีการจัดสัมมนาเกี่ยวกับเครื่องปรับอากาศ สำหรับโครงการอย่างสม่ำเสมอในปีที่ผ่านมา และต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

ด้วยเหตุนี้เองทำให้บริษัท กรี อิเลคทริค (ไทยแลนด์) จำกัด เป็นที่ไว้วางใจของแบรนด์ชั้นนำ โดยมีเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ที่ตอบโจทย์การใช้งานทุกธุรกิจ ตั้งแต่ธุรกิจ SME ไม่จนถึงอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ การันตรีด้วยการร่วมงานกับโครงการใหญ่ๆมากกว่า 300 โครงการ อาทิ

  • โครงการของหน่วยงานรัฐ
  • Shopping Center
  • โรงแรมชั้นนำ ทั่วประเทศ
  • โรงพยาบาล
  • ธุรกิจอุตสาหกรรมขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่
  • ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั่วประเทศ และอื่นๆ

จากข้อมูลที่เราเล่ามาทั้งหมด ขอย้ำอีกครั้งว่า มันเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีนวัตกรรมอีกมากมาย และผลิตภัณฑ์อีกหลากหลายที่เราไม่สามารถหยิบยกมาพูดถึงได้หมด

หากใครสนใจเข้ารับชมสินค้า หรือต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติม สามารถดูได้ที่
Website : http://www.greethailnand.com
FB : Gree Thailand
Line : @greethailand

from:https://www.thumbsup.in.th/gree-china-brand?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=gree-china-brand

Interview: คุยกับ JobsDB และการพัฒนา Smart Technology & A.I. โซลูชันการค้นหาผู้สมัครงานที่ใช่เพื่อสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดดให้กับผู้ประกอบการในไทย

duangporn

ในการแข่งขันทางธุรกิจ เราปฏิเสธไม่ได้ว่าบุคลากรเป็นกำลังสำคัญที่เป็นแรงขับเคลื่อนองค์กรสู่ความสำเร็จ หลายบริษัทจึงต้องเฟ้นหาผู้สมัครงานที่มีคุณสมบัติตามที่ผู้ประกอบการต้องการและสามารถเข้ากับวัฒนธรรมขององค์กรได้ แต่ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบัน บริษัทต่าง ๆ ในหลายภาคธุรกิจต่างต้องเผชิญกับสงครามแย่งชิงคนเก่งที่ต้องช่วงชิงเหล่า Talent ผู้มีความรู้ความสามารถให้เข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยพัฒนาองค์กรไปด้วยกัน

วันนี้ THUMBSUP อยากพาผู้อ่านมาร่วมเจาะลึกเกี่ยวกับเครื่องมือทางเทคโนโลยี Smart Technology รวมถึงA.I. ที่จะเข้ามาสนับสนุนขั้นตอนการสรรหา Talent กับคุณดวงพร พรหมอ่อน Managing Director จาก JobsDB Thailand ว่าจะสามารถทำให้ภาคธุรกิจเพิ่มขีดความสามารถทางการค้นหาบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความก้าวหน้าให้กับอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้อย่างไร

Q: บุคลากรเป็นส่วนสำคัญต่อการพัฒนาองค์กรและสามารถช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางธุรกิจได้อย่างไร

A: แน่นอนคือเรื่องของความยั่งยืน ความต่อเนื่องและความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งบุคลากรที่ดีและเหมาะสมจะสามารถนำธุรกิจให้สามารถแข่งขันในตลาดได้ ดังนั้นบุคลากรจึงเป็นปัจจัยที่สำคัญมากในการนำพากลยุทธ์ที่บริษัทวางไว้ให้บรรลุเป้าหมาย รวมถึงยังเป็นการยกระดับมาตรฐานในการดำเนินงานขององค์กรให้เพิ่มสูงขึ้นอีกด้วยค่ะ

Q: อยากให้เล่าถึงสถานการณ์การสรรหาบุคลากรให้เข้ามาร่วมงานกับองค์กรในปัจจุบันว่ามีความแตกต่างจากอดีตอย่างไร และผู้ประกอบการต้องเผชิญกับความท้าทายอะไรบ้างในปัจจุบัน

