แนะนำมือถือ ราคาไม่เกิน 15,000 บาท สเปคแรง ฟีเจอร์เด็ด กลางปี 2020

คราวนี้มาทางด้านมือถือช่วงราคางบไม่เกิน 15,000 บาทกันบ้าง สำหรับคนที่มีงบประมาณขึ้นมาหน่อย สเปคและฟีเจอร์ต่างๆ เริ่มใช้งานได้ใกล้เคียงรุ่นท็อป พร้อมกับเริ่มมีรุ่นที่รองรับเครือข่าย 5G กันแล้ว โดยในช่วงกลางปี 2020 นี้เองก็มีมือถือเปิดตัวมาหลายรุ่น อีกรุ่นอดีตท็อปทั้งหลายราคาก็ลดลงมาเริ่มจับต้องได้  ซึ่งจะมีรุ่นอะไรที่น่าสนใจมาดูกันครัับ

เปรียบเทียบสเปคมือถือ งบไม่เกิน 15,000 บาท (1)

ชื่อรุ่น Samsung Galaxy S10 Lite iPhone SE2 realme x50 5G
CPU Snapdragon 855 A13 Bionic Snapdragon 765G
RAM 8GB 3GB 8GB
Storage 128GB 64GB 128GB
หน้าจอ 6.7 นิ้ว Full HD+ 4.7 นิ้ว HD+ 6.57 นิ้ว Full HD 120Hz
กล้องหลัง
  • หลัก 48MP f/2.0
  • Ultrawide 12MP f/2.2
  • Macro 5MP f/2.4
กล้องเดียว 12MP f/1.8
  • หลัก 48MP f/1.8
  • Ultrawide 8MP f/2.3
  • Macro 2MP f/2.4
  • Depth 2MP f/2.4
กล้องหน้า 32MP f/2.2 7MP f/2.2
  • 16MP f/2.0
  • 2MP f/2.4
ถ่ายวิดีโอ สูงสุด 4K 30FPS, Full HD 60FPS สูงสุด 4K 60FPS, Full HD 60FPS สูงสุด 4K 30FPS, Full HD 60FPS
แบตเตอรี่ 4500 mAh 1821 mAh 4200 mAh
ชาร์จไว 18W 18W 30W
สแกนนิ้วมือ ใต้หน้าจอ ด้านหน้าปุ่มโฮม ด้านข้างตัวเครื่อง
รูหูฟัง 3.5 mm ไม่มี
การเชื่อมต่อ  WiFi 802.11ac 5GHz, Bluetooth 5.0 WiFi 802.11ax (WiFi 6), Bluetooth 5.0 WiFi 802.11ac 5GHz, Bluetooth 5.1
พอร์ตชาร์จ USB Type C Lightning USB Type C
SIM Hybrid Slot nano Sim (1 Slot) Dual Sim
5G ไม่รองรับ รองรับ
OS Android 10 / One UI 2 iOS 13 Android 10 / realme UI
ราคา  15,090 บาท 14,900 บาท 12,990 บาท

Samsung Galaxy S10 Lite

รุ่นเด่นราคาดิ่งสำหรับ Samsung Galaxy S10 Lite ที่ลดราคามาหลายพันบาท จุดเด่นของรุ่นนี้เลยคือมาพร้อมชิปเซ็ตรุ่นอดีตเหลือธงอย่าง Snapdragon 855 ที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยๆ บนมือถือ Samsung ที่มักจะใช้ Exynos มากกว่า นอกจากนี้เรื่องกล้องก็มีโหมด Super Steady OIS ที่เป็นกันสั่นช่วยในเรื่องของถ่ายวิดีโออีกด้วย

  • เหมาะกับคนที่ต้องการมือถือสเปคซีพียูแรงๆ หาซื้อง่ายขายคล่อง จอสวย Super AMOLED Plus และถ่ายวิดีโอมีกันสั่นที่ดีใช้ได้

iPhone SE2

ไม่ต้องคิดเยอะเลย สำหรับใครที่อยากได้มือถือ iPhone เครื่องใหม่ แต่มีงบแค่หมื่นกลางๆ อยากได้มือหนึ่ง ไม่เอามือสอง ซึ่ง Apple จัดให้กับ iPhone SE2 น้องเล็กรุ่นใหม่ล่าสุดที่พร้อมกับชิปเซ็ต A13 Bionic รุ่นเดียวกับ iPhone 11 Series แน่นอนว่าความแรงถือว่าแรงสุดในตลาดแล้ว เล่นได้ทุกเกมลื่นๆ

  • เหมาะกับคนที่ต้องการมือถือ iOS ในงบประหยัด หรืออยากลองใช้ iPhone ดูสักเครื่อง

realme 50X 5G

เปิดตัวมาอย่างคุ้มกับ realme X50 5G สเปคบอกเลยว่าจัดเต็มสุดๆ อัปเกรดขึ้นกว่าเดิมเยอะ ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอ 120Hz ที่มามากกว่าใครในช่วงราคานี้ ชิปเซ็ตก็ใช้ Snapdragon 765G ตัวใหม่ที่รองรับ 5Gในตัว กล้องหลัง 4 ตัวจัดเต็ม และมีกล้องหน้ามาให้ถึง 2 ตัวด้วยกัน แถมแบตก็ให้มาถึก ชาร์จก็ไว ในราคาเพียงแค่หมื่นต้นๆ เท่านั้นโคตรคุ้ม

  • เหมาะกับคนที่ต้องการเน้นมือถือสเปคแรงคุ้ม จอ 120Hz แถมรองรับ 5G เผื่ออนาคตอีกด้วย

เปรียบเทียบสเปคมือถือ งบไม่เกิน 15,000 บาท (2)

ชื่อรุ่น Huawei nova 7 SE Xiaomi Mi Note 10 Lite OPPO Reno 4
CPU Kirin 820 Snapdragon 730G Snapdragon 720G
RAM 8GB
Storage 128GB
หน้าจอ 6.5 นิ้ว Full HD+ 6.47 นิ้ว Full HD+ 6.4 นิ้ว Full HD+
กล้องหลัง
  • หลัก 64MP f/1.8
  • Ultrawide 8MP f/2.4
  • Macro 2MP f/2.4
  • Depth 2MP f/2.4
  • หลัก 64MP f/1.9
  • Ultrawide 8MP f/2.2
  • Macro 2MP f/2.4
  • Depth 5MP f/2.4
  • หลัก 48MP f/1.7
  • Ultrawide 8MP f/2.2
  • Macro 2MP f/2.4
  • Depth 2MP f/2.4
กล้องหน้า 16MP f/2.0 16MP f/2.5 32MP f/2.4
ถ่ายวิดีโอ สูงสุด 4K 30FPS, Full HD 60FPS
แบตเตอรี่ 4000 mAh 5260 mAh 4015 mAh
ชาร์จไว 40W 30W
สแกนนิ้วมือ ด้านข้างตัวเครื่อง ใต้หน้าจอ
รูหูฟัง 3.5 mm มี
การเชื่อมต่อ  WiFi 802.11ac 5GHz, Bluetooth 5.1 WiFi 802.11ac 5GHz, Bluetooth 5.0
พอร์ตชาร์จ USB Type C
SIM Hybrid Dual Sim Triple Slot
5G มี ไม่มี ไม่มี
OS Android 10 / EMUI 10.1 Android 10 / MIUI 11 Android 10 / ColorOS 7.2
ราคา 11,990 บาท 12,990 บาท 11,990 บาท

