คลังเก็บป้ายกำกับ: GAMING_GEAR

S-GEAR SCYLLA เกมมิ่งคีย์บอร์ด Custom ได้เปลี่ยนคีย์ที่ใช่ สวิทช์ที่ชอบ ได้ตามใจ

S-GEAR SCYLLA คีย์บอร์ด 2023 Custom Hot Swap เลือกคีย์แคป เปลี่ยนคีย์สวิทช์เองได้ตามใจ ไฟ RGB สวย

S-GEAR SCYLLA

S-GEAR SCYLLA เกมมิ่งคีย์บอร์ดที่มีความโดดเด่น ในรูปแบบของ Mechanical keyboard รุ่นนี้ ไม่ใช่แค่ความเป็นคีย์บอร์ดที่มีแสงไฟสวยงาม หรือมาในแบบ TKL ที่มีขนาดกระทัดรัด เท่านั้น แต่ลูกเล่นในการปรับแต่ง ผมถือว่าเป็นหัวใจของคีย์บอร์ดรุ่นนี้เลย ว่ากันตั้งแต่ในเรื่องฮาร์ดแวร์ ที่เปลี่ยนได้ทั้งคีย์แคป ไปจนถึงปุ่มสวิทช์ ให้คุณเลือกใช้ได้อย่างอิสระ ไม่ว่าคุณจะชอบแบบใด แถมยังมี Switch จาก Gateron มาให้ จัดว่าเป็นคีย์สวิทช์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในตลาด และยังเพิ่มสวิทช์มาให้เปลี่ยนได้อีกด้วย นอกจากนี้ ยังปรับแสงสีไฟ RGB ได้อย่างสวยงาม มีเอฟเฟกต์ให้เลือกเยอะ ใช้งานก็ง่าย อีกทั้งคุณยังสามารถเชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์ได้ทั้ง 3 รูปแบบต่อสาย และไร้สาย รวมถึงต่อบลูทูธเข้ากับอุปกรณ์โมบาย เรียกว่าว่าคล่องตัว พกพาไปใช้งานข้างนอกได้ แบตเตอรี่ชาร์จครั้งเดียวอยู่ได้นาน ราคาเพียง 3,590 บาทเท่านั้น

จุดเด่น

  • ขนาดกระทัดรัดในแบบ TKL
  • Custom ได้ง่าย เปลี่ยนทั้งสวิทช์และคีย์แคป
  • ต่อได้ทั้งมีสายและไร้สาย Wireless, Bluetooth
  • มีสวิทช์มาให้เปลี่ยนมาในกล่อง
  • มีปุ่มฮอตคีย์ให้ใช้มากมาย
  • มาพร้อมแสงไฟ RGB ปรับโหมดได้

ข้อสังเกต

  • การปรับแต่งเน้นที่ปุ่มเป็นหลัก
  • แสงไฟ Backlight ออกที่ EN

S-GEAR SCYLLA คีย์บอร์ด Hot swap


Specification

Description
Form Factor 87 Keys
Switch Type Gateron Blue / Red
Lighting RGB Fully Customizable
Keycaps Material ABS Two-Color injection molding
Sandwich Cotton EVA Sandwich Cotton
Multimedia function Keys PCB Board 5 Pins
Connectivity Cable USB-A to C, Bluetooth 3.0/5.0 ,Wireless 2.4GHz
Cable Length 1.6 Braided Cable
Special Feature Power Saving Modes
Warranty 2 Years
Price 3,590

ข้อมูลคีย์บอร์ดเพิ่มเติม: S-GEAR

Advertisementavw

Facebook: S-GEAR


Unbox

S-GEAR SCYLLA

สำหรับกล่องและแพ็คเกจของ S-GEAR SCYLLA จัดทำออกมาได้มาตรฐาน ให้ข้อมูลต่างๆ ไว้ครบถ้วนพอสมควร โดยเฉพาะเรื่องสำคัญอย่าง สเปค การเชื่อมต่อ อุปกรณ์บันเดิลและคีย์สวิทช์เป็นต้น และยังมี QR code ที่ให้ผู้ใช้สามารถเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมได้อีกด้วย ตัวกล่องมาในโทนสีชมพูตัดดำ และมีกราฟิกของคีย์บอร์ดมาเต็มหน้ากล่อง กับโทนสี RGB รอบๆ เพิ่มมาให้

เพิ่มเติมข้อมูลของ Red Switch มาอย่างชัดเจน และเสริมลูกเล่น กับรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ Gateron Switch เขื่อมต่อได้ 3 โหมด และเป็นแบบ และที่สำคัญเป็นเลย์เอาท์ไทย ฟอนต์ไทยชัดเจนด้วย และที่สำคัญ Trusted by Synnex อีกด้วย มั่นใจได้เลย

S-GEAR SCYLLA

ด้านหลังกล่อง ให้รายละเอียดเพิ่มเติมมาครบเลย ใครจะส่องข้อมูลก่อนตัดสินใจ ดูได้จากจุดนี้ เพราะมีทั้งสเปค ฟีเจอร์ รายละเอียดของบันเดิล และ QR มาให้ในการสแกนดูข้อมูล ขนาดกล่องไม่ใหญ่ ตามไซส์ของคีย์บอร์ดเลย

S-GEAR SCYLLA

แกะกล่องออกมา ภายในมีซองพลาสติกที่พิมพ์โลโก้มาแบบเท่ๆ กับสโลแกน Make it More ประมาณทำได้มากกว่า ตามลูกเล่นของคีย์บอร์ดที่จัดมาให้มากมาย ทั้งในแง่การเชื่อมต่อและโมดิฟาย

S-GEAR SCYLLA

อุปกรณ์ที่มีให้ในกล่อง ประกอบด้วยสายสัญญาณเป็นแบบสายถัก ค่อนข้างแน่นหนา หัวต่อเป็นแบบ USB-C จากตัวคีย์บอร์ด ไปยัง USB-A บนพีซี ความยาวสายประมาณ 1.6 เมตร

S-GEAR SCYLLA

S-GEAR SCYLLA ให้อุปกรณ์ที่เป็น Remover สำหรับถอดคีย์แคป และอีกด้านจะเป็นตัวถอดคีย์สวิทช์

S-GEAR SCYLLA

คู่มือสำหรับหลายๆ คน ผมถือว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากทีเดียว หากจะใช้คีย์บอร์ดแบบให้ครบทุกฟังก์ชั่น เพราะ คุณจะสามารถใช้คีย์ลัดหรือ Hot key ในการปรับแต่งเอฟเฟกต์สี สลับโหมดการทำงาน การเชื่อมต่อ ซึ่งแนะนำว่าให้ถ่ายภาพ หรือเก็บเอาไว้ให้ดีๆ เลยครับ

S-GEAR SCYLLA

นอกจากนี้ในกล่อง S-GEAR SCYLLA ยังใส่คีย์แคป WASD สีสดใสมาให้ โดยเป็นคีย์แคปแบบ ABS Doubleshot ซึ่งเป็นแบบที่ได้รับความนิยม และมีความทนทานสูง พร้อมกันนี้ยังมีแสงไฟลอดออกมาอีกด้วย ทำออกมาได้ค่อนข้างปราณีตเลยทีเดียว สามารถเปลี่ยนกับคีย์แคปเดิมได้ทันที

S-GEAR SCYLLA

และสิ่งนี้ถือเป็นไฮไลต์ นั่นคือ Blue switch ที่มีให้ถึง 10 ชิ้นด้วยกัน โดยเป็นแบบ Clicky เข้าใจว่าทาง S-GEAR น่าจะเล็งเห็นว่า ผู้ที่ใช้สวิทช์แบบเดิมๆ ที่เป็น Linear บางครั้งอาจจะอยากได้ฟิลของการเล่นในแบบที่สนุกมากยิ่งขึ้น ด้วยสวิทช์ที่ให้คุณเปลี่ยนใช้ได้ง่ายกว่า ในจุดนี้เราจะไปดูวิธีการถอดเปลี่ยนสวิทช์กันอีกครั้ง

S-GEAR SCYLLA

และสุดท้ายกับตัวคีย์บอร์ด SCYLLA ที่มาในแบบ TKL หน้าตาดูกระชับ แต่ก็ดุดันเลยทีเดียว กับบอดี้ในโทนสีดำ


Design

S-GEAR SCYLLA

คีย์บอร์ด S-GEAR SCYLLA มาในโทนสีดำทั้งตัว วัสดุเป็นแบบโครงสร้างอะลูมิเนียม มีชั้นพลาสติกซ้อนอยู่อีกชั้น บนบอดี้สีออกเทาเข้มไปทางดำ กับปุ่มคีย์แคปแบบ Double-shot ดำสนิด วางเลย์เอาท์มาได้มาตรฐาน ทำให้มีพื้นที่วางปุ่มได้เต็มที่ ไม่ว่าจะเป็น Shift Right และ Enter ที่มีไซส์ขนาดใหญ่ ตอบโจทย์ได้ทั้งการทำงานและเล่นเกม เช่นเดียวกับ Arrow ที่มาในแบบเต็มปุ่ม ไม่ลดทอนขนาด โดยมีปุ่มมาให้ 87 คีย์ ซึ่งจะไม่ได้มีเป็น Number Pad มาให้ แต่ในส่วนของ Hotkey และฟังก์ชั่น จัดมาให้ครบ

S-GEAR SCYLLA

ด้านข้างความกว้างประมาณ 130mm เท่านั้น จัดว่าทำออกมาได้กระชับ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของคีย์บอร์ดในกลุ่มนี้ ซึ่งจะไม่ได้ปล่อยให้พื้นที่เหลือขอบเยอะมาก เพื่อประหยัดพื้นที่ รูปทรงของคีย์แคปจะออกไปทาง Cherry MX แต่ก็มีความคล้ายกับ SA อยู่ด้วย แต่ก็ดูใช้ง่ายดี

S-GEAR SCYLLA

วัสดุเป็นแบบ ABS Double-shot มีความแข็งแรง และมีแสงไฟลอดออกมาจากปุ่ม ให้พิ้นผิวสัมผัสมา เพื่อการกดที่แม่นยำ และเป็นเงาง่าย

S-GEAR SCYLLA

S-GEAR SCYLLA มีปุ่มฟังก์ชั่น ใช้ได้ตั้งแต่ F1 ไปจนถึง F12 โดยให้การทำงานมาดังนี้

  • F1 เปิดโปรแกรม Media Player
  • F2 Volume Down
  • F3 Volume Up
  • F4 Mute
  • F5 Stop
  • F6 RW
  • F7 Play/ Pause
  • F8 FW
  • F9 เข้าอีเมล์
  • F10 กลับสู่ Home
  • F11 File Explorer
  • F12 Calculator
S-GEAR SCYLLA

ปุ่มลูกศร Arrow ปรับขึ้นลง-ซ้ายขวา มาแบบเต็มปุ่ม และใช้สำหรับการปรับแต่งเอฟเฟกต์แสงไฟอีกด้วย Arrow-up เพิ่มแสง, Arrow-down ลดแสง ที่เหลือซ้าย-ขวา ใช้เปลี่ยนโหมดแสงไฟ

S-GEAR SCYLLA

ปุ่มคีย์แคปเป็นแบบ Double-shot โดยเท่าที่เราสังเกตนั้น ไฟจะลอดในส่วนของฟอนต์ EN อย่างชัดเจน แต่ไม่ลอดส่วนที่เป็น TH ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติของ keycap ในรูปแบบนี้ ซึ่งจะเน้นไปที่การเล่นเกมเป็นหลัก แต่สำหรับคนที่พิมพ์สัมผัสอยู่แล้ว หรือไม่ได้ใช้พิมพ์งานมากมายนัก ก็ไม่ได้มีผลในการใช้งานแต่อย่างใด

S-GEAR SCYLLA

S-GEAR SCYLLA การปรับทำมุมวางมือของคีย์บอร์ดแบบไม่กางขาตั้งออก อยู่ในแนวราบปกติจะอยู่ที่ราว 3 องศา และเมื่อตั้งขาตั้ง ซึ่งจะปรับได้เพียงสเตปเดียว จะอยู่ที่ 8 องศา ซึ่งอยู่ในระดับมาตรฐาน โดยคีย์บอร์ดมีการไล่สเตป ให้เรียงเป็น Curve ลงมาตั้งแต่สูงจากแถบ Function ด้านบนสุด ไล่ลงมาเป็นระยะต่ำสุดที่แถวล่างตรง Spacebar ซึ่งถ้ามองจากองศา ในการวางแนวราบ ดูเหมาะกับการเล่นเกมอย่างมาก จะต่างจากคีย์บอร์ด TKL บางรุ่น ที่ใช้ความสูงปุ่มเป็นระยะเท่ากันหมด

ในการใช้งานถ้าคุณเป็นสายโน๊ตบุ๊คมาก่อน แนะนำว่าอาจจะต้องปรับตัวเล็กน้อย เพื่อให้คุ้นกับระยะของปุ่มที่ปรับไล่สเตปเช่นนี้ โดยเฉพาะในตอนที่พิมพ์งานจริงจัง อาจจะต้องเผื่อระยะในการกดและการวางมือเล็กน้อย เพื่อความรวดเร็ว แต่ข้อดีคือ การวางเลย์เอาท์ แทบจะไม่ต่างไปจากคีย์บอร์ดโน๊ตบุ๊คกลุ่ม 14″ หรือเล็กกว่า แต่ได้ปุ่ม Arrow ขนาดใหญ่ และปุ่ม Enter ที่กดได้สะใจเลยทีเดียว

S-GEAR SCYLLA

ตัวคีย์บอร์ดมาพร้อมการเชื่อมต่อสัญญาณแบบ USB-C ไปเป็น USB-A บนเครื่องพีซี รวมถึงใช้ในการชาร์จไฟอีกทางหนึ่งด้วย โดย SCYLLA รุ่นนี้ มาพร้อมแบตขนาด 2500mAh เลยทีเดียว ใช้งานได้นาน

S-GEAR SCYLLA

ด้านหลังของคีย์บอร์ด มาในแบบเรียบง่าย แต่ที่ชอบที่สุดก็คือ การวางชุดควบคุมและตัวรับ-ส่งสัญญาณมาในส่วนเดียวนี้เลย เพิ่มความสะดวกในการใช้งานและการจัดเก็บ

USB Receiver ขนาดเล็ก ถูกเก็บไว้ใกล้กับฝั่งทางด้านใต้ขาตั้ง โดยมีปุ่มสวิทช์เปิด-ปิดการทำงาน ผมว่าการจัดวางแบบนี้ ดีและสะดวกต่อผู้ใช้งาน ไม่ต้องไปเปิดฝาครอบ เสียบเก็บให้ดูซับซ้อนอีกด้วย

S-GEAR SCYLLA

เมื่อเทียบมิติความหนาของคีย์บอร์ดกับหนังสืออ่านเล่น จะเห็นได้ว่าหนากว่ากันเพียงเล็กน้อย ทำให้ผู้ใช้จัดเก็บและเคลื่อนย้ายได้ง่ายขึ้น ซึ่งลงตัวกับผู้ใช้ในกลุ่มนี้ ที่มักจะพกคีย์บอร์ดไปใช้งานนอกบ้าน แม้จะไม่ได้บางขนาดเท่านิตยสาร แต่ก็เชื่อว่าความกว้าง-ยาว ที่มาให้กระชับ ก็เข้ามาทดแทนกันได้พอสมควร


Function

S GEAR SCYLLA Exp 5 1

ฟังก์ชั่นและการปรับแต่ง S-GEAR SCYLLA จัดว่ามีมาให้ครบ โดยไฮไลต์นั้นอยู่ที่การปรับโหมดในการเชื่อมต่อ คีย์บอร์ดรุ่นนี้ให้ผู้ใช้ สามารถทำงานร่วมกับอุปกรณ์ต่างๆ ด้วยการติดต่อสัญญาณ 3 รูปแบบคือ แบบใช้สาย (Wired) ใช้ร่วมกับพีซี หรือโน๊ตบุ๊ค ด้วยการต่อสาย USB-C จากคีย์บอร์ด ไปยัง USB-A บนเครื่องคอม เป็นรูปแบบขั้นพื้นฐานในการใช้งาน และยังเป็นการชาร์จไฟให้กับคีย์บอร์ดไปพร้อมกัน

S Gear SCYLLA 43

และในโหมดการเชื่อมต่อไร้สาย สามารถเลือกได้ทั้งการต่อ สัญญาณ WiFi 2.4GHz บนโน๊ตบุ๊ค หรือจะใช้ร่วมกับ Bluetooth ก็ได้อีกด้วย อย่างเช่น กรณีที่คุณใช้งานกับพีซี ด้วยการต่อสัญญาณ Wireless ร่วมกับ USB Receiver ที่มากับตัวคีย์บอร์ด แล้วต้องการสลับไปใช้กับแท็ปเล็ตหรือสมาร์ทโฟน ผ่านทางสัญญาณบลูทูธ ก็เพียงกดปุ่ม Fn+Q บนคีย์บอร์ด และอย่าลืมเปิดบลูทูธบนสมาร์ทโฟน ค้นหาสัญญาณ จะขึ้นเป็น SCYLLABT ให้คุณเลือก Connect เท่านี้ก็ใช้งานคีย์บอร์ดร่วมกันได้แล้ว

S Gear SCYLLA BT1

โดยจากตัวอย่างนี้ เราเชื่อมต่อเข้ากับสมาร์ทโฟน ผ่านทางบลูทูธ ก็สามารถใช้งานได้ทันที โดยใช้ชื่อว่า SCYLLABT ไม่ต้องมีการเซ็ตค่าอื่นใด หลังจากที่เชื่อมต่อสัญญาณกันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานร่วมกับโปรแกรมแชต Line, Gmail หรือการพิมพ์งานแต่งภาพทั่วไป ที่จะต้องใส่ข้อมูลที่เป็น Text หรือปุ่มที่ใช้งานร่วมกันได้

แต่สิ่งที่สำคัญอย่างที่ได้กล่าวไปในตอนต้นก็คือ เก็บคู่มือเอาไว้ให้ดีๆ ครับ เพราะคุณอาจจะต้องใช้ในการสลับ เปลี่ยนโหมดการทำงาน เอฟเฟกต์แสง หรือการเชื่อมต่อ โดยผมสรุปคร่าวๆ ในการใช้งานเอาไว้ให้ดังนี้ครับ เอาแบบที่ต้องได้ใช้งานกันบ่อยๆ

S-GEAR SCYLLA

การใช้คีย์ลัดบนคีย์บอร์ด S-GEAR SCYLLA

  • Fn+X ถ้าต้องการเปิดหรือปิดแสงไฟ Backlight บนคีย์บอร์ด
  • Fn+Q เชื่อมต่ออุปกรณ์ด้วย Bluetooth ในแชนแนล 1
  • Fn+W เชื่อมต่ออุปกรณ์ด้วย Bluetooth ในแชนแนล 2
  • Fn+E เชื่อมต่ออุปกรณ์ด้วย Bluetooth ในแชนแนล 3
  • Fn+R เชื่อมต่ออุปกรณ์ด้วย Wireless 2.4GHz Bluetooth ในแชนแนล 1
  • โหมดแสงไฟ RGB 3 รูปแบบ
  • Fn+1 แสงไฟ RGB ในโหมดเกม FPS
  • Fn+2 แสงไฟ RGB ในโหมดเกม LOL
  • Fn+3 แสงไฟ RGB ในโหมด ทำงาน 37 ปุ่ม ที่จะมีไฟสว่างขึ้น
  • Fn+ Up Arrow เพิ่มความสว่างแสงไฟ RGB มีให้ 5 ระดับ
  • Fn+ Down Arrow ลดความสว่างแสงไฟ RGB มีให้ 5 ระดับ
  • Fn+ Left Arrow ปรับแนวการวิ่งของแสงไฟ
  • Fn+ Right Arrow ปรับสีของไฟ RGB กรณีที่เป็นแบบสีเดียว
  • Fn+ _ ลดความเร็วในการเคลื่อนไหวของแสงไฟ
  • Fn+ + เพิ่มความเร็วในการเคลื่อนไหวของแสงไฟ

การปรับโหมดแสงสีต่างๆ ทำได้หลายรูปแบบเลยทีเดียว แม้จะไม่ได้ใช้ซอฟต์แวร์ก็ตาม แต่ก็ใช้ปุ่มในการปรับเลือกเอฟเฟกต์แสงไฟได้ตามใจชอบ ความสว่างสดใสอยู่ในเกณฑ์ที่ดี เพราะแสงที่ลอดมานั้นโดดเด่น การเคลื่อนที่ของแสงไฟสมูทลื่นไหล เลือกแยกสี แยกโซนได้อย่างสวยงาม รวมถึงแสงไฟในแต่ละปุ่มที่ทำให้ S-GEAR SCYLLA ดูน่าสนใจไม่น้อยเลย คอเกมที่ชอบความหวือหวา เพิ่มอรรถรสในการเล่น ลองปรับใช้งานจะชอบครับ

S-GEAR SCYLLA

แต่ด้วยการเป็น Double-shot ที่แสงไฟลอดฟอนต์ EN เป็นหลัก ก็ทำให้การใช้งานในบางโอกาส โดยเฉพาะคนที่พิมพ์งาน แล้วต้องมองแป้นพิมพ์ อาจจะติดขัดอยู่บ้าง แต่ถ้าเป็นคนพิมพ์สัมผัส ก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่วุ่นวายแต่อย่างใด ในทางกลับกันเกมเมอร์บางคน ชื่นชอบการที่ RGB ลอดเฉพาะคีย์ EN เท่านั้น เพราะไม่ดึงดูดสายตาขณะที่เล่นมากเกินไป จนทำให้เสียสมาธิได้ แต่โดยส่วนตัวมองว่า หากคุณคุ้นเคยกับแสงไฟอยู่แล้ว การปรับใช้ไฟสีเดียว ก็เหมาะกับการเล่นเกมได้ดีครับ


Keycap

S-GEAR SCYLLA

S-GEAR SCYLLA ให้เป็น Gateron Switch จัดว่าเป็นสวิทช์ที่ได้รับความนิยมไม่แพ้ Cherry MX ด้วยทั้งคุณภาพและความทนทาน โดยเฉพาะในกลุ่ม Linear switch อย่างเช่นที่ใส่มาให้เป็น Gateron Red จัดว่าเป็นแบบที่ขึ้นชื่อของทางค่ายนี้ ให้ความนุ่มนวล กดได้ลื่นไหล และมีลูกเล่นน่าใช้อยู่ในกลุ่มที่เป็นตัวเลือกของผู้ใช้จำนวนมาก รวมถึงกลุ่ม Custom keyboard อีกด้วย เพราะราคาไม่สูงมากนัก

โดย Gateron Switch นั้น มีด้วยกัน 6 รูปแบบ ประกอบด้วย Blue กับ Green จะเป็นแบบ Clicky ส่วน Red, Yellow, White และ Black จะเป็น Linear สุดท้ายคือ Brown จะเป็นแบบ Tactile นอกจากนี้ก็ยังมีสวิทช์รุ่นใหม่ๆ ออกมาให้ใช้กันอีกเพียบ

คีย์สวิทช์ที่ให้มาเป็นแบบ Gateron Red Switch ฟิลลิ่งจะเป็นแบบ Linear กดได้แบบนุ่มๆ แต่ก็ให้น้ำหนักกับแรงต้านที่สนุกดี เสียงจะออกเป็นแบบ Clicky นิดๆ พอให้ได้สัมผัส แต่ยังเป็นแบบกดจังหวะเดียว เหมาะกับการพิมพ์งานได้แบบลื่นๆ

S-GEAR SCYLLA

และปุ่มคีย์แคปก็ถอดเปลี่ยนได้ มีสมดุลที่ดี ตัวล็อคที่แน่นหนา ถอดใส่ได้ง่าย เปลี่ยนได้ในทุกคีย์ ถ้าคุณเบื่อก็ลองหาคีย์แคปแปลกๆ มาใส่ได้ เพื่อเปลี่ยนสไตล์การใช้งาน ตัว Stem เป็นแบบ + มาตรฐานครับ หาคีย์แคปมาใช้งานด้วยง่าย

S-GEAR SCYLLA

และอย่างที่ได้กล่าวไปในตอนต้นคือ SCYLLA มาในแบบ 87 ปุ่ม ปรับเปลี่ยนได้อิสระตามต้องการ และ S-GEAR ก็ยังให้คีย์สวิทช์ในแบบ Gateron Blue ที่เป็นแบบ Clicky มาให้อีก 10 ชิ้น มาให้ได้ลองเปลี่ยนอารมณ์การคลิ๊กกันบ้าง

S-GEAR SCYLLA

S-GEAR SCYLLA ถอดเปลี่ยนสวิทช์ได้ง่ายมาก ตามสไตล์ของคีย์บอร์ดแบบ Custom แค่นำเครื่องมือตัวคีบที่ให้มาในกล่อง หนีบเข้าไปที่บริเวณด้านข้างของสวิทช์ จะมีช่องให้หนีบเข้าไป แล้วดึงออกมาตรงๆ ทำได้ง่ายดายทีเดียว

S-GEAR SCYLLA

เราได้ลองเปลี่ยนจำนวน 4 ปุ่ม ที่เป็น WASD ที่เน้นการเล่นเกมโดยเฉพาะ ตรงนี้ถ้าคุณเล่นเกมแนว Action Shooting หรือ FPS แนะนำให้กดปุ่ม Fn+1 ได้เลยครับ แสงไฟจะสว่างในปุ่มเหล่านี้ ให้คุณคอนโทรลได้สนุกสะใจยิ่งขึ้น


Let’s Play

S-GEAR SCYLLA

เตรียมมาพร้อมขนาดนี้ ก็ได้เวลาสนุกกันแล้วครับ มาทดสอบใช้งานกับฟิลลิ่งของ S-GEAR SCYLLA รุ่นนี้กัน ในเบื้องต้นสิ่งที่สัมผัสได้คือ การเชื่อมต่อที่ง่าย และขนาดที่กระทัดรัด ประหยัดพื้นที่โต๊ะไปได้มากทีเดียว ยิ่งคนที่ใช้โต๊ะคอมเล็กๆ 120cm จะเหลือพื้นที่สำหรับการใช้เมาส์ได้มากขึ้น การเชื่อมต่อก็เลือกได้เลย อยากให้โต๊ะดูกว้าง เหลือพื้นที่วางสิ่งอื่นๆ ด้วย ไม่มีสายเกะกะ ก็ใช้ไร้สาย ต่อกับ USB Receiver ได้

S-GEAR SCYLLA

แต่ถ้าในกรณีที่ต้องการเซฟแบต เผื่อจะนำไปใช้นอกสถานที่ด้วย และสามารถจัดเก็บสายที่โต๊ะได้ดี ก็ใช้แบบมีสายได้เช่นกัน ต่อสายชาร์จไฟ ก็สามารถเปิดแสงไฟ RGB เล่นได้สบายใจ ไม่ต้องกลัวว่าจะแบตหมดกลางทาง แต่แบตก็อึดอยู่นะครับ ชาร์จตั้งแต่วันแรกๆ ที่ได้รับ ใช้ทดสอบบ้าง เล่นเกมบ้าง ยังอยู่ได้อีกหลายวัน ที่สำคัญแบตมีระบบสแตนบาย ช่วยประหยัดพลังงานอีกด้วย

S-GEAR SCYLLA

ในแง่การใช้งาน งานพิมพ์งานเอกสารทั่วไป จนถึงการใช้ในชีวิตประจำวัน Red Switch ตอบโจทย์ได้หมด ด้วยคาแรกเตอร์ที่พิมพ์นิ่มและลื่น ให้ความรู้สึกต่างจาก Mechanical ที่เป็น Blue switch ที่ใช้อยู่ประจำพอสมควรเลย แต่ใครที่เคยใช้คีย์บอร์ดขนาดใหญ่ Full-size อาจต้องปรับตัวเล็กน้อย เพราะคุณจะต้องวางมือแคบเข้ามา แต่ผมเองก็มองว่า ใช้เวลาไม่นาน แถมยังโฟกัสกับการพิมพ์ได้ดีขึ้น

แต่ในแง่ของการเล่นเกม Red Switch ก็ตอบโจทย์ได้ แต่ความเป็น Gateron Blue มันช่วยให้เร้าใจมากขึ้นทีเดียว แต่โดยพื้นฐานผมเล่นเกมสลับกันไปมาระหว่าง Action FPS กับ Racing จังหวะของการเล่นแอ็คชั่นอย่าง PUBG, COD หรือจะเป็น Valorant ส่วนใหญ่ไปลงตัวที่ Blue Switch แต่พอเล่น Forza Horizon การใช้ Red Switch ก็ตอบโจทย์ได้ดี การสลับคีย์ได้แบบนี้ ก็เป็นทางเลือกที่ดีไม่น้อย แต่ก็ต้องเลือกว่า เราจะเล่นแนวใดมากที่สุด เพราะไม่ต้องเปลี่ยนสวิทช์กันบ่อยๆ นั่นเอง


Conclusion

S-GEAR SCYLLA

S-GEAR SCYLLA เกมมิ่งคีย์บอร์ดแบบไร้สาย ใช้งานได้ 3 โหมด ไม่ว่าจะเป็นต่อสาย ไร้สาย และบลูทูธ จึงเป็นคีย์บอร์ดอเนกประสงค์ ที่ใช้ได้ในทุกๆ วันของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน พิมพ์เอกสาร หรือใช้ในด้านความบันเทิง เพราะปุ่มสวิทช์ Red กดง่าย พิมพ์ได้ลื่น มีแรงต้านเล็กๆ ช่วยให้กดได้สนุก แสงไฟมีความสว่างสดใส ปรับเปลี่ยบนได้ในโหมดต่างๆ ในรูปลักษณ์ของ TKL keyboard ไซส์กระทัดรัด ประหยัดพื้นที่บนโต๊ะ อีกทั้งมาพร้อมแบตขนาดใหญ่ ให้ใช้งานได้นานขึ้น ยิ่งถ้าปิดไฟ RGB ก็จะยืดระยะการใช้งานได้มากทีเดียว จุดที่น่าสนใจนั่นคือ การเป็น Custom keyboard ที่เปลี่ยนได้ตั้งแต่ คีย์แคปจนถึงสวิทช์ เลือกได้ตามความเหมาะสม ชอบสไตล์ไหนก็เลือกใช้ตามใจชอบ Stem เป็นแบบมาตรฐาน เข้ากันได้กับคีย์แคปมาตรฐานในปัจจุบัน

