คลังเก็บป้ายกำกับ: BUSINESS_SOFTWARE

Adobe Summit 2023: ขับเคลื่อนการเติบโตด้วย “ประสบการณ์” [Guest Post]

• อะโดบีเปิดตัวนวัตกรรมมากมายสำหรับ Adobe Experience Cloud โดยเน้นบริการใหม่ด้าน generative AI, personalization, การจัดการด้านคอนเทนต์ และการวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ รวมถึงโซลูชั่น Content Supply Chain ที่ครบวงจรเป็นครั้งแรกของโลก

• ปัจจุบันบริษัทที่ติดอันดับ Fortune 100 ใช้ Adobe Experience Cloud ถึง 87% รวมถึงแบรนด์ B2B ชั้นนำและยังได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในหลายอุตสาหกรรม รวมถึงบริการด้านสุขภาพและบริการด้านการเงิน

• การประชุมสุดยอดประจำปีกลับมาอีกครั้งพร้อมกับผู้นำในอุตสาหกรรมและบุคคลผู้มีชื่อเสียงในวงการต่างๆ ได้แก่ ดร. ลิซ่า ซู ประธานและซีอีโอของ AMD, เดฟ ริคส์ ซีอีโอของ Eli Lilly, มาร์คัส อีสต์ EVP และ CDO ของ T-Mobile, ซูซาน ซอเมอร์ซิล จอห์นสัน CMO ของ Prudential Financial, แอรอน ซอร์กิ้น นักเขียนบทและผู้กำกับ, ทิก โนทาโร นักแสดงและนักแสดงตลก, เพย์ตัน แมนนิงและดามาร์ แฮมลิน นักกีฬา NFL

Adobe President of Digital Experience Anil Chakravarthy welcomes 10,000 digital marketers to Adobe Summit, where the company unveiled innovations across Adobe Experience Cloud on Tuesday, March 21, 2023, in Las Vegas. (David Becker/AP Images for Adobe)

ลาสเวกัส — 23 มีนาคม 2023 — อะโดบี (Nasdaq:ADBE) ได้เปิดงาน Adobe Summit 2023- งานประชุมด้านประสบการณ์ดิจิทัล (Digital Experience) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยได้เปิดตัวนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Adobe Experience Cloud ซึ่งเป็นโซลูชั่นชั้นนำของโลกในด้านการจัดการประสบการณ์ลูกค้า และ Adobe Creative Cloud แพลตฟอร์มชั้นนำของโลกในด้านการสร้างคอนเทนต์ที่น่าสนใจ พร้อมเสริมศักยภาพให้แบรนด์ต่างๆ ขับเคลื่อนการเติบโตด้วยการสร้างประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม

เมื่อคอนเทนต์กลายเป็นรากฐานที่สำคัญของประสบการณ์ดิจิทัลแบบ next-generation นวัตกรรมของอะโดบีจึงได้เชื่อมต่อกับ Experience Cloud และ Creative Cloud เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้าง การส่งมอบและการวัดผลคอนเทนต์ ที่งานประชุมสุดยอดประจำปี Adobe Summit ครั้งนี้ อะโดบีได้เปิดตัวบริการใหม่ Adobe Sensei GenAI รวมถึง Adobe Firefly – บริการตระกูลใหม่ของโมเดลครีเอทีฟ generative AI ที่มุ่งเน้นไปที่การสร้างรูปภาพ และเอฟเฟกต์ข้อความ รวมถึงนวัตกรรม generative AI ใหม่ใน Adobe Experience Cloud เพื่อขับเคลื่อนเวิร์กโฟลว์การตลาดแบบ end-to-end นอกจากนี้ บริษัทยังได้เปิดตัวเครื่องมือตัวใหม่ Adobe Product Analytics และโซลูชั่นด้านการจัดการคอนเทนต์ เพื่อช่วยให้นักการตลาดสามารถแก้ไขเว็บไซต์ และแอปพลิเคชันบนมือถือได้ด้วยตนเอง

เพื่อเพิ่มความเร็วและทำให้ความคิดสร้างสรรค์กลายเป็นสิ่งที่ใครๆ ในองค์กรก็ทำได้ อะโดบีเปิดตัว Adobe Express for Enterprise ที่ช่วยให้ทุกคนในองค์กรสามารถสร้างและปรับปรุงคอนเทนต์ได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะมีทักษะด้านครีเอทีฟมากหรือน้อยก็ตาม นอกจากนี้ อะโดบียังเปิดตัวโซลูชั่น Content Supply Chain ที่ครบวงจรเป็นครั้งแรกของโลก ผ่านนวัตกรรม Creative Cloud และ Experience Cloud ที่เชื่อมต่อเครื่องมือยอดนิยมในการวางแผน การสร้าง การตรวจสอบ และเผยแพร่งานสร้างสรรค์เพื่อให้ทีมสามารถทำงานร่วมกันเพื่อตอบสนองความต้องการด้านคอนเทนต์ที่เพิ่มขึ้นโดยใช้เวลาน้อยลง  

on Tuesday, March 21, 2023, in Las Vegas. (David Becker/AP Images for Adobe)

อนิล จักราวาธี ประธานฝ่ายธุรกิจด้านประสบการณ์ดิจิทัลของอะโดบี กล่าวว่า “ในขณะที่เศรษฐกิจดิจิทัลขยายตัวอย่างต่อเนื่อง การเติบโตอย่างมีกำไรจะมาจากการเชื่อมโยงประสบการณ์ลูกค้าที่สมบูรณ์ นวัตกรรม Adobe Experience Cloud ล่าสุดของเราเชื่อมต่อการสร้างและการจัดการประสบการณ์ของลูกค้าแบบไม่เหมือนใคร ช่วยให้แบรนด์ต่างๆ สามารถปรับสเกล รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน และทำ personalize ประสบการณ์ดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุก surface รวมถึงทำให้ธุรกิจเติบโตด้วยประสบการณ์อย่างยั่งยืน”

โมเมนตัมของอุตสาหกรรม

Adobe Experience Cloud เป็นแพลตฟอร์มชั้นนำของวงการในด้านการส่งมอบ วัดผล และ personalize ประสบการณ์ของลูกค้า ซึ่งขณะนี้มีลูกค้ากว่า 12,000 ราย รวมถึงบริษัทที่ติดอันดับ Fortune 100 ถึง 87% และบริษัทที่ติดอันดับ Fortune 500 ถึง 74% ด้วยการสนับสนุนจากสมาชิกในอีโคซิสเต็มทั่วโลก 4,000 ราย และพาร์ทเนอร์ของแพลตฟอร์ม Adobe Experience 450 ราย โดย Adobe Experience Cloud ได้สร้างโซลูชั่นเพื่อช่วยแก้ปัญหาเฉพาะที่เกิดขึ้นในแต่ละอุตสาหกรรม ทำให้มีการตอบรับและได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องจากหลากหลายอุตสาหกรรม

ในอุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์, CVS Health, Elevance Health และ UnitedHealth Group เป็นบริษัทกลุ่มล่าสุดที่นำ Adobe Experience Cloud for Healthcare มาใช้เพื่อมอบประสบการณ์ที่ปลอดภัยให้กับผู้บริโภค และช่วยให้ผู้ป่วยได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพของตนเอง

อะโดบียังได้ช่วยธุรกิจ B2B มากขึ้น โดยการทำการตลาดแบบ personalization ในอุตสาหกรรม B2B ชั้นนำเช่น Amazon Web Services, Cisco, IBM, Microsoft, Qualcomm และ Splunk

ในอุตสาหกรรมบริการทางการเงิน องค์กรต่าง ๆ หันมาใช้ Adobe Experience Cloud มากขึ้นเพื่อสนับสนุนประสบการณ์ personalization Adobe’s Real-Time Customer Data Platform (Real-Time CDP) ของอะโดบี ช่วยให้ธุรกิจต่างๆ เช่น Bank of America, Fidelity Investments, Morgan Stanley, U.S. Bank และ Wells Fargo มั่นใจได้ว่าลูกค้าของพวกเขาสามารถบริหารจัดการเป้าหมายการเงินของตนเองได้อย่างเหมาะสมโดยได้รับข้อมูลและข้อเสนอที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง และทันเวลา

นวัตกรรม Generative AI

บริการใหม่ Adobe Sensei GenAI ใน Adobe Experience Cloud จะนิยามวิธีที่องค์กรนำเสนอประสบการณ์ลูกค้าในแบบใหม่ บริการนี้จะรวมอยู่ใน Adobe Experience Cloud ในฐานะคู่หูคู่คิด (co-pilot) ของนักการตลาดเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน พร้อมการควบคุมเชิงสร้างสรรค์เต็มรูปแบบและความสามารถด้านการกำกับดูแลที่เชื่อถือได้  Sensei GenAI จะใช้ประโยชน์จากโมเดลภาษาขนาดใหญ่หลายตัว (LLM) รวมถึง Microsoft Azure, OpenAI และ FLAN-T5 ภายใน Adobe Experience Platform ขึ้นอยู่กับความต้องการเฉพาะของแต่ละธุรกิจ

นอกจากนี้ อะโดบียังเปิดตัว Adobe Firefly ซึ่งเป็นบริการตระกูลใหม่ของอะโดบีที่เป็นโมเดล creative generative AI โดยจะมุ่งเน้นไปที่การสร้างภาพและเอฟเฟกต์ข้อความก่อน ซึ่งจะรวมเข้ากับ Adobe Experience Cloud สำหรับธุรกิจเพื่อสร้างคอนเทนต์ที่ออกแบบมาให้ปลอดภัยสำหรับการใช้งานเชิงพาณิชย์ Firefly รุ่นแรกของอะโดบีได้รับการเทรนด์เบื้องต้นเกี่ยวกับภาพ Adobe Stock หลายร้อยล้านภาพระดับมืออาชีพ, เนื้อหาคอนเทนต์ที่ได้รับอนุญาตให้เปิดเผย และโดเมนคอนเทนต์สาธารณะเมื่อลิขสิทธิ์หมดอายุ เอาต์พุตที่สร้างโดย Firefly จะมีมูลค่าทางธุรกิจจริงในเชิงพาณิชย์ เนื่องจากไม่ได้สร้างเนื้อหาตาม IP ของแบรนด์ หรือของผู้อื่น

Sensei GenAI และ Firefly จะทำหน้าที่เป็น co-pilot ของฝ่ายครีเอทีฟและฝ่ายการตลาด โดยจะช่วยให้พวกเขาสามารถสร้างประสบการณ์ที่ขับเคลื่อนด้วยคอนเทนต์ใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว สามารถสร้างสรรค์ตามทันจินตนาการได้อย่างแม่นยำ ทรงพลังและสะดวกสบายมากขึ้นใน Adobe Creative Cloud, Adobe Experience Cloud, แอปพลิเคชันใน Adobe Document Cloud และเวิร์กโฟลว์ต่างๆ

นวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่เปิดตัวในการประชุม Adobe Summit ครั้งนี้

  • Adobe Product Analytics ใหม่ใน Adobe Experience Cloud กำหนดหมวดหมู่การวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ใหม่โดยรวมข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับ customer journey ทั้งในด้านการตลาดและผลิตภัณฑ์ เป็นครั้งแรกที่ทีมมุ่งเน้นไปที่ประสบการณ์ของลูกค้าที่จะได้รับประโยชน์จากมุมมอง และการทำงานร่วมกันที่ราบรื่นทั่วทั้งองค์กร
  • อะโดบีปฏิวัติวงการด้วยการเปิดตัว Adobe Experience Manager (AEM) รุ่นใหม่ กำหนดความหมายใหม่ให้กับ Content Management System ช่วยให้ทีมสามารถอัปเดตเว็บไซต์บริษัทและโมล์บายแอปได้อย่างง่ายดายโดยใช้เครื่องมือยอดนิยมที่ช่วยสร้างคำหรือสเปรดชีต เมื่ออุปสรรคทางเทคนิคลดลง Next-Gen AEM จะช่วยทำให้ enterprise content management ทำงานได้เร็ว AEM ใหม่นี้ยังใช้ Adobe Sensei AI ในการวิเคราะห์ว่าคุณลักษณะต่างๆ ของคอนเทนต์ส่งผลต่อ performance ของ audiences กลุ่มต่างๆอย่างไร และให้คำแนะนำที่ตอบโจทย์มากขึ้น
  • อะโดบีเปิดตัวโซลูชั่น Content Supply Chain ที่ครบวงจรเป็นครั้งแรกของวงการ ช่วยให้ทีมพัฒนาคอนเทนต์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในเวลาที่น้อยลงผ่านการเชื่อมต่อกับการวางแผน การผลิต การส่งมอบและการวิเคราะห์ โซลูชั่นแบบครบวงจร Content Supply Chain ของอะโดบีช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ประหยัดต้นทุน และยังส่งมอบประสบการณ์ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น โดยได้รวมแอพพลิเคชั่น บริการและการผสานระหว่าง Adobe Creative Cloud และ Adobe Experience Cloud เพื่อส่งมอบคุณค่าให้กับแบรนด์ชั้นนำ รวมถึง Xfinity Creative
  • Adobe Express for Enterprise รุ่นใหม่ ได้นำหนึ่งในเครื่องมือที่เป็นนวัตกรรมใหม่และเข้าถึงได้มากที่สุดของ Creative Cloud มาไว้ในโซลูชั่นสร้างสรรค์ที่เป็นสากล สำหรับนักการตลาดและผู้นำองค์กร ช่วยให้ทุกคนไม่ว่าจะมีทักษะด้านการสร้างสรรค์มากหรือน้อยก็สามารถสร้าง ทำงานร่วมกัน และแชร์คอนเทนต์ของแบรนด์ได้อย่างง่ายดาย การผสานกันระหว่าง Adobe Express และ Adobe Experience Manager Assets ช่วยปรับปรุงเวิร์กโฟลว์ด้านคอนเทนต์แบบ end-to-end ช่วยให้การพัฒนาคอนเทนต์และกระบวนการทางการตลาดเป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น