Huawei nova 7 SE

ใครที่กำลังมองหามือถือ 5G พร้อมใช้งานทันที ไม่ต้องรออัปเดต ราคาประหยัด ต้องโดนเลยกับ Huawei nova 7 SE ที่ถือเป็นมือถือ 5G ที่ราคาถูกที่สุดในไทย สเปคก็ถือว่าแรงใช้ได้ โดยมาพร้อมกับชิปเซ็ตตัว Kirin 820 แรมก็ให้มา 8GB ความจุ 128GB กล้องหลัง 4 ตัวจัดเต็ม ความละเอียดสูงสุด 64MP แบต 4000 mAh พร้อมชาร์จไวสูงสุด 40W ครบเครื่อง

  • เหมาะกับคนที่ต้องการมือถือ 5G ซื้อมาพร้อมใช้งาน ราคาไม่แพง กับไม่ได้เน้นเรื่อง Google Services เท่าไร

Xiaomi Mi Note 10 Lite

มาดูทางด้านแบรนด์ Xiaomi กันบ้างกับรุ่นน้องเล็กสเปคเรือธงอย่าง Mi Note 10 Lite ที่สเปคต่างๆ แทบจะถอดมาจากรุ่นพี่ตัวท็อป ซึ่งจะมาพร้อมกับชิปเซ็ต Snapdragon 730G เอามาเล่นเกมหนักๆ ได้สบายๆ กล้องหลัง 4 ตัวความละเอียดสูงสุดถึง 64MP แฟลชหลังสองตัว อีกทั้งแบตก็ให้มามากกว่าใครถึง 5260 mAh ใช้งานได้ถึง 2 วัน พร้อมชาร์จไว 30W

  • เหมาะกับคนที่ต้องการมือถือแบตเตอรี่ถึกๆ กับถ่ายรูปเป็นหลัก

OPPO Reno 4

เพิ่งเปิดตัวไปสดๆ ร้อนๆ กับ OPPO Reno 4 บอกเลยว่าสเปคกับราคาถือว่าโคตรได้ อีกทั้งใครที่พรีออเดอร์ช่วงนี้ ได้ของแถมมูลค่ากว่า 7,490 บาท อีกด้วย จุดเด่นของรุ่นนี้เลยคือมาพร้อมดีไซน์ใหม่หมดจด ชิปเซ็ต Snapdragon 720G กล้องหลัง 4 ตัว ความละเอียด 48MP พร้อมกล้องหน้า 2 ตัวมี Smart Sensor เพิ่มเข้ามาลูกเล่นเพียบ และถาดซิมใช้เป็นแบบ Triple Slot อีกด้วย

  • เหมาะกับคนที่ต้องการมือถือดีไซน์สดใหม่ ฟีเจอร์เยอะ สเปคคุ้ม เน้นใช้ 2 ซิม + micro SD Card พร้อมกันได้

เป็นอย่างไรกันบ้างกับมือถือช่วงราคา 15,000 บาทหวังว่าจะช่วยให้เพื่อนๆ เลือกรุ่นมือถือกันได้ถูกใจกันนะครับ ซึ่งนอกจากรุ่นที่กล่าวมาเพิ่มเติม ยังมี Samsung Galaxy A71, Galaxy Note 10 Lite และ Huawei P30 ก็น่าสนใจไม่แพ้กันราคาลดลงมาจากตอนเปิดตัวพอสมควร หรือเพื่อนๆ มีรุ่นไหนอยากจะแนะนำเพิ่มเติมก็สามารถมาคอมเมนต์ด้านล่างกันได้เลยนะครับ

from:https://droidsans.com/smartphone-recommendation-15000-baht-q2-2020/

Rare รีเมคเกม Battletoads ฉบับปี 2020 ลง Xbox One และพีซี หลังหายไปนาน 26 ปี

Rare เปิดตัวเกม Battletoads ฉบับรีเมคปี 2020 บน Xbox One และพีซี โดยประกาศกำหนดวางขาย 20 สิงหาคม 2020

Battletoads เป็นเกมแนวเดินหน้าลุย (beat ’em up) ที่ใช้ตัวละครเป็น “กบ” เกมภาคแรกออกในปี 1991 บนเครื่อง NES/Famicom และได้รับความนิยมไม่น้อยในฝั่งอเมริกา แต่เกมซีรีส์นี้มีอายุสั้น คือออกภาคสุดท้ายในปี 1994 แล้วเงียบหายไปนาน 26 ปี ก่อนกลับมาอีกครั้งในปี 2020

Rare ประกาศข่าวรีเมค Battletoads ในปี 2018 โดยร่วมพัฒนากับสตูดิโอ Dlala Studios แต่ก็เงียบหายไปอีกพักใหญ่ จนกลับมาเปิดตัวอีกครั้งในวันนี้

Battletoads เวอร์ชันปี 2020 ยังคงความเป็นเกม beat ’em up แนวการ์ตูนสีสันสดใสแบบดั้งเดิม ปรับฟรากให้ทันสมัยขึ้น และมีโหมด co-op แบบ local เล่นพร้อมกันในจอเดียวได้ 3 คน (ตามตัวละครหลักที่เป็นกบ 3 ตัว)

เกมจะออกขายบน Xbox One, Xbox Game Pass และพีซี Microsoft Store กับ Steam แต่ยังไม่ประกาศราคา

No Description

ที่มา – Xbox

Topics: 

from:https://www.blognone.com/node/117749

OPPO มอบโปรสุดคุ้ม! ในวัน OPPO WOW! DAY ที่ Shopee ลดสูงสุด 50% ห้ามพลาด! 31 กรกฎาคมนี้ เท่านั้น

OPPO มอบโปรส่วนลด พร้อมคูปองและของแถมเพียบ! ในวัน OPPO WOW! DAY ที่ Shopee ลดสูงสุด 50%พร้อมรับโค้ดส่วนลดเพิ่มอีก 1,000 บาท! กับสมาร์ทโฟนสุดฮอตและอุปกรณ์เสริมมากมายที่ร่วมรายการ เฉพาะวันที่ 31 กรกฎาคมนี้ เท่านั้น โดยรายละเอียดดีลเด็ดห้ามพลาด มีดังนี้

OPPO

OPPO Reno Series ซีรีส์มาแรง ประกอบด้วย OPPO Reno4 สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุด ภายใต้สโลแกน “Clearly the best you” ให้คุณถ่ายรูปสวยชัดและโดดเด่นในสไตล์ที่เป็นคุณ มาในราคา 11,990 บาท และ OPPO Reno2 สมาร์ทโฟนเพื่อการถ่ายวิดีโอได้นิ่งในทุกสถานการณ์ พิเศษเพียง 13,599 บาท จาก 17,990 บาท