ในแง่ของการปรับแต่งใช้งาน มีให้เยอะทั้งในเรื่องการใช้งานคีย์ลัด หรือจะเป็นการตั้งมาโคร หรือการปรับเปลี่ยนแสงไฟ แต่จะมีในบางจุดที่คิดว่าทาง S-GEAR น่าจะเพิ่มเติมเข้ามาในภายหลัง นั่นคือ ซอฟต์แวร์และการเพิ่มคีย์แคปทางเลือกมาให้ เพื่อให้การใช้งานลงตัวมากขึ้น เพราะคุณอาจจะต้องจดจำรูปแบบการเปลี่ยน และปุ่มการใช้โพรไฟล์แสงสี กับการสลับการเชื่อมต่อ และคู่มือจะเป็นสิ่งที่ช่วยคุณได้มากที่สุดนั่นเอง

ฃในภาพรวมถือว่า SCYLLA ทำได้คุ้มค่าเกินราคา เพราะค่าตัว 3,590 บาทเท่านั้น ถือว่าเป็น Custom keyboard ในราคาย่อมเยา ที่ให้คุณได้ไปต่อกับการเล่นคีย์บอร์ดให้ถูกใจ คุณจะนำไปใช้ เปลี่ยนคีย์แคปหรือสวิทช์ ก็ง่าย รวมถึงจะไปลูป (Lube switch) กันต่อ ให้ใช้งานถูกใจมากขึ้นก็ยังได้อีกด้วย ใครที่สนใจไปช้อปกันได้ในร้านค้าชั้นนำทั่วประเทศ และร้านค้าออนไลน์ในเวลานี้


การรับประกัน

  • รับประกันสินค้า 2 ปี จาก Trusted by Synnex
  • สินค้ามีปัญหาเปลี่ยนให้ใหม่ทันที ไม่ต้องรอซ่อม
  • ช้อปสินค้า S-GEAR ได้แล้วที่
  • Lazada https://bit.ly/3Q0VNZN
  • SHOPEE https://bit.ly/3KC2BvV
  • ร้านค้าชั้นนำทั่วประเทศ

ข้อมูลคีย์บอร์ดเพิ่มเติม: S-GEAR

Facebook: S-GEAR

from:https://notebookspec.com/web/692212-s-gear-scylla-gaming-keyboard

Advertisement

รีวิว HyperX Alloy Origins PBT 2023 และ Pulsefire Mat RGB สวยเร้าใจ ไฟ RGB ปรับแต่งสนุก

HyperX Alloy Origins PBT 2023 เล่นเกมสนุก ทนทาน ปรับแต่งง่าย คีย์ไทย ไฟ RGB เล่นได้ทุกเกม

HyperX Alloy Origins PBT

HyperX Alloy Origins PBT จัดเป็นเกมมิ่งคีย์บอร์ด RGB ในสายของ Alloy ที่ได้รับการพัฒนามาต่อเนื่อง จากรุ่นพี่ที่เป็น Alloy Origins ก่อนหน้านี้ ก็ได้รับความนิยมอย่างมาก กับเอกลักษณ์ที่ดูเรียบง่าย แต่ใส่ฟีเจอร์มาแน่น กับคีย์สวิทช์เฉพาะของทาง HyperX และแสงไฟ RGB ที่ปรับแต่งได้สวยสดใส และในรุ่นใหม่นี้ ทาง HyperX เพิ่มปุ่มที่เป็นภาษาไทย ยิงเลเซอร์มาให้พร้อมใช้ เอาใจเกมเมอร์คนไทย ที่บางครั้งก็ต้องใช้ในการพิมพ์งาน หรือแชตส่งงาน ทำได้ง่ายกว่าเดิม และยังคงโครงสร้างอะลูมิเนียมที่หนักแน่น ปรับระยะลาดเอียงได้ 3 ระดับ และต่อสายสะดวกในแบบ USB-C เป็นเกมมิ่งคีย์บอร์ดที่มาพร้อม Game Mode ปรับแต่งมาโครคีย์ได้ และมีทั้ง Anti-Ghostng และ N-Key rollover เป็นฟีเจอร์พื้นฐาน ที่ให้คุณกดรัวๆ บนการเล่นเกมได้ ไม่มีการแจ้งเตือน และกันการกดผิดปุ่ม ปิดการทำงานของปุ่ม Win ได้อีกด้วย เพื่อการเล่นเกมได้อย่างลื่นไหลนั่นเอง


HyperX Alloy Origins PBT & Pulsefire Mat RGB


Specification

Description
Switch: HyperX Red – Linear
Actuation Point: Mechanical
Backlight: RGB (16,777,216 colors)
Light Effects: Per key RGB lighting and 5 brightness levels
Onboard Memory: 3 profile
Polling Rate: 1000Hz
USB 2.0 Pass-through: No
Anti-ghosting: 100% anti-ghosting
Rollover: N-key
Acceleration: Yes
Game Mode: Yes
USB Specification: USB 2.0 (full-speed)
OS Compatibility: Windows® 10, 8.1, 8, 7
Dimension: 442.5 x 132.5 x 36.39mm
Weight: w/ cable 1.07Kg.
Cable Length: xxm
Operating Force: 45g, 45g, 50g
Actuation Point: 1.8mm
Total Travel Distance: 3.8mm
Price: 3,790 Baht

ข้อมูลเพิ่มเติม: HyperX

Advertisementavw

Unbox

HyperX Alloy Origins PBT

HyperX Alloy Origins PBT มาในกล่องสีแดงสด ตัดกับลวดลายสีขาวและดำ ด้านหน้าเป็นกราฟิกรูปตัวคีย์บอร์ดอย่างชัดเจน และใส่ข้อมูลฟีเจอร์มาในแต่ละจุด เช่น การเป็น Double shot PBT, Red switch และรองรับการเชื่อมต่อกับเครื่องเล่นคอนโซล เช่น PS4/ PS5 หรือ XBox เป็นต้น

HyperX Alloy Origins PBT

ด้านหลังเพิ่มเติมมาทั้งในส่วนของซอฟต์แวร์ NGENUITY, RGB รวมถึงในแพ๊คเกจ มีสิ่งใดเพิ่มเติมมาให้บ้าง เอาไว้สำหรับเช็คอุปกรณ์ดูได้เลย ว่าได้ครบมั้ย

HyperX Alloy Origins PBT

ชอบในความดีไซน์ของค่ายนี้ เพราะยังคงมีเอกลักษณ์ชัดเจน ทั้งในเรื่องของสีสันและตัวอักษร แทบจะไม่เปลี่ยนแปลงเลย ในหลายปีที่ผ่านมา และในนี้ก็ระบุชื่อรุ่นและฟีเจอร์มาได้สะดุดตา

HyperX Alloy Origins PBT

เมื่อเปิดกล่องออกมา นอกจากจะมีตัวคีย์บอร์ดที่ใส่มาในกล่องแบบพอดีๆ แล้วยังมีคู่มือ เอกสารแนะนำมาให้ตามมาตรฐาน สำหรับคนที่ต้องการปรับแต่งแสงสี โหมดแสงไฟในเบื้องต้น รวมถึงการตั้งมาโครปุ่ม แนะนำเลยครับ ช่วยได้เยอะ

HyperX Alloy Origins PBT

และสิ่งที่มาให้เซอร์ไพรซ์ กับคีย์แคปที่ทาง HyperX เพิ่มเติมมาให้ ทั้งที่เป็นปุ่ม Esc สีแดงสดใส และปุ่ม Spacebar ขนาดใหญ่สีดำ มีลวดลายที่คล้ายกับหิมะ หรือดาวตกอะไรประมาณนั้นครับ

HyperX Alloy Origins PBT

ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนคีย์แคปเองได้ เพราะเค้าให้อุปกรณ์เสริมมาถอดปุ่มได้แบบง่ายๆ ถ้าอยากได้ความแปลกใหม่ หรือต้องการสีสัน ลูกเล่นไปจากคีย์แคปแบบเดิมๆ ก็ถอดออกมาตรงๆ แล้วเปลี่ยนได้เลยครับ

สายสัญญาณเป็นแบบสายถักแบบถอดได้ ยาวประมาณ 1.5m ด้วยพอร์ตแบบ USB-C to USB-A ต่อเข้ากับคีย์บอร์ดด้วยหัว USB-C และปลายสายเข้าคอมพีซี หรือโน๊ตบุ๊คด้วย USB-A ใช้ง่าย เก็บสายได้ค่อนข้างง่าย ดูเรียบร้อยขึ้นไม่น้อยเลย


Design

HyperX Alloy Origins PBT

HyperX Alloy Origins PBT นี้ มาในแบบที่เรียกว่า Compact Design ประหยัดพื้นที่เหมือนเดิม เล็กกว่าในคีย์บอร์ดระดับเดียวกันพอสมควร สังเกตได้จากขอบแต่ละด้านที่กระชับเข้ามา จนชิดปุ่ม จึงประหยัดพื้นที่จัดวาง เหลือพื้นที่บนโต๊ะคอมของคุณอีกเพียบ สำหรับการเลื่อนเมาส์ได้อย่างสนุกสนานมากขึ้น แม้จะใช้โต๊ะเล็กก็ตาม

ปุ่มมาในโทนสีออกเทาเข้ม-ดำ ตัดกับตัวอักษรสีขาวบนคีย์แคปได้อย่างชัดเจน แต่ฟอนต์จะดูต่างกัน Alloy Origins ตัวเดิมอยู่เล็กน้อย ก่อนหน้านี้อาจจะดูเด่นขึ้นนิดหน่อย เพราะใช้คีย์แคปต่างจาก PBT แต่ที่เจอคือ Origins เดิมจะเริ่มมันวาว เมื่อใช้ไปนานๆ แต่ Origins PBT จะมีพื้นผิว ที่ทำให้ไม่เกิดเงาได้ง่าย

HyperX Alloy Origins PBT

มาถึงบอดี้ของคีย์บอร์ดกันบ้าง ขนาดจัดว่าเล็กในแบบ Compact size ที่เป็นจุดขาย เพราะถ้าเทียบกับรุ่นอื่นๆ ในท้องตลาด Alloy Origins PBT รุ่นนี้ทำได้กระชับ ไม่เปลืองพื้นที่ แต่ให้ฟีเจอร์สำคัญมาครบถ้วน

ถ้าดูจากเลย์เอาท์ ก็เรียกว่าแทบจะถอดแบบมาเกือบทุกจุด ยกเว้นตรงที่คีย์แคปบางตัวของ PBT ทำเป็นแบบ 2 หน้า มีพิมพ์ 2 ส่วน ได้ลูกเล่นการปรับแต่งง่ายขึ้น แต่ในเรื่องขนาดปุ่ม การจัดวางก็คล้ายกันมาก

HyperX Alloy Origins PBT

ด้านหลังหรือด้านใต้ของคีย์บอร์ด มาแบบเรียบๆ ไม่ได้มีสิ่งใดโดดเด่น แต่มีขาพับปรับระดับได้ 3 step เพื่อให้เอียงตามมุมการใช้งานได้

HyperX Alloy Origins PBT

พอร์ตที่มีให้เป็น USB-C ในการต่อสายสัญญาณเข้ากับพีซีหรือโน๊ตบุ๊ค เป็นแบบเรียบง่าย ไม่ได้เป็นแบบตัวล็อคเสริมเพิ่มความแน่นมาให้เหมือนกับเกมมิ่งคีย์บอร์ดบางค่ายนำมาใช้กัน

และการปรับระดับเทียบกันระหว่างด้านซ้ายเป็นการปรับชันสุด 11 องศา ส่วนถ้าพับขาตั้งเข้าไป จะอยู่ที่ประมาณ 3 องศา อยู่ที่มุมการวางคีย์กับความสูง รวมถึงเก้าอี้นั่งของคุณจะเข้ากันในแบบใด

HyperX Alloy Origins PBT

ส่วนตัวมองว่า HyperX ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิมเอาไว้ดี แต่เสริมในบางจุดที่คิดว่าจำเป็นเข้ามา แต่พยายามไม่ให้เสียภาพของจำของผู้ใช้ไปมากนัก


Keycap & Switch

HyperX Alloy Origins PBT

ตัวปุ่มถูกปรับให้มีความทนทาน ในแบบที่เรียกว่า PBT keycap ซึ่งมักจะพบกันในเกมมิ่งคีย์บอร์ดคุณภาพสูง และให้พื้นผิวในแบบพ่นทราย เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าเกมเมอร์ ซึ่งก่อนหน้านี้ ถ้าผู้ใช้จะใช้งานปุ่มแบบนี้ ส่วนใหญ่จะต้องซื้อเพิ่มเพื่อมาเปลี่ยน แต่ HyperX จัดมาให้พร้อมใช้แล้วในรุ่นนี้

HyperX Alloy Origins PBT

นอกจากนี้ยังให้คีย์แคปตกแต่งมาเพิ่มอีก 2 ปุ่ม ประกอบด้วยปุ่ม Esc ที่ใส่เป็นปุ่มแดงโลโก้ HyperX ได้เลย แสงไฟลอดจากปุ่มดูสวยไม่ใช่เล่น

HyperX Alloy Origins PBT

เราสามารถแกะปุ่มคีย์แคปเพื่อเปลี่ยนได้ และด้านใต้ปุ่มเป็นสวิทช์ของทาง HyperX ในรุ่น Red สีแดง ซึ่งคาแรคเตอร์ของปุ่มจะเป็นแบบ Linear ซึ่งมีความนุ่มนวล แต่ให้การตอบสนองได้ดี จะคล้ายกับที่ใช้ใน Origins ก่อนหน้านี้ กับน้ำหนักในการกดประมาณ 45 กรัม ระยะตอบสนอง 1.8mm ใช้งานได้นานระดับ 80 ล้านคลิ๊กเลยทีเดียว

คีย์สวิทช์ของทาง HyperX

HyperX Aqua – Tactile

HyperX Blue – Tactile
HyperX Red – Linear
HyperX Silver – Linear

HyperX Alloy Origins PBT

แต่จุดที่ถือเป็นไฮไลต์ของ Alloy Origins PBT รุ่นนี้ก็คือ การเป็นปุ่มแบบพิมพ์ 2 ด้าน เพราะเมื่อสังเกตจากตรงนี้ จะเห็นว่ามีการพิมพ์ตัวสัญลักษณ์มาตั้งแต่ F1, F3 และ F3 ไปจนถึงปุ่ม RW/ Play/Pause และ FW เรื่อยไปจนถึงปุ่ม F9-F12 สำหรับการ Mute, Volume down/ Up และ Game Mode นั่นเอง

HyperX Alloy Origins PBT

แสงไฟลอดผ่านได้ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย ดังนั้นผู้ใช้ทั้งที่เป็นเกมเมอร์ และคนทำงาน ใช้คีย์บอร์ดบ่อย ก็ไม่ต้องกังวล เพราะคุณจะเห็นฟอนต์ได้ชัด ทั้งตอนที่เปิดหรือปิดแสงไฟนั่นเอง

HyperX Alloy Origins PBT

จุดสำคัญของคีย์บอร์ดรุ่นนี้ อยู่ที่การใช้ Side-Printing ที่เพิ่มเข้ามาในส่วนของด้านข้างคีย์แคป ทำให้ใช้งานได้หลากหลายขึ้น เพราะไม่ใช่แค่ดูสบายตา แต่ยังใช้สะดวก ไม่ว่าจะเป็นการตั้งมาโคร หรือเปลี่ยนโหมด แสงไฟ หรือใช้ฟังก์ชั่นด้านมัลติมีเดียก็ตาม


Backlit

HyperX Alloy Origins

สำหรับแสงไฟ Backlit เป็นแบบไฟ RGB ปรับแต่งได้ทั้งบนปุ่มคีย์บอร์ด ตามโพล์ไฟล์ที่จัดเก็บเอาไว้ หรือจะใช้ซอฟต์แวร์ HyperX NGENUITY ในการปรับแต่งก็ได้เช่นกัน โดยแสงไฟสว่างจากบนคีย์สวิทช์ ที่อยู่ด้านบน ซึ่งสว่างมากพอ ที่จะทำให้ฟอนต์ชัดเจนทั้งไทยและอังกฤษบนคีย์แคป

ความสว่างปรับได้ถึง 5 ระดับด้วยกัน ด้วยการกดที่ปุ่มลูกศร ที่อยู่ด้านข้าง NumberPad โดยดูจาก Side-printing บนปุ่มได้เลย แสงไฟให้ความสว่างได้ดีเลยทีเดียว โดยเฉพาะเมื่อใช้ในที่มืด เรียกว่าทะลุปุ่มออกมาได้ชัดเจน

HyperX Alloy Origins

HyperX ngenuity

การปรับแสงไฟ RGB ในโหมดต่างๆ สามารถทำได้ 2 วิธีคือ ปรับจากปุ่มโพรไฟล์บนคีย์บอร์ดได้โดยตรง ใช้ปุ่ม F1, F2 และ F3 ซึ่งจะใช้ปรับโหมดสีและเอฟเฟกต์ ตามที่เราได้ตั้งเอาไว้ในซอฟต์แวร์อย่าง HyperX ngenuity ได้อีกด้วย

HyperX Alloy Origins

แบบที่สอง นั่นคือ การปรับในซอฟต์แวร์ HyperX ngenuity ซึ่งทำได้ค่อนข้างสะดวกทีเดียว เพราะเลือกเอฟเฟกต์ แสง สี แล้ว Apply ดูตามรูปแบบแสงไฟได้ตามต้องการ


Software

ไม่ว่าคุณจะใช้เกมมิ่งเกียร์จาก HyperX ชิ้นเดียวหรือหลายชิ้นร่วมกันก็ตาม ซอฟต์แวร์ HyperX ngenuity จะเป็นตัวช่วยที่ดีที่สุด ให้คุณใช้งาน คีย์บอร์ด เมาส์ หูฟัง ไมโครโฟน และอื่นๆ ที่ง่ายกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นการปรับแต่ง เพิ่มมาโคร หรือเปลี่ยนเอฟเฟกต์แสงไฟ ก็ทำได้จากซอฟต์แวร์นี้เลย อย่างเช่น ชุดเกมมิ่งคีย์บอร์ด และเมาส์แพดที่เราได้รับมาทดสอบนี้ ไปชมกันครับว่าจะสามารถปรับแต่งส่วนใดได้บ้าง

HyperX Alloy Origins

หน้าตาของเว็บไซต์เมื่อเข้าไปดาวน์โหลด จะใช้ช่องทางของ Microsoft store

HyperX Alloy Origins

เมื่อดาวน์โหลดมาติดตั้งเสร็จแล้ว จะมีหน้าตาเช่นนี้ ระบบจะรายงานเวอร์ชั่นของซอฟต์แวร์ และอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อในเวลานั้น

HyperX Alloy Origins

หน้าตาของซอฟต์แวร์ เมื่อเปิดเข้าไปและเลือกในแต่ละอุปกรณ์ จะแสดงผลมาแบบนี้ ตัวอย่างที่เราติดตั้ง จะมีทั้งคีย์บอร์ด Alloy Origins PBT, เมาส์แพด Pulsefire Mat และ Armada 27 ที่เป็นจอเกมมิ่ง รวมถึงเมาส์เกมอย่าง Pulsefire Haste ซึ่งทั้งหมดนี้ สามารถเชื่อมต่อเข้ากับซอฟต์แวร์ได้

HyperX Alloy Origins

สำหรับ Pulsefire Mat XL รุ่นนี้มาพร้อมแสงไฟ RGB และยังปรับแต่งเพิ่มเติมได้ ด้วยการเพิ่มในช่อง Effect รวมถึงเพิ่มความสว่าง และจัดเก็บเป็นโพรไฟล์ได้

HyperX Alloy Origins

และคีย์บอร์ด HyperX Alloy Origins PBT นอกจากจะเพิ่มแสงไฟ ปรับแต่งเอฟเฟกต์ได้อย่างสนุกแล้ว ยังปรับใช้มาโครได้อีกด้วย โดยการกำหนดในช่อง Keys ของคีย์บอร์ด เลือกปุ่มแล้ว Assignments แล้ว Save to Keyboard


HyperX Pulsefire Mat RGB

เพิ่มเติมให้อีกอัน เหมือนของที่ต้องอยู่คู่กันบนโต๊ะของเกมเมอร์ เสริมให้โต๊ะคอมดูดีขึ้นอีก 30% กับเมาส์แพดจาก HyperX รุ่นนี้ ที่ไม่ใช่แค่เป็นแพดขนาดใหญ่ ให้คุณสไลด์เมาส์ได้อย่างสะใจเท่านั้น แต่ยังเสริมความหนักแน่น และแสงไฟ RGB มาในตัวอีกด้วย ที่สำคัญยังเชื่อมต่อเข้ากับซอฟต์แวร์ เพื่อปรับแต่งแสงไฟได้ เราไปชมรายละเอียดกัน

HyperX Alloy Origins PBT

HyperX Pulsefire Mat ที่เราได้รับมานี้ จัดว่าอยู่ในกลุ่มของไซส์ XL เพราะยาวถึง 90cm และกว้าง 42cm วางบนโต๊ะ 120-140cm ได้เกือบเต็ม เหมาะกับคนที่เน้นพื้นที่ใช้งานที่กว้าง สามารถวางของบน Mat ได้ และขยับเมาส์ได้แบบลดข้อจำกัด

HyperX Alloy Origins PBT

สำหรับตัวเมาส์แพดนี้ แกะกล่องออกมา ก็เห็นถึงความอลังการได้แล้ว เพราะยัดมาแน่นมาก ติดอยู่อย่างเดียวคือ คุณอาจจะต้องม้วนย้อนกลับไปอีกทางหนึ่ง ก่อนใช้งาน เพื่อให้ไม่เกิดเป็นคลื่นๆ จากการที่ม้วนอยู่ในกล่องมานานนั่นเอง

HyperX Alloy Origins PBT

โดยพื้นฐานของแผ่นด้านบนที่เป็นหน้าสัมผัส จัดว่าถักทอมาได้แน่น และมีความหนาพอสมควร ส่วนตัวรู้สึกว่าสัมผัสค่อนข้างดี และมีการทอมาได้เรียบ เน้นไปที่แนวของ Speed มากว่า Control แต่ก็มีพื้นผิวมาคอยให้คุณจัดตำแหน่งได้ง่ายขึ้น ให้ความนุ่มนวลในระดับหนึ่ง แต่ที่น่าทึ่งคือ ด้านใต้เป็นแบบกันลื่น Anti-slip ให้คุณวางบนโต๊ะและจับกับพื้นโต๊ะได้แน่นหนา ไม่สไลด์ขณะที่เล่นเกมแน่ๆ

HyperX Alloy Origins PBT

ด้านบนจะเป็นวงจรเล็กๆ และไฟแสดงสถานะของโพรไฟล์ ซึ่งจะบันทึกจากซอฟต์แวร์ HyperX ngenuity ได้ 3 โพรไฟล์ และคุณยังเปลี่ยนเอฟเฟกต์ได้ด้วยการสัมผัสอีกด้วย นับว่าทำออกมาได้แบบล้ำๆ เลยทีเดียว

HyperX Alloy Origins PBT

ขอบที่เป็นเส้นแสงไฟ RGB นี้ ถูกถักและรัดไว้อย่างหนาแน่น ติดกับขอบด้านข้างของเมาส์แพดตลอดทั้งผืน ซึ่งเป็นงานที่ค่อนข้างละเอียดเลยทีเดียว เมื่อเปิดไฟ RGB ก็ดูสวยงาม อย่างไรก็ดี พอให้รู้สึกสัมผัสกับข้อมือมากไปหน่อย เมื่อเลื่อนเมาส์ไปมาขณะเล่นเกม

HyperX Alloy Origins PBT

กางได้แบบเต็มที่ทีเดียว บนโต๊ะระดับ 180cm x 75cm เหลือพื้นที่สำหรับวางจอคอม และอุปกรณ์เล็กๆ น้อยๆ ได้สบาย ใครที่ใช้โต๊ะคอมเล็ก แนะนำว่าขยับพื้นที่จัดวางดีๆ ก็ลงตัวแล้วครับ

HyperX Alloy Origins PBT

แสงไฟ RGB ก็จัดว่าเป็นไฮไลต์ของ Pulsefire MAT รุ่นนี้เลยครับ เอฟเฟกต์แสงที่ได้จัดว่าสวยงาม ตัดกับพื้นโต๊ะทั้งสีขาวและสีดำได้เป็นอย่างดีอย่างที่เห็นในตัวอย่างนี้ และจะโดดเด่นยิ่งขึ้น หากใช้งานในห้องที่มีแสงน้อย เหมาะกับเกมเมอร์อย่างแท้จริง

สังเกตว่าแถบแสงไฟเหล่านี้ ไม่ได้สว่างสดใสแค่เพียงด้านบนเท่านั้น เมื่อหงายด้านใต้ Mat ก็ยังสีสดใสไม่แพ้กัน รวมถึงเมื่อมองจากด้านข้าง จะทำให้คุณเล่นเกมได้อย่างสนุกมากขึ้น

HyperX Alloy Origins PBT

โดยความยาวของ HyperX Pulsefire Mat นี้ ไม่เพียงแค่พื้นที่เลื่อนเมาส์ได้อย่างเต็มที่เท่านั้น แต่ยังวางคีย์บอร์ด HyperX Alloy Origins PBT ได้สบาย และมีพื้นที่เหลือๆ สำหรับใช้งาน เมือแสงไฟจับคู่กันกับเมาส์ และคีย์บอร์ด ก็ดูล้ำๆ ยิ่งขึ้นอีกด้วย


Conclusion

HyperX Alloy Origins PBT 2023 use 16

สัมผัสแรกในการกดปุ่มคีย์บน Alloy Origins PBT มีความต่างจากที่เคยใช้บน Alloy Origins เดิมอยู่พอสมควร โดยเฉพาะพื้นผิวของปุ่ม ที่ไม่ได้เรียบลื่น PBT ให้ความสะดุด และนิ้วไปแตะได้หนักแน่นกว่า น้ำหนักการกดค่อนข้างใกล้กัน และระยะตอบสนองแทบไม่ได้ต่างกันเลย เพราะถ้าดูจากตัวเลขที่ระบุมาในสเปค ก็เรียกว่าเกือบจะเหมือนกัน ดังนั้นในการเล่นเกม แทบจะไม่ได้ต่างกันมากนัก แต่ถ้ามองในแง่ของความต่อเนื่อง การกดของ PBT บางทีก็รู้สึกแปลกๆ อยู่เล็กน้อย ถ้าคนเคยใช้คีย์บอร์ดแบบที่คีย์แคปเรียบๆ สัมผัสก็อาจจะลื่นไหล ไม่สะดุดนิ้ว แต่ก็ยอมรับว่าปุ่มมีโอกาสขึ้นเงาได้มากกว่าแบบ PBT พอสมควร แต่ก็ไม่ได้มีผลต่อการเล่นเกมมากนัก เมื่อใช้ไปจนชิน

HyperX Alloy Origins PBT

การวางมือด้วยการเป็นคีย์บอร์ดไซส์คอมแพค จึงไม่ได้มีส่วนยื่นออกมา เผื่อไว้สำหรับการวางอุ้งมือ หรือไม่มี Hand rest ให้วาง ต้องไปหาเพิ่มเติม แต่ก็ทำให้คุณจัดโต๊ะได้แบบกระชับ ลดการใช้พื้นที่ และไม่เปลืองพื้นที่โต๊ะมาก โดยเฉพาะเกมเมอร์ที่มีโต๊ะจำกัดจริงๆ คีย์บอร์ดแนวนี้ช่วยได้เยอะ

แต่ความรู้สึกกับเสียงในการกด ด้วยฟิลลิ่งของ Red switch ก็อาจจะไม่ได้โบ๊ะบ๊ะ เสียงแบบ Clicky มาอย่างชัดเจนนัก แต่จังหวะและน้ำหนัก คนที่ใช้ Blue switch อาจจะรู้สึกว่าเสียงและจังหวะขาดๆ ไปบ้าง เพราะคาแรกเตอร์เค้าเป็นแบบ Linear แต่เพิ่มจังหวะการกดเข้ามานั่นเอง ข้อดีคือ คุณยังเล่นได้สนุก โดยที่ไม่ไปรบกวนคนอื่นมากนัก เมื่อต้องใช้พื้นที่ในห้องเดียวกัน

HyperX Alloy Origins PBT

ขยับมาที่ HyperX Pulsefire MAT กันบ้าง ส่วนตัวค่อนข้างชอบกับเมาส์แพดผืนใหญ่ๆ แบบนี้ ที่วางกันแบบเกือบคลุมได้ทั้งโต๊ะ วางได้ทั้งคีย์บอร์ด และยังเหลือที่เลื่อนเมาส์ได้กว้าง มีประโยชน์ทั้งการเล่นเกมและทำงาน แต่ในทางกลับกัน หลายคนอาจมองว่าการวางของบางส่วนก็ยากขึ้น หากพื้นที่โต๊ะจำกัด เช่น จอคอม หรือวางพรินเตอร์และอื่นๆ ที่วางได้ไม่เต็มหรือกลัวจะเป็นรอยบน Mat นั่นเอง

แต่ในแง่ของคุณภาพเต็ม 10 ผมไม่หักเลย โดยเฉพาะความลื่นไหล และเคลื่อนไหวได้แทบไม่สะดุด ได้เมาส์ดีๆ ก็แทบจะไม่ต้องยกมือขึ้นมาให้เสียจังหวะอีกด้วย การถักทอแน่นมาก ไม่ต้องกลัวจะเสียสภาพในเร็ววัน และแสงไฟที่ขอบโดยรอบนั้น ก็เพิ่มอรรถรสในการเล่นได้ไม่น้อย และที่ชอบสุดก็คือ แทบจะไม่ลื่นหลุดไปจากโต๊ะ เพราะพื้นด้านใต้ทำออกมาได้ดีทีเดียว

HyperX Alloy Origins PBT

คีย์แคปแบบ Side-printing จัดว่าเข้าท่าดี เพราะไม่เคยมีอยู่ใน Alloy Origins รุ่นก่อนหน้านี้ ก็ช่วยลดความตาลายดูสบายมากขึ้น แม้จะเป็นลูกเล่นเล็กๆ แต่ก็เหมาะกับการใช้งาน และการเล่นเกมอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะคนที่ยังสัมผัสไม่แม่น และต้องอาศัยดูแป้นพิมพ์อยู่เป็นระยะ

แต่สิ่งหนึ่งที่ดูแปลกตาไปบ้าง คือตัวฟอนต์บนคีย์แคปที่เปลี่ยนไป ไม่ได้เป็นตัวพิมพ์หนาเหมือนในรุ่นก่อน ทำให้แสงไฟที่ลอดมา บางครั้งก็ไม่สว่างชัดมากนัก ซึ่งหากคุณเป็นคนหนึ่งที่ต้องมองแป้นพิมพ์บ่อยๆ แนะนำว่าให้เปิดความสว่างแบบสุด

HyperX Alloy Origins PBT

สุดท้ายนี้ก็อยากให้ได้ไปลองใช้งานกันครับ สำหรับคนที่จะเริ่มกับเกมมิ่งคีย์บอร์ด ในราคา 3,790 บาท ก็ถือว่า HyperX Alloy Origins PBT ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ ปุ่มแน่น กดสนุก ไฟสวย ปรับแต่งได้ และใช้งานง่าย มีซอฟต์แวร์เสริม และ Pulsefire Mat RGB ที่จัดว่าให้พื้นที่ขนาดใหญ่ เลื่อนเมาส์ได้ลื่นไหล ถักทอแน่น พร้อมไฟ RGB ลิงก์กันกับเมาส์ คีย์บอร์ด และหูฟังจาก HyperX ได้ ซิงก์แสงไฟกันได้ต่อเนื่อง ราคาประมาณ 1,390 บาท เท่านั้น

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: HyperX


from:https://notebookspec.com/web/691460-hyperx-alloy-origins-pbt-keyboard

รีวิว LOGA GARUDA PRO+, LOGA Shinryu Pro Wireless 2 เมาส์เทพแบรนด์คนไทย คุณภาพระดับโลก เกมเมอร์ถูกใจ!

