คลังเก็บป้ายกำกับ: Wireless_networking

ระบบการจัดการบน EnGenius Fit…เลือกแบบไหนดี [Guest Post]

EnGenius Fit โซลูชันที่มาพร้อมระบบการจัดการอุปกรณ์แบบใหม่

ลูกค้าสามารถเลือกใช้งานได้ตามความเหมาะสมของงาน ซึ่งวันนี้ทางทีม NVK จะทำการเทียบระบบ พร้อมแนวทางในการออกแบบ สำหรับท่านที่ยังคงสงสัยว่าควรเลือกแบบไหน บทความนี้มีคำตอบแน่นอน

ภาพตัวอย่าง Dashboard และการตั้งค่าต่างๆ

FitXpress : ระบบจัดการผ่าน Cloud จาก EnGenius ให้บริการบน AWS (Cloud Computing Services ของ Amazon) ซึ่งมีความน่าเชื่อถือและเป็นที่นิยมจากทั่วโลก รองรับจัดการผ่าน Web Service และ Mobile Application ใช้งานได้ฟรี พร้อม GUI ที่ใช้งานง่าย สามารถตั้งค่าได้ แม้ไม่มีความรู้ด้าน IT

FitController : Hardware Controller On-Premise สำหรับติดตั้งใน Local Site มาพร้อม GUI และการตั้งค่าในเชิงลึก เหมาะกับองค์กรที่มี เจ้าหน้าที่ IT ในการดูแลระบบ

ภาพตัวอย่าง การลงทะเบียนอุปกรณ์

FitXpress : ลงทะเบียนอุปกรณ์ง่าย ผ่าน Mobile Application ด้วยการ Scan QR Code หรือผ่าน Web โดยใช้หมายเลข Serial Number

FitController : ค้นหาอุปกรณ์ภายใน Network อัตโนมัติเมื่อมีการเชื่อมต่ออุปกรณ์ หรือใช้หมายเลข Serial Number ในการลงทะเบียนอุปกรณ์

ภาพตัวอย่าง การกำหนดสิทธิ์ผู้ใช้งาน

FitXpress : รองรับการจัดการแบบข้ามเครื่อข่าย เหมาะกับธุรกิจที่มีหลายสาขา และสามารถกำหนดสิทธิ์ในการใช้งานได้ 2 แบบคือ admin (full access) และ Viewer (read only)

FitController : สามารถเลือกการจัดการโดยแบ่งกลุ่มของการตั้งค่าผ่าน Network สามารถกำหนดสิทธิ์ในการใช้งานได้ 2 แบบคือ admin (full access) และ Viewer (read only) 

สรุปกลุ่มเป้าหมาย (Target User)

FitXpress : ธุรกิจขนาดเล็ก (SMBs) เจ้าของกิจการ ที่มีหลายสาขา ไม่มีความรู้ด้าน IT หรือเจ้าหน้าประจำบริษัท สามารถใช้งานได้ง่าย ด้วยการแสดงผลแบบกราฟฟิกข้อมูลต่างๆ ที่สำคัญและครบถ้วน พร้อมเครื่องมือในการตรวจวิเคราะห์ปัญหาต่างๆได้อย่างง่าย

FitController : กลุ่มธุรกิจที่ออกแบบและวางแผนการเพิ่มอุปกรณ์ในอนาคต มีเจ้าหน้าที่ IT ในการดูแลระบบ กราฟฟิกแสดงผลข้อมูลในเชิงลึก ไม่ต้องการ Server ในการดูแลเพิ่มเติม และง่ายในการติดตั้ง

รายละเอียดอื่นๆ และความแตกต่างของระบบแบบตาราง

การเลือกใช้งานและการออกแบบ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ซึ่งสามารถนำไปใช้งานได้หลากหลายประเภท ลูกค้าสามารถนำข้อมูลนำไปใช้เป็นไอเดียในการออกแบบ และสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือขอคำปรึกษาในออกแบบโซลูชั่นได้ที่ sale@nvk.co.th, 0 2940 2070 # 1

from:https://www.techtalkthai.com/management-system-on-engenius-fit-which-one-to-choose/

Advertisement

Intel เพิ่ม Intel vRAN Boost บน Intel Xeon Scalable Processor

ในงาน MWC Event ทาง Intel ได้ประกาศเพิ่ม Intel vRAN Boost บนหน่วยประมวลผล 4th Gen Intel Xeon Scalable Processor รองรับงาน 5G Core และ Edge Network

Credit: Intel

ในงาน Mobile World Congress (MWC) ที่กำลังจัดขึ้นนั้น Intel ได้ประกาศเพิ่มความสามารถ Intel vRAN Boost หรือระบบ Radio Access Network บนหน่วยประมวลผล 4th Gen Intel Xeon Scalable Processor ช่วยตอบโจทย์การทำงาน Core, Open RAN และ Edge Network โดยเป็นเทคโนโลยี Network Virtualization ที่ได้รับการสนับสนุนจากพาร์ทเนอร์หลายราย เช่น Advantech Co., Ltd., Capgemini Inc., Canonical Ltd., Dell Technologies Inc., Telefonaktiebolaget LM Ericsson, Super Micro Computer Inc., Red Hat Inc., Verizon Communications Inc. และ Vodafone Ltd. มีการเพิ่ม vRAN acceleration เข้าไปแบบ System on Chip ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้งาน Accelerator card จากภายนอกเพื่อใช้งาน Open RAN network

Intel vRAN Boost ช่วยเร่งประสิทธิภาพการทำงานได้ถึงสองเท่า และช่วยลดการใช้พลังงานลงได้ 20% เมื่อเทียบกับหน่วยประมวลผลรุ่นก่อน ซึ่งในการงานนี้มีการทดสอบการใช้งาน Intel vRAN Boost เพื่อส่งข้อมูล 5G ความเร็วกว่า 1 TBps ด้วย Server ที่ผ่านการรับรองจาก Samsung Electronics Co., Ltd.