Adobe Summit ได้กลับมาจัดที่ลาสเวกัสเป็นครั้งแรกหลังจากปี 2019 ในรูปแบบไฮบริด ทั้งออนไซต์และออนไลน์ที่ขับเคลื่อนโดย Adobe Experience Cloud โดยวิทยากรทรงคุณวุฒิที่มีชื่อเสียง และผู้นำในอุตสาหกรรมต่างๆ ได้แก่ แอรอน ซอร์กิ้น นักเขียนบทและผู้กำกับ, ทิก โนทาโร นักแสดงและนักแสดงตลก,เพย์ตัน แมนนิงและดามาร์ แฮมลิน นักกีฬา NFL, เดฟ ริคส์ ซีอีโอของ Eli Lilly, ซูซาน ซอเมอร์ซิล จอห์นสัน CMO ของ Prudential Financial, มาร์คัส อีสต์ EVP และ CDO ของ T-Mobile, ดร. ลิซ่า ซู ประธานและซีอีโอของ AMD  ผู้เข้าร่วมงานจะได้เพลิดเพลินกับการแสดงสดของเหล่านักดนตรี Macklemore และ Rev. Run

Adobe ได้ให้ความสำคัญกับลูกค้า Experience Cloud ชั้นนำ ได้แก่ Chipotle, The Coca-Cola Company, General Motors, PGA TOUR, Prada, Prudential Financial, Qualcomm, T-Mobile และ Warner Bros. Discovery นอกจากนี้อะโดบียังประกาศความร่วมมือใหม่กับ Accenture, Amazon Ads, IBM, LinkedIn, Publicis และ TikTok เพื่อช่วยให้แบรนด์ระดับโลก personalize ประสบการณ์ดิจิทัลให้มีความเฉพาะบุคคล ปรับปรุงเวิร์กโฟลว์ด้านการตลาด และจัดการ consent ของผู้ใช้งาน

หากท่านต้องการรับชม Adobe Summit ทางออนไลน์ หรือต้องการชมเซสชั่นต่างๆ ที่มีมากกว่า 200 เซสชั่นและเข้า hands-on labs ทั้ง 11 แทร็ค รวมถึงสร้างเครือข่ายกับเพื่อนๆ หรือพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญของอะโดบี เชิญเยี่ยมชมที่ Summit web experience.

เกี่ยวกับอะโดบี

อะโดบีกำลังเปลี่ยนแปลงโลกผ่านประสบการณ์ดิจิทัล ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.adobe.com.

from:https://www.techtalkthai.com/adobe-summit-2023-driving-growth-through-experiences/

Advertisement

IBM Business Automation โซลูชั่นเพื่อปรับปรุงกระบวนการธุรกิจด้วยการผสมผสานระบบ BPM, ECM และ Case Manager [Guest Post]

บทความนี้จะแนะนำการใช้ IBM Business Automation เพื่อปรับปรุงกระบวนการธุรกิจภายในองค์กร โดยเน้นไปที่ระบบ Business Process Management (BPM) Enterprise Content Management (ECM) และ Case Manager ที่ทำงานผสมผสานกัน โดยเนื้อหาของบทความจะยกตัวอย่างการใช้งานสำหรับกระบวนการขอซื้อและสั่งซื้อ (PR/PO) ในโรงพยาบาลและโรงเรียนแพทย์กับโรงงาน โดยระบบ ERP ขององค์กรอาจจะเป็น SAP หรือ Oracle Financial หรืออื่นๆ ก็ได้

บทนำ

ในยุคปัจจุบัน การใช้เทคโนโลยีเพื่อการปรับปรุงกระบวนการธุรกิจเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก เพื่อให้การดำเนินงานในองค์กรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล ซึ่งหนึ่งในเทคโนโลยีที่สามารถช่วยปรับปรุงกระบวนการธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพคือ IBM Business Automation

IBM Business Automation เป็นแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ธุรกิจที่ช่วยองค์กรในการเตรียมตัวให้พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงและการปรับปรุงกระบวนการธุรกิจอย่างรวดเร็ว และมีความสามารถในการจัดการกระบวนการธุรกิจที่ซับซ้อน โดยสามารถช่วยในการทำงานและการบริหารจัดการกระบวนการทางธุรกิจให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ การใช้ IBM Business Automation ช่วยให้องค์กรสามารถจัดการกระบวนการธุรกิจต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว

การผสมผสานระบบ BPM (Business Process Management) ECM (Enterprise Content Management) และ Case Manager สามารถช่วยปรับปรุงกระบวนการธุรกิจได้อย่างไร โดยเชื่อมโยงระบบเหล่านี้เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างสิ่งที่เรียกว่า Intelligent Automation ซึ่งเป็นการใช้เทคโนโลยีและอัลกอริทึมเพื่อปรับปรุงและทำให้กระบวนการธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดย IBM Business Automation เป็นโซลูชั่นที่ช่วยลดความซับซ้อนของกระบวนการธุรกิจ และช่วยให้บริษัทสามารถปรับปรุงการปฏิบัติงานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

การผสมผสานระบบ BPM, ECM และ Case Manager

การนำระบบ BPM (Business Process Management), ECM (Enterprise Content Management) และ Case Manager มาใช้ในองค์กรสามารถช่วยปรับปรุงกระบวนการธุรกิจได้หลากหลายด้าน อย่างเช่นในกระบวนการขอซื้อและสั่งซื้อ จัดการเอกสารต่างๆ ขอราคาจากคู่ค้า และออกใบสั่งซื้อให้กับคู่ค้า โดยมีขั้นตอนการทำงานดังนี้

  1. กำหนดกระบวนการขอซื้อและสั่งซื้อ: การกำหนดกระบวนการเป็นหลักเพื่อให้มีขั้นตอนการทำงานที่ชัดเจนและมีความสอดคล้องกับนโยบายและกฎระเบียบขององค์กร
  2. สร้างและจัดการเอกสาร: การใช้ ECM เพื่อจัดเก็บและจัดการเอกสารที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการขอซื้อและสั่งซื้อ เช่น ใบเสนอราคาจากคู่ค้า ใบเสนอราคาตอบกลับ ใบสั่งซื้อ ฯลฯ
  3. ติดตามกระบวนการ: การใช้ BPM เพื่อติดตามกระบวนการที่กำลังดำเนินการ โดยการกำหนดขั้นตอนการทำงาน และติดตามสถานะของงาน
  4. จัดการและตรวจสอบรายการสั่งซื้อ: การใช้ Case Manager เพื่อจัดการและตรวจสอบรายการสั่งซื้อ รวมถึงตรวจสอบสถานะการชำระเงิน และติดตามสถานะการจัดส่งสินค้า
  5. ออกใบสั่งซื้อ: การใช้ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ เช่น การอนุมัติการสั่งซื้อ ที่ถูกผสมผสานกับระบบ Case Manager และ ECM เพื่อทำให้กระบวนการนี้เป็นไปอย่างราบรื่นและเร็วขึ้น นอกจากนี้ BPM ยังช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดตามสถานะการสั่งซื้อและอัพเดตข้อมูลเกี่ยวกับราคาและสินค้าได้ง่ายขึ้น

กระบวนการขอซื้อและสั่งซื้อในองค์กรที่ต่างกัน

การใช้งาน IBM Business Automation ในการปรับปรุงกระบวนการขอซื้อและสั่งซื้อในองค์กรต่างๆ จะมีลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกันไปตามลักษณะการดำเนินงานของแต่ละองค์กร โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบระบบ IBM Business Automation สำหรับกระบวนการขอซื้อและสั่งซื้อ ระหว่างโรงพยาบาลและโรงเรียนแพทย์กับระบบ IBM Business Automation สำหรับกระบวนการขอซื้อและสั่งซื้อของโรงงาน อาจจะมีความแตกต่างกันได้ดังนี้

