คลังเก็บป้ายกำกับ: HIGHLIGHT

บริษัทในไทยเพียง 27% ที่มีความพร้อมในการต่อสู้กับภัยคุกคามไซเบอร์

มีเพียง 27% ขององค์กรในประเทศไทยเท่านั้นที่มีความพร้อมในระดับ ‘Mature’ หรือ ‘มีความพร้อมอย่างเต็มที่’ ในการรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์สมัยใหม่ ตามรายงานดัชนีความพร้อมด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ (Cybersecurity Readiness Index) ของซิสโก้ (NASDAQ: CSCO) ที่เผยแพร่ในวันนี้

รายงานดังกล่าวจัดทำภายใต้สถานการณ์ของโลกไฮบริดในยุคหลังโควิด ซึ่งผู้ใช้และข้อมูลต่างๆ จำเป็นต้องได้รับการคุ้มครองความปลอดภัยเพื่อรองรับการทำงานทุกที่ทุกเวลา รายงานฉบับนี้เน้นย้ำว่าองค์กรธุรกิจต่างๆ กำลังดำเนินงานได้เป็นอย่างดี และช่องว่างด้านความพร้อมสำหรับไซเบอร์ซีเคียวริตี้จะกว้างขึ้นถ้าหากผู้บริหารฝ่ายธุรกิจและฝ่ายระบบรักษาความปลอดภัยทั่วโลกไม่รีบเร่งดำเนินมาตรการที่เหมาะสม

องค์กรต่างๆ ได้เปลี่ยนรูปแบบการดำเนินงานแบบอยู่กับที่ ซึ่งบุคลากรทำงานโดยใช้อุปกรณ์เครื่องเดียวในสถานที่ตั้งแห่งเดียว เชื่อมต่อกับเครือข่ายที่คงที่ตายตัว ไปสู่โลกไฮบริดที่พวกเขาทำงานจากอุปกรณ์หลายเครื่องในหลากหลายสถานที่มากขึ้น โดยเชื่อมต่อกับหลายๆ เครือข่าย พร้อมทั้งสามารถเข้าถึงแอปพลิเคชันบนระบบคลาวด์ได้ในขณะเดินทาง และสร้างข้อมูลจำนวนมหาศาล ความเปลี่ยนแปลงนี้ก่อให้เกิดปัญหาท้าทายใหม่ๆ ทางด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้สำหรับบริษัทต่างๆ

รายงานดัชนีความพร้อมด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ของซิสโก้: ความยืดหยุ่นในโลกไฮบริด

รายงานดัชนีความพร้อมด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ของซิสโก้: ความยืดหยุ่นในโลกไฮบริด (Cisco Cybersecurity Readiness Index: Resilience in a Hybrid World) ได้ศึกษาความพร้อมของบริษัทต่างๆ ในการรักษาความยืดหยุ่นของไซเบอร์ซีเคียวริตี้ต่อภัยคุกคามสมัยใหม่ โดยครอบคลุม 5 เสาหลักสำคัญที่เป็นพื้นฐานของการป้องกันภัยคุกคามที่จำเป็น ได้แก่ อัตลักษณ์ส่วนบุคคล อุปกรณ์ เครือข่าย เวิร์กโหลดของแอพพลิเคชั่น และข้อมูล โดยครอบคลุมโซลูชั่นที่แตกต่างกัน 19 รายการ

ในการสำรวจความคิดเห็นแบบปกปิดสองทาง (double-blind) ซึ่งดำเนินการโดยองค์กรอิสระ มีการสัมภาษณ์ผู้บริหารฝ่ายไซเบอร์ซีเคียวริตี้ในภาคเอกชน 6,700 คนใน 27 ประเทศ เกี่ยวกับการปรับใช้โซลูชั่น และระดับของการปรับใช้ โดยบริษัทต่างๆ ถูกจำแนกตามสี่ระดับของความพร้อม ซึ่งได้แก่ ระดับเริ่มต้น, ระดับก่อร่างสร้างตัว, ระดับก้าวหน้า และระดับอย่างพร้อมเต็มที่

ระดับเริ่มต้น (Beginner) (คะแนนรวมน้อยกว่า 10): อยู่ในขั้นเริ่มต้นของการปรับใช้โซลูชั่น

ระดับก่อร่างสร้างตัว (Formative) (คะแนนระหว่าง 11 – 44): มีการปรับใช้โซลูชั่นในระดับหนึ่ง แต่ประสิทธิภาพต่ำกว่าค่าเฉลี่ยความพร้อมด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้
ระดับก้าวหน้า (Progressive) (คะแนนระหว่าง 45 – 75): มีการปรับใช้โซลูชั่นในระดับพอประมาณ และมีประสิทธิภาพสูงกว่าค่าเฉลี่ยความพร้อมด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้
ระดับพร้อมอย่างเต็มที่ (Mature) (คะแนน 76 ขึ้นไป): ประสบความสำเร็จในการปรับใช้โซลูชั่นขั้นสูง และมีความพร้อมมากที่สุดในการรับมือกับความเสี่ยงด้านความปลอดภัย

นอกเหนือจากการค้นพบว่ามีเพียง 27% ของบริษัทในไทยเท่านั้นที่มีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการต่อสู้กับภัยคุกคามทางไซเบอร์ ยังพบอีกด้วยว่าเกือบ 40% ของบริษัทจัดอยู่ใน “ระดับเริ่มต้นหรือก่อร่างสร้างตัว” ขณะที่องค์กรในไทยทำได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก (15% ของบริษัททั่วโลกอยู่ในระดับพร้อมอย่างเต็มที่) แต่ตัวเลขก็ยังถือว่าต่ำมากเมื่อพิจารณาจากความเสี่ยงทางไซเบอร์

ในทำนองเดียวกัน 89% ของผู้ตอบแบบสอบถามคาดว่าเหตุการณ์ด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้จะทำให้ธุรกิจของพวกเขาหยุดชะงักในอีก 12 ถึง 24 เดือนข้างหน้า และค่าใช้จ่ายจากการขาดความพร้อมด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้อาจสูงมาก โดย 66% ของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่าพวกเขาเคยเผชิญเหตุการณ์ด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา และ 50% ของบริษัทที่ได้รับผลกระทบได้รับความเสียหายอย่างน้อย 500,000 ดอลลาร์

จีทู พาเทล รองประธานบริหารและผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายระบบรักษาความปลอดภัยและการทำงานร่วมกันของซิสโก้ กล่าวว่า “การเปลี่ยนย้ายไปสู่โลกไฮบริดได้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อแลนสเคปด้านความปลอดภัยกับบริษัทต่างๆ และทำให้ไซเบอร์ซีเคียวริตี้มีความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้น องค์กรต่างๆ ต้องยกเลิกการใช้แนวทางการป้องกันการติดตั้งเครื่องมือที่ผสมผสานกันหลายจุด และหันไปใช้แพลตฟอร์มแบบครบวงจร เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการรักษาความปลอดภัย และลดความยุ่งยากซับซ้อน ซึ่งจะช่วยให้องค์กรธุรกิจสามารถแก้ไขปัญหาด้านความพร้อมทางไซเบอร์ซีเคียวริตี้ได้”

Cisco’s Cybersecurity Readiness Index

ผู้บริหารองค์กรธุรกิจจะต้องสร้างพื้นฐานของ ‘ความพร้อม’ สำหรับ 5 เสาหลักด้านความปลอดภัย เพื่อสร้างองค์กรที่มีความปลอดภัยและยืดหยุ่น ความจำเป็นดังกล่าวนับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง ดังจะเห็นได้ว่า 93% ของผู้ตอบแบบสอบถามมีแผนที่จะเพิ่มงบประมาณด้านความปลอดภัยอย่างน้อย 10 เปอร์เซ็นต์ในอีก 12 เดือนข้างหน้า การวางรากฐานดังกล่าวจะช่วยให้องค์กรสามารถเสริมสร้างความแข็งแกร่ง และให้ความสำคัญกับการพัฒนาส่วนที่จำเป็น พร้อมทั้งปรับปรุงความยืดหยุ่นโดยรวม

วีระ อารีรัตนศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ ซิสโก้ ประจำประเทศไทยและเมียนมาร์ กล่าวว่า “แลนสเคปของภัยคุกคามทางไซเบอร์ในปัจจุบันมีความแออัดและซับซ้อนมากขึ้น เนื่องจากองค์กรต่างๆ ในไทยดำเนินงานในโลกไฮบริดที่ขับเคลื่อนด้วยแอพ ขณะที่ประเทศไทยกำลังเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 จึงจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับองค์กรต่างๆ ในการให้ความสำคัญกับความปลอดภัยทางไซเบอร์ซึ่งเป็นรากฐานในการปรับเปลี่ยนไปสู่ดิจิทัล ถึงเวลาแล้วที่องค์กรต่างๆ จะต้องเปลี่ยนมาใช้แนวทางแพลตฟอร์มแบบครบวงจรสำหรับระบบรักษาความปลอดภัยที่ครอบคลุม 5 เสาหลักด้านความปลอดภัย เพื่อสร้างความยืดหยุ่นและการเติบโตของธุรกิจ”

ข้อมูลสำคัญอื่นๆ ในรายงานดัชนีดังกล่าวมีดังนี้:

ความพร้อมสำหรับ 5 เสาหลักที่สำคัญ

  1. อัตลักษณ์ส่วนบุคคล (Identity): มีองค์กรเพียง 35% เท่านั้นที่จัดอยู่ในระดับพร้อมอย่างเต็มที่
  2. อุปกรณ์ (Devices): มีเพียง 39% ขององค์กรเท่านั้นที่พร้อมอย่างเต็มที่
  3. ความปลอดภัยของเครือข่าย (Network Security): หลายบริษัทยังคงมีความล่าช้าในส่วนนี้ โดยมีองค์กรถึง 40% ที่จัดอยู่ในระดับเริ่มต้นหรือก่อร่างสร้างตัว
  4. เวิร์กโหลดของแอพพลิเคชั่น (Application Workloads): นี่คือเสาหลักที่บริษัทส่วนใหญ่มี “ความพร้อมน้อยที่สุด” โดย 57% ของบริษัทอยู่ในระดับเริ่มต้นหรือก่อร่างสร้างตัว
  5. ข้อมูล (Data): 55% ของบริษัทจัดอยู่ในระดับเติบโตเต็มที่และก้าวหน้า

from:https://www.thumbsup.in.th/cisco-cyber-security?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=cisco-cyber-security

Advertisement

กรุงศรี คอนซูมเมอร์ แนะเคล็ดลับ ‘ทำธุรกรรมการเงินออนไลน์อย่างไรให้ปลอดภัย’

‘กันไว้ดีกว่าแก้’ ยังเป็นคำสอนที่คลาสสิคเสมอ โดยเฉพาะเรื่องเงินๆ ทองๆ ยิ่งสมัยนี้ มิจฉาชีพแฝงตัวมากับสารพัดวิธีหลอกลวงรูปแบบต่าง ๆ เราควรจะป้องกันอย่างไร ให้ทำธุรกรรมทางการเงินผ่านช่องทางออนไลน์ได้อย่างปลอดภัย กรุงศรี คอนซูมเมอร์ ผู้ให้บริการบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล มีคำแนะนำดี ๆ มาฝากกัน

  • ไม่กดลิงค์ จาก SMS, Email หรือ Line ที่น่าสงสัย – สถาบันการเงินส่วนใหญ่ไม่มีนโยบายส่ง SMS, Email หรือ Line ไปหาลูกค้าเพื่อขอข้อมูลส่วนบุคคล หรือให้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันต่างๆ ถ้ามีข้อความ SMS อีเมล์ หรือไลน์ แปลก ๆ แอบอ้างชื่อหน่วยงานต่างๆ ส่งมาแจ้งให้กดลิงก์ กรอกข้อมูลส่วนบุคคล หรือขอให้โอนเงินค่าธรรมเนียมใดๆ ให้ตั้งสติ คิดอย่างรอบคอบ ตรวจสอบแหล่งที่มาว่ามีความน่าเชื่อถือหรือไม่ หากไม่แน่ใจ -ไม่กด-ไม่กรอก-ไม่โอน ปลอดภัยกว่า
  • เช็คก่อน ชัวร์กว่า – ถ้ามีบุคคลที่ไม่รู้จักติดต่อมาหา แอบอ้างว่ามาจากหน่วยงานใดก็ตาม ให้สอบถามข้อมูลของผู้ที่ติดต่อ เช่น ชื่อ-นามสกุล หน่วยงาน สาเหตุที่ติดต่อมา จากนั้นให้ขอวางสายก่อน แล้วจึงติดต่อกลับไปยังหน่วยงานที่ถูกกล่าวอ้างเพื่อตรวจสอบ หากไม่แน่ใจ อย่าหลงเชื่อและทำตามคำขอใด ๆ ก่อนตรวจสอบข้อเท็จจริง
  • ไม่แชร์ข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลทางการเงิน – อย่าแชร์ข้อมูลส่วนบุคคลหรือข้อมูลทางการเงินของตนเองกับใคร เช่น ภาพบัตรประชาชน วันเดือนปีเกิด เลขที่บัญชี หมายเลขบัตรเครดิต รหัส CVV เพราะเป็นข้อมูลที่มิจฉาชีพอาจนำไปใช้ได้ ควรหลีกเลี่ยงการโพสต์ข้อมูลเหล่านี้ใน Social Media และไม่กรอกข้อมูลส่วนบุคคลในเว็บไซต์, Line หรือช่องทางออนไลน์ที่ไม่แน่ใจที่มา