OPPO Find X2 5G สมาร์ทโฟนที่มาพร้อมสุดยอดนวัตกรรม ทั้งในด้านหน้าจอที่มีอัตราการรีเฟรชสูงถึง 120Hz ระบบชาร์จไวที่เร็วที่สุด และกล้องที่ถ่ายภาพได้อย่างสวยงามคมชัด ลดเหลือเพียง 29,990 บาท จากราคา 33,990 บาท

สำหรับซีรีส์น้องเล็กอย่าง OPPO A Series ก็มาพร้อมโปรโมชั่นสุดคุ้มไม่แพ้กัน อย่าง OPPO A91 สมาร์ทโฟนที่ขายดีที่สุดในช่องทางออนไลน์ พิเศษเพียง 7,399 บาท จากปกติ 7,999 บาท หรือ เมื่อใช้คูปองจาก OPPO Official Store สามารถลดเพิ่มได้อีก 400 บาท! เหลือเพียง 6,999 บาท เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อซื้อ OPPO A91 แพ็คคู่กับหูฟัง OPPO Enco M31 พิเศษ

เหลือ 8,699 บาท จากปกติ 9,698 บาท สำหรับสมาร์ทโฟนน้องเล็กสเปคแรง ก็มาในราคาสุดคุ้มอย่าง OPPO A12 4GB รุ่นอัพเกรด RAM 4GB ROM 64GB ลดเหลือเพียง 4,599 บาท จากปกติ 4,999 บาท พร้อมสีใหม่! OPPO A12 3GB สีน้ำเงินเข้ม Deep Blue และ สีเงิน Flowing Silver พิเศษเพียง 3,999 บาท จากปกติ 4,599 บาท  

สำหรับหูฟังและอุปกรณ์เสริมก็ไม่ควรพลาด! จัดโปรเด็ดมาให้ช้อปกันในราคาสุดคุ้ม ได้แก่

  • OPPO Enco Free True Wireless Headphones พิเศษ 2,999 บาท จากปกติ 3,999 บาท
  • OPPO Enco W31 หูฟังไร้สาย พิเศษ 1,499 บาท จากปกติ 1,999 บาท 
  • OPPO Enco M31 หูฟังสุดฮิต พิเศษ 999 บาท จากปกติ 1,699 บาท! โดยวางจำหน่ายเฉพาะช่องทางออนไลน์เท่านั้น
  • OPPO Enco W11 หูฟังสุดเท่ พิเศษเพียง 999 บาท จาก 1,299 บาท

นอกจากนี้ยังมีส่วนลดคูปองเพิ่ม ยกเว้นเมื่อซื้อ OPPO Reno4, OPPO Reno3 Pro, OPPO A92, OPPO A91, OPPO Enco Free, OPPO Enco W31 และ OPPO Enco W11 ดังนี้

  • คูปองลดเพิ่ม 800 บาท เมื่อซื้อครบ 7,999 บา 
  • คูปองลดเพิ่ม 400 บาท เมื่อซื้อครบ 3,999 บาท 
  • คูปองลดเพิ่ม 100 บาท เมื่อซื้อครบ 1,499 บาท*
  • ส่วนลด 12% สำหรับหูฟังและอุปกรณ์เสริมที่ร่วมรายการ เพื่อใช้คูปองใน OPPO Official Store ยกเว้น OPPO Enco Free, OPPO Enco W31, OPPO Enco M31 และ OPPO Enco W11

พร้อม Surprise Voucher พิเศษสุดๆ ในจำนวนจำกัด ดังนี้

  • แจก Coins ลดเพิ่ม 1000 บาท เมื่อซื้อขั้นต่ำ 6,999 บาท (ยอดหลังหลักส่วนลด) ยกเว้น OPPO Reno4 และ OPPO A92 โดย Coins จะแจกภายในช่วงเวลา 0.00 – 8.59 น. และ 12.00 – 17.59 น. และสามารถใช้ Coins ได้ตามวันและเวลาที่แจกเท่านั้น
  • แจก โค้ด ลดเพิ่ม 1,000 บาท เมื่อซื้อขั้นต่ำ 7,999 บาท (ยอดหลังหลักส่วนลด) ยกเว้น OPPO Reno4, OPPO Reno3 Pro, OPPO A92, OPPO A91, OPPO Enco Free, OPPO Enco W31, OPPO Enco W11 และ สินค้าแพ็คคู่ โดยโค้ดจะแจกภายในช่วงเวลา 9.00 – 11.59 น. และ 18.00 – 23.59 น. และสามารถใช้ โค้ด ได้ตามวันและเวลาที่แจกเท่านั้น

เท่านั้นยังไม่พอ! OPPO เพิ่มกิจกรรมพิเศษ มอบความสนุกสำหรับขาช้อป โดยรายละเอียดมีดังนี้

  • HAPPY HOUR มือถือราคาพิเศษเพียง 999 บาท เพียง 1 เครื่องต่อช่วงเวลาเท่านั้น โดยจะแจกคูปองทุกต้นชั่วโมงของช่วงเวลาที่กำหนด เพียง 1 คูปอง ผู้ได้รับคูปองนั้นๆ ต้องใช้ในเวลาที่กำหนด* (รายละเอียดดูในลิงก์https://bit.ly/2CN8nwd)
  • BRAND GIVEAWAY แจกสมาร์ทโฟนและหูฟัง มูลค่ารวม 35,083 บาท เมื่อซื้อสมาร์ทโฟนผ่าน OPPO Official Store ขั้นต่ำ 3,999 บาท ในวันที่ 31 ก.ค. 63 และในลำดับออเดอร์ที่บริษัทฯ กำหนด ดังนี้
    • ออเดอร์แรก และ ลำดับที่ 731 รับฟรี! OPPO Reno4
    • ออเดอร์ลำดับที่ 31 และ 131 รับฟรี! OPPO Enco W11
    • ออเดอร์ลำดับที่ 231 , 331 , 431 , 531 และ 631 รับฟรี! OPPO Enco M31 

โดยจะประกาศรายชื่อผู้โชคดีในวันที่ 3 สิงหาคม 2563 ผ่านหน้าร้านค้า OPPO Official Store ใน แอพพลิเคชั่น Shopee

ช้อปได้เลยที่ OPPO Official Store ใน แอพพลิเคชั่น Shopee หรือ คลิกที่ https://bit.ly/2CN8nwd

from:https://www.mobileocta.com/oppo-offers-great-value-on-the-day-of-oppo-wow-day-at-shopee/

[ลือ] NVIDIA เป็นเจ้าเดียวที่เจรจาซื้อ Arm อย่างจริงจัง, การพูดคุยมึความก้าวหน้า

ต่อเนื่องจากข่าวลือที่ NVIDIA สนใจซื้อ Arm จาก SoftBank ล่าสุด Bloomberg รายงานเพิ่มเติมโดยอ้างอิงคนที่เกี่ยวข้องกับดีลนี้ว่า NVIDIA เป็นผู้สนใจรายเดียวที่มีการเจรจาจริงจังกับ SoftBank และการเจรจานี้มีความก้าวหน้า โดยทั้งสองฝ่ายคาดหวังว่าจะสามารถปิดดีลนี้ได้ในอีกไม่สัปดาห์ข้างหน้า

