คลังเก็บป้ายกำกับ: BRANDING

“หมดยุคหว่านงบโฆษณา” MD Rabbit’s Tale แนะ แบรนด์ต้องพูดอย่างไร ให้ผู้บริโภคอยากฟัง

ท่ามกลางโลกที่ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นนับไม่ถ้วน แต่ในรอบ 6-7 ปีที่ผ่านมาความเปลี่ยนแปลงหนึ่งที่สำคัญและส่งผลต่อแวดวงสื่อสารการตลาดคือวิธีการรับสารของผู้คน จากการเสพสื่อแบบดั้งเดิม (Traditional Media) โทรทัศน์ไม่กี่ช่อง หนังสือพิมพ์ไม่กี่ฉบับ สู่การเสพสื่อแบบดิจิทัลที่มีช่องทางหลากหลายมากขึ้น แต่ก็ดูเหมือนว่าพฤติกรรมการ
รับสารของผู้บริโภคจะไม่หยุดอยู่แค่นั้น พวกเขากำลังมองหาสิ่งที่ใหม่กว่าอยู่ตลอด ดังนั้นตอนนี้แบรนด์จะสื่อสารด้วย
สื่อดั้งเดิมและสื่อดิจิทัลก็อาจไม่เพียงพอแล้วเช่นกัน 

สื่อสารการตลาดยุคใหม่ต้องปรับตัวอย่างไรเพื่อขยับขยายขอบเขตไม่ให้จบอยู่ที่การหว่านงบโฆษณาอย่าง
ไร้จุดหมาย ในยุคที่ผู้บริโภคมองหาประสบการณ์ใหม่อยู่เสมอแบรนด์ต้องทำอะไรต่อกันแน่? การสื่อสารการตลาดที่มีประสิทธิภาพต้องให้ความสำคัญกับสิ่งไหน ความคิดสร้างสรรค์พุ่งกระฉูดแบบที่เคยมีมาจะยังไปต่อได้ไหม?

พี่ซี-
คุณสกุณภัค ชัยประชา Managing Director แห่ง Rabbit’s Tale Advertising Business Group (Rabbit’s Tale AD) มาพร้อมคำตอบที่หลายคนกำลังตามหา

หมดยุคหว่านงบทำหนังโฆษณา: สื่อสารการตลาดยุคใหม่ต้องการความรู้ความเข้าใจและเครื่องมือที่เหมาะสม

พฤติกรรมการรับสารของผู้บริโภคที่กระหายสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ ทำให้ถึงยุคที่สื่อดิจิทัลอิ่มตัวแล้วจริงหรือ? 
หลายคนมีคำถามนี้อยู่ในใจ Managing Director แห่ง Rabbit’s Tale Advertising Business Group ไขข้อข้องใจให้ว่าสื่อดิจิทัลจะยังมีบทบาทสำคัญ แต่หากจะสื่อสารการตลาดให้มีประสิทธิภาพ แบรนด์จะสื่อสารผ่านสื่อดิจิทัลอย่างเดียวไม่ได้แล้ว แต่ต้องการเครื่องมือวางกลยุทธ์การสื่อสารที่เหมาะสมและครบวงจร

อย่างไรก็ตาม คุณซีระบุว่าในภาพรวมเมื่อมองเผินๆ สื่อสารการตลาดผ่านสื่อดิจิทัลและแพลตฟอร์มออนไลน์อาจดูเหมือนง่ายขึ้นสำหรับแบรนด์ หากเทียบกับยุคที่ต้องจ่ายเงินทำหนังโฆษณาเรื่องละ 7-8 ล้านบาท ตอนนี้งบ 1 ล้านบาท
แบรนด์อาจได้วิดีโอออนไลน์หนึ่งชิ้น โดยยังมีงบเหลืออีก 6-7 ล้านเพื่อซื้อ Online Media ได้อย่างเหลือเฟือ
แต่ปัญหาสำคัญอยู่ตรงที่แบรนด์ไม่มีทางรู้ว่าวิดีโอบน Online Media ไปถึงใครบ้าง? ผู้บริโภคจริงๆ คือใครกันแน่และ
เขาเข้าถึงวิดีโอเหล่านั้นไหม? รวมถึงข้อมูลอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ เช่น ผู้บริโภคสนใจสินค้าและบริการเราตรงไหน คนเหล่านี้ตัดสินใจซื้ออย่างไร?

การปล่อยวิดีโอออนไลน์หนึ่งตัวจึงอาจเป็นการใช้งบเพื่อสื่อสารทางเดียว หากปราศจากเครื่องมือและความเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบัน รวมถึงการที่แบรนด์จ่ายเงินไปทำวิจัย ด้วยคำถามกว้างๆ เช่น Branding คืออะไร?  วิดีโอโฆษณานี้เป็นอย่างไร? กลุ่มตัวอย่างที่ไปทำวิจัยอาจไม่ใช่คนที่มาซื้อสินค้าและบริการจริงๆ ดังนั้นในยุคสื่อดิจิทัลแม้การใช้งบประมาณของหลายแบรนด์จะลดลง ไม่ต้องควักงบทำหนังโฆษณาแพงเท่าเดิม

แต่การสื่อสารการตลาดที่ทรงประสิทธิภาพก็ไม่ใช่การใช้งบไปเพื่อทำวิดีโอหรือปล่อยแคมเปญแล้วจบไป แต่ต้องการความรู้ความเข้าใจและเครื่องมือที่เหมาะสมร่วมด้วยเพื่อให้แบรนด์ได้คำตอบที่ต้องการกลับมา ทั้งในแง่การรู้จักผู้บริโภคเพื่อทั้งตอบโจทย์พวกเขาได้ครอบคลุมและเพื่อการใช้งบสื่อสารการตลาดอย่างคุ้มค่าที่สุด

อินไซต์ที่ใช่ต้องมาจากผู้บริโภคจริง แล้วอินไซต์ผู้บริโภคจริงๆ ต้องมาจากไหน?

การสื่อสารการตลาดที่มีประสิทธิภาพจึงมาจากอินไซต์ที่แม่นยำ โดยอินไซต์ที่แม่นยำเกิดจากการใช้ทั้ง Creativity และ Technology เพื่อให้ได้มาซึ่ง Data ของผู้บริโภค คุณซีอธิบายเพิ่มว่า Data ทำให้แบรนด์ได้อินไซต์จากผู้ใช้สินค้าและบริการจริงๆ หลายแบรนด์อาจยังไม่เห็นความสำคัญของของการเก็บ Data ซึ่งน่าเสียดายเพราะ Data ช่วยให้แบรนด์สื่อสารการตลาดได้ตรงจุดและทำให้ผู้บริโภคอยากฟังแบรนด์มากยิ่งขึ้น โดยคุณซีโยนคำถามกลับมาว่าถ้าแบรนด์ไม่รู้ว่าผู้บริโภคตัวเองคือใคร แบรนด์จะรู้ได้อย่างไรว่าที่เราสื่อสารออกไปมันปล่อยออกไปถูกที่ ถูกเวลา และถูกคนจริง?

คุณซียกตัวอย่างการร่วมงานกับแบรนด์เครื่องปรุงรสยี่ห้อหนึ่ง แม้หลายๆ แบรนด์จะมีกิจกรรมแจกของรางวัลอยู่แล้ว แต่ของที่แจกไปแบบกว้างๆ เช่น แบรนด์เครื่องปรุงรสอาจเคยแจกกระทะเหมือนกันหมดทุกเดือน โดยที่ไม่เคยรู้เลยว่าผู้บริโภคต้องการใช้กระทะนั้นจริงๆ ไหม? ดังนั้นแทนที่จะคิดกิจกรรมขึ้นมาจากความว่างเปล่า Rabbit’s Tale AD หันมาคิดจากอินไซต์จริงของผู้บริโภค

เริ่มตั้งแต่การใช้ Creativity สร้างสรรค์แคมเปญออนไลน์ที่ดึงดูดใจผู้บริโภคขึ้นมา จากนั้นใช้ Technology เก็บ Data จากกิจกรรมนี้โดย Data ที่ผ่านการ Utilize อย่างเป็นระบบทำให้แบรนด์ได้อินไซต์ว่าช่วง Covid-19 ที่ผ่านมา Pain Point ของผู้บริโภคคือค่าวัตถุดิบที่แพงขึ้น แบรนด์ก็นำอินไซต์ที่ได้มาออกแบบของรางวัล แทนที่จะเป็นอุปกรณ์ทำอาหารอย่างที่เคยก็ปรับเป็นการแจกวัตถุดิบซึ่งตอบโจทย์อินไซต์ผู้บริโภคตรงจุดกว่า

เพราะฉะนั้นการสื่อสารการตลาดที่มองข้ามความต้องการของผู้บริโภคอาจไม่ตอบโจทย์เท่าที่ควร  จะเห็นได้ว่าเมื่อ Creativity ผนวกกับการใช้ Technology นอกจากแบรนด์จะตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ตรงใจ ยังช่วยให้แบรนด์รู้ว่าต้องสื่อสารแบบไหนเพื่อให้ผู้บริโภคเต็มใจจะฟัง ที่สำคัญการใช้ทั้ง Creativity และ Technology อย่างเข้าใจยังช่วยแบรนด์ใช้งบได้คุ้มค่า ตรงจุด และแม่นยำ รู้ว่าต้องพูดอะไรกับใคร และพูดอย่างไร ไม่ต้องหว่านงบกว้างๆ อีกต่อไป

เมื่อวันนี้โจทย์เปลี่ยนไป: โฆษณายุคใหม่ไม่ใช่แค่สร้างสรรค์ แต่ Creativity ต้องมาพร้อม Technology

ในเมื่อโจทย์เปลี่ยนไปโฆษณาไม่ใช่การสื่อสารทางเดียวอีกแล้ว แต่ต้องทั้งพูดและฟังความต้องการของผู้บริโภค Managing Director แห่ง Rabbit’s Tale Advertising Business Group มองว่านี่คือความท้าทายสำคัญ ในอดีตนักการตลาดทำหน้าที่คิดไอเดียออกมาขายของอย่างเดียวอาจเพียงพอ แต่ปัจจุบันคือเราจะใช้ความคิดสร้างสรรค์อย่างไรเพื่อดึงดูดให้ผู้บริโภคดูสิ่งที่เราอยากสื่อสารจนจบ และเมื่อดูจบแล้วทำยังไงให้ผู้บริโภคเต็มใจอยากให้ Data ด้วย

นอกจากนั้นขอบเขตการขายก็ขยายออกไปกว้างขวางกว่าเดิม โดยคุณซียกตัวอย่างว่าถ้าวันนี้มีโฆษณาสบู่ นอกจากการปล่อยวิดีโอออกไป คนทำงานต้องคิดให้รอบขึ้น เช่น ต้องมีลิงก์ให้ผู้บริโภคมาซื้อของหน้าเว็บไซต์แบรนด์ได้ การใช้ KOL ช่วยขายร่วมด้วยผ่าน Affiliate marketing ฯลฯ เราต้องไม่จบที่การขายของให้แบรนด์ ในยุคที่แบรนด์ส่งลิงก์ตรงถึงมือผู้บริโภคได้อย่างทุกวันนี้แล้ว เราจะทำยังไงเพื่อออกแบบประสบการณ์ให้ผู้บริโภค ตั้งแต่ต้นจนจบอย่างไร้รอยต่อและเกิดประสิทธิภาพสูงสุดกลับมาที่แบรนด์

“Creativity ยังเป็นหัวใจสำคัญ แต่ถ้าคิดงานจาก Creativity โดดๆ ก็ไม่ต่างจากการพูดคนเดียว ผู้บริโภคไม่ซื้อไอเดีย One-way communication แล้ว ดังนั้นสื่อสารการตลาดที่มีประสิทธิภาพต้องรู้ด้วยว่าเราจะพูดอะไร พูดกับใคร และต้องพูดอย่างไรเพื่อให้ได้สิ่งที่วัดผลได้ตอบกลับมาที่แบรนด์เสมอ”

Technology และ Data จึงจะเข้ามาช่วยให้เราไป

ดูได้เลยว่าตัวหนังโฆษณาของเราคนดูกี่คน? 
หนังนำผู้บริโภคไปที่แพลตฟอร์มขายของเท่าไหร่? ผู้บริโภคไปแพลตฟอร์มไหนมากกว่ากัน? เราจะเห็นเลยว่าผู้บริโภคมีพฤติกรรมหรือเชื่อมโยงกับแพลตฟอร์มไหนมากกว่ากัน เช่น กลุ่มเป้าหมายแบรนด์นี้ชอบแอปฯ สีส้มมากกว่าแอปฯ อื่น เมื่อมีแคมเปญต่อไป เราสามารถทำการสื่อสารที่ Cost effective ขึ้น แม้กระทั่งการเลือกใช้ KOL หรือ Influencer Technology และ Data จะช่วยดูให้เราได้ว่าใช้คนไหนถึงจะเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย หรือคุ้มค่ากับแบรนด์ที่สุด
การสื่อสารการตลาดที่ปราศจากการใช้ Technology และ Data อย่างเข้าใจ อาจทำให้แบรนด์พลาดโอกาสที่จะรู้ว่าผู้บริโภคคือใครและต้องการอะไร แต่ถ้าวันนี้แบรนด์มาที่ Rabbit’s Tale สิ่งที่เราจะทำร่วมกันคือการออกแบบประสบการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบไปพร้อมกัน แบรนด์จะมี Data ผู้บริโภคเก็บไว้ เมื่อแบรนด์จะออกแคมเปญต่อไป Data ว่าผู้บริโภคเป็นใคร ต้องการอะไร ชอบสินค้าและบริการแบบไหน อินไซต์เหล่านี้จะต่อยอดให้แคมเปญถัดๆ ไปนั้นให้ Cost effective ขึ้น ตรงจุดขึ้น รวมถึงใช้  Creativity ได้โดนใจกลุ่มผู้บริโภคมากขึ้น

งานจาก Data, Creative Idea, Strategy และ Technology สู่การเป็น ‘TOP 3 เอเจนซียอดเยี่ยมแห่งปี 2022’