  • ตั้งรหัสผ่านเข้าใช้งานที่เดาได้ยาก – ควรตั้งรหัสผ่าน / รหัส PIN ที่เดาได้ยาก ในการทำธุรกรรมผ่านแอปพลิเคชันต่าง ๆ และห้ามใช้รหัสซ้ำกันทุกแอป ที่สำคัญ ต้องรักษารหัสผ่านเป็นความลับ ไม่แชร์รหัสกับผู้อื่น และควรเปลี่ยนรหัสทุก 3 เดือน
  • OTP ใช้แค่ ‘Only Me’ – เมื่อได้รับรหัส OTP ให้ตรวจสอบทุกครั้งว่าเป็น OTP ที่ใช้ทำอะไร และห้ามบอกรหัสนี้ไม่ว่ากับใคร เพราะอาจเปิดช่องให้เข้าถึงสมาร์ทโฟนของเราได้จากระยะไกล (Remote Access)
  • เลือกเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันที่เชื่อถือได้ ในการใช้จ่ายออนไลน์ – ควรเลือกเว็บไซต์/ร้านค้า/แอปที่มีมาตรฐานและความปลอดภัยในการรับชำระเงินผ่านบริการอย่าง Verified By Visa หรือ MasterCard ID Check ที่ใช้รหัสผ่านแบบใช้ครั้งเดียวหรือ OTP จากผู้ให้บริการบัตรเครดิต เป็นการยืนยันตัวตนในการทำรายการออนไลน์ทุกครั้ง
  • จำกัดวงเงินในการใช้ทำธุรกรรมออนไลน์ให้เหมาะสมกับการใช้งาน – ปัจจุบัน สถาบันการเงินหลายแห่ง มีบริการให้ผู้ใช้งานสามารถตั้งวงเงินในการทำธุรกรรมให้เหมาะสมกับความต้องการได้ เพื่อความอุ่นใจ ผู้ใช้สามารถตั้งวงเงินในการทำธุรกรรมออนไลน์เท่าที่จำเป็น ให้เหมาะสมกับการใช้งานของตนเอง
  • เปิดรับการแจ้งเตือนรายการใช้จ่ายไว้ ปลอดภัยกว่า – ควรตั้งค่าเปิดรับการแจ้งเตือน (Notification) บน Mobile Application หรือ Banking Application ต่าง ๆ เพื่อให้ได้รับการแจ้งเตือนเมื่อทำธุรกรรม และคอยตรวจสอบ การแจ้งเตือนอย่างสม่ำเสมอ หากพบรายการที่ผิดปกติ ให้รีบติดต่อสถาบันการเงินผู้ให้บริการทันทีเพื่อตรวจสอบ
  • อัปเดตหมายเลขติดต่อให้เป็นปัจจุบัน – หากมีการเปลี่ยนแปลงหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อ ควรรีบแจ้งสถาบันการเงินผู้ให้บริการ กรณีที่สถาบันการเงินผู้ให้บริการ ตรวจพบรายการใช้จ่ายที่ผิดปกติ จะได้สามารถติดต่อเราได้ทันท่วงที

หากทำได้ตามข้อมูลเหล่านี้ รับรองว่าปลอดภัยแน่นอน

from:https://www.thumbsup.in.th/kma-protect?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=kma-protect

กระทรวงพลังงาน จับมือ TCEB และ ดีเอ็มจี เตรียมจัด “การประชุมสุดยอดผู้นำระดับรัฐมนตรี”(Ministerial Energy Forum) ด้านพลังงานจากนานาประเทศ

กระทรวงพลังงาน จับมือ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ TCEB และ ดีเอ็มจี อีเว้นท์ เตรียมจัด “การประชุมสุดยอดผู้นำระดับรัฐมนตรี”(Ministerial Energy Forum) ด้านพลังงานจากนานาประเทศ เพื่อร่วมหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นถึงความสำคัญของการจัดตั้งแพลตฟอร์มระดับภูมิภาคเพื่อจัดการกับปัญหาด้านพลังงาน รวมถึงนโยบายและความสำคัญของอุตสาหกรรมพลังงานท่ามกลางการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มีความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นจากมุมมองของภูมิภาคเอเชีย

ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงานทั่วโลก รวมถึงเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์อันดีระดับผู้นำระหว่างประเทศ ในการร่วมกันขับเคลื่อนและพัฒนาภาคอุตสาหกรรมพลังงานในภูมิภาคเอเชียสู่การใช้พลังงานสะอาดอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรมต่อไป ทั้งนี้ การประชุมสุดยอดรัฐมนตรีดังกล่าวจัดขึ้นควบคู่กับงานประชุมด้านพลังงานและนวัตกรรมยานยนต์แห่งภูมิภาคเอเชีย หรือ “Future Energy Asia and Future Mobility Asia 2023” ซึ่งมีกำหนดการจัดงานระหว่างวันที่ 17 – 19 พฤษภาคม 2566 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ศาสตราจารย์ ดร. พิสุทธิ์ เพียรมนกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า “กระทรวงพลังงาน รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสเป็นเจ้าภาพการจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านพลังงานเป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยการประชุมครั้งนี้จะถูกจัดขึ้นพร้อมการจัดงาน Future Energy Asia and Future Mobility Asia 2023 เนื่องด้วยปัจจุบันเราอยู่ในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมพลังงานทั่วโลก ดังนั้นการประชุมดังกล่าวจึงถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก โดยได้รับเกียรติจาก นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และผู้บริหารระดับสูงจากกระทรวงพลังงาน

รวมไปถึงรัฐมนตรีและผู้นำด้านพลังงานทั่วโลกที่จะเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้อีกด้วย ในขณะเดียวกัน ประเทศไทยมีความภูมิใจที่จะได้เป็นผู้บุกเบิกการเปลี่ยนแปลงสู่การพัฒนาด้านพลังงานอย่างยั่งยืน โดยตั้งเป้าหมายบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปีพ.ศ. 2593 และตั้งเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ. 2608 การจัดงานครั้งนี้จะเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนสำคัญให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายดังกล่าว พร้อมเป็นช่องทางในการแสดงศักยภาพและความทุ่มเทของประเทศไทยในการจัดทำโมเดลเศรษฐกิจ BCG หรือ โมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนได้เป็นอย่างดี”

สำหรับการจัดงาน Future Energy Asia and Future Mobility Asia 2023 ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงพลังงานรวมถึงหน่วยงานเอกชนด้านพลังงานทั้ง บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย นอกจากการจัดประชุมระดับรัฐมนตรี หรือ Ministerial Energy Forum ภายในงานยังมีการจัดการประชุมและนิทรรศการเทคโนโลยีพลังงานสะอาด ที่มาพร้อมนวัตกรรมเด่น อย่างการดักจับไฮโดรเจนและคาร์บอน รวมไปถึงเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (CCUS) ที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

นอกจากนี้ ยังมีการจัดแสดงนวัตกรรมรถยนต์ไฟฟ้า สถานีชาร์จรถไฟฟ้า รวมไปถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยียานยนต์พลังงานสะอาดจากบริษัทชั้นนำทั่วโลก ซึ่งการผนวกรวมการนำเสนอนวัตกรรมด้านพลังงานร่วมกับนวัตกรรมยานยนต์ จะนำมาสู่สุดยอดประชุมและการจัดแสดงแบบบูรณาการอย่างครบวงจร ที่ครอบคลุมการเปลี่ยนผ่านและการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงานและยานยนต์พลังงานสะอาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ขณะเดียวกันภายในงาน Future Energy Asia and Future Mobility 2023 ตลอดระยะเวลา 3 วัน ยังมีอีกหลากหลายกิจกรรมไฮไลท์ ประกอบด้วย

  • นิทรรศการจัดแสดงนวัตกรรมจากบริษัทชั้นนำกว่า 300 แห่งจากกว่า 70 ประเทศ ตอบโจทย์ความสำคัญของภาคพลังงานเพื่อตอบสนองความต้องการพลังงานโลก และโซลูชันเพื่อปลดล็อกศักยภาพการลดการปล่อยคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศในอนาคต
  • การประชุมเชิงกลยุทธ์ระดับสูงเกี่ยวกับพลวัตของตลาด และนวัตกรรมใหม่ที่กำลังเปลี่ยนแปลงภาคอุตสาหกรรมพลังงาน รวมถึงศักยภาพของการใช้ไฮเดรเจนเพื่อการเปลี่ยนผ่านพลังงาน การลดคาร์บอนในกระบวนการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม การเร่งลงทุนในโปรเจคใหม่ การปลดล็อคเทคโนโลยีใหม่ในภาคพลังงาน การบุกเบิกการเปลี่ยนแปลงในตลาดก๊าซหุงต้ม รวมไปถึงความสำคัญของการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในอุตสาหกรรมพลังงานยุคใหม่
  • การประชุมด้านเทคนิคกว่า 100 การประชุม รวมตัววิศวกรและผู้จัดการโครงการทั่วโลก ซึ่งจะร่วมแบ่งปันเทคนิคและความรู้ที่จำเป็นในอุตสาหกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พร้อมการนำเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความคืบหน้าที่สำคัญในการลดคาร์บอนในห่วงโซ่คุณค่าพลังงาน

อย่างไรก็ตาม ได้มีการคาดการณ์ว่าภายในปี พ.ศ. 2573 ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเป็นภูมิภาคที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลก โดยคาดว่าความต้องการพลังงานในภูมิภาคจะเพิ่มขึ้นอีกเป็น 3 เท่า ระหว่างปี พ.ศ. 2556 – 2583 ส่งผลให้ภูมิภาคกลายเป็นศูนย์กลางการบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

ดังนั้นการจัดงาน Future Energy Asia and Future Mobility Asia 2023 จะเป็นอีกหนึ่งโอกาสสำคัญที่ทำให้ประชาคมโลกสามารถเข้าถึงการเปลี่ยนผ่านห่วงโซ่คุณค่าของพลังงานในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งยังก่อให้เกิดประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมพลังงานและยานยนต์ในประเทศและในระดับภูมิภาค พร้อมกันนี้การจัดงานดังกล่าวยังจะสามารถสร้างมูลค่าการซื้อขายเกี่ยวกับด้านพลังงานอยู่ที่หลักร้อยล้านบาท ศ.ดร.พิสุทธิ์ กล่าวสรุป

ด้าน นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) (TCEB) กล่าวว่า “สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ ได้มีการริเริ่มแนวคิด “หนึ่งกระทรวง หนึ่งการประชุม” (One Ministry One Convention) นำมาสู่ความร่วมมือในการจัดการประชุม Inaugural Ministerial Energy Forum

นอกจากนี้ เรามีความพร้อมเป็นอย่างยิ่งในการสนับสนุนการจัดงาน Future Energy Asia and Future Mobility Asia 2023 ที่จะถูกจัดควบคู่กันการการประชุมระดับรัฐมนตรี ถือเป็นอีกการผนึกกำลังระหว่างภาครัฐและหน่วยงานเอกชนในการจัดงานสำคัญระดับภูมิภาค หลังเล็งเห็นว่าประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วและสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งได้มีการสะท้อนให้เห็นผ่านประเด็นสำคัญของการจัดการประชุมในปีนี้”

ขณะที่ มร. คริสโตเฟอร์ ฮัดสัน ประธานบริษัท ดีเอ็มจี อีเว้นท์ โกลบอลล์ เอนเนอร์ยี กล่าวเสริมว่า “การสร้างการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงานและยานยนต์เพื่อพลังงานสะอาดทั่วโลก ถือเป็นหัวใจสำคัญของการจัดงาน Future Energy Asia and Future Mobility Asia 2023 และการสนับสนุนที่แข็งแกร่งที่เราได้รับจากกระทรวงพลังงานและสำนักงานส่งเสริมการประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) ได้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการดำเนินการเชิงกลยุทธ์ในการทำให้พลังงานเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ ปลอดภัย และมีราคาที่สมเหตุสมผลสำหรับทุกคนนับจากนี้”

