คลังเก็บป้ายกำกับ: IT_BUSINESS

AIS Business เดินหน้าปี 2023 พร้อมเป็นพันธมิตรดิจิทัลของทุกองค์กรไทย พลิกโฉมธุรกิจให้ “เติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน”

ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาอาจถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความยากลำบากสำหรับทุกองค์กรธุรกิจ มีเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นทั้งเรื่องของสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ความไม่แน่นอนในเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ จนกระทบมาถึงเรื่องเงินเฟ้อและเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ที่อาจจะเกิดขึ้นทั่วโลกในปีนี้ ทุกองค์กรธุรกิจจึงจำเป็นจะต้องเร่งปรับตัวเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่กำลังเป็นไปในอนาคตอันใกล้

AIS Business ในฐานะ Digital Service Provider ชั้นนำของไทย ที่มีโครงสร้างพื้นฐานและระบบนิเวศธุรกิจดิจิทัล (Digital Business Ecosystem) ได้เปิดวิสัยทัศน์ปี 2023 เดินหน้าสู่การเป็นพาร์ตเนอร์ พันธมิตรของทุกองค์กรอย่างเต็มรูปแบบ ด้วยแนวคิด “เติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน” เพื่อทำให้ทุกองค์กรสามารถดำเนินธุรกิจท่ามกลางความไม่แน่นอนและความท้าทายต่อไปได้อย่างยั่งยืน แล้ว AIS Business มีแผนที่จะก้าวต่อไปอย่างไรบ้าง แนวคิดอะไรที่องค์กรธุรกิจสามารถเชื่อมโยงหรือนำไปประยุกต์ใช้ได้ ติดตามได้ในบทความนี้

AIS Transformation จาก Digital Service Provider สู่การเป็น Cognitive TechCo

ตั้งแต่สมัยอดีตกาล AIS ได้มีบทบาทสำคัญต่อประเทศในฐานะผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคม (Telecom Service Provider) ชั้นนำที่ให้บริการโครงข่ายกับผู้ใช้อย่างแข็งแกร่งมาจวบจนถึงวันนี้ และด้วยแนวคิดที่ไม่ยอมหยุดนิ่งอยู่กับที่ของ AIS ด้วยความพยายามพลิกโฉมดิสรัป (Disrupt) องค์กรตัวเองอย่างต่อเนื่องจนนำพาองค์กรฝ่าฟันอุปสรรคหรือวิกฤตการณ์ใด ๆ มาแล้วมากมาย ทำให้ทุกวันนี้ AIS ได้กลายมาเป็นผู้ให้บริการดิจิทัล (Digital Service Provider) อย่างเต็มรูปแบบได้สำเร็จ และได้รับความไว้วางใจจากองค์กรชั้นนำระดับประเทศสูงสุดในปีที่ผ่านมาเป็นที่เรียบร้อย

สำหรับปี 2023 และอนาคตอันใกล้ ทาง AIS ก็กำลังเดินก้าวถัดไปที่จะทรานส์ฟอร์มองค์กรใหม่อีกครั้ง ในฐานะ “องค์กรโทรคมนาคมอัจฉริยะ” หรือ “Cognitive TechCo” ที่จะมีความชาญฉลาดในการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีต่าง ๆ อย่างเช่น AI, Data Analytics หรือ Automation มาสนับสนุนประยุกต์ในบริการและโซลูชัน เพื่อให้การทำงานในทุกอุตสาหกรรมนั้นมีความฉลาดมากขึ้นและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งวิสัยทัศน์นี้ได้ฉายภาพมายังฝั่งของ AIS Business ด้วยเช่นกันผ่าน 5 กลยุทธ์ของ AIS Business ที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่องเรื่อยมา ประกอบกับเรื่องความเชื่อในการจับมือเดินไปด้วยกันเป็น Digital Business Ecosystem มากกว่าการเดินทำธุรกิจอย่างโดดเดี่ยว คือจุดสำคัญที่ทำให้องค์กรสามารถเติบโตมาได้จนถึงทุกวันนี้ 

AIS Business ปี 2022 ช่วยเร่งการพัฒนาดิจิทัลให้ธุรกิจไทยอย่างต่อเนื่อง

ในปีที่ผ่านมาอาจยังเรียกได้ว่าสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 นั้นยังคงส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจอยู่พอสมควร หากแต่สถานการณ์ก็ยังดูดีกว่าปีก่อน ๆ ซึ่งตัวเลขที่ทาง AIS Business เปิดเผยออกมานั้น สะท้อนให้เห็นว่าภาคธุรกิจยังคงนำเทคโนโลยีดิจิทัลสนับสนุนให้องค์กรเดินหน้าต่อไป โดยมีการปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเติบโตขึ้นในระดับ 2 หลัก (Double Digits) ซึ่งตัวเลขที่โดดเด่นอย่างมาก คือจำนวนองค์กรที่มีการปรับใช้เทคโนโลยี Cloud จากทาง AIS Business ในปีที่แล้วนั้นมีจำนวนมากถึง 3 พันรายหรือเพิ่มขึ้นสูงขึ้นกว่า 200% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า (Year Over Year : YoY) และจำนวนการเชื่อมต่อ 5G เพื่อธุรกิจ ถึง 2 แสนอุปกรณ์ หรือเพิ่มขึ้นกว่า 40% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าเช่นกัน

อีกด้านหนึ่ง AIS Business ก็ยังคงสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง จนทำให้มีพาร์ตเนอร์มากกว่า 200 องค์กรแล้วในปัจจุบัน ทั้งระดับประเทศที่เป็นภาครัฐและเอกชนในหลากหลายอุตสาหกรรม  พร้อมทั้งได้รับรางวัลเป็น Partner of the Year จากพันธมิตรเทคโนโลยีระดับโลก นี่คือตัวบ่งชี้อย่างชัดเจนถึงขีดความสามารถที่ทำให้ AIS Business เป็นผู้ให้บริการดิจิทัลที่สนับสนุนภาคธุรกิจให้สามารถเร่งการทรานสฟอร์มได้อย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

พันธกิจส่งเสริมธุรกิจไทยให้เดินหน้าอย่างยั่งยืนผ่าน 3 แนวคิด “เติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน”

สำหรับก้าวถัดไปหลังจากนี้ของ AIS Business ดูเหมือนจะไม่ได้เลือกใช้แนวทางให้องค์กรเติบโตแบบก้าวกระโดดเพียงลำพังเท่านั้น หากแต่จะเป็นการเติบโตที่สามารถเดินหน้าพร้อมพันธมิตรทุกธุรกิจต่อไปได้อย่างยั่งยืน (Sustainability) ด้วย ตามที่ AIS Business ได้ประกาศแนวคิด “เติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน” ซึ่งถือว่าเป็นคำพูดที่สะท้อน 3 สิ่งที่ AIS Business จะผลักดันให้มากขึ้นในปีนี้ได้อย่างนุ่มนวลแต่ครบถ้วน โดย 3 สิ่งที่ว่านั้น ได้แก่

Growing เร่งภาคธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง

ด้วยสถานการณ์แพร่ระบาด COVID-19 ที่กำลังคลี่คลายลงเรื่อย ๆ องค์กรในทุกภาคอุตสาหกรรมเริ่มตั้งหลักได้ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ปีนี้จึงเชื่อว่าภาคธุรกิจจะสามารถฟื้นคืนกลับสู่สภาวะปกติและจะกลับมาเร่งการเติบโตต่อไปได้แล้ว ดังนั้น AIS Business ร่วมกับพันธมิตรที่มีโซลูชันและนวัตกรรมอันหลากหลายจึงมีความพร้อมที่จะช่วยสนับสนุนให้ทุกองค์กรธุรกิจเร่งการเติบโตหลังจากนี้ได้อย่างต่อเนื่องและมั่นคง 

ไม่ว่าจะเป็นโซลูชันที่ช่วยเสริมความยืดหยุ่นและความฉลาดให้กับองค์กร อย่างเช่น 5G NEXTGen Platform, Cloud X Ecosystem, Data Analytics as a Service หรือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานในแต่ละอุตสาหกรรม อาทิ Smart Manufacturing, IoT ฯลฯ โซลูชันทั้งหลายเหล่านี้ของ AIS Business นั้นมีความพร้อมที่จะเสริมให้ทุกองค์กรมีความคล่องตัว (Agility) ขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยข้อมูล (Data-Driven) และเสริมประสิทธิภาพให้มีผลิตผล (Productivity) ที่ดีขึ้น ทั้งหมดเพื่อทำให้ธุรกิจเร่งเดินหน้าเติบโตต่อไปได้อย่างรวดเร็ว เปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์โลกได้อย่างทันท่วงที

Trusted เสริมความอุ่นใจในโครงสร้างพื้นฐาน

การทรานส์ฟอร์มธุรกิจใด ๆ เรื่องโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล (Digital Infrastructure) คือส่วนสำคัญอย่างมากที่จะส่งผลต่อความสำเร็จในการพลิกโฉมธุรกิจให้ทันกับความเปลี่ยนแปลง ซึ่งไม่ว่าองค์กรจะมีโจทย์ปัญหาหรือข้อจำกัดอะไรก็ตาม ในระบบนิเวศของ AIS Business นั้นมี Digital Infrastructure และนวัตกรรมต่าง ๆ ที่พร้อมให้เลือกใช้งานได้อย่างมั่นใจในทุกจุด 

