คลังเก็บป้ายกำกับ: NETWORK_MANAGEMENT

ระบบการจัดการบน EnGenius Fit…เลือกแบบไหนดี [Guest Post]

EnGenius Fit โซลูชันที่มาพร้อมระบบการจัดการอุปกรณ์แบบใหม่

ลูกค้าสามารถเลือกใช้งานได้ตามความเหมาะสมของงาน ซึ่งวันนี้ทางทีม NVK จะทำการเทียบระบบ พร้อมแนวทางในการออกแบบ สำหรับท่านที่ยังคงสงสัยว่าควรเลือกแบบไหน บทความนี้มีคำตอบแน่นอน

ภาพตัวอย่าง Dashboard และการตั้งค่าต่างๆ

FitXpress : ระบบจัดการผ่าน Cloud จาก EnGenius ให้บริการบน AWS (Cloud Computing Services ของ Amazon) ซึ่งมีความน่าเชื่อถือและเป็นที่นิยมจากทั่วโลก รองรับจัดการผ่าน Web Service และ Mobile Application ใช้งานได้ฟรี พร้อม GUI ที่ใช้งานง่าย สามารถตั้งค่าได้ แม้ไม่มีความรู้ด้าน IT

FitController : Hardware Controller On-Premise สำหรับติดตั้งใน Local Site มาพร้อม GUI และการตั้งค่าในเชิงลึก เหมาะกับองค์กรที่มี เจ้าหน้าที่ IT ในการดูแลระบบ

ภาพตัวอย่าง การลงทะเบียนอุปกรณ์

FitXpress : ลงทะเบียนอุปกรณ์ง่าย ผ่าน Mobile Application ด้วยการ Scan QR Code หรือผ่าน Web โดยใช้หมายเลข Serial Number

FitController : ค้นหาอุปกรณ์ภายใน Network อัตโนมัติเมื่อมีการเชื่อมต่ออุปกรณ์ หรือใช้หมายเลข Serial Number ในการลงทะเบียนอุปกรณ์

ภาพตัวอย่าง การกำหนดสิทธิ์ผู้ใช้งาน

FitXpress : รองรับการจัดการแบบข้ามเครื่อข่าย เหมาะกับธุรกิจที่มีหลายสาขา และสามารถกำหนดสิทธิ์ในการใช้งานได้ 2 แบบคือ admin (full access) และ Viewer (read only)

FitController : สามารถเลือกการจัดการโดยแบ่งกลุ่มของการตั้งค่าผ่าน Network สามารถกำหนดสิทธิ์ในการใช้งานได้ 2 แบบคือ admin (full access) และ Viewer (read only) 

สรุปกลุ่มเป้าหมาย (Target User)

FitXpress : ธุรกิจขนาดเล็ก (SMBs) เจ้าของกิจการ ที่มีหลายสาขา ไม่มีความรู้ด้าน IT หรือเจ้าหน้าประจำบริษัท สามารถใช้งานได้ง่าย ด้วยการแสดงผลแบบกราฟฟิกข้อมูลต่างๆ ที่สำคัญและครบถ้วน พร้อมเครื่องมือในการตรวจวิเคราะห์ปัญหาต่างๆได้อย่างง่าย

FitController : กลุ่มธุรกิจที่ออกแบบและวางแผนการเพิ่มอุปกรณ์ในอนาคต มีเจ้าหน้าที่ IT ในการดูแลระบบ กราฟฟิกแสดงผลข้อมูลในเชิงลึก ไม่ต้องการ Server ในการดูแลเพิ่มเติม และง่ายในการติดตั้ง

รายละเอียดอื่นๆ และความแตกต่างของระบบแบบตาราง

การเลือกใช้งานและการออกแบบ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ซึ่งสามารถนำไปใช้งานได้หลากหลายประเภท ลูกค้าสามารถนำข้อมูลนำไปใช้เป็นไอเดียในการออกแบบ และสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือขอคำปรึกษาในออกแบบโซลูชั่นได้ที่ sale@nvk.co.th, 0 2940 2070 # 1

from:https://www.techtalkthai.com/management-system-on-engenius-fit-which-one-to-choose/

Advertisement

Cisco ปรับแพ็กเกจ Intersight Platform จาก 4 เหลือ 2

Cisco ได้ชี้แจงผ่านบล็อกของตนว่าจะมีการปรับแพ็กเกจ License ของ Intersight แพลตฟอร์มบริหารจัดการการทำงานคลาวด์ของตนจาก 4 แบบเหลือเพียง 2 นอกจากนี้ยังได้ส่วนลด Intersight Workload Optimizer ถึง 40% เมื่อใช้ UCS X Series ตามเกณฑ์ที่กำหนด

credit : Cisco

Intersight เป็นแพลตฟอร์มสำหรับปฏิบัติการครอบคลุม Deploy, Monitor, บริหารจัดการและดูแลเครื่องได้ทั้ง Physical และ Virtual เช่น UCS, HyperFlex Hyperconverged (HCI) และเชื่อมต่อกับ Third-party โดยรองรับการใช้ในลักษณะของ SaaS หรือ Virtual Appliance ก็ได้ ล่าสุดมีการประกาศปรับ License ของการใช้งานจากเดิม 4 tier กลายเป็น 2 คือ Essential และ Advantage ซึ่งตัวแรกนำเสนอการปฏิบัติงานทั่วไป Policy, Profile, Firmware Update, Health Monitoring และการดูแลด้านความั่นคงปลอดภัย ในขณะที่แพ็กเกจสูงสุดจะเพิ่มเรื่องการทำ Automation และปฏิบัติการขั้นสูง ตลอดจนการ Integrate กับ Third-party เป็นต้น

ในวาระเดียวกันนี้ Cisco ยังนำเสนอแพ็กเกจที่จะลดราคา Cisco Intersight Workload Optimizer (IWO) สำหรับผู้ที่ใช้งาน UCS X-Series Chassis มากกว่า 4 ตัวที่เชื่อมต่อกับ Fabric Interconnect เฉพาะระยะเวลาที่กำหนดเท่านั้นโดยชมรายละเอียดได้ที่ https://www.cisco.com/c/en/us/solutions/cloud-computing/promotions-free-trials/x-series-sustainability-offer.html 

ที่มา : https://www.networkworld.com/article/3688954/cisco-simplifies-cloud-management-licensing.html

from:https://www.techtalkthai.com/cisco-intersight-platform-packages-from-4-to-2/

AWS เปิดตัวบริการใหม่ Telco Network Builder

อุตสาหกรรมเทเลคอมถือเป็นเป้าหมายใหญ่ของบริการคลาวด์ยักษ์ใหญ่มาหลายปี เนื่องจากผู้ประกอบการด้านเทเลคอมสามารถใช้ประโยชน์ของคลาวด์เพื่อเป็นแกนโครงสร้างพื้นฐานได้ ด้วยเหตุนี้เองล่าสุด AWS ได้ประกาศเปิดบริการใหม่สดๆร้อนๆที่เสริมศักยภาพในกลุ่มอุตสาหกรรมนี้เพิ่มไปอีกคือ Telco Network Builder และ Private Wireless Networks

credit : aws

ไอเดียของ Telco Network Builder ก็คือเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ให้บริการด้านเทเลคอมสามารถสร้างและจัดการโครงสร้างระบบเครือข่ายของตนได้บน AWS ซึ่งทำให้การดำเนินงานเป็นเรื่องง่าย ตอบโจทย์ด้านการใช้งานจริง และมาตรฐานต่างๆที่ครอบคลุมในอุตสาหกรรม โดยสิ่งที่จะได้จากการบริการเช่น Compute (EKS Cluster หรืออื่นๆ), เครือข่าย (VPC, Internet Gateway, Routing และอื่นๆ) ตลอดจนโจทย์ด้าน CI/CD ด้วย AWS CodeBuild 

จากบริการข้างต้นจะเล็งไปที่ผู้ให้บริการด้านเทเลคอมแต่บริการ Private Wireless Network จะก้าวไปสู่กลุ่มลูกค้าระดับองค์กร สำหรับการให้บริการเครือข่ายสัญญาณไร้สายแบบส่วนตัว ซึ่งโครงข่ายนี้ก็ถูกดูแลจากผู้ให้บริการด้านเทเลคอมนั่นเอง แต่โครงสร้างพื้นฐานเป็น AWS จุดเด่นคือประสิทธิภาพด้านราคาและความมั่นคงปลอดภัย

ที่มา : https://techcrunch.com/2023/02/21/amazons-aws-cozies-up-to-carriers-launches-2-services-to-build-and-operate-networks-in-the-cloud/ และ https://aws.amazon.com/blogs/aws/new-aws-telco-network-builder-deploy-and-manage-telco-networks/

from:https://www.techtalkthai.com/aws-launches-service-telco-network-builder/

Cisco ประกาศเพิ่มความสามารถใหม่ให้การบริหารจัดการ OT

Cisco ได้ประกาศอัปเดตมากมายในหลายผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะระบบการบริการจัดการ OT ผ่านคลาวด์และฮาร์ดแวร์ที่ออกมารองรับ ในวาระเดียวกันนี้ยังพูดถึง ThousandEyes และ SD-WAN ด้วย

อัปเดตใหม่มีดังนี้

1.) เพิ่มความสามารถใหม่ให้บริการคลาวด์ IoT Operation Dashboard 

  • รองรับความสามารถ Cisco Cyber Vision โซลูชันที่ช่วยสร้างคลังทรัพย์สินได้อย่างอัตโนมัติ ตลอดจนระบุช่องโหว่ของอุปกรณ์พร้อมจัดลำดับความสำคัญ ซึ่งสามารถแชร์ข้อมูลกับ SecureX ได้
  • ทำให้ผู้ดูแลระบบ IT และ OT สามารถทำการรีโมตเพิ่มบริหารจัดการ deploy และแก้ปัญหาอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับ Cisco Industrial Router ได้ผ่าน Web UI 
  • มีฮาร์ดแวร์ระดับอุตสาหกรรมใหม่เช่น Catalyst IE3100, IW9165 อุปกรณ์ Wireless ที่นำไปติดกับวัตถุเคลื่อนที่ หรือ Catalyst IW9165D ที่เป็น Access Point 