สำหรับผู้ประสงค์เข้าร่วมงาน Future Energy Asia and Future Mobility Asia 2023 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17 – 19 พฤษภาคม 2566 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ สามารถลงทะเบียนได้ที่ https://www.futureenergyasia.com/delegateregistration/ สำหรับตัวแทนองค์กร และที่ https://www.futureenergyasia.com/visitor-registration/ สำหรับบุคคลทั่วไป ตลอดจนสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ผ่าน https://www.futureenergyasia.com/ และช่องทางโซเชียลมีเดีย @futureenergyasia

from:https://www.thumbsup.in.th/tceb-event?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=tceb-event

BEAUTY กางแผนปี 66 ตั้งเป้า “เทิร์นอะราวด์” รายได้พุ่ง 68%

BEAUTY มั่นใจปีนี้พลิกมีกำไร ตั้งเป้ารายได้ 620 ล้านบาท โต 68% หลังปรับโครงสร้างธุรกิจให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น รับอานิสงส์เศรษฐกิจในประเทศฟื้น การท่องเที่ยวคัมแบ็ค กระตุ้นกำลังซื้อ พร้อมเดินหน้าเชิงรุกขยายช่องทางขายทั้งค้าปลีก-ต่างประเทศ-เทรดดิ้ง

ดร.พีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ BEAUTY ผู้ดำเนินธุรกิจจำหน่ายปลีกผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและบำรุงผิวภายใต้แนวคิด Live a Beautiful Life เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจว่า ปี 2566 ผลประกอบการจะพลิกมีกำไร โดยตั้งเป้ารายได้ปีนี้แตะ 620 ล้านบาท เติบโต 68% รักษาอัตรากำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 4% หลังปรับโครงสร้างธุรกิจให้มีประสิทธิภาพในการดำเนินงานมากขึ้นและควบคุมต้นทุนในการบริหารและการขายให้อยู่ในระดับคงที่ประกอบกับภาพรวมเศรษฐกิจและการบริโภคภายในประเทศที่ฟื้นตัว และการท่องเที่ยวทยอยกลับมา จะส่งผลบวกต่อธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ

สำหรับการดำเนินงานปีนี้ บริษัทวางกลยุทธ์เพิ่มยอดจำหน่ายทุกช่องทาง ประกอบด้วย ค้าปลีก (Retail Business) คิดเป็นสัดส่วน 51.8% ของรายได้รวม ซึ่งบริษัทจะปรับโมเดลธุรกิจให้มีประสิทธิภาพการทำกำไรมากขึ้น อาทิ การปรับปรุงให้สาขาสามารถขายสินค้าสู่ร้านค้าทั่วไปได้ พร้อมปรับรูปแบบร้านค้าใหม่ให้มีขนาดเล็กลง แต่มีศักยภาพในการขายมากขึ้น

โดย BEAUTY BUFFET SHOP รูปแบบใหม่จำนวน 10 แห่ง มีกระแสตอบรับดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยอดขายเติบโตขึ้นทุกจุดจำหน่าย ซึ่งบริษัทฯ มีแผนขยายช่องทางจำหน่ายและปรับปรุงเพิ่มเติม ควบคู่ไปกับการสื่อสารการตลาดด้วยภาพลักษณ์ใหม่ ด้วยกลยุทธ์แบบ O2O เต็มรูปแบบ และ พรีเซนเตอร์ที่หลากหลาย ซึ่งในปีนี้ตั้งเป้าเพิ่มสาขาใหม่อีก 10 สาขา

ล่าสุดบริษัทมีแผนขยายช่องทางการขายรูปแบบใหม่ โดยให้สิทธิ์การเปิดร้านค้า (Shop License) แบบ KIOSK License เพื่อกระจายสาขาให้ครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า เน้นโลเคชั่นในห้างสรรพสินค้าและย่านการค้าที่ใกล้แหล่งชุมชนและแหล่งทำเลการค้าต่างๆ ขณะเดียวกันเป็นการเปิดโอกาสให้พันธมิตรทางธุรกิจที่เป็นบุคคลทั่วไป ผู้ประกอบการรายย่อย ที่มีความสนใจในธุรกิจเครื่องสำอาง ได้มีโอกาสเข้าสู่ธุรกิจอย่างมีศักยภาพ สามารถเข้าถึงความต้องการของลูกค้าได้หลากหลายกลุ่ม และแข่งขันกับแบรนด์เครื่องสำอางทุกประเภทได้อย่างครอบคลุม ผ่านแบรนด์ของ BEAUTY BUFFET ที่ได้รับความเชื่อถือจากผู้บริโภคมาอย่างยาวนาน

ขณะที่ช่องทาง E-Commerce ขยายแพลตฟอร์มการเข้าถึงสินค้าให้มีความหลากหลายทั้งเว็บไซต์ของบริษัท, Market Place ชั้นนำ และ Social Media ที่มีศักยภาพ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ต้องการการเข้าถึงได้ทุกช่องทาง สั่งซื้อง่ายและได้รับสินค้าถูกต้อง รวดเร็ว พร้อมมุ่งเน้นเพิ่มความสามารถการนำเสนอสินค้าให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคมากขึ้น เพิ่มกิจกรรมการตลาดผ่านแอปพลิเคชั่น “Beauty Buffet Club” ศูนย์รวมข่าวสารและโปรโมชั่นพิเศษสำหรับสมาชิก

รวมถึงสะสมแต้มเพื่อแลกส่วนลดจากแบรนด์ชั้นนำที่ร่วมรายการ เพื่ออำนวยความสะดวกและตอบสนองความต้องการของลูกค้าสมาชิกที่มีอยู่กว่า 3 ล้านรายด้วยโปรโมชั่นต่าง ๆ ที่ร่วมกับพันธมิตรมากมาย พัฒนาระบบบริหารจัดการข้อมูลลูกค้าให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ลูกค้ามีแรงจูงใจ และกระตุ้นการตัดสินใจซื้อสินค้า

ตลาดต่างประเทศ (Overseas Business) คิดเป็นสัดส่วน 29.3% ของรายได้รวม โดยจะขยายตลาดตะวันออกกลางเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันบริษัทมีสินค้าวางจำหน่ายใน 13 ประเทศ ประกอบด้วย จีน, ซาอุดิอาระเบีย, ฮ่องกง, ไต้หวัน, อินโดนีเซีย, เวียดนาม, กัมพูชา, พม่า, ลาว, มาลเซีย, สิงคโปร์, อินเดีย และญี่ปุ่น ซึ่งยอดขายในกลุ่มประเทศดังกล่าวมีสัญญาณที่ดีขึ้นเป็นลำดับ ขณะเดียวกันจะเพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ มากขึ้น พร้อมพัฒนาโมเดลการขายใหม่ๆ ร่วมกับพันธมิตร เพื่อให้ตัวแทนจำหน่ายในประเทศต่างๆ ขายของได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เข้าถึงกลุ่มลูกค้า ทั้งขายปลีกให้กลุ่มผู้บริโภคและขายส่งให้ร้านค้า

ธุรกิจเทรดดิ้ง (Trading Business) คิดเป็นสัดส่วน 18.9% ของรายได้รวม ซึ่งบริษัทจะเดินหน้าขยายช่องทางหน่ายสินค้าผ่าน Modern Trade อาทิ แมคโคร, เพียวฟาร์มาซี, 7-11 และ แฟมิลี่มาร์ท โดยคาดว่าทั้งปีจะมีจุดจำหน่ายผ่านโมเดิร์นเทรดรวมมากกว่า 7,700 แห่งทั่วประเทศ ขณะที่ช่องทางจำหน่ายผ่าน General Trade ตั้งเป้ามีสินค้าวางจำหน่ายผ่านร้านค้าตัวแทนขายจำนวน 4,385 ร้านค้า พร้อมเพิ่มจำนวนสินค้า (SKUs) ที่จำหน่ายเพื่อสร้างรายได้ และการเข้าถึงผลิตภัณฑ์

“บริษัทมุ่งมั่นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลาย ครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภค รวมถึงวางแผนการตลาดด้วยภาพลักษณ์ใหม่ พร้อมมุ่งเน้นเพิ่มความสามารถการทำกำไร ลดค่าใช้จ่ายในการบริหารอย่างต่อเนื่อง โดยยังสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ในเกณฑ์ดี เชื่อว่าจะส่งผลให้ บริษัทเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้” ดร.พีระพงษ์ กล่าว

from:https://www.thumbsup.in.th/beauty-%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%87%e0%b9%81%e0%b8%9c%e0%b8%99%e0%b8%9b%e0%b8%b5-66-%e0%b8%95%e0%b8%b1%e0%b9%89%e0%b8%87%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b9%89%e0%b8%b2-%e0%b9%80%e0%b8%97%e0%b8%b4%e0%b8%a3?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=beauty-%25e0%25b8%2581%25e0%25b8%25b2%25e0%25b8%2587%25e0%25b9%2581%25e0%25b8%259c%25e0%25b8%2599%25e0%25b8%259b%25e0%25b8%25b5-66-%25e0%25b8%2595%25e0%25b8%25b1%25e0%25b9%2589%25e0%25b8%2587%25e0%25b9%2580%25e0%25b8%259b%25e0%25b9%2589%25e0%25b8%25b2-%25e0%25b9%2580%25e0%25b8%2597%25e0%25b8%25b4%25e0%25b8%25a3

“หมดยุคหว่านงบโฆษณา” MD Rabbit’s Tale แนะ แบรนด์ต้องพูดอย่างไร ให้ผู้บริโภคอยากฟัง

ท่ามกลางโลกที่ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นนับไม่ถ้วน แต่ในรอบ 6-7 ปีที่ผ่านมาความเปลี่ยนแปลงหนึ่งที่สำคัญและส่งผลต่อแวดวงสื่อสารการตลาดคือวิธีการรับสารของผู้คน จากการเสพสื่อแบบดั้งเดิม (Traditional Media) โทรทัศน์ไม่กี่ช่อง หนังสือพิมพ์ไม่กี่ฉบับ สู่การเสพสื่อแบบดิจิทัลที่มีช่องทางหลากหลายมากขึ้น แต่ก็ดูเหมือนว่าพฤติกรรมการ
รับสารของผู้บริโภคจะไม่หยุดอยู่แค่นั้น พวกเขากำลังมองหาสิ่งที่ใหม่กว่าอยู่ตลอด ดังนั้นตอนนี้แบรนด์จะสื่อสารด้วย
สื่อดั้งเดิมและสื่อดิจิทัลก็อาจไม่เพียงพอแล้วเช่นกัน 

สื่อสารการตลาดยุคใหม่ต้องปรับตัวอย่างไรเพื่อขยับขยายขอบเขตไม่ให้จบอยู่ที่การหว่านงบโฆษณาอย่าง
ไร้จุดหมาย ในยุคที่ผู้บริโภคมองหาประสบการณ์ใหม่อยู่เสมอแบรนด์ต้องทำอะไรต่อกันแน่? การสื่อสารการตลาดที่มีประสิทธิภาพต้องให้ความสำคัญกับสิ่งไหน ความคิดสร้างสรรค์พุ่งกระฉูดแบบที่เคยมีมาจะยังไปต่อได้ไหม?

พี่ซี-
คุณสกุณภัค ชัยประชา Managing Director แห่ง Rabbit’s Tale Advertising Business Group (Rabbit’s Tale AD) มาพร้อมคำตอบที่หลายคนกำลังตามหา

หมดยุคหว่านงบทำหนังโฆษณา: สื่อสารการตลาดยุคใหม่ต้องการความรู้ความเข้าใจและเครื่องมือที่เหมาะสม

พฤติกรรมการรับสารของผู้บริโภคที่กระหายสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ ทำให้ถึงยุคที่สื่อดิจิทัลอิ่มตัวแล้วจริงหรือ? 
หลายคนมีคำถามนี้อยู่ในใจ Managing Director แห่ง Rabbit’s Tale Advertising Business Group ไขข้อข้องใจให้ว่าสื่อดิจิทัลจะยังมีบทบาทสำคัญ แต่หากจะสื่อสารการตลาดให้มีประสิทธิภาพ แบรนด์จะสื่อสารผ่านสื่อดิจิทัลอย่างเดียวไม่ได้แล้ว แต่ต้องการเครื่องมือวางกลยุทธ์การสื่อสารที่เหมาะสมและครบวงจร

อย่างไรก็ตาม คุณซีระบุว่าในภาพรวมเมื่อมองเผินๆ สื่อสารการตลาดผ่านสื่อดิจิทัลและแพลตฟอร์มออนไลน์อาจดูเหมือนง่ายขึ้นสำหรับแบรนด์ หากเทียบกับยุคที่ต้องจ่ายเงินทำหนังโฆษณาเรื่องละ 7-8 ล้านบาท ตอนนี้งบ 1 ล้านบาท
แบรนด์อาจได้วิดีโอออนไลน์หนึ่งชิ้น โดยยังมีงบเหลืออีก 6-7 ล้านเพื่อซื้อ Online Media ได้อย่างเหลือเฟือ
แต่ปัญหาสำคัญอยู่ตรงที่แบรนด์ไม่มีทางรู้ว่าวิดีโอบน Online Media ไปถึงใครบ้าง? ผู้บริโภคจริงๆ คือใครกันแน่และ
เขาเข้าถึงวิดีโอเหล่านั้นไหม? รวมถึงข้อมูลอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ เช่น ผู้บริโภคสนใจสินค้าและบริการเราตรงไหน คนเหล่านี้ตัดสินใจซื้ออย่างไร?

