คลังเก็บป้ายกำกับ: MOBILE_ENTERPRISE

Intel เปิดตัว NUC 13 Pro ใหม่ ใช้หน่วยประมวลผล 13th Gen Intel Core

Intel ได้ประกาศเปิดตัว Intel NUC 13 Pro (code-named Arena Canyon) ใหม่ ใช้หน่วยประมวลผล 13th Gen Intel Core ขนาด 4 x 4 นิ้ว

Credit: Intel

Intel NUC 13 Pro มาในรูปแบบอุปกรณ์ขนาดเล็ก มีการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานให้ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อน ผ่านการใช้งานหน่วยประมวลผลรุ่นใหม่อย่าง 13th Gen Intel Core โดยมีรุ่นสูงสุดคือ 13th Gen Intel Core i7 ที่มี 6 Performance-cores (P-cores) และ 8 Efficient-cores (E-cores) รองรับการใช้งาน Intel vPro Enterprise สำหรับองค์กรที่ต้องการเน้นความมั่นคงปลอดภัยรวมถึงการใช้งาน Remote Management ซึ่ง Intel นั้นเปิดตัวออกมาด้วยกัน 3 Form Factor ได้แก่ Intel NUC 13 Pro Kits, Mini PC และ Board SKU

สำหรับรายละเอียดอื่นๆของอุปกรณ์มีดังนี้

  • รองรับหน่วยความจำ 64GB dual-channel DDR4-3200 MHz
  • มี M.2 slot จำนวน 2 ช่อง สำหรับ PCIe x4 Gen 4 NVMe SSD
  • มี Intel i226 Ethernet รองรับความเร็ว 2.5 Gbps
  • มี Intel Wi-Fi 6E และ Bluetooth 5.3
  • มี HDMI port จำนวน 2 ช่อง และ Thunderbolt 4 จำนวน 2 ช่อง รองรับการเชื่อมต่อหน้าจอ 4K@60Hz จำนวน 4 ตัว
  • มีช่องเชื่อมต่อ USB 3.2 จำนวน 3 ช่อง และ USB 2.0 จำนวน 1 ช่อง

สำหรับ Intel NUC 13 Pro Kits และ Mini PCs จะเริ่มวางจำหน่ายในช่วงปลายเดือนนี้ มีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 340 เหรียญ จนถึง 1,080 เหรียญ ตามสเปคที่เลือกใช้ ผู้ใช้งานสามารถเลือกปรับแต่งอุปกรณ์ภายในและ OS ได้เองบนเวอร์ชัน Kits และสามารถเลือกใช้งานแบบครบชุดผ่านทางเวอร์ชัน Mini PCs ส่วนลูกค้าที่ต้องการนำไปสร้างเป็น Custom Solutions สามารถเลือกใช้งานเวอร์ชัน Board SKU ได้

ที่มา: https://www.intel.com/content/www/us/en/newsroom/news/intel-nuc13-pro-small-outside-powerful-inside.html

from:https://www.techtalkthai.com/intel-launches-new-intel-nuc-13-pro-with-13th-gen-intel-core-processor/

Advertisement

เปิดให้เป็นเจ้าของก่อนใคร! LG Gram แล็ปท็อปรุ่นใหม่ที่สุดแห่งความเบาและทนทาน [Guest Post]

” พิเศษสำหรับ 100 เครื่องแรก รับฟรีจอมอนิเตอร์แบบพกพา LG Gram+view มูลค่า 12,250 บาท”

กรุงเทพฯ, 21 มีนาคม 2566 – บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด จัดโปรโมชันพรีออเดอร์สุดพิเศษ สำหรับผู้ที่จองแล็ปท็อปรุ่นใหม่ล่าสุด “LG Gram” รุ่นปี 2023 รับฟรีจอมอนิเตอร์แบบพกพา LG Gram+view ขนาด 16 นิ้ว รุ่น Limited Edition ไม่มีจำหน่ายในประเทศไทย เสริมมุมมองการใช้งานแล็ปท็อปให้กว้างเหนือขีดจำกัด โดยสิทธิรับของแถมจอมอนิเตอร์รุ่นพิเศษนี้เฉพาะผู้ที่สั่งจองแล็ปท็อป LG Gram 100 ออร์เดอร์แรกเท่านั้น! โปรโมชันพรีออเดอร์เริ่มตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม – 3 เมษายน 2566 เท่านั้น ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรโมชันได้ที่ https://www.lg.com/th/promotions/New_JeansxGram_Gen13

แล็ปท็อปสุดพรีเมียม “LG Gram” รุ่นใหม่ล่าสุดประจำปี 2023 การันตีด้วยแพลตฟอร์ม Intel® Evo™ ขับเคลื่อนด้วยชิพประมวลผล Intel® Core™ เจเนอเรชัน 13 มาในดีไซน์เรียบหรู และบางเบายิ่งขึ้น ด้วยน้ำหนักเพียง 1.19 กิโลกรัม สำหรับรุ่น 16 นิ้ว และ 1.35 กิโลกรัม สำหรับรุ่น 17 นิ้ว จึงพกพาได้สะดวก เหมาะสำหรับการใช้งานในทุกที่ ด้วยประสิทธิภาพการใช้งานอันทรงพลัง อายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานสูงสุด 19.5 ชั่วโมง เมื่อชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง มาในอัตราส่วนหน้าจอแบบ 16:10 บนพาเนลแบบ IPS โดดเด่นด้วยคุณสมบัติการรักษาความเป็นส่วนตัวที่อัพเกรดจากรุ่นก่อนหน้า ทั้งการเชื่อมต่อแอปพลิเคชัน LG Security Guard ที่จะล็อกการใช้งานแล็ปท็อปและช่วยแจ้งเตือนผู้ใช้งานทันทีที่ตรวจพบการใช้งานอันไม่พึงประสงค์ ฟีเจอร์ LG Glance By Miramax ที่ใช้ AI ตรวจจับใบหน้าและสายตา ช่วยเบลอข้อมูลบนหน้าจอเมื่อผู้ใช้งานไม่อยู่หน้าแล็ปท็อปหรือเมื่อมีคนอื่นจ้องมองที่หน้าจอ นอกจากนี้ ระบบเสียงของ LG Gram ยังอัพเกรดจากรุ่นก่อนหน้าด้วยการส่งพลังเสียงจากลำโพง 5 วัตต์ พร้อมรองรับเนื้อหาคอนเทนต์คุณภาพสูงผ่านระบบ Dolby Atmos