2.) Thousand Eyes โซลูชันที่ช่วยให้ผู้ใช้มองเห็นการเดินทางของบริการทางๆได้ ครอบคลุมโปรโตคอลต่างๆมากมาย โดยผู้ดูแลไม่ต้องมาเช็ค Ping หรือเช็คความล่าช้าในแต่ละ hop เอง ซึ่งล่าสุดสามารถรองรับ OpenTelemetry ที่เน้นสร้าง API ในการส่งข้อมูล Telemetry ที่ไม่ยึดติดกับยี่ห้อใด นั่นหมายถึงการที่ Thousand Eyes จะมีเส้นทางที่กว้างขวางขึ้นผู้ใช้นำข้อมูลอื่นเช่น คลาวด์ เข้ามาทำงานร่วมกันได้

3.) ผสานความสามารถ SASE Cisco+ Secure Connect ให้เทคโนโลยี SD-WAN ที่ใช้ Viptela 

ที่มา : https://newsroom.cisco.com/c/r/newsroom/en/us/a/y2023/m02/cisco-connects-and-protects-with-new-cloud-tools-across-networking-security-and-operations-to-provide-greater-visibility-and-control-over-networks.html และ https://www.networkworld.com/article/3687141/cisco-adds-services-hardware-to-better-support-industrial-iot.html

from:https://www.techtalkthai.com/cisco-announces-new-capabilities-for-ot-management-and-thousandeyes/

บริษัท NVK Inter จำกัด แถลงข่าวเปิดตัว “EnGenius Fit”

มิติใหม่ของงานแถลงข่าวในโรงภาพยนต์ SFX
โดย คุณฤทธิไกร ขัณฑวีระมงคล Managing Director บริษัท NVK Inter จำกัด
พร้อมประกาศเปิดตัว EnGenius Fit สอดรับความคล่องตัวในการบริหารจัดการ Wi-Fi Solutions พร้อมฟีเจอร์ที่เหมาะสม และราคาประหยัด
 

12 มกราคม 2023 – ณ โรงภาพยนต์ SFX เซ็นทรัลพระราม 9 ชั้น 7 โรงที่ 11 เป็นสถานที่สำหรับจัดงานแถลงข่าวในรอบ 3 ของบริษัท NVK Inter จำกัด หลังจากห่างหายไปจากสถานการณ์ COVID-19 โดยครั้งสุดท้ายที่บริษัทได้จัดงานรวมเหล่าพันธมิตรต้องย้อนไปเมื่อปี 2019 และการกลับมาครั้งนี้ NVK ได้ควงแขวน EnGenius ซึ่งเป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีการสื่อสารที่มีประวัติยาวนานกว่า 20 ปี เพื่อเปิดตัว EnGunius Fit ที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองการให้บริการธุรกิจขนาดเล็ก (SME) เพื่อช่วยเสริมศักยภาพความคล่องตัวในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่มีประสิทธิภาพ บริหารจัดการโครงข่ายได้อย่างรวดเร็วและสามารถจัดการระบบเครือข่ายผ่าน Cloud และประหยัดต้นทุน

ถอดบทเสวนา คุณฤทธิไกร ขัณฑวีระมงคล Managing Director บริษัท NVK Inter จำกัด ได้กล่าวเปิดต้อนรับในบรรยากาศโรงภาพยนต์เสมือนกำลังรับชมภาพยนต์ฟอร์มยักษ์

“ก่อนอื่นต้องขอกล่าวสวัสดีและขอบคุณทุกท่านที่ให้เกียรติมาร่วมงานครั้งนี้ รู้สึกอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง ครั้งนี้เป็นการตัดสินใจในการจัดงาน Event เป็นครั้งแรก หลังจากที่เราเพิ่งผ่านช่วงการแพร่ระบาด COVID-19 มา ถือว่าเป็น 2-3 ปีที่เกินความคาดหมายไม่คิดว่าประเทศไทยและโลกของเราจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นได้ ภาพตรงหน้าที่มองเห็นทำให้รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ทุกท่านสละเวลามาในวันนี้”
 
“NVK ได้ทำตลาดและได้รับการแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนจัดจำหน่าย EnGenius มาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ปี 2007 ถึงตอนนี้ก็เกิน 15 ปีแล้ว สำหรับในประเทศไทยนั้น NVK เท่ากับ EnGenius และ EnGenius ก็เท่ากับ NVK โดยถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์หลักที่เป็นตัวขับเคลื่อนให้บริษัท NVK Inter จำกัด มีการเติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ และอย่างต่อ ตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา เราได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตร ลูกค้า ซึ่งเป็นโอกาสที่ให้เราได้ให้บริการอย่างเต็มที่เช่นกัน”
 
“ย้อนไปเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา EnGenius ได้ออกผลิตภัณฑ์ที่เรียกว่า EnGunius Cloud ซึ่งได้ติดตั้งใช้งานที่สถานที่ต่างๆ เป็นจำนวนมาก แต่อย่างไรก็ตาม EnGunius Cloud เป็นโซลูชันที่ถูกออกแบบมาเหมาะสำหรับทุกกลุ่มลูกค้าไปจนถึงระดับ Enterprise ด้วยฟีเจอร์ที่ครบครันทั้ง Access Point และ Switch ซึ่งถือว่าเป็น Software Defined Network ที่ครบวงจร อย่างที่ทราบกันว่า EnGunius Cloud มีฟีเจอร์ที่ค่อนข้างหลากหลาย ทำให้ราคาสูงเกินที่จะนำเสนอให้กับลูกค้ากลุ่ม SME ด้วยเหตุผลนี้ทาง NVK จึงได้หยิบยกประเด็นนี้มาถกร่วมกับทาง EnGunius เป็นระยะเวลาร่วมปีกว่า โดยตั้งเป้าหมายที่จะบุกตลาด SME สำหรับลูกค้าที่มีขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ที่ยังขาดอุปกรณ์ที่จะเข้ามาเติมเต็มทั้งในดานประสิทธิภาพและราคาที่สามารถเข้าถึงได้ อาทิเช่น สำนักงานขนาดเล็ก โรงเรียนขนาดเล็ก โรงแรมที่มีจำนวนอุปกรณ์ไม่มาก”
 
“ในวันนี้ 12 มกราคม 2023 – EnGunius ได้ทำการเปิดตัว EnGunius Fit อย่างเป็นทางการในประเทศไทย และพร้อมให้บริการอุปกรณ์ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่มีความน่าเชื่อถือในระดับเดียวกับ EnGunius Cloud แต่ด้วยชื่อที่ถูกเรียกขานกันว่า Fit จะมีการปรับปรุงฟังก์ชันบางรายการที่อาจจะไม่ได้ถูกใช้งานบ่อยสำหรับกลุ่มลูกค้าระดับ SME ออกไป โดยมุ่งเน้นแอปพลิเคชันที่ให้บริการด้านอินเตอร์เน็ต ฮอตสปอร์ต หรือการใช้งานสำหรับออฟฟิศสำนักงาน ในขณะเดียวกัน EnGunius Fit ยังคงมีโซลูชัน On-Premise สำหรับให้บริการอุปกรณ์ 100 APs จนถึง Manage Service Provider ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มลูกค้าที่สำคัญของ EnGunius เมื่อลองย้อนกลับไปดูข้อมูลด้าน Market Share ของ NVK กว่า 50% คือกลุ่มผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต ด้วยประสิทธิภาพของ EnGunius สามารถให้บริหารจัดการได้มากกว่า 1,000 Site อย่างเช่นกลุ่มห้างร้าน Retail ที่มีอุปกรณ์ของ EnGunius ติดตั้งให้บริการอยู่ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่”
 
“EnGunius Fit เป็นชุดอุปกรณ์ที่มีคุณภาพสูง มีฟังก์ชันที่เหมาะสมต่อการให้บริการ และที่สำคัญ คือ มีราคาที่สามารถแข่งขันได้ ไม่ว่าคู่แข่งจากแบรนด์ระดับเอเชียหรืออเมริการก็ตาม” คุณฤทธิไกร ขัณฑวีระมงคล กล่าวสรุปปิดท้าย
 
ภายในงานได้มีช่วง EnGunius Fit – Use-Case เป็นการขยายภาพด้านการให้บริการของ EnGunius Fit ให้ชัดเจนยิ่งขึ้นทั้ง Home Solution, Office Solution, Store & Retail Solution, Hospitality Solution และ Manage Service Provider ใช้งานง่าย คล่องตัว พร้อมฟีเจอร์ที่เหมาะสม และราคาประหยัด

ภาพส่วนหนึ่งของบรรยากาศภายในงาน

บริษัท เอ็น.วี.เค.อินเตอร์ จำกัด

N.V.K. Inter Co., Ltd.