การใช้งาน IBM Business Automation ในโรงพยาบาลและโรงเรียนแพทย์ การดำเนินการในโรงพยาบาลและโรงเรียนแพทย์มักเกี่ยวข้องกับการจัดการสินค้าและบริการทางการแพทย์ เช่น การสั่งซื้อเวชภัณฑ์ ยา และอุปกรณ์การแพทย์ต่างๆ ระบบ IBM Business Automation สามารถช่วยลดเวลาในการดำเนินการต่างๆ เช่น การขออนุมัติและพิมพ์ใบสั่งซื้อ การตรวจสอบสถานะของการสั่งซื้อและการส่งมอบสินค้า การใช้งานระบบ IBM Business Automation ยังช่วยเพิ่มความเป็นมืออาชีพของผู้ใช้บริการและรองรับการทำงานซึ่งเป็นภาระหน้าที่ทางด้านการแพทย์อย่างมีประสิทธิภาพ

การใช้งาน IBM Business Automation ในโรงงาน การดำเนินการในโรงงานมีลักษณะการดำเนินงานที่เน้นการผลิตสินค้า และการจัดการสินค้าสำเร็จรูป เช่น การสั่งซื้อวัตถุดิบ การจัดส่งสินค้า และการควบคุมคุณภาพสินค้า ระบบ IBM Business Automation สำหรับการขอซื้อและสั่งซื้อในโรงงานมีลักษณะการใช้งานที่ต้องการการปรับแต่งสูงสุดเพื่อให้ตรงกับกระบวนการการผลิตที่แตกต่างกันไป โดยระบบจะช่วยให้ผู้ใช้บริการสามารถสั่งซื้อวัตถุดิบได้อย่างตรงเวลา รวมถึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบและจัดการความสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์ ช่วยเพิ่มความโปร่งใสในกระบวนการดำเนินงาน และสามารถจัดการความเสี่ยงและการควบคุมคุณภาพสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถติดตามสถานะของการสั่งซื้อและการจัดส่งได้อย่างง่ายดาย โดยระบบ IBM Business Automation สำหรับโรงงานนั้นยังสามารถปรับแต่งได้เพื่อตรงกับความต้องการของแต่ละองค์กรและกลุ่มผู้ใช้งานโดยเฉพาะ เพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการของธุรกิจได้อย่างดีที่สุด

สรุป

IBM Business Automation เป็นแพลตฟอร์มที่สามารถใช้ในการจัดการกระบวนการธุรกิจต่างๆ ในหลากหลายธุรกิจ อย่างที่ได้ยกตัวอย่าง กระบวนการขอซื้อและสั่งซื้อในโรงพยาบาลและโรงเรียนแพทย์ กับกระบวนการขอซื้อและสั่งซื้อในโรงงาน มากไปกว่านั้น ยังนำไปใช้จัดการเอกสารในกระบวนการ QA ในการผลิต การจัดการงบประมาณ การขอสินเชื่อ และอื่นๆ โดยการนำเทคโนโลยีที่มีใน IBM Business Automation มาช่วยในการทำงานทั้งหมด จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดเวลาในการทำงาน และช่วยลดความผิดพลาดในการทำงานด้วยการทำงานอัตโนมัติ สรุปได้ว่า IBM Business Automation เป็นแพลตฟอร์มที่สามารถนำไปใช้งานได้ในหลากหลายธุรกิจและกระบวนการอย่างมีประสิทธิภาพ

หากสนใจสอบถามข้อมูล หรือกำลังมองหาผู้ช่วยพัฒนาธุรกิจเพื่อรองรับการเติบโต บริษัท C-Level Co., Ltd. ยินดีให้คำปรึกษา พร้อมค้นหาโซลูชั่นที่ตอบโจทย์ธุรกิจของคุณ

เราเป็น IBM Certified Gold Business Partner และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านบริการเทคโนโลยีสารสนเทศให้กับลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ ด้วยทีมงานที่มีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตร IBM Business Automation และมีพื้นฐานความเข้าใจในธุรกิจของลูกค้ารวมถึงโซลูชั่นเป็นอย่างดี ทำให้เราสามารถให้คำปรึกษา หรือให้คำแนะนำเพื่อแก้ไขปัญหาและปรับปรุงกระบวนการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

ติดต่อเรา

● Email: clv_sales@the-c-level.com

● Website:  https://www.the-c-level.com

● Facebook: https://www.facebook.com/theclevel

● The C-Level YouTube Channel: https://bit.ly/3nPNPrF 

หรือติดต่อ บริษัท คอมพิวเตอร์ยูเนี่ยน จำกัด

Email : cu_mkt@cu.co.th หรือ โทร 02 3116881 #7156, 7158

from:https://www.techtalkthai.com/ibm-business-automation-bpm-ecm-and-case-manager-solution/

Protected: PwC ออสเตรเลีย สร้างประสบการณ์การสื่อสารผ่านวิดีโอให้พนักงานและลูกค้าทั่วโลก อย่างไร้รอยต่อและปลอดภัยได้อย่างไร

This content is password protected. To view it please enter your password below:

Password:

from:https://www.techtalkthai.com/how-pwc-australia-securely-sustainably-connects-global-clients-via-vdoconference/

Google เปิดให้เข้าถึง Bard AI Chatbot แล้ว

Google เริ่มอนุญาตให้ผู้ใช้ลงทะเบียนเพื่อใช้ Bard ซึ่งเป็นแชทบอทที่ขับเคลื่อนด้วย AI
 

Image Credit : newscientist.com
Bard เป็นบริการ AI เชิงสนทนา Google Search ซึ่งประกาศครั้งแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ขณะนี้ สำหรับผู้ที่สนใจ Bard สามารถเข้าร่วม join Google’s waitlist ของ Google เพื่อเข้าถึงได้แล้ว และผู้ใช้บางคนรายงานว่าได้รับอีเมลคำเชิญเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากลงชื่อสมัครใช้ จากข้อมูลของ Google ระบุว่า Bard กำลังใช้ LaMDA เวอร์ชัน “lightweight and optimized” ซึ่งจะมอบประสบการณ์ที่แตกต่างไปจากอินเทอร์เฟซแชท Bing ที่ขับเคลื่อนโดย OpenAI อย่างไรก็ตาม Bard ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อแทนที่ Google Search และ Google ระบุว่าเป็น “ส่วนเสริม” เท่านั้น
 
Google เตือนว่า Bard เรียนรู้จากข้อมูลที่หลากหลาย ซึ่งรวมถึงข้อมูลเชิงอคติและทัศนคติในโลกแห่งความจริง ดังนั้น Chatbot จึงสามารถให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ทำให้เข้าใจผิด หรือเป็นเท็จได้ สิ่งเหล่านี้ จะถูกปรับปรุงเมื่อเวลาผ่านไปจากการแสดงความคิดเห็นของผู้ใช้งาน โดย Google วางแผนที่จะเพิ่มความสามารถต่างๆ เช่น การเขียนโค้ดและภาษาอื่นๆ ในอนาคต
 