LG Gram รุ่นใหม่ล่าสุดนี้มาในสีดำ โดยมีให้เลือกทั้งหมด 4 รุ่นตามขนาดหน้าจอทั้ง 16 นิ้ว และ 17 นิ้ว พร้อมตัวเลือกหน่วยความจำที่หลากหลายตามความต้องการใช้งาน ราคาจำหน่ายตั้งแต่ 59,000 – 76,000 บาท พร้อมเปิดให้สั่งจองตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม – 3 เมษายน 2566 เป็นต้นไปที่ร้านค้าตัวแทนจำหน่าย JIB และ COM7 หรือช่องทางออนไลน์ทั้ง Lazada และ Shopee ดูรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้าเพิ่มเติมได้ที่ https://www.lg.com/th/laptops หรือสอบถามข้อมูลที่ศูนย์ข้อมูลแอลจี 0-2057-5757 พร้อมติดตามกิจกรรมต่าง ๆ จากแอลจีได้ทาง

# # #

เกี่ยวกับ แอลจี อีเลคทรอนิคส์ ในประเทศไทย

บริษัทแอลจี อีเลคทรอนิคส์ ประเทศไทย (จำกัด) หนึ่งในผู้นำด้านการผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้า และกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านภายใต้แบรนด์ แอลจี โดยมีวิสัยทัศน์ที่จะก้าวขึ้นสู่ความเป็นแบรนด์ชั้นนำของเมืองไทยที่จะเติมเต็มชีวิตของผู้บริโภคชาวไทยด้วยนวัตกรรมระดับโลกโดยในประเทศไทยนั้น ประกอบไปด้วย 3 หน่วยธุรกิจสำคัญ ได้แก่ ธุรกิจผลิตภัณฑ์โฮมเอ็นเตอร์เทนเมนต์  ธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ธุรกิจเครื่องปรับอากาศและโซลูชั่นด้านพลังงานแอลจีเป็นผู้นำด้านการผลิตทีวีจอแบน อุปกรณ์ภาพและเสียง เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า และตู้เย็นที่มีคุณภาพระดับโลก นอกจากผลิตภัณฑ์ที่มีความโดดเด่นทั้งด้านดีไซน์ เทคโนโลยีและคุณภาพที่วางใจได้แล้ว แอลจียังมุ่งมั่นในการสร้างแบรนด์ผ่านกิจกรรมทางการตลาดในรูปแบบที่น่าสนใจและหลากหลายเพื่อให้สอดคล้องกับสโลแกน “Life’s Good” 

ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับแอลจีได้ที่ www.LGnewsroom.com และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแอลจี ประเทศไทย ได้ที่ www.lg.com/th 

from:https://www.techtalkthai.com/open-to-be-the-owner-lg-gram-the-lightest-and-most-durable-laptop-guest-post/

AIS Business เดินหน้าปี 2023 พร้อมเป็นพันธมิตรดิจิทัลของทุกองค์กรไทย พลิกโฉมธุรกิจให้ “เติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน”

ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาอาจถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความยากลำบากสำหรับทุกองค์กรธุรกิจ มีเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นทั้งเรื่องของสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ความไม่แน่นอนในเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ จนกระทบมาถึงเรื่องเงินเฟ้อและเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ที่อาจจะเกิดขึ้นทั่วโลกในปีนี้ ทุกองค์กรธุรกิจจึงจำเป็นจะต้องเร่งปรับตัวเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่กำลังเป็นไปในอนาคตอันใกล้

AIS Business ในฐานะ Digital Service Provider ชั้นนำของไทย ที่มีโครงสร้างพื้นฐานและระบบนิเวศธุรกิจดิจิทัล (Digital Business Ecosystem) ได้เปิดวิสัยทัศน์ปี 2023 เดินหน้าสู่การเป็นพาร์ตเนอร์ พันธมิตรของทุกองค์กรอย่างเต็มรูปแบบ ด้วยแนวคิด “เติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน” เพื่อทำให้ทุกองค์กรสามารถดำเนินธุรกิจท่ามกลางความไม่แน่นอนและความท้าทายต่อไปได้อย่างยั่งยืน แล้ว AIS Business มีแผนที่จะก้าวต่อไปอย่างไรบ้าง แนวคิดอะไรที่องค์กรธุรกิจสามารถเชื่อมโยงหรือนำไปประยุกต์ใช้ได้ ติดตามได้ในบทความนี้

AIS Transformation จาก Digital Service Provider สู่การเป็น Cognitive TechCo

ตั้งแต่สมัยอดีตกาล AIS ได้มีบทบาทสำคัญต่อประเทศในฐานะผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคม (Telecom Service Provider) ชั้นนำที่ให้บริการโครงข่ายกับผู้ใช้อย่างแข็งแกร่งมาจวบจนถึงวันนี้ และด้วยแนวคิดที่ไม่ยอมหยุดนิ่งอยู่กับที่ของ AIS ด้วยความพยายามพลิกโฉมดิสรัป (Disrupt) องค์กรตัวเองอย่างต่อเนื่องจนนำพาองค์กรฝ่าฟันอุปสรรคหรือวิกฤตการณ์ใด ๆ มาแล้วมากมาย ทำให้ทุกวันนี้ AIS ได้กลายมาเป็นผู้ให้บริการดิจิทัล (Digital Service Provider) อย่างเต็มรูปแบบได้สำเร็จ และได้รับความไว้วางใจจากองค์กรชั้นนำระดับประเทศสูงสุดในปีที่ผ่านมาเป็นที่เรียบร้อย

สำหรับปี 2023 และอนาคตอันใกล้ ทาง AIS ก็กำลังเดินก้าวถัดไปที่จะทรานส์ฟอร์มองค์กรใหม่อีกครั้ง ในฐานะ “องค์กรโทรคมนาคมอัจฉริยะ” หรือ “Cognitive TechCo” ที่จะมีความชาญฉลาดในการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีต่าง ๆ อย่างเช่น AI, Data Analytics หรือ Automation มาสนับสนุนประยุกต์ในบริการและโซลูชัน เพื่อให้การทำงานในทุกอุตสาหกรรมนั้นมีความฉลาดมากขึ้นและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งวิสัยทัศน์นี้ได้ฉายภาพมายังฝั่งของ AIS Business ด้วยเช่นกันผ่าน 5 กลยุทธ์ของ AIS Business ที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่องเรื่อยมา ประกอบกับเรื่องความเชื่อในการจับมือเดินไปด้วยกันเป็น Digital Business Ecosystem มากกว่าการเดินทำธุรกิจอย่างโดดเดี่ยว คือจุดสำคัญที่ทำให้องค์กรสามารถเติบโตมาได้จนถึงทุกวันนี้ 