นอกจากการใช้ทั้ง Data, Creative Idea, Strategy และ Technology เพื่อวางกลยุทธ์ให้ตอบโจทย์แบรนด์และผู้บริโภคแล้ว การทำงานที่เชื่อมร้อยประสบการณ์เหล่านี้เข้าด้วยกันยังสร้างความภาคภูมิใจโดย Rabbit’s Tale 
คว้ารางวัล TOP 3  เอเจนซียอดเยี่ยมแห่งปี 2022 จากงาน “Adman Awards & Symposium 2022” มาครองได้สำเร็จโดยคุณซีนิยามความภาคภูมิใจและรางวัลในปี 2022 นี้ว่าเป็นความน้อยแต่มาก ซึ่งคะแนนที่ดันให้ Rabbit’s Tale พุ่งทะยานสู่อันดับ 3 คือวิดีโอ ‘Quality Time, Again’ จากแบรนด์ ‘ห้าดาว’ ที่ว่าด้วยการใช้ Ai ประมวลผลรูปถ่ายแล้วสร้างภาพเคลื่อนไหวให้เสมือนว่าคุณแม่ที่จากไปแล้วได้กลับมากินข้าวกับลูกสาวอีกครั้ง แม้จะเป็นวิดีโอตัวเดียว แต่สร้างแรงกระเพื่อมที่ยิ่งใหญ่ทั้งแง่คะแนน และกระแสตอบรับจากผู้บริโภค โดยวิดีโอถูกแชร์ต่อเป็นจำนวนมาก ซึ่งคุณซีย้ำว่าความน้อยแต่มากนี้เกิดจากการคิดผ่านอินไซต์ที่ถี่ถ้วนและผสาน Creativity และ Technology เข้าด้วยกัน

“อินไซต์ที่แม่นยำ บวกการนำเทคโนโลยีมาใช้ ก็อิมแพ็คมากแล้ว แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือวิดีโอตัวนี้กลับไปตอบโจทย์สิ่งที่แบรนด์ต้องการสื่อสารคืออยากให้ทุกคนกลับไปใช้เวลากับคนที่บ้าน วิดีโอสามารถถ่ายทอดและส่งต่อ Key Messege ของแบรนด์ ออกมาได้ครบและตรงใจผู้บริโภค”

ยิ่งพิสูจน์ให้เห็นว่านอกจาก Creative Idea แล้ว แต่ Data, Strategy และ Technology ก็มีส่วนอย่างยิ่งในการทำการสื่อสารการตลาดที่ครบวงจร นอกจากงานระดับประเทศแล้ว การประกวดโฆษณาระดับเอเชีย SpikesAsia 2023 ‘Quality Time, Again’ ยังได้รับรางวัล Bronze ในหมวด Entertainment และยังติดอีก 2 Shortlists จากหมวดอื่นๆ

แม้รางวัลจะไม่ใช่เครื่องการันตีความสำเร็จทั้งหมด แต่ก็ทำให้เห็นภาพว่าการสื่อสารการตลาดปัจจุบันไม่อาจให้ความสำคัญแค่มุมใดมุมหนึ่ง ในวันที่ผู้บริโภคตามหาประสบการณ์ที่ใหม่และตอบโจทย์พวกเขาอยู่ตลอดเวลาการคิดอย่างครบวงจรเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม

เพราะ Experience คือนิวนอร์มอล สื่อสารการตลาดต้องสร้างประสบการณ์แบบไร้รอยต่อ

การสื่อสารการตลาดยุคปัจจุบันนั้นการสร้าง Experience หรือประสบการณ์ระยะยาวที่ครบวงจรให้กับแบรนด์และผู้บริโภคถือเป็นสิ่งสำคัญ แม้แบรนด์จะเข้าถึงผู้บริโภคผ่านสารพัดช่องทางได้มากขึ้น แต่โจทย์สำคัญคือจะสื่อสารการตลาดเพื่อเชื่อมร้อย Experience อย่างไรให้ไร้รอยต่อตั้งแต่ต้นจนจบ? และทำอย่างไรให้แบรนด์เห็นโอกาสและได้ใช้ประโยชน์จาก Data, Creative Idea, Strategy และ Technology เพื่อเชื่อม Customer Journey ได้เต็มประสิทธิภาพ?

คุณซีให้ความเห็นว่าปัจจุบันมีแบรนด์ไม่ถึง 10% ที่ออกแบบ Experience และเชื่อมต่อทาสก์ของ Customer Journey ทั้งหมดเข้าด้วยกัน โดยนี่คือความท้าทายและคืออนาคตซึ่งคุณซีมองว่าในท้ายที่สุดสิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นเรื่องปกติของแวดวงคนทำงานสื่อสารการตลาด

ไม่แปลกที่ Experience Agency จะกลายมาเป็น Solution สำคัญให้กับแบรนด์ โดย Rabbit’s Tale Advertising Business Group ในฐานะส่วนหนึ่งของ Rabbit’s Tale จึงสามารถประสานกับ Business Group ในเครือเพื่อตอบโจทย์ให้แบรนด์ได้ เพื่อวางกลยุทธ์ในการสร้างประสบการณ์ครบวงจรได้ในที่เดียว แทนที่แบรนด์จะต้องคุยเรื่อง Advertising, PR, Data, CX Solutions กับหลายเอเจนซีและต้องหาทางเชื่อมต่อ วัดผล จากต่างที่กัน ที่ Rabbit’s Tale Experience Agency จะช่วยย่นระยะเวลาและความสะดวกให้เชื่อมโยงกันได้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นทุกๆ Touch Point ไหนใน Customer Journey ที่แบรนด์ต้องเจอกับผู้บริโภค

ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อที่สื่อดิจิทัลคล้ายจะเริ่มอิ่มตัว สินค้าและบริการไม่ได้ถูกนำเสนอผ่านหนังโฆษณาเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป เมื่อโจทย์เปลี่ยน ทั้งแบรนด์และคนทำงานสื่อสารการตลาดยิ่งไม่อาจใช้สมการเดิมๆ ในการแก้โจทย์และตอบความต้องการของแบรนด์และผู้บริโภคได้อีก หัวใจสำคัญที่คนทำงาน Marketing ต้องตระหนักอยู่เสมออาจเป็นสิ่งที่ Managing Director แห่ง Rabbit’s Tale Advertising Business Group กล่าวไว้ว่า จะดีแค่ไหน? ถ้าเราสามารถออกแบบ Journey ให้แบรนด์ได้สื่อสารในสิ่งที่อยากพูด แต่ผู้บริโภคก็อยากฟังไปพร้อมกัน การสร้างประสบการณ์ที่ไร้รอยต่อผ่าน Creativity และ Technology จึงเป็นสิ่งที่ต้องทำไปพร้อมกัน

from:https://www.thumbsup.in.th/md-rabbits-brand-speak?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=md-rabbits-brand-speak

Advertisement

RainMaker เปิดตัว iCreator Next 2023 การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลกออนไลน์ พร้อมสรุปทุกเรื่องที่แบรนด์และเอเจนซี่ควรรู้ และการประกาศรายชื่อ 50 ครีเอเตอร์ ยอดนิยมแห่งปี

ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่โลกออนไลน์และการใช้โซเชียลมีเดียมีการเติบโต แต่การเกิดขึ้นของ TikTok ถือว่าเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ของวงการแพลตฟอร์มและคลิปวิดีโอสั้นที่ทำให้วงการโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook, Instagram, Youtube ต้องรีบปรับตัวเพื่อรับการเปลี่ยนแปลง

แม้ว่าจะมีหลายแพลตฟอร์มเกิดขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้คนอยู่บ้างอย่างเช่น TikTok Zoom หรือ Clubhouse ที่เกิดขึ้นช่วงโควิดและคนต้องทำงานที่บ้าน แต่รายที่ประสบความสำเร็จจริงๆ อย่าง TikTok นั้นมีน้อย และผงาดขึ้นมาเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มยอดนิยมที่อายุน้อย เพราะนอกจากสร้างพฤติกรรมการรับชมคลิปวิดีโอสั้นแล้ว ยังสร้างโอกาสเติบโตของอินฟลูเอนเซอร์หน้าใหม่ได้อย่างไม่จำกัด

ขจร เจียรนัยพานิชย์ ผู้บริหารบริษัท เดอะซีโร่ พับลิชชิ่ง จำกัด (The Zero Publishing) เจ้าของเว็บไซต์ชื่อดังอย่าง Mango ZeroParents OneThumbsup และ RAiNMaker กล่าวว่า เมื่อจบโควิดก็เข้าสู่การกลับมาใช้ชีวิตกันแบบปกติ แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม คือพฤติกรรมการใช้โซเชียลมีเดียของผู้คน และการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต หรือโลกดิจิทัลต่างๆ เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ทำให้นักการตลาด แบรนด์และเอเจนซี่เอง ก็ต้องปรับตัวให้ทันการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้

นอกจากนี้ เทรนด์ดิจิทัลอย่าง คริปโตเคอเรนซี่ NFT เมตาเวิร์สหรือเทคโนโลยีอย่าง Avatar ที่เราคาดการณ์ว่าจะกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของธุรกิจ ก็ไม่ได้มาแรงอย่างที่เจ้าของแพลตฟอร์มคาดหวัง เราจึงเห็นการขาดทุนทางธุรกิจของ Meta หลายหมื่นล้านเหรียญ รวมทั้งการลดจำนวนพนักงานขององค์กรด้านเทคโนโลยีหลายแห่ง สะท้อนให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของเทรนด์ต่างๆ ทำให้แบรนด์ ธุรกิจ และเอเจนซี่ต้องเร่งตามให้ทัน

RainMaker ได้จัดทำหนังสือที่ชื่อว่า iCreator Next 2023 ซึ่งได้มีการคัดสรร 50 ครีเอเตอร์ และอินฟลูเอนเซอร์แห่งปี ที่ยกให้เป็น “THE NEXT” ในวงการคอนเทนต์ครีเอเตอร์ มาสัมภาษณ์เจาะลึกถึงแนวคิด และการสร้างตัวตนให้เป็นที่น่าจดจำ พร้อมบทวิเคราะห์แนวทางของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียครบในเล่มเดียว เพื่อให้ครีเอเตอร์หน้าใหม่ แบรนด์ และเอเจนซี ได้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงและทำความรู้จักกับอินฟลูเอนเซอร์หน้าใหม่พร้อมก้าวสู่ปี 2023 ไปด้วยกัน

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าจับตามองเกี่ยวกับวงการครีเอเตอร์คือ ปี 2023 จะเป็นปีทองของคอนเทนต์ครีเอเตอร์อย่างมาก อยู่ที่ว่าอินฟลูเอนเซอร์คนนั้น จะสามารถจับโอกาสและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนได้หรือไม่ เพราะมีโอกาสในการเติบโตมากถึง 6 แพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็น Facebook Yotube Instagram Twitter TikTok และ LINE ที่มีโปรแกรมสนับสนุน สร้างรายได้ มอบรางวัลพิเศษ ถือว่าเป็นแรงผลักดันให้คนที่ต้องการเป็นครีเอเตอร์สามารถเข้าสู่โลกออนไลน์ได้แบบไม่ยากแบบสมัยก่อน ขอแค่คอนเทนต์ดี การถ่ายทอดเนื้อหามีประโยชน์ต่อสังคม และเข้าถึงกลุ่มคนจำนวนมากได้ ทุกแพลตฟอร์มก็พร้อมจะสนับสนุน

นอกจากนี้ สงครามราคาในเรื่องของการยิงแอด การเปลี่ยนแปลงของอัลกอริธึ่ม และการใช้ AI เข้ามาตอบสนองเรื่องการโต้ตอบ ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่แบรนด์ นักการตลาด เอเจนซี่หรือแม้แต่อินฟลูเอนเซอร์เองต้องรู้ เพราะเรื่องของการปรับเปลี่ยนฟีเจอร์ที่แพลตฟอร์มมองว่าจะกระตุ้นให้อยากทำการตลาดง่ายขึ้น เป็นโอกาสของแพลตฟอร์มเอง ที่คนในวงการต้องปรับตัวตามกระแสและมองเห็นเทรนด์ใหม่ๆ ได้ทัน

ไฮไลต์สำคัญของแพลตฟอร์มเอง สิ่งที่ทุกคนจะได้เห็นคือ

  • TikTok : กับความท้าทายในการเปลี่ยนภาพลักษณ์จากคอนเทนต์สำหรับเด็กเซาะกราวน์ กลายเป็นช่องทางการขายสำหรับเอสเอ็มอีและแบรนด์หน้าใหม่ที่ต้องการเข้าสู่วงการอีคอมเมิร์ซแบบไม่ผ่านแพลตฟอร์มกลาง
  • Youtube : กับการแข่งขันเรื่องความยาวของคลิปวิดีโอ ที่ต้องท้าทายในเรื่องของความยาวจาก 15 นาทีเหลือไม่เกิน 3 นาทีและการเพิ่ม Short ช่องทางไฮไลต์คลิปสำหรับคนที่ไม่ต้องการดูคอนเทนต์นานๆ
  • Facebook : กับความกระท่อนกระแท่นของแพลตฟอร์มที่ต้องปรับตัว ปรับฟีเจอร์ใหม่ รวมทั้งปรับใช้เทคโนโลยีที่หลากหลายเพื่อประกาศความเป็นโซเชียลมีเดียเบอร์ 1 ของโลก
  • Instagram : ที่ไม่ใช่แค่การดูรูปแล้วจบ แต่ต้องเป็นแพลตฟอร์มที่ดูรูปและขายของได้ด้วย รวมทั้งการแทรก Reels เข้ามาเอาใจคนอยากขาย
  • Twitter : ความไม่แน่นอนหลังการเข้ามาของ “อีลอน มัสก์” ทำให้แบรนด์ และนักการตลาด ต้องเดาทางในการปรับตัวแพลตฟอร์มว่าจะเดินหน้าไปทางไหนให้ทันแบบนาทีต่อนาที
  • LINE : ไม่ได้จบแค่แชท แต่เดินหน้าสู่สนามอีคอมเมิร์ซช่วยขายของให้แบรนด์ทั้งเล็กและใหญ่ รวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นในการเป็นแพลตฟอร์มที่สื่อสารและปิดการขายได้อย่างมีคุณภาพไปพร้อมกัน