LOGA GARUDA PRO+ และ LOGA Shinryu Pro Wireless เกมมิ่งเกียร์คนไทยคุณภาพระดับโลก!

ReviweLogaMouse jpg

LOGA GARUDA PRO+ และ LOGA Shinryu Pro Wireless เมาส์เกมมิ่งแบรนด์ไทยคุณภาพดีเทียบชั้นเมาส์เกมมิ่งชั้นนำจากต่างประเทศได้สบายๆ ซึ่งผู้เขียนเคยแนะนำไปในบทความแนะนำเมาส์เกมมิ่งก่อนหน้านี้ และผู้เขียนเชื่อว่าเกมเมอร์ชาวไทยน่าจะคุ้นเคยและได้ยินชื่อแบรนด์นี้ไปจับมือสร้างสินค้าร่วมกับแบรนด์และศิลปินชั้นนำหลายแบรนด์ เช่น CARNIVAL, INDIGOSKIN, Benzilla เป็นต้น ด้านคุณภาพและฟีเจอร์ของเกมมิ่งเกียร์จาก LOGA ก็ถือว่าอยู่ในระดับชั้นแนวหน้า ไม่แพ้แบรนด์จากต่างประเทศแน่นอน อย่างเช่นเมาส์เกมมิ่ง LOGA GARUDA PRO+ และ LOGA Shinryu Pro Wireless ในรีวิวครั้งนี้

Advertisementavw

เริ่มจากเกมมิ่งเมาส์เรือธงของทาง LOGA รุ่น LOGA Shinryu Pro Wireless ราคา 3,190 บาท เป็นเมาส์เกมมิ่งดีไซน์เรียบง่าย บอดี้กึ่งโปร่งใสมีไฟ RGB สามารถถอดเปลี่ยนสวิตช์แบบ Hot Swap ทั้งปุ่มคลิ๊กซ้ายและขวาแถมยังมีสวิตช์สำรองแถมมาอีก 4 คู่ ให้ผู้ใช้เปลี่ยน Pretravel ได้ตามรสนิยมของแต่ละคน แถมมีอุปกรณ์สำหรับถอดเปลี่ยนปุ่มมาในกล่องอีกด้วยและยังมีฝาหลังสำรองเอาไว้เปลี่ยนความสูงของ Shinryu Pro Wireless ให้เข้ากับมือของแต่ละคน โดยทางบริษัทเคลมไว้ว่าเมาส์นี้จะเหมาะกับคนชอบจับแบบ Claw หรือ Fingertip Grip เป็นหลัก นอกจากนี้ยังมีซอฟท์แวร์ของทาง LOGA ไว้ปรับแต่งเมาส์ได้ด้วย

ด้าน LOGA GARUDA PRO+ ราคา 2,990 บาท รุ่นนี้ก็โดดเด่นไม่แพ้กับ Shiryu Pro Wireless เพราะทางบริษัทออกแบบให้เมาส์ตัวนี้ถอดแบตเตอรี่ในตัวออกมาชาร์จแล้วใส่แบตฯ สำรองที่ชาร์จจนเต็มเข้าไปแทนแล้วเล่นเกมต่อได้ทันที แถมยังมีฝาหลังสำรองให้เปลี่ยนอีก 3 ชิ้น ทั้งแบบฝาหลังเรียบและฉลุ หลังโด่งและลาดลงให้เลือกได้ตามต้องการและมีซอฟท์แวร์ปรับตั้งค่าจากทาง LOGA ให้โหลดไปใช้ได้เช่นกัน จัดว่ามีจุดเด่นน่าใช้ไปคนละสไตล์ตามที่ผู้ใช้แต่ละคนชอบได้เลย

LOGA Shinryu Pro Wireless 

NBS Verdicts

LOGA GARUDA PRO+

LOGA GARUDA PRO+ และ LOGA Shinryu Pro Wireless เป็นเมาส์เกมมิ่งแบรนด์ไทยที่น่าใช้ทั้งคู่ โดยแต่ละรุ่นก็จะมีจุดเด่นแตกต่างกันไปและมีซอฟท์แวร์ของทาง LOGA แยกเฉพาะของเมาส์เกมมิ่งแต่ละตัวเอาไว้เปลี่ยนฟังก์ชั่นของปุ่มต่างๆ บนเมาส์, ไฟ RGB, เซฟมาโครปุ่มใช้งานบ่อยเอาไว้กดใช้งานได้ตามต้องการ จัดว่าค่อนข้างครบเครื่องสำหรับเกมเมอร์ส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้แล้ว

จุดเด่นของเมาส์เกมมิ่งทั้งสองตัวนี้นอกจากการเปลี่ยนสวิตช์คลิ๊กซ้ายขวาของ Shinryu Pro Wireless และถอดเปลี่ยนแบตเตอรี่ออกมาชาร์จได้ของ GARUDA PRO+ แล้ว การเชื่อมต่อไร้สายด้วย USB 2.4GHz Dongle ของทั้งสองรุ่นตอบสนองได้ยอดเยี่ยม รวดเร็วทันใจพอกับเมาส์เกมมิ่งจากแบรนด์ชั้นนำระดับโลกหลายๆ รุ่น แถมยังใช้เซนเซอร์คุณภาพดีระดับโลกอย่าง PAW 3395 ทั้งคู่ ปรับค่า DPI ไปได้สูงสุด 26,000 DPI ความเร็วสูงถึง 650 IPS เท่ากับเมาส์เกมมิ่งชั้นนำจากต่างประเทศหลายๆ รุ่น แถมงานประกอบเมาส์ยังแข็งแรงทนทานมากและอาจจะดีกว่าแบรนด์เกมมิ่งจากต่างประเทศบางรุ่นเสียด้วยซ้ำ

จุดน่ารักของเมาส์เกมมิ่งจาก LOGA ทั้ง 2 รุ่น และถือเป็นความใส่ใจของทางบริษัท ต้องยกให้อุปกรณ์เสริมในกล่องทั้งฝาหลังเมาส์ถอดเปลี่ยนได้ 2~4 แบบ และยังได้ Mouse Feet (Glide) แถมมาให้อีกชุดเป็นอุปกรณ์สำรองเวลาใช้งานไปนานๆ แล้วของเดิมติดเมาส์เริ่มเสื่อมใช้งานได้ไม่ดีเท่าเดิมก็ถอดเปลี่ยนได้ด้วยตัวเองอีกด้วย จัดเป็นความใส่ใจเล็กๆ น้อยๆ แต่น่าประทับใจจากแบรนด์ LOGA ซึ่งผู้เขียนชื่นชอบมาก

กลับกัน จุดสังเกตจากที่ได้ใช้เมาส์เกมมิ่งมาหลากหลายรุ่น อย่างแรกคือเมาส์ทั้งสองรุ่นนี้จะใช้ซอฟท์แวร์แยกกันคนละตัว ถ้าเป็นแบรนด์ชั้นนำส่วนใหญ่จะทำซอฟท์แวร์รวมเอาไว้ตัวเดียวเพื่อรองรับเกมมิ่งเกียร์ทุกตัวในเครือ ทั้งเมาส์, คีย์บอร์ด, หูฟังเกมมิ่ง ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องลบโปรแกรมลงใหม่เรื่อยๆ แค่ต่ออุปกรณ์เข้าเครื่อง โปรแกรมจับได้ว่าอุปกรณ์ชิ้นนั้นเป็นรุ่นใดแล้วโหลดการตั้งค่าจากโรงงานผ่าน Cloud มาใช้งานได้เลยเป็นต้น หากทาง LOGA พัฒนาส่วนของซอฟท์แวร์ด้วยตัวเองเช่นนี้จะยอดเยี่ยมมาก

หากเป็นไปได้ ผู้เขียนมีความเห็นว่าถ้า LOGA จะออกเมาส์รุ่นใหม่ก็น่าเอาฟีเจอร์ถอดแบตเตอรี่ของ GARUDA PRO+ มารวมกับฟีเจอร์ถอดสวิตช์ได้ของ Shinryu Pro Wireless ให้เป็นเมาส์รุ่นใหม่ ถอดแยกชิ้นส่วนได้แทบทั้งหมดปรับแต่งได้ตามต้องการน่าจะถูกใจเกมเมอร์สายแกะถอดชิ้นส่วนหรือปรับแต่งเมาส์ตามใจชอบอย่างแน่นอน

ข้อดีของ LOGA GARUDA PRO+ และ LOGA Shinryu Pro Wireless
  1. งานประกอบเมาส์แข็งแรงทนทานเหมือนแบรนด์ชั้นนำจากต่างประเทศ
  2. มีซอฟท์แวร์ตั้งค่าเมาส์ทั้งไฟ RGB, บันทึกมาโคร, ปรับเปลี่ยนปุ่มให้โหลดมาใช้งาน
  3. ใช้เซนเซอร์ PAW 3395 ปรับได้ 26,000 DPI ทำงานได้รวดเร็วแม่นยำมาก
  4. ใช้งานแบบไร้สายด้วย USB 2.4GHz Dongle ไม่มีสายเมาส์ติดให้กวนใจ
  5. พอร์ตของเมาส์เป็น USB-C แล้ว หาสายเชื่อมต่อหรือชาร์จใช้งานได้ง่ายมาก
  6. มีฝาหลังเมาส์สูงต่ำ 2~4 แบบ ให้ถอดเปลี่ยนได้ตามรูปมือของเจ้าของเมาส์
  7. แถม Mouse Feet (Glide) มาในแพ็คเกจอีก 1 ชุด ถอดเปลี่ยนอันเก่าได้ตามต้องการ
  8. Shinryu Pro Wireless ใช้วัสดุ Polycarbonate แข็งแรงทนทานน่าใช้
  9. Shinryu Pro Wireless ถอดสวิตช์เมาส์ได้แบบ Hotswap ได้ เปลี่ยนสวิตช์ได้ตามชอบ
  10. Shinryu Pro Wireless ได้สวิตช์แถมมาให้เปลี่ยน 4 คู่ ถอดเปลี่ยนได้ตามต้องการ
  11. GARUDA PRO+ ถอดแบตเตอรี่มาชาร์จได้ด้วยสาย USB-C ใช้งานได้ต่อเนื่องไม่สะดุด
  12. GARUDA PRO+ ได้ฝาหลังถอดเปลี่ยน 4 แบบ มีแบบฉลุหลังหรือเรียบให้เลือก
ข้อสังเกตของ LOGA GARUDA PRO+ และ LOGA Shinryu Pro Wireless
  1. ซอฟท์แวร์ทำแยกตามรุ่นเมาส์ ไม่ได้ทำรวมเกมมิ่งเกียร์แบบแบรนด์ชั้นนำ
  2. แบตเตอรี่ของ GARUDA PRO+ ต้องชาร์จด้วยไฟจาก USB ของคอมเท่านั้น
  3. สวิตช์ GARUDA PRO+ เลื่อนเปิดปิดไม่ถนัด น่าทำเป็นขีดให้ใช้เล็บดันได้แบบ Shinryu Pro 

รีวิว LOGA GARUDA PRO+ และ LOGA Shinryu Pro Wireless

Specification

GarudaShinryu DSC01237

LOGA เมาส์เกมมิ่งแบรนด์ไทยคุณภาพระดับโลก ณ ปัจจุบันนี้มีรุ่นเรือธงน่าใช้ทั้งหมด 2 รุ่น ได้แก่ Shinryu Pro Wireless และ GARUDA PRO+ ซึ่งทั้ง 2 รุ่นนี้มีจุดเด่นแตกต่างกันตามดีไซน์ โดยมีรายละเอียดสเปคดังนี้

สเปคของ LOGA GARUDA PRO+
Sensor&DPI PAW 3395 ปรับได้ 26,000 DPI, 650 IPS
Battery Life 44 ชั่วโมง 300mAh ถอดเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้
Switch Huano Blue shell Pink dot switch 80M
Weight&Game Style 69 กรัม เล่นได้ทุกแนวโดยเฉพาะ FPS
Software ซอฟท์แวร์ของทาง LOGA
Price 2,990 บาท
สเปคของ LOGA SHINRYU PRO WIRELESS
Sensor&DPI PAW 3395 ปรับได้ 26,000 DPI, 650 IPS
Battery Life 44 ชั่วโมง ความจุ 300mAh 
Switch แบบ Hot-Swap เลือกได้

Huano blue shell white dot, TTC gold, Kailh 8.0, Omron 20M

Weight&Game Style 69 กรัม เล่นได้ทุกแนวโดยเฉพาะ FPS
Software ซอฟท์แวร์ของทาง LOGA
Price 3,190 บาท

Unboxing

GarudaShinryu DSC01142

กล่องสินค้าของ LOGA ไม่ว่าจะ LOGA Shinryu Pro Wireless หรือ LOGA GARUDA PRO+ จะไม่ใช่ภาพเมาส์ปริ้นท์ติดหน้ากล่อง แต่เป็นงานอาร์ทสวยงามพร้อมเขียนฟีเจอร์เด่นเอาไว้ข้างกล่อง เพื่อบอกจุดเด่นของเมาส์เกมมิ่งแต่ละรุ่นว่ามีอะไรบ้าง เมื่อเปิดกล่องแล้วจะเห็นเมาส์และอุปกรณ์เสริมอื่นๆ เก็บเอาไว้ในช่องโฟมตัดแยกพอดีตัว โดยจะมี 3 ช่อง ได้แก่ ช่องใส่เมาส์, ช่องเก็บสาย USB-C แบบสายถักและมีเข็มขัดยางรัดสายไฟ ด้านล่างเป็นกรอบเก็บอุปกรณ์เสริมต่างๆ ไม่ว่าจะฝาหลังเมาส์สำรอง, Mouse Feet (Glide), กล่องใส่สวิตช์เสริมของ Shinryu Pro Wireless และอื่นๆ ด้วย

GarudaShinryu DSC01245

GarudaShinryu DSC01260
GarudaShinryu DSC01256
GarudaShinryu DSC01251
GarudaShinryu DSC01250
GarudaShinryu DSC01247
GarudaShinryu DSC01248

ภายในกล่องของ Shinryu Pro Wireless นอกจากตัวเมาส์แล้ว ในกล่องจะมีอุปกรณ์เสริมใส่มาให้หลายชิ้น ได้แก่ ฝาหลังเมาส์แบบหลังโด่งหรือลาด, Mouse Feet สำรองสีขาวและแบบใสบนแผ่นกาวสีเหลือง, กล่องใสใส่สวิตช์ 4 คู่ บนโฟมสีดำ พร้อมคีมคีบสวิตช์และไขควง ภายในกล่องจะมี Huano blue shell white dot สีฟ้าขีดขาว, TTC gold สวิตช์สีส้ม, Kailh 8.0 สวิตช์ดำโครงบนใส, Omron 20M สวิตช์สีดำทึบขีดขาว เอาไว้ถอดเปลี่ยนกับ Huano Blue shell Pink dot switch 80M ภายในเมาส์ได้หากสัมผัสตอนใช้งานไม่ถูกใจหรือต้องการการตอบสนองที่เร็วขึ้น

ด้านสายถัก USB-C ในกล่องจะมีเข็มขัดยางรัดเก็บสายติดมาให้ จะต่อใช้กับเมาส์โดยตรงก็ได้หรือจะเข้ากับตัวแปลง USB-C to A ของ LOGA แล้วเอามาวางหน้าเมาส์ให้ระยะสัญญาณของ USB 2.4GHz Dongle อยู่ใกล้เมาส์ก็ได้เช่นกัน เป็นอุปกรณ์เสริมซึ่งเมาส์เกมมิ่งหลายๆ รุ่นในยุคนี้นิยมทำกัน เพราะหากตัวรับส่งสัญญาณอยู่ใกล้เมาส์ก็ยิ่งตอบสนองได้ดีนั่นเอง

GarudaShinryu DSC01141

ด้าน LOGA GARUDA PRO+ ก็เช่นกัน โดยหน้ากล่องจะเป็นงานอาร์ทรูปครุฑแบบหุ่นยนต์ ดูล้ำสมัยไม่แพ้กับกล่องของ Shinryu Pro Wireless และมีจุดเด่นของเมาส์เขียนเอาไว้ข้างกล่อง เปิดมาแล้วจะมีเมาส์, สายถัก USB-C, หัวแปลง USB-C to A และ USB 2.4GHz Dongle ในตัวและอุปกรณ์เสริมอื่นๆ ของตัวเมาส์อีกด้วย

GarudaShinryu DSC01288

GarudaShinryu DSC01287
GarudaShinryu DSC01306
GarudaShinryu DSC01289
GarudaShinryu DSC01316

ด้าน Mouse Feet (Glide) ของ GARUDA PRO+ จะเป็นแผ่นสีน้ำเงิน 3 แผ่น เอาไว้ติดขอบบนและล่างอย่างละแผ่นและมีวงตรงกลางสำหรับล้อมเซนเซอร์เอาไว้ มีกรอบหลังแถมมาให้เปลี่ยนอีก 3 รวมกับตัวเมาส์เป็น 4 ชิ้น แบ่งเป็นกรอบหลังโด่งและหลังราบลง มีทั้งแบบฉลุกรอบหลังกับแผ่นเรียบให้เลือกเปลี่ยนได้ตามความชอบของผู้ใช้แต่ละคนและแบตเตอรี่ลูกสำรองสำหรับสลับใช้งานกับแบตฯ ลูกหลัก ชาร์จด้วยสาย USB-C ที่แถมมาให้ในกล่องหรือจะต่อแยกก็ได้ แต่ทาง LOGA แนะนำให้ชาร์จแบตเตอรี่ของเมาส์ GARUDA PRO+ กับพอร์ต USB ของพีซีเท่านั้น เพื่อป้องกันกระแสไฟเกินแล้วทำให้แบตเตอรี่เกิดความเสียหายนั่นเอง

Design, Weight, Grip

GarudaShinryu DSC01148

GarudaShinryu DSC01262
GarudaShinryu DSC01264
GarudaShinryu DSC01266
GarudaShinryu DSC01263

ดีไซน์ของ LOGA Shinryu Pro Wireless ทางบริษัทออกแบบให้เป็นเมาส์ตูดโก่งเล็กน้อยให้เหมาะกับการจับทุกรูปแบบ แต่จะเน้นสไตล์ Claw หรือ Fingertip Grip เป็นหลัก แต่ถ้าใครชอบจับแบบ Palm Grip ก็ถอดเปลี่ยนฝาหลังเมาส์ให้ราบลงเล็กน้อยให้นาบมือไปทั้งตัวเมาส์ได้ ตัวเมาส์ทำจากวัสดุโพลีคาร์บอเนต เป็นพลาสติกเนื้อกึ่งโปร่งใสโทนสีเทาควันบุหรี่และท้ายเมาส์มีโลโก้ของ LOGA ติดเอาไว้บนแผงสีขาว ซึ่งทั้งแผงนั้นจะเป็นไฟ RGB และปรับได้ในซอฟท์แวร์ของทางบริษัท ด้านหน้าเมาส์เป็นพอร์ต USB-C สำหรับต่อใช้งานแบบมีสายและชาร์จแบตเตอรี่ให้เมาส์ได้ด้วย สามารถชาร์จด้วยอแดปเตอร์ของสมาร์ทโฟนได้แต่ควรเป็นแบบ 5V1A ให้จ่ายกระแสได้พอดีกับตัวเมาส์

ตัวเมาส์จากรูปลักษณ์เป็นแบบ False Ambidextrous เหมือนเมาส์เกมมิ่งหลายๆ รุ่นในปัจจุบัน กล่าวคือเป็นเมาส์จับถนัดทั้งมือซ้ายและขวาแต่ปุ่ม Back/Forward ติดไว้ข้างซ้ายตัวเมาส์เอื้อคนถนัดมือขวามากกว่า แต่คนถนัดซ้ายก็ใช้งานได้แต่ต้องใช้นิ้วนางกดแทน

GarudaShinryu DSC01258

GarudaShinryu DSC01260
GarudaShinryu DSC01281

การเปลี่ยนฝาหลังของ LOGA Shinryu Pro Wireless แกะเปลี่ยนได้ง่ายมาก แค่เอาเล็บสะกิดที่ร่องตะเข็บท้ายเมาส์ถัดลงมาจากโลโก้ของ LOGA ก็ถอดเปลี่ยนเอาฝาหลังอันใหม่ใส่ใช้งานได้เลยและหยิบเอา USB 2.4GHz Dongle มาใช้งานได้ หากใครจับแบบ Claw, Fingertip Grip จะเหมาะกับฝาหลังโด่ง ด้าน Palm Grip จะเหมาะกับฝาหลังโค้งลงมากกว่า และเมื่อสับสวิตช์เปิดเมาส์จะมีไฟ RGB ติดขึ้นมาบนแผงสีขาวบนตัวเมาส์ด้วย

ปุ่มต่างๆ บนตัวเมาส์ นอกจากคลิ๊กซ้าย, ขวาและสกรอล์เมาส์ตรงกลาง ถัดลงมาจะมีปุ่มปรับค่า DPI ด้านข้างซ้ายเป็นปุ่ม Back/Forward เอาไว้ให้กดใช้งาน ซึ่งปุ่มทั้งหมดบนเมาส์สามารถตั้งค่าด้วยโปรแกรมจากทาง LOGA ได้อีกด้วย

GarudaShinryu DSC01275

GarudaShinryu DSC01279
GarudaShinryu DSC01278
GarudaShinryu DSC01280

ด้านใต้ LOGA Shinryu Pro Wireless จากด้านบนจะเป็น Mouse Feet ตัวเล็ก ถัดลงมาเป็นช่องสล็อตของสวิตช์คลิ๊กซ้ายขวาให้ผู้ใช้ถอดเปลี่ยนได้ด้วยตัวเอง ตรงกลางเมาส์มีช่องเซนเซอร์ PAW 3395 คู่กับสลักสวิตช์เลื่อนเปิดปิดเมาส์ สามารถเลื่อนสวิตช์ปรับโปรไฟล์ได้ 3 แบบ เป็น P1, P2, P3 และด้านล่างเป็นโค้ง Mouse Feet ตัวใหญ่อีกชิ้น

ด้านการถอดเปลี่ยนสวิตช์ทำได้ง่ายไม่ยุ่งยากและดีต่อเกมเมอร์คลิ๊กเมาส์หนักอย่างแน่นอน แค่เอาเล็บสะกิดสลักด้านล่างยกขึ้นบนก็ดึงรางสวิตช์ออกจากเมาส์ได้แล้ว แต่มีระยะไม่มากเพราะมีสายไฟต่อกับตัวฐานเอาไว้ หากใครอยากเปลี่ยนจากสวิตช์ Huano blue shell pink dot ในตัวเมาส์ก็เอาคีมในกล่องหนีบสวิตช์ของเมาส์แล้วดึงขึ้นตรงๆ แล้วเอาสวิตช์อันใหม่ใส่กลับไปใช้งานต่อได้เลย

ภายในตลับสวิตช์สำรองจะมี Huano blue shell white dot สีฟ้าขีดขาวสัมผัสเบาเสียงไม่ดัง ทริกเกอร์เร็วปานกลาง, TTC gold สวิตช์สีส้มเสียงดังสัมผัสกดค่อนข้างเบา, Kailh 8.0 สวิตช์ดำโครงบนใส น้ำหนักกดน้อยเสียงก้องได้อารมณ์, Omron 20M สีดำทึบขีดขาว น้ำหนักกดเบาเสียงก้องแบบมาตรฐานเมาส์เกมมิ่งหลายๆ รุ่นในปัจจุบัน ซึ่งข้อดีของเมาส์แบบถอดเปลี่ยนสวิตช์ Hot Swap ได้เช่นนี้จะเหมาะกับเกมเมอร์สาย FPS มาก เนื่องจากบุคลิคการกดของแต่ละคนจะแตกต่างกัน ตัวอย่างเช่นผู้เขียนเองเป็นคนกดเมาส์หนักและเร็ว ทำให้คลิ๊กซ้ายเกิดอาการ “เบิ้ล” เร็ว จะซ่อมเองก็ไม่สะดวกนัก แต่ LOGA Shinryu Pro Wireless ก็ตัดปัญหานี้ทิ้งได้เลย ถ้าปุ่มเสียก็ถอดทิ้งใส่อันใหม่ใช้งานต่อได้ทันที ยิ่งมีสวิตช์สำรองแถมมาให้อีก 4 คู่ ก็ตัดปัญหาเรื่องนี้ได้เลย

GarudaShinryu DSC01146

GarudaShinryu DSC01311
GarudaShinryu DSC01310
GarudaShinryu DSC01313
GarudaShinryu DSC01315

ดีไซน์ของ LOGA GARUDA PRO+ หากดูเทียบกันกับ Shinryu Pro Wireless จะเห็นว่าเมาส์ตัวนี้จะยาวและลาดกว่า ใช้บอดี้เป็นสีดำทึบกับปุ่มสีแดง มีไฟ RGB ติดอยู่เช่นกันแต่จะเรืองแค่โลโก้ LOGA ในตัวเมาส์และโค้งท้ายเมาส์เท่านั้น ด้านหน้าเมาส์มีพอร์ต USB-C เอาไว้ใช้งานแบบมีสายก็ได้ หรือใช้งานแบบไร้สายก็ต่อ USB 2.4GHz Dongle เข้ากับตัวแปลงแล้วลากสายมาวางเอาไว้หน้าเมาส์ได้เช่นกัน

ปุ่มบนตัวเมาส์จะเป็นเลย์เอ้าท์เดียวกับ Shinryu Pro Wireless คือ มีปุ่มคลิ๊กซ้ายขวา, สกอร์ลเมาส์กลาง ถัดลงมาเป็นปุ่มปรับ DPI ของเมาส์และด้านข้างติดปุ่ม Back/Forward มาให้ใช้งานด้วย โดยปุ่มทั้งหมดตั้งค่าในโปรแกรมของทาง LOGA ได้เช่นกัน รวมถึงเอฟเฟคของไฟ RGB ของเมาส์อีกด้วย ว่าต้องการให้แสงไฟเป็นแบบไหน

GarudaShinryu DSC01293
GarudaShinryu DSC01292
GarudaShinryu DSC01294
GarudaShinryu DSC01295

จุดเด่นของ GARUDA PRO+ อย่างแรก คือ ทางบริษัทให้ฝาหลังเมาส์สำรองมา 3 แบบ รวมทรงรังผึ้งที่ติดมาจากโรงงานเป็น 4 แบบ ให้ผู้ใช้ถอดเปลี่ยนได้ตามชอบ ว่าต้องการให้ดีไซน์และสัมผัสตอนจับเมาส์เป็นแบบใด โดยฝาหลังแบบทึบจะมีทั้งหลังราบลงและหลังโด่งขึ้นเล็กน้อย ส่วนฝาหลังฉลุช่องเอาไว้ทั้งสองแบบถ้าเป็นทรงรังผึ้งจะเป็นฝาหลังลาดลง และฝาหลังวงรีสลับจุดจะเป็นหลังโด่ง ต้องถือว่าทาง LOGA ให้อุปกรณ์เสริมกับ GARUDA PRO+ มาเยอะไม่แพ้กับ Shinryu Pro Wireless เลย ส่วนสไตล์การจับทางบริษัทดีไซน์มาเน้นสาย Palm Grip เป็นหลัก แต่ส่วนตัวผู้เขียนเองจะจับแบบ Claw Grip ก็จับได้ดีและนิ้วชี้กับกลางก็วางปุ่มคลิ๊กซ้ายขวาได้พอดีไม่แพ้กัน