อย่างไรก็ตาม Bloomberg ระบุว่ายังไม่มีการตกลงใด ๆ กันทั้งสิ้นและดีลนี้ยังคงสามารถล่มได้อยู่ทุกเมื่อ แต่หากสำเร็จจริง NVIDIA อาจถูกเพ่งเล่งและตรวจสอบจากหน่วยงานภาครัฐอย่างหนัก เพราะจะมี conflict of interest กับลูกค้าหลายรายของ Arm ที่เป็นคู่แข่งกับ NVIDIA

ที่มา – Bloomberg

from:https://www.blognone.com/node/117748

1 สิงหาคมนี้ เตรียมบุกเบิกพลัง 5G ไปกับ realme X50 5G พร้อมโปรโมชั่นและของแถมจัดเต็ม

เมื่อเร็วๆนี้ realme แบรนด์สมาร์ทโฟนเพื่อคนรุ่นใหม่ที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก ได้มีการจัดเซอร์ไพรส์เปิดตัวอีกหนึ่งสมาร์ทโฟน 5G อย่าง realme X50 5G ในงานเปิด realme Flagship store ศูนย์การค้าเซนทรัลเวิลด์ที่ผ่านมา เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้ใช้งาน 5G ได้อย่างครอบคลุมยิ่งขึ้น

โดย realme X50 5G มาพร้อมชิปเซ็ต Snapdragon 765G 5G หน้าจอขนาด 6.57 นิ้ว ไหลลื่นด้วยอัตรา Refresh Rate 120Hz รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 30W Dart Charge สามารถชาร์จเต็ม 100% ในเวลาเพียง 55 นาที  

วางจำหน่ายพร้อมกันในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ ในราคาเพียง 12,990 บาท ที่ realme Brand Shop และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ

realme X50 5G

realme X50 5G วางจำหน่ายพร้อมกันทั่วประเทศในวันที่ 1 สิงหาคม ในราคาเพียง 12,990 บาท ผ่อน 0% นานสูงสุด 10 เดือน พร้อมรับของแถมเครื่องทำความชื้น และบัตร VIP Card ประกันหน้าจอแตก 1 ปี มูลค่า 5,990 บาท ผ่านตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศไม่ว่าจะเป็น realme Brand Shop, Banana, BKK, KingKongPhone, TG FONE, Jaymart, IT City และ CSC

สำหรับช่องทางออนไลน์ วางจำหน่ายในวันที่ 1 สิงหาคม ในราคาเพียง 12,990 บาท ผ่อน 0% นานสูงสุด 10 เดือน พร้อมรับของแถมเครื่องทำความชื้นและหมอนรองคอ realme ที่ realme Official Store ในช่องทาง Lazada และ Shopee และสำหรับช่องทาง Thisshop รับเครื่องทำความชื้น

ช่องทางการจำหน่าย                                                                                                                             

Lazada – https://bit.ly/X50LZDTH                                                                                                                 
Shopee – https://bit.ly/X50SHPTH                                
Thisshop – https://bit.ly/3fc0RbD

สำหรับลูกค้า AIS TruemoveH และ dtac เป็นเจ้าของ realme X50 5G ในราคาเริ่มต้นเพียง 7,990 บาท ผ่อน 0% นานสูงสุด 10 เดือน พร้อมของแถมเครื่องทำความชื้น และ VIP Card ประกันหน้าจอแตก 1 ปี มูลค่ารวม 5,990 บาท

realme X50 5G พร้อมบุกเบิกพลังด้วยสเปคดังนี้

●    ชิปเซ็ต Snapdragon 765G ใช้กระบวนการผลิต EUV ขนาด 7nm ความเร็วสูง 2.4GHz ลดการใช้พลังงานโดยรวมลง 35% และประสิทธิภาพการทำงานเพิ่มขึ้น 10%

●    หน้าจออัตรา Refresh Rate 120Hz ลื่นไหลกว่า100% เมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนที่มีอัตรา Refresh Rate 60Hz

●    ระบบชาร์จเร็ว 30W Dart Charge พร้อมแบตเตอรี่ความจุ 4200mAh สามารถชาร์จเต็ม 100% ในเวลาเพียง 55 นาที

●    รองรับฟีเจอร์ Smart 5G ที่สามารถสลับการเชื่อมต่อระหว่าง 4G และ 5G โดยอัตโนมัติ พร้อมการเชื่อมต่อ Dual Wi-Fi โดยผู้ใช้งานสามารถเชื่อมต่อกับ Wi-Fi สองเครือข่ายในเวลาเดียวกันได้และ Dual Channel (Data และ Wi-Fi) สลับการเชื่อมต่อระหว่างอินเทอร์เน็ตบนมือถือและ Wi-Fi โดยอัตโนมัติเพื่อการเชื่อมต่ออย่างเสถียร

●    กล้องหลัง AI 4 เลนส์ ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล กล้องหน้าคู่แบบเจาะรู ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล และโหมดถ่ายภาพกลางคืน Nightscape 3.0 ด้วยโหมดขาตั้งกล้อง และ Ultra Nightscape

●    ดีไซน์ได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติจากป่าสู่สี Jugle Green และน้ำแข็งสู่สี Ice Silver

พร้อมฝาหลังวัสดุกระจกโค้งมนแบบ 3 มิติ สะท้อนสีสวยงามเปล่งประกาย

ร่วมสัมผัสประสบการ์ณพร้อมบุกเบิกพลัง 5G ไปกับ realme X50 5G ในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ ที่ realme Brand shop และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/realmeTH

*หมายเหตุ: ข้อกำหนดและเงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

คลิกช้อปสมาร์ทโฟน realme ได้ที่นี่ >>> http://bit.ly/2Uk8hju

from:https://www.mobileocta.com/this-august-1-prepare-to-pioneer-the-power-of-5g-with-the-realme-x50-5g/

[Guest Post] การปรับเปลี่ยนธุรกิจสู่ “ดิจิทัล” ของเอสเอ็มอีไทย จะเพิ่มมูลค่า 41,000 ล้านดอลลาร์ ให้กับจีดีพีของไทย ภายในปี 2567

การปรับเปลี่ยนธุรกิจสู่ ดิจิทัลของเอสเอ็มอีไทย จะเพิ่มมูลค่า 41,000 ล้านดอลลาร์ ให้กับจีดีพีของไทย ภายในปี 2567 และช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม

  • เอสเอ็มอีที่มีความพร้อมด้านดิจิทัลจะมีรายได้ และสร้างผลผลิตที่สูงกว่า ส่งผลดีต่อการขยายธุรกิจ และการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ
  • ผลการศึกษาความพร้อมด้านดิจิทัลล่าสุดชี้ว่า เอสเอ็มอีไทยแซงหน้าเกาหลี ฮ่องกง และมาเลเซีย ในเรื่องความพร้อมด้านดิจิทัล