อินฟลูเอนเซอร์หน้าใหม่ เกิดขึ้นทุกวัน

ไม่ใช่แค่เรื่องของแพลตฟอร์มที่อัดแน่น แต่เรื่องของอินฟลูเอนเซอร์ที่เกิดขึ้นทุกวัน ทำให้ iCreator Next 2023 มีรายชื่อของ THE NEXT ในวงการครีเอเตอร์และอินฟลูเอนเซอร์ของไทยมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ตัวท็อปบนโลกโซเชียล หน้าใหม่ไฟแรง อินฟลู TikToker หรือสายความรู้ ก็มีเพียบ

คุณขจร กล่าวเสริมว่า ในวงการครีเอเตอร์และอินฟลูเอนเซอร์ถือว่าเป็นโอกาสที่คนทำคอนเทนต์แบบเดิมอย่างยาวนาน สามารถแจ้งเกิดได้อีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็น เว็บไซต์อย่าง capital.co ที่ทำเรื่องธุรกิจก็เน้นการเล่าสื่อสารผ่าน TikTok และมียอดผู้ติดตามเพิ่มขึ้นจากเดิม หรือจะเป็นสายครีเอเตอร์ที่สร้างผลงานศิลปะ NFT หรือสายให้ความรู้ด้านการเงิน การศึกษา ต่างก็เติบโตจากการเล่าให้น่าสนใจเช่นกัน

ไม่ว่าคุณจะเป็นครีเอเตอร์, แบรนด์, เอเจนซี หรือคนที่ชื่นชอบการสร้างสรรค์ผลงานของเหล่าครีเอเตอร์ก็ตาม “iCreator NEXT 2023” เล่มนี้ จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจ และอัปเดตทิศทางของวงการครีเอเตอร์ให้ทุกคนได้รู้ และทันโลกอย่างแน่นอน

โดยตอนนี้มีการลงทะเบียนรับ E-book ฟรี สำหรับบุคคลทั่วไป สามารถลงทะเบียน เพื่อรอรับลิงก์ดาวน์โหลดตอบกลับทางอีเมล์

หากเป็นองค์กรและเอเจนซี่ สามารถ ลงทะเบียน เพื่อรับหนังสือ iCreator NEXT ได้ โดยหนังสือจะมีจำนวนจำกัดสำหรับคนที่ลงทะเบียนเข้ามาก่อน ซึ่งจะส่ง 1 เล่มต่อ 1 เอเจนซี่เท่านั้น และจะเริ่มทะยอยจัดส่งเล่มตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นไป

from:https://www.thumbsup.in.th/rainmaker-icreator-next-2023?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=rainmaker-icreator-next-2023

ชื่อใหม่ ลงทุนอีกเพียบ “ทรู คอร์ปอเรชั่น” สู่โทรคมนาคม-เทคโนโลยี ผสานศักยภาพรวมเป็นหนึ่ง

“ทรู คอร์ปอเรชั่น” บริษัทใหม่รวมศักยภาพจุดแข็งดีแทคและทรู มุ่งสู่ผู้นำด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีของไทย ชูแนวคิดชีวิตดีกว่า เมื่อมีกันและกัน (Better Together) ผสานพลังรวมกัน 1+1 เท่ากับ อินฟินิตี้ สร้างศักยภาพความเป็นไปได้ใหม่ที่ไม่รู้จบ พร้อมนำ 7 กลยุทธ์หลักสู่การเปลี่ยนผ่านวิถีชีวิตคนไทย ลดความเหลื่อมล้ำ และขับเคลื่อนธุรกิจให้ก้าวขึ้นสู่ผู้นำเศรษฐกิจดิจิทัล เผยทะยานสู่ผู้ให้บริการชั้นนำ พร้อมกับภารกิจดูแลผู้ใช้งานมือถือทั้งสองแบรนด์ในวันนี้ คือ ทรูมูฟ เอช 33.8 ล้านและดีแทค 21.2 ล้านเลขหมาย พร้อมผู้ใช้งานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตทรูออนไลน์ 5 ล้านราย และผู้ใช้งานโทรทัศน์ทรูวิชั่นส์ 3.2 ล้านราย เร่งขับเคลื่อนโทรคมนาคม-เทคโนโลยีสร้างระบบนิเวศดิจิทัลครบวงจรสู่การสร้างโอกาสในการพัฒนาที่ยั่งยืน ส่งเสริมสิทธิมนุษยชนในการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างเท่าเทียม

ดีแทคและทรู ได้ดำเนินการควบรวมเป็นบริษัทใหม่เรียบร้อย โดยได้รับหนังสือรับรองบริษัทใหม่ตามที่ยื่นจดทะเบียนต่อนายทะเบียนบริษัทมหาชนจำกัด กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์อย่างเป็นทางการ นับเป็นการควบรวมกิจการโทรคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จากมูลค่าของกิจการ ทั้งนี้มูลค่าตลาดของทั้งสองบริษัทรวมกัน (Market Capitalization) ประมาณ 2.94 แสนล้านบาท เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ก่อนที่จะขอให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ สั่งห้ามการซื้อหรือขายหลักทรัพย์เป็นการชั่วคราวเพื่อเตรียมการจัดสรรหุ้นสามัญของบริษัทใหม่ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของทั้งสองบริษัท และการดำเนินการอื่น ๆ

นาย มนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “วิสัยทัศน์ของเราคือการมุ่งเป็นผู้นำเทคโนโลยีโทรคมนาคม ที่จะเปลี่ยนผ่านวิถีชีวิตคนไทย และขับเคลื่อนธุรกิจให้ก้าวสู่แถวหน้าของเศรษฐกิจดิจิทัล เราได้ออกจากกรอบความคิดแบบเดิมในการทำธุรกิจโทรคมนาคมปลดล็อกสู่การเติบโตในระยะยาว นี่คือการนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของประเทศไทย และปูทางให้ประเทศไทยก้าวสู่ตำแหน่งที่ดีที่สุดที่จะได้รับประโยชน์สูงสุดในโลกดิจิทัลของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

การสร้างบริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีใหม่ครั้งนี้ ได้นำสิ่งที่ดีที่สุดของทั้งทรูและดีแทคมาผนึกรวมกัน (Best of Both) เพื่อขยายขนาด (Scale) และการส่งมอบคุณค่า (Value Creation) ที่มากขึ้น รวมทั้งเพิ่มขีดความแข็งแกร่งจากผู้ถือหุ้นใหญ่ทั้งจากองค์กรไทย คือ เครือเจริญโภคภัณฑ์ และบริษัทชั้นนำระดับโลกอย่างเทเลนอร์ กรุ๊ป นอกจากนี้ บริษัทใหม่จะได้ประโยชน์จากการผนึกกำลังร่วมกัน (Synergy) ทั้งด้านการลงทุนและรายได้ ซึ่งจะขับเคลื่อนร่วมกัน อาทิ โครงข่ายโทรคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล เครือข่ายไอที การจัดซื้อ การขาย การตลาด ช่องทางการค้าปลีก และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน โดยจะนำสู่สมดุลความเสมอภาคและความเท่าเทียมในการแข่งขัน และจะนำมาสู่ประโยชน์สูงสุดของลูกค้า

“การรวมกันของเราจะสร้างประโยชน์ให้กับผู้บริโภคชาวไทย และเป็นการทรานสฟอร์มประเทศไทยสู่วิถีดิจิทัลที่เร็วยิ่งขึ้น ยกระดับภาคธุรกิจให้พร้อมแข่งขันได้ในเวทีระดับโลก ตลอดจนเชื่อมโยงทุกระบบเร่งสร้างจุดเปลี่ยนเศรษฐกิจไทย” นายมนัสส์กล่าว

“ทรู คอร์ปอเรชั่น” จะขับเคลื่อนประเทศไทยให้เป็นผู้นำด้านดิจิทัลในภูมิภาค โดยให้ความสำคัญกับดิจิทัลสตาร์ทอัพซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ บริษัทใหม่จะร่วมกับพันธมิตรระดมทุนจำนวน 200 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 7.3 พันล้านบาท จัดตั้งกองทุน Venture Capital (VC) รวมทั้งจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมที่สนับสนุนผู้ประกอบการดิจิทัลเพื่อวางรากฐานสำหรับผลักดันสู่อนาคตของสตาร์ทอัพไทยในระดับยูนิคอร์น ซึ่งพร้อมไปด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงและความเชี่ยวชาญที่พัฒนาจากเทเลนอร์ และเครือเจริญโภคภัณฑ์ รวมทั้งเครือข่ายธุรกิจระดับนานาชาติอีกด้วย

นายชารัด เมห์โรทรา รองประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “พันธกิจขององค์กรคือเร่งพัฒนาระบบนิเวศด้านเทคโนโลยีที่แข็งแกร่ง สนับสนุนคนเก่งรุ่นใหม่ด้านดิจิทัล และการนำเสนอนวัตกรรมบริการเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของลูกค้า ตลอดจนสร้างสังคมที่เติบโตอย่างยั่งยืน เราจะมุ่งสร้างศักยภาพให้กับธุรกิจ และก้าวสู่ความเป็นผู้นำในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล”

บริษัทใหม่มุ่งสู่ผู้นำด้านโครงข่ายอย่างแท้จริง โดยจะขยายโครงข่าย 5G ครอบคลุม 98% ของประชากร ในปี 2569 พร้อมพัฒนาและขยายเครือข่ายทั่วประเทศ ทั้งนี้ ตามรายงานโดยการวิจัยของ GSMA คาดว่า 5G จะช่วยผลักดันการเติบโตของ GDP ในประเทศไทยที่มูลค่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3.7 แสนล้านบาท) ในปี 2573
ทั้งนี้ ทรู คอร์ปอเรชั่น จะให้บริการธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ภายใต้แบรนด์ “ทรู” และ “ดีแทค”

โดยลูกค้าสามารถใช้สัญญาณคุณภาพดีขึ้นทันทีจากสัญลักษณ์เครือข่าย dtac-True และ True-dtac บนหน้าจอมือถือ ซึ่งเป็นก้าวแรกในการพัฒนาคุณภาพสัญญาณโมบายล์อินเทอร์เน็ตด้วยการ “โรมมิ่ง” สัญญาณข้ามโครงข่าย เพื่อใช้งาน 5G และ 4G บนคลื่น 2600 MHz และ 700 MHz โดยลูกค้าดีแทคสามารถใช้งาน 5G บนคลื่น 2600 MHz และลูกค้าทรูสามารถใช้งาน 4G และ 5G คลื่น 700 MHz ซึ่งเปิดให้บริการแล้ว ทั้งนี้จะขยายครบทั้ง 77 จังหวัดประมาณกลางมีนาคมนี้

นายชารัด กล่าวต่อไปว่า “เรามีเป้าหมายสูงสุดในการส่งมอบสินค้าและบริการที่ดียิ่งกว่าเดิมสำหรับผู้บริโภค และจะดำเนินกลยุทธ์ทางการตลาดและการแข่งขันที่สูงเพื่อลูกค้าเราจะได้รับประโยชน์สูงสุด ทั้งการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ครอบคลุมถึงธุรกิจบริการบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต โทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิก และบริการดิจิทัล พร้อมด้วยสิทธิประโยชน์เพื่อลูกค้าของเราอย่างต่อเนื่อง”

ผสานพลังเดินหน้า 7 กลยุทธ์หลัก มุ่งสู่เป้าหมายขององค์กร เพื่อนำประเทศไทยสู่อนาคตดิจิทัล

1. ผู้นำด้านโครงข่ายโทรคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลอย่างแท้จริง (Be the Undisputed Network and Digital Infrastructure Leader ) – การผสานศักยภาพโครงสร้างพื้นฐานของบริษัทใหม่ ทั้งโครงข่ายสื่อสารโทรคมนาคม อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมดิจิทัล อาทิ ดาต้าเซ็นเตอร์มาตรฐานสากล ระบบคลาวด์ ไม่เพียงแต่จะสร้างประสบการณ์เครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่และอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ที่ยอดเยี่ยม แต่จะมุ่งสู่การเพิ่มขีดความสามารถในการต่อยอดนวัตกรรมบริการดิจิทัลต่างๆเพื่อคนไทย ทั้ง IoT, AI Analytic, Machine Learning, Cyber Security ที่จะช่วยสนับสนุนการขับเคลื่อนวิถีดิจิทัล (Digital Transformation) ร่วมยกระดับคุณภาพชีวิต สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม

2. เติบโตเป็นผู้นำนอกเหนือจากบริการหลัก เพื่อส่งมอบคุณค่าและประสบการณ์ที่เหนือกว่า (Champion Growth Beyond the Core) – นอกจากการเป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานแล้ว บริษัทใหม่จะเดินหน้าขยายธุรกิจพร้อมรับมือกับความท้าทายด้านดิจิทัลที่เกิดขึ้นตลอดเวลา โดยจะมุ่งพัฒนานวัตกรรมด้านดิจิทัล โซลูชัน รวมถึงระบบนิเวศดิจิทัลที่ครบวงจร พร้อมร่วมขับเคลื่อนเพื่อสร้างความเท่าเทียมทางดิจิทัลในทุกภาคส่วน (Digital Inclusion ) สร้างประสบการณ์ใหม่ไร้รอยต่อให้กับลูกค้า รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพให้องค์กรธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน ตลอดจนร่วมสนับสนุนประเทศสู่เศรษฐกิจดิจิทัลได้เร็วยิ่งขึ้น

3. สร้างมาตรฐานประสบการณ์ใหม่เพื่อลูกค้าในประเทศไทย (Set the Bar for Customer Experience in Thailand) – ด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัล มาช่วยในการวิเคราะห์ เติมเต็มไลฟ์สไตล์ลูกค้าได้ตรงใจมากขึ้น ทั้งการนำเสนอสินค้าบริการ การมอบสิทธิพิเศษ ตลอดจนช่องทางการเข้าถึง O2O ผ่านการผนึกพลังทั้งออฟไลน์ในเครือทั่วประเทศและออนไลน์แบบ 24 ชม.ทำให้ลูกค้าจะได้สัมผัสสุดยอดประสบการณ์อย่างต่อเนื่อง และไร้รอยต่อในทุกจุดบริการ รวมทั้งยกระดับบริการหลังการขายที่นำเทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ ทำให้ลูกค้าใช้งานได้อย่างต่อเนื่องและราบรื่น