การปล่อยวิดีโอออนไลน์หนึ่งตัวจึงอาจเป็นการใช้งบเพื่อสื่อสารทางเดียว หากปราศจากเครื่องมือและความเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบัน รวมถึงการที่แบรนด์จ่ายเงินไปทำวิจัย ด้วยคำถามกว้างๆ เช่น Branding คืออะไร?  วิดีโอโฆษณานี้เป็นอย่างไร? กลุ่มตัวอย่างที่ไปทำวิจัยอาจไม่ใช่คนที่มาซื้อสินค้าและบริการจริงๆ ดังนั้นในยุคสื่อดิจิทัลแม้การใช้งบประมาณของหลายแบรนด์จะลดลง ไม่ต้องควักงบทำหนังโฆษณาแพงเท่าเดิม

แต่การสื่อสารการตลาดที่ทรงประสิทธิภาพก็ไม่ใช่การใช้งบไปเพื่อทำวิดีโอหรือปล่อยแคมเปญแล้วจบไป แต่ต้องการความรู้ความเข้าใจและเครื่องมือที่เหมาะสมร่วมด้วยเพื่อให้แบรนด์ได้คำตอบที่ต้องการกลับมา ทั้งในแง่การรู้จักผู้บริโภคเพื่อทั้งตอบโจทย์พวกเขาได้ครอบคลุมและเพื่อการใช้งบสื่อสารการตลาดอย่างคุ้มค่าที่สุด

อินไซต์ที่ใช่ต้องมาจากผู้บริโภคจริง แล้วอินไซต์ผู้บริโภคจริงๆ ต้องมาจากไหน?

การสื่อสารการตลาดที่มีประสิทธิภาพจึงมาจากอินไซต์ที่แม่นยำ โดยอินไซต์ที่แม่นยำเกิดจากการใช้ทั้ง Creativity และ Technology เพื่อให้ได้มาซึ่ง Data ของผู้บริโภค คุณซีอธิบายเพิ่มว่า Data ทำให้แบรนด์ได้อินไซต์จากผู้ใช้สินค้าและบริการจริงๆ หลายแบรนด์อาจยังไม่เห็นความสำคัญของของการเก็บ Data ซึ่งน่าเสียดายเพราะ Data ช่วยให้แบรนด์สื่อสารการตลาดได้ตรงจุดและทำให้ผู้บริโภคอยากฟังแบรนด์มากยิ่งขึ้น โดยคุณซีโยนคำถามกลับมาว่าถ้าแบรนด์ไม่รู้ว่าผู้บริโภคตัวเองคือใคร แบรนด์จะรู้ได้อย่างไรว่าที่เราสื่อสารออกไปมันปล่อยออกไปถูกที่ ถูกเวลา และถูกคนจริง?

คุณซียกตัวอย่างการร่วมงานกับแบรนด์เครื่องปรุงรสยี่ห้อหนึ่ง แม้หลายๆ แบรนด์จะมีกิจกรรมแจกของรางวัลอยู่แล้ว แต่ของที่แจกไปแบบกว้างๆ เช่น แบรนด์เครื่องปรุงรสอาจเคยแจกกระทะเหมือนกันหมดทุกเดือน โดยที่ไม่เคยรู้เลยว่าผู้บริโภคต้องการใช้กระทะนั้นจริงๆ ไหม? ดังนั้นแทนที่จะคิดกิจกรรมขึ้นมาจากความว่างเปล่า Rabbit’s Tale AD หันมาคิดจากอินไซต์จริงของผู้บริโภค

เริ่มตั้งแต่การใช้ Creativity สร้างสรรค์แคมเปญออนไลน์ที่ดึงดูดใจผู้บริโภคขึ้นมา จากนั้นใช้ Technology เก็บ Data จากกิจกรรมนี้โดย Data ที่ผ่านการ Utilize อย่างเป็นระบบทำให้แบรนด์ได้อินไซต์ว่าช่วง Covid-19 ที่ผ่านมา Pain Point ของผู้บริโภคคือค่าวัตถุดิบที่แพงขึ้น แบรนด์ก็นำอินไซต์ที่ได้มาออกแบบของรางวัล แทนที่จะเป็นอุปกรณ์ทำอาหารอย่างที่เคยก็ปรับเป็นการแจกวัตถุดิบซึ่งตอบโจทย์อินไซต์ผู้บริโภคตรงจุดกว่า

เพราะฉะนั้นการสื่อสารการตลาดที่มองข้ามความต้องการของผู้บริโภคอาจไม่ตอบโจทย์เท่าที่ควร  จะเห็นได้ว่าเมื่อ Creativity ผนวกกับการใช้ Technology นอกจากแบรนด์จะตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ตรงใจ ยังช่วยให้แบรนด์รู้ว่าต้องสื่อสารแบบไหนเพื่อให้ผู้บริโภคเต็มใจจะฟัง ที่สำคัญการใช้ทั้ง Creativity และ Technology อย่างเข้าใจยังช่วยแบรนด์ใช้งบได้คุ้มค่า ตรงจุด และแม่นยำ รู้ว่าต้องพูดอะไรกับใคร และพูดอย่างไร ไม่ต้องหว่านงบกว้างๆ อีกต่อไป

เมื่อวันนี้โจทย์เปลี่ยนไป: โฆษณายุคใหม่ไม่ใช่แค่สร้างสรรค์ แต่ Creativity ต้องมาพร้อม Technology

ในเมื่อโจทย์เปลี่ยนไปโฆษณาไม่ใช่การสื่อสารทางเดียวอีกแล้ว แต่ต้องทั้งพูดและฟังความต้องการของผู้บริโภค Managing Director แห่ง Rabbit’s Tale Advertising Business Group มองว่านี่คือความท้าทายสำคัญ ในอดีตนักการตลาดทำหน้าที่คิดไอเดียออกมาขายของอย่างเดียวอาจเพียงพอ แต่ปัจจุบันคือเราจะใช้ความคิดสร้างสรรค์อย่างไรเพื่อดึงดูดให้ผู้บริโภคดูสิ่งที่เราอยากสื่อสารจนจบ และเมื่อดูจบแล้วทำยังไงให้ผู้บริโภคเต็มใจอยากให้ Data ด้วย

นอกจากนั้นขอบเขตการขายก็ขยายออกไปกว้างขวางกว่าเดิม โดยคุณซียกตัวอย่างว่าถ้าวันนี้มีโฆษณาสบู่ นอกจากการปล่อยวิดีโอออกไป คนทำงานต้องคิดให้รอบขึ้น เช่น ต้องมีลิงก์ให้ผู้บริโภคมาซื้อของหน้าเว็บไซต์แบรนด์ได้ การใช้ KOL ช่วยขายร่วมด้วยผ่าน Affiliate marketing ฯลฯ เราต้องไม่จบที่การขายของให้แบรนด์ ในยุคที่แบรนด์ส่งลิงก์ตรงถึงมือผู้บริโภคได้อย่างทุกวันนี้แล้ว เราจะทำยังไงเพื่อออกแบบประสบการณ์ให้ผู้บริโภค ตั้งแต่ต้นจนจบอย่างไร้รอยต่อและเกิดประสิทธิภาพสูงสุดกลับมาที่แบรนด์

“Creativity ยังเป็นหัวใจสำคัญ แต่ถ้าคิดงานจาก Creativity โดดๆ ก็ไม่ต่างจากการพูดคนเดียว ผู้บริโภคไม่ซื้อไอเดีย One-way communication แล้ว ดังนั้นสื่อสารการตลาดที่มีประสิทธิภาพต้องรู้ด้วยว่าเราจะพูดอะไร พูดกับใคร และต้องพูดอย่างไรเพื่อให้ได้สิ่งที่วัดผลได้ตอบกลับมาที่แบรนด์เสมอ”

Technology และ Data จึงจะเข้ามาช่วยให้เราไป

ดูได้เลยว่าตัวหนังโฆษณาของเราคนดูกี่คน? 
หนังนำผู้บริโภคไปที่แพลตฟอร์มขายของเท่าไหร่? ผู้บริโภคไปแพลตฟอร์มไหนมากกว่ากัน? เราจะเห็นเลยว่าผู้บริโภคมีพฤติกรรมหรือเชื่อมโยงกับแพลตฟอร์มไหนมากกว่ากัน เช่น กลุ่มเป้าหมายแบรนด์นี้ชอบแอปฯ สีส้มมากกว่าแอปฯ อื่น เมื่อมีแคมเปญต่อไป เราสามารถทำการสื่อสารที่ Cost effective ขึ้น แม้กระทั่งการเลือกใช้ KOL หรือ Influencer Technology และ Data จะช่วยดูให้เราได้ว่าใช้คนไหนถึงจะเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย หรือคุ้มค่ากับแบรนด์ที่สุด
การสื่อสารการตลาดที่ปราศจากการใช้ Technology และ Data อย่างเข้าใจ อาจทำให้แบรนด์พลาดโอกาสที่จะรู้ว่าผู้บริโภคคือใครและต้องการอะไร แต่ถ้าวันนี้แบรนด์มาที่ Rabbit’s Tale สิ่งที่เราจะทำร่วมกันคือการออกแบบประสบการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบไปพร้อมกัน แบรนด์จะมี Data ผู้บริโภคเก็บไว้ เมื่อแบรนด์จะออกแคมเปญต่อไป Data ว่าผู้บริโภคเป็นใคร ต้องการอะไร ชอบสินค้าและบริการแบบไหน อินไซต์เหล่านี้จะต่อยอดให้แคมเปญถัดๆ ไปนั้นให้ Cost effective ขึ้น ตรงจุดขึ้น รวมถึงใช้  Creativity ได้โดนใจกลุ่มผู้บริโภคมากขึ้น

งานจาก Data, Creative Idea, Strategy และ Technology สู่การเป็น ‘TOP 3 เอเจนซียอดเยี่ยมแห่งปี 2022’

นอกจากการใช้ทั้ง Data, Creative Idea, Strategy และ Technology เพื่อวางกลยุทธ์ให้ตอบโจทย์แบรนด์และผู้บริโภคแล้ว การทำงานที่เชื่อมร้อยประสบการณ์เหล่านี้เข้าด้วยกันยังสร้างความภาคภูมิใจโดย Rabbit’s Tale 
คว้ารางวัล TOP 3  เอเจนซียอดเยี่ยมแห่งปี 2022 จากงาน “Adman Awards & Symposium 2022” มาครองได้สำเร็จโดยคุณซีนิยามความภาคภูมิใจและรางวัลในปี 2022 นี้ว่าเป็นความน้อยแต่มาก ซึ่งคะแนนที่ดันให้ Rabbit’s Tale พุ่งทะยานสู่อันดับ 3 คือวิดีโอ ‘Quality Time, Again’ จากแบรนด์ ‘ห้าดาว’ ที่ว่าด้วยการใช้ Ai ประมวลผลรูปถ่ายแล้วสร้างภาพเคลื่อนไหวให้เสมือนว่าคุณแม่ที่จากไปแล้วได้กลับมากินข้าวกับลูกสาวอีกครั้ง แม้จะเป็นวิดีโอตัวเดียว แต่สร้างแรงกระเพื่อมที่ยิ่งใหญ่ทั้งแง่คะแนน และกระแสตอบรับจากผู้บริโภค โดยวิดีโอถูกแชร์ต่อเป็นจำนวนมาก ซึ่งคุณซีย้ำว่าความน้อยแต่มากนี้เกิดจากการคิดผ่านอินไซต์ที่ถี่ถ้วนและผสาน Creativity และ Technology เข้าด้วยกัน