A: ปัจจุบันนี้ในการสรรหาบุคลากร บริษัทส่วนใหญ่ไม่ได้มองหาคนที่มี hard skill (ทักษะความรู้และเทคนิคเฉพาะ) ที่ตรงกับตำแหน่งงานที่เปิดเพียงอย่างเดียวนะคะ แต่หลายๆ บริษัทมองหาคนที่สามารถแสดงออกทางพฤติกรรมที่ตรงกับวัฒนธรรมขององค์กรด้วย เพื่อจะมั่นใจได้ว่าผู้สมัครงานท่านนั้นจะสามารถเข้ากับวัฒนธรรมขององค์กรได้ และความท้าทายที่หลายองค์กรต้องเผชิญ คือเรื่องของ soft skill (ทักษะบุคคลและสังคม) และ attitude (ทัศนคติ) ของบุคลากร ซึ่งมีความสำคัญมาก เทียบเท่ากับความรู้และประสบการณ์เลยค่ะ เนื่องจากการทำงานในองค์กรคือการทำงานและอยู่ร่วมกับผู้อื่น ดังนั้น ทักษะด้านต่างๆ ที่พูดถึงนี้จึงเป็นสิ่งที่แต่ละองค์กรก็ให้ความสำคัญมากยิ่งขึ้นค่ะ

Q: JobsDB ในฐานะแพลตฟอร์มหางานออนไลน์ชั้นนำของเอเชีย ที่คร่ำหวอดอยู่ในแวดวงการหางานมานาน มีการพัฒนากระบวนการสรรหาหรือนำเทคโนโลยีอะไรบ้างมาใช้ ซึ่งจะเข้ามาเป็นตัวช่วยให้กับผู้ประกอบการสามารถค้นหาผู้สมัครที่มีคุณภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ท่ามกลางสงครามแย่งชิงคนเก่ง

A: JobsDB ไม่เคยหยุดพัฒนาแพลตฟอร์มของเราตั้งแต่วันแรกที่เราเริ่มธุรกิจในปี 2541 จนถึงวันนี้ที่เราเป็นส่วนหนึ่งของ SEEK Limited group บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ออสเตรเลีย ซึ่งนับเป็นศูนย์กลางการหางานออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อคิดจากมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด และในฐานะที่เราเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว SEEK เรามีความพยายามที่จะยกระดับผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีสู่ระดับ world-class เพื่อให้ผู้หางานที่มีความสามารถได้พบกับผู้ประกอบการที่มีชื่อเสียงทั่วทั้งภูมิภาค โดยจะมีการนำเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาเป็นตัวช่วยในการสรรหาบุคลากร เช่น A.I. (ปัญญาประดิษฐ์) ที่สามารถเรียนรู้และเลือกสรรผู้หางานที่เหมาะสมให้กับองค์กรได้อย่างต่อเนื่อง และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ Smarter Search ระบบการค้นหาผู้หางานที่สามารถช่วยให้สรรหาผู้หางานได้ตรงตามความต้องการหรือตามข้อกำหนดที่องค์กรได้ระบุไว้ ภายในระยะเวลาอันสั้น และ Smart Filter ช่วยคัดกรองข้อมูลของผู้หางานสำหรับองค์กร ทำให้ประหยัดเวลาในการค้นหาผู้สมัครงาน และยังได้ตรงตามความต้องการสูงสุดอีกด้วย ซึ่งเทคโนโลยีทั้งหมดนี้ทาง JobsDB by SEEK ได้นำมาใช้ เพื่อให้ผู้ประกอบการได้คนทำงานที่ตรงความต้องการมากที่สุดค่ะ

Q: คิดว่าการที่ JobsDB มีฐานข้อมูลที่แข็งแกร่งจะช่วยเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันทางธุรกิจของแพลตฟอร์มหางานออนไลน์ได้หรือไม่อย่างไร

A: ปัจจุบัน JobsDB by SEEK เรามีผู้สมัครมากกว่า 3 ล้านคน ซึ่งมีความหลากหลายทั้งในเรื่องของระดับการศึกษา ประสบการณ์ในการทำงาน ความถนัดในสายงานที่แตกต่าง ทำให้ผู้ประกอบการสามารถค้นหาผู้สมัครงานที่ตอบโจทย์ความต้องการให้ตำแหน่งงานที่ผู้ประกอบการกำลังค้นหาได้ครอบคลุม แม่นยำและรวดเร็วขึ้นด้วยค่ะ