 

 

การปรับเปลี่ยนธุรกิจสู่ดิจิทัลของเอสเอ็มอีในไทยจะเพิ่มมูลค่า 35,000 ถึง 41,000 ล้านดอลลาร์ ให้กับจีดีพีของไทย ภายในปี 2567 และช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศโดยรวมหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตามผลการศึกษาความพร้อมทางด้านดิจิทัลของธุรกิจเอสเอ็มอีในเอเชีย-แปซิฟิก (Asia Pacific SMB Digital Maturity Study) ประจำปี 2563

การศึกษาดังกล่าวอ้างอิงข้อมูลจากการสำรวจความคิดเห็นของธุรกิจเอสเอ็มอีทั่วภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งดำเนินการโดย International Data Corporation (IDC) โดยได้รับมอบหมายจากซิสโก้  ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า ธุรกิจเอสเอ็มอีที่มีความพร้อมทางด้านดิจิทัลมากกว่าจะได้รับประโยชน์สองเท่าในแง่ของรายได้ และผลผลิตเมื่อเทียบกับธุรกิจที่ไม่สนใจเรื่องการปรับเปลี่ยนสู่ดิจิทัล

ธุรกิจเอสเอ็มอีมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจของไทย  ข้อมูลจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ระบุว่า ภาคธุรกิจเอสเอ็มอีคิดเป็นสัดส่วน 85.5 เปอร์เซ็นต์ของแรงงานทั้งหมดในไทย และสร้างมูลค่าให้จีดีพีถึง 43%  ด้วยเหตุนี้ เอสเอ็มอีจึงมีบทบาทสำคัญต่อการฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโตหลังวิกฤตโควิด

ผลการศึกษาอ้างอิงผลการสำรวจความคิดเห็นของธุรกิจเอสเอ็มอีชี้ว่า 73 เปอร์เซ็นต์ของ  เอสเอ็มอีในไทยมีแผนที่จะปรับเปลี่ยนการดำเนินงานสู่ดิจิทัล เพื่อสามารถนำเสนอสินค้าและบริการที่แปลกใหม่ ขณะที่ 50 เปอร์เซ็นต์ของธุรกิจเอสเอ็มอี ตระหนักว่าคู่แข่งกำลังปรับเปลี่ยนการดำเนินงานสู่ดิจิทัล และพวกเขาต้องก้าวตามให้ทัน ขณะที่อีก 23 เปอร์เซ็นต์กำลังดำเนินการปรับเปลี่ยนสู่ดิจิทัลเพราะลูกค้าต้องการ

นายวัตสัน ถิรภัทรพงศ์ กรรมการผู้จัดการซิสโก้ ประเทศไทย และภูมิภาคอินโดจีน

 

นาย วัตสัน ถิรภัทรพงศ์ กรรมการผู้จัดการซิสโก้ ประเทศไทย และภูมิภาคอินโดจีน  กล่าวว่า “ ธุรกิจเอสเอ็มอีได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากการแพร่ระบาดของโควิด-19  อย่างไรก็ดี  เอสเอ็มอีเหล่านี้ยังมีความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจ และได้ดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ หนึ่งในวิธีที่เราเห็นมากในช่วงโควิดก็คือ เอสเอ็มอีมีการปรับใช้เทคโนโลยีเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างต่อเนื่องแม้จะเป็นช่วงแพร่ระบาด ขณะที่ประเทศไทยเริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุมและข้อจำกัดบางอย่าง และผู้บริโภคเริ่มหันมาจับจ่ายใช้สอยตามปกติอีกครั้ง การปรับเปลี่ยนการดำเนินงานสู่ดิจิทัล หรือดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น (Digital Transformation) ของเอสเอ็มอีจะมีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อการฟื้นฟูธุรกิจ และช่วยการเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวมของไทย ซิสโก้มุ่งมั่นที่จะให้ความช่วยเหลือแก่เอสเอ็มอีในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจโดยอาศัยโซลูชั่นดิจิทัล และกลยุทธ์ที่เหมาะสม”

ผลการศึกษาระบุว่า การจัดซื้อหรืออัพเกรดซอฟต์แวร์ไอที (20 เปอร์เซ็นต์) เป็นการลงทุนที่เอสเอ็มอีไทยให้ความสำคัญมากที่สุด ตามมาด้วยการจัดซื้อและอัพเกรดฮาร์ดแวร์ไอที (15 เปอร์เซ็นต์) และการลงทุนในคลาวด์ (11 เปอร์เซ็นต์)

อย่างไรก็ตาม เอสเอ็มอีต้องเผชิญกับปัญหาท้าทายเฉพาะหน้าในหลายๆ เรื่อง โดยผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่า การขาดแคลนทักษะด้านดิจิทัลและการเข้าถึงบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ (20 เปอร์เซ็นต์) เป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดสำหรับเอสเอ็มอีในการปรับเปลี่ยนการดำเนินงานสู่ดิจิทัล รองลงมาได้แก่ การไม่มีโรดแมพในการปรับเปลี่ยนธุรกิจสู่ดิจิทัล (18 เปอร์เซ็นต์) และการขาดแคลนเทคโนโลยีที่จำเป็น (15 เปอร์เซ็นต์)

พิธาน รอย กรรมการผู้จัดการฝ่ายธุรกิจขนาดเล็กประจำเอเชีย-แปซิฟิก ญี่ปุ่น และจีนของซิสโก้ กล่าวว่า “ตอนนี้นับเป็นโอกาสที่ดีสำหรับธุรกิจเอสเอ็มอี  อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ธุรกิจเหล่านี้ได้รับประโยชน์สูงสุดในระยะยาว ทุกภาคส่วนจำเป็นที่จะต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหาสำคัญๆ ที่ธุรกิจเอสเอ็มอีต้องเผชิญ ทั้งในส่วนของภาครัฐ สถานศึกษา บริษัทขนาดใหญ่ และธุรกิจในภาคอุตสาหกรรม เพราะไม่มีองค์กรใดสามารถแก้ไขปัญหาทั้งหมดนี้ได้โดยลำพัง ที่ซิสโก้ เราภูมิใจที่เรามีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือเอสเอ็มอีปรับเปลี่ยนสู่ดิจิทัล ในแง่ของการพัฒนาบุคลากร Cisco Networking Academy ได้ฝึกอบรมบุคลากรกว่า 2.5 ล้านคนทั่วภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ญี่ปุ่น และจีน เพื่อเพิ่มพูนทักษะด้านไอซีทีที่หลากหลาย นับตั้งแต่ที่ก่อตั้งสถาบัน  และในส่วนที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี เราได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นที่คัดสรรเป็นพิเศษสำหรับเอสเอ็มอีภายใต้กลุ่มผลิตภัณฑ์ Cisco Designed