AIS Business ปี 2022 ช่วยเร่งการพัฒนาดิจิทัลให้ธุรกิจไทยอย่างต่อเนื่อง

ในปีที่ผ่านมาอาจยังเรียกได้ว่าสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 นั้นยังคงส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจอยู่พอสมควร หากแต่สถานการณ์ก็ยังดูดีกว่าปีก่อน ๆ ซึ่งตัวเลขที่ทาง AIS Business เปิดเผยออกมานั้น สะท้อนให้เห็นว่าภาคธุรกิจยังคงนำเทคโนโลยีดิจิทัลสนับสนุนให้องค์กรเดินหน้าต่อไป โดยมีการปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเติบโตขึ้นในระดับ 2 หลัก (Double Digits) ซึ่งตัวเลขที่โดดเด่นอย่างมาก คือจำนวนองค์กรที่มีการปรับใช้เทคโนโลยี Cloud จากทาง AIS Business ในปีที่แล้วนั้นมีจำนวนมากถึง 3 พันรายหรือเพิ่มขึ้นสูงขึ้นกว่า 200% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า (Year Over Year : YoY) และจำนวนการเชื่อมต่อ 5G เพื่อธุรกิจ ถึง 2 แสนอุปกรณ์ หรือเพิ่มขึ้นกว่า 40% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าเช่นกัน

อีกด้านหนึ่ง AIS Business ก็ยังคงสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง จนทำให้มีพาร์ตเนอร์มากกว่า 200 องค์กรแล้วในปัจจุบัน ทั้งระดับประเทศที่เป็นภาครัฐและเอกชนในหลากหลายอุตสาหกรรม  พร้อมทั้งได้รับรางวัลเป็น Partner of the Year จากพันธมิตรเทคโนโลยีระดับโลก นี่คือตัวบ่งชี้อย่างชัดเจนถึงขีดความสามารถที่ทำให้ AIS Business เป็นผู้ให้บริการดิจิทัลที่สนับสนุนภาคธุรกิจให้สามารถเร่งการทรานสฟอร์มได้อย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

พันธกิจส่งเสริมธุรกิจไทยให้เดินหน้าอย่างยั่งยืนผ่าน 3 แนวคิด “เติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน”

สำหรับก้าวถัดไปหลังจากนี้ของ AIS Business ดูเหมือนจะไม่ได้เลือกใช้แนวทางให้องค์กรเติบโตแบบก้าวกระโดดเพียงลำพังเท่านั้น หากแต่จะเป็นการเติบโตที่สามารถเดินหน้าพร้อมพันธมิตรทุกธุรกิจต่อไปได้อย่างยั่งยืน (Sustainability) ด้วย ตามที่ AIS Business ได้ประกาศแนวคิด “เติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน” ซึ่งถือว่าเป็นคำพูดที่สะท้อน 3 สิ่งที่ AIS Business จะผลักดันให้มากขึ้นในปีนี้ได้อย่างนุ่มนวลแต่ครบถ้วน โดย 3 สิ่งที่ว่านั้น ได้แก่

Growing เร่งภาคธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง

ด้วยสถานการณ์แพร่ระบาด COVID-19 ที่กำลังคลี่คลายลงเรื่อย ๆ องค์กรในทุกภาคอุตสาหกรรมเริ่มตั้งหลักได้ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ปีนี้จึงเชื่อว่าภาคธุรกิจจะสามารถฟื้นคืนกลับสู่สภาวะปกติและจะกลับมาเร่งการเติบโตต่อไปได้แล้ว ดังนั้น AIS Business ร่วมกับพันธมิตรที่มีโซลูชันและนวัตกรรมอันหลากหลายจึงมีความพร้อมที่จะช่วยสนับสนุนให้ทุกองค์กรธุรกิจเร่งการเติบโตหลังจากนี้ได้อย่างต่อเนื่องและมั่นคง 

ไม่ว่าจะเป็นโซลูชันที่ช่วยเสริมความยืดหยุ่นและความฉลาดให้กับองค์กร อย่างเช่น 5G NEXTGen Platform, Cloud X Ecosystem, Data Analytics as a Service หรือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานในแต่ละอุตสาหกรรม อาทิ Smart Manufacturing, IoT ฯลฯ โซลูชันทั้งหลายเหล่านี้ของ AIS Business นั้นมีความพร้อมที่จะเสริมให้ทุกองค์กรมีความคล่องตัว (Agility) ขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยข้อมูล (Data-Driven) และเสริมประสิทธิภาพให้มีผลิตผล (Productivity) ที่ดีขึ้น ทั้งหมดเพื่อทำให้ธุรกิจเร่งเดินหน้าเติบโตต่อไปได้อย่างรวดเร็ว เปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์โลกได้อย่างทันท่วงที

Trusted เสริมความอุ่นใจในโครงสร้างพื้นฐาน

การทรานส์ฟอร์มธุรกิจใด ๆ เรื่องโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล (Digital Infrastructure) คือส่วนสำคัญอย่างมากที่จะส่งผลต่อความสำเร็จในการพลิกโฉมธุรกิจให้ทันกับความเปลี่ยนแปลง ซึ่งไม่ว่าองค์กรจะมีโจทย์ปัญหาหรือข้อจำกัดอะไรก็ตาม ในระบบนิเวศของ AIS Business นั้นมี Digital Infrastructure และนวัตกรรมต่าง ๆ ที่พร้อมให้เลือกใช้งานได้อย่างมั่นใจในทุกจุด 

ตั้งแต่เรื่องของโครงข่าย (Network) สัญญาณ 5G ไปจนถึงระบบ Cloud ในระดับ Private Cloud, Edge Computing, Local Cloud และ Hyperscaler รวมถึงการทำ Cybersecurity ในทุกระดับ ทาง AIS Business พร้อมพาร์ตเนอร์มีโซลูชันที่สามารถสนับสนุนทุกความต้องการ เช่น Network Slicing, Software Defined Network, 5G Fixed Wireless Access (FWA), Multi-access EDGE Computing (MEC), Sovereign Cloud หรือ Cloud X, Cyber Secure ทุกโซลูชันนั้นพร้อมสนับสนุนให้ทุกองค์กรทรานส์ฟอร์มพลิกโฉมได้อย่างมั่นใจได้ในทุกจุดที่ต้องเชื่อมต่อกัน เพื่อทำให้โครงสร้างพื้นฐานขององค์กรมีทั้งเรื่องประสิทธิภาพ ความยืดหยุ่น และความมั่นคงปลอดภัย อุ่นใจได้ทุกที่ทุกเวลา

Sustainability ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน

หลายคนมักจะนึกถึงเรื่อง Sustainability คือเรื่องของสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก แต่แท้จริงแล้วยังมีเรื่องอื่น ๆ ที่ต้องพิจารณาด้วย ดังเช่นแนวคิด ESG ที่ประกอบไปด้วยสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และธรรมาภิบาล (Governance) ซึ่งจะเห็นได้ว่า Sustainability นั้นไม่ได้มีแค่เรื่องสิ่งแวดล้อมเพียงเท่านั้นอย่างเดียว ยังมีเรื่องของสังคม ความเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำ ความปลอดภัยของพนักงาน หรือการกำกับดูแลกิจการให้มีความโปร่งใสและเป็นธรรม ฯลฯ อีกมากมาย 