4. เติมเต็มชีวิตอัจฉริยะยิ่งขึ้นเพื่อทุกสไตล์ลูกค้าชาวไทย (Enhance Smart Life for Customers) – ทรู คอร์ปอเรชั่น จะส่งมอบประสบการณ์ชีวิตอัจฉริยะเพื่อคนไทย ยกระดับวิถีชีวิต และไลฟ์สไตล์ทั้งความสะดวกสบาย การดูแลสุขภาพ ความปลอดภัย และการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า ซึ่งจะไม่จำกัดเฉพาะชีวิตคนเมืองเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมคนไทยทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ผ่านเครือข่ายสื่อสารดิจิทัลที่กว้างไกลและครอบคลุมยิ่งขึ้น

5. ยกระดับมาตรฐานสำหรับลูกค้าองค์กร (Raise Standards for Enterprise Customers) – บริษัทใหม่จะเร่งขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของภาคธุรกิจทั้งลูกค้า SME ธุรกิจองค์กรและภาคอุตสาหกรรม นำเทคโนโลยีดิจิทัลต่าง ๆ อาทิ IoT, Robotics, AI Analytics และ Blockchain พร้อมทำงานร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ สู่การพัฒนานวัตกรรมโซลูชันครอบคลุมทุกมิติ เพื่อสร้างความต่างและเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจ ยกระดับประสิทธิภาพการทำงาน ลดค่าใช้จ่าย ทุกภาคส่วนทั้งอุตสาหกรรม การเกษตร สาธารณสุข และค้าปลีก

6. สร้างสุดยอดองค์กรที่น่าทำงาน (Build the Best Place to Work) – บริษัทใหม่จะเป็นองค์กรแนวหน้าที่ขับเคลื่อนด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการทำงาน ดึงดูดคนเก่งที่มีความรู้ความสามารถจากทั่วโลก เป็นองค์กรที่สนับสนุนกลุ่มคนหลากหลาย ผสานความแตกต่าง ควบคู่กับการสร้างคนให้มีจิตวิญญาณเป็นเจ้าของกิจการ เป็นที่ทำงานที่ตอบโจทย์ความคาดหวังของผู้มีความสามารถ (Talent) ทุกเจเนอเรชัน พร้อมกับมีสวัสดิการและสุขภาวะที่ดี (Well Being)

7. การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน เพิ่มคุณค่าขับเคลื่อนองค์กรในระยะยาว (ESG Best in class: Sustainable organization to Create Long Term Value) – มุ่งเน้นการนำศักยภาพด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรม มาร่วมสร้างคุณค่าที่แท้จริงให้กับทุกชีวิต นำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ครอบคลุมทั้งมิติด้าน สิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล

นายมนัสส์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “เราตั้งเป้าจะก้าวไปเป็นหนึ่งในองค์กรนายจ้างที่ดีที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมกับบ่มเพาะวัฒนธรรมองค์กรที่มุ่งเน้นเสริมสร้างพลังในการทำงาน ดึงดูดผู้เชี่ยวชาญระดับสูง คนเก่งด้านดิจิทัล และผู้ที่ต้องการก้าวหน้าในบริษัทโทรคมนาคมและเทคโนโลยีที่เติบโตอย่างรวดเร็ว เราเป็นองค์กรที่สนับสนุนกลุ่มคนหลากหลาย ครอบคลุมทุกความแตกต่าง”

บริษัทใหม่มุ่งสู่การการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบอย่างยั่งยืนในแนวทาง ESG (Environment, Social, and Governance) ทั้งด้านด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล โดยด้านสิ่งแวดล้อมได้กำหนดเป้าหมายก้าวสู่การเป็นองค์กรที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน Carbon Neutral ในปี พ.ศ. 2573 และ Net zero ภายในปี พ.ศ. 2593 รวมทั้งการลดปริมาณขยะฝังกลบ และขยะอิเล็กทรอนิกส์ภายในปี พ.ศ. 2573

สำหรับด้านสังคมจะลดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลโดยเดินหน้าโครงการทรูปลูกปัญญา, dtac Safe Internet, ดีแทค เน็ตทำกิน โดยมีจุดมุ่งหมายในการสร้างทักษะและเชื่อมต่อดิจิทัลให้กับประชากรกลุ่มต่างๆ โดยเฉพาะประชากรกลุ่มเปราะบาง ซึ่งรวมถึงเด็กและเยาวชน ผู้หญิง ผู้พิการ ชนกลุ่มน้อย กลุ่มคน LGBTI และผู้สูงวัย และด้านบรรษัทภิบาลจะดำเนินธุรกิจด้วยความโปร่งใส ต่อต้านคอร์รัปชัน (Zero Tolerance Corruption) การทุจริตต้องเป็นศูนย์ และคำนึงถึงด้านสิทธิมนุษยชนเป็นพื้นฐานสำคัญ

from:https://www.thumbsup.in.th/true-corp-with-dtac?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=true-corp-with-dtac

เจาะลึก “ตรากิเลน” กับการพลิกโฉมแบรนด์ครั้งใหญ่ ตอกย้ำความเก๋าในฐานะตัวจริงด้านสมุนไพรกว่า 132 ปี

ไม่ใช่เรื่องง่ายนักสำหรับแบรนด์ที่มีอายุยาวนานที่จะยืนระยะ Brand Life Cycle ให้อยู่ในช่วงเติบโตอยู่เสมอ การเลือกใช้กลยุทธ์ทำให้แบรนด์ทันสมัยและพาแบรนด์เข้าไปอยู่ในไลฟสไตล์ของคนรุ่นใหม่ให้ได้ก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่หลายแบรนด์เลือกใช้

การพลิกโฉมแบรนด์ครั้งใหญ่ครั้งนี้ของ “ตรากิเลน” แบรนด์ระดับตำนานด้านสมุนไพรไทย-จีนที่มีอายุยืนยาวคู่คนไทยมากว่า 132 ปีก็เป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษาที่พิสูจน์ความเก๋าของแบรนด์ที่สามารถปรับตัวให้ใกล้ชิดผู้คนได้ทุก Generation เบื้องหลังจะมีเรื่องราวและแนวคิดอย่างไร ติดตามอ่านกันได้ที่นี่

“เก๋าจริง…ยิ่งใหญ่” ผ่านมาหลายยุคสมัยกว่าจะเป็น “ตรากิเลน”

จุดเริ่มต้นความยิ่งใหญ่ของตำนานยา “ตรากิเลน” เริ่มมาตั้งแต่สมัยปี 2434 โดยนายแป๊ะ แซ่ลิ้ม ผู้ก่อตั้งบริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) เดินทางจากจีนมาเปิดร้านขายยา  “เต๊ก เฮง หยู” ในย่านสำเพ็งและเป็นที่เลื่องลือจากการนำสูตรตำรายาสมุนไพรโบราณจากศาสตร์การแพทย์แผนจีนโบราณของบรรพบุรุษในชื่อ  “ยากฤษณากลั่น” ช่วยบำบัดอาการโรคท้องร่วงและอาการปวดท้องต่าง ๆ โดยมี “ตรากิเลน” เป็นเครื่องหมาย

“ยากฤษณากลั่น ตรากิเลน” เป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวาง กระทั่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ทรงแนะนำให้ทหารเสือป่าและประชาชนใช้ ยากฤษณากลั่น ตรากิเลน ไว้ในหนังสือพระราชนิพนธ์กันป่วย เนื่องด้วยเหล่ากองเสือป่าเสนาหลวงที่ไปซ้อมรบ ส่วนมากป่วยเป็นท้องร่วงอย่างรุนแรง จนผู้ที่มียากฤษณากลั่น ตรากิเลนติดตัว ได้ให้ผู้ป่วยรับประทานก็หายหมดทุกราย ไม่มีใครเป็นอันตราย จากนั้นท่านก็ได้ทรงประทานเข็มเสือป่าและพระราชทานนามสกุล “โอสถานุเคราะห์” อันมีความหมายว่า ช่วยเหลือด้วยยา ให้กับนายแป๊ะ แซ่ลิ้ม

หลังจากนั้นชื่อของ “ยากฤษณากลั่น ตรากิเลน” ก็ได้กลายเป็นยาสมุนไพรในครัวเรือนคนไทยและขยายกิจการด้านยาสมุนไพรตำรับอื่น ๆ อีกมากมายภายใต้แบรนด์เดียวกันที่แค่พูดชื่อแล้ว หลายท่านในที่นี้ก็น่าจะคุ้นหูไม่มากก็น้อย อาทิ โบตัน, ยาธาตุ ๔, อุทัยทิพย์ และทัมใจ เป็นต้น 

เบื้องหลังของโลโก้ “ตรากิเลน” นั้น เป็นสัญลักษณ์ของกิเลนถือคัมภีร์อันมีแสงสว่างอยู่เบื้องหลัง โดย “กิเลน” ถือเป็นสัตว์มงคลจากสวรรค์ตามตำนานเก่าแก่ของจีน จะปรากฏตัวอยู่ในดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ มาพร้อมคัมภีร์ความรู้อันเป็นสัญลักษณ์ของนักปราชญ์ และพระอาทิตย์ที่เปรียบเหมือนแสงสว่างของชีวิต

เนื่องในโอกาสครบรอบ 132 ปี ผลิตภัณฑ์ “ตรากิเลน” ก็ได้สร้างความท้าทายครั้งใหม่ ด้วยการพลิกโฉมแบรนด์ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานให้มีความร่วมสมัย เพื่อบอกต่อเรื่องราว ตำนาน “กิเลน” ในบริบทใหม่ให้คนรุ่นใหม่ได้สัมผัสประสบการณ์และเข้าใจถึงคุณค่า ภูมิปัญญาแพทย์สมุนไพรไทยจีนที่จะช่วยเสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้ยั่งยืนได้อย่างแท้จริง

การพลิกโฉมแบรนด์ครั้งใหญ่ผ่านมือศิลปินไทย ผลงานแบรนด์ระดับโลก

สำหรับ “ตรากิเลน” ในบริบทใหม่นี้ เรียกได้ว่าเป็นโจทย์ที่ท้าทายสำหรับตัวแบรนด์ไม่น้อยที่จะทำให้คนรุ่นใหม่เข้าถึง รวมถึงการสร้างภาพจำใหม่ ๆ ที่มีความกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกัน ระหว่างผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ตรากิเลนที่ต่างมีสรรพคุณเฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็น ยากฤษณากลั่น(แก้ท้องเสีย ปวดท้อง), ยาธาตุ๔(แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ), โบตัน(หอมสดชื่น ชุ่มคอ) และอุทัยทิพย์(แก้ร้อนใน ดับกระหาย) เพื่อตอกย้ำภาพแบรนด์ให้แข็งแกร่งขึ้น 

โดยเริ่มต้นจากการปรับดีไซน์โลโก้แบรนด์และแพ็คเก็จจิ้งใหม่ผ่านฝีมือการดีไซน์ของ “คุณยูน – ปัณพัท เตชเมธากุล” ศิลปินไทยผู้ที่มีผลงานดีไซน์ร่วมกับแบรนด์ระดับโลกมาแล้วมากมาย เข้ามาร่วมโปรเจกต์ในครั้งนี้ โดยเริ่มต้นจากการออกแบบผลิตภัณฑ์ยาสีฟันโบตัน ต่อเนื่องมาถึงผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ครบวงจร โดยปรับดีไซน์ผลิตภัณฑ์ให้มีความโมเดิร์นวินเทจยิ่งขึ้น ผ่านการเลือกโทนสีของโลโก้และแพ็คเก็จจิ้งที่มีความสดใสมากขึ้น

ใกล้ชิด Pop Culture คนรุ่นใหม่ ด้วยการร่วมงาน Bangkok Design Week 2023

นอกจากจะปรับดีไซน์ของผลิตภัณฑ์ใหม่หมดแล้ว ตรากิเลนก็ได้ใช้โอกาสนี้เข้าถึงคนรุ่นใหม่มากขึ้นด้วยการ เข้าร่วมในงานเทศกาลออกแบบ “Bangkok Design Week 2023” เมื่อวันที่ 4-12 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา เนรมิตรนิทรรศการในชื่อ “Kilane Crimson Garden” ถ่ายทอดเรื่องราวตำนานแบรนด์ตรากิเลนจากรุ่นสู่รุ่น พร้อมเผยโฉมโลโก้และแพคเกจจิ้งรูปแบบใหม่ของผลิตภัณฑ์ทั้งหมดพร้อมกันเป็นครั้งแรก

ซึ่งนิทรรศการครั้งนี้ก็ได้ออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ Kilane Crimson Garden สื่อถึงดินแดนสวนสมุนไพรสีแดงอันทรงพลังในสไตล์โมเดิร์นวินเทจ ผสมผสานศิลปะวัฒนธรรมไทย-จีนเข้าด้วยกัน ผ่านเรื่องราวของตราสัญลักษณ์ “กิเลน” ดอกโบตั๋นและลวดลายพรรณไม้นานาชนิดท่ีสะท้อนถึงความอุดมสมบูรณ์ ความเป็นธรรมชาติของผลิตภัณฑ์ได้เป็นอย่างชัดเจน

รวมถึงภายในนิทรรศการก็ยังมีไฮไลท์พิเศษอย่างโซนบริการขนมและเครื่องดื่มสูตรพิเศษที่ได้นำผลิตภัณฑ์ตรากิเลนมาเป็นวัตถุดิบ รังสรรค์โดย “คุณเป่าเป้-เจสสิก้า หวัง” เชฟสาวมากฝีมือ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ Pop Culture ของคนรุ่นใหม่ที่นิยมพักผ่อนหย่อนใจในเมืองด้วยการเสพงานศิลป์ ชิมเมนูดังในคาเฟ่ต่าง ๆ ถือเป็นการปรับตัวของแบรนด์เพื่อสร้างการรับรู้และเข้าถึงคนรุ่นใหม่อย่างใกล้ชิด ซึ่งงานนี้ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีไม่น้อย

ถือได้ว่าเป็นอีกแบรนด์ในจำนวนไม่มากนักในไทยที่สามารถยืนระยะเวลาและได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคมายาวนานถึง 132 ปี กาลเวลาก็ได้พิสูจน์ถึงความเก๋าและยังสะท้อนถึงคุณภาพของสินค้าที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาได้หลายยุคสมัย ด้วยแนวคิดที่พร้อมปรับตัวให้แบรนด์ยังคงเป็นที่พูดถึงอยู่เสมอ

from:https://www.thumbsup.in.th/kilane-crimson-garden-brand-life-cycle?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=kilane-crimson-garden-brand-life-cycle

Central Retail ขึ้นแท่นเบอร์หนึ่ง Hypermarket เวียดนาม ทุ่มลงทุน 50,000 ล้าน ตั้งเป้ายอดขาย 150,000 ล้านบาทในปี 2570

 

ส่องอาณาจักร “เซ็นทรัล รีเทล” ที่ประเทศเวียดนาม หมุดหมายที่หลายบริษัทต่างเข้ามาลงทุน ซึ่งหลายคนอาจจะไม่ทราบว่ากลุ่มเซ็นทรัล รีเทล ได้เข้ามาเริ่มกิจการในเวียดนามมากว่า 11 ปีแล้ว มีจำนวนร้านค้ากว่า 340 สาขา สร้างยอดขายกว่า 40,000 ล้านบาท !!