ตั้งแต่เรื่องของโครงข่าย (Network) สัญญาณ 5G ไปจนถึงระบบ Cloud ในระดับ Private Cloud, Edge Computing, Local Cloud และ Hyperscaler รวมถึงการทำ Cybersecurity ในทุกระดับ ทาง AIS Business พร้อมพาร์ตเนอร์มีโซลูชันที่สามารถสนับสนุนทุกความต้องการ เช่น Network Slicing, Software Defined Network, 5G Fixed Wireless Access (FWA), Multi-access EDGE Computing (MEC), Sovereign Cloud หรือ Cloud X, Cyber Secure ทุกโซลูชันนั้นพร้อมสนับสนุนให้ทุกองค์กรทรานส์ฟอร์มพลิกโฉมได้อย่างมั่นใจได้ในทุกจุดที่ต้องเชื่อมต่อกัน เพื่อทำให้โครงสร้างพื้นฐานขององค์กรมีทั้งเรื่องประสิทธิภาพ ความยืดหยุ่น และความมั่นคงปลอดภัย อุ่นใจได้ทุกที่ทุกเวลา

Sustainability ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน

หลายคนมักจะนึกถึงเรื่อง Sustainability คือเรื่องของสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก แต่แท้จริงแล้วยังมีเรื่องอื่น ๆ ที่ต้องพิจารณาด้วย ดังเช่นแนวคิด ESG ที่ประกอบไปด้วยสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และธรรมาภิบาล (Governance) ซึ่งจะเห็นได้ว่า Sustainability นั้นไม่ได้มีแค่เรื่องสิ่งแวดล้อมเพียงเท่านั้นอย่างเดียว ยังมีเรื่องของสังคม ความเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำ ความปลอดภัยของพนักงาน หรือการกำกับดูแลกิจการให้มีความโปร่งใสและเป็นธรรม ฯลฯ อีกมากมาย 

สิ่งนี้คืออีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ AIS ได้ยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจมาโดยตลอด ทั้งการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมด้วยการใช้พลังงานน้อยลง ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2), การลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ ด้วยโครงการ AIS e-Waste และการสร้างความตระหนักรู้ด้านดิจิทัลให้กับประชาชนด้วยโปรแกรม AIS Acadamy for Thai และ AIS Aunjai Cyber ที่ช่วยเหลือสังคมให้เข้ามีความเข้าใจการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างถูกต้อง มีประโยชน์ ปลอดภัยโดยเท่าเทียมมากขึ้น นอกจากนั้น AIS Business ยังนำโซลูชันสนับสนุนภาคธุรกิจและองค์กรอื่น ๆ ให้ดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืนเช่นกันผ่านการใช้งานโซลูชันต่างๆ อาทิ ระบบตรวจสอบคุณภาพอากาศ (Air Quality Monitoring) หรือระบบตรวจสอบน้ำเน่าเสีย (Wastewater Monitoring) รวมไปถึงการสร้างศูนย์ AIS 5G NEXTGen Center เพื่อขับเคลื่อนระบบนิเวศนวัตกรรมดิจิทัล (Digital Innovation Ecosystem) สร้างความร่วมมือใหม่ ๆ ร่วมหาข้อมูลเชิงลึก (Insight) และสร้างนวัตกรรมที่แก้ไขปัญหาได้ตรงความต้องการให้มากขึ้น ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ AIS Business จะผลักดันต่อไปเพื่อทำให้เกิดความยั่งยืนทางธุรกิจไปด้วยกันในทุกภาคส่วน

Partnership ร่วมมือไปด้วยกันในอุตสาหกรรมที่หลากหลายขึ้น

ความร่วมมือยังคงเป็นหัวใจสำคัญสำหรับ AIS Business เสมอมา และสิ่งนี้จะยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีนี้และต่อ ๆ ไป ซึ่งก่อนหน้าจะเห็นว่า AIS Business ได้สร้างความร่วมมือกับองค์กรมากมายในภาคอุตสาหกรรมการผลิต (Manufacturing) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดย 2 Use Case ที่ AIS Business ภาคภูมิใจนำเสนอคือ SCG และ Somboon Advance Technology ที่สามารถพลิกโฉมโรงงานเก่าให้กลายเป็นโรงงาน Smart Factory ได้สำเร็จ ด้วยการปรับใช้ 5G ร่วมกับเทคโนโลยี 3D Vision-Robot, AS/RS-Warehouse และหุ่นยนต์ขนส่งไร้คนขับ (Unmanned AGV) ทำให้สามารถปรับไลน์การผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ การจัดการคลังสินค้าให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นกว่าเดิมอย่างมหาศาล

หลังจากนี้ AIS Business จึงเตรียมการขยายขอบเขตความร่วมมือที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตไปยังอุตสาหกรรมอื่น ๆ ให้หลากหลายมากขึ้นกว่าเดิม อาทิ ค้าปลีก (Retail) ขนส่งและโลจิสติกส์ (Transportation & Logistics) หรือธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) เพราะ AIS Business เชื่อว่าการเชื่อมจุด (Connect the dots) ได้มากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ก็จะยิ่งทำให้ทุกองค์กรในระบบนิเวศสามารถสร้างโอกาสใหม่ ๆ ได้อย่างทวีคูณ และปีนี้เชื่อว่าทุกคนจะได้เห็นการเติบโตของ AIS Business และพันธมิตรไปอีกระดับขั้น ผ่านโซลูชันและนวัตกรรมใหม่ ๆ ในอุตสาหกรรมที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งทั้งหมดจะส่งผลให้ทุกองค์กรเติบโตไปพร้อม ๆ กันได้อย่างอุ่นใจและยั่งยืน

บทส่งท้าย

ด้วยแนวคิดที่ไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ Disrupt และพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งแนวคิดที่จะก้าวต่อไปด้วยการเติบโตอย่างมั่นใจและยั่งยืนร่วมกัน จึงสรุปออกมาเป็นประโยคสั้น ๆ ที่ว่า “เติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน” อันเป็นตัวชี้ให้เห็นถึงแนวทางในปี 2023 ของ AIS Business ที่จะเดินหน้าสู่การเป็นพันธมิตรของทุกองค์กรได้อย่างนุ่มนวลและยั่งยืน ที่ทุกองค์กรสามารถให้ความเชื่อใจ และร่วมเดินทางเติบโตไปด้วยกันได้อย่างแน่นอน

สำหรับผู้ที่ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโซลูชันต่าง ๆ ของ AIS Business และพาร์ตเนอร์เพื่อนำไปทรานส์ฟอร์มธุรกิจของท่านได้ในทุกรูปแบบ สามารถติดต่อทาง AIS Business ได้ในทุกช่องทาง

AIS Business พร้อมเป็นพันธมิตรดิจิทัล ที่มั่นใจได้ เพื่อพัฒนาธุรกิจและสังคมไทย

เติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน

“Your Trusted Smart Digital Partner”

ปรึกษาและวางแผนพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อรองรับการทำงานและต่อยอดธุรกิจได้ที่

Email: business@ais.co.th

Website: https://business.ais.co.th

from:https://www.techtalkthai.com/ais-business-direction-for-year-2023-ready-to-become-the-digital-partner-of-all-thai-organization/

Advertisement

เทรนด์เทคโนโลยีปี 2566 ที่ธุรกิจต้องให้ความสำคัญ [Guest Post]

บทความโดย เทอร์รี สมา, รองประธานอาวุโสและผู้จัดการทั่วไป ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น, บริษัทอินฟอร์

เมื่อย่างเข้าสู่ปีใหม่ ผู้จำหน่ายโซลูชันคลาวด์ระดับองค์กรก็ต่างพากันมองหาลู่ทางขยายฐานลูกค้าเพิ่ม โดยไม่เน้นที่ทีมพัฒนาหรือทีมไอทีเท่านั้นอีกต่อไป

ข้อมูลจาก Top Strategic Technology Trends for 2023[1] ที่นักวิเคราะห์ของ Gartner® ได้นำเสนอในงานระดับโลก IT Symposia 2022 ระบุว่า “ผู้นำด้านไอทีและธุรกิจจำเป็นต้องเตรียมพร้อมที่จะเพิ่มประสิทธิภาพ ปรับขยายหรือเป็นผู้ริเริ่ม ในประเด็นต่อไปนี้:

  • เพิ่มประสิทธิภาพด้านความยืดหยุ่น การดำเนินงาน หรือความไว้วางใจให้เหมาะสมที่สุด
  • ปรับขยายโซลูชันซอฟต์แวร์แบบครบวงจรที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมหรือธุรกิจเฉพาะ (vertical solutions) ตลอดจนการส่งมอบผลิตภัณฑ์ หรือ กระบวนการอื่น ๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการได้จากทุกที่
  • เป็นผู้นำในการมีส่วนร่วมกับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ด้วยการตอบสนองต่อความต้องการ และสร้างโอกาสในการปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้าอย่างรวดเร็ว”

จากมุมมองของ Infor เราสังเกตเห็นถึงความต้องการการผสานรวมเทคโนโลยีหลากหลายที่เพิ่มขึ้น เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตลาดหรืออุตสาหกรรมต่าง ๆ 

4 เทคโนโลยีที่ Infor คาดการณ์ โดยคำนึงถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลาในตลาดเหล่านี้ มีดังนี้:

1. ความเป็นจริงที่ประกอบได้

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา บริษัทวิจัยและวิเคราะห์ตลาดชั้นนำหลายแห่งต่างระบุถึงความต้องการและให้คำแนะนำในการซื้อแอปพลิเคชันที่ดีที่สุด และ “จัดองค์ประกอบ” ของแอปพลิเคชันเหล่านี้เข้าด้วยกันแบบไร้รอยต่อที่รู้จักกันในนาม “composable ERP” ซึ่งเป็นวิธีที่จะช่วยให้องค์กรสามารถปรับแต่งระบบ ERP ได้อย่างรวดเร็ว และง่ายดายเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะทางธุรกิจ

วิธีแบบนี้ขัดกับแนวคิดที่ว่าระบบ ERP เป็นระบบหลักที่สำคัญขององค์กร  แต่วิธีการที่จะทำให้องค์ประกอบนี้สำเร็จยังไม่ได้รับการกล่าวถึงอย่างเป็นทางการ  ในขณะที่ผู้ให้บริการแบบ Pure-Play ที่ขายผลิตภัณฑ์หรือบริการเฉพาะจำนวนมากในตลาดจะมี iPaaS (แพลตฟอร์มบริการโครงสร้างพื้นฐาน) เฟรมเวิร์กการพัฒนาแบบไม่ใช้โค้ด ตลอดจนแพลตฟอร์มแมชชีนเลิร์นนิงและอื่น ๆ ที่เป็นเวอร์ชันเฉพาะของตนเองก็ตาม แต่ก็ยังไม่มีบริษัทใดพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมนวัตกรรมแบบครบวงจรได้ทั้งหมด  ซึ่งเป็นจุดที่เดิม GSIs (ผู้รวมระบบทั่วโลก) เข้ามามีบทบาทสำคัญมาโดยตลอด แต่ผู้ซื้อก็มักจะต้องการกระบวนการจัดซื้อ การปรับแต่ง และการปรับใช้ที่ง่ายและรวดเร็วขึ้น  

ที่จริง บริษัทซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่หลายแห่งได้เพิ่มขีดความสามารถในด้านต่าง ๆ มาโดยตลอด แต่ส่วนใหญ่ก็ยังไม่สามารถผสานรวมเข้ากับบริการคลาวด์ที่มีอยู่ได้โดยตรง  ดังนั้น ปีนี้จึงเป็นปีที่จะทำให้การจัดซื้อ การปรับแต่งและการปรับใช้ที่ง่ายดาย รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นจริงขึ้นมาได้ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันที่แท้จริง ที่กำลังกลายเป็นเป็นแพลตฟอร์มมาตรฐานที่เชื่อมต่อ ตลอดจนรวมบริการคลาวด์และซอฟต์แวร์ต่าง ๆ สำหรับทุกองค์กร  

2. ไฮเปอร์ออโตเมชันกระแสหลัก – แนวคิดในการทำให้การทำงานทุกอย่างภายในองค์กรเป็นอัตโนมัติ

ด้วยแรงกดดันด้านประสิทธิภาพของต้นทุนและอิทธิพลของตลาดที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ธุรกิจเกิดความต้องการที่ขัดแย้งระหว่างรูปแบบธุรกิจใหม่กับการสร้างความแตกต่างที่ต้องคำนึงถึงต้นทุนด้วยในเวลาเดียวกัน  ดังนั้น องค์กรจึงจำเป็นต้องพิสูจน์ให้เห็นถึงผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ให้เร็วขึ้น และต้องให้ความสำคัญกับการดำเนินงานที่มีค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงมากที่สุด ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักจะเกี่ยวข้องกับการดำเนินงานและผู้คน

ดังนั้น ธุรกิจควรคำนึงไว้เสมอว่าการทำให้งานหนึ่งงานเป็นอัตโนมัตินั้นไม่พอ มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะระบบอัตโนมัตินั้นจะต้องมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ข้อเรียกร้องต่อทีมไอทีให้ตอบสนองความต้องการของธุรกิจ รวมไปถึงการทำให้กระบวนการต่าง ๆ เร็วขึ้น แม่นยำขึ้น เป็นเชิงรุกมากขึ้น ชาญฉลาดขึ้น สามารถทำได้โดยขยายความสามารถด้านการทำงานระบบอัตโนมัตินี้ไปยังระบบต่าง ๆ ทั้งที่เป็นระบบดั้งเดิมและความรู้ในองค์กรที่ไม่ได้บูรณาการหรือทำงานอัตโนมัติในปัจจุบัน  

3. โปรแกรมเพื่อวิเคราะห์และทดสอบสถานการณ์ทางธุรกิจในสภาพแวดล้อมจำลอง

ธุรกิจต้องการวิธีใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้พวกเขาได้รับสินค้าคงคลังเร็วขึ้น ขายสินค้าได้มากขึ้น ลดของเสีย ย้ายไปตลาดใหม่ ๆ หรือแม้กระทั่งประเมินวิธีการตอบสนองต่อสถานการณ์ตลาดใหม่ ซึ่งคล้าย ๆ กับเทรนด์ด้านไฮเปอร์ออโตเมชันที่เป็นการผสานรวมเทคโนโลยีแมชชีนเลิร์นนิง ซอฟต์แวร์สำเร็จรูป และเครื่องมือต่างๆ สำหรับระบบงานอัตโนมัติเข้าไว้ด้วยกัน  อนึ่ง การจำลองงานสเกลใหญ่ขนาดนี้จะสามารถทำได้อย่างแน่นอนในสภาพแวดล้อมเพื่อการทดสอบ แต่นั่นก็มาพร้อมกับค่าใช้จ่ายที่สูงมากในการย้ายหรือรีเฟรชข้อมูล การปรับแต่งกระบวนการ และการถ่ายโอนการเปลี่ยนแปลงไปสู่การผลิตในตอนท้าย   

สำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการเข้าถึงการจำลองในบริบทของการทำงานประจำ เช่น หากผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดซื้อจัดจ้างรายหนึ่งกำลังทำคำสั่งซื้อ และคิดว่านี่อาจเป็นโอกาสที่จะได้ร่วมงานกับเวนเดอร์รายใหม่ ก็อาจใช้เทคโนโลยีนี้ช่วยจำลองการตัดสินใจได้ โดยอิงจากโปรไฟล์ข้อมูลจำนวนมาก แมชชีนเลิร์นนิงและโมเดลเพิ่มประสิทธิภาพการตัดสินใจ  ซึ่งหากผู้ใช้พอใจในผลลัพธ์ก็จะทำให้มั่นใจและตัดสินใจได้ดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อธุรกิจโดยรวมอย่างมีนัยสำคัญในท้ายที่สุด โดยไม่ก่อให้เกิดปัญหาติดขัดในการปรับเปลี่ยนกระบวนการทางธุรกิจเพื่อการตัดสินใจที่ดีขึ้นอีกต่อไป

4. องค์กรธุรกิจจะกลายเป็นหน่วยงานที่สร้างสรรค์

ในฐานะที่ Infor เป็นผู้รวบรวมเทรนด์ต่าง ๆ ก่อนหน้านี้ เราพบว่าความเคลื่อนไหวโดยรวมคือ เมื่อพนักงานมีการเปลี่ยนแปลง และธุรกิจต้องเผชิญกับแรงกดดันมากขึ้นในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ที่พิจารณาจากผลตอบแทนการลงทุนเป็นหลัก สิ่งนี้จะทำให้ผู้บริหารระดับสูงในองค์กรต้องการโซลูชันเทคโนโลยีที่ช่วยให้พนักงานรังสรรค์งานด้วยวิธีที่ปลอดภัยและวัดผลได้ เป็นการใช้ประโยชน์จากความคิดสร้างสรรค์ของสมาชิกทุกคนในทุกแผนก โดยไม่ต้องจัดหาเครื่องมือมากมายหรือสร้างแรงกดดันให้กับฝ่ายไอทีในการจัดหาพื้นที่สำหรับโครงการต่าง ๆ  และควรใช้ซอฟต์แวร์ระดับองค์กรส่งเสริมการกระทำดังกล่าว ซึ่งจะช่วยให้พนักงานบริหารจัดการซัพพลายเชน แก้ไขปัญหาและยกระดับการทำงาน พร้อมปรับปรุงการวางแผนและสินค้าคงคลังและอื่น ๆ ได้ดีขึ้น  ทั้งนี้ ธุรกิจจะต้องมองหาพันธมิตรที่เชื่อถือได้จากผู้จำหน่ายซอฟต์แวร์ระดับองค์กร เพื่อเพิ่มศักยภาพและน้อมรับแนวทางและเครื่องมือต่าง ๆ เพื่อสร้างโซลูชันที่ไม่เหมือนใครและเป็นนวัตกรรม ที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณโดดเด่นในอุตสาหกรรมและยังคงแข่งขันได้


[1] Gartner® “Top Strategic Technology Trends for 2023” presentation, Gilbert van der Heiden, David Groombridge and others, October 2022; given by Gartner analysts at its 2022 IT Symposia globally.

from:https://www.techtalkthai.com/technology-trends-in-2023-that-businesses-need-to-focus-on/