สำหรับเอเชีย-แปซิฟิก การปรับเปลี่ยนธุรกิจสู่ดิจิทัลของเอสเอ็มอีจะเพิ่มมูลค่า 2.6 – 3.1 ล้านล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 80 – 100 ล้านล้านบาทให้กับจีดีพีของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกภายในปี 2567  ทั้งนี้ ข้อมูลคาดการณ์ของไอดีซีระบุว่า จีดีพีของเอเชีย-แปซิฟิกจะเติบโตประมาณ 10.6 – 14.6 ล้านล้านดอลลาร์ และการปรับเปลี่ยนสู่ดิจิทัลของเอสเอ็มอีคิดเป็นสัดส่วนถึง 25 เปอร์เซ็นต์ของการเติบโตดังกล่าว

ผลการศึกษาเน้นย้ำว่า เกือบ 70 เปอร์เซ็นต์ของเอสเอ็มอีในเอเชีย-แปซิฟิกกำลังเร่งการปรับเปลี่ยนธุรกิจสู่ดิจิทัลซึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์โควิด-19  นอกจากนี้ ผู้ตอบแบบสอบถาม 86 เปอร์เซ็นต์เชื่อว่าการปรับเปลี่ยนสู่ดิจิทัลจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับธุรกิจเพื่อสามารถรับมือกับวิกฤตการณ์ในอนาคตได้ ดังเช่นกรณีการแพร่ระบาดของโควิด-19

แม้ว่าจะมีปัญหาท้าทายต่างๆ แต่เอสเอ็มอีในภูมิภาคนี้ยังคงมีความคืบหน้าในการปรับเปลี่ยนการดำเนินงานสู่ดิจิทัล โดยผลการศึกษาชี้ว่า ปัจจุบัน 16 เปอร์เซ็นต์ของเอสเอ็มอีในภูมิภาคนี้มีความพร้อมด้านดิจิทัลขั้นสูง (ขั้นที่ 3 และ 4) เปรียบเทียบกับ 11 เปอร์เซ็นต์ในปี 2562 นอกจากนี้ เอสเอ็มอีมากกว่าครึ่งหนึ่งเพียงเล็กน้อยได้ดำเนินการปรับเปลี่ยนสู่ดิจิทัลในระดับหนึ่ง และอยู่ในสถานะของ Digital Observer (ขั้นที่ 2) และมีเอสเอ็มอีเพียง 31เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ยังคงตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงของตลาดในลักษณะเชิงรับ และแทบไม่ได้ดำเนินการใดๆ ในการปรับเปลี่ยนสู่ดิจิทัล (ขั้นที่ 1)

ภายในภูมิภาคนี้ เอสเอ็มอีในสิงคโปร์ ญี่ปุ่น และนิวซีแลนด์ยังคงเป็นผู้นำในกลุ่ม Digital Observer โดยการจัดอันดับไม่มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับปี 2562  อย่างไรก็ตาม จีนแผ่นดินใหญ่ ไต้หวัน และไทยได้แซงหน้าเกาหลี ฮ่องกง และมาเลเซียตามลำดับ  นอกจากนี้ เอสเอ็มอีในอินโดนีเซียและเวียดนามมีความคืบหน้าในการดำเนินงานปรับเปลี่ยนสู่ดิจิทัลอย่างเห็นได้ชัด

นายแดเนียล-โซอี จีเมเนซ ผู้ช่วยรองประธาน ฝ่ายวิจัยด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นและเอสเอ็มอีของไอดีซี กล่าวว่า “การปรับเปลี่ยนการดำเนินงานสู่ดิจิทัลถือเป็นภารกิจที่จำเป็นสำหรับเอสเอ็มอี เพื่อให้สามารถอยู่รอดได้ในอนาคต  สถานการณ์โควิด-19 เป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้เอสเอ็มอีต้องเปลี่ยนย้ายไปสู่ระบบดิจิทัล โดยจำเป็นต้องปรับใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อรองรับการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับธุรกิจ และพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น  ในการปรับเปลี่ยนระบบงานธุรกิจ การดำเนินงาน และการให้บริการแก่ลูกค้า เอสเอ็มอีมักจะให้ความสำคัญกับบริการคลาวด์และระบบรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์เป็นอันดับแรก และขณะเดียวกันก็ให้ความสำคัญมากขึ้นกับเรื่องประสบการณ์ของลูกค้า การประชุมทางไกลผ่านวิดีโอ และโซลูชัน AI/ระบบวิเคราะห์ข้อมูล  เนื่องจากสภาพตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อีกทั้งเทคโนโลยีก็มีการพัฒนาอย่างฉับไว ดังนั้นเอสเอ็มอีจึงควรทำงานกับพันธมิตรอย่างเหมาะสม เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการลงทุนด้านเทคโนโลยี และประสบความสำเร็จในการปรับเปลี่ยนธุรกิจสู่ดิจิทัล”

การศึกษาในปีนี้เป็นการติดตามผลจากรายงานดัชนีความพร้อมทางด้านดิจิทัลของเอสเอ็มอี (SMB Digital Maturity Index) ประจำปี 2562 ซึ่งสำรวจสถานะการปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัลของเอสเอ็มอีในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก  ส่วนการศึกษาของปี 2563 มีจุดมุ่งหมายเพื่อทำความเข้าใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคืบหน้าในการดำเนินการของเอสเอ็มอีสำหรับการปรับเปลี่ยนธุรกิจสู่ดิจิทัล รวมถึงผลกระทบของการปรับเปลี่ยนสู่ดิจิทัลของเอสเอ็มอี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่การผลักดันกิจกรรมทางด้านเศรษฐกิจ

ข้อมูลเพิ่มเติม:

 

เกี่ยวกับระเบียบวิธีการจัดทำผลการศึกษา

การศึกษาความพร้อมทางด้านดิจิทัลของธุรกิจเอสเอ็มอีในเอเชีย-แปซิฟิก (Asia Pacific SMB Digital Maturity Study) ประจำปี 2563 รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจากธุรกิจเอสเอ็มอีกว่า 1,400 รายใน 14 ประเทศในเอเชีย-แปซิฟิก เพื่อสำรวจปัญหาท้าทายและโอกาสที่บริษัทเหล่านี้ต้องเผชิญในการปรับเปลี่ยนการดำเนินงานสู่ดิจิทัล (Digital Transformation)  14 ประเทศที่ทำการสำรวจได้แก่ ออสเตรเลีย จีน ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ไทย ไต้หวัน และเวียดนาม

ดัชนีความพร้อมทางด้านดิจิทัลของธุรกิจเอสเอ็มอี (SMB Digital Maturity Index) ประกอบด้วย 4 ด้าน ได้แก่ กลยุทธ์ด้านดิจิทัลและองค์กร กระบวนการดิจิทัลและการกำกับดูแล เทคโนโลยีดิจิทัล และบุคลากรดิจิทัลและทักษะ แต่ละด้านเกี่ยวข้องกับความเชี่ยวชาญด้านดิจิทัล และสามารถใช้เป็นดัชนีตรวจวัดความพร้อมสำหรับแง่มุมที่เฉพาะเจาะจงของส่วนงานธุรกิจ รวมถึงประสิทธิภาพการดำเนินงาน และใช้กำหนดเป้าหมายสำหรับธุรกิจเอสเอ็มอีในการปรับเปลี่ยนการดำเนินงานสู่ดิจิทัล