ทีมงาน Thumbsup ได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมดูงานของเครือเซ็นทรัล รีเทล ที่ประเทศเวียดนาม และพบเรื่องราวน่าสนใจ กับบริษัทไทยที่ประสบความสำเร็จเอามากๆ ในประเทศเวียดนาม

“เซ็นทรัล รีเทล เวียดนาม” กับการเติบโตแบบก้าวกระโดด

เวียดนามเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตสูงมาก โดยในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตของ GDP สูงที่สุดในอาเซียน และมากกว่าไทยถึง 2 เท่าตัว ซึ่งไม่น่าแปลกใจที่หลายธุรกิจต่างให้ความสนใจที่เวียดนาม

  • เซ็นทรัล รีเทล เปิดธุรกิจที่เวียดนามตั้งแต่ปี 2014 โดยเริ่มจาก 22 ร้านค้า ยอดขาย 300 ล้านบาท จนมาถึงปีล่าสุดมีกว่า 340 ร้านค้า และกวาดยอดขายไปมากถึง 38,592 ล้านบาท
  • โดยการเติบโตนี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีจุดเปลี่ยนคือในปี 2019 ได้มีการเข้าซื้อกิจการ Big C ทั้งหมดในเวียดนาม และมีการรีแบรนด์เป็น GO! Malls

 

  • ในตอนนี้ เซ็นทรัล รีเทล เวียดนาม ถือเป็นอันดับ 1 ในตลาด Hyper Market และเป็นอันดับ 2 ในกลุ่ม Lifestyle Mall
  • ในปี 2022 ที่ผ่านมา ได้มีการจับจ่ายใช้สอยจากลูกค้ากว่า 66 ล้านรายการ
  • เซ็นทรัล รีเทล เวียดนาม มีพนักงานมากกว่า 15,000 คน และมีพื้นที่ให้บริการรวมมากกว่า 1,200,000 ตารางเมตร
  • แม้จะมีการเติบโตแบบก้าวกระโดด แต่ทางแบรนด์ก็ไม่ลืมหลักของธุรกิจ “Central to Life” ซึ่งก็ได้มีการตอบแทนคืนสู่สังคม ทั้งในด้านการศึกษา, ด้านสังคมและ สิ่งแวดล้อม

ตั้งเป้าลงทุนเพิ่ม 50,000 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขายกว่า 150,000 ล้านบาท ภายในปี 2570

แม้จะเป็นอันดับ 1 ในตลาด Hypermarket ที่เวียดนามได้สำเร็จแล้ว แต่คุณ Olivier Langlet ซีอีโอของเซ็นทรัล รีเทล เวียดนาม ได้เผยเป้าหมายในปีนี้ว่าพร้อมจะสร้างการเติบโตธุรกิจกลุ่มฟู้ดครอบคลุมทั่วประเทศ , สร้างความแข็งแกร่งธุรกิจกลุ่มพร็อพเพอร์ตี้, ยกระดับและเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดของเหงียนคิม และ พัฒนา Loyalty Platform เพื่อรองรับจำนวนลูกค้าที่มาใช้บริการกว่า 66 ล้านคน

คุณญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) ได้เผยโรดแมป 5 ปี ตั้งเป้าอัดงบลงทุนในเวียดนามอีกกว่า 50,000 ล้านบาท เพื่อสร้างยอดขาย 150,000 ล้านบาท และดับเบิ้ลจำนวนร้านค้าเป็น 600 สาขา ครอบคลุมทั้งสิ้น 57 จังหวัด จาก 63 จังหวัดทั่วประเทศ

เดินหน้าลงทุน 5 ปี 50,000 ล้านบาท ต่อยอดความเป็นผู้นำในเวียดนาม ตั้งเป้าสร้างยอดขาย 150,000 ล้านบาท ภายในปี 2570

กรุงเทพฯ 17 กุมภาพันธ์ 2566 – นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC กล่าวว่า “เซ็นทรัล รีเทล เห็นเวียดนามเป็น Key market จากศักยภาพของประเทศที่มีความพร้อมในหลายด้าน และมีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นเราจึงเดินหน้าขยายธุรกิจในประเทศเวียดนามอย่างเต็มกำลังตลอด 11 ปีที่ผ่านมา จากจุดเริ่มต้นของการเป็นผู้จัดจำหน่ายแบรนด์สินค้าแฟชั่นที่มีเพียงไม่กี่สาขา ปัจจุบันเซ็นทรัล รีเทล เวียดนาม มีจำนวนร้านค้ามากกว่า 340 แห่ง พื้นที่รวมกว่า 1,200,000 ตารางเมตร ใน 40 จังหวัด คิดเป็น 85% ของ GDP ประเทศเวียดนาม และสร้างยอดขายเติบโตก้าวกระโดด จาก 300 ล้านบาท ในปี 2557 จนปี 2564 ที่ผ่านมา มียอดขายอยู่ที่ 38,592 ล้านบาท และล่าสุดปี 2565 สามารถปิดยอดขายในเวียดนามเป็นสัดส่วนถึง 25% ของยอดขายทั้งหมดของเซ็นทรัล รีเทล ส่งผลให้ เซ็นทรัล รีเทล กลายเป็นผู้นำค้าปลีกต่างชาติรายใหญ่ที่สุดในประเทศเวียดนาม ที่ขึ้นแท่นอันดับ 1 ด้านไฮเปอร์มาร์เก็ต และอันดับ 2 ด้านศูนย์การค้าไลฟ์สไตล์”

สำหรับโรดแมป 5 ปี ของเซ็นทรัล รีเทล เวียดนาม เรายังคงเดินหน้าเตรียมขยายธุรกิจอย่างเต็มที่ สอดรับกับแนวโน้มทางเศรษฐกิจที่มีทิศทางเติบโตต่อเนื่อง พร้อมตั้งเป้าอัดงบลงทุน 5 ปี ในเวียดนามอีกกว่า 50,000 ล้านบาท เพื่อสร้างยอดขาย 150,000 ล้านบาท และดับเบิ้ลจำนวนร้านค้าเป็น 600 สาขา ครอบคลุมทั้งสิ้น 57 จังหวัด จาก 63 จังหวัดทั่วประเทศ ตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ เพื่อก้าวเป็นเบอร์ 1 ด้านออมนิแชแนลในกลุ่มฟู้ด และอันดับ 2 ในกลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ของเวียดนาม ภายในปี 2570

ด้าน มร. โอลิวิเยร์ แลงเล็ต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เซ็นทรัล รีเทล เวียดนาม กล่าวว่า “ภาพรวมการเติบโตของประเทศเวียดนามแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่ดีต่อเนื่อง แม้ต้องเผชิญกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวนและไม่แน่นอน โดยในปีนี้คาดว่า GDP เวียดนาม จะโตอยู่ที่ 6.7% ซึ่งขยายตัวสูงเป็นอันดับหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบกับการขยายตัวอย่างรวดเร็วของจำนวนประชากรในเมือง การขยายตัวของโมเดิร์นเทรด และอัตรานักท่องเที่ยวที่เพิ่มสูงขึ้น จึงเป็นสัญญาณบวกที่ทำให้เซ็นทรัล รีเทล ยังคงเดินหน้าสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องในทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของชาวเวียดนามได้อย่างครอบคลุม ซึ่งประกอบไปด้วย กลุ่มฟู้ด ได้แก่ GO! ไฮเปอร์มาร์เก็ต รวม 38 สาขา ท็อปส์ มาร์เก็ต รวม 10 สาขา Mini go! ซูเปอร์มาร์เก็ต รวม 3 สาขา และลานชี มาร์ท รวม 24 สาขา กลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ ได้แก่ ศูนย์การค้า GO! รวม 39 สาขา และกลุ่มน็อนฟู้ด ได้แก่ เหงียนคิม ซูเปอร์สปอร์ต คุโบ และโรบินส์”

ด้วยความมุ่งมั่นในการเร่งเครื่องสานต่อธุรกิจอย่างไม่หยุดยั้ง เซ็นทรัล รีเทล เวียดนาม ได้เตรียมทุ่มงบลงทุนอีกกว่า 6,000 ล้านบาท ในปี 2566 นี้ เพื่อขยายอาณาจักรให้ครอบคลุมทั่วประเทศเวียดนาม โดยมีแผนธุรกิจดังนี้

  1. สร้างการเติบโตธุรกิจกลุ่มฟู้ดครอบคลุมทั่วประเทศ : ตอกย้ำความเป็นผู้นำอันดับ 1 ไฮเปอร์
    มาร์เก็ต ด้วยการรีแบรนด์และรีโนเวท GO! ไฮเปอร์มาร์เก็ต รวม 10 สาขา พร้อมทั้งขยายท็อปส์
    มาร์เก็ต และ Mini go! เพิ่มขึ้น 8-10 สาขา เพื่อรองรับผู้บริโภคได้อย่างทั่วถึง ตลอดจนเสริมแกร่งกลุ่มอาหาร Fresh และ Non-Food เพื่อดึงดูดทราฟฟิกผู้บริโภคใหม่ให้เพิ่มมากขึ้น
  2. สร้างความแข็งแกร่งธุรกิจกลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ : รีโนเวทศูนย์การค้า GO! รวมทั้งสิ้น 10 สาขา ให้มีความทันสมัยมากขึ้น และเตรียมเปิดสาขาใหม่เพิ่มอีกในอนาคต พร้อมทั้งสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้าด้วยร้านค้าในศูนย์ฯ ที่มีความหลากหลาย ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์
  3. ยกระดับและเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดของเหงียนคิม : รีโนเวทร้านเหงียนคิม รวม 10-12 สาขา และขยายร้านเหงียนคิมอีก 3-5 สาขา ทั้งแบบ Standalone และขยายเข้าไปในศูนย์การค้า GO! เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างครบวงจร
  4. พัฒนา Loyalty Platform เพื่อรองรับจำนวนลูกค้าที่มาใช้บริการกว่า 66 ล้านคน : ยกระดับ Loyalty Platform ให้มีประสิทธิภาพ เพื่อที่จะเข้าใจอินไซด์ของลูกค้า และมอบสินค้าและบริการที่ตรงใจ โดยใช้ความเชี่ยวชาญของ The 1 มาช่วยพัฒนาแพลตฟอร์มให้ดีขึ้น

นายญนน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “เซ็นทรัล รีเทล ไม่เพียงสร้างการเติบโตทางธุรกิจ แต่เรายังได้เข้าไปยกระดับชุมชน สังคม และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับชาวเวียดนามในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างงาน สร้างอาชีพ สนับสนุนเกษตรกรในชุมชนให้มีรายได้เพิ่มขึ้นกว่า 40% ไปจนถึงการทุ่มงบมากกว่า 10 ล้านบาท ในการสร้างโรงเรียนให้กับเด็กชาวเวียดนาม และการเป็นกำลังสำคัญในการช่วยเหลือและเคียงข้างประชาชนชาวเวียดนามในช่วงวิกฤตโควิด-19 ด้วยยอดเงินบริจาครวมมากกว่า 20 ล้านบาท ขณะเดียวกันเรายังเป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลของทั้งสองประเทศ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ผ่านการจัดกิจกรรมต่างๆ เช่น Vietnamese Week in Thailand  ที่จัดต่อเนื่องมาเป็นเวลากว่า 5 ปี และการจัด Business Matching ภายในงาน เพื่อสนับสนุนการนำเข้าและส่งออกสินค้าระหว่าง 2 ประเทศ รวมไปถึงการลงนาม MOU ของสมาคมค้าปลีกไทยและเวียดนาม ทั้งยังนำความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมสอดแทรกเข้าในทุกมิติ อาทิ การติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาศูนย์การค้า GO! รวม 20 สาขา การติดตั้งสถานีบริการชาร์จรถยนต์พลังงานไฟฟ้าภายในศูนย์การค้า และลดการใช้ถุงพลาสติกครั้งเดียวทิ้ง สอดคล้องกับเจตนารมณ์ที่จะเป็น Green & Sustainable Retail องค์กรค้าปลีกต้นแบบด้านความยั่งยืน เพื่อมุ่งสู่ Net Zero ในปี 2593 ตามเป้าหมายที่เซ็นทรัล รีเทล วางไว้”

“ด้วยความมุ่งมั่นของเราในการทำธุรกิจ ควบคู่ไปกับการยกระดับสังคมและชุมชน ทำให้ธุรกิจของเซ็นทรัล รีเทลในเวียดนาม เติบโตมาอย่างยั่งยืน และได้รับการยอมรับจากชาวเวียดนาม รวมถึงได้รับการสนับสนุนอันดีจากรัฐบาลเวียดนามมาโดยตลอด ซึ่งเราจะยังคงทำเพื่อสังคมและประชาชนชาวเวียดนามต่อไป เพราะเจตนารมณ์ของเรา คือ การสร้างความเจริญและเติบโตอย่างยั่งยืนในทุกที่ที่เราเข้าไปทำธุรกิจ” นายญนน์ กล่าวปิดท้าย

from:https://www.thumbsup.in.th/central-retail-number-one-hypermarket-vietnam?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=central-retail-number-one-hypermarket-vietnam