“อินไซต์ที่แม่นยำ บวกการนำเทคโนโลยีมาใช้ ก็อิมแพ็คมากแล้ว แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือวิดีโอตัวนี้กลับไปตอบโจทย์สิ่งที่แบรนด์ต้องการสื่อสารคืออยากให้ทุกคนกลับไปใช้เวลากับคนที่บ้าน วิดีโอสามารถถ่ายทอดและส่งต่อ Key Messege ของแบรนด์ ออกมาได้ครบและตรงใจผู้บริโภค”

ยิ่งพิสูจน์ให้เห็นว่านอกจาก Creative Idea แล้ว แต่ Data, Strategy และ Technology ก็มีส่วนอย่างยิ่งในการทำการสื่อสารการตลาดที่ครบวงจร นอกจากงานระดับประเทศแล้ว การประกวดโฆษณาระดับเอเชีย SpikesAsia 2023 ‘Quality Time, Again’ ยังได้รับรางวัล Bronze ในหมวด Entertainment และยังติดอีก 2 Shortlists จากหมวดอื่นๆ

แม้รางวัลจะไม่ใช่เครื่องการันตีความสำเร็จทั้งหมด แต่ก็ทำให้เห็นภาพว่าการสื่อสารการตลาดปัจจุบันไม่อาจให้ความสำคัญแค่มุมใดมุมหนึ่ง ในวันที่ผู้บริโภคตามหาประสบการณ์ที่ใหม่และตอบโจทย์พวกเขาอยู่ตลอดเวลาการคิดอย่างครบวงจรเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม

เพราะ Experience คือนิวนอร์มอล สื่อสารการตลาดต้องสร้างประสบการณ์แบบไร้รอยต่อ

การสื่อสารการตลาดยุคปัจจุบันนั้นการสร้าง Experience หรือประสบการณ์ระยะยาวที่ครบวงจรให้กับแบรนด์และผู้บริโภคถือเป็นสิ่งสำคัญ แม้แบรนด์จะเข้าถึงผู้บริโภคผ่านสารพัดช่องทางได้มากขึ้น แต่โจทย์สำคัญคือจะสื่อสารการตลาดเพื่อเชื่อมร้อย Experience อย่างไรให้ไร้รอยต่อตั้งแต่ต้นจนจบ? และทำอย่างไรให้แบรนด์เห็นโอกาสและได้ใช้ประโยชน์จาก Data, Creative Idea, Strategy และ Technology เพื่อเชื่อม Customer Journey ได้เต็มประสิทธิภาพ?

คุณซีให้ความเห็นว่าปัจจุบันมีแบรนด์ไม่ถึง 10% ที่ออกแบบ Experience และเชื่อมต่อทาสก์ของ Customer Journey ทั้งหมดเข้าด้วยกัน โดยนี่คือความท้าทายและคืออนาคตซึ่งคุณซีมองว่าในท้ายที่สุดสิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นเรื่องปกติของแวดวงคนทำงานสื่อสารการตลาด

ไม่แปลกที่ Experience Agency จะกลายมาเป็น Solution สำคัญให้กับแบรนด์ โดย Rabbit’s Tale Advertising Business Group ในฐานะส่วนหนึ่งของ Rabbit’s Tale จึงสามารถประสานกับ Business Group ในเครือเพื่อตอบโจทย์ให้แบรนด์ได้ เพื่อวางกลยุทธ์ในการสร้างประสบการณ์ครบวงจรได้ในที่เดียว แทนที่แบรนด์จะต้องคุยเรื่อง Advertising, PR, Data, CX Solutions กับหลายเอเจนซีและต้องหาทางเชื่อมต่อ วัดผล จากต่างที่กัน ที่ Rabbit’s Tale Experience Agency จะช่วยย่นระยะเวลาและความสะดวกให้เชื่อมโยงกันได้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นทุกๆ Touch Point ไหนใน Customer Journey ที่แบรนด์ต้องเจอกับผู้บริโภค

ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อที่สื่อดิจิทัลคล้ายจะเริ่มอิ่มตัว สินค้าและบริการไม่ได้ถูกนำเสนอผ่านหนังโฆษณาเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป เมื่อโจทย์เปลี่ยน ทั้งแบรนด์และคนทำงานสื่อสารการตลาดยิ่งไม่อาจใช้สมการเดิมๆ ในการแก้โจทย์และตอบความต้องการของแบรนด์และผู้บริโภคได้อีก หัวใจสำคัญที่คนทำงาน Marketing ต้องตระหนักอยู่เสมออาจเป็นสิ่งที่ Managing Director แห่ง Rabbit’s Tale Advertising Business Group กล่าวไว้ว่า จะดีแค่ไหน? ถ้าเราสามารถออกแบบ Journey ให้แบรนด์ได้สื่อสารในสิ่งที่อยากพูด แต่ผู้บริโภคก็อยากฟังไปพร้อมกัน การสร้างประสบการณ์ที่ไร้รอยต่อผ่าน Creativity และ Technology จึงเป็นสิ่งที่ต้องทำไปพร้อมกัน

from:https://www.thumbsup.in.th/md-rabbits-brand-speak?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=md-rabbits-brand-speak

RainMaker เปิดตัว iCreator Next 2023 การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลกออนไลน์ พร้อมสรุปทุกเรื่องที่แบรนด์และเอเจนซี่ควรรู้ และการประกาศรายชื่อ 50 ครีเอเตอร์ ยอดนิยมแห่งปี

ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่โลกออนไลน์และการใช้โซเชียลมีเดียมีการเติบโต แต่การเกิดขึ้นของ TikTok ถือว่าเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ของวงการแพลตฟอร์มและคลิปวิดีโอสั้นที่ทำให้วงการโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook, Instagram, Youtube ต้องรีบปรับตัวเพื่อรับการเปลี่ยนแปลง

แม้ว่าจะมีหลายแพลตฟอร์มเกิดขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้คนอยู่บ้างอย่างเช่น TikTok Zoom หรือ Clubhouse ที่เกิดขึ้นช่วงโควิดและคนต้องทำงานที่บ้าน แต่รายที่ประสบความสำเร็จจริงๆ อย่าง TikTok นั้นมีน้อย และผงาดขึ้นมาเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มยอดนิยมที่อายุน้อย เพราะนอกจากสร้างพฤติกรรมการรับชมคลิปวิดีโอสั้นแล้ว ยังสร้างโอกาสเติบโตของอินฟลูเอนเซอร์หน้าใหม่ได้อย่างไม่จำกัด

ขจร เจียรนัยพานิชย์ ผู้บริหารบริษัท เดอะซีโร่ พับลิชชิ่ง จำกัด (The Zero Publishing) เจ้าของเว็บไซต์ชื่อดังอย่าง Mango ZeroParents OneThumbsup และ RAiNMaker กล่าวว่า เมื่อจบโควิดก็เข้าสู่การกลับมาใช้ชีวิตกันแบบปกติ แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม คือพฤติกรรมการใช้โซเชียลมีเดียของผู้คน และการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต หรือโลกดิจิทัลต่างๆ เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ทำให้นักการตลาด แบรนด์และเอเจนซี่เอง ก็ต้องปรับตัวให้ทันการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้

นอกจากนี้ เทรนด์ดิจิทัลอย่าง คริปโตเคอเรนซี่ NFT เมตาเวิร์สหรือเทคโนโลยีอย่าง Avatar ที่เราคาดการณ์ว่าจะกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของธุรกิจ ก็ไม่ได้มาแรงอย่างที่เจ้าของแพลตฟอร์มคาดหวัง เราจึงเห็นการขาดทุนทางธุรกิจของ Meta หลายหมื่นล้านเหรียญ รวมทั้งการลดจำนวนพนักงานขององค์กรด้านเทคโนโลยีหลายแห่ง สะท้อนให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของเทรนด์ต่างๆ ทำให้แบรนด์ ธุรกิจ และเอเจนซี่ต้องเร่งตามให้ทัน

RainMaker ได้จัดทำหนังสือที่ชื่อว่า iCreator Next 2023 ซึ่งได้มีการคัดสรร 50 ครีเอเตอร์ และอินฟลูเอนเซอร์แห่งปี ที่ยกให้เป็น “THE NEXT” ในวงการคอนเทนต์ครีเอเตอร์ มาสัมภาษณ์เจาะลึกถึงแนวคิด และการสร้างตัวตนให้เป็นที่น่าจดจำ พร้อมบทวิเคราะห์แนวทางของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียครบในเล่มเดียว เพื่อให้ครีเอเตอร์หน้าใหม่ แบรนด์ และเอเจนซี ได้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงและทำความรู้จักกับอินฟลูเอนเซอร์หน้าใหม่พร้อมก้าวสู่ปี 2023 ไปด้วยกัน

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าจับตามองเกี่ยวกับวงการครีเอเตอร์คือ ปี 2023 จะเป็นปีทองของคอนเทนต์ครีเอเตอร์อย่างมาก อยู่ที่ว่าอินฟลูเอนเซอร์คนนั้น จะสามารถจับโอกาสและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนได้หรือไม่ เพราะมีโอกาสในการเติบโตมากถึง 6 แพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็น Facebook Yotube Instagram Twitter TikTok และ LINE ที่มีโปรแกรมสนับสนุน สร้างรายได้ มอบรางวัลพิเศษ ถือว่าเป็นแรงผลักดันให้คนที่ต้องการเป็นครีเอเตอร์สามารถเข้าสู่โลกออนไลน์ได้แบบไม่ยากแบบสมัยก่อน ขอแค่คอนเทนต์ดี การถ่ายทอดเนื้อหามีประโยชน์ต่อสังคม และเข้าถึงกลุ่มคนจำนวนมากได้ ทุกแพลตฟอร์มก็พร้อมจะสนับสนุน

นอกจากนี้ สงครามราคาในเรื่องของการยิงแอด การเปลี่ยนแปลงของอัลกอริธึ่ม และการใช้ AI เข้ามาตอบสนองเรื่องการโต้ตอบ ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่แบรนด์ นักการตลาด เอเจนซี่หรือแม้แต่อินฟลูเอนเซอร์เองต้องรู้ เพราะเรื่องของการปรับเปลี่ยนฟีเจอร์ที่แพลตฟอร์มมองว่าจะกระตุ้นให้อยากทำการตลาดง่ายขึ้น เป็นโอกาสของแพลตฟอร์มเอง ที่คนในวงการต้องปรับตัวตามกระแสและมองเห็นเทรนด์ใหม่ๆ ได้ทัน

ไฮไลต์สำคัญของแพลตฟอร์มเอง สิ่งที่ทุกคนจะได้เห็นคือ

  • TikTok : กับความท้าทายในการเปลี่ยนภาพลักษณ์จากคอนเทนต์สำหรับเด็กเซาะกราวน์ กลายเป็นช่องทางการขายสำหรับเอสเอ็มอีและแบรนด์หน้าใหม่ที่ต้องการเข้าสู่วงการอีคอมเมิร์ซแบบไม่ผ่านแพลตฟอร์มกลาง
  • Youtube : กับการแข่งขันเรื่องความยาวของคลิปวิดีโอ ที่ต้องท้าทายในเรื่องของความยาวจาก 15 นาทีเหลือไม่เกิน 3 นาทีและการเพิ่ม Short ช่องทางไฮไลต์คลิปสำหรับคนที่ไม่ต้องการดูคอนเทนต์นานๆ
  • Facebook : กับความกระท่อนกระแท่นของแพลตฟอร์มที่ต้องปรับตัว ปรับฟีเจอร์ใหม่ รวมทั้งปรับใช้เทคโนโลยีที่หลากหลายเพื่อประกาศความเป็นโซเชียลมีเดียเบอร์ 1 ของโลก
  • Instagram : ที่ไม่ใช่แค่การดูรูปแล้วจบ แต่ต้องเป็นแพลตฟอร์มที่ดูรูปและขายของได้ด้วย รวมทั้งการแทรก Reels เข้ามาเอาใจคนอยากขาย
  • Twitter : ความไม่แน่นอนหลังการเข้ามาของ “อีลอน มัสก์” ทำให้แบรนด์ และนักการตลาด ต้องเดาทางในการปรับตัวแพลตฟอร์มว่าจะเดินหน้าไปทางไหนให้ทันแบบนาทีต่อนาที
  • LINE : ไม่ได้จบแค่แชท แต่เดินหน้าสู่สนามอีคอมเมิร์ซช่วยขายของให้แบรนด์ทั้งเล็กและใหญ่ รวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นในการเป็นแพลตฟอร์มที่สื่อสารและปิดการขายได้อย่างมีคุณภาพไปพร้อมกัน