มีรายการฟังก์ชันตัวอย่างจำนวนมากที่ Google กล่าวว่า Bard สามารถทำได้:
  • ช่วยให้เขียนนิยายเรื่องแรกของคุณ
  • ช่วยร่างรายการบรรจุภัณฑ์สำหรับการเดินทางช่วงสุดสัปดาห์ของคุณ
  • ช่วยร่างบล็อกโพสต์เกี่ยวกับสูตรม็อกเทลฤดูร้อนของคุณ
  • ช่วยสร้างสโลแกนสตูดิโอศิลปะ
  • ช่วยแนะนำตัวเลือกโปรตีนสูงเพื่อเพิ่มในอาหารมังสวิรัติ
 

 

 

from:https://www.techtalkthai.com/google-now-allows-access-to-bard-ai-chatbot/

เทรนด์เทคโนโลยีปี 2566 ที่ธุรกิจต้องให้ความสำคัญ [Guest Post]

บทความโดย เทอร์รี สมา, รองประธานอาวุโสและผู้จัดการทั่วไป ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น, บริษัทอินฟอร์

เมื่อย่างเข้าสู่ปีใหม่ ผู้จำหน่ายโซลูชันคลาวด์ระดับองค์กรก็ต่างพากันมองหาลู่ทางขยายฐานลูกค้าเพิ่ม โดยไม่เน้นที่ทีมพัฒนาหรือทีมไอทีเท่านั้นอีกต่อไป

ข้อมูลจาก Top Strategic Technology Trends for 2023[1] ที่นักวิเคราะห์ของ Gartner® ได้นำเสนอในงานระดับโลก IT Symposia 2022 ระบุว่า “ผู้นำด้านไอทีและธุรกิจจำเป็นต้องเตรียมพร้อมที่จะเพิ่มประสิทธิภาพ ปรับขยายหรือเป็นผู้ริเริ่ม ในประเด็นต่อไปนี้:

  • เพิ่มประสิทธิภาพด้านความยืดหยุ่น การดำเนินงาน หรือความไว้วางใจให้เหมาะสมที่สุด
  • ปรับขยายโซลูชันซอฟต์แวร์แบบครบวงจรที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมหรือธุรกิจเฉพาะ (vertical solutions) ตลอดจนการส่งมอบผลิตภัณฑ์ หรือ กระบวนการอื่น ๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการได้จากทุกที่
  • เป็นผู้นำในการมีส่วนร่วมกับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ด้วยการตอบสนองต่อความต้องการ และสร้างโอกาสในการปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้าอย่างรวดเร็ว”

จากมุมมองของ Infor เราสังเกตเห็นถึงความต้องการการผสานรวมเทคโนโลยีหลากหลายที่เพิ่มขึ้น เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตลาดหรืออุตสาหกรรมต่าง ๆ 

4 เทคโนโลยีที่ Infor คาดการณ์ โดยคำนึงถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลาในตลาดเหล่านี้ มีดังนี้:

1. ความเป็นจริงที่ประกอบได้

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา บริษัทวิจัยและวิเคราะห์ตลาดชั้นนำหลายแห่งต่างระบุถึงความต้องการและให้คำแนะนำในการซื้อแอปพลิเคชันที่ดีที่สุด และ “จัดองค์ประกอบ” ของแอปพลิเคชันเหล่านี้เข้าด้วยกันแบบไร้รอยต่อที่รู้จักกันในนาม “composable ERP” ซึ่งเป็นวิธีที่จะช่วยให้องค์กรสามารถปรับแต่งระบบ ERP ได้อย่างรวดเร็ว และง่ายดายเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะทางธุรกิจ

วิธีแบบนี้ขัดกับแนวคิดที่ว่าระบบ ERP เป็นระบบหลักที่สำคัญขององค์กร  แต่วิธีการที่จะทำให้องค์ประกอบนี้สำเร็จยังไม่ได้รับการกล่าวถึงอย่างเป็นทางการ  ในขณะที่ผู้ให้บริการแบบ Pure-Play ที่ขายผลิตภัณฑ์หรือบริการเฉพาะจำนวนมากในตลาดจะมี iPaaS (แพลตฟอร์มบริการโครงสร้างพื้นฐาน) เฟรมเวิร์กการพัฒนาแบบไม่ใช้โค้ด ตลอดจนแพลตฟอร์มแมชชีนเลิร์นนิงและอื่น ๆ ที่เป็นเวอร์ชันเฉพาะของตนเองก็ตาม แต่ก็ยังไม่มีบริษัทใดพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมนวัตกรรมแบบครบวงจรได้ทั้งหมด  ซึ่งเป็นจุดที่เดิม GSIs (ผู้รวมระบบทั่วโลก) เข้ามามีบทบาทสำคัญมาโดยตลอด แต่ผู้ซื้อก็มักจะต้องการกระบวนการจัดซื้อ การปรับแต่ง และการปรับใช้ที่ง่ายและรวดเร็วขึ้น  

ที่จริง บริษัทซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่หลายแห่งได้เพิ่มขีดความสามารถในด้านต่าง ๆ มาโดยตลอด แต่ส่วนใหญ่ก็ยังไม่สามารถผสานรวมเข้ากับบริการคลาวด์ที่มีอยู่ได้โดยตรง  ดังนั้น ปีนี้จึงเป็นปีที่จะทำให้การจัดซื้อ การปรับแต่งและการปรับใช้ที่ง่ายดาย รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นจริงขึ้นมาได้ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันที่แท้จริง ที่กำลังกลายเป็นเป็นแพลตฟอร์มมาตรฐานที่เชื่อมต่อ ตลอดจนรวมบริการคลาวด์และซอฟต์แวร์ต่าง ๆ สำหรับทุกองค์กร  

2. ไฮเปอร์ออโตเมชันกระแสหลัก – แนวคิดในการทำให้การทำงานทุกอย่างภายในองค์กรเป็นอัตโนมัติ

ด้วยแรงกดดันด้านประสิทธิภาพของต้นทุนและอิทธิพลของตลาดที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ธุรกิจเกิดความต้องการที่ขัดแย้งระหว่างรูปแบบธุรกิจใหม่กับการสร้างความแตกต่างที่ต้องคำนึงถึงต้นทุนด้วยในเวลาเดียวกัน  ดังนั้น องค์กรจึงจำเป็นต้องพิสูจน์ให้เห็นถึงผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ให้เร็วขึ้น และต้องให้ความสำคัญกับการดำเนินงานที่มีค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงมากที่สุด ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักจะเกี่ยวข้องกับการดำเนินงานและผู้คน

ดังนั้น ธุรกิจควรคำนึงไว้เสมอว่าการทำให้งานหนึ่งงานเป็นอัตโนมัตินั้นไม่พอ มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะระบบอัตโนมัตินั้นจะต้องมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ข้อเรียกร้องต่อทีมไอทีให้ตอบสนองความต้องการของธุรกิจ รวมไปถึงการทำให้กระบวนการต่าง ๆ เร็วขึ้น แม่นยำขึ้น เป็นเชิงรุกมากขึ้น ชาญฉลาดขึ้น สามารถทำได้โดยขยายความสามารถด้านการทำงานระบบอัตโนมัตินี้ไปยังระบบต่าง ๆ ทั้งที่เป็นระบบดั้งเดิมและความรู้ในองค์กรที่ไม่ได้บูรณาการหรือทำงานอัตโนมัติในปัจจุบัน  