GarudaShinryu DSC01309

Mouse Feet (Glide) ด้านใต้ตัวเมาส์ของ GARUDA PRO+ จะเป็นแผ่นใหญ่ 2 แผ่นบนล่างสีขาวและแบบวงกลมเล็กล้อมเซนเซอร์กลางเมาส์เอาไว้ สามารถแกะเปลี่ยนเป็นตัวแถมจากโรงงานสีน้ำเงินก็ได้หรือจะใช้เป็นตัวสำรองเพื่อเปลี่ยนตอนอันเดิมจากโรงงานเสื่อมสภาพก็ได้ ถัดมาด้านขวาเมาส์จะมีสวิตช์ปิดเปิดเมาส์ติดมาให้ โดยสลักบนสุดเป็นการปิดเมาส์ไม่ใช้งาน ถัดลงมาเปิดไฟตรงโลโก้ LOGA ในเมาส์ หรือด้านล่างสุดจะเปิดไฟ RGB เต็มระบบ

GarudaShinryu DSC01300

GarudaShinryu DSC01302
GarudaShinryu DSC01307
GarudaShinryu DSC01308

ฟีเจอร์จุดเด่นอีกอย่างของ GARUDA PRO+ คือ การถอดเอาแบตเตอรี่ในเมาส์มาชาร์จแล้วใส่แบตฯ สำรองเข้าไปเพื่อเล่นเกมต่อได้ เวลาชาร์จทาง LOGA แนะนำให้ชาร์จผ่านทางพอร์ต USB ของพีซีให้กระแสไฟไม่แรงเกินไปจนแบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็ว ถัดลงมาจากรางแบตเตอรี่จะมีช่องใส่ USB 2.4GHz Dongle ของเมาส์นี้อีกด้วย เวลาจะพกเมาส์ไปไหนมาไหนก็ใส่เข้าช่องนี้แล้วพกไปใช้งานได้เลย

การถอดและใส่แบตเตอรี่ให้เอาเล็บเกี่ยวดึงครีบปลายแบตเตอรี่ขึ้นมาแล้วดึงออกได้ทันที เวลาใส่กลับให้หันขั้วแบตเตอรี่คว่ำลงตามภาพแล้วดันเข้าไปจนสุดแล้วกดเล็กน้อยให้ท้ายแบตเตอรี่เข้ากรอบใส่แบตฯ ก็ใช้งานต่อได้ทันที ทำให้เล่นเกมได้ต่อเนื่องไม่ขาดตอน

GarudaShinryu IMG20230310171313
GarudaShinryu IMG20230310171252

น้ำหนักของเมาส์ทั้งสองรุ่น ทางบริษัทเคลมข้อมูลเอาไว้บนหน้าสเปคเอาไว้เท่ากัน คือ 69 กรัม บวกลบ 3 กรัม เมื่อชั่งน้ำหนักแล้ว GARUDA PRO+ อยู่ที่ 72 กรัม รวมแบตเตอรี่ในตัวแล้ว ส่วน Shinryu Pro Wireless เป็น 73 กรัม ถ้าเทียบกับเมาส์เกมมิ่งระดับราคาใกล้เคียงกันที่อยู่ช่วง 80 กรัมแล้ว ต้องถือว่าเมาส์เกมมิ่งทั้งสองรุ่นนี้เบาใช้ง่าย ถ้าใครจับแบบ Fingertip Grip ก็ลากเมาส์ไปมาได้สะดวกไม่มีปัญหา เชื่อว่าถูกใจเกมเมอร์ทุกกลุ่มโดยเฉพาะเกมเมอร์สาย FPS Competitive น่าจะถูกใจอย่างแน่นอน

GarudaShinryu DSC01152

Palm Grip

GarudaShinryu DSC01153
GarudaShinryu DSC01154

วิธีการจับเมาส์ทั้ง 3 แบบ เมื่อลองจับ GARUDA PRO+ จากที่ลองจับทั้ง 3 แบบดูแล้ว ต้องถือว่าเหมาะกับการจับแบบ Palm Grip ตามที่ LOGA เคลมเอาไว้ แต่อีกสไตล์ที่จับได้ดีไม่แพ้กันคือ Fingertip Grip เนื่องจากน้ำหนักของมันเบาสามารถเอานิ้วโป้งและนิ้วนางคีบเมาส์ลากไปมาได้ง่ายๆ ส่วน Palm Grip ก็จับเข้ามือดีไม่แพ้กัน แต่ข้อสังเกตคือถ้าใช้ฝาหลังแบบฉลุช่องเอาไว้จะมีพื้นที่หน้าสัมผัสเข้าอุ้งมือน้อยไปนิดหน่อย ทำให้บางจังหวะจับแล้วลื่นหลุดมือได้บ้างแต่ถ้าเปลี่ยนเป็นฝาหลังทึบตามปกติก็ไม่มีปัญหา

GarudaShinryu DSC01149

Palm Grip

GarudaShinryu DSC01150
GarudaShinryu DSC01151

ด้าน LOGA Shinryu Pro Wireless นั้นจะเหมาะกับสไตล์การจับแบบ Claw หรือ Fingertip Grip ซึ่งในส่วนนี้ขึ้นอยู่กับรูปแบบของฝาหลังเมาส์ด้วย หากใช้ฝาหลังแบบลู่ลงตามตัวเมาส์จะเหมาะกับ Fingertip ซึ่งใช้ปลายนิ้วแตะเมาส์เท่านั้น ด้าน Palm Grip ก็จะทาบมือเข้าตัวเมาส์ได้เลย ส่วนท้ายโด่งเหมาะกับสไตล์ Claw Grip เพราะท้ายเมาส์จะแนบติดอุ้งมือพอดีแล้วโก่งนิ้วแตะเข้าปุ่มคลิ๊กเมาส์ได้เลย

Software

Shinryu 1

Shinryu 2
Shinryu 3
Shinryu 4
Shinryu 5
Shinryu 6

หน้าตาโปรแกรมของ LOGA สำหรับเมาส์เกมมิ่งทั้ง Shinryu Pro Wireless หรือ GARUDA PRO+ จะมีหน้าตาและฟังก์ชั่นค่อนข้างคล้ายกัน โดยหน้าแรกของทั้งสองตัวจะเริ่มจากหน้าตั้งค่าปุ่มต่างๆ บนตัวเมาส์ ว่าต้องการให้แต่ละปุ่มทำงานอย่างไรและมีตัวเลขกำกับเอาไว้ทั้งหมดเป็นเลข 1~6 ให้ตั้งคำสั่งใหม่ให้แต่ละปุ่มบนเมาส์ได้

ถัดมาเป็นหน้าต่างตั้งค่า DPI แบบบาร์เลื่อนปรับค่า ค่าเริ่มต้นเป็น 400/800/1,600/2,400/3,200/6,400 DPI ตั้งค่าต่ำสุดได้ 50 DPI เพิ่มครั้งละ 50 DPI ดันไปจนสุดที่ 26,000 DPI ถ้าเปิดคำสั่ง DPI Effect จะมีไฟเอฟเฟคติดขึ้นมาตรงกรอบสี่เหลี่ยมหลังปุ่มปรับค่า DPI ตามสีที่ตั้งค่าเอาไว้ มีเอฟเฟคไฟ Steady หรือ Breathing แถมตั้งค่า USB Polling Rate ได้ 4 ระดับ คือ 125/250/500/1,000Hz

2 หน้าสุดท้ายมีคำสั่งเซฟค่ามาโครและปรับไฟ RGB ซึ่ง Shinryu Pro Wireless จะเปลี่ยนเอฟเฟคที่ลูกโดมสีขาวท้ายเมาส์ให้เป็นเอฟเฟคที่ต้องการได้ ด้าน GARUDA PRO+ จะเป็นเส้นขอบท้ายเมาส์แทน มีเอฟเฟคให้เลือก 6 แบบ มี Steady, Breathing, Streaming, Neon, Single color flow, Colorful breathing หรือจะปิดไฟทิ้งไปก็ได้เช่นกัน 

 

garuda 1

garuda 2
garuda 3
garuda 4
garuda 5

จากการใช้งาน ส่วนตัวผู้เขียนถือว่าหน้าตาของโปรแกรมทั้งสองตัวนี้สำหรับเมาส์ทั้งสองรุ่นมีฟังก์ชั่นแทบไม่ต่างกัน จะต่างกันเล็กน้อยแค่ชื่อรุ่นเมาส์และรูปเมาส์ในหน้าโปรแกรมเท่านั้น แต่ฟังก์ชั่นในโปรแกรมเหมือนกันแทบทั้งหมด และจากที่ลองเช็คหน้าเว็บไซต์ของทาง LOGA แล้วก็เห็นว่าทางบริษัทก็มีเกมมิ่งเกียร์กลุ่มคีย์บอร์ดด้วย ซึ่งถ้าทางบริษัทจะเปิดตัวเกมมิ่งเกียร์รุ่นใหม่ในอนาคตก็น่าเปลี่ยนระบบให้เป็นโปรแกรมแพลตฟอร์มกลางรวมเกมมิ่งเกียร์ทั้งหมดเอาไว้ในตัวแล้วให้ตัวโปรแกรมคุยกับเมมโมรี่ออนบอร์ดในอุปกรณ์ชิ้นนั้นๆ  แล้วดึงการตั้งค่าจากโรงงานขึ้นมาให้แล้วเปิดให้เกมเมอร์ตั้งค่าเกมมิ่งเกียร์ชิ้นนั้นๆ ได้ตามต้องการจะดีที่สุด

User Experience

GarudaShinryu DSC01144

โดยองค์รวมแล้ว ไม่ว่าจะ Shinryu Pro Wireless หรือ GARUDA PRO+ ทั้งสองรุ่นนั้นเป็นเกมมิ่งเมาส์ที่น่าใช้งานทั้งคู่ ทั้งตั้งค่า DPI ได้สูงถึง 26,000 DPI เอาไว้เล่นเกมแนวต่างๆ ได้เป็นอย่างดีและตั้งค่าให้มันทำงานได้ดีไม่แพ้กับเมาส์เกมมิ่งจากแบรนด์ชั้นนำหลายๆ รุ่นจากต่างประเทศเลย แถมเมาส์แต่ละรุ่นก็มีจุดเด่นของมันอย่างชัดเจนอีกด้วย

สำหรับ Shinryu Pro Wireless เป็นเมาส์เกมมิ่งสำหรับคนจับเมาส์แบบ Claw, Fingertip Grip เป็นหลัก มีฟีเจอร์เด่นคือสามารถถอดเปลี่ยนสวิตช์คลิ๊กซ้ายขวาได้ตามต้องการ ซึ่งฟีเจอร์นี้ดีกับเกมเมอร์สาย FPS ที่กดคลิ๊กซ้ายบ่อยๆ แล้วปุ่มเสื่อมเร็วอย่างแน่นอนยิ่งถ้ากดแรงยิ่งเห็นผลว่าปุ่มเบิ้ลเร็วมาก แต่ในกรณีนี้ก็ไม่ต้องกลัวเพราะเราสามารถถอดสวิตช์ที่เสียทิ้งไปแล้วเอาตัวสำรองในตลับเก็บสวิตช์มาใส่แทนได้เลย หรือถ้าใครอยากได้จังหวะทริกเกอร์ปุ่มและความเร็วตอบสนองตอนกดปุ่มแตกต่างจากปุ่มเดิมจากโรงงานก็ถอดเปลี่ยนเอาสวิตช์สำรองมาเปลี่ยนได้เช่นกัน ทำให้เปลี่ยนสัมผัสตอนคลิ๊กได้ตามชอบ ดีต่อเกมเมอร์ที่ชอบการถอดเปลี่ยนชิ้นส่วนอุปกรณ์ของเมาส์ตัวเองไปมาอย่างแน่นอน

ถ้าเป็น GARUDA PRO+ ก็เหมาะกับเกมเมอร์สายเล่นเกมนานหลายชั่วโมงแล้วไม่อยากต่อสายเล่นเกมมาก เพราะทางบริษัทให้แบตเตอรี่มา 2 ก้อน แยกเป็นตัวหลักในเมาส์และแบตฯ สำรองในกล่อง จะใช้แบบปล่อยให้แบตฯ เสื่อมก้อนต่อก้อนก็ดีเพราะตอนมีปัญหาก็หยิบก้อนสำรองมาใส่แทนได้ทันทีแล้วค่อยสั่งแบตเตอรี่ลูกใหม่มาเตรียมเอาไว้ หรือใช้สลับกันไปมาก็ใช้งานแบบไร้สายได้ต่อเนื่องไม่เสียจังหวะเลย แถมยังมีฝาหลังสำรองให้เปลี่ยนตามชอบด้วย จัดว่าดีใช้เล่นเกมได้ทุกแนวอย่างแน่นอน และถ้าใครเป็นคนมือใหญ่ชอบจับเมาส์แบบ Palm Grip ก็น่าจะถูกใจเจ้า GARUDA PRO+ แน่นอน เพราะตัวมันยาวจับถนัดมือมาก

ด้านเซนเซอร์และการใช้งานจริงถือว่าเซนเซอร์ PAW 3395 ตอบสนองได้เร็วยอดเยี่ยมและคม ลากได้เร็วไม่มีไถลเกินระยะที่ต้องการแม้แต่นิดเดียว ทำให้ตอนเล่นเกมสามารถลากเป้ายิงคู่แข่งได้แม่นยำ ด้านการใช้งานอื่นๆ ก็ตั้งโปรไฟล์แยกไว้ใช้ได้ทั้งทำงานและเล่นเกม โดยเฉพาะ Shinryu Pro Wireless จะเลื่อนสวิตช์เปลี่ยนโปรไฟล์ได้ถึง 3 โปรไฟล์ หากต้องการเซฟโปรไฟล์แยกตามเกมที่เล่นหรือรูปแบบการใช้งานก็ทำได้ง่ายมากๆ ด้าน GARUDA PRO+ ก็ทำได้เช่นกัน และราคาของแต่ละรุ่นก็ถือว่าไม่แพงมาก ด้าน Shinryu Pro Wireless ก็แค่ 3,190 บาท ส่วน GARUDA PRO+ ก็เพียงแค่ 2,990 บาทเท่านั้น เมื่อเทียบสเปคกับฟีเจอร์แล้วต้องถือว่าราคาคุ้มค่าน่าซื้อมาใช้มากๆ

อย่างไรก็ตาม จุดสังเกตของเมาส์ทั้งสองรุ่นนี้ คือซอฟท์แวร์แยกเฉพาะของเมาส์แต่ละตัวที่มีหน้า User Interface (UI) เหมือนกันมาก ต่างกันแค่หน้าตาเมาส์กับโลโก้ของมันเท่านั้น หากทาง LOGA ปรับแต่งให้มันเป็นโปรแกรมแบบแพลตฟอร์มรวมเกมมิ่งเกียร์แทนจะดีมาก ส่วนตัวผู้เขียนเสนอว่าถ้าต่อไปทาง LOGA จะออกเมาส์เกมมิ่งรุ่นใหม่อีกตัว อาจเอาจุดเด่นของ Shinryu Pro Wireless และ GARUDA PRO+ มารวมกันให้กลายเป็นเมาส์เกมมิ่งตัวเดียวที่แบบถอดสวิตช์และแบตเตอรี่ได้หมด ให้ฝาหลังมารวม 4 ชิ้น ให้เกมเมอร์ถอดเปลี่ยนได้ตามชอบแล้วเพิ่มราคาไปราว 1,000 บาท ก็ยังถือว่าน่าสนใจ เพราะมีเกมเมอร์ที่อยากซ่อมและปรับแต่งเมาส์ได้ตามใจชอบก็มีตัวเลือกที่เป็นตัวท็อปของรุ่นให้หาซื้อได้

Summary

GarudaShinryu DSC01139

LOGA GARUDA PRO+ และ LOGA Shinryu Pro Wireless ถือเป็นเกมมิ่งเมาส์คุณภาพดีแบรนด์คนไทยสองรุ่นที่มีจุดเด่นแตกต่างกันไป อย่าง Shinryu Pro Wireless สามารถถอดสวิตช์เปลี่ยนได้ตามต้องการ ส่วน GARUDA PRO+ ก็ถอดสลับแบตเตอรี่สองลูกใช้งานได้ต่อเนื่องและเปลี่ยนฝาหลังเมาส์ได้อีก 3 แบบ ซึ่งฟีเจอร์ของเมาส์ทั้งสองรุ่นนี้หากเป็นแบรนด์ต่างประเทศราคาอาจสูงราว 4~5,000 บาท แต่ทาง LOGA ทำราคาให้อยู่ในเรทที่จับต้องได้เพียง 2-3 พันบาทเท่านั้น และงานประกอบถือว่าเทียบชั้นแบรนด์ต่างประเทศได้สบายๆ และราคาก็ย่อมเยาว์กว่าอย่างชัดเจน หากใครมีแผนอยากเปลี่ยนเมาส์เกมมิ่งตัวเดิมที่ใช้งานมานานจนหมดสภาพ ก็แนะนำให้ลองดูแบรนด์ LOGA เอาไว้ได้เลย

award

NBS award Innovation

best innovation

เมาส์เกมมิ่งทั้งสองรุ่นมีฟีเจอร์น่าใช้งานให้เลือกได้ตามชอบ รุ่นหนึ่งถอดสวิตช์ อีกรุ่นถอดแบตฯ ในตัวเปลี่ยนได้ตามใจชอบ ซึ่งในประเทศไทยมีเมาส์เกมมิ่งไม่กี่รุ่นที่ทำแบบนี้ได้และถ้าทำให้ราคาเข้าถึงง่ายเช่นนี้ยิ่งหายาก ถ้าใครต้องการเมาส์เกมมิ่งฟีเจอร์ล้ำๆ เอาไว้ใช้ก็แนะนำให้ดูเมาส์ทั้งสองรุ่นนี้ได้เลย

award new Gaming

best gaming

สัมผัสและประสบการณ์การเล่นเกมถือว่าดีมาก เซนเซอร์ PAW 3395 ของเมาส์ทั้งสองรุ่นนี้ปรับค่าได้สูงสุดถึง 26,000 DPI และเซนเซอร์ก็ถือว่าคมตอบสนองดีทันใจอีกด้วย หากใครหาเมาส์เกมมิ่งดีๆ ไว้ทำงานและเล่นเกม เซฟโปรไฟล์แยกใช้งานได้ก็ดูเมาส์รุ่นนี้ไว้ได้เลย

from:https://notebookspec.com/web/691061-review-loga-garuda-pro-loga-shinryu-pro

สาวก Star Wars ห้ามพลาด Xbox Console ออก Limited edition พิเศษ ในธีม ‘The Mandalorian’ ฉลองการเปิดตัวซีซั่น 3

Xbox ร่วมมือกับ Lucasfilm เปิดตัว Xbox Console สุดพิเศษมาในธีม ‘The Mandalorian’ เฉลิมฉลองการเปิดตัวซีซั่น 3 ของซีรีส์ยอดฮิตที่ได้รับกระแสตอบรับในเชิงบวกไปทั่วโลก เรียกได้ว่าสวยงามมาก การดีไซน์มาในโทนสีเขียวให้เข้ากับเบบี้โยดา พร้อมลวดลายแมนดาลอเรียนสุดเท่  และสำหรับใครที่เป็นคอหนัง หรือซีรีย์ดังของ Star Wars อย่าพลาด

การกลับมาอีกครั้งสำหรับ Mandalorian และ Grogu ในการผจญภัยบนเรื่องราวมหากาพย์ที่อยู่ในกาแลคซีครั้งใหม่ ไปจนถึงการต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตสุดมหัศจรรย์ ทาง Xbox และ Lucasfilm จึงร่วมมือกัน เปิดตัว Xbox Series S & X Limited edition ธีมพิเศษที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Mandalorian พร้อม Controller ที่ถอดแบบมากจาก Grogu สวมฮูดดี้สีน้ำตาลสุดน่ารัก พร้อมให้แฟน ๆ ทั่วโลกได้ชิงรางวัลกัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคมถึง 11 พฤษภาคม 2023 นี้

สำหรับ The Mandalorian ซีซัน 3 ได้เผย ตัวอย่างแรกไปเมื่อ  16 มกราคมนี่เอง เนื้อเรื่องภายในยังคงเล่าถึงเหตุการณ์ที่ชาวแมนดาลอร์ หรือตัวเอกของเราได้ตัดสินใจถอดหมวกให้คนอื่นเห็นใบหน้าของตัวเอง ซึ่งผิดกฎของลัทธิอย่างร้ายแรง และเป็นเหตุให้เขาถูกขับไล่จึงต้องออกผจญภัยในเรื่องราวบทใหม่เดินทางไปยังดาวบ้านเกิดของชาวแมนดาลอร์เพื่อชำระล้างความผิด และนั่นเองคือจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง เรียกได้ว่าเป็นผลงานจากจักรวาล Star Wars ที่ได้เสียงตอบรับไปในแง่บวกจนล้นหลาม

และถ้าใครยังไม่เคยดู ลองไปหามาชมกันได้ สนุกแน่นอนแต่ละตอนเข้มข้นไม่พอยังมีฉากต่อสู้ให้เราลุ้นตลอด

 

ที่มา : Xbox The Mandalorian

from:https://droidsans.com/xbox-mandalorian-star-wars-gaming-gear-collaboration/

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย 10 รุ่น ปี 2023 ท่องเน็ต เทรดหุ้น ลื่นไหล ดีไซน์สวย แบตอึด

เมาส์ไร้สาย 10 รุ่น 2023 หลักร้อย สวย แบตอึด เล่นเน็ต ดูหนัง ทำงานในบ้านหรือที่ทำงานก็เพลิน

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย จัดว่าเป็นไอเทมยอดฮิตของคนทำงาน ที่ชอบความสะดวก ใช้งานง่าย พกพาไปใช้นอกสถานที่ก็แสนสบาย เพราะขนาดเล็ก และส่วนใหญ่ใช้ถ่านก้อนเดียว ก็ใช้กันจนลืมและปี 2023 นี้ เราก็ได้รวบรวมเมาส์ Wireless น่าใช้มาให้คุณได้เลือก 10 รุ่นด้วยกัน จากทั้งหมด 8 ค่าย มีทั้งมิติที่มีความกระทัดรัด แบตอึด ใช้ได้นาน หรือบางรุ่นก็เป็น 2 ระบบ ใช้ได้ทั้ง Wireless และ Bluetooth รวมถึงเน้นที่ดีไซน์ที่สวยงาม เพื่อให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมที่นำไปใช้ในโอกาสต่างๆ ได้ดีอีกด้วย ให้ความละเอียดมากพอสำหรับงานในบ้าน เช่น ทำเอกสาร ท่องเน็ตและเทรดหุ้น ไปจนถึงใช้ในสำนักงาน กับซอฟต์แวร์ออฟฟิศ การทำพรีเซนเทชั่น ไปจนถึงการนำเสนองาน มาชมกันครับว่า มีรุ่นใดที่ถูกใจคุณกันบ้าง

เมาส์ไร้สาย

  1. Philips SPK7344
  2. Anitech W226
  3. RAPOO M100
  4. Microsoft MBL 1850
  5. Logitech M190
  6. GENIUS NX-7015
  7. Logitech M221
  8. Xiaomi Mi Wireless
  9. Lenovo 530
  10. Logitech M331B

1.Philips SPK7344

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

ถ้ามองในแง่ของความเป็นเมาส์ไร้สายมินิมอล ราคาประหยัด จับกระชับมือ กับบอดี้ที่มาความโค้งไม่มากนัก ทำให้พกพาง่าย เหมาะกับคนที่ชอบจับแบบ Grip หรือ Claw เน้นปลายนิ้วกด ใช้ได้ทั้งมือซ้ายและขวา ให้ระยะการกดได้ประมาณ 3 ล้านครั้ง ปุ่มกดที่ตอบสนองไว วัสดุเป็น ABS ผิวเรียบลื่น จับสบายมือ แถมยังให้ความละเอียดมาถึง 1600DPI เมาส์ไร้สายรุ่นนี้ ตอบโจทย์ได้ดี เหมาะกับคนที่ชอบท่องเน็ต เล่นเกมออนไลน์เบาๆ ใช้ถ่านแบบ AA 1 ก้อน และรับประกัน 2 ปี ราคาประมาณ 219 บาทเท่านั้น

Advertisementavw
จุดเด่น ข้อสังเกต
ราคาประหยัด ดีไซน์ค่อนข้างเรียบง่าย
ให้ความละเอียดถึง 1600 DPI

ข้อมูลเพิ่มเติม: Philips


2.Anitech W226

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

เป็นเมาส์ไร้สายในราคาเบา หลักร้อย ที่ออกแบบรูปทรงมาได้ทันสมัยเลยทีเดียว และยังรองรับได้ถึง 2 ระบบ ทั้ง Wireless และ Bluetooth ทำให้ใช้งานได้กับพีซี โน๊ตบุ๊คและสมาร์ทโฟน หรือแท็ปเล็ตกับรูปทรงกระทัดรัด ไซส์ขนาดกลาง รองรับการใช้งานทั้งมือซ้ายและขวา ทนทานต่อการคลิ๊กได้ถึง 5 ล้านครั้ง จุดเด่นอยู่ที่นอกจากปุ่มซ้าย-ขวา ที่ออกแบบมาให้มีเสียงที่เบา และ Scroll wheel ที่มีให้เป็นพื้นฐาน ยังเพิ่มปุ่มตั้งค่า DPI ได้ถึง 3 ระดับ ตั้งแต่ 800, 1200 และ 1600 DPI พร้อมปุ่มมาโครที่อยู่ด้านข้าง ใช้งานร่วมกับถ่าน AA 1 ก้อน ราคา 359 บาท กับการรับประกัน 2 ปี

จุดเด่น ข้อสังเกต
ขนาดกระทัดรัด
ต่อได้ทั้ง WiFi และ Bluetooth

ข้อมูลเพิ่มเติม: Anitech


3.RAPOO M100

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

เมาส์ไร้สายราคาดี แถมยังต่อได้ 2 ระบบ ทั้ง Bluetooth และ Wireless แบตใช้ได้ยาวถึง 9 เดือน ใครที่มองหาเมาส์กระทัดรัด ดีไซน์ทันสมัย จับกระชับมือรุ่นนี้ตอบโจทย์ได้ดีทีเดียว แม้จะมาในไซส์เล็กๆ เหมาะกับมือสาวๆ แต่ก็ปรับความสูง ให้เข้ากับอุ้งมือได้ดี ปุ่มคลิ๊กเสียงค่อนข้างเบา แต่กดได้หนักแน่น ให้การตอบสนองที่ 1300 DPI เป็นเซ็นเซอร์ในแบบออพติคอล โดยเลือกเชื่อมต่อได้ง่าย ระยะเวลาใช้งานได้ถึง 9 เดือนด้วยกัน ใช้ถ่านแบบ AA 1 ก้อนเท่านั้น พร้อมปุ่มสลับโหมดสัญญาณใต้เมาส์ ราคา 399 บาท รับประกัน 2 ปี

จุดเด่น ข้อสังเกต
เชื่อมต่อได้ 2 ระบบ มิติค่อนข้างเล็ก
เซ็นเซอร์ 1300 DPI

ข้อมูลเพิ่มเติม: RAPOO


4.Microsoft MBL 1850

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

เมาส์ Wireless ของไลฟ์สไตล์ ทำงาน และความบันเทิง ที่ค่อนข้างโดดเด่นมีให้เลือก 7 โทนสีด้วยกัน เน้นที่การพกพา กับขนาดกระทัดรัด แต่ออกแบบให้มีความโค้งด้านท้าย ลาดลงต่ำมายังด้านหน้า ทำให้การจับกระชับขึ้น ใช้งานได้ทั้งมือซ้ายและขวา กับพื้นผิวพลาสติกแบบลื่น แต่จับได้ถนัด ปุ่มคลิ๊ก 3 ปุ่ม ให้อารมณ์ในการคลิ๊กได้สนุก Scroll wheel เป็นจังหวะ ไม่ไหลฟรี เพราะมีระดับการกดไม่ลึกมาก เหมาะกับการท่องเน็ตและเช็คข้อมูล ใช้แบตจากถ่าน AA 1 ก้อน ระยะเวลาในการใช้งานได้นานถึง 6 เดือน เก็บตัวรับส่งสัญญาณด้านใต้ได้เลย พร้อมปุ่มเปิด-ปิด ราคา 430 บาท รับประกัน 3 ปี

จุดเด่น ข้อสังเกต
ปุ่มกดตอบสนองไว แบตใช้นาน 6 เดือน
รับประกัน 3 ปี

ข้อมูลเพิ่มเติม: Microsoft


5.Logitech M190

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

เมาส์กึ่งเกมมิ่งสไตล์ ที่มีขนาดค่อนไปทางใหญ่ แต่ยังอยู่ในไซส์ของการพกพา ถือว่าเป็นรุ่นยอดฮิตอีกรุ่นหนึ่ง ซึ่งจับถือได้สบายมือ โดยทาง Logitech เลือกเทรนด์ของการใช้วัสดุรีไซเคิล แต่ก็ทำให้ดูทันสมัย จุดเด่นคือ แบตใช้งานได้ 18-24 เดือน ใช้ถ่านแบบ AA 1 ก้อน และปุ่มคลิ๊กที่ทนทาน กดตื้น ตอบสนองไว มีปุ่มเปิดปิด และซ่อนตัว USB รับส่งสัญญาณด้านใต้ได้ การรับประกัน 1 ปี ราคา 449 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ดีไซน์ทันสมัย จับถนัดมือ
แบตใช้งานได้นาน