ครบ 25 ปี สตาร์บัคส์ ประเทศไทย ตอกย้ำพันธกิจการสร้าง “สัมพันธ์ภาพ” ที่ยั่งยืน

สตาร์บัคส์เริ่มต้นศักราชใหม่แห่งการเฉลิมฉลองครบรอบ 25 ปีการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย  เดินหน้าส่งมอบ “ประสบการณ์สตาร์บัคส์”  ที่แตกต่างและเป็นเอกลักษณ์อย่างต่อเนื่อง ตามพันธกิจการสร้างสัมพันธภาพระหว่าง กาแฟ ผู้คน และโลกของเรา กับเรื่องราวการเดินทางของเมล็ดกาแฟตั้งแต่แรกเริ่มมาเป็นกาแฟคุณภาพที่ทุกคนคุ้นเคย

กาแฟทุกแก้วของสตาร์บัคส์ล้วนเต็มไปด้วยเรื่องราวที่ถูกนำมาถ่ายทอดผ่านกลิ่น รสชาติ กรรมวิธีการเพาะปลูก ตลอดจนการเก็บเกี่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมล็ดกาแฟไทยที่อบอวลไปด้วยเรื่องราวอันน่าประทับใจระหว่างสตาร์บัคส์ กับชาวไร่กาแฟ ในประเทศไทย  อย่าง “ม่วนใจ๋ เบลนด์” การผสมผสานเมล็ดกาแฟพันธุ์อาราบิก้าชั้นเยี่ยมที่ปลูกในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนของไทย ผ่านการคั่วแบบ Starbucks Roast™ มาเป็นกาแฟถ้วยโปรด

เมล็ดกาแฟสตาร์บัคส์ ม่วนใจ๋ เบลนด์ ซึ่งสะท้อนความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมบริเวณแหล่งปลูกกาแฟ แก่ชาวไร่ผู้ปลูกกาแฟและครอบครัว ได้ผ่านการเดินทางและค่อยๆ เติบโต พร้อมๆ ไปกับชุมชนชาวไร่กาแฟทางภาคเหนือของประเทศไทย และพิสูจน์ให้เห็นว่า การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนควบคุ่ไปกับการส่งมอบเครื่องดื่มคุณภาพ ผ่าน ประสบการณ์สตาร์บัคส์ นั้น สามารถทำควบคู่กันได้

เรื่องราวของเมล็ดกาแฟ “ม่วนใจ๋ เบลนด์” เริ่มต้นที่ภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย เมื่อปี 2545 ที่สตาร์บัคส์ ได้ร่วมกับมูลนิธิพัฒนาชาวเขาแบบผสมผสาน (Integrated Tribal Development Foundation หรือ ITDF) ในการเริ่มสำรวจภาคเหนือของไทยเพื่อเสาะหาเมล็ดกาแฟอาราบิก้าชั้นเยี่ยมตามมาตรฐานสตาร์บัคส์ และตกลงทำสัญญาสั่งซื้อเมล็ดกาแฟครั้งแรกกับชาวไร่ที่หมู่บ้านห้วยห้อม อ. แม่ลาน้อย แม่ฮ่องสอน

ต่อมาในปี 2546 เมล็ดกาแฟ “ม่วนใจ๋ เบลนด์” จาก ITDF ได้ผ่านมาตรฐานการคัดเลือกจากสตาร์บัคส์ และได้กลายเป็นเมล็ดกาแฟ สตาร์บัคส์ “ม่วนใจ๋ เบลนด์” ที่วางขายทั่วประเทศไทยตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ พร้อมการรับรอง C.A.F.E. Practices (Coffee and Farmer Equity Practices) ซึ่งเป็นมาตรฐานในการรับซื้อเมล็ดกาแฟระดับสูงของสตาร์บัคส์ ในครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2559 และได้รับการรับรองอย่างต่อเนื่องทุกๆ 3 ปี คือในปี พ.ศ. 2562 ซึ่งในปี พ.ศ. 2566 นี้อยู่ระหว่างการรอผลการตรวจสอบมาตฐาน

นอกจากนี้  สตาร์บัคส์ได้ร่วมกับ ITDF พัฒนาชุมชนชาวไร่กาแฟทางภาคเหนือของประเทศไทยอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน  ผ่านการมอบ 5 เปอร์เซ็นต์จากการจำหน่ายเมล็ดกาแฟ “ม่วนใจ๋ เบลนด์” ทั่วประเทศ และจากทุกๆ 10 บาทในการจำหน่ายเครื่องดื่มที่ร้านกาแฟเพื่อชุมชนของสตาร์บัคส์ สาขาหลังสวน ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สตาร์บัคส์ ได้บริจาคเงินไปแล้วกว่า 8,000,000 บาท  โดยหวังจะเห็นชาวไร่ผู้ปลูกกาแฟมีความเป็นอยู่ที่ดี เข้าถึงการศึกษา และสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

สตาร์บัคส์ ยังคงทำงานร่วมกับชาวไร่ผู้ปลูกกาแฟอย่างใกล้ชิด เพื่อเสาะแสวงหาและรับซื้อเมล็ดกาแฟคุณภาพเยี่ยมจากทั่วทุกมุมโลกมาให้ลูกค้าได้ลิ้มลอง พร้อมสนับสนุนโครงการด้านการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมหลากหลายโครงการ เพื่อพัฒนาความเป็นอยู่ที่ดีของชาวไร่กาแฟและครอบครัว ตลอดจนชุมชนของพวกเขา อาทิ โครงการประปาภูเขา สถานีอนามัยบ้านห้วยส้มป่อยที่ให้บริการแก่ชาวไร่กาแฟในชุมชนหมู่บ้านห้วยส้มป่อยและชุมชนใกล้เคียง กว่า 8 หมู่บ้าน จำนวนกว่า 1,000 คน  รวมถึงการสร้างโรงเรียนสำหรับชั้นอนุบาล ประถม และ มัธยมที่หมู่บ้านแม่ขี้มูกน้อย จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น

สำหรับในปี 2566 ซี่งเป็นปีที่สตาร์บัคส์ ได้ดำเนินธุรกิจอยู่ในประเทศมายาวนานครบ 25 ปี สตาร์บัคส์ประเทศไทย จึงได้ถ่ายทอดเรื่องราวการเดินทางของเมล็ดกาแฟผ่านเรื่องราวของกาแฟ ผู้คน และโลกใบนี้  ผ่านรูปแบบซีรี่ย์วิดีโอทั้งหมด 5 ตอน โดยจะทยอยถ่ายทอดให้ลูกค้าสตาร์บัคส์ได้รับชมระหว่างนับถอยหลังวันครบรอบ 25 ปีในเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้

 

from:https://www.thumbsup.in.th/starbuck-25-year?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=starbuck-25-year

SCB ประกาศกลยุทธ์ พร้อมเปิดทีมบริหารชุดใหม่ มุ่งสู่ดิจิทัลแบงก์อันดับ 1 ในไทย

ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดวิสัยทัศน์ “Digital Bank with Human Touch” ชูยุทธศาสตร์ดาวเหนือกำหนดทิศทางองค์กรสู่ดิจิทัลแบงก์ ด้วยพันธกิจสำคัญในการเป็น “ดิจิทัลแบงก์ที่เป็นอันดับหนึ่งด้านการบริหารความมั่งคั่ง พร้อมมอบประสบการณ์การให้บริการที่เชื่อมถึงกันอย่างไร้รอยต่อในทุกช่องทาง”

นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า  เอสซีบีมุ่งมั่นพัฒนาเป็นธนาคารที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ต่อยอดความแข็งแกร่งการให้บริการแบบครบวงจร ปรับโครงสร้างภายในผนึกงานทางด้านดิจิทัลและเทคโนโลยีเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อพัฒนาบริการธนาคารดิจิทัลเต็มรูปแบบในฐานะศูนย์กลางขับเคลื่อนการเติบโตใหม่ให้แก่ธุรกิจ วางหมากขยายกลุ่มความมั่งคั่งด้วยโมเดล Digital Wealth เปิดตลาด Emerging Wealth เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพที่จะตั้งต้นสร้างความมั่งคั่ง

โดยนำดิจิทัลเข้ามาใช้แนะนำทางเลือกในการลงทุน มองเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวจะช่วยเร่งการเติบโตให้ลูกค้าทั้งรายย่อยและลูกค้าธุรกิจ ตั้งเป้าเป็นผู้นำตลาดด้านบริหารความมั่งคั่งที่ช่วยวางแผนเพิ่มพูนความมั่งคั่งให้ลูกค้าได้ทุกกลุ่ม ผสานจุดแข็งทางเทคโนโลยีจากดาต้า และบริการที่จริงใจจากพนักงาน ให้ลูกค้าสัมผัสความเป็นธนาคารดิจิทัลที่เข้าใจและรู้ใจมากกว่าเดิม ยืนยันความแข็งแกร่งด้วยเป้าหมายการเติบโตต่อเนื่องและยั่งยืน

ผ่านการสร้างสมดุลของพอร์ตและขยายฐานสินเชื่อที่มีคุณภาพ วางเป้าหมาย 3 ปี สร้างผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) มากกว่า 10% ส่วนแบ่ง wealth wallet share อันดับ 1 พร้อมขึ้นแท่นที่หนึ่งในใจลูกค้าทุกกลุ่มภายในปี 2568

ปัจจุบัน ธนาคารไทยพาณิชย์ยังคงความแข็งแกร่งในการให้บริการแบบครบวงจร หรือ Universal Bank โดยครองความเป็นผู้นำตลาดในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ อาทิ อันดับหนึ่งในสินเชื่อที่อยู่อาศัย อันดับหนึ่งในธุรกิจ Bancassurance นอกจากนี้ ยังเป็น Top 3 ในกลุ่มสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ สินเชื่อธุรกิจเอสเอ็มอี สินเชื่อลูกค้ารายย่อย และทางด้านการบริหารความมั่งคั่ง รวมทั้งยังเป็น Top 3 ธนาคารที่มีผู้ใช้งานแอปพลิเคชันทางเงินมากที่สุดในประเทศ

อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากวิกฤตโควิด-19 เราเห็นการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่กำลังเร่งพลิกฟื้นจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน โดยภาคธนาคารจะต้องมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ และช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เท่าเทียม รวมถึงมองหาโอกาสในการช่วยให้ลูกค้าธนาคารทุกกลุ่มได้มีความมั่งคั่งจากการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า

อีกทั้งพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เข้าถึงบริการทางการเงินผ่านช่องทางดิจิทัลมากยิ่งขึ้น ทำให้ธนาคารไทยพาณิชย์จึงต้องกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจนบนจุดแข็งของธนาคาร เพื่อตอบรับกับปัจจัยแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป

ในก้าวต่อไปของธนาคารไทยพาณิชย์ เรามุ่งมั่นพัฒนาองค์กรให้เป็น “ธนาคารที่ดีขึ้น” อย่างต่อเนื่อง โดยบทบาทของธนาคารจะต้องเป็นมากกว่าธนาคาร และทำให้ลูกค้าเข้าถึงง่ายในทุกช่องทาง ไม่เพียงเฉพาะแต่สินเชื่อ แต่รวมถึงภาพของการให้คำแนะนำการลงทุน การบริหารการเงิน และบริหารความเสี่ยง ด้วยความรู้จักและเข้าใจลูกค้าอย่างแท้จริง ธนาคารจึงกำหนดวิสัยทัศน์ใหม่ในการเป็น “Digital Bank with Human Touch เรารู้จักลูกค้าผ่านข้อมูล รู้ใจลูกค้าผ่านความรู้สึก”

เพื่อเป็นแนวทางพัฒนาองค์กรให้เป็นธนาคารที่ดีขึ้นในทุกๆ ด้าน โดยกำหนดยุทธศาสตร์ซึ่งเป็นดาวเหนือนำทางธุรกิจภายใต้แผน 3 ปี คือการเป็น ดิจิทัลแบงก์ที่เป็นอันดับหนึ่งด้านการบริหารความมั่งคั่ง พร้อมมอบประสบการณ์การให้บริการที่เชื่อมถึงกันอย่างไร้รอยต่อในทุกช่องทาง ซึ่งประกอบด้วย 3 เรื่องหลัก ได้แก่

  • ปรับองค์กรเป็นธนาคารดิจิทัล หลังจากที่ธนาคารได้ผ่านช่วง digital disruption

ที่กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีที่เข้ามาแข่งขันในภาคการเงินนั้น ปัจจุบันเราพบว่ามีเพียงไม่กี่รายที่สามารถทำกำไรได้ ในขณะที่ ธนาคารส่วนใหญ่ยังคงมีผลกำไรต่อเนื่อง ด้วยฐานเงินทุนที่แข็งแกร่งและมีจุดเด่นทางด้านบริการที่ชัดเจนมากกว่า ขณะเดียวกันแนวโน้มการใช้งานดิจิทัลของคนไทยปัจจุบันอยู่ในระดับสูง มีการใช้แอปพลิเคชันการเงินเป็นอันดับหนึ่งในอาเซียน และประมาณ 94% ของคนไทยเข้าถึงบริการทางการเงิน และมีความต้องการใช้บริการดิจิทัลเพิ่มขึ้น เราจึงต้องมีการยกระดับบริการสู่ธนาคารดิจิทัลอย่างเต็มตัว และมอบบริการการเงินดิจิทัลให้ได้อย่างครบวงจร โดยมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการด้านดิจิทัลสำหรับลูกค้าทุกกลุ่ม พร้อมเชื่อมโยงข้อมูลทางด้านบริการเพื่อมอบประสบการณ์ใหม่ให้แก่ลูกค้า ในการนี้ ธนาคารได้มีการปรับโครงสร้างบริหารงานเพื่อรวมงานทางด้าน ดิจิทัลแบงก์ เทคโนโลยีสารสนเทศ และปฏิบัติการ เข้าไว้ด้วยกันภายใต้ความดูแลของ ผู้จัดการใหญ่ และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงาน Technology โดยทั้ง 3 ส่วนงานนี้เป็นส่วนสำคัญในการยกระดับธนาคารให้เป็นธนาคารดิจิทัลอย่างครบวงจร ไม่เพียงแต่ระบบการให้บริการเท่านั้น แต่จะมีส่วนสำคัญในการสร้างรายได้ และการเติบโตให้แก่ธนาคารต่อไปในอนาคต