นอกจากนี้ Intel ยังมีการเปิดตัวซอฟต์แวร์ Infrastucture Power Manager for 5G Core ที่มีความสามารถในการปรับแต่งการทำงานของ vRAN Boost ช่วยลดการใช้พลังงานเมื่อมีการส่งข้อมูลไม่หนาแน่น ในขณะที่ยังให้ความเร็วในการทำงานและ Latency ที่ต่ำ ตอบโจทย์ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ขนาดใหญ่

ที่มา: https://siliconangle.com/2023/02/27/intel-accelerates-5g-network-virtualization-xeon-scalable-cpu-vran-boost/

from:https://www.techtalkthai.com/intel-adds-intel-vran-boost-to-intel-xeon-scalable-processor/

Microsoft เพิ่มความสามารถในการให้บริการ Private MEC

หลักจากที่ได้เปิดตัว Private Multi-access edge compute (MEC) มาตั้งแต่เมื่อกลางปี 2021 วันนี้ได้มีการอัปเดตความคืบหน้าใหม่ๆมากมายในความพยายามนี้อย่าง Private 5G Core, Azure Edge Network Fabric และ RAN Observability รวมถึงการโปรแกรมสำหรับเชิญชวนให้ธุรกิจที่สนใจเข้าร่วมการให้บริการใน Marketplace

credit : microsoft

คอนเซ็ปต์ของ MEC เปรียบเสมือนเป็นการให้บริการคลาวด์ขนาดย่อมไว้ที่ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตใกล้เคียงกับจุดกำเนิดข้อมูล (ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่นี่) ซึ่งในสิ่งที่เรียกว่า Private MEC ของ Microsoft ประกอบด้วยหลายองค์ประกอบคือ Application, Network Functions, Compute และ Radio Devices โดยทั้งหมดสามารถควบคุมได้ผ่านคลาวด์ ทั้งนี้เล็งเป้าไปที่ผู้ให้บริการเครือข่ายนำไปให้บริการลูกค้าของตน หากต้องการใช้งานก็มีพาร์ทเนอร์หลายเจ้าที่สามารถเลือกใช้ได้เช่น NTT, Inventec และรายอื่นๆ

และต่อยอดจากเรื่องของ MEC แล้ว Private 5G ก็เป็นแรงผลักดันที่ทำให้เกิดประโยชน์ โดยปีก่อนที่บาร์เซโลน่าได้มีการเปิดบริการที่ชื่ Private 5G Core ซึ่งก็มุ่งสู่การนำ 5G ไปใช้ในธุรกิจโดยฐานที่สำคัญก็คือแพลตฟอร์ม Stack Edge ต่อยอดสู่ network function ล่าสุดบริการในส่วนนี้ก็มีการอัปเดตจากสถานะทดสอบเพื่อใช้จริง พร้อมความสามารถใหม่เช่น การรองรับสัญญาน 4G LTE และ 5G แบบ Standalone, การใช้งานบน AKS ใน Stack Edge Pro และการ deploy ใช้งานแบบหลายไซต์ รวมถึงความสามารถอื่นๆอีกมากมาย

ในด้าน Network ได้มีศัพท์ที่น่าสนใจก็คือ Edge Network Function โดย Microsoft อ้างว่า OT มีปัญหาของการเข้าถึงหลายรูปแบบ ดังนั้น Edge Network Function คือโซลูชันเพื่อรวมการเชื่อมต่อ ที่มาพร้อมฟีเจอร์อย่าง Firewall, SD-WAN เพื่อให้การทำงานง่ายขึ้นใ นด้าน Wi-Fi จับมือกับ CommScope เพื่อเพิ่มความสามารถในการให้บริการ

credit : Microsoft

Radio Access Network (RAN) เป็นอีกหนึ่งเลเยอร์สำคัญที่มีปัญหาเรื่อง Vendor หลายเจ้า ทั้งนี้ด้วยความสามารถ Observability กล่าวคือผู้ใช้จะมีแดชบอร์ดตัวหนึ่งที่แสดงผลการวิเคราะห์ชี้วัดด้านประสิทธิภาพของ RAN ได้ นอกจากนี้ยังนำเสนอโซลูชันจากพาร์ทเนอร์อื่นๆที่ให้บริการเรื่อง Network Insight มาให้เลือกได้ด้วยจากหน้า Portal เดียว

ในส่วนของ Application ทาง Microsoft ก็เชิญชวนให้ธุรกิจมานำเสนอโซลูชันใน Marketplace เช่น Robotics, Video AI และ IoT ที่สามารถ Deploy ได้บนทรัพยากรส่วน MEC ได้ทันที

ที่มา : https://azure.microsoft.com/en-us/blog/azure-private-mec-delivers-modern-connected-applications-for-industries/ 

from:https://www.techtalkthai.com/microsoft-private-mec-news-update-022023/

ตรวจสอบและแก้ไขปัญหาในระบบเครือข่ายอย่างรวดเร็ว ด้วย Aruba AIOps

ทุกวันนี้ การนำ AIOps ประยุกต์ใช้ในฝ่าย IT เพื่อช่วยดูแลรักษาระบบ IT Infrastructure ได้กลายเป็นหนึ่งในแนวทางปฏิบัติมาตรฐานของธุรกิจองค์กรหลายแห่งแล้ว