อินฟลูเอนเซอร์หน้าใหม่ เกิดขึ้นทุกวัน

ไม่ใช่แค่เรื่องของแพลตฟอร์มที่อัดแน่น แต่เรื่องของอินฟลูเอนเซอร์ที่เกิดขึ้นทุกวัน ทำให้ iCreator Next 2023 มีรายชื่อของ THE NEXT ในวงการครีเอเตอร์และอินฟลูเอนเซอร์ของไทยมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ตัวท็อปบนโลกโซเชียล หน้าใหม่ไฟแรง อินฟลู TikToker หรือสายความรู้ ก็มีเพียบ

คุณขจร กล่าวเสริมว่า ในวงการครีเอเตอร์และอินฟลูเอนเซอร์ถือว่าเป็นโอกาสที่คนทำคอนเทนต์แบบเดิมอย่างยาวนาน สามารถแจ้งเกิดได้อีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็น เว็บไซต์อย่าง capital.co ที่ทำเรื่องธุรกิจก็เน้นการเล่าสื่อสารผ่าน TikTok และมียอดผู้ติดตามเพิ่มขึ้นจากเดิม หรือจะเป็นสายครีเอเตอร์ที่สร้างผลงานศิลปะ NFT หรือสายให้ความรู้ด้านการเงิน การศึกษา ต่างก็เติบโตจากการเล่าให้น่าสนใจเช่นกัน

ไม่ว่าคุณจะเป็นครีเอเตอร์, แบรนด์, เอเจนซี หรือคนที่ชื่นชอบการสร้างสรรค์ผลงานของเหล่าครีเอเตอร์ก็ตาม “iCreator NEXT 2023” เล่มนี้ จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจ และอัปเดตทิศทางของวงการครีเอเตอร์ให้ทุกคนได้รู้ และทันโลกอย่างแน่นอน

โดยตอนนี้มีการลงทะเบียนรับ E-book ฟรี สำหรับบุคคลทั่วไป สามารถลงทะเบียน เพื่อรอรับลิงก์ดาวน์โหลดตอบกลับทางอีเมล์

หากเป็นองค์กรและเอเจนซี่ สามารถ ลงทะเบียน เพื่อรับหนังสือ iCreator NEXT ได้ โดยหนังสือจะมีจำนวนจำกัดสำหรับคนที่ลงทะเบียนเข้ามาก่อน ซึ่งจะส่ง 1 เล่มต่อ 1 เอเจนซี่เท่านั้น และจะเริ่มทะยอยจัดส่งเล่มตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นไป

from:https://www.thumbsup.in.th/rainmaker-icreator-next-2023?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=rainmaker-icreator-next-2023

ไทยกูลิโกะ เปิดตัว Almond Koka นมอัลมอนด์ที่ขายดีที่สุดในญี่ปุ่น พร้อมรุกตลาดเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ

ไทยกูลิโกะสบช่อง ส่งนมอัลมอนด์ ภายใต้แบรนด์ “Almond Koka” (อัลมอนด์ โคกะ) นมอัลมอนด์ที่ขายดีที่สุดในญี่ปุ่น บุกตลาดประเทศไทยเต็มกำลัง หลังพบโอกาสในการทำตลาด สร้างยอดขาย เหตุคนไทยรักสุขภาพ ให้ความสำคัญกับการบริโภคนม Plant-based เพิ่มขึ้น โดยนำเสนอนมอัลมอนด์อุดมด้วยคุณประโยชน์ ตั้งเป้าเป็นอีกแบรนด์ที่เป็นที่ชื่นชอบของผู้บริโภคไทย

Almond Koka

นายเฉลิมพงษ์ ดรงค์สุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทย กูลิโกะ จำกัด เปิดเผยว่า “การเปิดตัว กูลิโกะ อัลมอนด์ โคกะครั้งนี้ถือเป็นการเปิดตัวอย่างเต็มรูปแบบของสินค้า Health & Wellness Category หลังจากที่เราเป็นที่รู้จักในฐานะผู้จำหน่ายขนมและไอศกรีมมายาวนาน โดยที่กูลิโกะ ประเทศญี่ปุ่นมีอายุครบ 101 ในปีนี้ และไทยกูลิโกะดำเนินธุรกิจมาแล้วกว่า 52 ปี โดยในระยะหลังมานี้ทางญี่ปุ่นได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ส่งเสริมสุขภาพของผู้บริโภค จึงเป็นความตั้งใจแบบเดียวกันสำหรับประเทศไทยและประเทศอื่นๆในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพแบบฉบับญี่ปุ่นแท้ ทำให้เรามีความมั่นใจว่าอัลมอนด์ โคกะ จะตอบโจทย์ในแง่ของประโยชน์และรสชาติได้เป็นอย่างดี”

การเปิดตัว “อัลมอนด์ โคกะ” เกิดขึ้นหลังจากผลิตภัณฑ์อื่นๆที่วางจำหน่ายเพื่อส่งเสริมสุขภาพผู้บริโภค เช่น Pocky Wholesome บิสกิตแท่งผสมโฮลวีต, Sunao ไอศกรีมไม่เติมน้ำตาลทราย ซึ่งเป็นการเปิดตัวครั้งแรกของ Health & Wellness Category ที่ครองใจผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย และไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เปิดตัวแบรนด์ “อัลมอนด์ โคกะ”

จากกระแสสุขภาพที่คนส่วนใหญ่หันมาบริโภคนมอัลมอนด์ หรือนม Plant-based ชนิดอื่นๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งถือเป็นเครื่องดื่มนมทางเลือก ส่งผลให้ตลาดนมอัลมอนด์ในประเทศไทยเติบโตต่อเนื่อง โดยตลาด Cereal Milk (ไม่รวมนมถั่วเหลือง) ปี 2565 มีมูลค่ากว่า 960 ล้านบาท และมีแนวโน้มเติบโตไปสู่มูลค่า 3,000 ล้านบาท ในปี 2569 (อ้างอิง: Nielsen, Euromonitor) บริษัทฯ จึงมองเห็นโอกาสในการทำตลาด ด้วยการนำผลิตภัณฑ์นมอัลมอนด์ ภายใต้แบรนด์ “Almond Koka” (อัลมอนด์ โคกะ) ที่ทำยอดขายอันดับ 1 ครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 90% ในประเทศญี่ปุ่นเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยเสริมทัพ เจาะกลุ่มคนทั่วไปทุกเพศทุกวัย กลุ่มคนที่รักสุขภาพ ผู้ที่แพ้นมวัว และแพ้น้ำตาลแลคโตสที่มีอยู่ในนมวัว

การบุกตลาดครั้งนี้ มีการทำตลาดพร้อมกันถึง 3 รสชาติ อาทิ สูตรออริจินัล สูตรไม่เติมน้ำตาล สูตรรสช็อกโกแลต ในขนาด 180 มล. และขนาด 1 ลิตรภายในปี 2566 นี้ ปูพรมครอบคลุมทุกช่องทางขายที่เป็นร้านค้าชั้นนำทั่วประเทศ บริษัทฯ ยังดึงนางเอกดังใหม่-ดาวิกา โฮร์เน่ เป็นพรีเซนเตอร์ช่วยปลุกกำลังซื้อด้วย ตั้งเป้ายึดพื้นที่เครื่องดื่มนมทางเลือกภายในปีแรก รวมถึงมีกิจกรรม 30-day-challenge เพื่อปลุกกระแสการเป็นเครื่องดื่มสำหรับทุกวัน

“ที่เลือกใหม่-ดาวิกา โฮร์เน่ มาเป็นพรีเซนเตอร์ผลิตภัณฑ์นมอัลมอนด์ โคกะ เพราะใหม่-ดาวิกา ถือเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจในการดูแลสุขภาพและความงาม อัลมอนด์ โคกะ มีจุดเด่นที่ไม่เหมือนใครคือ อุดมไปด้วยวิตามินอีถึง 100% ของปริมาณที่จำเป็นในหนึ่งวัน ซึ่งวิตามินอีมีส่วนช่วยในกระบวนต่อต้านอนุมูลอิสระ มีใยอาหารสูง เพิ่มกากในระบบอาหาร ช่วยการขับถ่าย และ 0% คลอเรสเตอรอล ไม่เป็นการเพิ่มไขมันให้ร่างกาย ที่สำคัญยังปราศจากนมวัวและน้ำตาลแลคโตส ผู้บริโภคเจหรือผู้แพ้นมวัวสามารถรับประทานได้ ด้วยคุณประโยชน์เหล่านี้จะช่วยให้คุณดูดีและสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอกอย่างยั่งยืน ด้วยคุณประโยชน์ดังเกล่า ทำให้กูลิโกะมั่นใจว่าอัลมอนด์ โคกะจะเป็นตัวช่วยในชีวิตประจำวันทำให้ดูดี รู้สึกดี จากภายในสู่ภายนอก สุขภาพดีอย่างยั่งยืน”

นายเฉลิมพงษ์ กล่าวว่า นโยบายของกูลิโกะหรือ Glico Standard มี 3 ด้านหลักๆ คือ 1. นโยบายสิ่งแวดล้อม ที่ให้ความสำคัญในการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ และตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ 2. ระบบการจัดการ ที่มุ่งสร้างและปรับปรุงระบบประกันคุณภาพอย่างต่อเนื่อง 3. นโยบายความปลอดภัยอาหาร เรามีคุณภาพสินค้าในแบบฉบับญี่ปุ่น ที่มาพร้อมกับความอร่อย ผ่านการคิดค้นอย่างพิถีพิถัน การเจาะตลาดเชิงรุกถึงกลุ่มเป้าหมายของเรา เราเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้คือรากฐานสู่ความสำเร็จของในประเทศไทยตลอดหลายปีที่ผ่านมา

from:https://www.thumbsup.in.th/glico-almond-koka?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=glico-almond-koka

บลูบิค เปิดแนวคิด “Digital-First Company” เทรนด์ธุรกิจโลกอนาคต โอกาสใหม่แห่งการเติบโต

บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK ที่ปรึกษาชั้นนำผู้ให้บริการด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันครบวงจร เปิดเทรนด์สำคัญในการทำธุรกิจแห่งอนาคตสู่ “Digital-First Company” รับมือความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และพฤติกรรมของคน Gen MZ (กลุ่ม Gen Millennials และ Gen Z) ที่กำลังก้าวขึ้นเป็นกลุ่มคนที่มีอิทธิพลต่อสังคมและการบริโภคของโลกในอนาคตอันใกล้ ซึ่งการปรับเปลี่ยนเป็น “Digital-First Company” สามารถสร้างความยืดหยุ่นควบคู่การเติบโตให้องค์กรด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี อีกทั้งยังเป็นการปูรากฐานสู่ความสำเร็จในการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันอย่างต่อเนื่องขององค์กรในทุกอุตสาหกรรม พร้อมยกตัวอย่าง 5 Capability สำคัญที่ช่วยเร่งให้ภาคธุรกิจประสบความสำเร็จในการขับเคลื่อนแนวคิด Digital-First Company ในองค์กร

BBIK

นายพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK ระบุการปรับเปลี่ยนองค์กรเป็น “Digital-First Company” ต้องเริ่มด้วยการคิดใหม่ในทุกแง่มุมของการทำธุรกิจ โดยมีนวัตกรรมและเทคโนโลยีเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อน เชื่อมโยงและตอบโจทย์ความต้องการผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholder) ในระบบนิเวศของธุรกิจยุคใหม่ ที่ประกอบด้วย องค์กร (Company) ลูกค้า (Customer) พันธมิตรทางธุรกิจ (Partner) และสังคม (Community) ซึ่งในแต่ละส่วนของระบบนิเวศนี้ล้วนมีความซับซ้อนและมี Pain Point ที่แตกต่างกัน เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลกในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา ที่ก่อให้เกิดกระแส New Normal และกำลังก้าวสู่ New World Order หรือระเบียบโลกใหม่ในอนาคตอันใกล้นี้ ดังนั้นทุกองค์กรจึงต้องเร่งปรับตัวให้เป็น Digital-First Company เพื่อให้การทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องเป็นไปได้อย่างราบรื่น ให้สามารถสร้างความยืดหยุ่นแก่ธุรกิจ ยกระดับการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพและสามารถเข้าถึงและเข้าใจกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างถูกต้องแม่นยำ

“Digital-First Company เป็นหัวใจสำคัญทำธุรกิจยุคนี้ แต่การจะบรรลุผลสำเร็จในการทำ Digital-First Company ต้องอาศัยความความรู้ความเชี่ยวชาญหลายด้านประกอบกัน จึงทำให้เกิดกระแสนิยมการทำงานร่วมกันระหว่างทีมงานในองค์กร (Insource) และทีมงานภายนอก (Outsource) ที่นอกจากจะช่วยเพิ่มมุมมองใหม่ในการทำธุรกิจแล้ว ยังเป็นการเสริมในงานส่วนที่องค์กรไม่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะได้อีกด้วย เห็นได้จากบริษัทเทคฯ ชั้นนำระดับโลกหลายองค์กรมากมายที่มีการใช้บริการบริษัทที่ปรึกษา เพื่อสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ดีที่สุด รวมถึงลดข้อผิดพลาดและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน” นายพชร กล่าว