  •  เป็นเจ้าตลาดทางด้านบริหารความมั่งคั่ง ธนาคารได้วางรากฐานบริการด้านบริหารความมั่งคั่งไว้อย่างเพียบพร้อม

ทั้งทางด้านบุคลากร ที่ปัจจุบันมีจำนวนที่ปรึกษาด้านการลงทุนที่ได้รับการรับรองจากสถาบันชั้นนำของเอเชียมากที่สุดในประเทศไทย ผลิตภัณฑ์ด้านการลงทุนที่หลากหลาย พันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง ในส่วนของกลุ่มลูกค้าตามโครงสร้างภายใต้ยุทธศาสตร์ยานแม่ของกลุ่มเอสซีบี เอกซ์ ฐานลูกค้าปัจจุบันของธนาคารเป็นกลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงระดับบน ประกอบกับเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวหลังวิกฤตโควิดส่งผลให้เกิดกระแสความมั่งคั่งกลับคืนมา

จึงเป็นโอกาสที่ธนาคารเตรียมความพร้อมเพื่อเสนอบริการบริหารความมั่งคั่งอย่างครบวงจร ไม่เพียงแต่เฉพาะต่อยอดความมั่งคั่งทางด้านทรัพย์สินส่วนบุคคคลเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการสร้างการเติบโตให้ธุรกิจของลูกค้า ทั้งการขยายธุรกิจ การระดมทุนรูปแบบต่างๆ หรือการขยายลงทุนในต่างประเทศ ให้แก่ลูกค้าธุรกิจ และลูกค้าองค์กร ด้วยผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ที่ธนาคารมอบให้ ซึ่งถือเป็นการขยายความมั่งคั่งให้ลูกค้าได้ทุกกลุ่ม

“นอกจากนี้ ตามยุทธศาสตร์ที่ได้กำหนดให้ดิจิทัลแบงก์เป็นดาวเหนือนำทางให้แก่องค์กรจากนี้ไป ธนาคารต้องผลักดันกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่เกิดขึ้นจากนี้โดยคำนึงถึงการมอบประสบการณ์ดิจิทัลให้กับลูกค้าทุกกลุ่ม ธนาคารกำลังริเริ่มโครงการในการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อสร้างความมั่งคั่งให้กับลูกค้าในวงกว้าง (Digital Wealth) โดยไม่เน้นเฉพาะกลุ่มลูกค้ามั่งคั่งที่มีอยู่แล้ว แต่มุ่งไปที่กลุ่ม Emerging Wealth ซึ่งเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพและมีความต้องการที่จะสร้างความมั่งคั่งระยะแรกเริ่ม อาจยังมีสินทรัพย์ไม่มากนักแต่มีความต้องการลงทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มพูนความมั่งคั่งในระยะยาว

ซึ่งมักจะวางแผนการลงทุนด้วยตัวเองโดยไม่มีผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำ ธนาคารจึงต้องการนำดิจิทัลเข้ามาใช้เป็นตัวช่วยในการมอบทางเลือกทางการออมและการลงทุนที่เหมาะสมให้กับลูกค้าในกลุ่มนี้ เพื่อสร้างข้อเสนอแบบรู้ใจเฉพาะบุคคล (Hyper-personalized offer) ที่จะกระตุ้นให้ลูกค้ามองเห็นโอกาสในการสร้างความมั่งคั่งที่เป็นไปได้ในหลากหลายรูปแบบ โดยจะเป็นโครงการต้นแบบของการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้าในกลุ่มอื่นๆ ต่อไปในอนาคต

  • ยกระดับประสบการณ์การให้บริการที่เชื่อมถึงกันอย่างไร้รอยต่อในทุกช่องทาง

ธนาคารเชื่อว่าพลังแห่งเทคโนโลยีเป็นเพียงส่วนหนึ่งของประสบการณ์ที่ลูกค้าจะได้รับผ่านช่องทางหนึ่งเท่านั้น แต่สิ่งสำคัญที่เป็นหัวใจของ Digital Bank with Human Touch คือ ประสบการณ์ที่ดี ณ จุดให้บริการผ่านช่องทางต่างๆ ของธนาคารที่มีอย่างหลากหลาย เรามุ่งมั่นที่จะพัฒนาประสบการณ์การให้บริการโดยการขยายการทำงานเชื่อมโยงกันอย่างไร้รอยต่อระหว่างจุดให้บริการลูกค้าทั้งในโลกดิจิทัลและโลกแห่งความเป็นจริง

รวมถึงปรับปรุงและพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานให้มีความทันสมัยเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและความสามารถในการให้บริการในวงกว้าง เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้ทุกที่ ทุกเวลา ทุกช่องทางที่คุ้นเคย โดยลูกค้าทุกกลุ่มจะต้องได้รับประสบการณ์อย่างไร้รอยต่อผ่านช่องทางบริการที่หลากหลายด้วยมาตรฐานเดียวกันทุกช่องทาง

พร้อมกันนี้ ธนาคารยังให้ความสำคัญกับการสร้างสมดุลของพอร์ตสินเชื่อเพื่อการเติบโตยั่งยืน จากนี้ไปธุรกิจของธนาคารจะมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจสินเชื่อที่มีหลักประกัน โดยวางเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่ออย่างค่อยเป็นค่อยไปและการบริหารอัตราผลตอบแทนที่ปรับด้วยความเสี่ยง และให้น้ำหนักกับลูกค้ากลุ่มที่มีคุณภาพสูง เพื่อพัฒนาคุณภาพสินทรัพย์ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินมีทิศทางปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น

และสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่อาจผันผวน พร้อมด้วยการดำเนินงานที่ให้ความสำคัญกับนโยบายความยั่งยืนในทุกๆ มิติ ทั้งการให้บริการลูกค้า และการบริหารงานภายใน โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 ธนาคารมีพอร์ตสินเชื่อรวมกันทั้งสิ้น 2.3 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นสินเชื่อบุคคล 9.8 แสนล้านบาท สินเชื่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอี 4.1 แสนล้านบาท และธุรกิจขนาดใหญ่ 9.2 แสนล้านบาท

สำหรับเป้าหมายทางธุรกิจในปี 2566 ธนาคารมุ่งเน้นการสร้างสมดุลของการขยายพอร์ตสินเชื่อควบคู่กับการรักษาคุณภาพ โดยตั้งเป้าการเติบโตสินเชื่อประมาณไม่เกิน 5% และสร้างผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) มากกว่า 10% ขณะที่อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ตั้งเป้าไว้ที่ประมาณ 40% อย่างไรก็ตาม หลังจากปรับกระบวนการให้เป็นดิจิทัลอย่างครบวงจรตามแผน 3 ปี

ในปี 2568 ธนาคารมีเป้าหมายจะลดอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ให้ต่ำกว่า 40% รวมถึงการเป็นอันดับ 1 wealth wallet share พร้อมผลักดันสินเชื่อสีเขียว (Green Finance) เพิ่มอีก 1 แสนล้านบาท ตามเจตนารมณ์ด้านความยั่งยืน (ESG) ด้วยยุทธศาสตร์ดาวเหนือของธนาคารจะผลักดันให้ไทยพาณิชย์เป็นธนาคารที่ดีขึ้นตามวิสัยทัศน์ Digital Bank with Human Touch สร้างความประทับใจให้ลูกค้าด้วยบริการที่รู้จักลูกค้าผ่านข้อมูล และรู้ใจลูกค้าผ่านความรู้สึก และก้าวสู่การเป็นที่หนึ่งในใจลูกค้าทุกกลุ่มในปี 2568

from:https://www.thumbsup.in.th/scb-new-direction-2023?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=scb-new-direction-2023

‘The Future 100:2023’ คาดการณ์ 100 เทรนด์ ที่จะเกิดขึ้นกับผู้บริโภคที่แบรนด์ควรรู้

Joy-Conomy: ปี 2023 ปีแห่งการยกระดับการแสดงออกทางอารมณ์ความรู้สึกให้ผู้คนมีความหวัง ความเบิกบานและความสุข ในช่วงปีนับจากนี้ที่ยังคงไร้ความแน่นอน วันเดอร์แมน ธอมสัน คาดการณ์ 100 เทรนด์ที่สร้างสีสัน แรงบันดาลใจ และฉายภาพของปี 2023  

การศึกษาแนวโน้มสำคัญประจำปีที่เห็นภาพเค้าโครงของเทรนด์ที่กำลังมาแรงที่สุด จนต้องเฝ้าจับตาในช่วงเวลาหนึ่งปีข้างหน้า ได้ชี้ว่าแม้วิกฤติทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมจะยังคงดำเนินต่อไป แต่ผู้คนก็จะเลือกอยู่กับสิ่งที่สร้างความเบิกบานใจ

การก่อตัวของเทรนด์ต่างๆ อย่างเช่น ‘Elevated Expressionism’, ‘Feel-Good Feeds’ และ ‘Ageless Play’ ซึ่ง วันเดอร์แมน ธอมสัน อินเทลลิเจนซ์ (Wunderman Thompson Intelligence) ให้ชื่อเรียกว่า “จอย-โคโนมี่” (Joy-Conomy) หรือ เศรษฐกิจความสุข เผยให้เห็นโอกาสสำหรับแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับการที่ผู้บริโภคโหยหาแรงบันดาลใจและการมองโลกในแง่ดี เนื่องจากผู้คนต่างมุ่งมั่นที่จะแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นในการปรับตัว นวัตกรรม และความเบิกบาน แม้ในขณะที่ยังมีความยากลำบากคอยอยู่ตรงหน้าอย่างต่อเนื่อง

เอมม่า ชิว ผู้อำนวยการใหญ่ (Emma Chiu, Global Director) ของ วันเดอร์แมน ธอมสัน อินเทลลิเจนซ์ กล่าวว่า ในปีที่ทุกสัญญาณล้วนชี้ไปยังภาพอนาคตที่มืดมนและสับสนวุ่นวายเนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่ยากลำบาก ตลอดจนความไร้เสถียรภาพทางการเมืองและความเสื่อมถอยของสิ่งแวดล้อมยังคงดำรงอยู่ เรากลับพบว่าแบรนด์ยังคงมีโอกาสอย่างไม่รู้จบในการเชื่อมตัวเข้ากับความคิดและจิตใจของผู้บริโภค เนื่องจากการมองโลกในแง่ดีที่เริ่มขึ้นตั้งแต่ปีที่แล้วกำลังเปลี่ยนผันเป็นความต้องการที่งอกงามขึ้นเรื่อยๆ ในการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขสนุกสนาน

“ชุมชน ความคิดสร้างสรรค์ และสีสันอันสดใส จะแต่งแต้มความมีชีวิตชีวาให้กับช่วงปี 2023 ความเครียดในปีที่ผ่านๆ มาได้ทำให้ผู้คนหันมาให้ความสำคัญกับการหาจุดลงตัวที่สุดทั้งใจกายเพื่อให้ตนเองมีความสุขได้มากขึ้น พัฒนาการอันรวดเร็วของเทคโนโลยีทำให้เราได้เห็นวิวัฒนาจากอาคารบ้านเรือนไปสู่การใช้ชีวิตอยู่ในเมตาเวิร์ส (โดยที่ทุกมิติในชีวิตของเรากำลังถูกสำรวจอยู่ในพรมแดนใหม่ในโลกของประสบการณ์ลูกค้าดังกล่าว) และผู้คนกำลังเรียกร้องให้แบรนด์ใช้พลังของตนเองเพื่อสร้างสรรค์สังคมให้ดีขึ้น โดยการให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกๆ กับเรื่องของการเข้าถึงและการผสานความแตกต่าง”

นอกเหนือจากการก่อตัวขึ้นของ Joy-Conomy แล้ว เทรนด์เด่นอื่นๆ ยังประกอบด้วย:

  • วัฒนธรรม – นวัตกรรมพื้นเมือง (Indigenous Innovation): เทคนิคของชนพื้นเมืองกำลังสร้างแนวทางใหม่ที่เป็นการปฏิรูปการจัดการสิ่งแวดล้อม
  • เทคโนโลยีและเมตาเวิร์ส – การเข้าถึงเทคโนโลยี (Techcessibility): บริษัทต่างๆ กำลังออกแบบสภาพแวดล้อมทางดิจิทัลของตนเองใหม่เพื่อให้เอื้อต่อการเข้าถึงได้มากขึ้น
  • การเดินทางและบริการต้อนรับ – การเดินทางท่องเที่ยวในเขตอบอุ่น (Temperate Travel): อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นจะทำให้นักเดินทางหันมาเสาะหาที่หมายที่มีสภาพภูมิอากาศเย็นกว่า
  • แบรนด์และการตลาด – ครีเอเตอร์ที่มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น (Amplifying Diverse Creators): เสียงเรียกร้องที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ที่ต้องการให้โฆษณาสะท้อนความเป็นผู้บริโภคที่แท้จริง กำลังขับเคลื่อนให้เกิดความร่วมมือระหว่างแบรนด์กับครีเอทีฟที่เป็นบุคคลทั่วๆ ไป
  • อาหารและเครื่องดื่ม – เมนูจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ (Cell-cultured Dishes): เมื่ออาหารจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อสามารถออกจากโลกของห้องแล็บจนเข้าสู่ซูเปอร์มาร์เก็ตได้แล้ว ร้านอาหารระดับหรูหราก็อาจจะเป็นธุรกิจประเภทแรกที่ได้รับประโยชน์
  • ความงาม – ส่วนผสมที่ฟื้นคืนชีพ (Resurrected Ingredients): แบรนด์กำลังนำเอาส่วนประกอบที่กระตุ้นสัมผัสการรับรู้ต่างๆ ซึ่งห่างหายไปและถูกหลงลืมไปแล้วกลับมาสู่วงการอีกครั้ง
  • ค้าปลีกและการพาณิชย์ – ค้าปลีกในยามวิกฤติ (Crisis Retail): เมื่อวิกฤติทางการเงินแผลงฤทธิ์ แบรนด์ต่างๆ จึงยกระดับความช่วยเหลือที่มีให้แก่ผู้บริโภคกลุ่มที่เปราะบางที่สุดของตน
  • ลักชัวรี่ – ทะเลคือที่พำนัก (Residence at Sea): ชาวดิจิทัลรุ่นถัดไปที่อยู่ไปไม่ติดที่ กำลังมุ่งหน้าออกสู่ทะเลอย่างมีสไตล์
  • สุขภาพ – โปรแกรมสำหรับคนวัยทอง (Menopause Retreats): โปรแกรมที่ออกแบบขึ้นเป็นพิเศษสำหรับผู้ที่กำลังเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนกำลังเป็นกระแสที่มาแรง โดยที่เนื้อหามีตั้งแต่การให้ความรู้เรื่องการให้ฮอร์โมนทดแทน (Hormone Replacement Therapy – HRT) ไปจนถึงการให้คำแนะนำด้านโภชนาการ
  • การทำงาน – ความยืดหยุ่นตามยุคสมัย (Generation Flex): ความคาดหวังของพนักงานกำลังเพิ่มสูงขึ้น แต่ในภาวะที่เศรษฐกิจฝืดเคืองเช่นนี้ การสร้างสมดุลในการบริหารงานจะออกมาในรูปที่เกิดประโยชน์ต่อพวกเขาหรือไม่?