3. โปรแกรมเพื่อวิเคราะห์และทดสอบสถานการณ์ทางธุรกิจในสภาพแวดล้อมจำลอง

ธุรกิจต้องการวิธีใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้พวกเขาได้รับสินค้าคงคลังเร็วขึ้น ขายสินค้าได้มากขึ้น ลดของเสีย ย้ายไปตลาดใหม่ ๆ หรือแม้กระทั่งประเมินวิธีการตอบสนองต่อสถานการณ์ตลาดใหม่ ซึ่งคล้าย ๆ กับเทรนด์ด้านไฮเปอร์ออโตเมชันที่เป็นการผสานรวมเทคโนโลยีแมชชีนเลิร์นนิง ซอฟต์แวร์สำเร็จรูป และเครื่องมือต่างๆ สำหรับระบบงานอัตโนมัติเข้าไว้ด้วยกัน  อนึ่ง การจำลองงานสเกลใหญ่ขนาดนี้จะสามารถทำได้อย่างแน่นอนในสภาพแวดล้อมเพื่อการทดสอบ แต่นั่นก็มาพร้อมกับค่าใช้จ่ายที่สูงมากในการย้ายหรือรีเฟรชข้อมูล การปรับแต่งกระบวนการ และการถ่ายโอนการเปลี่ยนแปลงไปสู่การผลิตในตอนท้าย   

สำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการเข้าถึงการจำลองในบริบทของการทำงานประจำ เช่น หากผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดซื้อจัดจ้างรายหนึ่งกำลังทำคำสั่งซื้อ และคิดว่านี่อาจเป็นโอกาสที่จะได้ร่วมงานกับเวนเดอร์รายใหม่ ก็อาจใช้เทคโนโลยีนี้ช่วยจำลองการตัดสินใจได้ โดยอิงจากโปรไฟล์ข้อมูลจำนวนมาก แมชชีนเลิร์นนิงและโมเดลเพิ่มประสิทธิภาพการตัดสินใจ  ซึ่งหากผู้ใช้พอใจในผลลัพธ์ก็จะทำให้มั่นใจและตัดสินใจได้ดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อธุรกิจโดยรวมอย่างมีนัยสำคัญในท้ายที่สุด โดยไม่ก่อให้เกิดปัญหาติดขัดในการปรับเปลี่ยนกระบวนการทางธุรกิจเพื่อการตัดสินใจที่ดีขึ้นอีกต่อไป

4. องค์กรธุรกิจจะกลายเป็นหน่วยงานที่สร้างสรรค์

ในฐานะที่ Infor เป็นผู้รวบรวมเทรนด์ต่าง ๆ ก่อนหน้านี้ เราพบว่าความเคลื่อนไหวโดยรวมคือ เมื่อพนักงานมีการเปลี่ยนแปลง และธุรกิจต้องเผชิญกับแรงกดดันมากขึ้นในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ที่พิจารณาจากผลตอบแทนการลงทุนเป็นหลัก สิ่งนี้จะทำให้ผู้บริหารระดับสูงในองค์กรต้องการโซลูชันเทคโนโลยีที่ช่วยให้พนักงานรังสรรค์งานด้วยวิธีที่ปลอดภัยและวัดผลได้ เป็นการใช้ประโยชน์จากความคิดสร้างสรรค์ของสมาชิกทุกคนในทุกแผนก โดยไม่ต้องจัดหาเครื่องมือมากมายหรือสร้างแรงกดดันให้กับฝ่ายไอทีในการจัดหาพื้นที่สำหรับโครงการต่าง ๆ  และควรใช้ซอฟต์แวร์ระดับองค์กรส่งเสริมการกระทำดังกล่าว ซึ่งจะช่วยให้พนักงานบริหารจัดการซัพพลายเชน แก้ไขปัญหาและยกระดับการทำงาน พร้อมปรับปรุงการวางแผนและสินค้าคงคลังและอื่น ๆ ได้ดีขึ้น  ทั้งนี้ ธุรกิจจะต้องมองหาพันธมิตรที่เชื่อถือได้จากผู้จำหน่ายซอฟต์แวร์ระดับองค์กร เพื่อเพิ่มศักยภาพและน้อมรับแนวทางและเครื่องมือต่าง ๆ เพื่อสร้างโซลูชันที่ไม่เหมือนใครและเป็นนวัตกรรม ที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณโดดเด่นในอุตสาหกรรมและยังคงแข่งขันได้


[1] Gartner® “Top Strategic Technology Trends for 2023” presentation, Gilbert van der Heiden, David Groombridge and others, October 2022; given by Gartner analysts at its 2022 IT Symposia globally.

from:https://www.techtalkthai.com/technology-trends-in-2023-that-businesses-need-to-focus-on/

Salesforce เปิดตัว Einstein GPT

พลังของเทคโนโลยี OpenAI กับ CRM ด้วย Einstein GPT ลูกค้าของ Salesforce สามารถเชื่อมต่อข้อมูลนั้นกับโมเดล AI ขั้นสูงของ OpenAI ได้ทันที
 

Salesforce เป็นผู้นำระดับโลกด้าน CRM กำลังรวมเทคโนโลยี ChatGPT ระดับองค์กรของ OpenAI เข้ากับโมเดล AI ส่วนตัวของ Salesforce เพื่อส่งมอบเนื้อหาที่เกี่ยวข้องและเชื่อถือได้ซึ่งสร้างขึ้นโดย AI ซึ่งนำเสนอเนื้อหาที่สร้างโดย AI ในทุกการขาย บริการ การตลาด การค้า และการโต้ตอบด้านไอทีในระดับไฮเปอร์สเกล Einstein GPT ของ Salesforce จะเปลี่ยนทุกประสบการณ์ของลูกค้าด้วย generative AI

ตัวอย่างประโยชน์ของ Einstein GPT :

Einstein GPT สามารถสร้างอีเมลส่วนบุคคลสำหรับพนักงานขายเพื่อส่งถึงลูกค้า สร้างการตอบกลับเฉพาะสำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านการบริการลูกค้าเพื่อตอบคำถามลูกค้าได้รวดเร็วยิ่งขึ้น สร้างเนื้อหาเป้าหมายสำหรับนักการตลาดเพื่อเพิ่มอัตราการตอบกลับแคมเปญ และสร้างโค้ดอัตโนมัติสำหรับนักพัฒนา

Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI กล่าวว่า

“สิ่งนี้จะช่วยให้ผู้คนจำนวนมากขึ้นได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้ และช่วยให้เราเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้งานในโลกแห่งความเป็นจริง ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาและการใช้งาน AI อย่างมีความรับผิดชอบ”
 

from:https://www.techtalkthai.com/salesforce-launches-einstein-gpt/

Google สาธิต AI ที่ทรงพลังสำหรับ Docs และ Gmail

Google ได้ประกาศแผนการรวม AI กำเนิดเข้ากับบริการ Workspace ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด

Image Credit : Google
Workspace AI ใหม่ของ Google จะเปิดตัวใน Gmail และ Docs มันสามารถทำอะไรได้บ้าง?
  • การร่าง การตอบกลับ การสรุป และการจัดลำดับความสำคัญใน Gmail
  • การระดมความคิด การพิสูจน์อักษร การเขียน และการเขียนใหม่ใน Docs
  • สร้างรูปภาพ เสียง และวิดีโอโดยอัตโนมัติใน Slides
  • สามารถเปลี่ยนจากข้อมูลดิบไปสู่ข้อมูลเชิงลึกและการวิเคราะห์ ผ่านการเติมข้อความอัตโนมัติ การสร้างสูตร และการจัดหมวดหมู่ตามบริบทใน Sheets
  • สามารถสร้างพื้นหลังใหม่และจดบันทึกใน Meet
  • สามารถเปิดใช้งานเวิร์กโฟลว์เพื่อทำสิ่งต่างๆ ให้เสร็จสิ้นได้ใน Chat
นี่คือวิดีโอที่ Google แสดงการสาธิตให้เห็นถึงการทำงานของพลัง AI ที่จะทำให้ผู้ใช้งานสะดวกมากยิ่งขึ้นบนแพลตฟอร์ม Gmail และ Docs
 
อย่างไรก็ตาม Google ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับแผนการเปิดตัวบริการนี้พร้อมใช้งานสู่สาธารณะ ซึ่งคาดว่ายังต้องมีการทดสอบและปรับปรุงให้เหมาะสมที่สุดก่อน
 

from:https://www.techtalkthai.com/google-demos-powerful-ai-for-docs-and-gmail/

Protected: TechTalk Webinar: Unite your meeting rooms with a Teams-like experience [Pexip x UC Gangster]

This content is password protected. To view it please enter your password below:

Password:

from:https://www.techtalkthai.com/techtalk-webinar-unite-your-meeting-rooms-with-a-teams-like-experience-pexip-x-uc-gangster/

บริษัทในเอเชีย-แปซิฟิกเสี่ยงต่อความเสียหายทางธุรกิจในระยะยาวเพราะการพึ่งพา Third-Party Cookies [Guest Post]

  • แบรนด์ส่วนใหญ่ (76%) ในเอเชีย-แปซิฟิก (APAC) ยังคงพึ่งพา Third-Party Cookies เป็นอย่างมาก
  • ผู้บริหารที่ใช้คุกกี้จำนวนมาก (56%) มองว่าคุกกี้เป็น evil จำเป็น (necessary evil) แม้จะรู้ดีว่าการพึ่งพาอย่างต่อเนื่องมากเกินไปจะก่อให้เกิดความเสียหายในระยะยาว
  • ผู้บริหารใน APAC กว่าครึ่ง (51%) ที่ใช้ CDP ระบุว่าองค์กรของตนสามารถสร้างความสัมพันธ์โดยตรงกับลูกค้ามากขึ้น ได้รับความภักดีจากลูกค้าเพิ่มขึ้น (41%) โดยจำนวนและมูลค่าของการทำธุรกรรมเพิ่มขึ้น (37%)

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย — 16 มีนาคม 2566 — อะโดบีเปิดเผยผลการศึกษาล่าสุดที่แสดงให้เห็นว่าแบรนด์ต่างๆ ไม่ได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่จำเป็นเพื่อพัฒนากลยุทธ์ด้านข้อมูล แม้ว่าจะทำให้เกิดผลกระทบร้ายแรงทั้งระยะสั้นและระยะยาวต่อธุรกิจก็ตาม การสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารฝ่ายการตลาดและประสบการณ์สำหรับผู้บริโภคกว่า 2,600 คนทั่วโลก (รวมถึง 1,057 คนในเอเชีย-แปซิฟิก) ได้สำรวจการลงทุนด้านการตลาดและกลยุทธ์ที่ทำให้ผู้นำอุตสาหกรรมมีความโดดเด่นแตกต่างเหนือคู่แข่ง

แบรนด์ส่วนใหญ่ (76%) ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกยังคงพึ่งพา third-party cookies เป็นอย่างมาก โดยผู้บริหารกว่าครึ่ง (48%) คาดว่าการยุติการใช้งาน third-party cookies จะส่งผลเสียต่อธุรกิจของตน  ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าความคลุมเครือเกี่ยวกับการเลิกใช้คุกกี้ทำให้เกิดความสับสน และในบางกรณีอาจนำไปสู่การเพิกเฉย โดยไม่ยอมดำเนินการใดๆ  ทั้งนี้ผู้บริหารหนึ่งในสาม (33 %) ใน APAC ระบุว่าพวกเขาไม่ได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางการตลาดเพราะมองว่าไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนแต่อย่างใด ขณะที่คนอื่นๆ วางแผนที่จะเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ แต่ก็ยังชะลอการเตรียมการในการเลิกใช้คุกกี้

แก๊บบี้ สตับส์ หัวหน้าฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์และกลยุทธ์ประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกของอะโดบี กล่าวว่า “บริษัทที่ยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในตอนนี้จะกลายเป็นผู้สูญเสีย ทั้งยังทำลายโอกาสที่จะสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่งในอนาคต  แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ครั้งใหญ่นี้จะต้องใช้ความมุ่งมั่นและการลงทุนระยะยาว แต่ก็จะก่อให้เกิดประโยชน์ที่สำคัญ ตั้งแต่ความภักดีของลูกค้า ความพึงพอใจของลูกค้า ไปจนถึงผลกำไรที่ดีขึ้น”

แบรนด์ต่าง ๆ ยังคงพึ่งพา third-party cookies เป็นอย่างมาก
แม้ว่าการเลิกใช้งานคุกกี้จะเกิดขึ้นในไม่ช้า แต่ผู้บริหาร 47% ใน APAC ยังคงใช้งบประมาณด้านการตลาดอย่างน้อยครึ่งหนึ่งไปกับการดำเนินการที่ต้องอาศัยคุกกี้ และ 70% มีแผนที่จะเพิ่มการใช้จ่ายในการดำเนินการที่ต้องพึ่งพาคุกกี้ในปีนี้  ผู้บริหารส่วนใหญ่ (65%) ใน APAC ยังคงพึ่งพา third-party cookies เป็นอย่างมาก เพราะพวกเขารู้สึกว่าข้อมูลคุกกี้ดังกล่าวมีประสิทธิภาพสูง ขณะที่หนึ่งในห้า (20%) ของผู้ตอบแบบสอบถามเชื่อว่า third-party cookies จะไม่หายไปไหน

ผู้บริหารใน APAC ราวครึ่งหนึ่ง (53%) ของบริษัทที่พึ่งพาคุกกี้กล่าวว่าอย่างน้อย 30% ของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ third-party cookies ไม่สามารถใช้การได้ เช่น แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย และอุปกรณ์ Apple และ 48% กล่าวว่าครึ่งหนึ่งของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอยู่ใน cookieless environments  นอกเหนือจากผลกระทบที่เกิดขึ้นทันทีจากการที่ไม่สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายถึง 30-50% และยังมีผลกระทบที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในทุกไตรมาส เพราะ cookieless frontier ยังคงมีการขยายขอบเขตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