เพื่อช่วยให้เหล่าผู้ดูแลระบบ Network และ Wi-Fi สามารถทำงานได้อย่างสะดวก ง่ายดาย และเป็นอัตโนมัติมากยิ่งขึ้น เพื่อส่งมอบประสบการณ์การเข้าใช้งานเครือข่ายที่ดีแก่ผู้ใช้งานทั่วทั้งองค์กร Aruba Networks จึงนำเสนอแนวทางของการนำ AIOps มาประยุกต์ใช้กับ Wi-Fi ด้วย Aruba UXI และ Aruba Central ด้วยโซลูชันที่พร้อมตอบโจทย์แล้วดังนี้

Aruba User Experience Insight (UXI): ระบบ AIOps ที่จำลองประสบการณ์ของผู้ใช้งานจริงมาร่วมประมวลผลและตอบสนองโดยอัตโนมัติ

โดยทั่วไปนั้น AIOps มักเป็นระบบ AI ที่นำข้อมูลจากระบบ IT Infrastructure ต่างๆ มาประมวลผลและตอบสนองในแบบ Real-Time ดังนั้นความสามารถของ AIOps จึงขึ้นอยู่กับปริมาณและความหมายของข้อมูลที่ระบบได้รับมาเพื่อทำการประมวลผล

ด้วยเหตุนี้ การส่งมอบประสบการณ์แก่ผู้ใช้งานที่ดีหรือ User Experience ที่ดีนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีข้อมูลจากฝั่งของผู้ใช้งานมาร่วมใช้ในการประมวลผลด้วย ซึ่งสำหรับระบบเครือข่าย หากผู้ใช้งานประสบปัญหาในการเชื่อมต่อเครือข่ายจนไม่อาจเชื่อมต่อเครือข่ายได้สำเร็จ การส่งข้อมูลเหล่านี้จากอุปกรณ์ของผู้ใช้งานมายังระบบ AIOps จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

ดังนั้น Aruba Networks จึงได้ทำการพัฒนาโซลูชัน Aruba UXI ขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์นี้โดยเฉพาะ ด้วยการนำอุปกรณ์ Sensor ที่ทำหน้าที่จำลองการเชื่อมต่อเครือข่าย Wi-Fi และทดลองเชื่อมต่อไปยังระบบงานต่างๆ ภายในองค์กรเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลประสบการณ์การเชื่อมต่อเหล่านี้ ก่อนจะส่งข้อมูลประสบการณ์ที่ได้รับมาทาง Network ขององค์กรในกรณีที่เชื่อมต่อสำเร็จ หรือสัญญาณ 4G/5G ในกรณีที่เชื่อมต่อเครือข่ายขององค์กรไม่สำเร็จ เพื่อให้ระบบ AIOps บน Cloud ของ Aruba ได้ทราบถึงข้อมูลเหล่านี้ ก่อนจะนำไปวิเคราะห์ ประมวลผล และตอบสนองหรือแจ้งเตือนผู้ดูแลระบบได้อย่างทันท่วงที

ตัวอย่างการใช้งานจริงของ Aruba UXI และ Aruba Central

มาถึงตรงนี้ผู้ดูแลระบบหลายท่านอาจเกิดข้อสงสัยว่าแล้วในการใช้งานจริง Aruba UXI และ Aruba Central จะทำงานอย่างไร? มีข้อมูลอะไรบ้างที่ผู้ดูแลระบบจะได้รับทราบ? ซึ่งทาง Aruba Networks ก็ได้จำลองสถานการณ์การใช้งานจริงมาให้เราได้เห็นภาพกันมากขึ้นดังนี้

ในตัวอย่างนี้ Aruba Networks ได้จำลองสถานการณ์กรณีที่ผู้ดูแลระบบเครือข่ายได้ทำการเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าของระบบให้รองรับการทำ Zero-Touch Shopping สำหรับห้างสรรพสินค้า และได้รับคำร้องเรียนจากพนักงานและลูกค้าว่าระบบ Mobile Point-of-Sale (POS) มีปัญหาบ่อยครั้งที่เกี่ยวข้องกับการเชื่อมต่อ Wi-Fi

ทั้งนี้เมื่อผู้ดูแลระบบเครือข่ายเข้าไปตรวจสอบข้อมูลจาก Aruba UXI ในหน้า Dashboard ผู้ดูแลระบบก็พบว่าสัญญาณ Wi-Fi หลายจุดมีค่า Channel Utilization และ Retry Rate ที่สูง ในขณะที่มี Bitrate ที่ต่ำ ทำให้เห็นได้ชัดว่ามีปัญหาที่เกิดขึ้นจากการตั้งค่ากำลังส่งสัญญาณของ Access Point (AP)

ส่วนทางด้าน AI Insights บน Aruba Central เองก็ได้มีการวิเคราะห์ข้อมูลประสิทธิภาพของเครือข่าย และพบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นมีสาเหตุมาจาก

  • การมี Radar Channel ที่น้อยเกินไป
  • การตั้งค่า Lower Beacon Rate บนหลาย SSID
  • การตั้งค่า Transmit Power ที่ไม่เหมาะสม

ดังนั้นการแก้ไขปัญหาเบื้องต้นในกรณีนี้ จึงได้แก่การเปิดใช้ Radar Channel ให้มากขึ้น, การสั่งปิด Lower Beacon Rate และเปลี่ยนไปตั้งค่า Basic Rate เป็น 12Mbps แทน และการตั้งค่า Transmit Power ของ AP แต่ละชุดตามคำแนะนำของระบบ ซึ่งใน AI Insights เองก็ได้ระบุ AP ที่ควรแก้ไขการตั้งค่าเหล่านี้มาให้อย่างครบถ้วน ทำให้การดำเนินการเป็นไปได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย

นอกจากนี้ ภายใน Aruba Central ก็ยังมี AI Search ให้ใช้ เพื่อให้ผู้ดูแลระบบสามารถเรียนรู้ถึงปัญหาต่างๆ และวิธีการตั้งค่าด้วยตนเองเพิ่มเติมได้ ทำให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เมื่อผู้ดูแลระบบทำการปรับแต่งการตั้งค่าให้เหมาะสมเพื่อแก้ไขปัญหาแล้ว Aruba UXI ก็จะทำการตรวจสอบผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อประสบการณ์ของผู้ใช้งานต่อเนื่องทันที ซึ่งใน Aruba UXI Dashboard นั้นก็จะแสดงให้เห็นว่าผลลัพธ์ของการเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าเป็นดังนี้

  • การมี Channel Utilization ที่ดีขึ้น 50%
  • การมี RX Bitrate ที่สูงขึ้น 24%
  • การมี Frame Retries ที่ดีขึ้น 88%

ด้วยข้อมูลสถิติเหล่านี้ทำให้ผู้ดูแลระบบ IT และ Network สามารถติดตามคุณภาพที่ดีขึ้นหลังการแก้ไขปัญหาได้อย่างชัดเจน และทำให้เมื่อเกิดกรณีปัญหาใดๆ ใหม่เพิ่มเติมขึ้นมา ก็สามารถวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด รวมถึงรับทราบ Feedback ของการแก้ไขปัญหาแต่ละครั้งได้ในเชิงสถิติตัวเลขที่แม่นยำ ทำให้การทำงานโดยรวมของผู้ดูแลระบบมีความรวดเร็ว แม่นยำ และชัดเจนมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ด้วยอุปกรณ์ Sensor ที่นำไปติดตั้งตามพื้นที่หรือสาขาต่างๆ ของธุรกิจ ก็ทำให้ผู้ดูแลระบบมีข้อมูลประสบการณ์จากผู้ใช้งานที่ครบถ้วนในทุกพื้นที่ให้บริการ Wi-Fi และสามารถทำการตรวจสอบแก้ไขปัญหาแบบ Remote ได้อย่างสะดวก ไม่จำเป็นต้องเดินทางลงพื้นที่เพื่อทดสอบสัญญาณ Wi-Fi ด้วยตนเองอีกต่อไป

สนใจโซลูชัน Aruba AIOps หรือ Aruba UXI ติดต่อทีมงาน IT Green ได้ทันที

สำหรับผู้ที่สนใจโซลูชัน Aruba AIOps หรือ Aruba UXI สามารถติดต่อทีมงาน IT Green ได้ทันทีที่ Email : itghpe@itgreen.co.th หรือ Line ID : @itgreen

from:https://www.techtalkthai.com/network-troubleshooting-with-aruba-aiops-by-itgreen/

เปิดตัว Aruba EdgeConnect Enterprise Subscription ใหม่ และ Aruba EdgeConnect Enterprise EC-10104 สำหรับ SD-WAN Branch Gateway

ทุกวันนี้ SD-WAN ได้กลายเป็นโซลูชันหลักที่จำเป็นสำหรับธุรกิจองค์กรหลายแห่งไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเสริมประสิทธิภาพ ความคุ้มค่า และความมั่นคงปลอดภัยให้กับการเชื่อมต่อเครือข่ายระหว่างสาขา หรือการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ IoT, Cloud และระบบเครือข่ายขององค์กรเข้าด้วยกันก็ตาม

เพื่อให้ SD-WAN กลายเป็นเทคโนโลยีที่ธุรกิจองค์กรสามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น Aruba Networks ในฐานะของผู้นำด้านเทคโนโลยี SD-WAN ในระดับโลก จึงได้ทำการเปิดตัว Subscription License ใหม่ และ Hardware Appliance รุ่นใหม่อย่าง Aruba EdgeConnect Enterprise EC-10104 ออกมาสู่ตลาด ซึ่งในบทความนี้เราจะพาทุกท่านไปรู้จักกันว่า ในการเปิดตัวใหม่ครั้งนี้ Aruba ได้นำเสนอนวัตกรรมใหม่อะไรที่น่าสนใจสำหรับธุรกิจองค์กรกันบ้างครับ

Aruba EdgeConnect Enterprise Subscription License ใหม่ เลือกใช้งานได้อย่างยืดหยุ่นยิ่งขึ้น

ในแง่มุมของ Aruba นั้น ธุรกิจที่เลือกใช้โซลูชัน SD-WAN มักจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มที่ชัดเจน ได้แก่

  • ธุรกิจองค์กรทั่วไปที่ต้องการใช้ SD-WAN เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับ WAN, บริหารจัดการ WAN ได้จากศูนย์กลาง และเสริมความมั่นคงปลอดภัยให้กับระบบเครือข่ายโดยรวม
  • ธุรกิจองค์กรขนาดใหญ่ที่มีบริษัทย่อยดำเนินการภายใต้อยู่เป็นจำนวนมาก และมีระบบเครือข่ายที่ซับซ้อน จึงต้องการนำ SD-WAN ที่มีความสามารถชั้นสูงเพื่อช่วยบริหารจัดการระบบเครือข่ายที่ซับซ้อนเป็นพิเศษเหล่านี้ให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ด้วยเหตุนี้ Aruba จึงได้ทำการปรับ Subscription License ใหม่ให้สอดคล้องกับบริบทและความต้องการของธุรกิจองค์กรทั่วโลก ด้วยการแบ่ง License ออกเป็น 2 ระดับ ดังนี้