ความพร้อมด้านดิจิทัลมี 4 ขั้นดังต่อไปนี้

  • ขั้นที่ 1 – Digital Indifferent: บริษัทที่ตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงของตลาดในลักษณะเชิงรับ และไม่มีการดำเนินการปรับเปลี่ยนด้านดิจิทัล
  • ขั้นที่ 2 – Digital Observer: บริษัทที่เริ่มดำเนินการปรับเปลี่ยนด้านดิจิทัล แต่ยังคงอยู่ในระยะเริ่มต้น และเป็นโครงการขนาดเล็ก
  • ขั้นที่ 3 – Digital Challenger: บริษัทที่มีกลยุทธ์ในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และตอบสนองต่อตลาดในลักษณะเชิงรุก
  • ขั้นที่ 4 – Digital Native: บริษัทที่มีกลยุทธ์ด้านการปรับเปลี่ยนสู่ดิจิทัลอย่างครบวงจร และมุ่งเน้นการขับเคลื่อนนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง

 

เกี่ยวกับ ซิสโก้

ซิสโก้ (NASDAQ: CSCO) เป็นผู้นำเทคโนโลยีระดับโลกที่ยกระดับการใช้งานอินเทอร์เน็ต ซิสโก้สร้างความเป็นไปได้ใหม่ๆ จากวิธีการใช้แอปพลิเคชันที่แตกต่างไปจากเดิม การรักษาความปลอดภัยของข้อมูล การปรับเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐาน และช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้กับทีมของคุณเพื่อโลกแห่งอนาคต เปิดประสบการณ์เพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบเน็ตเวิร์ก และติดตามข่าวสารของซิสโก้บนทวิตเตอร์ที่ @Cisco

from:https://www.techtalkthai.com/cisco-asia-pacific-smb-digital-maturity-study-2020/

Spotify มียอดผู้ใช้งานต่อเนื่องเพิ่มขึ้นถึง 29% และมีผู้สมัครแพ็คเกจ Premium ทั่วโลกเกือบ 300 ล้านคน

แพลตฟอร์มเพลงออนไลน์ยอดนิยมอย่าง Spotify ได้ประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ของปี 2020 มาแล้ว โดยรวม ๆ มีอัตราการผู้ใช้งานต่อเนื่องที่เพิ่มขึ้นจากปี 2019 พุ่งสูงถึง 29% นับเป็นจำนวนผู้ใช้งานจาก 232 ล้านคน ในช่วงไตรมาสแรก เพิ่มขึ้นเป็น 299 ล้านคนในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2020

Spotify ยังมีจำนวนผู้ใช้งานแบบ Premium ที่ต้องเสียค่าบริการรายเดือนเพิ่มมากขึ้นถึง 27% หากเทียบกับปีที่แล้ว โดยในปัจจุบันมีผู้ใช้งาน Spotify แบบ Premium ทั่วโลกมากถึง 138 ล้านคน ทำให้ผลประกอบการรวมที่ได้มาจากค่าสมัครพรีเมี่ยมสูงถึง 1,889 ล้านยูโร (70,129 ล้านบาท) คิดเป็นกำไรกว่า 479 ล้านยูโร (18,085 ล้านบาท)

แม้ว่าช่วงที่โรค COVID-19 ระบาดไปทั่วโลกและส่งผลกระทบเป็นวงกว้างให้หลาย ๆ ธุรกิจทั่วโลกต้องชะลอตัวลงไป แต่สำหรับ Spotify กลับมีจำนวนผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้นอย่างคงที่ตั้งแต่ต้นปี 2020 ส่วนที่ลดลงก็มีแค่ผู้ใช้งาน Spotify ในรถเท่านั้น เนื่องจากมีผู้ฟังเพลงบนรถลดลงถึง 10% ในช่วง COVID-19 แต่การที่ผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นในช่วงนั้น ก็น่าจะมีสาเหตุมาจากคนที่ต้อง Work from home มากขึ้น และออกไปเที่ยวไหนไม่ได้เพราะต้องกักตัวอยู่ในบ้านนั่นเอง

Q2 2019 Q1 2020 Q2 2020
จำนวนผู้ใช้งานต่อเนื่อง 232 ล้านคน 286 ล้านคน 299 ล้านคน
จำนวนผูุ้ใช้งานพรีเมี่ยม 108 ล้านคน 130 ล้านคน 138 ล้านคน
ผู้ใช้งานฟรีผ่านการชมโฆษณา 129 ล้านคน 163 ล้านคน 170 ล้านคน

Spotify ถือว่าเป็นแอปบริการสตรีมเพลงที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายกว่า 79 ประเทศทั่วโลก และมีเพลงจากศิลปินมากมาย หลากหลายแนว หลากหลายภาษา รวม ๆ แล้วมีจำนวนมากกว่า 50 ล้านเพลง แถมยังขยายขึ้นเรื่อย ๆ ทุกวัน ซึ่งดูจากผลประกอบการนี้ก็สามารถบอกได้ระดับนึงแล้วว่าสถานการณ์หลาย ๆ อย่างก็ค่อย ๆ เริ่มคลี่คลายไปทางที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ นอกจากนี้ Spotify ยังมั่นใจว่าผลประกอบการไตรมาสหน้าจะดีขึ้นอีกด้วย

 

Source: GSMArena

from:https://droidsans.com/spotify-got-more-on-going-member-by-29-percent/

Review – ASUS VivoBook S15 S533 สเปก i5-1035G1 + MX350 โน้ตบุ๊คบางเบา หน้าจอ 15.6″ ดีไซน์สวย สีสันแตกต่าง แบตใช้นาน 10 ช.ม.