สิ่งนี้คืออีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ AIS ได้ยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจมาโดยตลอด ทั้งการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมด้วยการใช้พลังงานน้อยลง ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2), การลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ ด้วยโครงการ AIS e-Waste และการสร้างความตระหนักรู้ด้านดิจิทัลให้กับประชาชนด้วยโปรแกรม AIS Acadamy for Thai และ AIS Aunjai Cyber ที่ช่วยเหลือสังคมให้เข้ามีความเข้าใจการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างถูกต้อง มีประโยชน์ ปลอดภัยโดยเท่าเทียมมากขึ้น นอกจากนั้น AIS Business ยังนำโซลูชันสนับสนุนภาคธุรกิจและองค์กรอื่น ๆ ให้ดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืนเช่นกันผ่านการใช้งานโซลูชันต่างๆ อาทิ ระบบตรวจสอบคุณภาพอากาศ (Air Quality Monitoring) หรือระบบตรวจสอบน้ำเน่าเสีย (Wastewater Monitoring) รวมไปถึงการสร้างศูนย์ AIS 5G NEXTGen Center เพื่อขับเคลื่อนระบบนิเวศนวัตกรรมดิจิทัล (Digital Innovation Ecosystem) สร้างความร่วมมือใหม่ ๆ ร่วมหาข้อมูลเชิงลึก (Insight) และสร้างนวัตกรรมที่แก้ไขปัญหาได้ตรงความต้องการให้มากขึ้น ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ AIS Business จะผลักดันต่อไปเพื่อทำให้เกิดความยั่งยืนทางธุรกิจไปด้วยกันในทุกภาคส่วน

Partnership ร่วมมือไปด้วยกันในอุตสาหกรรมที่หลากหลายขึ้น

ความร่วมมือยังคงเป็นหัวใจสำคัญสำหรับ AIS Business เสมอมา และสิ่งนี้จะยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีนี้และต่อ ๆ ไป ซึ่งก่อนหน้าจะเห็นว่า AIS Business ได้สร้างความร่วมมือกับองค์กรมากมายในภาคอุตสาหกรรมการผลิต (Manufacturing) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดย 2 Use Case ที่ AIS Business ภาคภูมิใจนำเสนอคือ SCG และ Somboon Advance Technology ที่สามารถพลิกโฉมโรงงานเก่าให้กลายเป็นโรงงาน Smart Factory ได้สำเร็จ ด้วยการปรับใช้ 5G ร่วมกับเทคโนโลยี 3D Vision-Robot, AS/RS-Warehouse และหุ่นยนต์ขนส่งไร้คนขับ (Unmanned AGV) ทำให้สามารถปรับไลน์การผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ การจัดการคลังสินค้าให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นกว่าเดิมอย่างมหาศาล

หลังจากนี้ AIS Business จึงเตรียมการขยายขอบเขตความร่วมมือที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตไปยังอุตสาหกรรมอื่น ๆ ให้หลากหลายมากขึ้นกว่าเดิม อาทิ ค้าปลีก (Retail) ขนส่งและโลจิสติกส์ (Transportation & Logistics) หรือธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) เพราะ AIS Business เชื่อว่าการเชื่อมจุด (Connect the dots) ได้มากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ก็จะยิ่งทำให้ทุกองค์กรในระบบนิเวศสามารถสร้างโอกาสใหม่ ๆ ได้อย่างทวีคูณ และปีนี้เชื่อว่าทุกคนจะได้เห็นการเติบโตของ AIS Business และพันธมิตรไปอีกระดับขั้น ผ่านโซลูชันและนวัตกรรมใหม่ ๆ ในอุตสาหกรรมที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งทั้งหมดจะส่งผลให้ทุกองค์กรเติบโตไปพร้อม ๆ กันได้อย่างอุ่นใจและยั่งยืน

บทส่งท้าย

ด้วยแนวคิดที่ไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ Disrupt และพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งแนวคิดที่จะก้าวต่อไปด้วยการเติบโตอย่างมั่นใจและยั่งยืนร่วมกัน จึงสรุปออกมาเป็นประโยคสั้น ๆ ที่ว่า “เติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน” อันเป็นตัวชี้ให้เห็นถึงแนวทางในปี 2023 ของ AIS Business ที่จะเดินหน้าสู่การเป็นพันธมิตรของทุกองค์กรได้อย่างนุ่มนวลและยั่งยืน ที่ทุกองค์กรสามารถให้ความเชื่อใจ และร่วมเดินทางเติบโตไปด้วยกันได้อย่างแน่นอน

สำหรับผู้ที่ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโซลูชันต่าง ๆ ของ AIS Business และพาร์ตเนอร์เพื่อนำไปทรานส์ฟอร์มธุรกิจของท่านได้ในทุกรูปแบบ สามารถติดต่อทาง AIS Business ได้ในทุกช่องทาง

AIS Business พร้อมเป็นพันธมิตรดิจิทัล ที่มั่นใจได้ เพื่อพัฒนาธุรกิจและสังคมไทย

เติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน

“Your Trusted Smart Digital Partner”

ปรึกษาและวางแผนพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อรองรับการทำงานและต่อยอดธุรกิจได้ที่

Email: business@ais.co.th

Website: https://business.ais.co.th

from:https://www.techtalkthai.com/ais-business-direction-for-year-2023-ready-to-become-the-digital-partner-of-all-thai-organization/

VMware ยกเครื่อง Workspace One SaaS เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานผ่าน Microservices

Workspace One เป็นโซลูชันด้านการบริหารจัดการอุปกรณ์ Endpoint และ Mobile ที่อยู่ในมือของ VMware มายาวนาน โดยวันนี้มีการประกาศการยกเครื่องระบบภายในของบริการ SaaS จาก Monolith สู่ Microservices ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ถึง 10 เท่า

ไฮไลต์สำคัญคือประโยชน์ที่ได้จากการออกแบบที่เป็น microservices อย่างที่ทราบกันก็คือการพัฒนาอย่างเป็นสัดส่วนที่แต่ละฟีเจอร์สามารถแยกอิสระไม่รบกวนกัน ซึ่งทำไปสู่เรื่องของความเร็วในการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่และการแพตช์แก้ไขบั๊กหรือปัญหาด้านความมั่นคงปลอดภัยและอื่นๆ

ในมุมด้านประสิทธิภาพ VMware เผยว่าประสิทธิภาพในการทำงานสูงถึง 10 เท่า ใช้เวลาโหลดหน้าจอการทำงานด้วยเวลาไม่กี่วินาที แม้จะทำงานกับอุปกรณ์นับล้านเครื่องก็ตาม สำหรับการควบคุมอุปกรณ์โซลูชันสามารถรับรู้สถานภาพระหว่างอุปกรณ์และสถานะที่ต้องการ (Desire State Management) หากมีความแตกต่างระบบก็จะดำเนินการบางอย่างเพื่อให้อุปกรณ์ไปสู่สถานะที่ต้องการ ซึ่งการทำงานนี้สามารถแบ่งเบาสู่ไคลเอ้นต์ได้เพื่อการทำงาน Offline และ Low-latency