Tel: +66-2940-2070
Fax: +66-2940-2071

General Inquiry: sale@nvk.co.th

Technical Support: Ticketing System

Finance & Accounting: finance@nvk.co.th

from:https://www.techtalkthai.com/nvk-inter-launched-engenius-fit/

ซิสโก้ขับเคลื่อนการเชื่อมต่อดิจิทัลที่ปลอดภัยให้กับซิลิคอนเทคพาร์ค Innovation Hotspot แห่งต่อไปของประเทศไทย [Guest Post]

“Silicon Valley of the East” จะใช้ประโยชน์จากการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่ปลอดภัย
ของซิสโก้ เพื่อทดสอบนวัตกรรมใหม่ ๆ และส่งเสริมโอกาสทางเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย

กรุงเทพฯ – 16 ธันวาคม 2565 – ซิสโก้ ผู้นำระดับโลกด้านเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนอินเทอร์เน็ตร่วมมือกับโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC), แพลนเน็ตคอม และ ซิลิคอนเทคพาร์ค (STP) สร้างการเชื่อมต่อดิจิทัลที่ปลอดภัยที่เป็นรากฐานให้กับ “ศูนย์นวัตกรรมดิจิทัลและเทคโนโลยีขั้นสูงบ้านฉาง” ในพื้นที่โครงการ EEC Silicon Tech Park (EEC STP) ความร่วมมือนี้เป็นส่วนหนึ่งของ “โครงการขับเคลื่อนการพัฒนาดิจิทัล” หรือ Cisco’s Country Digital Acceleration (CDA) ของซิสโก้ ในด้านการพัฒนาสมาร์ทซิตี้ เพื่อเปิดโอกาสให้กับเศรษฐกิจดิจิทัลผ่านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศ นอกจากจะให้บริการการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและคลาวด์ที่ปลอดภัยสำหรับพื้นที่โครงการ EEC Silicon Tech Park แล้ว ซิสโก้ยังสนับสนุนนวัตกรรมสำหรับอาคารอัจฉริยะ สมาร์ทซิตี้ การทำงานไฮบริดที่ปลอดภัย และสมาร์ทเวิร์คเพลส อีกด้วย

EEC Silicon Tech Park ได้รับการขนานนามว่าเป็น “Silicon Valley of the East” แห่งต่อไป โดยคาดว่าจะเป็นย่านที่มีชีวิตชีวาและไม่หยุดนิ่งผ่านเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย และพื้นที่อยู่อาศัยในเมืองที่ยั่งยืน สร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนแผนยุทธศาสตร์ของรัฐบาลในการเปลี่ยนประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจแบบ value-based ที่สนับสนุนโดยนวัตกรรม เทคโนโลยี และความคิดสร้างสรรค์ โดยคาดว่าจะดึงดูดการลงทุน 2.2 ล้านล้านบาท (61.97 พันล้านดอลลาร์) ในเขตอุตสาหกรรมตะวันออกของประเทศในอีก 5 ปีข้างหน้า ศูนย์กลางของ EEC Silicon Tech Park คือ “ศูนย์นวัตกรรมดิจิทัลและเทคโนโลยีขั้นสูงบ้านฉาง” ซึ่งเป็น Next Frontier ของเทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นสูงที่ขับเคลื่อนโดยเครือข่ายที่ปลอดภัยและสามารถทนต่อสภาพแวดล้อมที่มีความต้องการด้านต่างๆ มากที่สุด (most demanding environments) จึงต้องมีนวัตกรรมในอนาคต

ตั้งแต่การเชื่อมต่อแบบแยกส่วนในอุตสาหกรรมไปจนถึงการเพิ่มความสามารถใหม่ๆ ด้วยหุ่นยนต์อัตโนมัติ การเชื่อมต่อเป็นพื้นฐานของนวัตกรรมที่ก้าวล้ำ ภายใต้โครงการ CDA ซิสโก้ได้สร้างการเข้าถึงเครือข่ายแบบหลายชั้นด้วยการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงพิเศษ และการเข้าถึงไวไฟสาธารณะด้วยโซลูชันเชื่อมต่อที่ปลอดภัยรวมถึง Cisco Umbrella และ Ultra-Reliable Wireless Backhaul ในการเชื่อมต่อเสาอัจฉริยะทั่วทั้ง EEC Silicon Tech Park

ขับเคลื่อน Industry 4.0 ด้วยการเชื่อมต่อยุคใหม่

Cisco Network Convergence System (NCS) 5500 Series นำเสนอ port density ที่มีแบนด์วิดธ์ความเร็วสูงถึง 100 GbE และ 400 GbE ซึ่งนับเป็นความเร็วระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรม ช่วยผู้ให้บริการเครือข่ายสามารถจัดการกับดาต้าเซ็นเตอร์ที่กำลังขยายตัวทั่วโลก และรองรับทราฟฟิกการรับ-ส่งข้อมูลเครือข่ายคลาวด์ สาธารณะ/ส่วนตัว ที่มีปริมาณมาก ทำให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างเรียบง่าย และมีประสิทธิภาพในการตอบสนองต่อการปรับขนาดขององค์กรขนาดใหญ่ เว็บ และผู้ให้บริการ แพลตฟอร์ม NCS ยังสนับสนุน Segment Routing และ Ethernet VPN ซึ่งเป็นนวัตกรรมซอฟต์แวร์ชั้นนำของตลาดที่สำคัญเพื่อช่วยผู้ให้บริการลดความซับซ้อนของสถาปัตยกรรมเครือข่าย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับนวัตกรรมคลาวด์และเอดจ์ เช่น ระบบการผลิตอัตโนมัติ และหุ่นยนต์ในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การผลิตหรือลอจิสติกส์ทั่วไปที่ต้องใช้แบนด์วิธเครือข่ายระดับสูง สิ่งนี้ได้นำความเร็วใหม่มาสู่ธุรกิจ และสนับสนุนประสบการณ์ดิจิทัลในการวางแผน ออกแบบ และทดลองด้วยการพิสูจน์แนวคิด ศูนย์นวัตกรรมแห่งนี้จึงเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับองค์กรต่างๆ ในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและสร้างนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีที่สอดคล้องกับความต้องการทั้งในปัจจุบันและอนาคต องค์กรภาครัฐ นักวางผังเมือง และผู้ให้บริการดิจิทัลจะได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยเหล่านี้ที่ผนวกเข้ากับแอปพลิเคชันที่ใช้งานในชีวิตจริง โดยจะช่วยให้พวกเขาสามารถนำเทคโนโลยี 4.0 มาใช้ในการพัฒนาสมาร์ทซิตี้ได้เป็นอย่างดี

ในการนำแอปพลิเคชันที่สามารถใช้งานในชีวิตจริงจากเทคโนโลยีแบบ next-gen มาสู่ประชาชน ซิสโก้ได้นำเสนอพอร์ตโฟลิโอด้านอาคารอัจฉริยะ สมาร์ทซิตี้ การทำงานแบบไฮบริดที่ปลอดภัย และโซลูชันสำหรับที่ทำงานอัจฉริยะ ซึ่งรวมถึงการเชื่อมต่อเซ็นเซอร์ด้านสิ่งแวดล้อม และไฟอัจฉริยะไปจนถึงเครื่องมือจัดการอาคารอัจฉริยะที่ใช้ประโยชน์จากไวไฟเพื่อให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการเข้าใช้พื้นที่ และโซลูชันการรักษาความปลอดภัยแบบ end-to-end รวมถึงการใช้ปัจจัยหลายๆ อย่างในการตรวจสอบ และยืนยันตัวบุคคลเพื่อการใช้งานแอปพลิเคชันขององค์กรอย่างปลอดภัย

เตรียมความพร้อมให้กับคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถด้วยทักษะด้านดิจิทัล

เพื่อความสอดคล้องกับพันธกิจของบริษัทในการขับเคลื่อนอนาคตสำหรับทุกคน ซิสโก้ยังคงมุ่งมั่นในการสนับสนุนและพัฒนาความสามารถของบุคลากรด้านไอทีรุ่นใหม่ที่อาศัยอยู่ใน EEC Silicon Tech Park ซิสโก้ได้พัฒนาบุคลากรที่มีความสามารถด้านดิจิทัลผ่านโปรแกรม Cisco Networking Academy มาเป็นระยะเวลากว่า 25 ปีโดยการเป็นพันธมิตรกับ PlanetComm, Mavenir Systems และ 5G Catalyst Technologies ในการพัฒนาหลักสูตรไอทีที่มีคุณภาพ และความปลอดภัยทางไซเบอร์, เครื่องมือจำลองการเรียนรู้ และโอกาสในการเรียนรู้ภาคปฏิบัติ เพื่อดึงดูดผู้มีความสามารถในพื้นที่ EEC Silicon Tech Park

นายคณิศ แสงสุพรรณ ประธานที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี กล่าวว่า “อีอีซี ได้ร่วมมือกับภาคเอกชนด้านนวัตกรรมชั้นนำ ได้แก่ ซิสโก้ แพลนเน็ตคอม และซิลิคอนเทคพาร์ค เตรียมความพร้อมการพัฒนา “ศูนย์นวัตกรรมดิจิทัลและเทคโนโลยีขั้นสูงบ้านฉาง” ในพื้นที่โครงการ EEC SILICON TECH PARK โดยใช้เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง 400 Gbps นับเป็นการลงทุนระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลในพื้นที่อีอีซี เป็นที่ตั้งของคนทำงานยุคใหม่ผ่านนวัตกรรมขั้นสูง       ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ได้คุณภาพชีวิตที่ดี รองรับการลงทุนจากภาคเอกชน จูงใจบริษัทชั้นนำทั่วโลกเข้ามาลงทุนวิจัยพัฒนา (R&D) ต่อยอดธุรกิจด้านดิจิทัลในพื้นที่ในอีอีซี สร้างพื้นที่กลุ่มธุรกิจสตาร์ทอัพให้เข้ามาทำงานในอีอีซีเพิ่มขึ้น และจะเป็นศูนย์ฝึกอบรม การเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อพัฒนาบุคลากรด้านดิจิทัลในพื้นที่ อีอีซี โดยตั้งเป้าหมายให้พื้นที่ EEC SILICON TECH PARK เป็นเมืองต้นแบบดิจิทัล หรือ ซิลิคอนวอลเล่ย์แห่ง ภาคตะวันออก ดึงการลงทุนด้านดิจิทัล ขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมอัจฉริยะ สร้างโอกาสลงทุนตามแผน   อีอีซี ระยะ 2 ให้ได้ตามเป้าหมาย 2.2 ล้านล้านบาท (61.97 พันล้านดอลลาร์) ภายในปี 2570 รวมทั้งช่วยพัฒนาทักษะบุคลากรด้านดิจิทัล รองรับความต้องการของอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ New S-Curve สร้างตำแหน่งงาน และรายได้ที่ดีขึ้นอย่างสมดุลและยั่งยืน”

ดร. ชิต เหล่าวัฒนา ที่ปรึกษาพิเศษด้านการพัฒนาบุคลากรฯ สกพอ.