มัวรีน ตัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ วันเดอร์แมน ธอมสัน ประเทศไทย กล่าวว่า “หลังจาก 3 ปีแห่งความเศร้าซึมจากสถานการณ์โรคระบาด เราเห็นได้ว่าจิตวิญญาณแห่งความเป็นมนุษย์กำลังเลือกที่จะอยู่กับพลังบวกและความหวัง แม้ความยากลำบากครั้งนี้จะยังคงนำมาซึ่งความขัดสนทางเศรษฐกิจ แต่คนไทยกำลังได้ลิ้มรสความหวังครั้งใหม่แล้ว โดยการท่องเที่ยวที่กระเตื้องขึ้นในหลายๆ ด้านกำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้โลดแล่นอีกครั้ง ในปีที่ผ่านๆ มา รายงาน Future 100 ได้นำเสนอการคาดการณ์ต่างๆ มากมายหลายเรื่องที่ได้กลายเป็นจริงในทุกด้าน เราหวังว่ารายงานฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ต่อแบรนด์และนักการตลาดในการวางแผนเพื่อวันข้างหน้าและปรับตัวให้ตรงใจผู้บริโภคได้มากขึ้น เพื่อเป็นพลังกระตุ้นความหวัง แรงบันดาลใจ และความสุขความเบิกบานให้กับผู้บริโภคชาวไทย”

The Future 100:2023 เป็นผลงานของ วันเดอร์แมน ธอมสัน อินเทลลิเจนซ์ ซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยและนวัตกรรมของ วันเดอร์แมน ธอมสัน ที่มุ่งเน้นเรื่องอนาคตเป็นสำคัญ รายงานฉบับนี้ได้รับการเรียบเรียงขึ้นโดยทีมนักวิเคราะห์เทรนด์ชั้นนำ ซึ่งได้รวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญในแบบเอ็กซ์คลูซีฟและงานวิจัยกรรมสิทธิ์ของบริษัทฯ

 

ดาวน์โหลดรายงานฉบับนี้ได้ที่: https://www.wundermanthompson.com/insight/the-future-100-2023

from:https://www.thumbsup.in.th/the-future-1002023-joy-conomy?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=the-future-1002023-joy-conomy

ใช้กันหรือยัง? อีกหนึ่งช่องทางขายของออนไลน์ ด้วย TikTok Shop Shopping Center

อัตราการเติบโตของอีคอมเมิร์ซทั่วโลกในปี พ.ศ. 2566 คาดว่าจะเติบโตขึ้นสูงถึงร้อยละ 10.4 ดันยอดขายอีคอมเมิร์ซทั่วโลกให้สูงถึง 6.3 ล้านล้านดอลลาร์ซึ่งระบุไว้ในรายงาน Global Ecommerce Sale Growth ขณะเดียวกันมูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยคาดว่าจะมีการเติบโตถึงร้อยละ 13 ในปีนี้

อ้างอิงจากข้อมูลผู้เชี่ยวชาญสมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทยกล่าวว่าอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยจะเติบโตมากกว่า 5 เท่าภายใน 3 ปีข้างหน้า TikTok ได้เล็งเห็นถึงโอกาสและพร้อมผลักดันการเติบโตด้วยการเปิดตัว TikTok Shop Shopping Center ในประเทศไทย

การเปิดตัว TikTok Shop Shopping Center อย่างเป็นทางการในประเทศไทย คาดว่าจะสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับภาคธุรกิจค้าปลีกด้วยการช้อปปิ้งรูปแบบใหม่ที่เชื่อมแบรนด์และชุมชนบนแพลตฟอร์มเข้าด้วยกัน เพื่อขับเคลื่อนประสบการณ์ช้อปปิ้งอันน่าตื่นใจที่ไม่มีวันสิ้นสุด ทั้งการค้นพบสินค้าใหม่ ๆ การพิจารณาเปรียบเทียบราคา การซื้อสินค้า การรีวิว และการมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่น่าสนใจต่าง ๆ

เสมือนเป็นศูนย์กลางแห่งวัฒนธรรมการช้อปปิ้งยุคใหม่ ที่ซึ่งเป็นทั้งชุมทางพาณิชย์ ความบันเทิง และพื้นที่ที่ชาว TikTok ได้เติบโตร่วมกัน อีกทั้งยังเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างไวรัลระดับโลกทำให้ความต้องการในการซื้อสินค้าเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย ที่ซึ่งลูกค้าสามารถค้นหาแคมเปญโปรโมชั่น คอนเทนต์การขายสินค้า และเข้าถึงสินค้าหลากหลายประเภทที่ถูกรวมไว้ในที่เดียว

กรณิการ์ นิวัติศัยวงศ์ TikTok Shop Lead ประเทศไทย กล่าวว่า “เรามุ่งมั่นที่จะเชื่อมโยงแบรนด์และพาร์ทเนอร์ร้านค้าต่าง ๆ กับเหล่าครีเอเตอร์และชุมชนของเราอยู่เสมอ เพื่อให้ผู้ใช้แพลตฟอร์มได้ค้นพบสินค้าและสั่งซื้อได้ง่าย ๆ ภายในไม่กี่วินาที พร้อมสร้างความสำเร็จทางธุรกิจให้พาร์ทเนอร์ของเรา”

คอนเทนต์ความบันเทิงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยตัวตนตามแบบฉบับของครีเอเตอร์แต่ละคนที่ไม่ซ้ำใครเกิดขึ้นบนแพลตฟอร์ม TikTok ตลอดเวลาทำให้เกิดเทรนด์ในการช้อปปิ้งออนไลน์ใหม่ ๆ ที่เรียกว่า “Shoppertainment

“Shoppertainment ใน TikTok จะผสมผสานสิ่งที่ทำให้ TikTok มีเอกลักษณ์ อย่างคอนเทนต์ที่สนุกสนานสร้างความบันเทิง ต่อเนื่องด้วยการซื้อขายสินค้าเพื่อช่วยขับเคลื่อนความสำเร็จทางธุรกิจและเชื่อมโยงแบรนด์สินค้า ผู้ค้า และครีเอเตอร์ เข้าสู่ชุมชนของเรา”

โอกาสที่ไม่สิ้นสุด

การเปิดตัว TikTok Shop Shopping Center ในประเทศไทย จากรายงาน Marketing Science Global Retail Path to Purchase Study of 2021 ซึ่งจัดทำโดย Material ระบุว่าชุมชน TikTok ยินดีซื้อสินค้าที่พวกเขาพบเจอบนแพลตฟอร์มากกว่าถึง 1.5 เท่า และผู้ใช้ TikTok ร้อยละ 37 จะซื้อสินค้าที่พบเห็นจากแพลตฟอร์มทันที

ประเทศไทยติดอันดับสูงสุดจากทั่วโลกในการเจาะตลาดผู้ใช้ TikTok และมีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตมากถึงร้อยละ 50 ใช้แพลตฟอร์ม TikTok อย่างน้อยหนึ่งครั้งต่อเดือน และด้วยจำนวนผู้ใช้แพลตฟอร์ม TikTok อันมหาศาลนี้ ที่ทำให้ TikTok Shop มอบโอกาสอันไม่สิ้นสุดให้แก่แบรนด์และผู้ค้าในการใช้ประโยชน์จากอีคอมเมิร์ซโซลูชั่น และประสบการณ์ Shoppertainment

ศูนย์รวมร้านค้า

Shopping Center ของ TikTok Shop จะเป็นศูนย์รวมร้านค้าชั้นเยี่ยมที่ผู้ใช้สามารถค้นพบโปรโมชั่น สินค้าที่หลากหลาย ตลอดจนสามารถบริหารจัดการคำสั่งซื้อทั้งหมดได้อย่างง่ายดายในที่เดียว

“การเปิดตัว TikTok Shop Shopping Center จะช่วยให้ผู้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นนักช้อปหรือผู้ค้า เข้าถึงพื้นที่การช้อปได้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า TikTok Shop Shopping Center จะช่วยยกระดับประสบการณ์ความสนุกสนานในการช้อปปิ้งให้กับเหล่านักช้อปมากขึ้นไปอีกขั้น” กรณิการ์ อธิบาย

นอกจากนี้เธอยังเล่าว่า “TikTok Shop Shopping Center ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยให้ผู้ค้าสามารถปลดล็อกศักยภาพอีคอมเมิร์ซบน TikTok ได้มากยิ่งขึ้นและช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจรูปแบบใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม”

การให้ความรู้เพื่อสร้างความเข้าในเรื่องอีคอมเมิร์ซให้กับชุมชนผู้ค้าบน TikTok เป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญ เพื่อวางรากฐานให้ TikTok Shop Shopping Center เติบโตอย่างมั่นคงในประเทศไทย

ช้อปง่าย สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

การเปิดตัว TikTok Shop Shopping Center ในครั้งนี้ TikTok มุ่งเน้นการนำเสนอประสบการณ์การช้อปปิ้งที่เชื่อถือได้ สะดวกสบาย และครบวงจรในหนึ่งเดียว (one-stop shopping experience)

TikTok Shop Shopping Center จะอยู่ด้านข้างปุ่ม Home เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้ พร้อมช่วยให้ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของร้านค้าบน TikTok Shop ได้ถูกค้นพบง่ายขึ้น สร้างโอกาสในการเพิ่มรายได้ให้กับชุมชนร้านค้าบนแพลตฟอร์มโดยไม่ต้องลงทุนเพิ่มเติม
TikTok Shop Shopping Center ทำให้ผู้ใช้สามารถค้นหาสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ พบสินค้าที่ถูกใจได้ง่ายยิ่งขึ้นผ่านฟีเจอร์การค้นหาและการแนะนำข้อมูล ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงกิจกรรมการช้อปปิ้งได้โดยตรง ครบ จบ ในที่เดียว นอกจากนี้ให้ผู้ใช้สามารถเลือกดูคำสั่งซื้อ รถเข็นสินค้า ประวัติการซื้อ แชตกับผู้ค้า และกำหนดรายละเอียดที่อยู่และการชำระเงินได้อีกด้วย

ผลักดันยอดขาย

ผู้ค้าจะได้รับประโยชน์จากโซลูชั่นอีคอมเมิร์ซ รูปใหม่ผ่าน Shopping Center ด้วยฟีเจอร์ที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อและเพิ่มการกลับมาซื้อซ้ำได้อย่างต่อเนื่อง

สินค้าใน Shopping Center จะถูกแบ่งเป็นหมวดหมู่ต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถค้นพบสินค้าที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ทั้งผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม เสื้อผ้าผู้หญิง เครื่องใช้ไฟฟ้า ของใช้ภายในบ้าน ของตกแต่งบ้าน อาหาร และอื่น ๆ อีกทั้งยังมีแฟลชเซล พร้อมแจ้งเวลานับถอยหลังให้ไม่พลาดสินค้าลดราคาพิเศษในขณะนั้น

สำหรับผู้ค้าเองก็สามารถตรวจสอบและติดตามผลการดำเนินงาน รวมถึงความสำเร็จของการจัดโปรโมชั่นของทางร้านได้ผ่านทางเครื่องมือรายงานข้อมูล ซึ่งจะรายงานข้อมูลทั้งรายรับสะสม ช่องทางที่ผู้ชมสนใจเลือกซื้อสินค้า และเทรนด์สินค้าที่ได้รับความนิยม ในรูปแบบการรายงานข้อมูลที่อ่านผลง่ายเป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน โดยผู้ค้าสามารถเปิดดูข้อมูลรายรับจากแต่ละช่องทางในทุกขั้นตอนการสั่งซื้อสินค้า

แรงบันดาลใจสู่ความสร้างสรรค์

TikTok ยังคงเดินหน้าส่งเสริมคอนเทนต์ความบันเทิงระดับโลกที่น่าเชื่อถือผ่านการขับเคลื่อนของชุมชนที่สร้างแรงบันดาลใจสู่ความสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง TikTok ในประเทศไทยจะยังคงมุ่งมั่นเพื่อพัฒนาต่อไปในอนาคต

“เราจะมอบความสนุกสนานให้แก่ชาวไทยอย่างต่อเนื่อง และสร้างความมั่นใจถึงการเติบโตอย่างรับผิดชอบในประเทศ TikTok จะส่งเสริมให้คนไทยค้นพบความสุขและโอกาสการเติบโตมากขึ้น มุ่งสร้างแรงบันดาลใจให้เหล่าครีเอเตอร์ชาวไทยกล้าที่จะทำตามความฝันของตนเอง พร้อมสนับสนุนให้ธุรกิจในประเทศสามารถเติบโตและประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าเป้าหมายของผู้คนในชุมชนคืออะไรก็ตาม TikTok คือพื้นที่สำหรับคุณ” กรณิการ์ กล่าวสรุป

ลองใช้งานกันได้ตามลิ้งนี้เลย : Seller Tiktok

from:https://www.thumbsup.in.th/tiktok-shop-ecommerce?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=tiktok-shop-ecommerce