การพึ่งพา third-party cookies มากเกินไปทำให้ส่งผลเสียต่อแบรนด์

ผู้บริหารใน APAC หลายคนคาดว่าการเลิกใช้งาน third-party cookies จะส่งผลเสียต่อธุรกิจของพวกเขา และในบางกรณีอาจสร้างความเสียหายในระดับลึก โดย 22% กล่าวว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะ “ทำลาย” ธุรกิจของพวกเขา ขณะที่ 25% คาดว่าจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมาก และ 25% คาดการณ์ถึงผลกระทบเชิงลบในระดับปานกลาง  ในบางประเทศตัวเลขอาจดูน่ากังวลมากกว่านี้ เช่น 54% ของผู้บริหารในออสเตรเลียคาดว่าจะได้รับผลกระทบที่รุนแรงอย่างมาก (31%) หรืออย่างมีนัยสำคัญ (23%) จากการเลิกใช้งานคุกกี้  ผู้ใช้ third-party cookies จำนวนมากเชื่อว่าพวกเขาไม่มีทางเลือก โดยผู้บริหารที่ใช้คุกกี้มากกว่าครึ่ง (56%) มองว่าคุกกี้เป็น “evil ที่จำเป็น” แม้ว่าหลายคนจะตระหนักว่าการพึ่งพาคุกกี้มากเกินไปอย่างต่อเนื่องจะก่อให้เกิดความสูญเสียในระยะยาว  นอกจากนี้ หนึ่งในสามของผู้ตอบแบบสอบถาม (39%) กล่าวว่าพวกเขาไม่สามารถหาทรัพยากรเพื่อพัฒนากลยุทธ์ของตน โดยผู้บริหารในประเทศญี่ปุ่นเห็นด้วยกับสิ่งนี้มากกว่าครึ่ง (66%)

ในขณะที่หลายบริษัทกำลังเตรียมที่จะละทิ้งคุกกี้ แต่หนึ่งในสาม (41%) กลับไม่ได้ทำเช่นนั้น โดยบางบริษัทระบุว่าพวกเขาไม่ได้ดำเนินการปรับเปลี่ยนเพราะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน ส่วนองค์กรอื่นๆ มีแผนที่จะเปลี่ยนแปลง แต่ก็ยังคงชะลอไปก่อน

แพลตฟอร์มข้อมูลลูกค้า (Customer Data PlatformCDP) ช่วยให้แบรนด์ต่างๆ เตรียมพร้อมรับมือกับอนาคตที่ไม่มี cookies (Cookieless Future) ตั้งแต่ตอนนี้
จากผลการศึกษา พบว่าผู้บริหารในเอเชีย-แปซิฟิกมากกว่าครึ่งหนึ่ง (51%) ที่ใช้ CDP กล่าวว่าพวกเขาสามารถสร้างความสัมพันธ์โดยตรงกับลูกค้าได้มากขึ้น ทั้งยังได้รับความภักดีจากลูกค้าเพิ่มมากขึ้น (41%) โดยจำนวนและมูลค่าของการทำธุรกรรมก็เพิ่มสูงขึ้น (37%)  นอกจากนี้ CDP ยังช่วยปรับปรุงเวิร์กโฟลว์ภายในองค์กร โดย 44% กล่าวว่า CDP ช่วยการทำงานให้ดีขึ้นและรวดเร็วมากขึ้น ทั้งในฝ่ายการตลาดและไอที และการผลิต ROI ก็มีประสิทธิภาพมากขึ้น (32%)

ปัจจุบัน Adobe Real-Time Customer Data Platform (Real-Time CDP) นำเสนอข้อมูลคาดการณ์เชิงลึกหลายพันล้านรายการต่อปี โดยอ้างอิงจากโปรไฟล์ลูกค้าในแบบเรียลไทม์  ข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้ช่วยให้ทีมงานสามารถดึงดูดลูกค้าที่มีแนวโน้มจะซื้อ หรือลูกค้าที่อาจพิจารณาเปลี่ยนไปใช้สินค้าหรือบริการของบริษัทคู่แข่ง  แพลตฟอร์มดังกล่าวได้กลายเป็นเครื่องมือสร้างประสบการณ์สำหรับลูกค้าที่แบรนด์ชั้นนำในอุตสาหกรรมต่างๆ เลือกใช้ รวมถึง Coles, SBS และ Suncorp

from:https://www.techtalkthai.com/companies-in-asia-pacific-risk-long-term-business-damage-due-to-reliance-on-third-party-cookies/

ขอเชิญร่วมงาน Accelerating Digital Transformation through RISE with SAP and future of Integrated with SAP BTP วันที่ 21 มีนาคมนี้ ณ SAP Thailand office [Guest Post]

บริษัท เอ็นทีที เดต้า บิสซิเนส โซลูชั่นส์ (ประเทศไทย) (NTT DATA Business Solutions Thailand) เดินหน้าจัดสัมมนาภายใต้หัวข้อ Accelerating Digital Transformation through RISE with SAP and future of Integrated with SAP BTP นำเสนอจุดเด่นของ RISE with SAP S/4HANA Cloud, private editions ช่วยให้ลูกค้าเปลี่ยนแปลงธุรกิจในทุกมิติ ตอบโจทย์การทำ Digital Transformation ในทุกขั้นตอน พร้อมเจาะลึกเทคโนโลยีดิจิทัลใน SAP Business Technology Platform  โดยงานจะจัดขึ้น ในวันอังคารที่ 21 มีนาคม  2566 เวลา 09:00 -12:00 น. ณ.  SAP Thailand office ตึก  PARQ ชั้น 8

เจาะลึกข้อหัวที่น่าสนใจ

-ความแตกต่างการใช้ RISE with SAP ใน SAP S/4HANA แบบ Public และ Private edition
-เปรียบเทียบความสามารถระหว่าง SAP S/4HANA  และ SAP เวอร์ชันเก่า
-การเตรียมความพร้อมขึ้นก่อนขึ้นระบบใหม่
-ธุรกิจของท่านเหมาะที่จะเลือกใช้งาน RISE with SAP  รูปแบบใด
-ทำความรู้จักกับ SAP Business Technology Platform

โดยงานสัมมนาในครั้งนี้ทาง NDBS Thailand ได้สรุปเกี่ยวกับจุดเด่น RISE with SAP S/4HANA ทั้งในรูปแบบของ Private Cloud & Public Cloud  ในการเพิ่มศักยภาพการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงอรรถประโยชน์สูงสุดของ SAP License รูปแบบใหม่ ที่ปรับเปลี่ยนได้ตามการใช้งาน และประหยัดค่าใช้จ่ายในภาพรวมช่วยและนำข้อมูลในระบบ ERP มาวิเคราะห์ได้แบบ Real-time 

การวางวิสัยทัศน์ในระยะยาวสำหรับระบบ ERP นั้นย่อมต้องมองถึงการต่อยอดในอนาคตด้วย ดังนั้นในงานครั้งนี้ จึงมีการนำเสนอเทคโนโลยีต่อยอดจากระบบ SAP เพื่อสร้างความคุ้มค่าให้กับการลงทุนระบบ ERP สำคัญของคุณด้วย SAP Business Technology Platform (BTP) ยกระดับการวิเคราะห์ดาต้าผ่านการทำ Data Excellence, Integration และ Extension สนับสนุนองค์กรให้เติบโตได้ด้วยการใช้ดาต้าอย่างเต็มประสิทธิภาพเพื่อยกระดับศักยภาพนวัตกรรมองค์กรในยุคดิจิทัล

สนใจลงทะเบียนสามารถแสกนผ่าน QR CODE  หรือติดต่อ 02-2370553 * 103 ติดต่อคุณวันเพ็ญ เจ้าหน้าที่แผนกการตลาด  หรือ E-mail : Wanphen.sanmai@nttdata.com

 

from:https://www.techtalkthai.com/ntt-data-accelerating-digital-transformation-through-rise-with-sap-and-future-of-integrated-with-sap-btp-guest-post/