ข้อมูลเพิ่มเติม: Logitech


6.GENIUS NX-7015

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

เมาส์ไร้สาย ราคาหลักร้อยอีกรุ่นหนึ่ง ที่ดีไซน์ออกมาได้น่าสนใจเลยทีเดียว กับความโค้งเว้า ให้จับถนัดมือ จุดโค้งรับอุ้งมือ ค่อนข้างสูง ความยาวเหมาะกับทั้งชายและหญิง และใช้ลวดลายมาเสริม ทำให้ดูน่าใช้ จุดขายไม่ได้อยู่ที่ฟังก์ชั่นเพียงอย่างเดียว แต่ยังเสริมลูกเล่นให้ปรับ DPI ผ่านซอฟต์แวร์ได้อีกด้วย ปรับเซ็นเซอร์ได้ถึง 1600 DPI มีเมาส์ฟีตด้านล่างขนาดใหญ่ ปุ่มคลิ๊กซ้ายขวามีขนาดใหญ่ กดได้แม่นยำ แต่จะมีระยะการกดที่ลึกลงหน่อย รวมถึง Scroll wheel ที่ดูใหญ่พอสมควร แต่ก็ใช้งานได้ดี ใช้ถ่านแบบ AA 1 ก้อน พร้อมปุ่มเปิดปิด เพื่อประหยัดแบต รับประกัน 3 ปี ราคา 499 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
เมาส์ขนาดกลาง จับกระชับมือ Scroll wheel ค่อนข้างใหญ่
ปรับ DPI ผ่านซอฟต์แวร์ได้

ข้อมูลเพิ่มเติม: GENIUS


7.Logitech M221

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

เป็นเมาส์ไร้สายที่มีให้เลือกแบบวาไรตี้มาก กับดีไซน์ที่กระชับ กระทัดรัด พกพาสะดวก วัสดุถือว่าดีในราคาไม่ถึง 500 บาท Logitech ชูในเรื่องของการลดเสียงรบกวนในเวลาทำงานได้มากขึ้น กับความโค้งรับอุ้งมือได้ดี แต่อาจจะเหมาะกับมือสาวๆ ที่เล็ก เนื่องจากความยาวไม่มากนัก ปุ่มหลัก 3 ปุ่ม พื้นฐาน กับการตอบสนองที่ 1000DPI กับเซ็นเซอร์แบบออพติคอล ใช้พลังงานจากแบต AA เพียงก้อนเดียว สามารถใช้งานได้นานถึง 18 เดือนด้วยกัน สามารถเก็บตัวรับส่งสัญญาณได้ในตัวเมาส์อีกด้วย พร้อมสวิทช์เปิด-ปิด ตรงนี้ผมคิดว่าสำคัญมากๆ สำหรับเมาส์แบบพกพาเช่นนี้ เคาะราคาอยู่ที่ 499 บาท รับประกัน 3 ปี

จุดเด่น ข้อสังเกต
มีปุ่มเปิด-ปิด มิติเมาส์ค่อนข้างเล็ก
ใช้ได้นาน 18 เดือน

ข้อมูลเพิ่มเติม: Logitech


8.Xiaomi Mi Wireless

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

เมาส์ไร้สายขนาดกลางที่ออกแบบมาสำหรับคนเอเซียโดยเฉพาะ สามารถจับได้ทั้งแบบ Claw และ Palm Grip ใช้ได้ทั้งมือซ้ายและขวา โดยมีปุ่มกดที่ให้ความหนักแน่น เสียงค่อนข้างเบา เหมาะกับสายทำงานเป็นหลัก เคลื่อนไหวได้ลื่นไหล กับเมาส์สเกตด้านใต้ขนาดใหญ่ จุดเด่นคือ รองรับการเชื่อมต่อทั้ง Wireless และ Bluetooth เช่นเดียวกับปุ่มกดด้านข้าง ที่เสริมเข้ามาให้ปรับใช้งานได้มากขึ้น ใช้ถ่านแบบ AAA จำนวน 2 ก้อน ให้การรับประกัน 1 ปี กับราคา 499 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ใช้ได้ทั้ง Wireless และ Bluetooth ขนาดค่อนข้างใหญ่
ใช้ถ่านแบบ AAA 2 ก้อน

ข้อมูลเพิ่มเติม: Xiaomi


9.Lenovo 530

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

ถ้าคุณมีงบสัก 500 นิดๆ คิดว่าเมาส์รุ่นนี้ มีดีให้คุณจับต้องได้ กับดีไซน์ที่จับกระชับมือ ในโทนสีที่ดูทันสมัย พื้นผิวเป็นแบบซอฟท์ทัช ที่ดูเป็นกันเองจับถนัด ขนาดกลางๆ ใช้ได้ทั้งมือซ้ายและขวา ความโค้งตรงอุ้งมือ เหมาะกับคนที่ชอบความเรียบง่าย ไม่ได้ใส่ปุ่มมาโครด้านข้างมาด้วย เคลื่อนไหวได้แม่นยำกับเซ็นเซอร์ออพติคอล 1200DPI และปุ่มเมาส์ ที่ให้การคลิ๊กได้ระดับ 8 ล้านครั้ง ใช้ถ่านแบบ AA ก้อนเดียว ใช้ได้นานประมาณ 12 เดือน ราคาอยู่ที่ 590 บาท รับประกัน 1 ปี

จุดเด่น ข้อสังเกต
เซ็นเซอร์ 1200 DPI
รองรับการคลิ๊กได้ 8 ล้านครั้ง

ข้อมูลเพิ่มเติม: Lenovo


10.Logitech M331

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

แต่ถ้าใครชอบสไตล์ที่จับกระชับมือ มีเว้าในส่วนของ Grip ให้ถนัดมากขึ้น อาจจะช่วยให้เลื่อนได้ไว และเล่นเกมได้ในบางโอกาส รุ่นนี้ถือว่าน่าสนใจ ขนาดใกล้เคียงกับ M221 แต่จะเป็นแบบใช้มือขวา ด้านข้างออกแบบให้มีพื้นผิวจับถนัด ด้านหลังจากโค้งลาดลงเล็กน้อย และยังคงเป็น Silence Mouse คือลดเสียงคลิ๊กลงถึง 90% และใช้บนพื้นผิวต่างๆ ได้ดี ด้วยการใช้เซ็นเซอร์ออพติคอล 1000DPI ในส่วน Scroll mouse รองรับการคลิ๊กได้ โดยใช้พลังงานจากถ่าน AA เพียงก้อนเดียว ใช้ได้ยาวถึง 24 เดือน ที่สำคัญตัวเมาส์รองรับ Unifying ได้อีกด้วย ราคา 590 บาท การรับประกัน 1 ปี

จุดเด่น ข้อสังเกต
จับกระชับมือ เน้นผู้ใช้มือขวา
แบตใช้ได้นาน 24เดือน

ข้อมูลเพิ่มเติม: Logitech


Conclusion

Model Sensor Wireless Buttons Dimension (mm) Battery Batt life (Month) Price
1.Philips SPK7344 1600DPI 2.4GHz 3 101 x 61 x 33 1x AA 219
2.Anitech W226 1600DPI 2.4GHz,/ Bluetooth 5 103 x 65 x 37 1x AA 359
3.RAPOO M100 1300DPI 2.4GHz,/ Bluetooth 3 98 x 61 x 38 1x AA 9 399
4.Microsoft MBL 1850 1600DPI 2.4GHz 3 100 x 58.1 x 32 1x AA 6 430
5.Logitech M190 1000DPI 2.4GHz 3 115.4 x 66 x 40.3 1x AA 18 449
6.GENIUS NX-7015 1600DPI 2.4GHz 3 100 x 58 x 38.5 1x AA 499
7.Logitech M221 1000DPI 2.4GHz 3 99 x 60 x 39 1x AA 18 499
8.Xiaomi Mi Wireless 1200DPI 2.4GHz,/ Bluetooth 4 103 x 65 x 37 2x AAA 499
9.Lenovo 530 Wireless 1200DPI 2.4GHz 3 120 x 197 x 33 1x AA 12 590
10.Logitech M331 1000DPI 2.4GHz 3 105.4 x 67.9 x 38.4 1x AA 24 590

สำหรับเมาส์ไร้สาย หลักร้อยที่นำมาให้ได้ชมกันในวันนี้ เรียกว่าเป็นส่วนหนึ่งของเมาส์อีกมากมายเลยทีเดียว ที่จะช่วยตอบโจทย์การใช้งานของหลายคนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยากได้ความคล่องตัว เพราะลดความวุ่นวายจากสายที่พันกันยุ่งเหยิง และไม่ทำให้โต๊ะทำงานที่อาจจะมีพื้นที่น้อยนิดดูรกอีกด้วย การเลือกใช้ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการ เพราะเมาส์แต่ละรุ่น ก็มีความโดดเด่นต่างกันออกไป เช่น เน้นราคา Philips ให้คุณได้ หรือต้องการมิติเล็กกระทัดรัด Genius, Microsoft และ Logitech M221 ให้การพกพาได้ดี แต่ในเรื่องความสะดวกในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่หลากหลาย Xiaomi, Rapoo และ Anitech รองรับได้ทั้ง Wireless และ Bluetooth และเรื่องแบตอึด เท่าที่ข้อมูลของแต่ละค่ายระบุมา ส่วนใหญ่จะเกิด 6 เดือนต่อการใช้แบต AA 1 ก้อน แต่จะมี Logitech ที่ส่วนใหญ่จะเกิน 12 เดือนขึ้นไป แต่ในส่วนนี้ก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้งานด้วยครับ ใครที่กำลังมองหาเมาส์เล็กๆ ต่อไร้สาย สไตล์น่ารักเหล่านี้ ก็ลองเข้าไปดูรายละเอียดที่ใส่ลิงก์เอาไว้ให้กันครับ

from:https://notebookspec.com/web/686108-10-wireless-mouse-under-1k-2023

เพื่อชาวเกมเมอร์? มีคนพบหน้าจอตั้งค่าไฟ RGB ใน Settings ของ Windows 11 Insider

มีผู้ใช้ทวิตเตอร์ชื่อ Albacore ค้นพบหน้าจอตั้งค่าไฟ RGB ของอุปกรณ์เกมมิ่ง ในแอพ Settings ของ Windows 11 Insider Build 25295 ที่เพิ่งออกในสัปดาห์นี้

การตั้งค่า Lighting อยู่ในหมวด Personalization โดยจะแสดงรายการอุปกรณ์ที่รองรับไฟ RGB เช่น เมาส์และคีย์บอร์ด สามารถตั้งค่าความสว่าง สี (ตั้งแต่สีเดียว สีรุ้ง สีรุ้งกลับด้าน) ความเร็วของการแสดงไฟ และสามารถตั่งค่าสีให้ตรงกับ accent color ของ Windows ได้ด้วย

ไมโครซอฟท์ยังไม่ประกาศฟีเจอร์นี้ต่อสาธารณะ แต่คาดว่าความนิยมของไฟ RGB ในช่วงหลังๆ ทำให้ไมโครซอฟท์เล็งเห็นว่าทำแล้วคุ้ม มีคนใช้เยอะนั่นเอง

ที่มา – Windows Central

No Description

from:https://www.blognone.com/node/132594

รีวิว Razer Naga V2 Pro เปลี่ยนกรอบได้เล่นเกมก็เทพ งานก็รุ่ง! ปุ่มมาโครเพียบ เร็วสะใจ 30,000 DPI ราคา 7,490 บาท

Razer Naga V2 Pro พญานาคปุ่มมาโครรุ่นใหม่ ดุดันไม่เกรงใจใคร! เล่นเกมก็เทพทำงานก็รุ่ง!!

Razer Naga V2 Pro 1

Razer Naga V2 Pro เกมมิ่งเมาส์รุ่นใหม่ในตระกูล Naga ซึ่งตั้งต้นจากการเป็นเมาส์เพื่อเกม MOBA โดยเฉพาะ แต่เมื่อเทคโนโลยีและดีไซน์ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ดีไซน์ของเมาส์ตระกูล Naga ก็ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ จากเมาส์พร้อมปุ่มมาโคร 12 ปุ่มข้างตัวแบบเดียว ก็สามารถแกะถอดฝาเปลี่ยนจำนวนปุ่มให้ลดลงเป็น 6 หรือ 2 ปุ่มให้เหมาะกับสไตล์เกมที่เล่นได้ง่ายๆ ตั้งค่าไฟ RGB หรือการทำงานของปุ่มแต่ละปุ่มบนตัวเมาส์ได้ในโปรแกรม Razer Synapse 3 และ Razer Chroma ได้ด้วย

Advertisementavw

ด้านจุดเด่นน่าสนใจของเมาส์นี้ นอจากการเปลี่ยนกรอบฝาข้างแล้วทาง Razer ได้เสริมฟีเจอร์ดีๆ เข้ามาใน Razer Naga V2 Pro อีกเพียบ ทั้งปุ่มเปลี่ยนไฟ RGB ออนบอร์ดบนตัวเมาส์, ปุ่มปรับโหมดสกรอล์เมาส์ Razer HyperScroll Pro ให้สัมผัสตอนใช้งานต่างจากลูกล้อทั่วไปถึง 6 แบบ ได้แก่ Standard ใช้ตามแบบสกรอล์เมาส์ทั่วไป, Distinct ลูกล้อมีความแข็งฝืนนิ้วมาก, Ultra-fine สกรอล์มีความลื่นต่อเนื่องตามการเลื่อนนิ้ว, Adaptive สกรอล์เมาส์มีความแข็งฝืนนิ้วเล็กน้อยคล้ายการหมุนลูกบิด, Smooth Scroll หรือ Custom ปรับการตอบสนองได้ตามใจของผู้ใช้ว่าต้องการความแข็งและความต่อเนื่องเท่าไหร่ ก็ปรับเซ็ตได้ตามถนัดเลย

ส่วนอื่นๆ ที่ได้รับการอัพเกรด คือ Razer Naga V2 Pro ได้เปลี่ยนหัวพอร์ตของสาย Razer Speedflex จาก MicroUSB มาเป็น USB-C แทนแล้ว ทำให้หาสายชาร์จแบตให้เมาส์ได้ง่ายขึ้นและเชื่อมต่อไร้สายได้ด้วย Bluetooth หรือ Razer HyperSpeed Wireless USB Dongle ก็ได้ เปลี่ยนเซนเซอร์เป็นรุ่นใหม่ประสิทธิภาพสูงอย่าง Razer Focus Pro 30K ซึ่งตอบสนองได้เร็วและต่อเนื่องและละเอียดยิ่งขึ้น คมยิ่งกว่าเซนเซอร์ Razer Focus+ รุ่นก่อนอย่างชัดเจนแถมยังซื้ออุปกรณ์เสริมอย่าง Razer Mouse Dock Pro หรือแท่นวางเมาส์มาใช้ชาร์จแบตเมื่อใช้งานเสร็จแล้วได้ด้วยแถมยังมีลูกเล่นอย่าง Razer Wireless Charging Puck หรือเหรียญแปลงระบบเมาส์ให้ใช้กับแท่นชาร์จไร้สายหลายๆ รุ่นในปัจจุบันได้ โดยใส่แทนฝาปิดขั้วใต้เมาส์แล้วใช้งานได้ทันที จัดว่า Naga V2 Pro ตัวนี้มีลูกเล่นน่าสนใจให้เกมเมอร์ใช้งานเพียบ!

Razer Naga V2 Pro

NBS Verdicts

Razer Naga V2 Pro DSC01194

Razer Naga V2 Pro เป็นเมาส์เกมมิ่งที่แม้จะเริ่มจากเมาส์สาย MOBA แต่มันก็ถูกพัฒนาดีไซน์ให้เปลี่ยนเพลตข้างให้มีจำนวนปุ่มน้อยลงให้เข้ากับเกมสไตล์ต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะ RPG, FPS หรือจะเซ็ตคีย์ลัดเอาไว้ใช้ทำงานก็สะดวกทีเดียว ดังนั้นเจ้าของเมาส์ Razer ตัวนี้เมื่อตั้งค่ามันใน Razer Synapse 3 เสร็จก็เซฟโปรไฟล์เก็บเอาไว้ออนบอร์ดได้และกดเปลี่ยนด้วยปุ่มสลับโปรไฟล์ใต้เมาส์ได้อีกด้วย ดังนั้นถ้าใครจะใช้เมาส์ตัวเดียวเหมาทุกหน้าที่ Naga V2 Pro ก็รับหน้าที่นั้นได้สบายๆ เวลาไปทำงานก็สลับเข้าโหมด Bluetooth ต่อโน๊ตบุ๊คทำงานแล้วกลับมาบ้านก็สับสวิตช์เปลี่ยนโหมดต่อ HyperSpeed USB Dongle เปลี่ยนโปรไฟล์แล้วเล่นเกมต่อได้ทันที จ่ายทีเดียวใช้ได้ทุกหน้าที่อย่างนี้ก็ถือว่าคุ้ม

การตอบสนองของเมาส์ไม่ว่าจะใช้ Razer HyperSpeed Wireless USB หรือ Bluetooth ก็ยังตอบสนองได้รวดเร็วทันใจไม่ต่างกับการต่อด้วยสาย Razer Speedflex USB-C แม้แต่นิดเดียว ต้องถือว่าเทคโนโลยีการรับส่งข้อมูลแบบไร้สายนั้นมาถึงจุดที่ดีมากจนแทบไม่ต่างกับการใช้สาย USB แถมระยะเวลาใช้งานยังอยู่นานถึง 150~300 ชั่วโมง หากแบตเตอรี่ใกล้จะหมดก็ต่อสาย Razer Speedflex USB-C แล้วเล่นเกมต่อหรือจะซื้อแท่นชาร์จมาตั้งเอาไว้ พอจะนอนก็วางทิ้งไว้บนแท่นแล้วหยิบออกมาใช้ตอนเช้าต่อได้เลย นอกจากนี้ทางบริษัทยังออกแบบให้ Razer HyperSpeed Wireless USB ตัวเดียวรับสัญญาณจากเมาส์และคีย์บอร์ดเกมมิ่งของ Razer ได้พร้อมกัน ไม่ต้องต่อแยกให้เปลืองช่อง USB และได้ความสะดวกไปเต็มๆ

ดีไซน์ Naga V2 Pro ยังคงเหมือนกับ Naga Pro รุ่นก่อนหน้าที่ยังเอื้อมือขวาเป็นหลักและมีสันโค้งเอาไว้พาดนิ้วนางให้มีที่วางได้ถนัดมือแล้วเกมเมอร์ก็สามารถหนีบนิ้วโป้งกับก้อยเข้าหาตัวเมาส์ให้จับได้กระชับมือและนิ้วไม่พาดลงมาถึงแผ่นรองเมาส์เลย ดังนั้นตอนลากเมาส์ไปมาจึงเร็วทันใจไม่สะดุดแม้แต่น้อย แต่อย่างไรก็ตาม ตัว Razer Naga V2 Pro มีขนาดค่อนข้างใหญ่ จึงเหมาะกับเกมเมอร์มือใหญ่สักนิดถึงจะจับได้ถนัด ผิดกับ Razer Naga รุ่นก่อนๆ ที่ยังออกแบบให้เหมาะกับเกมเมอร์มือเล็กจับได้ถนัดมือด้วย ส่วนของน้ำหนักเฉพาะตัวเมาส์ 134 กรัมนั้น หากเทียบกับเมาส์เกมมิ่งแบรนด์คู่แข่งต้องถือว่ามันเป็นเมาส์เกมมิ่งที่มีน้ำหนักพอควร ไม่เหมาะกับคนจับแบบ Fingertip Grip นัก

ข้อดีของ Razer Naga V2 Pro
  1. เปลี่ยน Side Plate ข้างเมาส์ได้ 3 แบบ ปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานได้หลากหลาย
  2. ตั้งมาโครให้ปุ่มข้างเมาส์ได้มากสุด 20 ปุ่ม เหมาะกับการเล่นเกมหรือใช้กดคีย์ลัดตอนทำงานก็ได้
  3. ดีไซน์เมาส์จับถนัดมือมาก มีที่รองนิ้วนางไม่ให้ตกไปจนแตะพื้นโต๊ะจึงใช้งานได้สะดวก
  4. ตั้งโปรไฟล์ออนบอร์ดได้ 5 แบบ แยกได้ตามเกมหรือเอาไว้ทำงานก็ได้
  5. สกรอล์เมาส์สามารถปรับสไตล์การหมุนเลื่อนหน้าจอได้ 6 แบบตามต้องการ
  6. เซนเซอร์ปรับค่า DPI ได้สูงมากถึง 30,000 DPI และปรับค่า DPI ได้ละเอียดมาก
  7. แบตเตอรี่ใช้งานได้นานถึง 150~300 ชั่วโมง จัดเป็นอันดับต้นๆ ของกลุ่มเกมมิ่งเมาส์ไร้สาย
  8. มีหัวแปลง USB-C to A แถมมาให้หัวรับสัญญาณ USB ใกล้เมาส์ให้รับส่งสัญญาณได้ดีขึ้น
  9. ใช้แท่นชาร์จ Razer Mouse Dock Pro หรือ Wireless Charging Puck เพื่อชาร์จแบตได้
  10. Razer HyperSpeed Wirelesss USB ใช้รับสัญญาณจากเมาส์และคีย์บอร์ด Razer พร้อมกันได้
  11. มีโปรแกรม Razer Cortex พ่วงมาช่วยจัดการทรัพยากรเครื่องตอนเล่นเกม ช่วยเพิ่มเฟรมเรทได้
ข้อสังเกตของ Razer Naga V2 Pro
  1. ดีไซน์เน้นเกมเมอร์ถนัดมือขวาเท่านั้น ไม่ใช่ทรง Ambidextrous ที่จับถนัดได้ทั้งสองมือ
  2. เมาส์มีขนาดใหญ่และมีน้ำหนัก 136 กรัม เทียบกับแบรนด์คู่แข่งแล้วจัดว่าหนัก
  3. ราคาเมาส์ 7,490 บาท เมื่อเทียบกับแบรนด์คู่แข่งแล้วราคาสูงแต่ก็ได้ฟีเจอร์เยอะ

รีวิว Razer Naga V2 Pro

Specification

Razer Naga V2 Pro DSC01138

Razer Naga V2 Pro เป็นเมาส์เกมมิ่งรุ่นปรับแต่งดีไซน์บางส่วนจาก Razer Naga Pro ซึ่งวางขายไปก่อนหน้านี้ หากนำสเปคมาเทียบกันจะเห็นว่าบอดี้ภายนอกค่อนข้างเหมือนกันแต่รายละเอียดที่ต่างไป คือฟีเจอร์ภายในตัวเมาส์ซึ่ง Naga V2 Pro มีความโดดเด่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัดตามสเปคในตารางข้างล่างนี้

เทียบสเปค Razer Naga Naga Pro Naga V2 Pro
Dimension
(ยาว x กว้าง x สูง)
4.69″ x 2.93″ x 1.69″ 4.7″ x 2.97″ x 1.72″
Weight 134 กรัม
(เฉพาะเมาส์)
Connectivity Razer HyperSpeed
Wireless USB

Bluetooth

สาย Razer Speedflex USB

Razer HyperSpeed Wireless USB

Bluetooth

สาย Razer Speedflex USB-C

Battery Life 150 ชั่วโมง 150 ชั่วโมง (HyperSpeed)

300 ชั่วโมง (Bluetooth)

Button 10 /14 / 20 ปุ่ม เปลี่ยนฝาข้างได้ 3 แบบ

เซฟโปรไฟล์ออนบอร์ดได้ 5 แบบ

DPI สูงสุด Razer Focus+ 20,000 DPI Razer Focus Pro 30K
30,000 DPI
Speed 650 750
Acceleration 50 70
Software Razer Chroma RGB

Razer Synapse 3

Razer Chroma RGB

Razer Synapse 3

Price 3,390 บาท
(c2p_gaming gear Shopee)

*หาได้ตามร้านตัวแทนจำหน่ายเท่านั้น ปัจจุบัน Razer Official Store ยกเลิกการจำหน่ายแล้ว*

7,490 บาท
(Razer Shopee Mall)

Unboxing

Razer Naga V2 Pro DSC01140

Razer Naga V2 Pro DSC01141
Razer Naga V2 Pro DSC01142
Razer Naga V2 Pro DSC01138

กล่องเมาส์ Razer Naga V2 Pro จะมีคุณสมบัติของตัวเมาส์เขียนติดเอาไว้ด้านข้างและหลังของกล่องว่าจุดเด่นของเมาส์ตัวนี้จะมีเซนเซอร์ใหม่, สกรอล์เมาส์ HyperScroll Pro และ Optical Mouse Switch ซึ่งตอบสนองได้รวดเร็วยิ่งขึ้นและมีวิธีการเปลี่ยนกรอบข้างเพิ่มลดปุ่มมาโครของตัวเมาส์สกรีนเอาไว้ให้ แต่เมื่อเทียบหน้ากล่องจะเห็นว่าตัวกล่องรุ่นเก่าและใหม่ไม่ได้ต่างกันมาก ยกเว้นโลโก้ Razer HyperSpeed มุมบนขวามือที่หายไปและเพิ่มคำว่า V2 และทำภาพสกรีนบนกล่องให้เป็นแบบพลาสติกเนื้อมันแทนการสกรีนภาพติดลงไปตามปกติ

Razer Naga V2 Pro DSC01176

Razer Naga V2 Pro DSC01143
Razer Naga V2 Pro DSC01144
Razer Naga V2 Pro DSC01146
Razer Naga V2 Pro DSC01147

นอกจาก Razer Naga V2 Pro ในกรอบพลาสติกกับเพลตข้างเมาส์อีก 2 ชิ้นแล้ว จะมีคู่มือ, สติ๊กเกอร์, หัวแปลง USB-C to A สำหรับลากสาย Razer Speedflex USB-C เข้าแล้วต่อกับหัว USB Dongle “Razer HyperSpeed” เพื่อให้หัวรับสัญญาณ USB อยู่ใกล้กับเมาส์ที่สุดพร้อมสลักชื่อแบรนด์เอาไว้ด้วย หรือถ้าแบตเตอรี่เมาส์ใกล้หมดก็สามารถถอดสายแล้วชาร์จเมาส์ไปเล่นไปได้ด้วย ซึ่งข้อดีของมันทำให้เวลาต่อคอมพิวเตอร์ด้วย HyperSpeed สามารถรับส่งข้อมูลได้เร็วเหมือนใช้เมาส์สายแบบปกติ

ด้านอุปกรณ์เสริมที่ได้กล่าวไปข้างต้น อย่างแท่นชาร์จเมาส์ Razer Mouse Dock Pro หรือเหรียญแปลงให้รองรับการชาร์จไร้สาย Razer Wireless Charging Puck เป็นสินค้าขายแยกต่างหาก จึงไม่มีแถมมาให้ในกล่อง ซึ่งถ้าต้องการซื้อมาใช้งานก็ยังสั่งผ่านทางหน้าเว็บไซต์ Razer แล้วให้ Ship สินค้าส่งเข้ามาในประเทศไทยก็ได้เช่นกัน

Design, Weight, Grip

Razer Naga V2 Pro DSC01155

Razer Naga V2 Pro DSC01153
Razer Naga V2 Pro DSC01154
Razer Naga V2 Pro DSC01152
Razer Naga V2 Pro DSC01165
Razer Naga V2 Pro DSC01170
Razer Naga V2 Pro DSC01161

ดีไซน์ของ Razer Naga V2 Pro จะเป็นเมาส์เกมมิ่งสำหรับเกมเมอร์ถนัดขวาเท่านั้น บอดี้เมาส์จะมีปุ่มบนตัวเมาส์ทั้งหมด 8 ปุ่ม พอนับรวมกับเพลตเปลี่ยนด้านข้างก็จะมีจำนวนปุ่มเพิ่มเป็น 10 / 14 / 20 ปุ่มตามที่นำมาเปลี่ยนใช้งาน โดยทาง Razer จะติดเพลตข้าง 12 ปุ่มมาจากโรงงาน และสามารถถอดเปลี่ยนได้ตามสะดวก ส่วนด้านขวาจะเป็นกริ๊บกันลื่นติดเอาไว้และเมื่อมองด้านหน้าเมาส์จะเป็นช่องสำหรับต่อสาย USB-C เพื่อชาร์จไฟหรือต่อคอมใช้งานได้

ปุ่มบนตัวเมาส์ นอกจากคลิ๊กซ้ายขวาแล้ว จุดที่เป็นปุ่มกดใช้งานได้จะมีสกอรล์เมาส์ที่สามารถกดคลิ๊กลงตรงๆ หรือดันซ้ายขวาก็ได้ และปุ่มที่ถัดเข้ามาจากสกรอล์เมาส์จะมี 2 ปุ่ม โดยปุ่มแรกที่มีเครื่องหมายลูกศรชี้วนคล้ายเครื่องหมาย Refresh เอาไว้เปลี่ยน Scroll Wheel Stages หรือสไตล์การหมุนตอบสนองของลูกล้อได้ 6 แบบ ปรับแต่งใน Razer Synapse ได้ ส่วนปุ่มถัดลงมาเป็นปุ่มเปลี่ยนค่า DPI ของเมาส์ ทำงานแบบ Toggle กดแล้วเปลี่ยนทันทีและเปลี่ยนได้ 5 ระดับและจะมีหน้าต่างบอกค่า DPI ขึ้นตรงมุมล่างขวาของหน้าจอด้วย