คาดว่า Workspace One SaaS จะพร้อมเข้าสู่การใช้งานในช่วงครึ่งปีหลัง 2023 นี้

ที่มา : https://blogs.vmware.com/euc/2023/03/vmware-unveils-next-gen-workspace-one-saas-platform.html และ https://www.networkworld.com/article/3690154/vmware-overhauls-workspace-one-for-better-performance.html

from:https://www.techtalkthai.com/vmware-workspace-one-saas-with-microservices-architecture/

Microsoft เปิดตัว Intune Suite ชุด Endpoint Management ใหม่

Microsoft เปิดตัว Microsoft Intune Suite ชุด Endpoint Management ใหม่ มาพร้อมความสามารถแบบครบถ้วนสำหรับองค์กร

Microsoft ได้รวมความสามารถของ Microsoft Security และ Microsoft 365 เข้าด้วยกันเปิดตัวเป็นชุด Intune Suite ระบบ Cloud-based Endpoint Management โดยมีฟีเจอร์ที่จำเป็นสำหรับการใช้งานในองค์กรมาให้อย่างครบถ้วน สำหรับจุดเด่นที่เพิ่มเติมเข้ามามีดังนี้

  • Remote Help รองรับอุปกรณ์ Android และ Mac แล้ว เพิ่มเติมจากการรองรับ Remote Help บน Windows ภายใต้ Domain เดียวกัน
  • เพิ่ม Microsoft Tunnel for Mobile App Management ระบบ micro-VPN ช่วยให้แอพพลิเคชันสามารถเข้าถึงเครือข่ายภายในองค์กรได้ รองรับการใช้งานกับอุปกรณ์ส่วนตัว (BYOD) มีระบบ User Privacy และ Data Protection
  • เพิ่ม Advanced Endpoint Analytics ใช้งาน AI ในการวิเคราะห์ปัญหาและ Insight แบบ Real-time ช่วยให้ผู้ดูแลระบบแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว
  • เพิ่ม Advanced App Management ช่วยให้ผู้ดูแลระบบบริหารจัดการแอพพลิเคชันได้ง่ายยิ่งขึ้น รองรับการ Deploy และ Automatic Update แอพพลิเคชันบนอุปกรณ์ นอกจากนี้ยังมีแผนในการเพิ่ม Cloud Certificate Management เข้ามาในอนาคตเพื่อใช้ในการบริหารจัดการระบบ VPN และ WiFi อีกด้วย

Microsoft Intune Suite พร้อมใช้งานแล้วสำหรับลูกค้าที่ใช้งาน Microsoft Intune แบบ Subscribe รวมถึง Microsoft 365 E3 และ E5

ที่มา: https://petri.com/microsoft-launches-new-intune-suite/

from:https://www.techtalkthai.com/microsoft-launches-intune-suite-endpoint-management/

‘อโยเดีย’ คว้ามาตรฐาน CMMI ML3 ก้าวสู่บริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์ที่เติบโตอย่างยั่งยืน [Guest Post]

คุณอานนท์ ตั้งสถิตพร กรรมการผู้จัดการใหญ่, คุณจักรพงศ์ นาคเดช รองกรรมการผู้จัดการ และคุณเตวิช ตั้งสถิตพร รองกรรมการผู้จัดการ 3 ผู้ก่อตั้งบริษัท อโยเดีย จำกัด (AYODIA CO.,LTD.) ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ให้กับองค์กรชั้นนำต่างๆ ที่มีประสบการณ์มากกว่า 1 ทศวรรษ กล่าวถึงความสำเร็จในปี 2565 ที่ผ่านมาว่า ทางบริษัทฯ ได้รับการรับรองมาตรฐาน CMMI (Capability Maturity Model Integration) Level 3 ซึ่งสะท้อนความเป็นตัวจริงในด้าน Software Engineer ระดับสากล 

ทีมผู้บริหารบริษัท อโยเดีย จำกัด รับมอบใบประกาศนียบัตรรับรองมาตรฐาน CMML ML 3 จาก ดร.ชยากร 
ปิยะบัณฑิตกุล (ที่สองจากซ้าย) ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไอเซ็ม จำกัด เมื่อวันที่
27 มกราคม 2566

คุณอานนท์ ตั้งสถิตพร กรรมการผู้จัดการใหญ่, คุณจักรพงศ์ นาคเดช รองกรรมการผู้จัดการ และคุณเตวิช ตั้งสถิตพร รองกรรมการผู้จัดการ 3 ผู้ก่อตั้งบริษัท อโยเดีย จำกัด (AYODIA CO.,LTD.) ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ให้กับองค์กรชั้นนำต่างๆ ที่มีประสบการณ์มากกว่า 1 ทศวรรษ กล่าวถึงความสำเร็จในปี 2565 ที่ผ่านมาว่า ทางบริษัทฯ ได้รับการรับรองมาตรฐาน CMMI (Capability Maturity Model Integration) Level 3 ซึ่งสะท้อนความเป็นตัวจริงในด้าน Software Engineer ระดับสากล

          สำหรับ Capability Maturity Model Integration หรือ CMMI คือมาตราฐานกระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่กำหนดขึ้นโดยสถาบันวิศวกรรมซอฟต์แวร์ มหาวิทยาลัยคาร์เนกี้เมลลอน สหรัฐอเมริกา (Software Engineering Institute, Carnegie Mellon University, USA)  หากองค์กรใดได้รับรองมาตรฐาน CMMI Level 3 ขึ้นไป ถือว่าองค์กรนั้นมี กระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งองค์กร เป็นที่น่าเชื่อถือ ในระดับสากล ซึ่งในประเทศไทยมีบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์เพียงไม่กี่แห่งที่ได้รับมาตรฐานระดับนี้ อีกทั้งบริษัทฯ ยังได้รับการคัดเลือกจากเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย (ซอฟต์แวร์ปาร์ค) โดยการสอบสัมภาษณ์ผู้บริหารให้ได้รับทุนสนับสนุนในการทำการตรวจวัดและประเมินมาตรฐาน CMMI ในครั้งนี้ด้วย

สามผู้ก่อตั้งบริษัท อโยเดีย จำกัด (จากซ้ายไปขวา) คุณเตวิช ตั้งสถิตพร รองกรรมการผู้จัดการ,
คุณอานนท์ ตั้งสถิตพร กรรมการผู้จัดการใหญ่ และ คุณจักรพงศ์ นาคเดช รองกรรมการผู้จัดการ