ดร. ชิต เหล่าวัฒนา ที่ปรึกษาพิเศษด้านการพัฒนาบุคลากรฯ สกพอ. กล่าวว่า “โครงการ EEC SILICON TECH PARK จะเป็นพื้นที่ศูนย์รวมงานวิจัยและเทคโนโลยีขั้นสูงของอีอีซี ที่ส่งเสริมและยกระดับความร่วมมือด้านการพัฒนาบุคลากร ด้านหุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติ และดิจิทัล ภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่ อีอีซี จะได้รับความรู้ และเกิดการใช้ระบบผลิตอัตโนมัติแบบดิจิทัล ด้วยเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตขั้นสูงในพื้นที่ พร้อมกันนี้จะสามารถฝึกอบรมทักษะใหม่ (New skill) เพื่อพัฒนาความชำนาญให้แก่บุคลากรที่จะเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมทักษะด้าน Robotics & Automation โดยตรง ซึ่งเป็นบุคลากรพิเศษเฉพาะด้าน โดยตั้งเป้าหมายจะพัฒนาให้ได้ประมาณ 5,000 คน ภายใน 5 ปี สร้างความพร้อมและจูงใจให้ผู้ประกอบการทั่วโลกสนใจลงทุนอุตสาหกรรมดิจิทัล ในพื้นที่อีอีซี ต่อไป”

มร. เอ็ดเวิร์ด แกรนท์, ที่ปรึกษาอาวุโสของ อีอีซี ซิลิคอนเทคพาร์ค

มร. เอ็ดเวิร์ด แกรนท์, ที่ปรึกษาอาวุโสของ อีอีซี ซิลิคอนเทคพาร์ค กล่าวว่า “EEC Silicon Tech Park (EEC STP) ตั้งอยู่ในทำเลที่ดีเยี่ยมในอำเภอบ้านฉาง โดยภายในรัศมี 10 กิโลเมตรจากพื้นที่อีอีซี การพัฒนา EEC STP จะเป็นหัวใจสำคัญของแผนที่จะเป็น ultimate frontier ของศูนย์กลางของเทคโนโลยีขั้นสูงและนวัตกรรม ด้วยความพร้อมของการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่ขับเคลื่อนโดยซิสโก้ EEC STP Park สามารถให้บริการเชื่อมต่อดิจิทัลกับผู้พักอาศัย รวมถึงการวิจัยและพัฒนาในทุกอุตสาหกรรม เช่น การบิน การแพทย์ การเงิน เทคโนโลยี และอื่นๆ เรามุ่งมั่นที่จะใช้ประโยชน์จากพลังงานหมุนเวียน และเทคโนโลยีกรีนเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ยั่งยืน รองรับอนาคต และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม EEC STP มุ่งมั่นสร้างแรงบันดาลใจ กระตุ้น และจุดประกายการสร้างสรรค์นวัตกรรมกับผู้คน และเรามีความยินดีที่ได้ร่วมมือกับซิสโก้ในโครงการนี้”

นายประพัฒน์ รัฐเลิศกานต์, ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แพลนเน็ต คอมมิวนิเคชั่น เอเชีย จำกัด (มหาชน)

นายประพัฒน์ รัฐเลิศกานต์, ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แพลนเน็ต คอมมิวนิเคชั่น เอเชีย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “แพลนเน็ตคอมร่วมมือกับซิสโก้ผ่านโครงการ Cisco CDA – Country Digital Acceleration ขับเคลื่อนการพัฒนาดิจิทัลในประเทศไทย นำนวัตกรรมโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง Internet Switch 400 Gbps มาให้บริการอินเทอร์เน็ตในพื้นที่โครงการ EEC SILICON TECH PARK ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล และเป็น 1 ใน 4 ส่วนสำคัญอันประกอบด้วย อินเทอร์เน็ตเร็วสูง ระบบไฟฟ้ามั่นคง น้ำสะอาดอากาศบริสุทธิ์ และ ที่พักอาศัยสำหรับคนทำงานยุคใหม่ (Health & Wellbeing) เพื่อให้เป็นเมืองต้นแบบ Smart Digital City สำหรับการบูรณาการและพัฒนาเมืองอื่นในประเทศไทย

นายทวีวัฒน์ จันทรเสโน, กรรมการผู้จัดการ ซิสโก้ ประเทศไทยและพม่า

นายทวีวัฒน์ จันทรเสโน, กรรมการผู้จัดการ ซิสโก้ ประเทศไทยและพม่า กล่าวว่า “อนาคตของสมาร์ทซิตี้ในประเทศไทยต้องอาศัยเครือข่ายที่ปลอดภัยเป็นแกนหลัก เนื่องจากอุปกรณ์ ข้อมูล และแพลตฟอร์มที่เชื่อมต่อกันเป็นรากฐานของบริการสมาร์ทซิตี้ ซิสโก้มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับพันธมิตรอีโคซิสเต็มส์ภายใต้โครงการ CDA เพื่อนำอนาคตของการเชื่อมต่อที่ปลอดภัยมายังผู้อาศัย และธุรกิจต่างๆ ใน EEC Silicon Tech Park และเปิดโอกาสในการสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย โดยเป็นพื้นที่ที่ธุรกิจสามารถนำร่องประสบการณ์การเชื่อมต่อยุคใหม่ และสร้างประสบการณ์ดิจิทัลที่มีความหมาย เช่น ระบบไฟฟ้าอัจฉริยะ และระบบขนส่งอัจฉริยะ เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชากร”


เกี่ยวกับ อีอีซี

อีอีซี เป็นต้นแบบการพัฒนาพื้นที่เชิงยุทธศาสตร์ โดยบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน มีพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 รองรับ ให้การพัฒนาพื้นที่มีความต่อเนื่อง มีองค์กรกำกับดูแลอย่างถาวร และมีกระบวนการทำงานที่ชัดเจน เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย ส่งเสริมและสนับสนุนการลงทุนใน 12 อุตสาหหกรรมเป้าหมาย ต่อยอดและผลักดันนวัตกรรมขั้นสูงด้านดิจิทัล ยกระดับคุณภาพชีวิตเพื่อให้ประชาชนในพื้นที่และประเทศได้รับประโยชน์สูงสุด

เกี่ยวกับ ซิสโก้

ซิสโก้ (NASDAQ: CSCO) เป็นผู้นำเทคโนโลยีระดับโลกที่ยกระดับการใช้งานอินเทอร์เน็ต ซิสโก้สร้างความเป็นไปได้ใหม่ๆ จากวิธีการใช้แอปพลิเคชันที่แตกต่างไปจากเดิม การรักษาความปลอดภัยของข้อมูล การปรับเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐาน และช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้กับทีมของคุณเพื่อโลกแห่งอนาคต เปิดประสบการณ์เพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบเน็ตเวิร์ก และติดตามข่าวสารของซิสโก้บนทวิตเตอร์ที่ Twitter @Cisco.

เกี่ยวกับ บริษัท แพลนเน็ต คอมมิวนิเคชั่น เอเชีย จำกัด (มหาชน)

แพลนเน็ตคอม (mai: PLANET) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2537 และจดทะเบียนในตลาด mai เมื่อปี พ.ศ. 2557 โดยปัจจุบันเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมแบบครบวงจร ให้บริการออกแบบ ติดตั้ง และบริการหลังการขาย สำหรับโครงสร้างพื้นฐานระบบโครงข่ายโทรคมนาคม ระบบการสื่อสารแบบรวมศูนย์ ระบบส่งสัญญาณภาพและเสียงแบบดิจิทัล ระบบรักษาความปลอดภัยบนไซเบอร์ ดาต้าเซ็นเตอร์ คลาวด์ ไอโอทีแพลทฟอร์ม การวิเคราะห์ภาพและข้อมูลอัจฉริยะ การแพทย์ทางไกล เทคโนโลยียานพาหนะไฟฟ้า พลังงานหมุนเวียน และ เทคโนโลยีการบริหารจัดการน้ำด้วยระบบดิจิทัล โดยมุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีไปใช้เพื่อยกระดับและพัฒนาประเทศไปสู่สังคมคาร์บอนเป็นศูนย์ (Zero-Carbon) ยกระดับภาคการผลิตไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพของผลผลิต (Increasing Productivity) รวมไปถึงยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน (Improving a Quality of Life)

เกี่ยวกับ ซิลิคอน เทค พาร์ค (STP)