Q: อนาคต JobsDB มองว่าเทรนด์ค้นหาผู้สมัครที่ตรงกับความต้องการให้กับผู้ประกอบการเป็นอย่างไร และทาง JobsDB จะมีการพัฒนาแพลตฟอร์มอย่างไรให้ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

A: ในอนาคตเราเชื่อว่า ระบบ A.I. จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นค่ะ ทั้งในการช่วย suggest หรือ match candidate จากฐานข้อมูลทั้งหมดของ JobsDB ว่าคนไหนน่าจะเหมาะกับตำแหน่งงานที่เปิดรับสมัครอยู่ของผู้ประกอบการ และในอนาคตทาง JobsDB ก็จะยังคงพัฒนาแพลตฟอร์มอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ผู้ใช้งานทั้งทางด้านผู้ประกอบการและผู้หางานได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดจากแพลตฟอร์มของเราค่ะ

Q: JobsDB ในฐานะผู้เชี่ยวชาญการสรรหาบุคคลากรเพื่อส่งเสริมความก้าวหน้าของพาร์ทเนอร์ อยากจะแนะนำอะไรกับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ว่านอกจากการนำเทคโนโลยีเข้ามาส่งเสริมในขั้นตอนการสรรหาแล้ว ยังต้องพัฒนาอะไรอีกในการดึงดูด Talent ให้เข้ามาร่วมพัฒนาองค์กรไปด้วยกัน

A: อันดับแรกเราต้องทราบก่อนว่า Talent ขององค์กรของเรามีลักษณะเป็นยังไงและมีพฤติกรรมแบบไหน แล้วเราค่อยออกไปหาคนเหล่านั้นในตลาด จริงๆ แล้วการดึงดูด Talent ในปัจจุบัน แต่ละธุรกิจจะมีลูกเล่นและสิ่งที่นำเสนอให้กับ Talent ที่ค่อนข้างแตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น ถ้าบริษัทที่ทำเกี่ยวกับ QSR (quick service restaurant) บริษัทอาจจะมีค่าอาหารกลางวัน และอาหารเย็นสำหรับพนักงาน operation ทุกคน หรือว่าบริษัท IT อาจจะอนุญาตให้พนักงานสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้โดยไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศเลย หรือว่าให้ annual leave แบบไม่มีจำกัดจำนวนวัน เพราะเค้าเข้าใจว่า Talent ที่อยู่ในกลุ่มนี้ต้องการ flexibility ที่สูงมาก และ focus ที่ work-life balance ดังนั้นสิ่งเหล่านี้จึงเป็นส่วนที่สำคัญที่ผู้ประกอบการในแต่ละองค์กรต้องพัฒนาและปรับตัว เพื่อให้สามารถดึงดูด Talent ได้มากยิ่งขึ้นค่ะ

from:https://www.thumbsup.in.th/interview-jobsdb-smart-technology-ai?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=interview-jobsdb-smart-technology-ai

TikTok Shop ตั้งเป้ายอดขาย 2 หมื่นล้านดอลลาร์ หลังยอดขายโฆษณาชะลอตัวทั่วโลก

Bloomberg รายงาน ByteDance เจ้าของ TikTok เตรียมขยายธุรกิจอีคอมเมิร์ซ 4 เท่า โดยมูลค่ามากถึง 20,000 ล้านดอลลาร์ในตลาดอเมริกาและยุโรป หลังเติบโตอย่างก้าวกระโดดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

TikTok มียอดใช้จ่ายสูงสุดใน App Store ในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมนี และอินโดนีเซียในไตรมาส แรกของปี 2023 จากข้อมูลของ Data.ai นอกจากช่วยให้ผู้ลงโฆษณาเข้าถึงผู้ชมจำนวนมากบนแอปโซเชียลที่ผู้คนใช้เวลามากที่สุดในโลก ยังช่วยให้ฐานผู้บริโภคที่มีแนวโน้มจะใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้มีอัตราการซื้อที่สูง