ASUS VivoBook S15 S533 เป็นโน้ตบุ๊คดีไซน์สวยหน้าจอ 15.6″ ปี 2020 มีความบางและเบาเพียง 1.8 กิโลกรัม ที่ได้สเปก Intel Core i Gen 10 ได้สถาปัตยกรรม Ice Lake เทคโนโลยีการผลิตที่ 10 นาโนเมตร ที่แรงลื่นทรงพลังยิ่งกว่าชิปประมวลผลรุ่นก่อนๆ แบบพอตัว พร้อมมี AI เข้าช่วย โดดเด่นด้วยการ์ดจอแยกรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง NVIDIA GeForce MX350 ซึ่งให้ประสิทธิภาพเทียบเคียงกับการ์ดจอ Gaming วัสดุเป็นโลหะอลูมิเนียมตลอดทั้งตัวเครื่อง ให้ความพรีเมียมดูดีเกินราคา เจาะตลาดนักเรียนนักศึกษา รวมไปถึงคนวัยทำงานที่ยังหนุ่มสาวเป็นหลัก สมกับเป็นโน้ตบุ๊ครุ่นใหม่สายทำงานและไลฟ์สไตล์

สำหรับ ASUS VivoBook S15 S533 ได้รับการออกแบบที่ดูทันสมัยยิ่งขึ้น แม้จะเป็นโน้ตบุ๊คสายทำงานที่เน้นการพกพาไปใช้งานนอกสถานที่แล้ว สเปคเน้นประสิทธิภาพที่มากว่า มาพร้อมกับดีไซน์ใหม่และสีสันใหม่ โดดเด่นด้วยสีสัน Dreamy White และได้ปุ่ม Enter key ไฮไลท์สีเหลือง โดยสเปกที่ได้รับมารีวิวในครั้งนี้เป็น Core i5-1035G1 / GeForce MX350 + RAM 8GB + SSD 512GB + จอ 15.6″ IPS Full HD มี Windows 10 แท้ ประกัน 2 ปี + ประกันอุบัติเหตุ 1 ปีตามมาตรฐานของ ASUS ในราคาที่ 25,900 บาทเท่านั้น 

from:https://notebookspec.com/review-asus-vivobook-s15-s533-spec-i5-1035g1-mx350/530400/

จีนเปิดใช้งานดาวเทียมนำทาง BeiDou ทั่วโลกเต็มรูปแบบ

จีนเปิดใช้งานระบบดาวเทียมนำทาง BeiDou ครบทั้งโลกเป็นทางการหลังจากยิงครบทั้งระบบที่วางแผนไว้ตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยสี จิ้นผิง เป็นผู้กล่าวเปิดที่หอประชุมใหญ่ของประชาชน (the Great Hall of the People in Beijing) ด้วยตัวเอง โดยก่อนหน้านี้ระบบอยู่ระหว่างการทดสอบขั้นสุดท้าย

ระบบดาวเทียม BeiDou นอกจากสามารถส่งข้อมูลเวลาเพื่อนำทางด้วยความแม่นยำสูงแล้ว ยังสามารถส่งข้อความไม่เกิน 1,200 ตัวอักษรจีน หรือส่งภาพให้แก่กัน

ที่มา – Japan Times

Topics: 

from:https://www.blognone.com/node/117746

แบงก์ชาติชี้เศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 คือจุดต่ำสุด คาดว่าปี 2022 เศรษฐกิจไทยถึงฟื้นเท่าก่อน COVID-19

ธนาคารแห่งประเทศไทยได้รายงานสภาวะเศรษฐกิจในเดือนมิถุนายนและในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา มองว่าเศรษฐกิจไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว อย่างไรก็ดีไทยนั้นอาจต้องใช้เวลาถึง 2 ปีกว่าจะฟื้นเศรษฐกิจกลับมาเท่าก่อนช่วง COVID-19

Suvarnabhumi Airport สนามบินสุวรรณภูมิ ช่วง COVID-19
ภาพจาก Shutterstock

ดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้กล่าวถึงเศรษฐกิจไทยในช่วงเดือนมิถุนายน และสรุปภาพรวมของเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 ว่าภาพรวมของเศรษฐกิจไทยยังถือว่าเปราะบาง อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานติดลบ สอดคล้องกับอุปสงค์ในประเทศที่อ่อนแอ ขณะที่ในส่วนของตลาดแรงงาน จำนวนผู้ว่างงานยังเพิ่มสูงขึ้น ด้านดุลบัญชีเดินสะพัดใกล้สมดุล ขณะที่ดุลบัญชีเงินทุนเคลื่อนย้ายเกินดุลสุทธิจากทั้งด้านสินทรัพย์และด้านหนี้สิน

ธนาคารแห่งประเทศไทย มองว่าภาคการส่งออกของไทยน่าจะปรับตัวดีขึ้น แต่ปรับตัวขึ้นครั้งนี้ดีไม่เท่ากับก่อน COVID-19 ดัชนีภาคการบริโภคของธนาคารแห่งประเทศไทยในเดือนมิถุนายนถดถอยที่ -4.7% ทั้งไตรมาส -10.3% ขณะที่ภาคการผลิตของไทยถือว่าดูดีกว่าเดิมโดยตัวเลขล่าสุดในเดือนมิถุนายนหดตัวมาอยู่ที่ -17.7% และธนาคารแห่งประเทศไทยยังคาดว่าภาคการผลิตของไทยจะยังหดตัวในปีนี

สำหรับการบริโภคในประเทศนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เก็บข้อมูลการใช้บัตรเครดิตและเดบิตในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมาพบว่าปริมาณการใช้ในช่วงเดือนเมษายนถือเป็นจุดต่ำสุด และกำลังค่อยๆ ฟื้นตัวอยู่ในขณะนี้ อย่างไรก็ดีการบริโภคภาคครัวเรือนของไทยยังถือว่าน่าเป็นห่วงเมื่อดูจากปัจจัยผู้ขอรับสิทธิ์การว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก และคาดว่าตลาดแรงงานอาจต้องใช้เวลาเกือบ 2 ปีถึงจะฟื้นตัว

การลงทุนของภาคเอกชนในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมาอยู่ที่ -13% และการลงทุนในเครื่องจักรของภาคเอกชนถือว่าลดลงมาเป็นอย่างมาก สอดคล้องกับภาคการผลิตที่ยังหดตัว และยังมีการผลิตที่ถือว่าเป็นส่วนเกิน ยิ่งเป็นแรงกดดันทำให้การลงทุนลดลง

รายได้ของเกษตรกรในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมายังอยู่ในแดนลบอยู่ที่ -1.9% โดยรวมแล้วในไตรมาส 2 รายได้ยังถดถอยถึง -6% ขณะที่ในไตรมาส 2 การผลิตสินค้าเกษตรก็ยังไม่ฟื้นตัว อยู่ที่ -4.7% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา รวมไปถึงราคาสินค้าเกษตรที่ถือว่าลดลงในไตรมาส 2 อยู่ที่ -1.4% ปัจจัยดังกล่าวยังถือว่ากดดันกับภาคการบริโภคในประเทศอีกหนึ่งทาง

ด้านนักท่องเที่ยวไทยที่เข้ามาในประเทศไทยมีเข้ามาไทยเพียงแค่หลักพันคนเท่านั้น และคาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID ในช่วงที่เหลือของปีนี้ด้วย

ดอน ยังกล่าวว่าในช่วงที่เหลือของปีนั้น ตัวเลขทางเศรษฐกิจไทยน่าจะอยู่ในช่วงติดลบน้อยลงเรื่อยๆ และใช้เวลาถึงปี 2022 ถึงจะฟื้นตัวกลับมาเท่ากับช่วงก่อน COVID-19

Note: สไลด์สรุปสภาวะเศรษฐกิจไตรมาส 2 ของธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถดาวน์โหลดได้ที่นี่

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/bank-of-thailand-forecast-th-economy-recovery-same-as-pre-covid-19-using-2-years-31-july-2020/