“ผมมีความภูมิใจที่อโยเดียได้รับการรับรองมาตรฐานระดับนี้ ซึ่งชี้วัดความมีมาตรฐานในกระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์ของเรา นอกจากมาตรฐานนี้จะช่วยสนับสนุนให้อโยเดียได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าแล้ว ยังส่งผลบวกต่อตัวชี้วัดประสิทธิภาพด้านต่างๆ ของบริษัท ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ การยืนยันความเป็นมืออาชีพ และความเป็นตัวจริงของบุคลากรภายในองค์กร อันนำมาซึ่งความภาคภูมิใจของพนักงานทุกคน” คุณอานนท์กล่าว

บริษัท อโยเดีย จำกัด เป็นองค์กรที่เต็มเปี่ยมไปด้วยศักยภาพในการพัฒนาซอฟต์แวร์ตามความต้องการของลูกค้า ด้วยการบริหารจัดการที่มีคุณภาพ ความใส่ใจในการวิเคราะห์และออกแบบระบบ กระบวนการทำงานที่เป็นไปตามหลักวิศวกรรมซอฟต์แวร์ และการนำเอาเทคนิคและเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ทันสมัยมาใช้  แม้จะเป็นองค์กรที่ยังมีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่อโยเดียสามารถส่งมอบสินค้าและบริการได้ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง มีลูกค้าทั้งองค์กรเอกชนชั้นนำ และภาครัฐ รวมถึงภาคการเงิน การธนาคาร ไว้วางใจมาโดยตลอด โดยศักยภาพในการพัฒนาซอฟต์แวร์ของบริษัทฯ มีครบรอบด้าน ทั้งการพัฒนาในรูปแบบ Application, Web Application ตลอดจนการพัฒนา Mobile Application มีขีดความสามารถในการออกแบบและพัฒนาระบบที่มีขนาดใหญ่ และมีความซับซ้อนเชิงโครงสร้างให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัย ทั้งนี้ คุณอานนท์กล่าวเพิ่มเติมว่า “คุณภาพซอฟต์แวร์ไม่ได้ขึ้นกับการทำงานได้ถูกต้องตามความต้องการเท่านั้น (Functional Requirements) แต่ความต้องการด้านอื่นที่แฝงอยู่ซึ่งไม่เกี่ยวกับความต้องการโดยตรง (Non-Functional Requirements) เช่น ประสบการณ์ใช้งานที่ลื่นไหล ไม่ค้างหรือสะดุด, ความปลอดภัยของระบบ ไปจนถึงความสะดวกในการบำรุงรักษา ก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน”  โดยอโยเดียยังมีผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปด้านงานบุคคล (HR Suite), งานชีวอนามัย (Health Risk Assessment), ระบบสารสนเทศโรงพยาบาล (HIS) และระบบบริหารสถานพยาบาลภายในองค์กร (PromptCure Solution) ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกภาคธุรกิจอย่างแท้จริง

คุณอานนท์ ตั้งสถิตพร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อโยเดีย จำกัด

         

“อโยเดียพร้อมรักษาและยกระดับมาตรฐานกระบวนการการทำงานอย่างต่อเนื่อง มุ่งสู่การเป็นองค์กรที่บุคลากรล้วนภาคภูมิใจที่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร และในปี 2566 นี้ เรามีเป้าหมายด้านการรักษามาตรฐาน CMMI และ ISO29110 และจะยกระดับต่อยอดด้วยการรับรองมาตรฐาน ISO/IEC 27001 ซึ่งเกี่ยวข้องกับระบบความปลอดภัยของข้อมูล เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนและต่อเนื่อง  และทำงานเพื่อส่งมอบความสำเร็จให้กับลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด” นายอานนท์กล่าวทิ้งท้าย

ทีมผู้บริหาร และพนักงาน บริษัท อโยเดีย จำกัด ถ่ายภาพหมู่ร่วมกัน ในงานรับมอบใบประกาศนียบัตรรับรองมาตรฐาน CMML ML3

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมของอโยเดียได้ที่ https://ayodiacompany.com/

from:https://www.techtalkthai.com/ayodia-cmmi-ml3-guest-post/

Apple ออกแพตช์ช่องโหว่ Zero-day ให้ iPhone iPad เก่าและเพิ่มการรองรับ Hardware Security Key ใน iOS 16.3

Apple ได้ออกแพตช์ช่องโหว่ Zero-day ที่รายงานการถูกใช้โจมตีเหยื่อเมื่อไม่นานมานี้ให้แก่ iPhone และ iPad รุ่นเก่า ในวาระเดียวกันนี้ยังมีฟีเจอร์ใหม่จาก iOS 16.3 ที่รองรับการใช้ Hardware Security Key แล้ว

ประเด็นเรื่องช่องโหว่ CVE-2022-42859 เกิดขึ้นใน Webkit โดยคนร้ายสามารถสร้างหน้าเว็บเพจพิเศษและหลอกให้เหยื่อเข้าชม จากนั้นก็นำไปสู่การลอบรันโค้ดเพื่อทำให้เกิดอันตรายได้ต่อไป ทั้งนี้พบรายงานการโจมตีจริงแล้ว โดยผู้ใช้งานอุปกรณ์รุ่นเก่าอย่าง iPhone 5s, iPhone 6, iPhone 6 Plus, iPad Air, iPad mini 2, iPad mini 3 และ iPod touch (6th generation) จะได้รับการอัปเดตจาก Apple

อีกข่าวที่น่าสนใจคือ iOS 16.3 รองรับการเสริมปัจจัยการยืนยันตัวตนที่แข็งแรงมากขึ้นด้วย Hardware Security Key แทนการใช้เลข 6 หลัก เพื่อลดการตกเป็นเหยื่อของ Phishing Attack (การล็อกอินเข้าบัญชีต้องมีกุญแจเหล่านี้ซึ่งเป็นไปได้ยากมากๆ) โดยระบบ iOS จะกำหนดให้ผู้ใช้มีกุญแจ 2 ตัวเพื่อสำรองไว้หากทำหาย ทั้งนี้ความสามารถดังกล่าวรองรับ Hardware Security Key จากค่ายต่างๆเช่น YubiKey 5 NFC, YubiKey 5C NFC, Google Titan และ FEITAN ePass K9

ที่มา : https://www.bleepingcomputer.com/news/apple/apple-fixes-actively-exploited-ios-zero-day-on-older-iphones-ipads/ และ https://www.bleepingcomputer.com/news/apple/apple-ios-163-arrives-with-support-for-hardware-security-keys/

from:https://www.techtalkthai.com/apple-patches-cve-2022-42859-and-haraware-security-key-supported-in-ios-16-3/