ด้านใต้เมาส์ จะเห็นว่ามี Glide สีขาวทำจาก Polytetrafluoroethylene (PTFE) หรือเทฟล่อน 100% ให้ผู้ใช้สามารถลากเมาส์ไปมาได้อย่างลื่นไหล โดยจะติดไว้เป็นคู่บนใต้ปุ่มคลิ๊กซ้ายขวา, ล้อมกรอบเซนเซอร์ Razer Focus Pro 30K เอาไว้และรองใต้ส่วนล่างสุดของเมาส์เป็นเส้นโค้งอีกหนึ่งเส้น ซึ่ง Glide เดิมจากโรงงานก็ถือว่าลื่นกำลังดี ลากเมาส์ไปมาได้ถนัดมือมากไม่สาก และสังเกตจะเห็นว่าด้านซ้ายของเซนเซอร์จะเป็นสวิตช์เลื่อนเปลี่ยนการเชื่อมต่อระหว่าง Razer HyperSpeed USB Dongle, Bluetooth ถ้าสับเข้าตรงกลางจะเป็น OFF เพื่อปิดเมาส์ ฝั่งขวาเป็นปุ่ม Profile สามารถกดเพื่อเปลี่ยนโปรไฟล์ออนบอร์ดไปมาได้ตามถนัด หากใครใช้เมาส์ตัวเดียวทั้งทำงานและเล่นเกมก็เซฟแยกโปรไฟล์แล้วกดสลับด้วยปุ่มนี้ได้

ส่วนที่ถอดเข้าออกได้ คือแผ่นจานด้านล่างสุดสำหรับปิดขั้วสำหรับใส่เหรียญแปลงเป็นชาร์จไร้สายหรือไว้ต่อแท่นชาร์จเมาส์ก็ได้ และฝั่งขวามือของเมาส์จะมีร่องตะเข็บให้เอาเล็บเกี่ยวดึงฝาเพลตข้างออกเพื่อเปลี่ยนเป็นอันที่ต้องการได้ และ Razer ก็เอา USB 2.4GHz “HyperSpeed” มาเก็บไว้ในนี้โดยวางเป็นแนวตั้งตามภาพที่สลักเอาไว้ด้านใน

Razer Naga V2 Pro DSC01157

Razer Naga V2 Pro DSC01160
Razer Naga V2 Pro DSC01159
Razer Naga V2 Pro DSC01158
Razer Naga V2 Pro DSC01162

เพลตข้างของ Razer Naga V2 Pro จะดูดติดเข้ากับเมาส์ด้วยแม่เหล็กแรงดูดสูง 2 เม็ดซึ่งติดไว้ขอบแผ่นทั้งสองด้าน ตรงกลางเป็นหน้าสัมผัสทองเหลืองไว้เชื่อมต่อระหว่างปุ่มมาโครกับเมาส์เข้าหากันโดยมีด้านข้างตั้งแต่ 2, 6, 12 ปุ่ม โดยเฉพาะแบบ 2 ปุ่มเมื่อติดเข้ากับเมาส์แล้วจะดึงคำสั่ง Back, Forward มาใช้งานโดยอัตโนมัติ ถ้าเป็น 6, 12 ปุ่ม ต้องตั้งค่าด้วย Razer Synapse 3

เมื่อเป็นหน้าสัมผัสทองเหลืองก็อาจจะเกิดคราบความสกปรกติดขึ้นมาได้ ดังนั้นถ้าไม่ได้ใช้งานถอดเปลี่ยนบ่อยๆ ก็ขอแนะนำให้เอาเพลตที่ไม่ได้ใช้เก็บเข้ากรอบพลาสติกใส่กล่องเพื่อป้องกันความชื้นและแนะนำให้หาสเปรย์ Contact Cleaner ติดโต๊ะเอาไว้พ่นทำความสะอาดหน้าสัมผัสทองเหลืองนี้ด้วย

Razer Naga V2 Pro DSC01166

Razer Naga V2 Pro DSC01164
Razer Naga V2 Pro DSC01163
Razer Naga V2 Pro DSC01167
Razer IMG20230118124807 Copy 1

ขนาดของ Razer Naga V2 Pro ถือว่ามีขนาดใหญ่และอ้วนทีเดียว น้ำหนักจากหน้าสเปค 134 กรัม เมื่อชั่งน้ำหนักด้วยตาชั่งดิจิตอลแล้วได้น้ำหนักเมาส์อยู่ห 129 กรัม ถ้าเทียบกับเมาส์เกมมิ่งของแบรนด์คู่แข่งต้องถือว่าค่อนข้างหนัก แต่ผู้เขียนมั่นใจว่าเมาส์นี้จะตอบโจทย์เกมเมอร์บางกลุ่มอย่างแน่นอน เพราะมันจับแล้วไม่โหวงได้ความมั่นคงมาก

อย่างไรก็ตาม ขนาดตัวทรวดทรงของ Naga V2 Pro จากที่ผู้เขียนลองจับเมาส์ดูแล้วจะเหมาะกับสไตล์การจับแบบ Palm หรือ Claw Grip ที่สุด แต่คนจับแบบ Fingertip Grip เอาปลายนิ้วจับลากไปมาอาจจะรู้สึกหนักอยู่ระดับหนึ่ง ซึ่งข้อดีของ Naga V2 Pro ที่ออกแบบมาเน้นมือขวาเป็นหลัก คือเราสามารถพาดมือลงเมาส์แล้วนิ้วนางมีสันฝั่งขวามือให้ทาบนิ้วไม่ให้ลงไปถูกพื้นโต๊ะแล้วผู้เขียนสามารถหนีบนิ้วโป้งและก้อยเข้าข้างตัวเมาส์ได้เลย จึงลากเมาส์ไปมาได้เร็วไม่เหมือนกับเมาส์เกมมิ่งหลายๆ รุ่นที่ดีไซน์มาให้ใช้ถนัดทั้งมือซ้ายและขวา (Ambidextrous) เลยทำสันข้างเมาส์เสริมเข้ามาไม่ได้ ดังนั้น Naga V2 Pro จึงเหมาะกับเกมเมอร์ส่วนใหญ่ที่ถนัดขวามาก

Razer Naga V2 Pro DSC01174

Razer Naga V2 Pro DSC01168
Razer Naga V2 Pro DSC01169
Razer Naga V2 Pro DSC01172
Razer Naga V2 Pro DSC01175
Razer Naga V2 Pro DSC01173
Razer Naga V2 Pro DSC01171
Razer Naga V2 Pro DSC01138
Razer Naga V2 Pro DSC01139

ด้านความแตกต่างของ Razer Naga Pro กับ Naga V2 Pro ไม่ว่าจะกล่องหรือตัวเมาส์นั้นจะมีจุดแตกต่างกันเล็กน้อย ซึ่งหน้ากล่องของสินค้านั้นแทบไม่ต่างกันอย่างที่คิด ซึ่งวิธีการใช้งานและเลย์เอ้าท์ของภาพต่างๆ เรียกว่ายังคล้ายเดิม แต่จะมีโลโก้บางส่วนที่ถูกขยับตำแหน่งและถอดออกบ้าง ด้านตัวเมาส์จะมีจุดแตกต่างดังนี้

  • ส่วนบน : Naga V2 Pro ใช้ขอบสกรอล์เมาส์สีดำแทนสีเงิน แต่ดีไซน์โดยรวมคล้ายกัน
  • ด้านใต้ : Naga Pro มี Glide แผ่นเล็ก 4 แผ่นติดตามมุมและมี Glide กรอบสี่เหลี่ยมตรงกลางเมาส์, ปุ่มสลับโหมดการเชื่อมต่อและเปลี่ยนโปรไฟล์ติดไว้ฝั่งซ้ายถัดจากร่องสำหรับวางบนแท่นชาร์จและเปิดกรอบโชว์จุดเชื่อมต่อชาร์จเมาส์ไว้
  • ฝั่งซ้ายและขวา : ฝั่งขวาเป็นกริพกันลื่นสำหรับจับเมาส์และด้านซ้ายภายนอกเป็นชุดปุ่มมาโครเหมือนกัน แต่ภายในจะเปลี่ยนดีไซน์ที่เก็บ Razer HyperSpeed USB Dongle จากแบบเสียบแนวนอนเป็นแนวตั้งแทน
  • ด้านหน้า : เปลี่ยนพอร์ตเป็น USB-C จากสาย MicroUSB 

หากเทียบต้องถือว่าดีไซน์ของทั้งรุ่นแรกและ V2 นั้นแตกต่างกันไม่มาก ยกเว้นด้านใต้ที่เปลี่ยนดีไซน์ไปมากทีเดียว แต่ยังคงมีปุ่มสำคัญอย่างการเปลี่ยนโปรไฟล์และสลับโหมดการเชื่อมต่อติดตั้งมาให้ครบ ซึ่งจุดต่างของเมาส์ทั้งสองตัวจะเป็นสเปคภายในเมาส์เสียมากกว่า

Software

Screenshot 2023 01 18 102343

Screenshot 2023 01 18 102418
Screenshot 2023 01 18 102432

ซอฟท์แวร์ Razer Synapse 3 สำหรับปรับแต่งเกมมิ่งเกียร์ของทางบริษัททั้นสามารถโหลดมาติดตั้งแล้วเซ็ตอัพ Razer Naga V2 Pro ให้เข้ากับสไตล์การใช้งานได้ละเอียด โดยในหน้าแรกหลังจากเลือกเมาส์แล้ว หน้า UI ถือว่าสะอาดมองเข้าใจได้ง่าย ถ้ากดไอคอนรูปเมมโมรี่การ์ดข้างชื่อ Profile ก็สามารถโหลดโปรไฟล์ที่เซฟออนบอร์ดแยกไว้ทั้ง 5 แบบขึ้นมาใช้งานได้ทันที ถัดลงมาจะมีฟังก์ชั่นเปิด/ปิด Razer HyperShift ซึ่งเป็นฟังก์ชั่นเพิ่มคำสั่งเมาส์พิเศษเข้าไปอีกคำสั่งหนึ่งนอกเหนือจากที่เซ็ตเอาไว้แล้ว เช่น ถ้าปุ่มมาโครหมายเลข 1 ถูกเซ็ตให้เอาไว้กดเพิ่มเสียง เมื่อเปิด HyperShift แล้วเราสามารถเพิ่มคำสั่งพิเศษเข้าไปได้อีกคำสั่งหนึ่งเป็นลดเสียงก็ได้ แต่ผู้ใช้ต้องเซ็ตปุ่มสำหรับสลับระหว่างโหมด Standard หรือ HyperShift เอาไว้ด้วย

Screenshot 2023 01 18 102504

Screenshot 2023 01 18 102515
Screenshot 2023 01 18 102531
Screenshot 2023 01 18 102539
Screenshot 2023 01 18 102645
Screenshot 2023 01 18 102653
Screenshot 2023 01 18 102708

การเซ็ตคำสั่งให้เพลตข้างเมาส์แต่ละแบบของ Razer Synapse 3 ทำมาได้ดีและใช้สะดวกมาก โดยหน้า UI จะมีให้ผู้ใช้เลือกเลยว่าเราต้องการเซ็ตคีย์ลัดและคำสั่งใดให้เพลตไหนของ Razer Naga V2 Pro ซึ่งเราเลือกเพลตในหน้าโปรแกรม กดตัวเลขปุ่มมาโครแล้วเซ็ตได้ตามต้องการ พอเปลี่ยนเพลตแล้วเมาส์จะโหลดคำสั่งนั้นๆ ขึ้นมาใช้งานให้โดยอัตโนมัติ

ในหน้าต่างคำสั่งคีย์ลัดของ Naga V2 Pro จะมีคำสั่งให้เลือกหลากหลายแบบมาก ทั้งคำสั่งใช้งานบนคีย์บอร์ดหรือใช้ตั้งค่าการทำงานของเมาส์ก็ได้ นอกจากนี้ยังใช้สลับโปรไฟล์, ใช้กดคีย์ลัดเปิดโปรแกรมที่ต้องการใช้งาน, กด Shortcut ของ Windows หรือกดคีย์ลัดเพื่อส่งข้อความที่เซฟเอาไว้ใช้โดยเฉพาะ อย่างเช่นเอาไว้พิมพ์ประโยคใช้งานบ่อยตอนเล่นเกมกับเพื่อนก็ได้เช่นกัน

Screenshot 2023 01 18 102720

Screenshot 2023 01 18 102824
Screenshot 2023 01 18 102837

หมวด Performance จะเป็นหน้าตั้งค่า DPI ของเมาส์ว่าต้องการให้เมาส์เลื่อนเร็วหรือช้าแค่ไหน ในตัวโปรแกรมตั้งค่าพื้นฐานมาเป็น Sensitivity Stage แยกความเร็วเป็นขั้นบันไดทั้งหมด 5 ระดับ ตอนตั้งค่าให้กดกรอบ Stage ที่ต้องการแล้วจะเลื่อนค่า DPI ที่เส้นด้านล่างหรือพิมพ์ตัวเลขเข้าไปเลยก็ได้เช่นกัน

Lighting จะเอาไว้ตั้งค่าไฟ RGB ตรงโลโก้ของ Razer Naga V2 Pro ว่าจะให้สว่างหรือมืดระดับไหน โดยปรับได้ตั้งแต่ 0~100 และเลือกได้ว่าจะให้ไฟ RGB ปิดตามหน้าจอคอมหรือไม่ได้ใช้งานนานเท่าไหร่ โดยตั้งได้ตั้งแต่ 1~15 นาที รวมทั้งเซ็ตเอฟเฟคของไฟที่โลโก้ Razer ได้ด้วย

Screenshot 2023 01 18 102747
Screenshot 2023 01 18 102913

ส่วนของสกรอล์เมาส์ซึ่งเป็นจุดเด่นของ Razer Naga V2 Pro เอง ทาง Razer ก็ทำหน้าต่างแยกเอาไว้ให้โดยเฉพาะ โดยมี Scroll Wheel Stages ให้เลือก 5 แบบที่เป็นค่าจากโรงงานและ 1 โหมดเป็น Custom ให้ผู้ใช้ตั้งค่าได้ตามต้องการ ฝั่งขวาเป็นกราฟโชว์อัตราการหมุนสกรอล์ต่อความตึงของลูกล้อ (Tension) ว่าเราต้องออกแรงหมุนเยอะหรือเปล่า ซึ่งผู้ใช้สามารถดูจากกราฟด้านข้างได้เลยและถ้าจะใช้หรือไม่ใช้โปรไฟล์ไหน ก็สามารถกดเปิดปิดได้ตามต้องการ

โปรไฟล์ Custom จะเป็นโปรไฟล์พิเศษซึ่งทาง Razer ทำมาให้ผู้ใช้ปรับรูปแบบการหมุนสกรอลเมาส์ได้ด้วยตัวเอง ในตอนแรกโปรไฟล์นี้จะถูกปิดอยู่ต้องมาเปิดและตั้งในโปรแกรมถึงจะใช้งานได้ ตอนตั้งค่าจะใช้วิธีเลื่อนเพิ่มลดค่า Scroll Tension, Scroll Steps ด้านข้างหรือดึงจุดพล็อตกราฟเองเลยก็ได้ จัดว่าใช้งานได้ดีปรับสไตล์ได้ตามความชอบของผู้ใช้แต่ละคนได้เลย

Screenshot 2023 01 19 130510

จุดน่าสนใจนอกจากซอฟท์แวร์ Razer Synapse 3 แล้ว ตัวโปรแกรมจะพ่วง Razer Cortex ซอฟท์แวร์จัดการทรัพยากรคอมมาช่วย Optimize ลดการใช้แรมและจัดการโปรแกรมเบื้องหลังให้ไม่แย่งทรัพยากรตัวเครื่องเวลาเล่นเกมด้วย โดยตัวซอฟท์แวร์จะขึ้นเป็นหน้าต่าง Notificaition มุมขวาล่างของหน้าจอเพื่อบอกผู้ใช้ว่าตอนนี้ตัวซอฟท์แวร์ลดการใช้แรมในเครื่องไปแล้วกี่ GB จัดการ Optimize ไปแล้วกี่โปรแกรม ซึ่งจากที่ทดลองใช้พบว่ามันเพิ่มเฟรมเรทตอนเล่นเกมได้ระดับหนึ่ง ราว 5~10 Fps ซึ่งถือว่ามีประโยชน์ดีทีเดียว อาจนับเป็นลูกเล่นเล็กๆ น้อยๆ จากทาง Razer ก็ได้

User Experience

Razer Naga V2 Pro DSC01193

Razer Naga V2 Pro เป็นเมาส์เกมมิ่งที่ขนาดตัวใหญ่และออกแบบมาให้ใช้กับมือขวาโดยเฉพาะ ซึ่งส่วนตัวผู้เขียนเคยใช้ Razer Naga รุ่นแรกๆ เมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ พอข้ามมาจับรุ่นปัจจุบันก็รู้สึกว่าเมาส์รุ่นนี้ได้รับการพัฒนามาไกลมาก จากเมาส์ที่มีขนาดค่อนข้างเล็กจับถนัดมือและผู้หญิงใช้งานได้สบายไม่หนักมาก เป็นเมาส์เกมมิ่งตัวใหญ่เต็มมือจับถนัดและยังเปลี่ยนกรอบข้างเมาส์ได้ตามสไตล์และความถนัดได้เลย โดยเฉพาะสันเมาส์สำหรับรองรับนิ้วนางขวาในรุ่นปัจจุบันโก่งรับมือได้ดีมากแล้วนิ้วไม่ลากไปกับแผ่นรองเมาส์หรือพื้นโต๊ะ ทำให้หนีบนิ้วโป้งและก้อยเข้าข้างเมาส์แล้วลากกวาดได้สะดวกขึ้นมาก แต่ขนาด, น้ำหนัก 129 กรัมและดีไซน์ตัวเมาส์เมื่อจับแล้ว โครงเมาส์ก็แทบจะบังคับให้จับแบบ Palm หรือ Claw Grip ไปโดยปริยาย ส่วน Fingertip Grip แม้จะจับได้แต่น้ำหนักเมาส์นั้นทำให้ดึงเมาส์ไปมาไม่สะดวกเท่าที่ควร

จุดแข็งที่น่าพูดถึง คือปุ่มมาโครข้างเมาส์ซึ่งเซ็ตตั้งค่าเรียกโปรแกรมหรือคำสั่งต่างๆ ได้ตามต้องการ ซึ่งผู้เขียนได้เซ็ตเอาไว้เรียกโปรแกรมใช้งานบ่อยผสมกับคีย์ลัดของ Windows อีกนิดหน่อยก็ช่วยประหยัดเวลาตอนทำงานได้ดีมาก นับว่า Razer Naga V2 Pro เป็นเมาส์เกมมิ่งซึ่งสามารถเปลี่ยนตัวเองมาทำงานได้ดีไม่แพ้เมาส์สำหรับสายทำงานโดยเฉพาะเลย และได้เปรียบกว่าเมาส์สายทำงานตรงปุ่มมาโครมีให้ใช้เยอะ ถ้าใครทำงานกับโปรแกรมที่มีคีย์ลัดมากๆ โดยเฉพาะโปรแกรมสาย Adobe ไม่ว่าจะ Photoshop, Lightroom หรือ Premier Pro น่าจะได้ใช้ประโยชน์จากมันได้มากทีเดียว

ด้านการเชื่อมต่อ เมาส์นี้ถ้าใช้ Razer HyperSpeed USB 2.4GHz แบตเตอรี่จะอยู่ได้นานสุด 150 ชั่วโมง ถ้าใช้ Bluetooth จะอยู่ได้นาน 300 ชั่วโมง ชาร์จแบตเตอรี่ได้ด้วยสาย USB-C ซึ่งจะใช้สาย Razer Speedflex USB-C ในกล่องต่อชาร์จไปเล่นไปหรือใช้สายชาร์จสมาร์ทโฟนก็สะดวกไม่แพ้กัน และระยะเวลาใช้งานเมาส์จัดว่าน่าประทับใจมาก จากที่ใช้เล่นเกมที่บ้านแล้วพกใส่กระเป๋าไปทำงาน แบตเตอรี่ก็ยังไม่หมดง่ายๆ และเชื่อว่าถ้าใครซื้อไปใช้อาจจะใช้เพลินจนลืมชาร์จไปเลยทีเดียว ดังนั้นในแง่ระยะเวลาใช้งานจัดว่าหายห่วยไม่มีข้อกังขา ส่วนการตอบสนองแม้จะต่อ Bluetooth ก็ยังใช้งานได้ดีมากไม่ต่างกับการใช้ HyperSpeed เลย แต่สันนิษฐานว่าถ้าเป็น Bluetooth จะเหมาะกับการใช้ทำงานมากกว่า ถ้าเล่นเกมอาจมีอาการ Input Lag เล็กน้อย

เซนเซอร์ Razer Focus Pro 30K ของ Naga V2 Pro ณ ตอนนี้นับเป็นเซนเซอร์ที่มีค่า DPI สูงและละเอียดสุดในกลุ่มเกมมิ่งเมาส์ในปัจจุบัน ซึ่งแบรนด์คู่แข่งหลายๆ เจ้ายังอยู่ระดับ 26,000 DPI แต่ของ Razer นั้นสูงจนแตะ 30,000 DPI และยังปรับตั้งค่า DPI ได้ละเอียดมากและลากเคลื่อนเคอร์เซอร์ไปมาได้ดีมาก ตอนเล่นเกม FPS แล้วลองปรับค่า DPI เพียงขยับข้อมือเบาๆ ก็หมุนตัวละครแทบจะในทันที แต่เซนเซอร์ไม่เกิดอาการไหลเลย ลากเมาส์ไปแล้วหยุดตรงไหนก็ไม่มีอาการเคอร์เซอร์ไหลแม้แต่น้อย ซึ่งสำคัญมากเพราะถ้าเล่นเกมลากเมาส์เร็วๆ ตามศัตรูแล้ว หากเซนเซอร์เพี้ยนอาจจะส่งผลต่อรูปเกมได้เลย แต่ Razer Naga V2 Pro ไม่เจอปัญหานี้สักนิด

อย่างไรก็ตาม Razer Naga V2 Pro ยังมีข้อสังเกตหลักๆ คือ เมื่อเทียบกับเมาส์เกมมิ่งไร้สายของแบรนด์คู่แข่งแล้วนับว่ามีน้ำหนักมากสุดในกลุ่ม เพราะหลายๆ แบรนด์ ณ ตอนนี้จะอยู่ช่วง 80~90 กรัม แล้วแข่งกันลดน้ำหนัก แต่ระยะเวลาของแบตเตอรี่ก็น้อยกว่า Razer Naga V2 Pro ถึงครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว อย่างมากอยู่ได้ราว 60~80 ชั่วโมงก็หมดแล้วและมักจะเชื่อมต่อเฉพาะ USB 2.4GHz เท่านั้น ไม่มี Bluetooth ให้ใช้ ดังนั้น Naga V2 Pro จึงได้เปรียบเรื่องรูปแบบการใช้งานที่ยืดหยุ่นและใช้งานต่อเนื่องได้นานกว่าอย่างชัดเจน

จุดสังเกตถัดมาเป็นเรื่องดีไซน์ นั่นเพราะ Naga V2 Pro ออกแบบมาเพื่อเกมเมอร์มือขวาเท่านั้น ใครที่ถนัดมือซ้ายแต่อยากใช้ฟังก์ชั่นมาโครเยอะๆ ก็จำเป็นต้องปรับตัวอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ทาง Razer ก็เคยทำ Naga Left-Handed Edition ออกมาขายเมื่อปี 2020 ที่ผ่านมา จึงไม่มั่นใจว่าจะมี Naga V2 Pro Left-Handed Edition ออกมาวางขายในอนาคตหรือไม่ แต่ถ้ามีก็เป็นเรื่องที่ดีเพื่อเกมเมอร์ถนัดซ้ายแน่นอน ส่วนจุดน่าสนใจคือ ถ้าใครใช้เมาส์ Ergonomic ที่ออกแบบมาใช้ทำงานโดยเฉพาะจนติดแล้วมาใช้ Razer Naga V2 Pro ในช่วงแรกๆ จะรู้สึกได้ทันทีว่าจะต้องบิดแขนเข้าเยอะกว่าปกติ หากใช้ทำงานทั้งวันอาจจะมีอาการเมื่อยอยู่บ้างเล็กน้อย

Summary

Razer Naga V2 Pro DSC01187

Razer Naga V2 Pro เป็นเกมมิ่งเมาส์ที่แม้จะมีราคา 7,490 บาทก็ตาม แต่เทคโนโลยี, ฟีเจอร์, อุปกรณ์เสริมต่างๆ ของเมาส์นี้ต้องถือว่าคุ้มค่าตัว คุณจะได้เมาส์ที่เซนเซอร์คม, เปลี่ยนโปรไฟล์และมีปุ่มมาโครให้กดได้อย่างจุใจ แบตเตอรี่ใช้งานต่อเนื่องได้นานมากจนแทบจะลืมชาร์จแบตฯ และ Naga V2 Pro นี้ นับว่าเป็นตัวเดียวจบได้ จะใช้เล่นเกมที่บ้านต่อด้วย Razer HyperSpeed แล้วมีเพลต 1~2 ชิ้นเอาไว้ พอพกไปทำงานก็เปลี่ยนเพลตแล้วต่อ Bluetooth ใช้ทำงานแล้วกับคอมอีกเครื่องต่อได้สะดวกสุดๆ ไม่ต้องแยกเมาส์ให้เสียเงินสองต่อ เพราะถ้าหารราคา 7,490 บาท ก็จะได้เป็นเงิน 3,745 บาท ไว้ซื้อเมาส์ทำงานอย่างดีและเกมมิ่งที่สเปคไล่เลี่ยกันได้อย่างละตัวก็จริง แต่ก็มีของใช้ซ้ำซ้อนเช่นกัน ดังนั้นสู้ซื้อเมาส์ดีๆ เอาไว้ใช้งานตัวเดียวจบดีกว่า

โดยรวมแล้ว Razer Naga V2 Pro เป็นเกมมิ่งเมาส์ที่พัฒนาตัวเองจากเมาส์สำหรับเกมแนว MMORPG, MOBA เป็นหลัก ให้ก้าวมาเป็นเมาส์มาโครน่าใช้ได้อย่างเต็มภาคภูมิ พอผสานกับฟีเจอร์เปลี่ยนเพลตข้างเมาส์ให้เข้ากับรูปแบบการใช้งานได้แล้ว จึงไม่ต้องยึดโยงว่าตระกูล Razer Naga นั้นจะต้องเอาไว้เล่นแค่เกมแนวนี้เท่านั้นหรือทำงานแบบนี้อย่างเดียว เพราะมันกลายเป็นเมาส์อเนกประสงค์เพื่อคนถนัดขวาโดยเฉพาะไปแล้วโดยสมบูรณ์ น่าลงทุนซื้อมาใช้งานมาก

from:https://notebookspec.com/web/683044-review-razer-naga-v2-pro

โต๊ะคอมเกมมิ่ง 8 รุ่น ถูกแค่ 5,000.- ไฟ RGB วางคอมได้ เล่นเกมสะดวก ฟังก์ชั่นครบ

โต๊ะคอมเกมมิ่ง 8 รุ่น ราคาถูก 5,000.- ปีใหม่ 2023 สวยล้ำไฟ RGB ฟังก์ชั่นแน่น โปรฯ ดี

โต๊ะคอมเกมมิ่ง

โต๊ะคอมเกมมิ่งแทบจะกลายเป็นสิ่งที่หลายคนต้องมีติดบ้าน โดยเฉพาะคอเกมที่ต้องการเซ็ตห้องตัวเองให้เข้ากับธีมการเล่น ให้สวยครบ ไม่ว่าจะเป็นเซ็ตคอม เกมมิ่งเกียร์ รวมถึงโต๊ะและเก้าอี้เกมมิ่งอีกด้วย เพราะจะช่วยให้สนุกไปกับการเล่นได้มากขึ้น ปัจจุบันมีโต๊ะคอมให้เลือกมากมาย ราคาเริ่มตั้งแต่พันต้นๆ ไปจนหลักหมื่นบาท ขึ้นอยู่กับวัสดุ งานประกอบ ความทันสมัย ไปจนถึงฟังก์ชั่นต่างๆ เช่น พื้นโต๊ะขนาดใหญ่ ไฟ RGB หรือที่วางแก้วน้ำ แขวนหูฟัง และจุดเสริมความแข็งแรง ให้ใช้งานได้อุ่นใจ แต่การเลือกใช้ ก็ต้องดูตามความเหมาะสม และความชื่นชอบ รวมถึงการคำนวณพื้นที่ในการจัดวาง ให้การเล่นเกมได้ไหลลื่น โดยเฉพาะคนที่ต้องการวางคอมโชว์ความสวยงาม พื้นที่โต๊ะที่มากกว่า 140cm ดูจะเหมาะสมกว่า เพราะยังเหลือพื้นที่ในการเลื่อนเมาส์ไปมาได้สะดวกมากขึ้น หรือพื้นที่วางแผ่นรองเมาส์ เพื่อใช้งานได้เต็มพื้นที่อีกด้วย แต่จะมีส่วนไหนที่คุณจะต้องเลือกเพิ่มเติมกันบ้าง และมีรุ่นใดที่น่าสนใจ วันนี้เราจัดมาให้แล้ว 8 รุ่น ชอบรุ่นไหน ไปจัดกันตามลิงก์ที่เราเตรียมไว้ให้แล้วครับ

โต๊ะคอมเกมมิ่ง 8 รุ่นเด็ดงบ 5,000.-


เลือกโต๊ะคอมเกมมิ่ง

ดีไซน์: โต๊ะคอมเกมมิ่งการออกแบบค่อนข้างสำคัญ และผู้ใช้หลายคนใช้ในการพิจารณาเป็นอันดับต้นๆ ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องความสวยงามเท่านั้น แต่ต้องเข้ากับรูปแบบการใช้งานของผู้ใช้ รวมถึงตอบโจทย์การใช้งาน อย่างเช่น ขาโต๊ะ ที่นอกจากจะแข็งแรง ให้ความสมดุลได้ดีแล้ว ก็ต้องไม่เกะกะ เวลาที่นั่งใช้งาน หรือการเปลี่ยนอิริยาบท และมีส่วนเซฟตี้ เพื่อความปลอดภัย อาทิ บางรุ่นมีการเสริมมุมให้แข็งแรง หรือมีการหลบมุม ให้ไม่เกะกะเวลาที่เดินใกล้ๆ พื้นท็อปโต๊ะ มีคลุมวัสดุให้ทนทาน เป็นรอยยาก และกันน้ำได้ นอกเหนือจากลวดลายที่ดูทันสมัย