Huawei เปลี่ยนชิ้นส่วน 13,000 ชิ้น ในผลิตภัณฑ์ที่ถูกคว่ำบาตรโดยสหรัฐฯ

ในช่วงสามปีที่ผ่านมา Huawei ได้เปลี่ยนส่วนประกอบจำนวน 13,000 ชิ้น ด้วยวัสดุทดแทนภายในประเทศจีน และได้ออกแบบแผงวงจรใหม่ 4,000 ชิ้นสำหรับผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ

ตั้งแต่ปี 2019 Huawei ซึ่งเป็นผู้จัดหาอุปกรณ์รายใหญ่ที่ใช้ในเครือข่ายโทรคมนาคม 5G ตกเป็นเป้าหมายของมาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงการตัดทั้งในการจัดหาชิปของ Huawei จากบริษัทในสหรัฐฯ และการเข้าถึงเครื่องมือเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ในการออกแบบชิปของตนเอง และปล่อยให้คู่ค้าเป็นผู้ผลิต
 
Huawei ลงทุนมากกว่า 35,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในการวิจัยและพัฒนาในปี 2022 ที่สามารถทำกำไรให้ผลประกอบการได้ดีขึ้น และหัวเว่ยจะยังคงเพิ่มการใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาเช่นนี้ต่อไปอย่างแน่นอน นอกจากนี้ Huawei ได้สร้างระบบการวางแผนทรัพยากรองค์กรของตนเองที่เรียกว่า MetaERP โดยจะเปิดตัวในเดือนเมษายน 2023 นี้ ซึ่งจะเข้ามาช่วยขับเคลื่อนธุรกิจหลัก ได้แก่ การเงิน ซัพพลายเชน และการดำเนินการผลิต
 
Huawei กำลังมุ่งเน้นไปที่การเป็น “แพลตฟอร์มพลังประมวลผลพื้นฐานด้วยระบบ AI” แต่ยังไม่มีแผนที่จะเปิดตัวสู่การเป็นคู่แข่งกับ ChatGPT โมเดลภาษาขนาดใหญ่ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงที่สนับสนุนโดย Microsoft
 
 

from:https://www.techtalkthai.com/huawei-replaced-13000-parts-in-us-sanctioned-products/

Dell’Oro เผยข้อมูลวิจัย “ค่าใช้จ่ายของศูนย์ข้อมูลทั่วโลกเพิ่มขึ้น 15% เป็น 241,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2022”

ตามรายงานที่เผยแพร่เมื่อเร็วๆ นี้ โดย Dell’Oro Group ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้สำหรับข้อมูลการตลาดเกี่ยวกับอุตสาหกรรมโทรคมนาคม ความปลอดภัย เครือข่าย และศูนย์ข้อมูล ค่าใช้จ่ายสำหรับศูนย์ข้อมูลทั่วโลกเพิ่มขึ้น 15% เป็น 241,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สำหรับในปี 2022
 

Dell’Oro Group คาดการณ์ว่าระบบคลาวด์และการใช้จ่ายด้านศูนย์ข้อมูลระดับองค์กรจะชะลอตัวลงและอาจจะคงเหลือการเติบโตเป็นตัวเลขหลักเดียวในปี 2023
 
องค์กรต่างๆ ยังคงเพิ่มการใช้จ่ายด้านไอทีจากความคิดริเริ่มในการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล โดยภาพรวมของตลาด ณ ปัจจุบันนั้น มีทิศทางที่จะหยุดนิ่งลงเนื่องจาก hyperscalers อยู่ในช่วงสิ้นสุดของขยายตัวในการปรับปรุงประสิทธิภาพ และองค์กรต่างๆ จะพิจารณาค่าใช้จ่ายอย่างระมัดระวังมากขึ้นในสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน การเปลี่ยนจากสภาพแวดล้อมที่จำกัดด้านความต้องการไปสู่สภาวะที่มีอุปทานมากเกินไปเนื่องจากอุปสงค์ที่ลดลงในบางภาคส่วน
 
ไฮไลท์เพิ่มเติมจากรายงานประจำไตรมาสที่ 4 ปี 2022 ของ Data Center IT Capex:
  • Cloud SP 10 อันดับแรกคิดเป็นร้อยละ 48 ของค่าใช้จ่ายศูนย์ข้อมูลทั่วโลกในปี 2022
  • ผู้จำหน่ายเซิร์ฟเวอร์ชั้นนำตามรายได้ในปี 2022 ได้แก่ Dell ตามมาด้วย HPE และ Inspur
  • การเปลี่ยนแปลงทางสถาปัตยกรรมของเซิร์ฟเวอร์ที่กำลังจะเกิดขึ้นและการประมวลผลที่เร็วขึ้นจะส่งผลต่อการลงทุนระยะยาวของศูนย์ข้อมูล

from:https://www.techtalkthai.com/delloro-global-data-center-capex-in-2022/

Group-IB ประกาศแผนเปิดศูนย์ต่อต้านอาชญากรรมดิจิทัลขึ้นในประเทศไทย และลงนามสัญญาพันธมิตรกับ nForce ผู้นำด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ในประเทศไทย [Guest Post]

กรุงเทพมหานคร,วันที่ 15 มีนาคม พ.ศ.2566 — Group-IB บริษัทผู้นำระดับโลกด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ ณ ประเทศสิงคโปร์ ได้จัดแถลงข่าวประกาศแผนการที่จะเปิดศูนย์ต่อต้านอาชญากรรมดิจิทัล (Digital Crime Resistance Center) ขึ้นในประเทศไทย พร้อมทั้งการลงนามในสัญญาความร่วมมือเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับ บริษัท เอ็นฟอร์ซ ซีเคียว จำกัด (มหาชน) ผู้แทนจำหน่ายและผู้เชี่ยวชาญทางด้านผลิตภัณฑ์และบริการครบวงจรในด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (Cybersecurity)

ภายใต้ความร่วมมือนี้ nForce จะทำหน้าที่เป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์และบริการทั้งหมดของ Group-IB ที่รวมกันอยู่ภายใต้ชื่อกลุ่มผลิตภัณฑ์ Unified Risk Platform ของ Group-IB ซึ่งเป็นระบบนิเวศของโซลูชันที่เข้าใจโปรไฟล์ภัยคุกคามทางไซเบอร์ของแต่ละองค์กรและสามารถปรับแต่งการป้องกันให้เหมาะสมกับแต่ละองค์กรได้แบบเรียลไทม์โดยผ่านการติดต่อกับผู้ใช้งานเพียงอินเทอร์เฟซรูปแบบเดียว (A Single Interface)

nForce จะจัดตั้งทีมรับมือและตอบสนองต่อเหตุการณ์ภัยคุกคามทางไซเบอร์ (Incident Response : IR) ทีมแรกของตนขึ้นในประเทศไทย โดยได้รับความช่วยเหลือจาก Group-IB Digital Forensics & Incident Response ซึ่งเป็นกลุ่มผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์สะสมยาวนานมากกว่า 70,000 ชั่วโมงในการดำเนินการรับมือและตอบสนองต่อภัยคุกคามทางไซเบอร์ทั่วโลกที่ทาง Group-IB ดูแลอยู่

Group-IB จะให้การฝึกอบรมและการสนับสนุนช่วยเหลือโดยเฉพาะแก่ทีมรับมือและตอบสนองต่อภัยคุกคามไซเบอร์ที่จัดตั้งขึ้นใหม่นี้ของ nForce เพื่อปรับปรุงการดำเนินงานการรับมือและตอบสนองต่อเหตุการณ์ภัยคุกคามทางไซเบอร์ (IR) ในประเทศให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและทำให้กระบวนการเก็บรวบรวมข้อมูลหลักฐานสำหรับการวิเคราะห์เชิงนิติวิทยา (Forensic Analysis) ง่ายขึ้น โดยทีมงานของ nFroce จะได้รับการติดตั้งโซลูชัน Managed Extended Detection and Response ของ Group-IB เพื่อการนี้

nForce เป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงและดำเนินธุรกิจอย่างแข็งแกร่งในประเทศไทย โดยเป็นผู้นำในด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ในประเทศ และ nForce ยังมีพันธมิตรมากกว่า 100 รายครอบคลุมทุกกลุ่มตลาด โดยเป็นตัวแทนจำหน่ายที่มีสถานะที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษในตลาดภาคการเงิน ส่วน Group-IB มีเป้าหมายที่จะขยายส่วนแบ่งการตลาดในประเทศไทยและร่วมช่วยเหลือบริษัทต่าง ๆ ในประเทศไทยให้สามารถจัดการรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่พัฒนาความซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากขึ้นทุกวัน