  1. Foundation License มีความสามารถพื้นฐานของ SD-WAN อย่างครบถ้วน ทั้งในส่วนของประสิทธิภาพ, การบริหารจัดการ และความมั่นคงปลอดภัย โดยมี NGFW, Fine-Grained Segmentation, Layer 7 Firewall, DDoS Protection และ Anti-Spoofing ให้พร้อมใช้งาน โดยสามารถทำ VRF ได้เล็กน้อยเพื่อให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้งานได้อย่างเหมาะสม และสามารถเชื่อมต่อกับโซลูชันอื่นๆ เพื่อทำ SASE ได้อย่างเต็มตัว
  2. Advanced License มีความสามารถของ Foundation License ทั้งหมด โดยเสริมเรื่องของการทำ Network Segment/VRF ได้มากถึง 64 วงของเครือข่าย, การทำ QoS ชั้นสูง และการทำ Data Retention ได้อย่างเต็มตัว

จะเห็นได้ว่าการใช้งาน Foundation License นี้ก็สามารถตอบโจทย์การใช้งาน SD-WAN ของธุรกิจองค์กรทั่วไปจำนวนมากได้แล้ว ในขณะที่ Advanced License นี้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับหลายธุรกิจภายใต้เครือเดียวกันร่วมกันได้ในระบบเดียว ทำให้เหมาะกับธุรกิจองค์กรขนาดใหญ่ที่มีธุรกิจในเครือหลายแห่ง หรือกรณีที่เกิดการควบรวมหรือเข้าซื้อกิจการ และต้องผสานรวมระบบเครือข่ายให้กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน

นอกจากนี้ Aruba ยังได้เพิ่ม License สำหรับ Aruba WAN Orchestrator ซึ่งเป็นระบบบริหารจัดการ SD-WAN จากศูนย์กลางภายใต้ชื่อ Advanced On-Prem License เพื่อให้ธุรกิจองค์กรที่มีความกังวลด้านความเป็นส่วนตัวของข้อมูลอย่างเช่นหน่วยงานภาครัฐ สามารถนำ Aruba WAN Orchestrator ไปติดตั้งใช้งานภายใน Data Center หรือ Private Cloud ขององค์กรได้อีกด้วย

Aruba EdgeConnect Enterprise EC-10104: SD-WAN Edge Gateway ที่คุ้มค่ายิ่งกว่าเดิม

Aruba EdgeConnect Enterprise EC-10104 ที่เพิ่งเปิดตัวมาใหม่นี้ถูกออกแบบมาสำหรับสาขาหรือ Edge ขนาดเล็กของธุรกิจ ที่ต้องการ WAN Bandwidth ขนาดไม่เกินกว่า 500Mbps และต้องการทำ WAN Optimization ด้วยประสิทธิภาพไม่เกินกว่า 200Mbps โดยมาพร้อมกับ 10/100/1000 RJ-45 Interface จำนวน 4 ช่อง (2 WAN, 2 LAN) และมีช่อง USB ให้พร้อมใช้งาน

ในแง่ของความสามารถ Aruba EdgeConnect Enterprise EC-10104 นี้ก็มีความสามารถของโซลูชัน SD-WAN จาก Aruba อย่างครบถว้น ไม่ว่าจะเป็นการเสริมความมั่นคงปลอดภัยด้วย Branch Firewall, การบริหารจัดการ WAN ที่ง่ายดาย ไปจนถึงการเชื่อมต่อกับระบบภายนอกก้าวสู่สถาปัตยกรรม SASE ได้อย่างเต็มตัว ซึ่งธุรกิจองค์กรสามารถเลือกใช้งานความสามารถเหล่านี้ได้ตาม Subscription License ที่ต้องการ

กรณีการใช้งานที่เหมาะกับ Aruba EdgeConnect Enterprise EC-10104 นี้ก็คือการใช้งานตามสาขาของธุรกิจที่จำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจค้าปลีกที่มีหน้าร้านกระจายอยู่ทั่วประเทศ หรือสาขาของธนาคารที่กระจายอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ ซึ่งอาจมีพนักงานจำนวนไม่มากนัก มีการใช้ Bandwidth ที่ไม่สูง แต่ก็ยังคงต้องการการเชื่อมต่อเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพ, มีความมั่นคงปลอดภัย และสามารถบริหารจัดการจากศูนย์กลางได้อย่างเป็นระบบ ในการลงทุนที่คุ้มค่า

สนใจใช้งาน Aruba EdgeConnect Enterprise สามารถติดต่อ SiS ได้ทันที

สำหรับธุรกิจองค์กรที่สนใจใช้งาน Aruba EdgeConnect Enterprise หรือโซลูชันอื่นๆ จาก HPE Aruba สามารถติดต่อทีมงาน SiS ได้ทันทีที่ อีเมล : HPEAruba@sisthai.com หรือ LineID : @sisaruba

from:https://www.techtalkthai.com/new-aruba-edgeconnect-enterprise-subscription-and-edgeconnect-ec-10104-for-sd-wan-branch-gateway-by-sis/

HPE Aruba ครองแชมป์ Gartner Magic Quadrant 2022 ด้าน Enterprise Wired and WLAN Infrastructure

Gartner Magic Quadrant 2022 ได้ยกตำแหน่งผู้นำกลุ่มด้าน Enterprise Wired and WLAN Infrastructure ให้แก่ HPE Aruba ซึ่งถือเป็นการอยู่ในกลุ่ม Leader เป็นปีที่ 17 แล้วของ Aruba