เทรนด์เทคโนโลยีที่คาดว่าจะไม่เกิดขึ้นในปี 2023 จากการวิจัยของ ABI Research

เทคโนโลยีที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2023 ความก้าวหน้าหลายอย่างที่คาดหวังไว้สูง รวมถึง Industrial Metaverse, 5G wearables,  Printed Electronics และ  Satellite-to-Cell Services อาจจะไม่เกิดขึ้นในปี 2023

Image Credit : prespective-software.com
อ้างอิงจากเอกสารรายงานฉบับใหม่ มีจำนวน 74 เทรนด์เทคโนโลยีที่จะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงในปี 2023 นักวิเคราะห์ของ ABI Research ระบุถึง 41 เทรนด์ที่จะกำหนดรูปแบบตลาดเทคโนโลยี และอีก 33 เทรนด์ที่จะดึงดูดการเก็งกำไรและความเห็นจำนวนมาก แต่อย่างไรก็มีแนวโน้มน้อยที่จะเปลี่ยนแปลงภายในปีนี้สำหรับ 5 เทรนด์เทคโนโลยีที่น่าสนใจและคาดว่าจะไม่เกิดขึ้นในปี 2023 ตามที่ ABI วิจัย
 
  • Industrial Metaverse

กระแสของ Metaverse ถูกกล่าวถึงกันหนาหูถึงการลงทุนเม็ดเงินจำนวนมหาศาล แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับในปี 2023 นี้ จะยังไม่ใช่ปีแห่งการประกาศชัยชนะสู่อุตสาหกรรมและการผลิต (I&M) ด้วยเหตุผลด้านสภาพเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการลงทุนซึ่งยังขาดแนวทางสู่มูลค่าที่ชัดเจนสำหรับ “โลกเสมือน” แต่เหล่าบริษัทด้าน I&M ยังคงไม่ละความพยายามที่จะลงทุนในเครื่องมือที่สร้างเธรดดิจิทัลสำหรับการให้ข้อเสนอแนะระหว่างนักออกแบบ วิศวกร และทีมผู้ผลิต และจะยังมีการลงทุนใน Digital Twins อย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนถึงเครื่องจักร สายการผลิต และสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน
 
  • 5G Consumer Wearable

เทคโนโลยี 5G เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ผู้ผลิตอุปกรณ์เคลื่อนที่อ้างอิงถึงคุณสมบัติเฉพาะในผลิตภัณฑ์รุ่นถัดไป Consumer Wearable ซึ่งเป็นอุปกรณ์สวมใส่ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้งาน ทำให้มีอิสระมากขึ้นจากการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน แต่อย่างไรก็ตาม ABI กลับคาดการณ์ว่าอุปกรณ์สวมใส่ที่รองรับ 5G จะยังคงไม่ปรากฏบนรุ่นถัดไปให้เห็นในปี 2023 เนื่องจากวิวัฒนาการยังมีการขยับตัวไปข้างหน้าอย่างค่อยเป็นค่อยไปของเทคโนโลยี 5G ส่งผลให้โครงการความร่วมมือรุ่นที่ 3 (3GPP) จะเปิดตัวความสามารถที่ลดลง ดังตัวอย่าง (RedCap) New Radio (NR) ภายใต้รุ่น 17, รุ่น 18 และหลังจากนั้น RedCap ได้จัดการกับอุปกรณ์ที่มีต้นทุนและกรณีการใช้งานที่มีข้อจำกัดด้านพลังงาน โดยมุ่งไปที่ผลิตภัณฑ์ที่มีความซับซ้อนน้อยกว่ามาก ราคาถูกกว่า มีอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ดี และต้องการแบนด์วิดท์น้อยกว่าผลิตภัณฑ์ 5G NR ในปัจจุบัน
 
  • Private 5G

เพื่อให้สอดคล้องกับคุณสมบัติ 5G ระดับองค์กร ยังสนันสนุนด้วยเทคโนโลยี Ultra Reliable Low Latency Communication (URLLC) และ Time Sensitive Networking (TSN) เพื่อตอบสนองความต้องการด้านเครือข่ายที่สำคัญในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น และยังจะเริ่มปรากฏในชิปเซ็ตที่มีจำหน่ายทั่วไปภายในสิ้นปี 2023 คุณสมบัติ URLLC และ TSN ใน 5G จะช่วยสนับสนุนกรณีการใช้งานที่หลากหลาย ซึ่งครอบคลุมทั้งยานยนต์ การขนส่ง การดูแลสุขภาพ การศึกษา การผลิตสื่อ ป่าไม้ ความปลอดภัยสาธารณะ การธนาคาร สาธารณูปโภค และอื่นๆ การเปิดตัวอุปกรณ์ระดับอุตสาหกรรมที่สนับสนุนบริการ Time Critical บนเครือข่าย 5G ได้รวมอยู่ในการปรับปรุงต่างๆ ในรุ่นที่ 16 และรุ่นที่ 17 ซึ่งจะพร้อมจำหน่ายภายในไตรมาสที่ 1 ปี 2024 เนื่องจากความล่าช้านี้ 4G LTE จะยังคงเป็นเทคโนโลยีการเชื่อมต่อเซลลูลาร์ที่โดดเด่นจนถึงปี 2027 เป็นอย่างน้อย
 
  • Printed Electronics

การออกแบบสิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์มีการเติบโตที่น่าสนใจที่สุดสำหรับ IoT และเริ่มมีการประกาศความร่วมมือเบื้องต้นระหว่าง OEM/ODM และบริษัทการพิมพ์ อย่างไรก็ตาม Printed IoT ที่ออกมานั้น จะกำหนดให้บริษัทการพิมพ์แบบดั้งเดิม เช่น ผู้จำหน่ายที่ขาย Near Field Communication หรือ RFID Label/Tags เพื่อขยายวิสัยทัศน์นอกเหนือไปจากพอร์ตโฟลิโอที่มีอยู่และปรับเปลี่ยนวิธีการทำตลาดกับลูกค้าในระดับสายการผลิตและโรงงาน โดย ABI มองว่า ตลาด Printed Electronics ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และปี 2023 ยังไม่ใช่ปีที่อุตสาหกรรมจะสามารถพลิกโฉมได้ สำหรับในปี 2022 ที่ผ่านมา มีข้อมูลที่ทำให้เราได้เห็นภาพภาพของเทคโนโลยีการพิมพ์ใหม่ๆ ซึ่งสามารถนำมาสู่ IoT ได้
 