Advertisementavw
Gaming set2

ฟังก์ชั่น: หลายท่านก็คาดหวังกับฟังก์ชั่นของโต๊ะเหล่านี้ ที่ควรจะต้องมีเหนือกว่าโต๊ะทำงานทั่วไป ซึ่งส่วนใหญ่ที่เราจะได้พบกันนั้น ก็จะเป็นเรื่องของสิ่งสำคัญในการจัดวางองค์ประกอบต่างๆ ให้ใช้งานได้สะดวก เช่น ที่วางแก้วน้ำ ประหยัดพื้นที่บนโต๊ะ ลดปัญหาน้ำหกใส่ คีย์บอร์ด เมาส์ และมีพื้นที่เหลือในการใช้เมาส์มากขึ้น หรือทางแขวนหูฟัง สะดวกในการใช้งาน และอาจจะมีเพิ่มเติมการปรับเลื่อนระดับความสูงได้ในบางรุ่น หรือบางทีก็มีแสงไฟ RGB มาประดับ เพื่อเพิ่มอรรถรสในการเล่นเกมได้มากขึ้น

Gaming set

พื้นที่จัดวาง: เรื่องของพื้นที่โต๊ะคอมค่อนข้างสำคัญทีเดียว เพราะคุณจะต้องใช้พื้นที่บนโต๊ะเล่นเกมให้ได้ประโยชน์มากที่สุด ยิ่งจุดที่เคลื่อนไหวบ่อย เช่นเมาส์หรือการวางคีย์บอร์ด ให้กดได้ง่าย เลื่อนเมาส์สะดวก ย่อมมีผลต่อการแข่งขันหรือแพ้ชนะได้เลย เพราะบางครั้งสะดุดไปแค่ไม่กี่วินาที ก็อาจหมายถึงการโดนโจมตีจากศัตรู หรือโอกาสจะโจมตี ก็หายไปด้วย เรียกว่ากลับจุดเซฟได้แบบไม่รู้ตัว หากคุณดีไซน์พื้นที่วางของได้ไม่เต็มที่ แนะนำให้เลือกโต๊ะที่มีความยาวมากขึ้น ยิ่งถ้าต้องการวางคอมโชว์บนโต๊ะด้วยแล้ว ก็ต้องเผื่อพื้นที่ให้ได้มากที่สุด

วัสดุและงานประกอบ: นอกเหนือจากวัสดุที่แข็งแรงทนทาน และรับน้ำหนักในการจัดวางสิ่งของบนโต๊ะได้มากพอสมควรแล้ว ยังมีเรื่องของงานประกอบที่อาจจะต้องเก็บรายละเอียดได้ดีในระดับหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสี รอยเชื่อมต่อ และการติดตั้งง่าย ไม่เกิดความเสียหายได้ในภายหลัง ยิ่งเป็นรุ่นที่ผู้ใช้จะต้องประกอบเองด้วยแล้ว ควรจะต้องมีเครื่องมือ และคู่มือแนะนำให้อย่างชัดเจน เพื่อความสะดวกของผู้ใช้


1.Gamer Desk L LS2-1600

โต๊ะคอมเกมมิ่ง

โต๊ะคอมเกมมิ่งในแบบ L shape ความยาว 160cm กว้าง 60cm กว้างขวาง วางอุปกรณ์และคอมตั้งโต๊ะได้สะดวกมากขึ้น ไม่ต้องกังวลเรื่องพื้นที่ใช้งาน โครงสร้างขาและฐาน เป็นโลหะคาร์บอนกันสนิม มีความแข็งแรง รับน้ำหนักได้ดี พร้อมยางที่รองขาโต๊ะกันลื่น มีระยะให้กระจายน้ำหนัก พื้นโต๊ะมาในแบบลายเคฟลาร์ ให้ดีไซน์ที่ดูสปอร์ต ความหนา 18mm เป็นวัสดุกันลื่น และกันน้ำได้อีกด้วย มาพร้อมชั้นวาง 90cm อีก 1 ชุด สำหรับวางจอมอนิเตอร์ หรืออุปกรณ์เสริม และช่องลอดสายไฟให้ 2 ช่อง บริเวณด้านบน รวมถึงลูกเล่นอย่างที่แขวนหูฟัง และที่วางแก้วน้ำทางด้านขวา โดดเด่นด้วยแสงไฟ RGB ที่อยู่บริเวณด้านข้างของโต๊ะ เพิ่มความสวยงาม ไม่เหมือนใคร สนนราคาอยู่ที่ 3,520 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
เป็นทาง L วางของเพิ่มได้
ยางถึง 160cm

ข้อมูลเพิ่มเติม: LS2-1600


2.OKER DX-449

โต๊ะคอมเกมมิ่ง

เป็นโต๊ะคอมจากค่ายเกมมิ่งเกียร์ ที่มีไลน์ผลิตภัณฑ์ไม่น้อยเลยทีเดียว สำหรับ OKER และราคาก็น่าสนใจ ออกแบบมาใทนสีแดงของขา ตัดกับสีดำของท็อปโต๊ะ โดยขาโต๊ะมาในสไตล์ที่ลงตัว ไม่เกะกะเมื่อนั่ง ให้สมดุลได้ดี วัสดุเป็นโลหะสี่เหลี่ยม มีความทนทาน พื้นโต๊ะด้านบนเป็นลายคาร์บอน โทนสีดำ กันรอยและกันน้ำได้ มีช่องลอดสายไฟ ไปยังด้านล่างสะดวก โดยมีให้ 2 ช่องด้วยกัน นอกจากนี้ยังมีที่แขวนหูฟัง และที่วางแก้วมาให้ครบ เพิ่มความสวยงามด้วยขอบแสงไฟ RGB ที่ปรับสีได้ตามต้องการ ผ่านทางรีโมทที่ให้มาด้วย ช่วยเพิ่มบรรยากาศในการเล่นเกมได้ดีทีเดียว ราคา 3,590 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
มีไฟ RGB ดีไซน์ Armor ค่อนข้างใหญ่
ครอบมุมโต๊ะกันกระแทก

ข้อมูลเพิ่มเติม: OKER


3.EGA TYPE-GD2

โต๊ะคอมเกมมิ่ง

ใครที่ชื่นชอบโต๊ะคอมเล่นเกม สไตล์เกมมิ่งจัดๆ ลูกเล่นล้ำ กับค่าย EGA นี้ ที่กระแสของเกมมิ่งเกียร์มีอยู่ตลอด และโต๊ะคอมเกมมิ่งรุ่นนี้ ก็ดูจะตอบโจทย์คอเกมได้ดีทีเดียว มิติอยู่ที่ 120cm x 60cm โครงสร้างใช้โครงขาโลหะสีดำ ตัดโลโก้เขียวสะดุดตา ขาวางเอาไว้ได้ดีมีสมดุล ไม่เกะกะ ด้านข้างเสริมแสงไฟ LED ที่ปรับแสงไฟได้ 5 สี สว่างสดใส ท็อปโต๊ะด้านบนเป็นลายคาร์บอน กันน้ำและรอยขูดขีด ดูทันสมัย ปิดขอบด้านข้างได้เรียบเนียน พร้อมช่องลอดสายไฟ ต่อลงมายังที่วางปลั๊กราง ให้ดูสบายตา ไม่เกะกะ และไม่ลืมใส่ที่วางแก้ว และที่แขวนหูฟัง เอาไว้ให้ด้วย ราคา 3,590 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
มีแสงไฟ RGB
เพิ่มที่วางปลั๊กให้

ข้อมูลเพิ่มเติม: EGA


4.Neolution E-Sport Gaming Desk Eagle

โต๊ะคอมเกมมิ่ง

โต๊ะคอมเล่นเกมในสไตล์ที่เรียบหรู ดูดี มิติใหญ่ วางคอม และพื้นที่กว้างขวาง สำหรับการวาดเมาส์ไปมาได้สนุก โดยรุ่น Eagle นี้ ให้มิติความยาวได้ถึง 140cm x 60cm ท็อปโต๊ะด้านบน เป็นแบบ P2PB บอร์ด คลุมด้วยลายคาร์บอนกันรอยขีดข่วน และกันน้ำได้ดี เหมาะกับคนที่เล่นไปทานขนมไป ขาโต๊ะเป็นโลหะ และมีชิ้นส่วนที่เป็น ABS เพื่อความยืดหยุ่น รับน้ำหนักได้ถึง 100Kg แม้จะไม่ได้มีแสงไฟ RGB มาให้ แต่ให้ฟังก์ชั่นเพิ่มความสะดวกมาครบ ไม่ว่าจะเป็น ที่แขวนหูฟัง ที่วางแก้ว รวมถึงที่ลอดสายไฟ และเชื่อมต่อไปยังช่องกลาง ที่วางปลั๊กรางเอาไว้ให้ ทำให้ง่ายต่อการจัดเก็บและไม่เกะกะอีกด้วย แต่ที่น่าสนใจคือ ยังแถมแผ่นรองเมาส์ขนาดใหญ่ คลุมพื้นที่บนโต๊ะให้ใช้งานได้อย่างสะดวกทีเดียว ราคา 3,990 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
พื้นที่โต๊ะยาว 140cm ขนาดบอดี้ค่อนข้างใหญ่
มีแผ่นรองเมาส์ขนาดใหญ่ให้

ข้อมูลเพิ่มเติม: Neolution E-Sport


5.MEETION DSK10 Z

โต๊ะคอมเกมมิ่ง

มาที่อีกค่ายหนึ่งบ้าง ที่มีไลน์ทั้งเกมมิ่งเกียร์ และโมเดลที่เป็นโต๊ะเกมมิ่ง รวมถึงเก้าอี้ให้เลือกเพียบ และใครที่ชอบแนวสปอร์ตดูเหมือนรถแข่งสไตล์ Naked ไม่ควรพลาดกับโต๊ะรุ่นนี้ มาในขนาด 110cm x 66cm ซึ่งถือว่าพอเหมาะกับเกมเมอร์ โทนสีส้มตัดกับสีดำ ค่อนข้างแปลกตา โครงโลหะแข็งแรง และเสริมจุดยึดตรงกลาง มีหมุดรองใต้ขาให้มีความมั่นคง โดยออกแบบเป็นตัว Z เน้นสมดุลที่ดี สะดุดตากับแถบโลหะด้านข้างกับการเป็น Armor ที่เพนท์สีในแบบ Piano paint มีความวิบวับพอสมควร พร้อมช่องลอดสายมาให้ ในภาพรวมถือว่าลงตัว ขาดแค่ส่วนของวางแก้วน้ำกับแขวนหูฟังเท่านั้น ราคา 4,590 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
สีสันสดใส พื้นที่ท็อปโต๊ะ 110cm
ตัวยึดตรงกลางโต๊ะ

ข้อมูลเพิ่มเติม: MEETION


6.NUBWO NXGD-800 RGB

โต๊ะคอมเกมมิ่ง

NUBWO นับว่าเป็นอีกค่ายหนึ่งที่ไม่ได้มีเพียงเกมมิ่งเกียร์ที่มีลูกเล่น และดีไซน์สวย ในราคาที่โดนใจเหล่าเกมเมอร์เท่านั้น แต่ยังมีไลน์ของโต๊ะเกมมิ่ง และเก้าอี้เกมมิ่งอีกหลายรุ่น เช่นเดียวกับ NXGD-800 RGB รุ่นนี้ ที่มาในดีไซน์ไม่ธรรมดา กับขาโต๊ะดีไซน์ใหม่ เสริมแสงไฟ LED ปรับได้ถึง 8 สีด้วยกัน คาดเป็นเส้นสวยงาม แถบด้านบนโต๊ะ เป็นแสงไฟ RGB เช่นกัน ตัดกับลวดลายคาร์บอนบนพื้นโต๊ะได้ลงตัว พร้อมช่องลอดสายไฟ ขนาดใหญ่ ด้านใต้มีที่วางปลั๊กราง เพื่อความสะดวกในการจัดสาย มิติของโต๊ะยาว 120cm และกว้าง 60cm เรื่องการอำนวยความสะดวก มีทั้งที่วางแก้ว และที่แขวนหูฟังให้ครบ ราคาอยู่ที่ 4,990 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ดีไซน์ทันสมัย ไฟ RGB มี Armor ด้านข้างใหญ่
ฟังก์ชั่นสำคัญครบ

ข้อมูลเพิ่มเติม: NUBWO


7.Ergopixel Terra

โต๊ะคอมเกมมิ่ง

โต๊ะเกมมิ่งไซส์ใหญ่ ราคาสบายกระเป๋าของค่ายนี้ เป็นโต๊ะกึ่ง Ergonomic ที่มาในขนาด 140cm x 60cm ให้เกมเมอร์ได้วาดลวดลาย เคลื่อนไหวเมาส์ได้อิสระ พร้อมกับวางคอมบนโต๊ะได้ลงตัว ขาโต๊ะที่วางกึ่งกลาง รูปตัว T เพื่อสร้างสมดุล เป็นโลหะแข็งแรง ใต้ฐานมีจุดยึดให้แน่นหนา ท็อปโต๊ะเป็นแบบลายคาร์บอน กันรอยและกันน้ำได้ดี พร้อมช่องลอดสายมาให้ โดยด้านใต้ก็มีถาดเอาไว้ใส่ปลั๊กรางอีกด้วย เสริมฟังก์ชั่นอย่างที่แขวนหูฟัง และที่วางแก้วมาครบครันเช่นกัน เรียกว่าดูลงตัวดีทีเดียว ราคา 5,900 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ให้ความยาว 140cm ขนาดค่อนข้างใหญ่
วางปลั๊กรางได้

ข้อมูลเพิ่มเติม: Ergopixel


8.BAIERDI MALL Ergonomic Desk

โต๊ะคอมเกมมิ่ง

แต่ถ้าสไตล์ของคุณชอบขยับ ปรับเลื่อนไปมา ไม่ให้เมื่อยล้าจนเกินไป โต๊ะไฟฟ้าปรับเลื่อนได้รุ่นนี้ ก็น่าสนใจไม่น้อยเลย กับขาโต๊ะวางกลาง เน้นความสมดุล กับท็อปโต๊ะขนาด 120cm x 60cm มาตรฐาน ในโทนสีขาว ตัดกับสีไม้เมเปิล ดูนุ่มนวลสบายตา เหมาะกับคนที่จัดห้องใทนสะอาด ดูสว่าง จุดเด่นอยู่ที่สามารถปรับเลื่อนขึ้น-ลงได้ตั้งแต่ 71-117cm ด้วยชุดคอนโทรลที่มีให้ ใช้งานง่าย รองรับการจดจำระดับทำเป็นโพรไฟล์ของผู้ใช้ได้ในหลายระดับ จะนั่งจะยืน ก็สะดวก พร้อมช่องลอดสายมาให้ 2 ด้าน ราคา 5,990 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ปรับเลื่อนความสูงได้ ไม่มีชุดวางแก้วกับที่แขวน

ข้อมูลเพิ่มเติม: BAIERDI MALL


Conclusion

ท็อปโต๊ะ ฟีเจอร์พิเศษ ที่แขวนหูฟัง ที่วางแก้ว ราคา
1.Gamer Desk L
LS2-1600
160cm x 60cm RGB มี มี 3,520
2.OKER DX-449 120cm x 60cm RGB มี มี 3,590
3.EGA TYPE-GD2 120cm x 60cm RGB มี มี 3,590
4.Neolution E-Sport
Gaming Desk Eagle
140cm x 60cm Mousepad มี มี 3,990
5.MEETION DSK10 Z 10cm x 66cm Armor 4,590
6.NUBWO NXGD-800 120cm x 60cm RGB มี มี 4,990
7.Ergopixel Terra 140cm x 60cm มี มี 5,900
8.BAIERDI MALL
Ergonomic Desk
120cm x 60cm ปรับความสูงได้ 5,990

มาสรุปเรื่องราวของโต๊ะคอมเกมมิ่งทั้ง 8 รุ่นในวันนี้กันครับ สำหรับการใช้งานอย่างที่ได้กล่าวไปในเบื้องต้นว่า เลือกในสไตล์ที่คุณคิดว่าเหมาะกับคุณ เช่น บางครั้งไม่ได้สนใจเรื่องของสีสัน หรืออยากได้ที่เรียบง่าย ตัวเลือกErgonomic Desk หรือ Ergopixel ก็น่าสนใจไม่น้อย แล้วคุณไปใส่ความสวยงามในแบบของคุณได้เอง แต่ถ้าอยากได้แบบโต๊ะเกมเมอร์จ๋าๆ มาแต่ต้น EGA, MEETION หรือ NUBWO ก็จะตอบโจทย์คุณได้อย่างเต็มที่ ทั้งในเรื่องของสีสัน รูปลักษณ์ และวัสดุ ส่วนถ้าใครชอบโต๊ะแบบยาวๆ วางของได้เยอะ วางคอมบนโต๊ะได้สะดวก Neolution, Ergopixel ให้คุณได้ กับความยาวโต๊ะระดับ 140cm แต่ถ้าพิเศษเลย ก็จะเป็น Gamer Desk L ที่เป็นทั้งโต๊ะเข้ามุม มีความยาว 160cm รวมถึง มีชั้นวางจอมาให้ ก็สะดวกไม่น้อยเลย ที่เหลือคือ ความชื่นชอบ และลูกเล่นเสริมต่างๆ ที่เพิ่มเติมเข้ามาให้ ชอบแบบไหน แนะนำว่ามีโอกาสได้ไปดูตัวจริง ก็จะช่วยคุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้นครับ


Desktop PC table 2022 Cov7

โต๊ะคอมพิวเตอร์ ราคาถูก 8 รุ่นในงบ 2000.-

from:https://notebookspec.com/web/680431-8-gaming-desk-5000-2023

โต๊ะคอมพิวเตอร์ ราคาถูก 8 รุ่นในงบ 2000.- แข็งแรง วางคอมได้ ดีไซน์สวย

โต๊ะคอมพิวเตอร์ ราคาถูก 8 รุ่น จัดโต๊ะคอมให้ถูกใจคุณรับปี 2023 นี้ แข็งแรง ดูดี มีฟังก์ชั่นเยอะ

โต๊ะคอมพิวเตอร์-ราคาถูก

โต๊ะคอมพิวเตอร์ ราคาถูก เป็นสิ่งที่เกมเมอร์หลายคนมองหา ในปัจจุบันโต๊ะคอมมีให้เลือกมากมาย หลากหลายสไตล์ เพราะนอกจากจะทำให้คุณนั่งเล่นเกมหรือดูหนัง เทรดหุ้น ได้อย่างสบายใจแล้ว หรือคนทำงานก็ได้ใช้ฟังก์ชั่นสะดวก ราคาก็ยังถูกลง ในปัจจุบันการจ่าย 2,000 บาทกับการเลือกโต๊ะคอมดีๆ สักรุ่น ก็มีให้ใช้ เพียงแต่ผู้ใช้เอง จะต้องเลือกสรรให้เหมาะสมกับตัวเอง เช่น วัสดุ ขนาด ความแข็งแรง งานประกอบ ไปจนถึงฟังก์ชั่นเสริม ที่เพิ่มเติมเข้ามา เช่น แสงไฟ LED, ที่วางแก้วน้ำ หรือที่แขวนหูฟัง เพราะสิ่งเหล่านี้ จะลดการใช้พื้นที่บนโต๊ะได้ไม่น้อย และทำให้วางสิ่งสำคัญอื่นๆ ได้มากขึ้น เช่น สมาร์ทโฟน แท็ปเล็ต พรินเตอร์ กรอบรูป หรือจะเป็นต้นไม้เล็กๆ สักต้น และถ้าวันนี้คุณยังไม่มีไอเดียในการเลือกโต๊ะคอมเอาไว้ในใจ เรามีแนวทางดีๆ กับตัวอย่างโต๊ะคอมในงบสายกระเป๋ามาฝากกันครับ

โต๊ะคอมพิวเตอร์ ราคาถูก 2000 บาท

โต๊ะคอมพิวเตอร์ ราคาถูก

มิติและการจัดวาง โต๊ะคอมมีด้วยกันหลายขนาด ดังนั้นก็ต้องเลือกให้เหมาะกับขนาดห้อง พื้นที่จัดวาง เพราะจะช่วยให้คุณออกแบบ โซนพื้นที่ทำงานหรือเล่นเกมของคุณให้ลงตัวมากที่สุด ไม่เกะกะ และยังทำความสะอาดง่าย ซึ่งรวมถึงการตกแต่งให้เข้ากับสไตล์ของคุณ ไม่รกห้องหรือเกะกะ ทำความสะอาดง่าย โต๊ะคอมพิวเตอร์ ราคาถูก ก็มีตัวเลือกให้คุณได้ใช้งานได้ไม่น้อยเลย

Advertisementavw
Conclusion Content MSI

แข็งแรงรองรับการจัดวางพีซีได้ สิ่งนี้สำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะหลายคนมักจะชอบวางพีซีบนโต๊ะ มากกว่าบนพื้น ส่วนหนึ่งก็เพื่อความสะดวกในการใช้งาน ต่อสาย และอุปกรณ์ต่อพ่วง ที่ง่ายกว่า ดังนั้นการเลือกโต๊ะคอมที่มีโครงสร้างแข็งแรง จุดยึดที่แน่นหนา รวมถึงพื้นโต๊ะที่ไม่เป็นรอยง่าย ก็ทำให้ดูน่าสนใจยิ่งขึ้น ปัจจุบันก็มีวัสดุให้เลือกมากมาย ตั้งแต่ ไม้พาติเคิล ไม้อัด ไม้ยาง โลหะ กระจก ความสวยงามและความทนทาน ก็มีมากน้อย ลดหลั่นกันไป

ประกอบง่าย ดูแลสะดวก เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ โดยเฉพาะคนที่ซื้อโต๊ะคอมมาเป็นแพ๊คแล้วประกอบเอง ถ้ามีชิ้นส่วนเยอะ ความซับซ้อนมาก ก็จะยิ่งใช้เวลานาน และอาจประกอบผิดได้ ซึ่งบางชิ้นติดผิดแล้วขยับออกไม่ได้ เสียแล้วเสียเลย แบบนี้ต้องระวัง หากไมชำนาญ และเครื่องมือไม่พร้อม แนะนำให้เลือกแบบที่ประกอบเสร็จ หรือมีช่างมาติดตั้งให้ จะลดปัญหาไปได้มากทีเดียว

Desktop PC table 2022 Cov3

ขนาด พื้นที่วางของบนโต๊ะ อยากให้เลือกโต๊ะคอม ที่มีพื้นที่ใช้งานกว้างกว่าการจัดวางพื้นฐานเล็กน้อย เพราะอย่าลืมว่า คุณอาจจะต้องใช้พื้นที่ในการวางสิ่งอื่นๆ หรือเป็นพื้นที่ใช้สอยเพิ่มเติม เช่น การวางมือถือ พรินเตอร์ กระดาษจดบันทึก หรือของใช้ส่วนตัว รวมถึงการเล่นเกม ที่ต้องอาศัยพื้นที่ในการเลื่อนเมาส์ได้แบบไม่ติดขัด เพราะคุณอาจจะเสียอารมณ์อย่างมาก ขณะที่เล่นแล้วต้องสะดุด หากใช้งานทั่วไป ไม่มีของเยอะ วางคอมใต้โต๊ะความยาว 120cm ก็เพียงพอ แต่ถ้าวางคอมบนโต๊ะ เป็นคอเกม มีอุปกรณ์ต่อพ่วงเสริม แนะนำที่ 140cm ขึ้นไป เพื่อให้จัดโต๊ะคอมได้สะดวกกว่า

ฟังก์ชั่นพิเศษอื่นๆ โต๊ะคอมพิวเตอร์ ราคาถูก ก็มีให้เลือกตามความเหมาะสม หากคุณคิดว่าจำเป็นต้องใช้ หรือคุ้มค่าใช้จ่าย เช่น ลิ้นชักเก็บของ ชั้นวางของเล็กๆ ช่องใส่แก้วน้ำ แสงไฟ RGB หรือจะเป็นที่แขวนหูฟังก็ตาม ยิ่งเป็นโต๊ะรุ่นใหม่ๆ ในสไตล์ Ergonomic Design ที่ปรับระดับความสูงได้ แบบนี้ราคาก็จะสูงตามไปด้วย

ปรับระดับได้ นับว่าเป็นสไตล์ของโต๊ะทำงานในแบบ Ergonomic design ที่หลายค่ายทำออกมาแข่งขันกัน ซึ่งข้อดีของโต๊ะแบบนี้ก็คือ ผู้ใช้สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานตามอิริยาบทได้ เช่นอาจจะยืน นั่งหรือบางครั้งก็สลับกันไปมา ลดความเมื่อยล้า แต่ก็มีข้อสังเกตในการเลือกคือ มอเตอร์เป็นสิ่งสำคัญ เพราะมักจะรับบทหนัก หากผู้ใช้จะปรับเลื่อนบ่อยๆ รวมถึงการรับน้ำหนัก ซึ่งควรจะให้อยู่ในเกณฑ์ที่ผู้ผลิตกำหนด ลดความเสียหายระหว่างการใช้


1.NEOLUTION QUORA – 2,090 บาท

โต๊ะคอมพิวเตอร์ ราคาถูก

สำหรับโต๊ะคอมพิวเตอร์ ราคาถูกจาก NEOLUTION รุ่นนี้ ต้องถือว่าน่าสนใจไม่น้อยเลย เพราะมีส่วนขยายเพิ่มเติมให้ผู้ใช้ จัดวางสิ่งของต่างๆ ได้มากขึ้นกว่าพื้นที่โต๊ะที่ขนาด 60cm x 100cm โดยพื้นโต๊ะเป็นพาติเคิล 1.5cm ทับด้วยเมลามีน ที่มีความแข็งแรง ไม่เป็นรอยง่าย เป็นแบบแผ่นเรียบ ให้การเคลื่อนย้ายสิ่งต่างๆ บนโต๊ะได้สะดวก เพียงพอสำหรับการวางจอคอมขนาดใหญ่ได้ไม่ยาก ติดตั้งบนโครงสร้างขาตั้งโลหะสีดำ โดยไม่มีโครงสร้างตรงกลางมาให้เกะกะ งานประกอบค่อนข้างปราณีต พร้อมใส่ฟังก์ชั่นการใช้งานมากอย่างครบครัน เช่น ที่วางแก้ว ที่แขวนหูฟัง แต่จะไม่ได้เจาะรูลอดสายไฟมาให้ มีส่วนขยายพื้นที่ด้านข้างมาให้ จัดโต๊ะคอมได้ค่อนข้างสะดวกทีเดียว ราคาอยู่ที่ 2,090 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ดีไซน์ดูทันสมัย ความยาวอยู่ที่ 100cm
มีที่วางแก้ว แขวนหูฟังมาด้วย

ไปช้อปได้ที่: NEOLUTION


2.Index Living Mall เอช-ลาร่า/พีเอสทู – 2,190 บาท

โต๊ะคอมพิวเตอร์ ราคาถูก

โต๊ะคอมกึ่งทำงานจากทาง INDEX ที่ดูแตกต่างที่สุดในการรวมโต๊ะคอมครั้งนี้ เพราะมาในสไตล์ของโต๊ะไม้ที่ดูพรีเมียม และมีทั้งที่วางคีย์บอร์ด สไลด์เก็บได้ และลิ้นชักเก็บของ บนท็อปโต๊ะขนาด 60cmx120cm เรียกว่าพอเหมาะกับการใช้งาน ผลิตจากไม้พาร์ทิเคิลบอร์ด และปิดผิวหน้าด้วยเมลามีนที่เคลือบเลซิ่น ลดการเกิดรอย เหมาะกับคนที่เป็นเกมเมอร์ ที่เล่นเกมบนโน๊ตบุ๊คหรือจะวางจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่ก็ยังไหว โต๊ะคอมรุ่นนี้ไม่ได้เจาะช่องลอดสาย ที่แขวนหูฟังหรือที่วางแก้วน้ำแยกมาให้ แต่ก็เสริมฟังก์ชั่้นอื่นๆ มาให้แทน ราคาอยู่ที่ 2,190 บาทเท่านั้น

จุดเด่น ข้อสังเกต
มาพร้อมลิ้นชัก ที่วางคีย์บอร์ดแยก ไม่ได้เจาะรู หรือที่วางแก้วมาให้
ได้ท็อปโต๊ะ 120cm

ไปช้อปได้ที่: Index


3.IKEA LAGKAPTEN / ADILS – 2,290 บาท

โต๊ะคอมพิวเตอร์ ราคาถูก
ที่มา: IKEA

แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบพื้นที่จัดวางของเยอะๆ หรือใช้งานพื้นที่โต๊ะแบบที่ต้องวางคอมไว้บนโต๊ะได้ด้วย แนะนำโต๊ะจาก IKEA รุ่นนี้เลย เพราะใช้งานง่าย ติดตั้งประกอบสะดวก วัสดุท็อปโต๊ะเป็นบอร์ดออนเฟรม ผลิตจากกระดาษรีไซเคิลและปิดทับด้วยกรอบไม้ พาร์ติเคิลบอร์ด หรือไฟเบอร์บอร์ด ความหนาพอสมควร และขาแยกต่างหาก สามารถไขน็อตยึดได้เอง มีขาโต๊ะให้ถึง 5 ขาด้วยกัน รองรับน้ำหนักพื้นที่ตรงกลางโต๊ะ มิติความยาวมากถึง 200cm มากกว่าโต๊ะรุ่นอื่นๆ และกว้าง 60cm มีให้เลือกเฉดสีของโต๊ะและขามากถึง 8 รูปแบบ สนนราคาอยู่ที่ 2,290 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ความยาวโต๊ะมากถึง 200cm เรียบง่าย ไม่มีลูกเล่นเสริม
มีขาโต๊ะให้ 5 ขา