Credit: HPE Aruba

Aruba อยู่ในตำแหน่งที่เหนือกว่าผู้เล่นรายอื่นทั้งสองมุมคือ Execute และ Vision โดย Vendor เชื่อว่าสาเหตุที่ทำให้ตนได้ครองความเป็นหนึ่งนี้ก็คือการผสานพลังของ Aruba Central, แพลตฟอร์ม Wifi 6/6E และสวิตช์สำหรับดาต้าเซนเตอร์ แคมปัส สาขา และการทำงานแบบรีโมต, SASE และ AIOps ดาวน์โหลดเอกสารได้ที่ https://www.arubanetworks.com/analyst-reports/gartner-magic-quadrant-for-wired-and-wireless-lan-infrastructure/

Gartner ให้คะแนน Aruba สูงสุดจาก 3 Vendor ในกรณีการใช้งาน 5 เรื่องคือ 1.) Unified Wired and Wireless Access, Hand-off NetOps, Remote Branch Office, Wired-Only Refresh/New Build และ WLAN-Only Refresh/New Build 

ที่มา : https://news.arubanetworks.com/news-release-details/2023/HPE-Aruba-Positioned-as-a-Leader-for-17-Years-Running-in-2022-Gartner-Magic-Quadrant-for-Enterprise-Wired-and-WLAN-Infrastructure-Report/default.aspx

from:https://www.techtalkthai.com/hpe-aruba-is-the-leader-in-gartner-mq-2022-wired-and-wlan-infra/

บริษัท NVK Inter จำกัด แถลงข่าวเปิดตัว “EnGenius Fit”

มิติใหม่ของงานแถลงข่าวในโรงภาพยนต์ SFX
โดย คุณฤทธิไกร ขัณฑวีระมงคล Managing Director บริษัท NVK Inter จำกัด
พร้อมประกาศเปิดตัว EnGenius Fit สอดรับความคล่องตัวในการบริหารจัดการ Wi-Fi Solutions พร้อมฟีเจอร์ที่เหมาะสม และราคาประหยัด
 

12 มกราคม 2023 – ณ โรงภาพยนต์ SFX เซ็นทรัลพระราม 9 ชั้น 7 โรงที่ 11 เป็นสถานที่สำหรับจัดงานแถลงข่าวในรอบ 3 ของบริษัท NVK Inter จำกัด หลังจากห่างหายไปจากสถานการณ์ COVID-19 โดยครั้งสุดท้ายที่บริษัทได้จัดงานรวมเหล่าพันธมิตรต้องย้อนไปเมื่อปี 2019 และการกลับมาครั้งนี้ NVK ได้ควงแขวน EnGenius ซึ่งเป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีการสื่อสารที่มีประวัติยาวนานกว่า 20 ปี เพื่อเปิดตัว EnGunius Fit ที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองการให้บริการธุรกิจขนาดเล็ก (SME) เพื่อช่วยเสริมศักยภาพความคล่องตัวในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่มีประสิทธิภาพ บริหารจัดการโครงข่ายได้อย่างรวดเร็วและสามารถจัดการระบบเครือข่ายผ่าน Cloud และประหยัดต้นทุน

ถอดบทเสวนา คุณฤทธิไกร ขัณฑวีระมงคล Managing Director บริษัท NVK Inter จำกัด ได้กล่าวเปิดต้อนรับในบรรยากาศโรงภาพยนต์เสมือนกำลังรับชมภาพยนต์ฟอร์มยักษ์

“ก่อนอื่นต้องขอกล่าวสวัสดีและขอบคุณทุกท่านที่ให้เกียรติมาร่วมงานครั้งนี้ รู้สึกอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง ครั้งนี้เป็นการตัดสินใจในการจัดงาน Event เป็นครั้งแรก หลังจากที่เราเพิ่งผ่านช่วงการแพร่ระบาด COVID-19 มา ถือว่าเป็น 2-3 ปีที่เกินความคาดหมายไม่คิดว่าประเทศไทยและโลกของเราจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นได้ ภาพตรงหน้าที่มองเห็นทำให้รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ทุกท่านสละเวลามาในวันนี้”
 
“NVK ได้ทำตลาดและได้รับการแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนจัดจำหน่าย EnGenius มาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ปี 2007 ถึงตอนนี้ก็เกิน 15 ปีแล้ว สำหรับในประเทศไทยนั้น NVK เท่ากับ EnGenius และ EnGenius ก็เท่ากับ NVK โดยถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์หลักที่เป็นตัวขับเคลื่อนให้บริษัท NVK Inter จำกัด มีการเติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ และอย่างต่อ ตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา เราได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตร ลูกค้า ซึ่งเป็นโอกาสที่ให้เราได้ให้บริการอย่างเต็มที่เช่นกัน”
 
“ย้อนไปเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา EnGenius ได้ออกผลิตภัณฑ์ที่เรียกว่า EnGunius Cloud ซึ่งได้ติดตั้งใช้งานที่สถานที่ต่างๆ เป็นจำนวนมาก แต่อย่างไรก็ตาม EnGunius Cloud เป็นโซลูชันที่ถูกออกแบบมาเหมาะสำหรับทุกกลุ่มลูกค้าไปจนถึงระดับ Enterprise ด้วยฟีเจอร์ที่ครบครันทั้ง Access Point และ Switch ซึ่งถือว่าเป็น Software Defined Network ที่ครบวงจร อย่างที่ทราบกันว่า EnGunius Cloud มีฟีเจอร์ที่ค่อนข้างหลากหลาย ทำให้ราคาสูงเกินที่จะนำเสนอให้กับลูกค้ากลุ่ม SME ด้วยเหตุผลนี้ทาง NVK จึงได้หยิบยกประเด็นนี้มาถกร่วมกับทาง EnGunius เป็นระยะเวลาร่วมปีกว่า โดยตั้งเป้าหมายที่จะบุกตลาด SME สำหรับลูกค้าที่มีขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ที่ยังขาดอุปกรณ์ที่จะเข้ามาเติมเต็มทั้งในดานประสิทธิภาพและราคาที่สามารถเข้าถึงได้ อาทิเช่น สำนักงานขนาดเล็ก โรงเรียนขนาดเล็ก โรงแรมที่มีจำนวนอุปกรณ์ไม่มาก”
 