จากรายงานแนวโน้มอาชญากรรมทางเทคโนโลยีขั้นสูงประจำปี 2565/2566 (Hi-Tech Crime Trends Report 2022/2023) พบว่าบริษัทต่างๆ ในประเทศไทยตกเป็นเป้าการคุกคามทางไซเบอร์เพิ่มมากขึ้น และประเทศไทยตกอยู่ในอันดับที่ 5 ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยมีบริษัทถึง 27 แห่งที่เป็นเหยื่อถูกขโมยข้อมูลโดยแรนซั่มแวร์นำขึ้นไปโพสต์เผยแพร่ไว้บนเว็บไซต์ที่เปิดเผยข้อมูลรั่วไหลโดยเฉพาะ (dedicated leak sites) ระหว่างช่วงครึ่งปีหลังของปี 2564 จนถึงครึ่งแรกของปี 2565 เนื่องจากไม่ยอมจ่ายค่าไถ่ เป็นที่น่าสังเกตว่าจำนวนจริงของการโจมตีโดยแรนซั่มแวร์นั้นน่าจะสูงกว่านี้มาก เนื่องจากหลายบริษัทเลือกที่จะจ่ายค่าไถ่ แนวโน้มที่น่าเป็นห่วงอีกประการหนึ่งคือความสนใจที่เพิ่มขึ้นของอาชญากรที่ทำตัวเป็นนายหน้าขายบริการเจาะการเข้าถึงระบบเครือข่าย (Initial Access Brokers : IABs) ขององค์กรต่างๆ ในประเทศไทย ตามข้อมูลการค้นพบจากทีมข่าวกรองภัยคุกคามทางไซเบอร์ (Threat Intelligence) ของ Group-IB พบว่า IABs มีความพยายามขายการเข้าถึงระบบเครือข่ายบริษัทต่างๆ ในประเทศไทยถึง 28 แห่งในช่วงเวลาเดียวกัน

ในการรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ ศูนย์ต่อต้านอาชญากรรมดิจิทัลของ Group-IB ที่จะจัดตั้งขึ้นที่ประเทศไทยได้รวบรวมผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ที่ช่ำชองในด้าน Threat Intelligence, Digital Forensics & Incident Response, Cyber ​​Investigations, Digital Risk Protection รวมถึงนักวิเคราะห์จาก Computer Emergency Response Team  ด้วยเทคโนโลยีที่ได้รับการจดสิทธิบัตรซึ่งได้ถูกทดลองและทดสอบมาแล้วหลายครั้งในกว่า 60 ประเทศ พร้อมทั้งทีมงานของ Group-IB ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญของ nForce จะผสานร่วมกันเสริมความแข็งแกร่งให้กับการป้องกันทางดิจิทัลของบริษัทต่างๆ ในประเทศไทยด้วยการจัดตั้งทีมงานนิติวิทยาดิจิทัลและการตอบสนองต่อเหตุการณ์ภัยคุกคามไซเบอร์ (Digital Forensics and Incident Response : DFIR) ระดับแนวหน้าขึ้น

การรวบรวมข้อมูลหลักฐานทางดิจิทัลได้อย่างครบถ้วนและถูกต้องจะทำให้เข้าใจขอบเขตของภัยคุกคามได้อย่างชัดเจนและสามารถพัฒนามาตรการที่เหมาะสมเพื่อยับยั้งภัยคุกคามนั้น รวมทั้งยังสามารถป้องกันเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านนิติวิทยาดิจิทัลและการตอบสนองต่อภัยคุกคามไซเบอร์ที่มีทักษะสูงของ Group-IB จะทำการฝึกอบรมบุคลากรของ nForce เพื่อตอบสนองต่อภัยคุกคามความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ที่หลากหลาย ทีมงานของ Group-IB ใช้เทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วย Threat Intelligence อันล้ำสมัย และมีประวัติผลสำเร็จในการทำงานที่ถูกพิสูจน์แล้วในเรื่องของการสืบสวนและแก้ไขคดีอาชญากรรมทางไซเบอร์ที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างเช่น ตัวถอดรหัส (Decryptor) ของ Group-IB ที่พัฒนาขึ้นโดยทีมงาน DFIR ของบริษัทเองสามารถทำการถอดรหัส Hive Ransomware รุ่น 4 ที่อื้อฉาว และสามารถช่วยถอดรหัสปลดล็อคระบบเครือข่ายขององค์กรทางการแพทย์ในประเทศไทยที่เคยถูกโจมตีจากแรนซั่มแวร์ตัวนี้ได้สำเร็จ

นายนักรบ เนียมนามธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นฟอร์ซ ซีเคียว จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า

“nForce ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ Group-IB ซึ่งเป็นผู้นำด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ระดับโลก สำหรับการจัดตั้งทีม Incident Response ในครั้งนี้ จะช่วยให้องค์กรในประเทศไทยสามารถยับยั้งและป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้อย่างทันถ่วงที ด้วยทีมช่วยเหลือในการตอบโต้เหตุการณ์ที่สร้างความเสียหายแก่ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศขององค์กร ทำให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างปลอดภัยในยุคดิจิทัล ขณะเดียวกันผลิตภัณฑ์และบริการของ Group-IB จะทำให้ nForce มีความแข็งแกร่งทางธุรกิจมากขึ้น ด้วยบริการจากผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพจาก nForce ร่วมกับ Group-IB รวมถึงโซลูชันต่างๆ ที่จะเข้ามาตอบโจทย์ทางด้าน Cybersecurity สำหรับปี 2566 บริษัทคาดว่ารายได้จะเติบโตอยู่ที่ 15-20% จากการลงทุนโปรเจ็กต์ต่างๆ ของลูกค้าภาครัฐและภาคเอกชนในประเทศไทย ประกอบกับการที่หลายธุรกิจเดินหน้าทำ Digital Transformation ทำให้ดีมานด์การใช้เทคโนโลยีมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นไปในทิศทางเดียวกัน” 

“เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ร่วมมือกับ nForce ซึ่งมีชื่อเสียงอย่างมากในตลาดประเทศไทยและจะช่วยเราขยายธุรกิจในภูมิภาคนี้ การเปิดศูนย์ต่อต้านอาชญากรรมดิจิทัลและความร่วมมือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจถือเป็นก้าวสำคัญในการขยายพันธกิจระดับโลกของเราในการต่อสู้กับอาชญากรรมทางไซเบอร์ที่กำลังคืบคลานเข้าสู่ประเทศไทย เราเชื่อมั่นในการทำงานร่วมกันกับ nForce และเรามุ่งมั่นที่จะสร้างทีมรับมือและตอบสนองต่อภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ประกอบด้วยมืออาชีพที่กระตือรือร้นซึ่งมุ่งมั่นที่จะสร้างพื้นที่ไซเบอร์ที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น” Dmitry Volkov ซีอีโอของ Group-IB กล่าว

เกี่ยวกับ nForce Secure

บริษัท เอ็นฟอร์ซ ซีเคียว จำกัด (มหาชน) มุ่งเน้นการเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าในด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ โดยนำเสนอ สินค้าที่มีคุณภาพและมีชื่อเสียงในแต่ละหมวดสินค้า ซึ่งจำแนกได้ 4 ประเภท ได้แก่ (1) End Point Security, (2) Network Security, (3) Network Performance and Monitoring และ (4) อื่นๆ เช่น Encryption Solution, Software ที่เกี่ยวข้องกับ Authentication และ Software ที่เกี่ยวข้องกับ Archiving เป็นต้น

นอกจากนี้ บริษัทยังมีการให้บริการที่เกี่ยวเนื่องกับผลิตภัณฑ์ที่บริษัทเป็นตัวแทนจำหน่ายเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่ใช้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ อีกด้วย เช่น บริการด้านการติดตั้ง (Installation) บริการบำรุงรักษา (Maintenance) รวมไปถึงบริการปรึกษาปัญหาต่างๆ ที่เกิดจากการใช้งานระบบ หรือซอฟต์แวร์ที่บริษัทเป็นตัวแทนจำหน่าย และบริการฝึกอบรมการใช้งานระบบ (Training)

กลุ่มลูกค้าหลักของบริษัท คือ ผู้รับเหมารวบรวมระบบและเทคโนโลยี (System Integrator หรือ SI) ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้รวบรวมความต้องการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศต่างๆ ของผู้ใช้งานโดยตรง (End User) และออกแบบติดตั้งระบบเทคโนโลยีสารสนเทศต่างๆ โดยนำเสนอในรูปแบบโซลูชันด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานโดยตรงในระดับองค์กร ซึ่งผู้ใช้งานโดยตรงประกอบด้วยหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ในการนี้ผู้รับเหมารวบรวมระบบและเทคโนโลยีจะทำงานร่วมกับตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ (Distributor) ซึ่งเป็นผู้ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในผลิตภัณฑ์ที่ต้องการ โดยตัวแทนจำหน่ายจะทำหน้าที่จัดหาและจัดส่งผลิตภัณฑ์ให้ได้ตรงตามระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ผู้รับเหมารวบรวมระบบออกแบบตามความต้องการ ทั้งนี้ผู้รับเหมารวบรวมระบบและเทคโนโลยี (SI) ที่เป็นลูกค้าหลักของบริษัทนั้น ส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงและมีศักยภาพทางธุรกิจ จึงทำให้เป็นผู้ที่ได้รับคัดเลือกให้ทำโครงการต่างๆ ขององค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน

เราภาคภูมิใจที่ได้นำเข้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์การรักษาความปลอดภัยทางเทคโนโลยีไซเบอร์ (Cybersecurity) ที่มีความน่าเชื่อถือและเป็นเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำเข้ามาจัดจำหน่ายภายในประเทศ ด้วยอัตราการเติบโตของธุรกิจอย่างต่อเนื่องและตรงตามเป้าหมายที่วางไว้ ตลอดจนการสร้างความสำเร็จให้กับเจ้าของผลิตภัณฑ์ (Vendor) รวมไปถึงลูกค้าที่เป็น ผู้รับเหมารวบรวมระบบและเทคโนโลยี (System Integrator) ผ่านการให้บริการแบบครบวงจร ด้วยบุคลากรและผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในระดับมาตรฐานสากล

เกี่ยวกับ Group-IB

Group-IB มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในประเทศสิงคโปร์ เป็นหนึ่งในผู้ให้บริการโซลูชั่นชั้นนำที่ทุ่มเทให้กับการตรวจจับและป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ การสืบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีขั้นสูง การระบุการฉ้อโกงทางออนไลน์ และการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา โดยมีศูนย์ข่าวกรองและการวิจัยภัยคุกคามทางไซเบอร์ (Threat Intelligence and Research Centers) ของบริษัทตั้งอยู่ในภูมิภาคตะวันออกกลาง (ดูไบ) เอเชียแปซิฟิก (สิงคโปร์) และยุโรป (อัมสเตอร์ดัม)

Unified Risk Platform ของ Group-IB เป็นระบบนิเวศของโซลูชันที่เข้าใจโปรไฟล์ภัยคุกคามทางไซเบอร์ของแต่ละองค์กรและสามารถปรับแต่งการป้องกันให้เหมาะสมกับแต่ละองค์กรได้แบบเรียลไทม์โดยผ่านการติดต่อกับผู้ใช้งานเพียงเพียงอินเทอร์เฟซรูปแบบเดียว (A Single Interface)  

Unified Risk Platform ให้ความคุ้มครองที่สมบูรณ์แบบครบถ้วนตลอดห่วงโซ่การรับมือและตอบสนองต่อภัยคุกคามทางไซเบอร์ ผลิตภัณฑ์และบริการของ Group-IB ที่รวมอยู่ภายใต้ Unified Risk Platform ของ Group-IB ได้แก่ Threat Intelligence, Managed XDR, Digital Risk Protection, Fraud Protection, Attack, Surface Management, Business Email Protection, Audit & Consulting, Education & Training, Digital Forensics & Incident Response, Managed Detection & Response, and Cyber Investigations.

ระบบ Threat Intelligence ของ Group-IB ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดในประเภทเดียวกันโดย Gartner, Forrester และ IDC ส่วนผลิตภัณฑ์ Managed XDR ของ Group-IB ซึ่งมีเป้าหมายสำหรับการค้นหาเชิงรุกและป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ซับซ้อนและไม่เคยรู้จักมาก่อน ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดในประเภทผลิตภัณฑ์ทางด้าน Network Detection and Response โดย KuppingerCole Analysts AG ซึ่งเป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญการวิเคราะห์ชั้นแนวหน้าของยุโรป และในขณะเดียวกันก็ได้ให้การยอมรับ Group -IB ในฐานะเป็น Product Leader และ Innovation Leader  อีกด้วย

อีกทั้งผลิตภัณฑ์ Fraud Protection ของ Group-IB ยังได้รับการเสนอชื่อ (Representative Vendor) ให้อยู่ในรายงานผลิตภัณฑ์การตรวจจับการฉ้อโกงออนไลน์ของ Gartner นอกจากนี้ Group-IB ยังได้รับรางวัล Innovation Excellence Award จาก Frost & Sullivan สำหรับผลิตภัณฑ์ Digital Risk Protection (DRP) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ขับเคลื่อนโดยปัญญาประดิษฐ์ (AI-driven) สำหรับการระบุและบรรเทาความเสี่ยงทางดิจิทัล และต่อต้านการโจมตีการแอบอ้างแบรนด์ โดยใช้เทคโนโลยีที่จดสิทธิบัตรของบริษัทเป็นแกนหลัก ความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีและความสามารถด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ของ Group-IB สร้างขึ้นจากประสบการณ์จริงถึง 19 ปีของบริษัทในการสืบสวนอาชญากรรมทางไซเบอร์ทั่วโลก และมากกว่า 70,000 ชั่วโมงของการรับมือและตอบสนองต่อเหตุการณ์ภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่สะสมอยู่ในห้องปฏิบัติการ DFIR ชั้นนำของบริษัท, รวมถึงแผนกสืบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีขั้นสูง และทีมงาน CERT-GIB ของบริษัทที่บริการช่วยเหลือเหตุฉุกเฉินทางเทคนิคโดยสามารถให้การดูแลได้ตลอดเวลา

Group-IB เป็นพันธมิตรที่ทำงานอย่างแข็งขันในการสืบสวนสอบสวนระดับโลกที่นำโดยองค์กรบังคับใช้กฎหมายระหว่างประเทศ เช่น Europol และ INTERPOL นอกจากนั้น Group-IB ยังเป็นสมาชิกของ EuropolEuropean Cybercrime Centre’s (EC3) Advisory Group on Internet Security ซึ่งก่อตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมความร่วมมือที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นระหว่าง Europol และพันธมิตรชั้นนำที่ไม่ใช่ผู้บังคับใช้กฎหมาย

ประสบการณ์ของ Group-IB ในการตามล่าภัยคุกคามและแสวงหาข่าวกรองทางไซเบอร์ได้หลอมรวมกันเป็นระบบนิเวศของซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ที่มีความซับซ้อนสูง ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อตรวจสอบ ระบุ และป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ ภารกิจของ Group-IB คือการปกป้องลูกค้าในไซเบอร์สเปซให้มีความมั่นคงปลอดภัยทุกวัน ด้วยการสร้างและใช้ประโยชน์จากโซลูชันและบริการที่เป็นนวัตกรรมใหม่ๆ อยู่เสมอ

from:https://www.techtalkthai.com/group-ib-announces-plan-to-open-anti-criminal-center-in-thailand-and-signed-a-partnership-agreement-with-nforce/

Paessler เสริมทัพทีมผู้นำแต่งตั้งผู้บริหารใหม่ บุกตลาดเอเชียแปซิฟิก [Guest Post]

บริษัทฯ แต่งตั้งโทเบียส เจนเชน เป็นรองประธานประจำเอเชียแปซิฟิกและอเมริกา และแมนูลา รอธ เป็นผู้จัดการดูแลช่องทางการจำหน่ายทั่วโลกและลูกค้าหลัก

กรุงเทพฯ – 13 มีนาคม 2566 – วันนี้ Paessler ผู้เชี่ยวชาญด้านการมอนิเตอร์โครงสร้างและเครือข่ายระบบไอที ประกาศแต่งตั้งโทเบียส เจนเชน เป็นรองประธานประจำเอเชียแปซิฟิกและอเมริกา และแมนูลา รอธ เป็นผู้จัดการดูแลช่องทางการจำหน่ายทั่วโลกและลูกค้าหลัก การแต่งตั้งผู้บริหารครั้งนี้จะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจให้เดินหน้าได้อย่างต่อเนื่องและเปิดโอกาสการสร้างรายได้เพิ่มเติมทั่วทั้งเอเชียแปซิฟิก (APAC) อีกทั้งยังทำให้ Paessler สามารถเสริมสร้างคุณค่าและมอบความสำเร็จแก่ลูกค้า ตลอดจนช่วยสนับสนุนเครือข่ายช่องทางการจำหน่ายได้อย่างคล่องตัวและทันสมัย

การเสริมทัพเพื่อตอกย้ำตำแหน่งผู้นำครั้งนี้อยู่ในจังหวะที่ Paessler ปูพรมบุกตลาดเอเชียแปซิฟิกผ่านโซลูชันชั้นนำในอุตสาหกรรมเพื่อรองรับต่อการทำดิจิทัลทรานฟอร์เมชัน เป้าหมายของบริษัทในปีนี้อยู่ที่การเพิ่มความแข็งแกร่งด้านเครือข่ายช่องทางการจัดจำหน่ายและมีความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์เชิงกลยุทธ์รายสำคัญมากยิ่งขึ้น และเพื่อให้การมอนิเตอร์ระบบของลูกค้าได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด บริษัทจึงเตรียมเปิดตัวส่วนขยายผลิตภัณฑ์แบบพิเศษอีกหลายรายการในปี 2566 นี้

โทเบียส เจนเชน จะรับผิดชอบเรื่องการพัฒนากลยุทธ์การจำหน่าย องค์กร และกระบวนการทำงานทั้งในเอเชียแปซิฟิกและอเมริกา โดยจะทำงานร่วมกับลูกค้ากลุ่มเอเชียแปซิฟิกเพื่อช่วยให้บรรลุเป้าหมายการมอนิเตอร์ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) เทคโนโลยีเชิงปฏิบัติการ (OT) และอินเทอร์เน็ตออฟติงส์ (IoT) ควบคู่ไปกับการเดินหน้าสร้างธุรกิจและกลุ่มลูกค้า ตลอดจนความร่วมมือระหว่างกันทั้งในตลาดเดิมและตลาดใหม่ โทเบียสสำเร็จการศึกษาด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ในเบอร์ลินและนิวยอร์กเริ่มต้นอาชีพในงานที่ปรึกษา การจำหน่ายซอฟต์แวร์ B2B และตำแหน่งบริหารด้านการขายในบริษัทหลายแห่ง เช่น Oracle, FreeMarkets, Altiris และ Symantec