ซิลิคอน เทค พาร์ค (STP) บ้านฉาง จังหวัดระยอง ประเทศไทย เป็นบริษัทบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ และอุทยานเทคโนโลยีขั้นสูงที่จัดตั้งขึ้นใหม่ ซึ่งครอบคลุมแผนยุทธศาสตร์ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) มูลค่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์ของรัฐบาลไทย เพื่อสร้าง “มูลค่าใหม่ เศรษฐกิจฐานราก” มุ่งขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นประเทศที่มีการแข่งขันสูงที่สุดในอาเซียน เป็นเมืองน่าอยู่ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม น่าอยู่อาศัย ประกอบอาชีพ และเจริญรุ่งเรือง ด้วยพื้นที่รวมกว่า 519 ไร่ (205 เอเคอร์) STP จะกลายเป็นสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมือนใครในไม่ช้า และ เป็นวิทยาเขตที่มุ่งเน้นในด้านการวิจัยและพัฒนา รวมถึงการเป็นเจ้าของ หรือ การถือครอง ของบริษัทสตาร์ทอัพที่เพิ่งเริ่มต้น เฟสที่ 1 กำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินการพร้อมกับความสำเร็จของ EEC Global Cloud Data Center ซึ่งเป็นศูนย์ข้อมูล Tier-3 ที่ทันสมัย และครอบคลุมที่สุดในอาเซียน และ ไซต์นี้ยังให้บริการโดยเครือข่าย 5-G ที่ทันสมัยที่สุดในประเทศไทย มีที่ดินสำหรับขาย หรือ ให้เช่า และเรามีพันธมิตรที่สามารถทำการสร้างให้เหมาะกับอาคาร หรือ สิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ ที่นักลงทุนและ/หรือผู้เช่าหลักหมายปองไว้ได้อย่างรวดเร็ว107

from:https://www.techtalkthai.com/cisco-powers-secure-digital-connectivity-for-thailands-next-silicon-tech-park-innovation-hotspot/

ขอเชิญร่วมงาน Progress Partner Day 2022 [15 พ.ย.65] ณ The Westin Grande Sukhumvit Hotel

ในยุคที่ความต้องการความเป็นส่วนตัวและการปกป้องข้อมูลสูงขึ้น (Data Protection) การเลือกโซลูชันการถ่ายโอนไฟล์ที่ปลอดภัยและเหมาะสมมีความสำคัญต่อความสำเร็จในการดำเนินงานขององค์กรเป็นอย่างยิ่ง เช่นเดียวกันกับความต้องการเครื่องมือที่สามารถมองเห็นเครือข่ายแบบรอบด้าน (Network Visibility) ที่สมบูรณ์คือสิ่งที่ทุกองค์กรมองหา ร่วมอัปเดตและสัมผัส Software ที่จะช่วยตอบโจทย์ความต้องการพร้อมพูดคุยกับ Progress และ Net Bright ภายในงาน Progress Partner Day 2022 วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน 2565 เวลา 15:00 – 18:30 น. โรงแรม The Westin Grande Sukhumvit Hotel

ชื่องาน : Progress Partner Day 202
วันที่ : 15 พฤศจิกายน 2565 เวลา 15:00 – 18:30 น.
สถานที่ : โรงแรม The Westin Grande Sukhumvit Hotel (onsite อย่างเดียว)
ลงทะเบียนร่วมงานได้ที่ลิงก์นี้https://www.readyregister.com/edm/2022/202211_progressday/

Product Highlight

พบกับ IT Infrastructure Observability and Security ซอฟท์แวร์ Network Visibility Tools You can’t protect What you can’t see จะจัดการประสบการณ์ดิจิทัลผ่านผู้ให้บริการและเครือข่ายมากมายที่อยู่นอกเหนือการควบคุมได้อย่างไร เมื่อการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล และการใช้ระบบคลาวด์ที่เพิ่มขึ้น วิธีใดที่จะทำให้ทีมไอทีจะสามารถส่งมอบประสบการณ์ดิจิทัลได้อย่างราบรื่น

พบกับ Secure & Manage File Transfer ซอฟท์แวร์ Data Security x Workflow Automation Know That Your File Arrived เรียนรู้ แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับการถ่ายโอนไฟล์อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยเพื่อสนับสนุนกระบวนการทางธุรกิจ และลด Human Error ด้วยการทำงานอัตโนมัติและเวิร์กโฟลว์ โดยไม่ต้องเขียนสคริปต์

กำหนดการ

15:00             ลงทะเบียน
15:30             Welcome Speech | About Net Bright & Progress
15:40             Progress Product Family (Key Products) Package and Promotion โดย คุณศราวุธ สำเภาทอง, คุณจักรินทร์ งามเลิศ และคุณกนกรัตน์ พึ่งพา Product Specialist and Sales Manager | Net Bright
16:40             Game Challenge ร่วมสนุกกับเกมส์เพื่อลุ้นรับของรางวัลพิเศษจาก Progress และ Net Bright
16:50             Q&A / Closed
17:00             Networking Cocktail (พร้อมกิจกรรมความสนุกสนานมากมาย และดนตรีสด)

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ : คุณพรธิดา พาเวียง
เบอร์โทรศัพท์ 095-9528607 หรืออีเมล porntida@fdc.co.th

from:https://www.techtalkthai.com/netbright-seminar-onsite-progress-partner-day-2022-15-11-2565/

ขอเชิญร่วมงาน Progress Day 2022 End-to-End Solution for Business by Progress วันที่ 15 พ.ย. 2565 เวลา 09:00 – 13:30 น.

ในยุคที่ความต้องการความเป็นส่วนตัวและการปกป้องข้อมูลสูงขึ้น (Data Protection) การเลือกโซลูชันการถ่ายโอนไฟล์ที่ปลอดภัยและเหมาะสมมีความสำคัญต่อความสำเร็จในการดำเนินงานขององค์กรเป็นอย่างยิ่ง เช่นเดียวกันกับความต้องการเครื่องมือที่สามารถมองเห็นเครือข่ายแบบรอบด้าน (Network Visibility) ที่สมบูรณ์คือสิ่งที่ทุกองค์กรมองหา ร่วมอัปเดตและสัมผัส Software ที่จะช่วยตอบโจทย์ความต้องการพร้อมพูดคุยกับ Progress และ Net Bright ภายในงาน Progress Day 2022 End-to-End Solution for Business by Progress 

ชื่องาน : Progress Day 2022 End-to-End Solution for Business by Progress
วันที่ : วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน 2565 เวลา 09:00 – 13:30 น. (เรียนเชิญรับประทานอาหารกลางวัน)

อำนวยความสะดวกให้ท่านสามารถเลือกเข้าร่วมงานในช่องทางที่ท่านสะดวก ณ โรงแรม The Westin Grande Sukhumvit Hotel หรือเข้าร่วมแบบออนไลน์ผ่าน Webex 

ลงทะเบียนร่วมงานได้ที่นี่ :   https://www.readyregister.com/edm/2022/202211_end2end/

Product Highlight

พบกับ IT Infrastructure Observability and Security ซอฟท์แวร์ Network Visibility Tools You can’t protect What you can’t see จะจัดการประสบการณ์ดิจิทัลผ่านผู้ให้บริการและเครือข่ายมากมายที่อยู่นอกเหนือการควบคุมได้อย่างไร เมื่อการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล และการใช้ระบบคลาวด์ที่เพิ่มขึ้น วิธีใดที่จะทำให้ทีมไอทีจะสามารถส่งมอบประสบการณ์ดิจิทัลได้อย่างราบรื่น

พบกับ Secure & Manage File Transfer ซอฟท์แวร์ Data Security x Workflow Automation Know That Your File Arrived เรียนรู้ แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับการถ่ายโอนไฟล์อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยเพื่อสนับสนุนกระบวนการทางธุรกิจ และลด Human Error ด้วยการทำงานอัตโนมัติและเวิร์กโฟลว์ โดยไม่ต้องเขียนสคริปต์

กำหนดการ

09:00             ลงทะเบียน

09:30             Welcome Speech | About Net Bright & Progress

09:40             Highlight Product: WhatsUp Gold | IT Infrastructure Observability and Security (Network Visibility: You can’t protect What you can’t see) อัพเดทคุณสมบัติพิเศษของ WhatsUp Gold ที่เข้ามาช่วยให้การ Monitoring นั้นง่ายดายมากยิ่งขึ้นพร้อมทั้งการเสริม ประสิทธิภาพการทำงานร่วมกับ Flowmon ที่ตอบโจทย์กับหลายองค์กร โดยคุณศราวุธ สำเภาทอง, Product Specialist, Net Bright

10:40             Highlight Product: MOVEit | Managed File Transfer and Workflow Automation (Security Rule #1: Keep your files safe) เตรียมพร้อมรับมือ เสริมความปลอดภัยทางด้าน Managed File Transfer ข้อมูลสำคัญขององค์กรจากภัยคุกคามทางไซเบอร์กับ WS-FTP และ MOVEit โดยคุณจักรินทร์ งามเลิศ, Product Specialist, Net Bright

11:40             Customer Testimonial with Software แนวทางการนำ Software ไปพัฒนาใช้ในองค์กรเพื่อรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงในอนาคต โดยรองศาสตราจารย์ ดร.เอกรัฐ บุญเชียง รองคณบดีฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

12:10             ถาม – ตอบ และกิจกรรมร่วมสนุกลุ้นรับของรางวัล

12:20             รับประทานอาหารกลางวัน

ร่วมลุ้นรับของรางวัลมากมาย
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อคุณพรธิดา พาเวียง
เบอร์โทรศัพท์ 095-9528607 หรืออีเมล porntida@fdc.co.th

 

from:https://www.techtalkthai.com/netbright-seminar-progress-day-2022-end-to-end-solution-for-business-by-progress-15-11-2565/

[Guest Post] SYMC ยกระดับบริการด้วยโครงข่ายใหม่ SDN-MPLS Network รายแรกในไทย

เสริมประสิทธิภาพการเชื่อมต่อ รองรับการทรานส์ฟอร์มองค์กรด้วยโครงข่ายอัจฉริยะ

ซิมโฟนี่ คอมมูนิเคชั่น หรือ SYMC พร้อมเดินหน้าให้บริการโครงข่าย SDN-MPLS Network รายแรกในไทย ด้วยเทคโนโลยีล่าสุด บริหารจัดการโครงข่ายอัจฉริยะคุณภาพสูง ลดความซับซ้อนในการเชื่อมต่อ เพิ่มประสิทธิภาพและตอบโจทย์การดำเนินธุรกิจในทุกมิติ ทั้งการเชื่อมต่อการสื่อสาร บริการคลาวด์ และบริการด้าน Virtualization แบบไร้รอยต่อ ส่งเสริมการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นในองค์กร และรองรับบริการรวมถึงแอปพลิเคชันที่มีความหลากหลายในอนาคต