  • Satellite-to-Cell Services

Satellite-to-Cell Services ที่เกิดขึ้นใหม่กำลังได้รับแรงผลักดันสู่การพัฒนาที่สามารถเข้าการให้บริการได้ในวงกว้าง สังเกตได้จากผู้เล่นรายใหญ่อย่าง Apple, Huawei, SpaceX, Globalstar, AST Space Mobile และ Lynk กำลังเร่งเปิดตัวบริการต่างๆ ซึ่งปัจจุบัน Satellite-to-Cell Services พร้อมให้ใช้งานสำหรับเฉพาะทางเท่านั้น แต่ก็ยังสามารถแสดงให้เห็นถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพเพิ่มเติมให้ใกล้เวอร์ชันที่สมบูรณ์ในอีกหลายปีข้างหน้า โดยปีใน 2023 และ 2024 มีแนวโน้มว่าจะถูกนำมาใช้เพื่อความต้องการของผู้บริโภคในระดับชั้นนำเท่านั้น โดย ABI Research คาดการณ์ว่า Satellite-to-Cell Services จะเข้าถึงการเชื่อมต่อที่ 6.8 ล้านครั้งภายในปี 2027 นับว่าเป็นนวัตกรรมที่น่าจับตามองมากๆ อีกเทคโนโลยีนึง

สรุป

ปี 2023 จะเป็นปีที่มีความท้าทายสำหรับวงการเทคโนโลยีที่จะมีการพลิกโฉมนวัตกรรมมากที่สุด เพื่อก้าวเข้าสู่ยุค Digital Transformation ได้อย่างเต็มตัวและสู่ความยั่งยืน โดยเฉพาะวิกฤติ COVID-19 ที่ผ่านมา กลายเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ทุกภาคส่วนเร่งการเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัลอย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ทุกนวัตกรรมที่จะประสบความสำเร็จสู่เวอร์ชันที่สมบูรณ์ได้ง่ายๆ เช่นกัน “กาลเวลายังเป็นเครื่องพิสูจน์ความพยายามต่อไป”
 

from:https://www.techtalkthai.com/technology-trends-that-wont-happen-in-2023-according-to-abi-research/

Check Point ประกาศความร่วมมือกับ Intel รองรับการป้องกัน Ransomware ผ่านหน่วยประมวลผล

Check Point ประกาศความร่วมมือกับ Intel รองรับการตรวจจับและป้องกัน Ransomware ผ่านหน่วยประมวลผล

Credit: Check Point

Check Point ได้ประกาศความร่วมมือกับ Intel Corporation เพื่อเพิ่มความสามารถของโซลูชัน Check Point Harmony Endpoint ให้รองรับการทำงานร่วมกับ Intel vPro Threat Detection Technology (TDT) ซึ่งจะช่วยให้สามารถตรวจจับการทำงานของ Ransomware ผ่านทางประมวลผลได้ โดย Harmony Endpoint จะใช้เทคโนโลยี AI และ ML ในการวิเคราะห์ข้อมูลการทำงานของ CPU เพื่อตรวจจับและป้องกันการทำงานของ Ransomware ในเครื่อง Endpoint ได้ทันที ช่วยป้องกันภัยคุกคามทั้งในระดับฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์

ผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดของ Check Point Harmony Endpoint ได้ที่ https://www.checkpoint.com/harmony/advanced-endpoint-protection/

ที่มา: https://www.checkpoint.com/press-releases/check-point-software-technologies-enhances-endpoint-security-with-intel-vpro-platform/

from:https://www.techtalkthai.com/check-point-extends-collaboration-with-intel-to-protect-ransomware-through-processor-data/

Intel เปิดตัวหน่วยประมวลผล 13th Gen Intel Core สำหรับ Laptop

ในงาน CES ที่กำลังจัดขึ้น Intel ได้ประกาศเปิดตัวหน่วยประมวลผล 13th Gen Intel Core สำหรับ Laptop ใหม่

Credit: Intel

13th Gen Intel Core mobile processor นั้นมีด้วยกัน 3 Series ได้แก่ Intel Core H-, P- และ U Series โดยออกแบบมาสำหรับทำงานในอุปกรณ์ Laptop และ IoT โดยเฉพาะ ซึ่งรุ่นเรือธงนั้นเป็น Intel Core i9-13980HX มาพร้อมหน่วยประมวลผลขนาด 24 คอร์ รองรับการใช้งานหน่วยความจำทั้ง DDR4 และ DDR5 นอกจากนี้ยังรองรับการใช้งาน PCI Gen 5 ในตัว สำหรับจุดเด่นของแต่ละรุ่นมีดังนี้

13th Gen Intel Core H-series Processors เน้นประสิทธิภาพสูงสุด

  • ทำงานที่ความเร็วสูงสุด 5.6 GHz Turbo frequency ซึ่งสูงสุดในตลาดหน่วยประมวลผลสำหรับ Laptop มีความเร็วในการประมวลผลแบบ Single-thread สูงขึ้น 11% และแบบ Multitask 49% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน และรองรับการทำ Overclock ในรุ่น HX และ HK
  • จำนวนคอร์สูงสุด 24 Core แบ่งเป็น 8 Performance-cores และ 16 Efficient-cores รองรับการใช้งาน 32 Threads มีเทคโนโลยี Intel Thread Director
  • รองรับหน่วยความจำสูงสุด 128 GB แบบ DDR5 ที่ความเร็ว 5,600 MHz และ DDR4 ความเร็ว 3,200 MHz
  • มี Intel Killer Wi-Fi 6E (Gig+) ช่วยเร่งความเร็ว WiFi ถึง 6 เท่า
  • รองรับ Bluetooth ผ่านทาง Intel LE Audio และ Bluetooth 5.2
  • รองรับ Thunderbolt 4 ความเร็ว 40 Gbps

13th Gen Intel Core P-series และ U-series เน้นประสิทธิภาพและความบางของเครื่อง

  • จำนวนคอร์สูงสุด 14 คอร์ แบ่งเป็น 6 Performance-cores และ 8 Efficient-cores
  • มีหน่วยประมวลผลกราฟฟิก Intel Iris X, XSS Super Sampling และ Intel Arc Control
  • รองรับหน่วยความจำทั้ง DDR4 และ DDR5
  • รองรับ Intel Wi-Fi 6E (Gig+) พร้อมฟีเจอร์ใหม่ผ่านทาง Intel Connectivity Performance Suite,Intel Wi-Fi Proximity Sensing และ Intel Bluetooth LE Audio

สำหรับหน่วยประมวลผล 13th Gen Intel Core Mobile Processor มีกำหนดวางจำหน่ายในปีนี้ ผ่านทางผู้ผลิต Laptop หลายราย เช่น Acer, Asus, Dell, HP, Lenovo, MSI, Razer, Republic of Gamers และ Samsung นอกจากนี้ Intel ยังได้เปิดตัวหน่วยประมวผลแบบ N-series ที่ออกแบบมาสำหรับใช้งานใน Laptop แบบ Entry-level อีกด้วย เพื่อทดแทน Intel Pentium และ Intel Celeron ที่ปิดตัวไปก่อนหน้านี้

ที่มา: https://www.intel.com/content/www/us/en/newsroom/news/intel-announces-worlds-fastest-mobile-processor.html

from:https://www.techtalkthai.com/intel-launches-new-13-th-gen-intel-core-processor-for-laptop/