แมนูลา รอธ รับภารกิจหลักด้านการสร้างความสัมพันธ์เชิงกลยุทธ์และผลักดันการจำหน่ายผ่านพาร์ทเนอร์ช่องทางการจำหน่ายของ Paessler และลูกค้ากลุ่มข้ามภูมิภาค ประสบการณ์กว่า 20 ปี ในการดูแลลูกค้ารายใหญ่ การพัฒนาธุรกิจ และการบริหารช่องทางการจำหน่ายทั่วโลก จะช่วยเสริมสร้างการเติบโตแก่ช่องทางการจำหน่ายของ Paessler จาก PRTG รวมถึงโซลูชันพิเศษด้านอินเทอร์เน็ตออฟติงส์ในภาคอุตสาหกรรม (IIoT) สำหรับธุรกิจกลุ่มอุตสาหกรรมในปี 2566 นอกจากนี้ แมนูลายังมีประสบการณ์ด้านการบริหารจัดการระหว่างประเทศในบริษัทข้ามชาติหลายแห่ง เช่น RS Group, Bechtle และ Insight อีกทั้งยังมีผลงานที่ชัดเจนในการบริหารพาร์ทเนอร์รายใหญ่ระหว่างประเทศ

เฮลมุต ไบเดอร์ ซีอีโอของ Paessler กล่าวว่า “Paessler มองหาผู้บริหารที่มีความพร้อมรองรับต่อตลาดในอนาคตตลอดเวลา สามารถยกระดับนวัตกรรมและขับเคลื่อนความสำเร็จทั้งสำหรับลูกค้าและพาร์ทเนอร์ของเรา เราจึงยินดีอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับโทเบียสและแมนูลาเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในทีมงาน และเชื่อว่าความเชี่ยวชาญของทั้งสองท่านจะช่วยให้เราเดินหน้าขยายโอกาสในเอเชียแปซิฟิกได้อย่างต่อเนื่องต่อไป ลูกค้าของเรากำลังยืนอยู่ในจุดที่ต้องตัดสินใจ เกิดความต้องการใหม่ๆ และการเติบโตที่รวดเร็วในด้าน IT, OT และ IoT ดังนั้น การแต่งตั้งผู้บริหารครั้งนี้จึงถือว่าถูกเวลาเป็นอย่างยิ่ง  เรามีการปรับปรุงกลุ่มผลิตภัณฑ์ของเราและให้การสนับสนุนพาร์ทเนอร์ช่องทางการจำหน่ายอย่างต่อเนื่องผ่านโครงการพาร์ทเนอร์เชิงกลยุทธ์เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้น การตอกย้ำความเป็นผู้นำด้วยการเสริมทัพผู้บริหารในครั้งนี้จึงช่วยสร้างความมั่นใจที่มีต่อพาร์ทเนอร์ทุกรายและขับเคลื่อนการเติบโตในตลาดให้เดินหน้าต่อไป”

ในปี 2566 บริษัทมุ่งเป้าไปที่การนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ เช่น ส่วนเสริมผลิตภัณฑ์และโซลูชันเฉพาะทางสำหรับ IoT และภาคอุตสาหกรรม  นอกจากการมอนิเตอร์สภาพแวดล้อมระบบไอที ดั้งเดิม ทาง Paessler ยังต่อยอดโซลูชันไปสู่ตลาดแนวนิ่งอีกหลายแขนง เช่น ภาคอุตสาหกรรม สุขภาพ โทรคมนาคม และหน่วยงานภาครัฐ

โปรดดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Paessler ได้ที่ http://www.paessler.com

เกี่ยวกับ Paessler AG

Paessler เชื่อว่าการมอนิเตอร์ระบบมีบทบาทสำคัญในการลดการใช้ทรัพยากรของมนุษย์ เพราะการมอนิเตอร์ข้อมูลจะช่วยให้ลูกค้าประหยัดทรัพยากรทั้งในเรื่องการปรับปรุงประสิทธิภาพโครงสร้างระบบ IT, OT และ IoT ตลอดจนลดการใช้พลังงานหรือการปล่อยก๊าซคาร์บอน เพื่ออนาคตและเพื่อสิ่งแวดล้อมของเรา ดังนั้น Paessler จึงนำเสนอโซลูชันการมอนิเตอร์ระบบสำหรับธุรกิจต่างๆ ในทุกภาคส่วนและทุกขนาด ตั้งแต่ขนาดเล็ก ขนาดกลาง ไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ อีกทั้ง Paessler ยังร่วมมือกับพันธมิตรที่มีชื่อเสียง เพื่อร่วมกันจัดการกับความท้าทายในด้านการมอนิเตอร์ระบบในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงเช่นทุกวันนี้

Paessler ได้เปิดตัว PRTG Network Monitor เป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2540 ซึ่งเป็นการผสานองค์ความรู้เชิงลึกด้านการมอนิเตอร์ระบบเข้ากับจิตวิญญาณแห่งนวัตกรรมอันทันสมัย โดยในวันนี้มีผู้ใช้มากกว่า 500,000 ราย ในกว่า 170 ประเทศ ที่ใช้ PRTG เพื่อมอนิเตอร์โครงสร้างระบบ IT, OT และ IoT ที่ซับซ้อน ดังนั้นผลิตภัณฑ์ของ Paessler จึงมอบศักยภาพให้แก่ลูกค้าเพื่อให้สามารถมอนิเตอร์ได้ทุกจุดที่ต้องการ และช่วยปรับปรุงการใช้ทรัพยากรให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด

โปรดศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Paessler และผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้ที่ www.paessler.com

from:https://www.techtalkthai.com/paessler-strengthens-leadership-team-appoints-new-executives-enter-the-asia-pacific-market/

Pure Storage เปิดตัว DirectCompress Accelerator Card เพิ่มประสิทธิภาพการบีบอัดข้อมูล 30% พร้อมใช้งานได้แล้วใน Pure Storage FlashArray//XL ทุกรุ่น

การใช้งานระบบ All Flash Storage อย่างคุ้มค่า ยั่งยืน และยาวนาน ได้กลายเป็นวาระสำคัญในการตัดสินใจลงทุนด้านระบบ Enterprise Storage มากขึ้นทุกวัน และ Pure Storage ก็ได้ประกาศเปิดตัว DirectCompress Accelerator Card (DCA) ที่จะติดตั้งให้พร้อมใช้งานใน Pure Storage FlashArray//XL ทุกรุ่น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบีบอัดข้อมูลได้มากขึ้นกว่าเดิมถึง 30%

การใช้ DCA ในการบีบอัดข้อมูลนี้ จะช่วยลดการทำงานของ CPU เพื่อทำ Inline Data Reduction ภายใน Pure Storage FlashArray ลงได้อย่างชัดเจน พร้อมทั้งยังทำให้การบีบอัดข้อมูลมีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ซึ่งในทุกวันนี้ การทำ Data Compression ถือว่ามีความสำคัญต่อระบบ All Flash Storage เป็นอย่างมาก เพื่อให้การจัดเก็บข้อมูลในระยะยาวมีความคุ้มค่ามากยิ่งขึ้นนั่นเอง
 
จากการทดสอบของ Pure Storage พบว่าการติดตั้ง DCA จะช่วยให้ FlashArray มีความคุ้มค่ามากยิ่งขึ้นดังนี้
 
  • ใช้ CPU ในการทำงานน้อยลง ทำให้งานที่มีความสำคัญอื่นๆ อย่างเช่นการทำ Replication, Management และ Garbage Collection มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
  • มีพื้นที่ใช้จัดเก็บข้อมูลมากขึ้นโดยเฉลี่ย 6% เมื่อเทียบกับการทำ Data Reduction ด้วย Software แบบเดิม โดยในกรณีการใช้งานที่แตกต่างกันนั้นก็อาจส่งผลให้ประสิทธิภาพในการลดพื้นที่จัดเก็บข้อมูลสูงขึ้นได้
  • มีประสิทธิภาพเชิงพลังงานต่อข้อมูล 1TB ดียิ่งขึ้น
  • ประมวลผลด้านการทำ Inline Compression รวดเร็วยิ่งขึ้น 30%
  • ปริมาณข้อมูลที่ถูกเขียนลง Flash มีน้อยลง ช่วยเพิ่มอายุการใช้งาน NAND ให้ยาวนานยิ่งขึ้น
Pure Storage คาดว่า DCA นี้จะถูกนำไปติดตั้งใช้งานใน FlashArray ทุกรุ่นนอกเหนือจาก FlashArray//XL ได้ภายใน 12 เดือนนับถัดจากนี้
 
ผู้ที่สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://blog.purestorage.com/purely-technical/directcompress-accelerator-packs-more-data-into-flasharray-xl/
 

from:https://www.techtalkthai.com/pure-storage-introduces-directcompress-accelerator-card-available-now-on-all-pure-storage-flasharray-xl-models/

Semiconductor Industry : เกาหลีใต้กำลังก้าวออกจากจีน

ด้วยแผนสวามิภักดิ์กับญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกาของเกาหลีใต้ และจะเป็นสิ่งสะท้อนให้จีนถูกลดบทบาทลงอย่างเห็นได้ชัดจากห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ที่เหลืออยู่ในระดับโลก

Image Credit : datacenterknowledge.com

ในวันที่ 16 มีนาคม ประธานาธิบดี Yoon Suk-yeol ของเกาหลีใต้จะเดินทางเยือนประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลาสองวัน การเยือนครั้งนี้มีขึ้นหลังจากการประกาศของกรุงโซลว่ามีแผนจะแก้ไขข้อพิพาทที่มีมายาวนานกับโตเกียวเกี่ยวกับปัญหาแรงงานในช่วงสงคราม นี่จะเป็นการพบปะกันครั้งแรกระหว่างสองขั้วอำนาจในรอบ 12 ปี โดย Yoon Suk-yeol คาดว่าจะโน้มน้าวให้โตเกียวยกเลิกการควบคุมการส่งออกวัสดุที่ใช้ทำชิปไปยังเกาหลีใต้