นายอเล็กซ์ โลท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ซิมโฟนี่ คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SYMC ผู้ให้บริการโครงข่ายสื่อสารโทรคมนาคมชั้นนำ กล่าวว่า นโนบายเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) ของรัฐบาลที่เน้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมบนโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและการเชื่อมต่อการสื่อสารที่มีการขยายตัวมากขึ้น ทำให้ภาครัฐและเอกชนมีการปรับตัวสู่กระบวนการดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและก้าวทันการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต บริษัทให้ความสำคัญกับการลงทุนในระยะยาวเพื่อขยายโครงข่ายและปรับปรุงประสิทธิภาพการให้บริการ รวมถึงพื้นที่บริการให้ครอบคลุมทั่วประเทศด้วยการจัดการและปรับปรุงโครงข่ายบริการหลักและอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้มีความทันสมัย เพื่อการใช้งานโครงข่ายที่มีความคล่องตัว มีประสิทธิภาพ มีความยืดหยุ่นยิ่งขึ้น ตอบสนองต่อผู้ใช้บริการได้เร็วขึ้นด้วยความหน่วงที่ต่ำกว่า (Low Latency)

“ในช่วงที่ผ่านมา ธุรกิจโทรคมนาคมมีการขยายตัวอย่างมาก อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคดิจิทัล ทั้งในด้านความต้องการการใช้งานที่เพิ่มมากขึ้นและความหลากหลายของแอปพลิเคชันที่ต้องใช้โครงข่ายบริการที่สามารถรองรับได้ในปริมาณมาก ทำให้เราเล็งเห็นถึงความสำคัญของการเติบโตของตลาดได้อย่างชัดเจนและโครงข่าย SDN-MPLS Network เป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่พัฒนาต่อยอดจากโครงข่าย MPLS แบบเดิม โดยมีความรวดเร็วในการจัดการ ลดความซับซ้อนในการเชื่อมต่อ มีระบบการคิดวิเคราะห์และมีความคล่องตัวยิ่งขึ้น ทำให้การเชื่อมต่อการสื่อสารของลูกค้ามีความต่อเนื่อง ตลอดจนรองรับความเร็วและแบนด์วิธที่สูงขึ้น โดยเป็นการรวมระบบการทำงานต่างๆ แบบอัจฉริยะเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นระบบจัดการเส้นทางอัตโนมัติ ระบบวิเคราะห์ความหน่วงของข้อมูล (Latency) ระบบวิเคราะห์ความหนาแน่นของโครงข่าย (Utilization) ระบบควบคุมและเฝ้าระวังข้อมูลศูนย์หาย (Packet Loss Monitoring) ระบบจำลองสถานการณ์ (Simulation) เพื่อประเมินผลกระทบล่วงหน้าและแจ้งให้ลูกค้าทราบได้อย่างแม่นยำขึ้น พร้อมระบบการเชื่อมต่อกับสมาร์ตโฟน คอมพิวเตอร์ เว็บแอปพลิเคชัน เพื่อให้ลูกค้าสั่งงานผ่านอุปกรณ์พกพาได้อย่างง่ายดาย รวมถึงสามารถควบคุมดูแลทุกอย่างจากส่วนกลางได้ ที่สำคัญคือรองรับการรับ-ส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงถึง 100Gbps และขยายไปได้จนถึง 1000Gbps ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ในปัจจุบัน”

โดยจุดเด่นของโครงข่าย SDN-MPLS Network อาทิ Throughput ให้ความแม่นยำในการควบคุม Bandwidth ตามที่ผู้ใช้บริการเลือกใช้ มี Latency ต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่กรุงเทพฯ โครงข่าย SDN-MPLS มี Latency ไม่เกิน 2ms เหมาะกับการใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ ได้อย่างไหลลื่นไม่สะดุด High Reliable มีเสถียรภาพสูงด้วยการเชื่อมต่อแบบหลากหลายเส้นทาง ง่ายต่อการบริหารจัดการและการสลับเส้นทางโดยอัตโนมัติหากเกิดขัดข้อง และเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการด้านต่าง ๆ ที่สามารถต่อยอดเข้ากับระบบและบริการอื่นๆ ได้อย่างง่ายดาย รวมถึงมอบประสบการณ์ใหม่ให้ลูกค้าด้วย Self-Service Portal เพื่อให้ผู้ใช้บริการเห็นการทำงานของโครงข่ายแบบเรียลไทม์ ทั้งการปรับแบนด์วิธ สั่งการ ตรวจสอบสถานะการบริการ สาเหตุการเกิดเหตุขัดข้อง การแจ้งเตือนและการเรียกดูการใช้งานต่างๆ ได้ง่ายเพียงปลายนิ้วบน Service Dashboard

สำหรับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายทั้งในประเทศและระหว่างประเทศที่จะได้ประโยชน์จากโครงข่ายใหม่นี้ ได้แก่ กลุ่มผู้ประกอบธุรกิจให้บริการด้านการสื่อสารและโทรคมนาคม ผู้ให้บริการด้านอินเทอร์เน็ต (ISP) ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ กลุ่มลูกค้าองค์กร และองค์กรภาครัฐ ธนาคาร สถาบันการเงิน ธุรกิจค้าปลีก โรงแรม โลจิสติกส์ รวมถึงกลุ่ม OTT (Over-the-Top) ที่ให้บริการด้านคอนเทนต์ต่างๆ ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์

นายอเล็กซ์ กล่าวเพิ่มว่า “เพราะเราตระหนักดีว่าการเชื่อมต่อการสื่อสารในยุคดิจิทัลคือหัวใจหลักสำหรับทุกธุรกิจ เราจึงต้องก้าวไปข้างหน้าอยู่เสมอในการส่งมอบบริการด้วยโครงข่ายคุณภาพที่ดีที่สุดด้วยนวัตกรรมล่าสุดเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมให้กับลูกค้าของเรา เพื่อตอบโจทย์ความต้องการในการเชื่อมต่อการสื่อสารที่เพิ่มมากขึ้นรวมถึงการเปลี่ยนผ่านองค์กรสู่ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นให้เกิดขึ้นในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งการปรับเปลี่ยนโครงข่ายหลักไปสู่ SDN-MPLS Network นี้จะช่วยยกระดับคุณภาพการบริการไปสู่มาตรฐานที่สูงขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน และต่อยอดธุรกิจให้กับลูกค้าได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นการสร้างแพลตฟอร์มทางด้านโทรคมนาคมแบบยั่งยืน ทั้งนี้ ช่วยให้รักษาความสามารถในการแข่งขันได้ในระยะยาวซึ่งเป็นผลดีต่อทั้งบริษัทฯ และตอกย้ำภาพลักษณ์ในการมุ่งมั่นที่จะเป็น “Best Trusted Network” ในระดับภูมิภาคได้เป็นอย่างดี

ในด้านการขยายพื้นที่ให้บริการและพัฒนาโครงข่ายนั้น บริษัทพิจารณาจากความสำคัญด้านยุทธศาสตร์เป็นสิ่งสำคัญ ทั้งนี้ปริมาณความต้องการในการเชื่อมต่อสื่อสารยังคงเติบโตสอดคล้องกับการพัฒนาเทคโนโลยีการสื่อสารโทรคมนาคมและการขยายตัวของการค้าและการลงทุนข้ามพรมแดน โดยตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการเป็นศูนย์กลางการสื่อสารโทรคมนาคม ปัจจุบันบริษัทให้บริการครอบคลุมพื้นที่ที่มีศักยภาพสูง ทั้งกรุงเทพฯ และปริมณฑล พื้นที่เศรษฐกิจหลัก 50 จังหวัด อาคารสำนักงานชั้นนำในกรุงเทพฯ 259 อาคาร นิคมอุตสาหกรรม 53 แห่ง ศูนย์บริการทั่วประเทศ 18 แห่ง และมีเกตเวย์เพื่อเชื่อมต่อโครงข่ายระหว่างประเทศ อีก 6 แห่ง ซึ่งเราเชื่อมั่นว่าการพัฒนาโครงข่ายหลักของบริษัทไปสู่ SDN-MPLS Network นี้จะช่วยยกระดับเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานและสร้างประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมให้เกิดขึ้นกับลูกค้าได้อย่างแน่นอน”

เกี่ยวกับ SYMC
บริษัท ซิมโฟนี่ คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2548 เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทสไทยภายใต้กลุ่มเทคโนโลยี ในชื่อ SYMC ประกอบธุรกิจหลักเป็นผู้ให้บริการโครงข่ายสื่อสารโทรคมนาคมในประเทศไทย โดยให้บริการวงจรสื่อสารที่มีความเร็วสูงเพื่อการเชื่อมต่อข้อมูลทั้งในประเทศและระหว่างประเทศผ่านโครงข่ายเคเบิลใยแก้วนำแสงทั้งบนดินและใต้น้ำ รวมทั้งบริการที่เกี่ยวข้อง อาทิ การบริหารจัดการโครงข่ายเคเบิลใยแก้วนำแสงปลายทาง การติดตั้งอุปกรณ์ รวมถึงบริการอินเทอร์เน็ต บริการดูแลและบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ (Manage Services) แบบครบวงจร บริการดาต้าเซ็นเตอร์ บริการระบบคลาวด์ และบริการดิจิทัลโซลูชั่นอื่นๆ ภายใต้ตราสินค้า Symphony แก่กลุ่มลูกค้าองค์กรทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ลูกค้าที่เป็นผู้ให้บริการ OTT (Over-the-Top) ที่ให้บริการด้านคอนเทนต์ต่าง ๆ ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์และผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมรายอื่นที่ต้องการรับ-ส่งข้อมูลอย่างรวดเร็ว

from:https://www.techtalkthai.com/symc-upgrades-its-services-with-a-new-network-the-first-sdn-mpls-network-in-thailand/