บลูบิค ยกตัวอย่าง 5 Capability สำคัญในการขับเคลื่อนสู่ “Digital-First Company” ที่สามารถสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศทางธุรกิจ พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานสำหรับองค์กรยุคใหม่

1. Super App: ความนิยมของ Super App พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเทคโนโลยีนี้สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ได้จริง และเป็นช่องทางสร้างการเติบโตร่วมกันกับพันธมิตรทางธุรกิจ ทำให้หลายองค์กรเร่งเดินหน้าพัฒนา Super App ของตนเองในช่วงที่ผ่านมา แต่การพัฒนา Super App ต้องมี Core Feature และระบบที่ซับซ้อนขั้นสูง อีกทั้งต้องมีองค์ประกอบเกี่ยวกับ Microservice, Data Sharing และ Mini App ที่ดี รวมถึงเม็ดเงินลงทุนที่เพียงพอ ซึ่งโดยทั่วไปอยู่ที่ระดับ 100 ล้านบาทขึ้นไป นอกจากนี้ ผู้พัฒนายังต้องมีความเชี่ยวชาญและให้ความสำคัญเกี่ยวกับการรองรับการขยายตัวในอนาคต (Scalability) การขยายหรือเพิ่มขีดความสามารถ (Extensibility) ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity) ความสามารถในการดูแลรักษาระบบที่ต้องง่าย (Maintainability) มีประสิทธิภาพการทำงาน (Efficiency) และโซลูชันที่ต้องอัปเดตให้ตอบโจทย์การใช้งานอยู่เสมอ ดังนั้นประสบการณ์และความเชี่ยวชาญจึงเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนา Super App เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา อาทิ ระบบล่มที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ ถูกโจมตีทางไซเบอร์และการหารายได้จาก Super App เป็นต้น

2. เทคโนโลยีขั้นกว่าของปัญญาประดิษฐ์ หรือ Augmented Intelligence: Augmented Intelligence เป็นเทคโนโลยีที่กำลังมาแรง ที่ประสานการทำงานร่วมกันระหว่างเทคโนโลยี Artificial Intelligence – AI, Machine Learning – ML, Deep Learning, Big Data Analytics และ Human Intelligence และมนุษย์ด้วยการใช้จุดแข็งของแต่ละฝ่ายเติมเต็มซึ่งกันและกัน เพื่อผลลัพธ์การทำงานที่ดีที่สุด โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือมากกว่าทำงานแทนมนุษย์เหมือน AI ดังนั้นการพัฒนา Augmented Intelligence ให้สำเร็จและเป็นไปตามวัตถุประสงค์การใช้งาน จำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจทั้งในฝั่งธุรกิจและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้ง เพราะการพัฒนาหรือนำ Augmented Intelligence ไปใช้อย่างผิดวิธีอาจส่งผลเสียต่อการดำเนินธุรกิจได้

3. สร้างความน่าเชื่อถือและเกราะป้องกันภัยทางไซเบอร์ หรือ Digital Immunity and Trust: การสร้างภูมิคุ้มกันภัยทางไซเบอร์ที่แข็งแกร่งให้กับองค์กรต้องเริ่มตั้งแต่ตัวพนักงาน กระบวนการ และเทคโนโลยีโดยการผสมผสานกลยุทธ์และวิศวกรรมซอฟต์แวร์หลายอย่าง เพื่อป้องกันความเสี่ยงและยกระดับความปลอดภัยให้ผู้ใช้งาน ซึ่งการสร้างมาตรฐานความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์จะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและทำให้ลูกค้าหรือผู้ใช้งานเกิดความเชื่อมั่น นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการโจมตีทางไซเบอร์

4. เทคโนโลยีเพื่อสร้างความมั่นคงและยั่งยืน หรือ Sustainability Technology: เป็นเทรนด์เทคโนโลยีที่ใช้ ตอบโจทย์กระแส ESG ที่กำลังอยู่ในความสนใจขององค์กรทั่วโลก โดยหลักการพื้นฐานแล้วเทคโนโลยีมีส่วนสนับสนุนและเกี่ยวข้องทั้งด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และบรรษัทภิบาล (Governance) ยกตัวอย่างเช่น การย้ายข้อมูลขึ้นระบบดิจิทัลแพลตฟอร์มช่วยลดการใช้กระดาษจำนวนมหาศาล การเพิ่มช่องทางการสื่อสารและพื้นที่บนโลกออนไลน์ให้กับชุมชน/สังคม และการสร้างความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจด้วยด้วยการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) เป็นต้น ฉะนั้นองค์กรใดที่ต้องการประสบความสำเร็จในการทำ ESG จึงควรเริ่มต้นด้วยการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี

5. Agile Operations: แนวคิดการทำงานสำหรับองค์กรยุคใหม่ที่ใช้รับมือกับความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในโลกธุรกิจ ที่ครอบคลุมตั้งแต่ความต้องการลูกค้า เทคโนโลยีใหม่ ๆ จนถึงสภาพเศรษฐกิจและสังคม ทำให้องค์กรสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็ว คล่องตัวกว่าเดิม อีกทั้งยังช่วยให้รักษาขีดความสามารถในการแข็งขันและบรรลุเป้าหมายการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันได้อย่างราบรื่น

จากเทรนด์ธุรกิจดังกล่าวนี้ บลูบิค ได้มีการเตรียมแผนกลยุทธ์ “Growth at Scale” เพื่อช่วยลูกค้าในการเปลี่ยนผ่านองค์กรได้อย่างราบรื่น ด้วยการเร่งผสานการทำงานร่วมกันระหว่างบลูบิคและบริษัทในเครือ เสริมแกร่งให้กับบริการหลักที่ครบวงจรมากขึ้นและครอบคลุมทั้งลูกค้าขนาดกลางและใหญ่ พร้อมเพิ่มขีดความสามารถในการรับงานขนาดใหญ่มูลค่าหลักหลายร้อยล้านทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้มีการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศที่ปัจจุบันได้อนุมัติจัดตั้งบริษัทในประเทศเวียดนาม ฮ่องกง อังกฤษ และอินเดีย และกำลังศึกษาโอกาสทางธุรกิจในประเทศสหรัฐอเมริกา

“การแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น ทำให้ภาคธุรกิจจำเป็นต้องพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกมากขึ้น เพราะการดำเนินงาน (Execution) ที่ช้าและไม่สอดรับอัตราความเร็วของการทำธุรกิจในยุคดิจิทัล อาจทำให้องค์กรต้องพบกับอัตราต้นทุนค่าเสียโอกาสทางธุรกิจ (Opportunity Cost) มูลค่ามหาศาล จนถึงต้องออกจากธุรกิจหรือเสียตำแหน่งผู้นำในอุตสาหกรรมไปก็ได้ เหล่านี้เป็นเพียงหนึ่งในความท้าทายที่ผู้บริหารทั่วโลกกำลังเผชิญ แม้จะมีนวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาช่วยสร้างข้อได้เปรียบ แต่หากขาดความรู้ความเชี่ยวชาญมากพอในการเลือกใช้เทคโนโลยีที่ไม่สอดรับกับธุรกิจและสภาพเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ก็อาจส่งผลเสียได้ จากปัจจัยดังกล่าวนี้ทำให้ บลูบิค เร่งขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อเสริมแกร่งด้านบริการที่สามารถรองรับทุกความต้องการของลูกค้าและช่วยให้ธุรกิจสามารถแข่งขันได้ทั้งในระยะสั้น กลาง และยาว”

from:https://www.thumbsup.in.th/bbik-business-plan-2023?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=bbik-business-plan-2023

เอส โคล่า อัพเลเวลแบรนด์ครั้งยิ่งใหญ่ในรอบทศวรรษ ท้าชนศึกน้ำดำ 57,000 ล้านบาท รับหน้าร้อน

เอส โคล่า จัดเต็มคาราเบล อัพเลเวลแบรนด์สุดยิ่งใหญ่ในรอบทศวรรษ เดินหน้าสร้างความแตกต่าง ปรับสูตร-ปรับโฉมใหม่ ส่งแคมเปญโดนใจ ชูคอนเซปต์ “Born to be Awesome เกิดมาซ่า..กล้าเป็นตัวเอง” ดึงไอคอนตัวแทนชาวเอเชีย นำทีมโดย “ชาอึนอู” “โบกี้ไลออน” “Yes Indeed” และ “3 สาวนักวอลเลย์บอลนิวเจน” รับหน้าที่พรีเซนเตอร์กลุ่มใหม่ พลิกแบรนด์ให้โดนใจ Gen Zest พร้อมขยายฐานลูกค้าในไทยและเอเชีย เดินหน้าแจกชิมความซ่าครั้งใหม่ของเอส โคล่า ทั่วประเทศ 1 ล้านกระป๋อง พร้อมเปิดให้คอนซูมเมอร์ได้ชิมและโหวตความ Awesome ของรสชาติใหม่ของเอส โคล่า (Awesome or Not) ตั้งเป้าเป็นน้ำอัดลมที่โดนใจคนเอเชียรุ่นใหม่

Est Cola

นางสาวสุภรณ์ เด่นไพศาล ผู้อำนวยการสำนักการตลาด สายธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ประเทศไทย บริษัท ไทยดริ้งค์ จำกัด กล่าวว่า “การอัพเลเวลแบรนด์เอส โคล่า เป็นการขับเคลื่อนแบรนด์ครั้งยิ่งใหญ่และครอบคลุมในทุกมิติการตลาดในรอบ 10 ปี และพร้อมตั้งเป้าเป็นตัวแทนน้ำอัดลมสัญชาติเอเชียที่จะยืนสู้ศึกในตลาดน้ำอัดลมประเทศไทยมูลค่ากว่า 57,000 ล้านบาท แบบสมศักดิ์ศรี ด้วยการสร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์ผ่านการถอดบทเรียนความสำเร็จ ความท้าทาย และจับอินไซต์ของวัยรุ่นเอเชียที่ว่า ทุกคนมีความ Awesome อยู่ในตัวเอง ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ ขอแค่ได้แสดงออกในรูปแบบของตัวเอง และต้องการโอกาสให้ได้ทำตามแพชชันที่มี ภายใต้แคมเปญการสื่อสาร ‘Born to be Awesome เกิดมาซ่า..กล้าเป็นตัวเอง’”

เปิด 3 ความ Awesome ที่จะสร้างความแตกต่าง “Awesome Taste” “Awesome Look” “Awesome Campaign”

หลายปีที่ผ่านมาคนรุ่นใหม่ชาวเอเชียที่มีความกล้าความสามารถได้ก้าวขึ้นมามีบทบาทในเวทีระดับโลก รวมทั้งได้รับการยอมรับและความนิยมทั่วโลก โดยเฉพาะซอฟต์พาวเวอร์ด้านบันเทิง ดนตรี กีฬา แฟชั่น อาหาร ฯลฯ เอส โคล่า ซึ่งสนับสนุนความกล้าและความเป็นตัวเองของคนรุ่นใหม่ จึงสร้างสรรค์แคมเปญการสื่อสาร “Born to be Awesome เกิดมาซ่า..กล้าเป็นตัวเอง” สร้างความแตกต่างให้เอส โคล่า ด้วยการวางจุดยืนในฐานะเพื่อนของคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Zest (Gen Z+est) โดยแบรนด์พร้อมสนับสนุนทุกแพชชันของคนรุ่นใหม่ ให้มีความกล้าในการแสดงออกถึงความ Awesome ในแบบของตัวเอง