TikTok Shop แสดงโฆษณาให้กับผู้ใช้บนแอปในขณะที่เลื่อนดูฟีดวิดีโอคลิปสั้นและสตรีมสดที่ไม่มีที่สิ้นสุด รูปแบบธุรกิจที่ผสมผสานความบันเทิงเข้ากับแรงกระตุ้นในการซื้อได้ช่วยให้ Douyin ( TikTok ในจีน) เติบโตเป็นผู้เล่นอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ในจีน แข่งขันกับ Amazon และ Shopee ซึ่งหวังว่าจะทำซ้ำในสหรัฐอเมริกา

รายได้จากธุรกิจโฆษณาของ TikTok ซึ่งเคยเป็นแหล่งรายได้หลักในอดีต มีรายงานลดลงเนื่องจากการชะลอตัวของยอดขายโฆษณาทั่วโลก ดังนั้นแอปจึงมุ่งเน้นไปธุรกิจอีคอมเมิร์ซออนไลน์ มูลค่า 17 ล้านล้านดอลลาร์ เป็นตัวขับเคลื่อนรายได้หลักแทน

อย่างไรก็ตาม TikTok ยังคงต่อสู้กับการแบนของสหรัฐฯ แม้ว่าจะมีผู้ใช้ 150 ล้านคนในสหรัฐฯ รวมถึงดำเนินการแนะนำมาตรการรักษาความปลอดภัยที่หลากหลายเพื่อจัดการกับข้อกังวลด้านความมั่นคงของชาติ โดยให้สิทธิ์แก่พันธมิตรอย่าง Oracle Corp. ในการตรวจสอบเทคโนโลยีและป้องกันข้อมูลรั่วไหล แต่ขณะนี้ประธานาธิบดี โจ-ไบเดนยังไม่ตัดสินใจขั้นสุดท้าย

Bloomberg

from:https://www.thumbsup.in.th/tiktok-shop-ecommerce-2?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=tiktok-shop-ecommerce-2

กลุ่มธุรกิจ TCP มีมากกว่ากระทิงแดง !! พาชมงานจัดแสดงสินค้าระดับโลกจากบูทกลุ่มธุรกิจ TCP ในงาน THAIFEX 2023

เชื่อว่าหลายคนน่าจะรู้จัก กระทิงแดง, เรดดี้ แมนซั่ม หรือแม้แต่ เพียวริคุ กันไม่มากก็น้อย แต่หลายคนอาจจะไม่ทราบว่าทั้งหมดนี้เป็นสินค้าที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจ TCP และนอกจากสินค้าที่ชื่อคุ้นหูเหล่านี้แล้ว กลุ่มธุรกิจ TCP ยังมีสินค้าและบริการอีกมากมายที่ไปไกลระดับโลก

ซึ่งทีมงาน Thumbsup ได้ไปเยี่ยมชมอาณาจักรของ กลุ่มธุรกิจ TCP ภายในงาน THAIFEX 2023 แล้วต้องบอกเลยว่า น่าสนใจ และโชว์ให้เห็นถึงศักยภาพผู้นำธุรกิจ Food & Beverage แห่งเอเชีย สมกับความเป็นเจ้าของแบรนด์เครื่องดื่มให้พลังงานระดับโลกจริงๆ

TCP’s Story จุดกำเนิดของแบรนด์เครื่องดื่มให้พลังงานระดับโลก

ภายในโซนแรก พาเราไปรู้จักกับเรื่องราว ต้นกำเนิดของหลายแบรนด์ ภายใต้กลุ่มธุรกิจ TCP ที่หลายคนอาจจะไม่ทราบว่าเติบโตมาจากธุรกิจยา อยู่แถวถนนข้าวสาร ก่อตั้งโดยคุณเฉลียว อยู่วิทยา ซึ่งสินค้าตัวแรก ไม่ใช่กระทิงแดงนะ แต่เป็นยารักษาโรคที่ชื่อ ทีซี-มัยซิน นั่นเอง

จนต่อมาก็ได้มีการออกสินค้ากระทิงแดง ซึ่งเป็นเครื่องดื่มให้พลังงาน และกลายเป็น Red Bull แบรนด์ระดับโลกนั่นเอง