สรุปงาน Aruba Atmosphere 2022 SEATH : ก้าวสู่นวัตกรรมใหม่ Enterprise Networking & Security ด้วยอุปกรณ์เครือข่ายที่ชาญฉลาดมากยิ่งขึ้น

ในช่วงปีที่ผ่านมา ถือเป็นช่วงที่เทคโนโลยีในวงการ Enterprise Networking และ Security มีการปรับตัวสู่ทิศทางใหม่ในหลายแง่มุม และ Aruba Networks ในฐานะของผู้นำนวัตกรรมด้าน Enterprise Networking และ Security เอง ก็ได้มีการนำเสนอแนวคิดใหม่ๆ ภายในโซลูชันของตนเองมากมาย เพื่อให้ธุรกิจองค์กรได้นำไปปรับประยุกต์ใช้ สำหรับเตรียมก้าวสู่การผลักดันสร้างสรรค์สิ่งใหม่เพื่อเร่งสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจในยุคดิจิทัลแล้ว

ทีมงาน TechTalkThai และ APDT.news มีโอกาสได้เข้าร่วมงาน Aruba Atmosphere 2022 SEATH & INDIA ในครั้งนี้ที่มาจัดในประเทศไทย จึงขอนำสรุปประเด็นสำคัญจากงานสัมมนาครั้งนี้ พร้อมเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่นำมาจัดแสดงในบูธกันดังนี้ครับ

3 ปัจจัยสู่การทำ Networking Modernization

เทรนด์หลักที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลกในวงการ Network อยู่นี้ก็คือการทำ Network Modernization หรือการปรับปรุงระบบเครือข่ายให้มีความทันสมัย ตอบรับต่อโลกของการทำงานที่กำลังเปลี่ยนไปสู่ยุค Hybrid Work ซึ่งมีทั้งโจทย์ของการรองรับการทำงานจากนอกสถานที่ได้อย่างอิสระ ไปจนถึงการใช้งาน Cloud เป็นหลักในการทำงาน ในขณะที่การรักษาความมั่นคงปลอดภัยก็ต้องสูงยิ่งขึ้นตามความซับซ้อนของภัยคุกคามที่กำลังเกิดขึ้นในทุกวัน

การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในวงการ Enterprise Networking และ Security ในยามนี้ ได้ทำให้สถาปัตยกรรมของระบบเครือข่ายนั้นพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ และทำให้เหล่าผู้ดูแลระบบเครือข่ายทั่วโลกต้องเร่งปรับตัวกันอย่างรวดเร็ว ต้องมีการนำเทคโนโลยีใหม่เข้ามาใช้งานอย่างต่อเนื่อง และต้องปรับวิธีการดูแลรักษาระบบเครือข่ายใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับความคาดหวังในการได้รับประสบการณ์ที่ดีของผู้ใช้งาน

ในมุมของ HPE Aruba สิ่งที่จะสามารถตอบโจทย์เหล่านี้ได้ คือการปรับระบบเครือข่ายให้มีคุณสมบัติ 3 ประการ ดังนี้

1.Automation
การทำ Automation ได้กลายเป็นคุณสมบัติสำคัญประการแรกของระบบเครือข่ายแห่งอนาคต เพราะด้วยระบบเครือข่ายที่มีการขยายตัวออกไปยังภายนอกองค์กร ทำให้มีองค์ประกอบภายในระบบเครือข่ายที่หลากหลายยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อประสบการณ์ของผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้น รวมถึงยังมีการใช้งานอุปกรณ์ Internet of Things (IoT) ที่หลากหลายยิ่งขึ้น ในขณะที่ประเด็นด้าน Cybersecurity เองก็ยังมีความสำคัญที่ไม่อาจมองข้ามไปได้ ทำให้ภาระในการบริหารจัดการและการดูแลรักษาระบบเครือข่ายนั้นสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว

ด้วยเหตุเหล่านี้ การบริหารจัดการระบบเครือข่ายด้วยวิธีการแบบดั้งเดิมจึงไม่อาจเพียงพออีกต่อไป และหลายองค์กรเองก็ยังต้องเผชิญความกดดันจากการขาดแคลนบุคลากรที่จะมาดูแลรักษาระบบ IT Infrastructure สำคัญเหล่านี้ด้วย ดังนั้นการมีเทคโนโลยีที่สามารถติดตั้งใช้งานบริหารจัดการได้ง่าย ทำงานได้แบบอัตโนมัติ และมี AI เป็นตัวช่วยจึงกลายเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณา เพื่อให้ธุรกิจองค์กรยังคงสามารถจัดการและควบคุมการใช้ระบบเครือข่ายของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2.Security
จากความต้องการในการใช้งานระบบเครือข่ายในรูปแบบที่เปลี่ยนไป ทั้งจากภายในและภายนอกองค์กร ทำให้การปกป้องดูแลผู้ใช้งานและอุปกรณ์ขององค์กรนั้นต้องมีการปรับตัวตามไปด้วย ดังนั้นสถาปัตยกรรมด้าน Network Security อย่างในอดีตที่มีการแยกส่วนของการปกป้องผู้ใช้งานภายในองค์กรนั้นจึงไม่เพียงพออีกต่อไป

เพื่อตอบโจทย์นี้เทคโนโลยีด้าน Network และ Security ต้องถูกผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน และทำงานได้ตามหลักการของ Zero Trust เพื่อควบคุมทุกการยืนยันตัวตนและเชื่อมต่อสื่อสารระหว่างผู้ใช้งานหรืออุปกรณ์ที่ใช้งาน ไปยังส่วนอื่นๆ ของระบบเครือข่ายหรือ Internet ให้เป็นไปตามนโยบายด้านความมั่นคงปลอดภัยขององค์กร เพื่อลดความเสี่ยงที่ระบบ IT จะถูกโจมตีต่อเนื่องด้วยวิธีการต่างๆ และจำกัดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน

3.Agility
ความคล่องตัวนั้นได้กลายมาเป็นอีกคุณสมบัติสำคัญของระบบเครือข่ายในทุกวันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับระบบเครือข่ายที่มีขนาดใหญ่ เพื่อให้การเพิ่มเติมบริการหรือการปรับเปลี่ยนการทำงานของระบบเครือข่ายนั้นเป็นไปได้อย่างรวดเร็วและคล่องตัว ตอบสนองต่อกลยุทธ์ของธุรกิจและการทำงานที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งการมาของ COVID-19 ได้ทำให้ความสำคัญของประเด็นนี้ยิ่งทวีคูณขึ้น จากการที่ธุรกิจองค์กรทั่วโลกต่างต้องรีบเปลี่ยนสถาปัตยกรรมของระบบเครือข่ายเพื่อปรับตัวไปสู่การทำงานแบบ Remote Working อย่างเต็มตัวก่อนที่จะปรับมาสู่ Hybrid Working ในปัจจุบัน

นอกจากความคล่องตัวในเชิงเทคนิคแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่ธุรกิจองค์กรต้องคำนึงถึงก็คือความคล่องตัวในแง่ของการลงทุนเพิ่มขยายระบบ IT ภายในองค์กร ซึ่งเทรนด์ของการใช้งานระบบ IT ในแบบ as-a-Service นั้นก็สามารถตอบโจทย์นี้ได้เป็นอย่างดี และ Aruba ก็จะตอบสนองต่อความต้องการของธุรกิจองค์กรทั่วโลกนี้ ด้วยบริการ Network-as-a-Service หรือ NaaS นั่นเอง

ในการช่วยให้ธุรกิจองค์กรทั่วโลกก้าวไปสู่การทำ Network Modernization ได้อย่างสำเร็จนี้ ทาง Aruba ได้นำเสนอ Aruba ESP Solutions เพื่อตอบโจทย์ความท้าทายทั้ง 3 ประการดังกล่าวภายในโซลูชันเดียว โดยภายในโซลูชันดังกล่าวนี้จะมีการแบ่งระบบออกเป็น 4 ชั้น ดังนี้

  1. Connect โดยมี Switch, AP, Gateway สำหรับรองรับการเชื่อมต่อทั้งภายในและภายนอกองค์กร รวมถึงยังรองรับการทำงานจากภายนอกองค์กรได้อย่างสะดวกสบาย เชื่อมต่อเครือข่ายระหว่างสาขาได้ง่ายด้วย SD-WAN
  2. Protect ปกป้องทุกการเชื่อมต่อสื่อสาร โดยผสานระบบ Security เข้าเป็นส่วนหนึ่งของระบบเครือข่ายโดยตรง เพื่อปกป้องทั้งอุปกรณ์ของผู้ใช้งานและอุปกรณ์ IoT ด้วยการทำ Zero Trust และเสริม Security เข้าไปในระบบ SD-WAN ให้ธุรกิจสามารถก้าวสู่การทำ SASE ด้วยเทคโนโลยี Cloud Security ได้ทันที
  3. Automation การติดตั้งใช้งานและการดูแลรักษาระบบทั้งหมดจะต้องเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายและเป็นอัตโนมัติ เพื่อให้ตอบโจทย์ต่อระบบเครือข่ายที่ต้องขยายและเปลี่ยนแปลงตามระบบ IT ได้อย่างรวดเร็วและยืดหยุ่น โดย Aruba มีการนำเทคโนโลยี AI เข้ามาเสริมในการทำ Automation
  4. Adapt เพิ่มความยืดหยุ่นในการวางระบบเครือข่ายให้สูงยิ่งขึ้น ทั้งในแง่ของการลงทุนที่มีทางเลือกใหม่อย่าง NaaS และการบริหารจัดการที่สามารถเลือกได้ว่าจะดูแลรักษาระบบเครือข่ายด้วยตนเอง หรือ Outsource ออกไปให้กับผู้ให้บริการ Managed Services