และแผนสำหรับในเดือนต่อมาของ Yoon Suk-Yeol คือ การเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกา ที่เขาจะได้พบกับประธานาธิบดี Biden ที่ทำเนียบขาวสำหรับการประชุมสุดยอดระดับทวิภาคี ซึ่งคาดว่าจะมีการหารือเกี่ยวกับความสัมพันธ์ด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจระหว่างทั้งสองบริษัท Samsung Electronics และ SK Hynix

จากคำกล่าวของ Park Ki-soon ที่ปรึกษาอาวุโสและผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจของจีนที่สำนักงานกฎหมาย Dentons Lee ในกรุงโซล การปรองดองของทั้งสองประเทศจะช่วยเร่งกระบวนการตัดจีนออกจากการผลิตชิปขั้นสูงและออกจากห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก โดยการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกถูกครอบครองโดยประเทศอย่างเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา เนเธอร์แลนด์ และไต้หวัน “ห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ของกลุ่มนี้จะมีเสถียรภาพมากขึ้น ในขณะที่จีนจะโดดเดี่ยว” Park Ki-Soon กล่าว

Kim Dae-jong ศาสตราจารย์ด้านธุรกิจของมหาวิทยาลัย Sejong ในกรุงโซล ได้วิเคราะห์ออกมาว่า “หากความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีใต้และญี่ปุ่นกลับสู่สภาพปกติ มันจะช่วยการนำเข้าวัสดุ ส่วนประกอบ และอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ของเกาหลีได้อย่างมีนัยสำคัญ”

ประเมินผลกระทบหากมีการเดินหน้าตัดความสัมพันธ์กับจีน จะทำให้เกิดความสูญเสียครั้งใหญ่สำหรับเกาหลีใต้ เนื่องจากสินค้าส่งออกทั้งหมด 20% ของประเทศประกอบในกลุ่ม Chips มีสัดส่วนถึง 60% ของการส่งออกชิปจากเกาหลีใต้ในปัจจุบันไปที่จีน ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 3.789 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ

ด้านความเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ:

  • ในเดือนสิงหาคมปี 2022 ประธานาธิบดีไบเดนได้ลงนามในกฎหมาย CHIPs และ Science Act เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูงของอเมริกา
  • ในเดือนตุลาคมปี 2022 สหรัฐฯ ได้ปรับใช้กฏหมาย CHIPs และ Science Act เพื่อจำกัดความสามารถของจีนในการรับชิปขั้นสูง
  • สหรัฐฯ ได้ทำข้อตกลงกับเนเธอร์แลนด์และญี่ปุ่นเพื่อจำกัดการส่งออกเครื่องจักรผลิตชิปขั้นสูงบางรายการไปยังจีน แม้จะไม่มีรายละเอียดอย่างเป็นทางการของข้อตกลงนี้ แต่ล่าสุดรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ออกมาประกาศว่าข้อจำกัดในการส่งออกเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์จะมีผลบังคับใช้ก่อนฤดูร้อน ส่วนด้านญี่ปุ่นเองได้ปรับลดขนาดการสนับสนุนอย่างเปิดเผยน้อยลง แต่การเพิ่มเกาหลีใต้เข้ามาในสมการนี้อาจเปลี่ยนแปลงคณิตศาสตร์ทางภูมิรัฐศาสตร์และสนับสนุนการดำเนินการที่ขับเคลื่อนโดยสหรัฐฯ
  • สหรัฐฯ ต้องการสร้างการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศให้เป็นจริง และต้องการพันธมิตรที่มีความน่าเชื่อถือที่ไม่ใช่จากจีน

ที่มา : https://techhq.com/2023/03/chinas-semiconductor-industry-takes-blow-from-south-korea/

from:https://www.techtalkthai.com/semiconductor-industry-south-korea-is-stepping-away-from-china/

HP ออกอัปเดตเฟิร์มแวร์ Printer ปิดกั้นตลับหมึกปลอม

HP เรียกมาตรการนี้ว่า “dynamic security” และอธิบายว่ามาตรการนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อ “ปกป้องคุณภาพประสบการณ์ของลูกค้า รักษาความสมบูรณ์ของระบบการพิมพ์ของเรา และปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของเรา”
 

ตลับหมึกปลอมจะถูกปิดกั้นโดยเฟิร์มแวร์เครื่องพิมพ์เนื่องจากมีชิปที่ไม่ใช่ของ HP โดยเครื่องพิมพ์นี้ตั้งใจให้ใช้งานได้เฉพาะกับตลับหมึกใหม่หรือที่ใช้ซ้ำซึ่งมีชิป HP ในเครื่องพิมพ์บางรุ่นเท่านั้น
  • เพื่อปกป้องคุณภาพการใช้งานของผู้บริโภคจากความเสี่ยงด้านการทำงานที่อาจเกิดขึ้นได้
  • เพื่อปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของ HP
  • เพื่อลดการปลอมแปลงวัสดุสิ้นเปลืองของ HP และการละเมิดเงื่อนไขการรับประกัน
HP มีนโยบายที่คล้ายคลึงกันมาตั้งแต่ปี 2016 และถูกฟ้องร้องดำเนินคดีแบบกลุ่มจำนวนมากเกี่ยวกับลักษณะเฉพาะตัวของ “dynamic security” นี้ และในปี 2018 ACCC ได้ตรวจสอบการใช้เฟิร์มแวร์ “dynamic security” ของ HP และพบว่าละเมิดกฎหมาย HP ถูกปรับ 3,000,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ และถูกบังคับให้ “ระบุอย่างชัดเจนบนบรรจุภัณฑ์และ ณ จุดขายว่าเครื่องพิมพ์มีเทคโนโลยี DSF และได้รับการออกแบบมาเพื่อป้องกันการใช้ตลับหมึกที่ไม่ใช่ของ HP”
 
การอัปเดตล่าสุด HP ได้กลับมาเผยแพร่เฟิร์มแวร์ “dynamic security” อีกครั้งเมื่อเดือนธันวาคม 2022 และ เดือนมกราคม 2023 โดยไม่ได้เปิดเผยถึงรุ่นผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการอัปเดตนี้
 

from:https://www.techtalkthai.com/hp-releases-printer-firmware-update-to-block-fake-ink-cartridges/

Dentons UKIME ธุรกิจกฎหมายที่ใหญ่ที่สุดในโลก ใช้ Pure Storage จัดเก็บข้อมูลเอกสารกฎหมาย รองรับการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต

Dentons UKIME ธุรกิจกฎหมายที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งมีพนักงานมากกว่า 21,000 คนใน 200 สาขาจากมากกว่า 80 ประเทศทั่วโลก ได้ตัดสินใจใช้งาน Pure Storage เพื่อวางรากฐานด้านการจัดเก็บข้อมูลและเอกสารทางกฎหมายอย่างยั่งยืน มั่นคงปลอดภัย

ในการยกระดับการจัดเก็บข้อมูลครั้งนี้ Dentons UKIME ได้ตัดสินใจเลือกใช้ Pure Storage FlashArray ระบบ All Flash Storage ประสิทธิภาพสูงที่บริหารจัดการดูแลรักษาได้ง่าย ควบคู่กับ Evergreen//One บริการ Subscription เพื่อใช้งานระบบ All Flash Storage ในแบบ As-a-Service เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นต่อการลงทุนและการเพิ่มขยาย รวมถึงบริหารจัดการระบบทั้งหมดจากศูนย์กลางอย่างง่ายดายผ่านบริการ Pure1 ระบบบริหารจัดการ All Flash Storage ผ่าน Cloud เพื่อให้ได้รับประโยชน์ดังนี้
 
  1. ความยืดหยุ่นในการลงทุนและการเพิ่มขยายเสมือนการใช้ Cloud ด้วยการใช้ Pure Storage FlashArray ร่วมกับ Evergreen//One ที่ทำให้ Dentons UKIME สามารถใช้งาน Pure Storage FlashArray ในแบบ On-Premises โดยคิดค่าใช้จ่ายแบบ Subscription ได้
  2. การอัปเกรดได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องหยุดระบบและเสริมสร้างความยั่งยืน จากการใช้ Evergreen//One Subscription ที่ช่วยให้ Dentons UKIME สามารถใช้งานระบบ Storage เดิมที่อัปเกรดได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน 3-5 ปี อีกทั้งยังประหยัดพลังงานสูงสุดกว่า 50%
  3. เสริมความมั่นคงปลอดภัยในการจัดเก็บข้อมูล ด้วยการนำข้อมูลทั้งในส่วนของ Email, SQL Database และระบบ Disaster Recovery มาใช้งานบน Pure Storage FlashArray พร้อมการเข้ารหัสข้อมูล Data at Rest สร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าในระยะยาว
ผู้ที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ https://www.purestorage.com/docs.html?item=/type/pdf/subtype/doc/path/content/dam/pdf/en/case-studies/cs-dentons-ukime.pdf/context/company/newsroom/press-releases/law-firm-leverages-pure-for-global-expansion.html

from:https://www.techtalkthai.com/dentons-ukime-the-worlds-largest-law-firm-uses-pure-storage-to-store-legal-documents/