“ในวันนี้ 12 มกราคม 2023 – EnGunius ได้ทำการเปิดตัว EnGunius Fit อย่างเป็นทางการในประเทศไทย และพร้อมให้บริการอุปกรณ์ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่มีความน่าเชื่อถือในระดับเดียวกับ EnGunius Cloud แต่ด้วยชื่อที่ถูกเรียกขานกันว่า Fit จะมีการปรับปรุงฟังก์ชันบางรายการที่อาจจะไม่ได้ถูกใช้งานบ่อยสำหรับกลุ่มลูกค้าระดับ SME ออกไป โดยมุ่งเน้นแอปพลิเคชันที่ให้บริการด้านอินเตอร์เน็ต ฮอตสปอร์ต หรือการใช้งานสำหรับออฟฟิศสำนักงาน ในขณะเดียวกัน EnGunius Fit ยังคงมีโซลูชัน On-Premise สำหรับให้บริการอุปกรณ์ 100 APs จนถึง Manage Service Provider ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มลูกค้าที่สำคัญของ EnGunius เมื่อลองย้อนกลับไปดูข้อมูลด้าน Market Share ของ NVK กว่า 50% คือกลุ่มผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต ด้วยประสิทธิภาพของ EnGunius สามารถให้บริหารจัดการได้มากกว่า 1,000 Site อย่างเช่นกลุ่มห้างร้าน Retail ที่มีอุปกรณ์ของ EnGunius ติดตั้งให้บริการอยู่ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่”
 
“EnGunius Fit เป็นชุดอุปกรณ์ที่มีคุณภาพสูง มีฟังก์ชันที่เหมาะสมต่อการให้บริการ และที่สำคัญ คือ มีราคาที่สามารถแข่งขันได้ ไม่ว่าคู่แข่งจากแบรนด์ระดับเอเชียหรืออเมริการก็ตาม” คุณฤทธิไกร ขัณฑวีระมงคล กล่าวสรุปปิดท้าย
 
ภายในงานได้มีช่วง EnGunius Fit – Use-Case เป็นการขยายภาพด้านการให้บริการของ EnGunius Fit ให้ชัดเจนยิ่งขึ้นทั้ง Home Solution, Office Solution, Store & Retail Solution, Hospitality Solution และ Manage Service Provider ใช้งานง่าย คล่องตัว พร้อมฟีเจอร์ที่เหมาะสม และราคาประหยัด

ภาพส่วนหนึ่งของบรรยากาศภายในงาน

บริษัท เอ็น.วี.เค.อินเตอร์ จำกัด

N.V.K. Inter Co., Ltd.

Tel: +66-2940-2070
Fax: +66-2940-2071

General Inquiry: sale@nvk.co.th

Technical Support: Ticketing System

Finance & Accounting: finance@nvk.co.th

from:https://www.techtalkthai.com/nvk-inter-launched-engenius-fit/

ซิสโก้ขับเคลื่อนการเชื่อมต่อดิจิทัลที่ปลอดภัยให้กับซิลิคอนเทคพาร์ค Innovation Hotspot แห่งต่อไปของประเทศไทย [Guest Post]

“Silicon Valley of the East” จะใช้ประโยชน์จากการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่ปลอดภัย
ของซิสโก้ เพื่อทดสอบนวัตกรรมใหม่ ๆ และส่งเสริมโอกาสทางเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย

กรุงเทพฯ – 16 ธันวาคม 2565 – ซิสโก้ ผู้นำระดับโลกด้านเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนอินเทอร์เน็ตร่วมมือกับโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC), แพลนเน็ตคอม และ ซิลิคอนเทคพาร์ค (STP) สร้างการเชื่อมต่อดิจิทัลที่ปลอดภัยที่เป็นรากฐานให้กับ “ศูนย์นวัตกรรมดิจิทัลและเทคโนโลยีขั้นสูงบ้านฉาง” ในพื้นที่โครงการ EEC Silicon Tech Park (EEC STP) ความร่วมมือนี้เป็นส่วนหนึ่งของ “โครงการขับเคลื่อนการพัฒนาดิจิทัล” หรือ Cisco’s Country Digital Acceleration (CDA) ของซิสโก้ ในด้านการพัฒนาสมาร์ทซิตี้ เพื่อเปิดโอกาสให้กับเศรษฐกิจดิจิทัลผ่านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศ นอกจากจะให้บริการการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและคลาวด์ที่ปลอดภัยสำหรับพื้นที่โครงการ EEC Silicon Tech Park แล้ว ซิสโก้ยังสนับสนุนนวัตกรรมสำหรับอาคารอัจฉริยะ สมาร์ทซิตี้ การทำงานไฮบริดที่ปลอดภัย และสมาร์ทเวิร์คเพลส อีกด้วย