อัปเดตเทคโนโลยีและโซลูชันล่าสุดจาก Aruba ในปี 2022

นอกจากการนำเสนอในเชิงวิสัยทัศน์แล้ว งานสัมมนาครั้งนี้ก็ได้มีการนำนวัตกรรมใหม่ๆ จาก HPE Aruba มาเปิดตัวในภูมิภาค APAC กันอย่างหลากหลาย ดังนี้ครับ

โซลูชันแรกคือ Aruba Central NetConductor ที่จะช่วยให้การวางระบบ Network และ Security ภายในองค์กรกลายเป็นรูปแบบ Overlay ได้ ด้วยการตั้งค่าในแบบ Intent-based และบังคับใช้งานนโยบายเหล่านี้ได้แบบอัตโนมัติ ทำให้การบริหารจัดการเครือข่ายในภาพรวมทั้งในส่วนของ Network และ Security ถูกผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยการตั้งค่าทั้งหมดนี้จะอาศัยการผสมผสานกันระหว่าง Protocol มาตรฐานของอุตสาหกรรม เพื่อให้มั่นใจว่าทุกการทำงานนั้นจะเป็นไปอย่างมีแบบแผน และปรับเปลี่ยนได้ในอนาคตเมื่อมีมาตรฐานใหม่ๆ ออกมาให้ใช้งาน

ถัดมาที่ถูกเน้นย้ำเป็นอย่างมากในงานสัมมนาครั้งนี้ ก็คือ Aruba EdgeConnect SD-WAN Fabric ที่มีทั้ง EdgeConnect Mobile, Mibrobranch, SD-Branch และ Enterprise ให้เลือกใช้งานได้ตามรูปแบบของสาขาที่ธุรกิจองค์กรต้องการ เพื่อเชื่อมต่อเครือข่ายและรักษาความมั่นคงปลอดภัยให้กับระบบเครือข่ายได้อย่างครอบคลุมไม่ว่าโครงสร้างของธุรกิจและนโยบายในการทำงานจะเป็นอย่างไร และปกป้องผู้ใช้งานได้ในทุกการเข้าถึงทุก Application ทั้งภายใน Data Center และบน Cloud

ในส่วนของ Aruba EdgeConnect Microbranch ที่ Aruba ระบุว่าได้รับความนิยมสูงมากนั้น ก็คือการเสริมความสามารถ SD-WAN Gateway เข้าไปยัง Access Point รุ่น Remote ของ Aruba โดยตรง ทำให้การวางระบบเครือข่ายสำหรับสาขาขนาดเล็กมากๆ ที่มีผู้ใช้งานเพียงแค่ 1 คน แต่อาจมีหลายอุปกรณ์ที่ต้องใช้งาน และต้องการส่งมอบประสบการณ์ในการทำงานให้กับพนักงานหรือผู้บริหารที่ทำงานจากที่บ้านนั้นเป็นไปได้เสมือนการมาทำงานที่ออฟฟิศ เกิดขึ้นได้อย่างสะดวกและง่ายดายภายในอุปกรณ์เพียงแค่ชุดเดียว สามารถนำไปใช้ได้ทั้งสำหรับสาขาของร้านค้าขนาดเล็ก หรือการวางระบบให้พนักงานสามารถทำงานจากที่บ้านได้อย่างมั่นคงปลอดภัย ตอบโจทย์การเพิ่มขยายสาขาจำนวนหลายสิบหรือหลายร้อยแห่งในระยะเวลาอันสั้นได้เป็นอย่างดี

ทางด้าน Aruba EdgeConnect Enterprise ก็มีประกาศอัปเดตครั้งใหญ่ในฐานะของโซลูชัน SD-WAN แรกที่ได้รับ ICSA Secure SD-WAN Certification ที่รับรองถึงความสามารถในการทำ Next-Generation Firewall และ Cybersecurity อื่นๆ สามารถทำงานได้อย่างมีมาตรฐาน ตรวจจับและยับยั้งป้องกันภัยคุกคามในหลากหลายรูปแบบได้อย่างแม่นยำ เพื่อปกป้องการเชื่อมต่อของระบบ SD-WAN และควบคุมการเข้าถึงใช้งานระบบเครือข่ายของผู้ใช้งานได้อย่างมั่นใจ

อีกหนึ่งนวัตกรรมที่น่าสนใจนั้นก็คือ Open Locate ที่ทาง Aruba ได้ทำการใส่ GPS ลงไปใน AP รุ่น Wi-Fi 6E และรองรับมาตรฐาน 802.11mc / Fine Time Measurement (FTM) ทำให้การระบุจุดติดตั้ง Access Point มีความแม่นยำสูงยิ่งขึ้นกว่าในอดีต และนำตำแหน่งจุดติดตั้งไปใช้อ้างอิงกับระบบแผนที่อื่นๆ ได้อย่างเป็นสากล ในขณะที่ยังสามารถให้บริการข้อมูลพื้นที่ตำแหน่งให้กับ Mobile Application ได้ สร้างความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในการพัฒนา Location-based Application ที่ต้องใช้ข้อมูลตำแหน่งภายในอาคารได้อย่างง่ายดาย ตอบโจทย์ได้ดีทั้งในแง่ของการติดตั้งใช้งาน และการต่อยอดสร้างคุณค่าเพิ่มเติมจากระบบเครือข่ายไร้สายที่ธุรกิจมีการใช้งานอยู่

ในฝั่งของ Data Center Networking ทาง Aruba ได้พูดคุยถึงเทรนด์ Distributed Services Switch ด้วย Aruba CX 10000 Series Switch with Pensando ที่ใช้เทคโนโลยีชิป DPU และ Software จาก AMD Pensando เข้ามาเสริมให้กับ Data Center Switch ทำให้ Top-of-Rack Switch มีความสามารถด้าน Security ในตัวในระดับประสิทธิภาพเดียวกับการทำ Switching ได้ทันที อย่างเช่น การทำ Firewall เพิ่มเติมภายในอุปกรณ์ Switch ช่วยเสริม Data Center Network Security ได้โดยไม่เกิดผลกระทบต่อประสิทธิภาพด้านระบบเครือข่าย และไม่มีความซับซ้อนของการรับส่งข้อมูลภายในระบบเครือข่ายอย่างในอดีตอีกต่อไป ตอบโจทย์ของธุรกิจที่ต้องการทำ Security ให้กับ Network Traffic ในแบบ East-West ซึ่งมีปริมาณมหาศาล และยากต่อการดูแลรักษาในอดีตได้ทันที

สุดท้ายก็คือการพูดคุยถึง NaaS – Network as a Service ที่ธุรกิจองค์กรสามารถเลือกใช้งานระบบ IT Infrastructure ในฝั่งของ Network และ Security จาก Aruba ทั้งหมดได้ โดยคิดค่าใช้จ่ายในแบบ Subscription-based ซึ่งจะมีทั้ง Hardware และ Software รวมอยู่ภายในบริการ พร้อมระบบ Data Analytics สำหรับวิเคราะห์ข้อมูลการใช้งานและการปรับแต่งระบบเครือข่าย เปิดให้สามารถบริหารจัดการได้ทั้งโดยฝ่าย IT ขององค์กร และผู้ให้บริการ Managed Services ซึ่งจะช่วยให้เทคโนโลยีด้าน Network และ Security ขององค์กรสามารถถูกใช้งานได้โดยตลาดที่มีขนาดกว้างมากยิ่งขึ้น ในขณะที่มีความสามารถเทียบเท่าได้กับโซลูชันในระดับธุรกิจองค์กร

Aruba ระบุว่าเทรนด์ของการปรับไปใช้งาน NaaS นั้นโตเร็วมากจากการมาของ Hybrid Work ที่ธุรกิจต้องการระบบเครือข่ายใหม่ที่มีความซับซ้อนสูง บนการออกแบบสถาปัตยกรรมที่แตกต่างออกไป ดูแลง่าย ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการลงทุนเริ่มต้นไม่สูงมาก

ในการใช้งาน NaaS นั้น ธุรกิจองค์กรจะสามารถใช้งานผ่านบริการ HPE GreenLake for Aruba Service Packs รองรับ 8 Use Case ได้แก่ Outdoor Wireless, Indoor Wireless, Remote Wireless, Wired Core, Wired Aggregation, Wired Access, SD-Branch และ UXI โดยสามารถเสริมความสามารถในส่วนของ Network Management และ Network Security จากโซลูชันของ Aruba ที่ต้องการได้ทั้งหมด ซึ่งสัญญาในการใช้บริการดังกล่าวนี้จะอยู่ที่ระยะเวลา 3-5 ปี

และทั้งหมดนี้ก็คือประเด็นสำคัญจากงานสัมมนา Aruba Atmosphere 2022 SEATH & INDIA ในครั้งนี้ครับ ถ้าหากท่านใดมีข้อสงสัยหรือคำถามใดๆ เพิ่มเติม ก็สามารถติดต่อทีมงาน HPE Aruba สามารถติดต่อ HPE Aruba ได้ที่อีเมล: nawarat.ch@hpe.com หรือติดต่อพาร์ทเนอร์รายต่างๆ ของ Aruba ทั่วประเทศ เพื่อขอรายละเอียดเพิ่มเติมหรือนัดทดสอบเทคโนโลยีหรือโซลูชันต่างๆ ที่ต้องการได้ทันทีครับ

 

from:https://www.techtalkthai.com/aruba-atmosphere-2022-seath/