Product Showcase อาณาจักรสินค้าของกลุ่มธุรกิจ TCP

โซนที่น่าสนใจมากๆ คือกลุ่มสินค้าทั้งหมด ซึ่งหลายแบรนด์ไม่ได้มีขายในไทยด้วยนะ เราสามารถไปลองชิมสินค้าหลากหลายชนิดได้ เช่น Red Bull Gold, Red Bull Cold Brew Coffee

นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัวสินค้าใหม่ ที่งาน THAIFEX 2023 เป็นที่แรก นั้นก็คือ FarmZaa (ฟาร์มซ่า) แบรนด์น้องใหม่ ที่เน้นสนับสนุนสินค้าจากเกษตรกรไทย ด้วยการนำ “มะปี๊ด” มาพัฒนาเป็นเครื่องดื่มมะปื๊ดโซดา และ Planett (แพลนเนต) เครื่องดื่ม Floral Soda ครั้งแรกในไทย ไม่มีน้ำตาลและแคลอรี่ 0% อีกด้วย

ทั้ง 2 สินค้าเอาใจคนรักสุขภาพและรักษ์โลกไปพร้อมกัน เพราะเป็น Product ที่มาในแพคเกจจิ้งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากๆ

TCP Services พลังบริการครบวงจร

เมื่อมีสินค้าที่ดีแล้ว ก็ต้องมีการจัดการและการกระจายสินค้าที่ดีด้วย โซนนี้จะเป็นการทำความรู้จักกับ “กลุ่มธุรกิจ TCP” ที่นำโดย Durbell ผู้นำด้านการจัดจำหน่ายสินค้า และคลังสินค้าระดับประเทศ

ซึ่งนอกจากจะให้บริการกระจายสินค้าแล้ว ยังมีบริการให้คำปรึกษาด้านการตลาด ช่วยให้พันธมิตรและคู่ค้าที่ต้องการเปิดตลาดในไทยมีความมั่นใจมากขึ้น

อีกธุรกิจที่น่าสนใจอย่าง ที.จี. เวนดิ้ง ธุรกิจตู้จำหน่ายเครื่องดื่มอัตโนมัติ หรืออย่างรับจ้างผลิตเครื่องดื่ม (OEM) ก็ถือว่าเป็นโซนที่พลาดไม่ได้เช่นกัน

Product Experience สัมผัสพลังรสชาติใหม่

โซนที่สนุกที่สุดโซนนึง เพราะเราจะได้พบกับ MIXOLOGIST PERFORMANCE หรือการผสมเครื่องดื่ม โดย mixologist ชื่อดัง ที่นำเครื่องดื่มในกลุ่มธุรกิจ TCP มา Mix กันจนกลายเป็นเครื่องดื่มสูตรพิเศษ เป็นโซนที่คนให้ความสนใจกันมากทีเดียว

International Business ต่อยอดโอกาสทางธุรกิจ

ถ้าใครอยากนำธุรกิจโกอินเตอร์ แนะนำโซนนี้เลย โดยเราจะได้เรียนรู้ถึงการพาสินค้าไทยไปไกลถึงต่างประเทศ ด้วยกลุ่มธุรกิจ TCP ที่ส่งออกสินค้าไปยัง 14 ประเทศ ในเอเชียและทำตลาดในอีกกว่า 170 ประเทศทั่วโลก

TCP Sustainability กับอนาคตที่ยั่งยืน

ไม่ใช่แค่มีสินค้าและบริการระดับโลกเท่านั้น กลุ่มธุรกิจ TCP ก็ยังใส่ใจเรื่องของความยั่งยืนอย่างมาก โดยได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่าจะใช้บรรจุภัณฑ์ที่รีไซเคิลได้ 100% ภายในปี 2567 และยังมีการจับมือกับองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมระดับโลก เพื่อนำขวดแก้ว กระป๋องอะลูมิเนียม และขวดพลาสติกที่ใช้แล้ว มาเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล เพื่อพัฒนาเป็นบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) อีกด้วย