ไปช้อปได้ที่: IKEA


4.BAIERDI MALL – 2,340 บาท

โต๊ะคอมพิวเตอร์ ราคาถูก
ที่มา: BAIERDI MALL

โต๊ะคอมแบบนั่งคู่ สำหรับเกมเมอร์ที่เล่นเป็นคู่ หรือสู้เป็นทีม กับดีไซน์ให้ความทันสมัย เน้นความสปอร์ต กับดีไซน์ขาด้านข้างตัว K มิติกว้างxยาวอยู่ที่ 60cm x 180cm จะใช้พื้นที่วางคอมก็สะดวก หรือจะเน้นวางแผ่นรองเมาส์ไซส์ XL ก็สบาย ท็อปโต๊ะหนา 1.6cm และวัสดุแบบไฟเบอร์ มุมโต๊ะมีความโค้งมน จะได้ไม่สะดุดหรือชนง่ายๆ ขาโต๊ะโลหะชิ้นใหญ่ เสริมจุดยึดขาทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน 2 ชั้น และมีสติ๊กเกอร์ประดับมาด้วย มีช่องลอดสายไฟมาให้ 2 จุดซ้าย-ขวา นอกจากนี้ก็มีที่แขวนหูฟังมาให้ ทำความสะอาดได้ไม่ยาก ราคาอยู่ที่ 2,340 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ได้พื้นที่โต๊ะกว้างขึ้น ยาว 180cm ไม่มีช่องลอดสายไฟ
มีที่ลอดสายไฟ และที่แขวนหูฟัง

ไปช้อปได้ที่: BAIERDI MALL


5.Nubwo ND-600S – 2,390 บาท

โต๊ะคอมพิวเตอร์ ราคาถูก

โต๊ะคอมสไตล์เกมมิ่งที่มาในแบบล้ำๆ และความยาวของพื้นโต๊ะระดับ 120cm และกว้างถึง 75cm ด้วยกัน มีให้เลือกทั้งแดง ดำและน้ำเงิน โครงสร้างฐานที่เป็นโลหะ ให้สมดุลได้ดีพอสมควร ผิวสัมผัสเป็นแบบลายไฟเบอร์คาร์บอน เพื่อความสปอร์ตและมีช่องลอดสายไฟมาให้ เช่นเดียวกับ ที่แขวนหูฟัง ซึ่งทำมาค่อนข้างใหญ่พอสมควร แต่ไม่มีที่วางแก้วมาด้วย ตรงกลางมีโครงสร้างมายึดขาโต๊ะทั้งสองด้านเอาไว้ มีการทำลวดลายและเส้นสายไว้ดูสะดุดตา เคาะราคามาประมาณ 2,390 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ให้พื้นโต๊ะได้กว้างมากขึ้น 75cm จุดยึดขาโต๊ะใกล้ที่วางขา
มีช่องลอดสายไฟ และที่แขวนหูฟัง

ไปช้อปได้ที่: Nubwo


6.Furradec CT-2013 – 2,410 บาท

โต๊ะคอมพิวเตอร์ ราคาถูก

มาถึงโต๊ะคอมเกมมิ่ง ที่มาในสไตล์ Ergonomic กันบ้าง สำหรับค่าย Furradec นี้ ที่มาในขนาด 60cm x 120cm ในมิติความกว้างxยาว ตัวโครงสร้างเป็นโลหะแข็งแรง เป็นโทนสีดำทั้งหมด พ่นสีมาได้สวยงาม มิติของฐานไม่ใหญ่ แต่น่าจะโดนใจใครที่ไม่ชอบขาแบบเอียงๆ เพราะเค้าออกแบบมาเป็นขาตรง พร้อมตัวยกระดับให้สูงจากพื้น มีตัวจับยึดขาโต๊ะไม่เกะกะ เวลาที่นั่งเหยียดขา และด้านบนโต๊ะใช้เป็น MDF เคลือบผิวด้วย PVC ไม่เป็นรอยง่าย ให้ฟังก์ชั่นมาแบบครบๆ ไม่ว่าจะเป็น ที่วางแก้ว ที่แขวนหูฟัง และมีเจาะรูลอดสายไฟมาให้ทั้งสองด้านอีกด้วย จากบางร้านทำโปรฯ ได้ค่อนข้างดีทีเดียว เคาะราคาที่ 2,410 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ดูไซน์ขาโต๊ะแนวตั้ง ไม่เกะกะ
มีที่ลอดสายไฟ ที่แขวนหูฟัง และที่วางแก้ว

ไปช้อปได้ที่: Furradec


7.Tengu Musashi – 2,490 บาท

โต๊ะคอมพิวเตอร์ ราคาถูก

เป็นโต๊ะคอมในสไตล์เกมมิ่ง ที่มาในโครงสร้างที่สะดุดตา ราคาสบายกระเป๋า อยู่ที่ราว 2,490 บาท ขาโต๊ะมีให้เลือกสีขาวและดำ เป็นแบบโลหะ จุดยึดค่อนข้างแข็งแรง เมื่อดูจากด้านข้างจะเหมือนตัว K ที่มีการกระจายน้ำหนักไปยังพื้นได้มากขึ้น พื้นโต๊ะหุ้มด้วยวัสดุลายคาร์บอนไฟเบอร์ ให้ดูสปอร์ตมากยิ่งขึ้น พร้อมช่องลอดสายไฟ และตัวครอบ โดยมีฟังก์ชั่นเพิ่มเติมอย่าง ที่วางแก้ว และที่แขวนหูฟังมาให้ครบครัน ไฮไลต์ที่สำคัญคือ แสงไฟ LED ที่ปรับได้ 4 โหมดด้วยกัน อยู่มุมโต๊ะด้านซ้ายและขวา โดยมีขนาดกว้างxยาว 60cm x 120cm และความสูงที่ 75cm ตามมาตรฐาน ติดตั้งขายึดจอคอมได้

จุดเด่น ข้อสังเกต
มีที่แขวนหูฟัง ลอดสายไฟและที่วางแก้ว มีขอบด้านข้างโต๊ะมาด้วย
แสงไฟ LED เพิ่มความสวยงาม

ไปช้อปได้ที่: Tengu


8.Nubwo-X NXGD-400 – 2,690 บาท

โต๊ะคอมพิวเตอร์ ราคาถูก

โต๊ะคอมสายเกมมิ่ง ที่มีความสปอร์ท โดดเด่นด้วยพื้นโต๊ะที่เป็นท็อปหุ้มด้วยวัสดุลายคาร์บอนไฟเบอร์ มีมิติกว้างxยาว อยู่ที่ 62cm x 119cm เหมาะกับการจัดวางเคสขนาดกลางและเล็ก และจอมอนิเตอร์ พร้อมแผ่นรองเมาส์ได้พอดีๆ โครงสร้างโลหะประกอบง่าย ความสูงจากพื้น 75cm ตามมาตรฐาน และแสงไฟ LED ที่อยู่ด้านข้างทั้งสองด้าน ช่วยประดับโต๊ะให้ดูมีมิติ และความเป็นเกมมิ่งอย่างเด่นชัด มีความแข็งแรง พร้อมช่องลอดสายไฟ 2 ช่องซ้าย-ขวา และที่วางแก้วมาให้ ด้านหลัง รวมถึงที่แขวนหูฟัง เรียกว่าจัดมาอย่างครบครัน สนนราคาเคาะอยู่ที่ประมาณ 2,690 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
มาพร้อมช่องลอดสาย ที่วางแก้วและแขวนหูฟัง
มีแสงไฟ LED เพิ่มความสวยงาม

ไปช้อปได้ที่: NUBWO


Conclusion

ท็อปโต๊ะ วัสดุขาตั้ง ที่แขวนหูฟัง ที่วางแก้ว ราคา
1.NEOLUTION QUORA 60cmx100cm โลหะ มี มี 2,090
2.Index Living Mall เอช-ลาร่า 60cmx120cm โลหะ ไม่มี ไม่มี 2,190
3.IKEA LAGKAPTEN / ADILS 60cm x 200cm โลหะ ไม่มี ไม่มี 2,290
4.BAIERDI MALL 60cm x 180cm โลหะ มี ไม่มี 2,340
5.Nubwo ND-600S 75cm x 120cm โลหะ มี ไม่มี 2,390
6.Furradec CT-2013 60cm x 120cm โลหะ มี มี 2,410
7.Tengu Musashi 60cm x 120cm โลหะ มี มี 2,490
8.NUBWO-X NXGD-400 62cm x 119cm โลหะ มี มี 2,690

โต๊ะคอมพิวเตอร์ ราคาถูกในปัจจุบันมีให้เลือกมากมาย ตั้งแต่โต๊ะพื้นฐานทั่วไป ที่ใช้ในการเรียนในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงโต๊ะทำงาน และโต๊ะคอมสำหรับเล่นเกม การเลือกใช้ ก็ขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัย ตามที่ได้แนะนำไปในเบื้องต้น บรรดาโต๊ะคอมที่เรารวบรวมมานี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น อย่างไรก็ดี หากคุณชื่นชอบ ก็สามารถคลิ๊กลิงก์ไปหาข้อมูลหรือร้านจำหน่ายได้จากบทความนี้ สำหรับคนที่ชอบโต๊ะยาวๆ มีตัวเลือกจาก IKEA และ BAIERDI MALL ที่ระดับ 180cm – 200cm ให้เลือก สามารถวางอุปกรณ์เสริมและคอมไว้บนโต๊ะได้ แต่ถ้าเน้นฟังก์ชั่นมีหลายรุ่นที่เป็นโต๊ะคอเกมมิ่ง ที่มีทั้งแขวนหูฟัง และวางแก้วให้ครบ แต่จะมีเพียงบางรุ่นเท่านั้น ที่มีแสงไฟ LED มาให้ที่โต๊ะเลย เช่น Tengu Musashi เป็นต้น ส่วนถ้างบจำกัด 2,000 บาท ก็มี NEOLUTION QUORA ที่ให้ฟังก์ชั่นมาแน่นๆ ในงบประมาณนี้มาเลย เพียงแต่จะได้ความยาวโต๊ะ 100cm ซึ่งถ้าคุณใช้งานในพื้นที่จำกัดอยู่แล้ว ก็ถือว่าลงตัวครับ

และเรื่องที่สำคัญอย่างมากก็คือ การปรับสรีระการนั่งให้เหมาะสม เพื่อสุขภาพที่ดีในวันข้างหน้า และพักสายตาจากการทำงานหรือเล่นเกมบ้าง เพื่อลดปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมาในภายหลัง แม้คุณจะเลือกโต๊ะคอมได้ตามต้องการแล้วก็ตาม อย่าลืมพักผ่อน และจัดท่าทางการนั่งของคุณให้ดีด้วยครับ โอกาสหน้าพบกันใหม่

from:https://notebookspec.com/web/679110-8-gaming-desktop-2022

ลำโพงคอม เสียงดี 9 รุ่น งบ 2000 บาท ไร้สาย ต่อมือถือได้ เล่นเกม ดูหนัง ฟังเพลง ของขวัญปีใหม่

ลำโพงคอม เสียงดี ไซส์มินิ ในงบ 2000 บาท 9 รุ่น ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม ประชุมออนไลน์ บลูทูธไร้สาย ของขวัญปีใหม่

ลำโพงคอม เสียงดี

ลำโพงคอม เสียงดี ใครก็อยากได้ วันนี้เรามีลำโพง 9 รุ่นมาแนะนำในช่วงปลายปี 2022 สำหรับเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับตนเอง หรือจะมอบให้คนพิเศษของคุณในปี 2023 ได้เช่นกัน เพราะหลายชีวิตเวลานี้ ยิ่งคนทำงานเป็นหลัก ก็มักอยู่หน้าคอมทั้งวัน จนบางครั้งแทบจะทานข้าวหน้าคอมไปด้วย เพราะทุกวันนี้บางคนยังต้องทำงานออนไลน์อยู่ที่บ้าน จึงรวมเอาทั้งการทำงาน และความบันเทิงไว้ที่เดียวกันเลย นอกจากเรื่องภาพแล้ว เรื่องเสียงก็สำคัญ บางคนอาจจะชอบหูฟัง ช่วงที่ต้องการเป็นส่วนตัว แต่บางครั้งลำโพง ก็ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายได้มากกว่า ไม่อึดอัด แต่การจะเลือกลำโพงที่ถูกใจ ถูกราคาได้สักรุ่น ก็ไม่ง่าย วันนี้มาดูกันว่า รุ่นไหนจะถูกใจคุณกันบ้างครับ


ลำโพงคอม เสียงดี

  1. BINNIFA Play 2D
  2. Audio Technica AT-SP95
  3. EDIFIER R19BT
  4. Philips MMS2025
  5. Microlab M600BT
  6. Edifier G1500 HECATE
  7. BINNIFA Play 3D
  8. Microlab M200BT
  9. Creative T60
  10. Conclusion

1.BINNIFA Play 2D

ลำโพงคอม เสียงดี

ลำโพงคอมราคาประหยัด แต่จัดว่าน่าสนใจ ขนาดกระทัดรัด ดีไซน์เรียบง่าย แต่ตอบโจทย์การใช้งานได้ดีทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการดูหนัง ฟังเพลง หรือเล่นเกมก็ตาม เหมาะสำหรับคนที่เน้นความสะดวก ใช้งานง่าย และพกพาไปใช้งานข้างนอกได้ กับการเป็นลำโพงแบบ 2 แชนแนล รองรับการเชื่อมต่อได้ทั้งแบบไร้สาย ผ่านทางบลูทูธ 5.0 เข้ากับโน๊ตบุ๊ค แท็บเล็ตหรือสมาร์ทโฟน และแบบใช้สายด้วย USB-A to micro-USB ปุ่มไดอัล ปรับเพิ่ม-ลดเสียงได้จากหลังลำโพง เสียงเบสค่อนข้างนุ่ม ความทุ้มกับการดูหนัง เล่นเกมให้เอฟเฟกต์กับความเร้าใจได้ ใครที่ชอบสไตล์ของลำโพงโลหะผสานกับความเป็นไม้แบบคลาสสิค ไม่ควรพลาดกับราคาประมาณ 999 บาท

Advertisementavw
จุดเด่น ข้อสังเกต
ขนาดกระทัดรัด ปรับระดับเสียงด้านหลัง
รองรับบลูทูธ 5.0

รายละเอียดเพิ่มเติม: XIAOMI BINNIFA


2.Audio Technica AT-SP95

ลำโพงคอม เสียงดี

ลำโพงขนาดกระทัดรัด ที่สามารถจัดวางบนโต๊ะคอมได้อย่างลงตัว พร้อมปุ่มบิดปรับระดับเสียง ที่ควบคุมได้อย่างง่ายดาย เป็นแบบ 2 แชนแนล ใช้พลังงานจากพอร์ต USB ซึ่งคุณจะต่อจากพีซี หรือโน๊ตบุ๊คได้ตามสะดวก สายต่อ AUX ที่ยาว 1.5 เมตร ทำให้วางในพื้นที่ห่างจากจอภาพได้ไม่เกะกะ ไดรเวอร์ที่เป็นตัวขับ 2w จำนวน 2 ตัว ช่วยให้ถ่ายทอดพลังเสียงที่โดดเด่น เสียงกลางแน่น ทำให้ได้ยินเสียงนักร้อง หรือการสนทนาได้ชัด สเตจเสียงอยู่ที่ 10Hz – 20,000Hz เท่านี้ก็สามารถเพลิดเพลินไปกับเสียงเพลง การชมภาพยนตร์และการประชุมออนไลน์ได้สะดวก ราคาประมาณ 1,290 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ดีไซน์สวย วัสดุแข็งแรง ใช้งานแบบต่อสายเท่านั้น
ให้ย่านเสียงที่กว้าง

รายละเอียดเพิ่มเติม: Audio Technica


3.EDIFIER R19BT

ลำโพงคอม เสียงดี

ลำโพงบลูทูธขนาดกระทัดรัดรุ่นใหม่ ราคา ใช้ได้ 2 ระบบ ในราคาสบายกระเป๋า จัดเป็นลำโพงคอม เสียงดีอีกรุ่นหนึ่ง ที่มาพร้อมความเรียบง่าย แต่เข้ากับสไตล์การใช้งานในแบบต่างๆ ได้อย่างลงตัว ต่างจากจอรุ่นพี่ๆ เล็กน้อย ตรงที่เปิดโชว์ให้เห็นลำโพงและการออกแบบภายใน จุดเด่นอยู่ที่การใช้งานได้ทั้งแบบไร้สายผ่านบลูทูธ 5.3 ให้การเชื่อมต่อที่รวดเร็ว สำหรับมือถือหรืออุปกรณ์โมบาย และต่อผ่านสาย USB ที่มีซาวด์การ์ดมาในตัว รวมถึงการต่อผ่าน AUX โดยที่ปรับระดับเสียง รวมถึงเปิด-ปิดลำโพงได้จากด้านหน้า เรียกว่าเป็นลำโพงอีกรุ่นที่ไม่น่าพลาด กับราคาประมาณ 1,390 บาทเท่านั้น

จุดเด่น ข้อสังเกต
ดีไซน์ทันสมัย ลงตัว เน้นโทนเสียงกลางเป็นหลัก
ปรับระดับเสียงได้ง่าย

รายละเอียดเพิ่มเติม: Edifier


4.Philips MMS2025

ลำโพงคอม เสียงดี

ลำโพงคอม เสียงดี ปี 2022 อีกหนึ่งรุ่นที่น่าสนใจ ในราคาไม่เกิน 2,000 บาท เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่ออกแบบมาในรูปลักษณ์ที่ทันสมัย ในสไตล์ของ 2.1 วัสดุแข็งแรง โครงสร้างขนาดกลางๆ ให้การเชื่อมต่อได้ทั้งแบบไร้สายผ่านบลูทูธ 5.0 หรือจะต่อสาย AUX ร่วมกับสมาร์ททโฟน พีซีหรือโน๊ตบุ๊คที่มีช่องเอาท์พุต 3.5mm ก็ได้เช่นกัน ย่านความถี่เสียง 40Hz – 20KHz จึงค่อนข้างเก็บรายละเอียดได้ดี เน้นที่ความบันเทิงเป็นหลัก ทั้งการดูหนังและฟังเพลง ด้วยการให้เสียงเบสที่จุใจ ปรับระดับเสียงได้จากด้านหน้าของ Sattlelite รวมถึงมี USB Direct เพื่อใช้ในการเล่นเพลง MP3 ได้ทันที และมีตัวรับสัญญาณ FM ในตัว เรียกว่าสะดวกครบครัน สนุกได้ทุกที่ในงบ ประมาณ 1,490 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
เป็นลำโพงคอม 2.1 ที่ราคาโดดเด่น ต่อ USB Direct ได้
รองรับทั้งบลูทูธและต่อสาย

รายละเอียดเพิ่มเติม: Philips


5.Microlab M600BT

ลำโพงคอม เสียงดี

ลำโพงคอมที่ตอบโจทย์ทั้งต่อสายและไร้สายผ่านบลูทูธได้สะดวก กับดีไซน์ของ Microlab ที่เรียกว่า เข้าสไตล์กับการใช้งานในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการดูหนัง ฟังเพลง หรือการเล่นเกมก็ตาม เพราะคุณจะเล่นเกมผ่านพีซี โน๊ตบุ๊ค ก็สะดวก หรือจะเพิ่มความมันส์กับการเล่นบนมือถือก็ทำได้ ขนาดกระทัดรัด ในสไตล์ของลำโพง 2.1 และมีตัวควบคุมเสียงเป็นสายต่อมาในตัว หรือจะปรับจากทางด้านหลังลำโพงก็ได้ โดยเป็นชุดลำโพงที่มีตัวขับด้านหน้า พร้อม Tweeter ข้างละ 1 ตัว ให้เสียงย่านกลางได้ค่อนข้างดี ย่านความถี่อยู่ที่ 40Hz-20KHz ให้เบสที่นุ่มนวลดีพอสมควร ราคาประมาณ 1,890 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
มี Dial ให้ปรับระดับเสียงแยกมาด้วย
Tweeter ประหยัดพื้นที่

รายละเอียดเพิ่มเติม: Microlab


6.Edifier G1500 HECATE

ลำโพงคอม เสียงดี

เป็นลำโพงคอม เสียงดีที่ออกแบบมาในสไตล์ของเกมมิ่งน่าสนใจ ไซส์กระทัดรัด เล็ก พกพาไปใช้งานข้างนอกได้ แถมยังมีแสงไฟ RGB สวยสะดุดตา เพิ่มความล้ำสมัยน่าใช้มากยิ่งขึ้น จุดเด่นอยู่ที่การปรับแต่งแสงไฟได้ รองรับทั้งการเล่นเกม ดูหนัง และฟังเพลง โดยมีโหมดเสียงที่แตกต่างกันให้ใช้งาน 3 รูปแบบ รูปทรงในแบบ Hexagon ทำให้ดูเหมือนกับยานอวกาศ รองรับการเชื่อมต่อได้ทั้งพีซี โน๊ตบุ๊คผ่านทาง 3.5mm AUX หรือ USB และใช้ร่วมกับมือถือ แท็ปเล็ตแบบไร้สายด้วย Bluetooth 5.3 แม้จะเป็นลำโพงแบบ 2 แชนแนลแต่ให้พลังขับได้ถึง 10W, 5W + 5W เรียกว่าความมันส์มาแบบจัดเต็ม ปรับระดับเสียงได้จากด้านหน้าลำโพง จัดจ้านกับซาวด์การ์ดที่ติดตั้งในตัว ย่านความถี่สัญญาณ 93Hz – 20KHz แม้เสียงต่ำจะไม่ได้ลงลึกมาก แต่ยังเก็บเสียงกลางที่แน่นไว้ได้ สนนราคาอยู่ที่ประมาณ 1,990 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ดีไซน์สวย มีไฟ RGB เน้นเสียงกลาง
ต่อพ่วงได้หลายช่องทาง

รายละเอียดเพิ่มเติม: Edifier


7.BINNIFA Play 3D

ลำโพงคอม เสียงดี

ลำโพงคอมในแบบ 2.1 แชนแนลที่มีขนาดกระทัดรัด แต่จัดฟีเจอร์มาได้อย่างน่าสนใจ สำหรับคนที่รักความบันเทิง รองรับการเชื่อมต่อได้ทั้งแบบไร้สาย Bluetooth 5.0 สำหรับใช้กับพีซี โน๊ตบุ๊คและเครื่องเล่นโมบาย แต่ก็สนับสนุนการต่อสายด้วย AUX ได้อีกด้วย กับดีไซน์ที่ดูทันสมัย แต่ก็เรียบง่าย เน้นโทนสีที่เป็นไม้ ให้ความนุ่มนวล ระบบเสียงที่แยกรายละเอียดได้แม่นยำมากขึ้น เช่นเดียวกับระบบเสียง DSP ที่ให้ความแม่นยำ ซับวูเฟอร์ที่เสียงแน่นให้ความกระหึ่มสะใจ เน้นเสียงกลางชัด เสียงสูงมีความชัดเจน ปรับเพิ่ม-ลดเสียงได้จากด้านหลังของลำโพง ให้ย่านความถี่เสียงระดับ 60Hz – 20KHz สนนราคาอยู่ที่ 1,990 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ดีไซน์ทันสมัย สวยงาม ระบบเสียง DSP
ปรับระดับเสียงง่าย

รายละเอียดเพิ่มเติม: BINNIFA


8.Microlab M200BT

ลำโพงคอม เสียงดี

เป็นลำโพงอีกรุ่นหนึ่งของค่าย Microlab ในแบบ 2.1 แชนแนล ที่มีความทันสมัยไม่น้อย กับการออกแบบที่เข้ากันได้ทั้งในเรื่องความบันเทิง และการทำงาน โดยรองรับการเชื่อมต่อได้ทั้งแบบมีสาย เข้ากับพีซี โน๊ตบุ๊คหรือเครื่องเล่นอื่นๆ ได้ ผ่านทางแจ๊ค 3.5mm Audio และการเชื่อมต่อไร้สายด้วย Bluetooth 4.2 เหมาะกับคนที่ชอบความสนุกสนาน และการทำงานจริงจัง ด้วยชุดลำโพง พร้อมแอมป์ 40W และ Tweeter 12W x2 รองรับย่านความถี่เสียง 30Hz – 20kHz ให้โทนเสียงต่ำ และกลางได้แน่น เน้นความกระหึ่มของเอฟเฟกต์ในการเล่นเกม และดูหนัง รวมถึงเสียงดนตรี ที่จัดมาได้แบบใสๆ เคาะราคามาที่ 2,350 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ชุดลำโพง พลังขับสูง ขนาดค่อนข้างใหญ่
การเชื่อมต่อสะดวก

รายละเอียดเพิ่มเติม: Microlab


9.Creative T60

ลำโพงคอม เสียงดี

ลำโพงคอม เสียงดี ดีไซน์ว้าวจากทาง Creative ที่มาในแบบ 2 แชนแนล ชุดปรับระดับเสียงด้านหน้า ให้ความหรูหรา ลงตัวกับทุกสไตล์ ประหยัดพื้นที่วางบนโต๊ะ ที่เป็นชุดลำโพง พร้อมแอมป์ดิจิตอลในตัว เป็นแบบ 2 x15W RMS กับการเชื่อมต่อได้ทั้งแบบไร้สายผ่าน Bluetooth 5.0 สำหรับสมาร์ทโฟน และโน๊ตบุ๊ค รวมถึงสายต่อ USB-C เพื่อใช้กับพีซี รวมถึง AUX-in ที่ต่อจากเครื่องเล่นในแบบอื่นๆ ให้ย่านความถี่ระดับ 50Hz–20KHz พร้อมเทคโนโลยี BasXPort และระบบลดเสียงรบกวนโดยรอบแบบอัตโนมัติ รองรับทั้งการดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม และการสนทนา เสียงที่คมชัด เหมาะกับการใช้งานในด้านต่างๆ แม้ราคาจะค่อนข้างสูง คือขยับไปที่ 2,750 บาท แต่หากมองจากการออกแบบ ฟีเจอร์และคุณภาพเสียง ก็ถือว่าน่าลงทุนไม่น้อยเลย

จุดเด่น ข้อสังเกต
ต่อได้หลากหลาย 2 แชนแนล ราคาสูงสุดในครั้งนี้
การออกแบบล้ำสมัย

รายละเอียดเพิ่มเติม: Creative


Conclusion

Channel Driver Input Bluetooth Frequency Price
1.BINNIFA Play 2D 2 2.5W x2 AUX 5.0 20Hz–20KHz 999
2.Audio Technica AT-SP95 2 2W x2 AUX 100Hz–20KHz 1,290
3.EDIFIER R19BT 2 2W x2 AUX 5.3 80Hz – 19KHz 1,390
4.Philips MMS2025 2.1 25W AUX 5.0 40Hz – 20KHz 1,890
5.Microlab M600BT 2.1 12W AUX 3.0 40Hz – 20KHz 1,890
6.Edifier G1500 HECATE 2 5W x2 AUX 5.3 93Hz – 20KHz 1,990
7.BINNIFA Play 3D 2.1 15W AUX 5.0 60Hz – 20KHz 1,990
8.Microlab M200BT 2.1 12W x2 AUX 4.2 30Hz – 20kHz 2,350
9.Creative T60 2 15W x2 AUX 5.0 50Hz–20KHz 2,750

ก็น่าจะครบถ้วนกันไปแล้ว สำหรับลำโพงคอม เสียงดีขนาดกระทัดรัด น่าใช้ในสไตล์ของเกมเมอร์ และสายบันเทิง ที่รองรับทั้งการเล่นเกม ชมภาพยนตร์ และฟังเพลง ในงบประมาณ 2,000 บาทนี้ ซึ่งเกือบทั้งหมด จะเป็นลำโพงที่เชื่อมต่อบลูทูธ สำหรับการใช้งานแบบไร้สายได้ จะมีเพียง Audio Technica รุ่นเดียว ที่ต่อกับ AUX ส่วนถ้าคุณชอบเรื่องดีไซน์ กระทัดรัด พกพาไปใช้งานได้ 2 แชนแนล เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ โดยรุ่นที่เล็กๆ ก็จะมีทั้ง BINNIFA, Creative และ EDIFIER เป็นต้น ส่วนถ้าจะเน้นสเตจเสียงที่กว้าง ก็มีทั้ง BINNIFA และ Microlab ส่วนถ้าต้องการสีสันแบบล้ำๆ มีไฟสวย Edifier G1500 HECATE ก็ตอบโจทย์คุณได้เช่นกัน แต่ถ้าชอบสไตล์แบบเรียบง่าย เข้าได้ทุกโต๊ะทำงาน ก็มีด้วยกันหลายรุ่น เช่น Creative, Microlab และ EDIFIER เป็นต้น แต่ละรุ่นก็จะมีเรื่องของฟังก์ชั่นการปรับจูน และต่อพ่วงใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ ที่ต่างกันออกไป ชื่นชอบแบบไหน ก็เลือกสรรกันได้ตามสะดวกครับ สุดท้ายนี้ใครถูกใจเลือกใช้รุ่นไหนกันไปแล้วบ้าง ก็อย่าลืมคอมเมนต์เอาไว้แนะนำเพื่อนๆ กันบ้างครับ เผื่อจะได้เป็นแนวทางให้เพื่อนๆ ได้ตัดสินใจกัน ขอให้เต็มอิ่มไปกับความบันเทิงในช่วงปีใหม่ที่จะถึงนี้ครับ

from:https://notebookspec.com/web/678338-10-pc-speaker-2022