  • ความ Awesome ที่ 1 Awesome Taste: เอส โคล่า สูตรใหม่ ที่ปรับมาจากคำแนะนำของผู้บริโภค ทางทีมพัฒนาสินค้าของเอส โคล่า ได้คัดเลือกเครื่องเทศ (Spice) หลักยอดนิยมของชาวเอเชีย ทั้งซินนามอน กานพลู และเมล็ดโคล่า ผสมผสานอย่างลงตัวจนได้รสชาติที่กลมกล่อม หอม อร่อย ซ่า สดชื่นขึ้น โดย เอส โคล่า เวอร์ชันล่าสุด ที่ผ่านการวิจัยผลิตภัณฑ์ด้านความพึงพอใจจากผู้บริโภคทั่วประเทศร่วมกับบริษัท อิปซอสส์ ประเทศไทย ได้คะแนนความพึงพอใจในรสชาติสูงถึง 98% (วิจัยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2565)
  • ความ Awesome ที่ 2 Awesome Look: มาพร้อมโลโก้ดีไซน์ใหม่ที่ทั้งลายเส้นและสีสันสะท้อนถึงความทันสมัยผสมผสานเข้ากับกลิ่นอายของความโมเดิร์นสไตล์เอเชีย และมีการปรับใช้โลโก้เดียวกันทั้งน้ำโคล่าและน้ำสี มาพร้อมบรรจุภัณฑ์ที่ได้รับการออกแบบด้วยลายกราฟิกสปาร์คกลิ้งและสีสัน สะท้อนความเท่ ทันสมัย ซ่า สดชื่น ซึ่งเป็นความโดดเด่นของเอสได้อย่างลงตัวในทุกรสชาติ (เอส โคล่า เอส โคล่า ชูการ์ฟรี เอสสตรอเบอร์รี เอสครีมโซดา เอสส้ม เอสซอลตี้ลิ้นจี่ เอสเกรปเบอร์รี เอสกามิกาเซ่ เอสพิงค์บอมบ์ และเอสเลมอนไลม์)
  • ความ Awesome ที่ 3 Awesome Campaign: ส่งแคมเปญโดนใจคน Gen Zest ขยายฐานลูกค้าทั้งไทยและเอเชีย ดึงไอดอลตัวแทนคนรุ่นใหม่ชาวเอเชียทั้งเกาหลี-ไทย ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในแต่ละวงการ นำทีมโดย “ชาอึนอู” สุดยอดความ Awesome ซูเปอร์สตาร์ระดับเอเชีย “โบกี้ไลออน” สุดยอดนักร้องหญิงแห่งปี เจ้าของเพลงฮิตทั่วประเทศ “Yes Indeed” สุดยอดวงดนตรีน้องใหม่ ที่สร้างปรากฏการณ์สยามแตก และ “3 สาวนักวอลเลย์บอลนิวเจน” สุดยอดนักกีฬาวอลเลย์บอลสายเลือดใหม่ ที่รวมพลังคนไทยทั่วประเทศร่วมเชียร์ รวมตัวกันเป็นครั้งแรกในภาพยนตร์โฆษณาชุด “เอส โคล่า Born to be Awesome” เพื่อชวนคนรุ่นใหม่ Gen Zest ลิ้มรสความอร่อยซ่าของเอส โคล่า และกล้าเป็นตัวเอง

นอกจากนี้ ยังเปิดแคมเปญ Vote Awesome or not ให้ทั่วประเทศได้โหวตความอร่อย ซ่า Awesome ของ เอส โคล่า สูตรใหม่ เพียง Scan QR Code บนบรรจุภัณฑ์เอสของทุกขนาด เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการแสดงความคิดเห็นของคุณที่มีต่อรสชาติใหม่ของเอส โคล่า พร้อมแจกตัวอย่างผลิตภัณฑ์มากกว่า 1 ล้านกระป๋องทั่วประเทศ และกิจกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น กิจกรรมโร้ดโชว์เจาะกลุ่มเจนซีในโรงเรียนและมหาวิทยาลัย รวมทั้งจับมือช่องทางร้านอาหารพาร์ทเนอร์ เช่น Grab Food เป็นต้น สั่งอาหารรับฟรีทันที เอส โคล่า 1 กระป๋องเพื่อดื่มคู่กับมื้ออาหาร และทั้งยังมีแผนเปิด Awesome Stage ให้ Gen Zest ได้มาโชว์ความซ่าชวนกล้าเป็นตัวเองอีกด้วย

ทั้งนี้ ข้อมูลจากนีลเส็นไอคิว (มกราคม – ธันวาคม 2565) ตลาดน้ำอัดลมมีมูลค่า 57,000ล้านบาท มีการเติบโตเชิงปริมาณ 2% โดยเอส โคล่า มีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 8% มีการเติบโตที่ 9% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

from:https://www.thumbsup.in.th/est-cola-business-plan-2023?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=est-cola-business-plan-2023

มูจิ ประเทศไทย เปิดตัวคอลเล็กชันใหม่ MUJI Hemp ใช้เส้นใยกัญชงทำสินค้ารับกระแสความยั่งยืน

มูจิ ประเทศไทย (MUJI) ตอกอีกหมุดแสดงจุดยืนแนวคิดด้านความยั่งยืนสู่สินค้าแฟชั่น ใช้ “เส้นใยกัญชง” (Hemp) วัสดุสิ่งทอแห่งอนาคตถักทอความยั่งยืน จากกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำที่รักษ์โลกมากกว่า ด้วยต้นใยกัญชงมีวงจรการเพาะปลูกที่สั้น เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ไว ใช้ทรัพยากรน้อยกว่าในการดูแลน้อยกว่า และไม่จำเป็นต้องใช้ปุ๋ยหรือสารเคมีเร่ง ก็เจริญเติบโตได้ดี พร้อมประเดิมเปิดตัว MUJI HEMP Collection เครื่องแต่งกายคอลเลคชันใหม่ล่าสุดจากเส้นใยป่าน หรือใยกัญชง โดดเด่นด้วยเอกลักษณ์ สัมผัสบางเบา สวมใส่สบาย ระบายอากาศได้ดีเยี่ยม เหมาะสำหรับอากาศร้อน พร้อมกับดีไซน์ซิกเนเจอร์สไตล์ MUJI ที่ใส่ได้ทุกโอกาส ต้อนรับซัมเมอร์นี้ วางจำหน่ายแล้วที่ร้าน MUJI ทุกสาขา

muji

อกิฮิโร่ คาโมการิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มูจิ รีเทล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า สินค้าเครื่องแต่งกายและแฟชั่นเป็นอีกหนึ่งกลุ่มสินค้าที่นับเป็นซิกเนเจอร์โปรดักส์ของร้าน MUJI และครองใจผู้บริโภคมาโดยตลอด ด้วยเอกลักษณ์ของการดีไซน์ที่กลายเป็นผู้นำเทรนด์แฟชั่นสไตล์มินิมัล ด้วยความเรียบง่าย แต่ดูทันสมัย สามารถหยิบมาสวมใส่ได้ในทุกโอกาส ทั้งนี้ MUJI ได้วางจำหน่ายกลุ่มสินค้าเครื่องแต่งกายในมูจิประเทศไทยตั้งแต่เริ่มเปิดสาขาแรกเมื่อปี 2549 ปัจจุบันสินค้าเครื่องแต่งกายมีสัดส่วนประมาณ 50 % ของกลุ่มสินค้าทั้งหมดที่มีจำหน่ายใน MUJI โดยมียอดขายเป็นอันดับต้น ๆ เมื่อเทียบกับกลุ่มสินค้าอื่น ๆ ผนวกกับการที่ MUJI ได้เปิดตัวสินค้าและแคมเปญต่าง ๆ ที่ตอกย้ำด้านความยั่งยืน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากผู้บริโภคเป็นอย่างดีมาโดยตลอด เนื่องจากปัจจุบันเป็นหนึ่งในเทรนด์ของการเลือกสินค้าหรือ Core Value ของผู้บริโภคที่คาดหวังจากแบรนด์

“จากเทรนด์ดังกล่าว รวมกับพันธกิจหลักของ MUJI ในการดำเนินธุรกิจแบบยั่งยืนที่ยึดถือ และพิสูจน์มาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด MUJI ได้นำ “เส้นใยกัญชง” (Hemp) มาใช้เป็นวัสดุหลักในคอลเลคชันนี้ และจะเป็นอีกหนึ่งวัสดุหลักในการผลิตสินค้าเครื่องกาย MUJI โดยถือเป็นวัสดุทางเลือกเพื่อความยั่งยืน เพราะกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำสะท้อนคุณค่าการผลิตอย่างยั่งยืน เนื่องจากเส้นใยป่านเป็นผลผลิตจากพืชกัญชงที่มีวงจรการเพาะปลูกสั้น และเจริญเติบโตได้ดีโดยไม่ต้องใช้การดูแลมากเมื่อเทียบกับพืชชนิดอื่น ๆ เมื่อเริ่มเพาะปลูกจะใช้เวลาเพียงประมาณ 100 วันหรือประมาณ 3 เดือน ให้เจริญเติบโตเต็มวัย มีขนาดของลำต้นสูงได้มากสุดถึง 3 เมตร ก็เริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เลย นอกจากนี้ ในการดูแลถือว่าใช้ทรัพยากรน้อยกว่า เมื่อเทียบกับเส้นใยวัสดุที่ทำจากผลผลิตของพืชชนิดอื่น ๆ และใช้น้ำในการเพาะปลูกน้อยกว่า รวมถึงไม่จำเป็นต้องใช้ปุ๋ยหรือสารเคมีเร่งก็สามารถเจริญเติบโตได้ดี อีกทั้งมีความคงทนต่อสภาพอากาศและโรคทางการเกษตร และอายุวงจรของพืชมีระยะสั้นเพียง 1 ปี จึงทำให้สามารถเพาะปลูกใหม่ในพื้นที่เดิมได้ โดยไม่ทำลายพื้นที่ป่าหรือสิ่งแวดล้อมโดยรวม และยังเป็นพืชที่ช่วยบำรุงหน้าดิน สร้างความอุดมสมบูรณ์ให้กับพื้นดินอีกด้วย” นายคาโมการิ กล่าว

นอกจากนี้ คุณสมบัติตามธรรมชาติของเส้นใยกัญชงเหมาะสำหรับการนำมาเป็นวัสดุในการผลิตสิ่งทอ เครื่องแต่งกาย โดยเฉพาะการสวมใส่ในประเทศที่มีสภาพภูมิอากาศร้อนชื้น เนื่องจากเป็นเส้นใยที่ถึงแม้ว่าจะมีความคงทนในการใช้งาน แต่มีสัมผัสที่นุ่มเบา ระบายน้ำและถ่ายเทอากาศได้ดี รวมถึงมีคุณสมบัติตามธรรมชาติในการช่วยปกป้องรังสียูวี ดังนั้นเมื่อนำเส้นใยป่านมาผลิตเป็นสิ่งทอเครื่องแต่งกาย จึงช่วยปกป้องสีของเนื้อผ้าที่อาจจะจางลงจากแสงแดด ด้วยเหตุดังกล่าว ในฤดูกาล Spring/Summer นี้ MUJI จึงได้เปิดตัว MUJI HEMP Collection เครื่องแต่งกายคอลเลคชันใหม่ล่าสุดจากเส้นใยป่าน หรือใยกัญชง นับว่าเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์บนเส้นทางการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนของ MUJI

MUJI HEMP Collection เครื่องแต่งกายคอลเลคชันใหม่ล่าสุดจากเส้นใยกัญชง ออกแบบภายใต้แนวคิด Cool, Soft to the skin, Natural Fabric for sustainability โดดเด่นด้วยคุณสมบัติพิเศษของใยกัญชง ที่สวมใส่เย็นสบาย ระบายอากาศได้ดี และเนื้อผ้าแห้งเร็ว เหมาะสำหรับฤดูร้อน รวมถึงสภาพภูมิอากาศร้อนชื้นของประเทศไทย ผสานกับดีไซน์ซิกเนเจอร์สไตล์ MUJI ที่มีความเรียบแต่สุภาพ นำไปมิกซ์แอนด์แมทช์ได้ง่าย สวมใส่ได้ทุกโอกาส เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคนไทย และคนเมืองวัยทำงานที่สามารถสวมใส่เป็นชุดทำงานหรือใส่ออกไปทำกิจกรรมอื่น ๆ นอกบ้านได้คล่องตัว คอลเลคชันเครื่องแต่งกายออกแบบมาในโทนสีดีไซน์แบบร่วมสมัย และไทม์เลส (Timeless) ผลิตด้วยวัสดุเส้นใยมีคุณสมบัติที่ทนทาน มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน จึงทำให้เป็นคอลเลคชันที่สามารถหยิบมาสวมใส่ได้ตลอดบ่อยครั้ง ซึ่งนับว่าช่วยลดปัญหาขยะจากเครื่องแต่งกายได้อีกด้วย โดย MUJI HEMP Collection ประกอบไปด้วยหลากหลายดีไซน์ ทั้งเครื่องแต่งกายผู้หญิง อาทิ เสื้อเชิ้ตทูนิคเสื้อเบลาส์ เดรส กางเกงขายาวและขาสั้น และกระโปรง เครื่องแต่งกายผู้ชาย อาทิ เสื้อแจ็คเก็ต กางเกงขายาวและขาสั้น และเสื้อเชิ๊ตทรงเบสิค หลายสีสัน อีกทั้งยังมีสินค้าสำหรับเด็กอีกด้วย

from:https://www.thumbsup.in.th/muji-hemp?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=muji-hemp