ภายในพื้นที่จัดแสดง ยังมีกิจกรรมอีกมากมาย เช่น  TCP RUNNER ให้เราได้ลุ้นรับรางวัลพิเศษ และถ่ายภาพที่ระลึกที่โฟโต้บูท

จะเห็นได้ว่ากลุ่มธุรกิจ TCP ไม่ใช่แค่การทำธุรกิจที่เติบโตไปไกลระดับโลกเท่านั้น แต่ยังเป็นอาณาจักรธุรกิจที่สร้างประสบการณ์หลากหลายให้กับผู้บริโภค รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวข้องในไทยและสากล ให้เติบโตไปอย่างยั่งยืน และมีความรับผิดชอบต่อสังคมอีกด้วย

ข้อมูลเพิ่มเติม – TCP

from:https://www.thumbsup.in.th/tcp-thaifex-2023?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=tcp-thaifex-2023

โอสถสภา เปิดตัว ‘น้ำยันฮีแคลเซียม’ เขย่าตลาดน้ำดื่มเพื่อสุขภาพ 1,900 ล้าน

นายแพทย์สุพจน์ สัมฤทธิวณิชชา กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอสถสภา ยันฮี เบฟเวอเรจ จำกัด กล่าวว่า น้ำยันฮีแคลเซียม นี้มุ่งตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการเสริมแคลเซียม แต่อาจประสบปัญหาในการทานแคลเซียม อาทิ ไม่ชอบดื่มนมวัว เนื่องจากแพ้แลคโตส หรือไม่ชอบทานแคลเซียมแบบเม็ดเพราะดูดซึมได้ยาก ทำให้มีอาการท้องอืด

โดย ‘น้ำยันฮีแคลเซียม’ 1 ขวด มีปริมาณแคลเซียม 200 มก. วางจำหน่ายในสูตรกลิ่นโยเกิร์ตขนาด 460 มล. ราคา 25 บาท มีส่วนผสมของแคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามิน บี 12 ไม่มีน้ำตาล และ 0 แคลอรี สามารถดื่มได้ทุกวัน และดื่มแทนน้ำเปล่าได้ วางจำหน่ายที่เซเว่นอีเลฟเว่นแล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

แคลเซียม แร่ธาตุที่สำคัญต่อร่างกาย

นายแพทย์สุพจน์กล่าวเสริมว่า ปริมาณแคลเซียมที่ควรได้รับต่อวันจะขึ้นอยู่กับช่วงอายุและสภาพร่างกาย เช่น เด็กควรได้รับแคลเซียม 800 มก. ต่อวัน ผู้ใหญ่ควรได้รับแคลเซียม 1,200 มก. ต่อวัน และผู้สูงอายุควรได้รับแคลเซียม 1,500 มก. ต่อวัน ส่วนหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร ควรได้รับแคลเซียม 1,200-1,500 มก. ต่อวัน

แต่คนไทยทานอาหารที่มีธาตุแคลเซียมน้อยมาก โดยเฉลี่ยเพียงวันละ 361 มก. เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าความต้องการที่แท้จริงของร่างกาย จึงทำให้คนไทยถึง 90% มีความเสี่ยงเป็นโรคกระดูกพรุน

ด้านนางวรรณิภา ภักดีบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. โอสถสภา และกรรมการ บริษัท โอสถสภา ยันฮี เบฟเวอเรจ จำกัด กล่าวว่า น้ำยันฮีแคลเซียมนับเป็นผลิตภัณฑ์ที่สองของโอสถสภา ยันฮี เบฟเวอเรจ และเป็นเครื่องดื่มที่ไม่เคยมีมาก่อนในตลาดประเทศไทย

จึงเชื่อว่าจะสร้างความตื่นเต้นให้กับตลาด โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายกลุ่มคนทำงาน และกลุ่มที่กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อ และผู้บริโภคทั่วไปที่ใส่ใจสุขภาพและขับเคลื่อนการเติบโตให้กับตลาดน้ำดื่มเพื่อสุขภาพที่มีมูลค่า 1,900 ล้านบาท ได้อย่างแน่นอน

 

ประชาชาติธุรกิจ, Brandbuffet

from:https://www.thumbsup.in.th/yanhee-calcium-water?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=yanhee-calcium-water