EEC Silicon Tech Park ได้รับการขนานนามว่าเป็น “Silicon Valley of the East” แห่งต่อไป โดยคาดว่าจะเป็นย่านที่มีชีวิตชีวาและไม่หยุดนิ่งผ่านเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย และพื้นที่อยู่อาศัยในเมืองที่ยั่งยืน สร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนแผนยุทธศาสตร์ของรัฐบาลในการเปลี่ยนประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจแบบ value-based ที่สนับสนุนโดยนวัตกรรม เทคโนโลยี และความคิดสร้างสรรค์ โดยคาดว่าจะดึงดูดการลงทุน 2.2 ล้านล้านบาท (61.97 พันล้านดอลลาร์) ในเขตอุตสาหกรรมตะวันออกของประเทศในอีก 5 ปีข้างหน้า ศูนย์กลางของ EEC Silicon Tech Park คือ “ศูนย์นวัตกรรมดิจิทัลและเทคโนโลยีขั้นสูงบ้านฉาง” ซึ่งเป็น Next Frontier ของเทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นสูงที่ขับเคลื่อนโดยเครือข่ายที่ปลอดภัยและสามารถทนต่อสภาพแวดล้อมที่มีความต้องการด้านต่างๆ มากที่สุด (most demanding environments) จึงต้องมีนวัตกรรมในอนาคต

ตั้งแต่การเชื่อมต่อแบบแยกส่วนในอุตสาหกรรมไปจนถึงการเพิ่มความสามารถใหม่ๆ ด้วยหุ่นยนต์อัตโนมัติ การเชื่อมต่อเป็นพื้นฐานของนวัตกรรมที่ก้าวล้ำ ภายใต้โครงการ CDA ซิสโก้ได้สร้างการเข้าถึงเครือข่ายแบบหลายชั้นด้วยการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงพิเศษ และการเข้าถึงไวไฟสาธารณะด้วยโซลูชันเชื่อมต่อที่ปลอดภัยรวมถึง Cisco Umbrella และ Ultra-Reliable Wireless Backhaul ในการเชื่อมต่อเสาอัจฉริยะทั่วทั้ง EEC Silicon Tech Park

ขับเคลื่อน Industry 4.0 ด้วยการเชื่อมต่อยุคใหม่

Cisco Network Convergence System (NCS) 5500 Series นำเสนอ port density ที่มีแบนด์วิดธ์ความเร็วสูงถึง 100 GbE และ 400 GbE ซึ่งนับเป็นความเร็วระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรม ช่วยผู้ให้บริการเครือข่ายสามารถจัดการกับดาต้าเซ็นเตอร์ที่กำลังขยายตัวทั่วโลก และรองรับทราฟฟิกการรับ-ส่งข้อมูลเครือข่ายคลาวด์ สาธารณะ/ส่วนตัว ที่มีปริมาณมาก ทำให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างเรียบง่าย และมีประสิทธิภาพในการตอบสนองต่อการปรับขนาดขององค์กรขนาดใหญ่ เว็บ และผู้ให้บริการ แพลตฟอร์ม NCS ยังสนับสนุน Segment Routing และ Ethernet VPN ซึ่งเป็นนวัตกรรมซอฟต์แวร์ชั้นนำของตลาดที่สำคัญเพื่อช่วยผู้ให้บริการลดความซับซ้อนของสถาปัตยกรรมเครือข่าย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับนวัตกรรมคลาวด์และเอดจ์ เช่น ระบบการผลิตอัตโนมัติ และหุ่นยนต์ในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การผลิตหรือลอจิสติกส์ทั่วไปที่ต้องใช้แบนด์วิธเครือข่ายระดับสูง สิ่งนี้ได้นำความเร็วใหม่มาสู่ธุรกิจ และสนับสนุนประสบการณ์ดิจิทัลในการวางแผน ออกแบบ และทดลองด้วยการพิสูจน์แนวคิด ศูนย์นวัตกรรมแห่งนี้จึงเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับองค์กรต่างๆ ในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและสร้างนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีที่สอดคล้องกับความต้องการทั้งในปัจจุบันและอนาคต องค์กรภาครัฐ นักวางผังเมือง และผู้ให้บริการดิจิทัลจะได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยเหล่านี้ที่ผนวกเข้ากับแอปพลิเคชันที่ใช้งานในชีวิตจริง โดยจะช่วยให้พวกเขาสามารถนำเทคโนโลยี 4.0 มาใช้ในการพัฒนาสมาร์ทซิตี้ได้เป็นอย่างดี

ในการนำแอปพลิเคชันที่สามารถใช้งานในชีวิตจริงจากเทคโนโลยีแบบ next-gen มาสู่ประชาชน ซิสโก้ได้นำเสนอพอร์ตโฟลิโอด้านอาคารอัจฉริยะ สมาร์ทซิตี้ การทำงานแบบไฮบริดที่ปลอดภัย และโซลูชันสำหรับที่ทำงานอัจฉริยะ ซึ่งรวมถึงการเชื่อมต่อเซ็นเซอร์ด้านสิ่งแวดล้อม และไฟอัจฉริยะไปจนถึงเครื่องมือจัดการอาคารอัจฉริยะที่ใช้ประโยชน์จากไวไฟเพื่อให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการเข้าใช้พื้นที่ และโซลูชันการรักษาความปลอดภัยแบบ end-to-end รวมถึงการใช้ปัจจัยหลายๆ อย่างในการตรวจสอบ และยืนยันตัวบุคคลเพื่อการใช้งานแอปพลิเคชันขององค์กรอย่างปลอดภัย

เตรียมความพร้อมให้กับคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถด้วยทักษะด้านดิจิทัล

เพื่อความสอดคล้องกับพันธกิจของบริษัทในการขับเคลื่อนอนาคตสำหรับทุกคน ซิสโก้ยังคงมุ่งมั่นในการสนับสนุนและพัฒนาความสามารถของบุคลากรด้านไอทีรุ่นใหม่ที่อาศัยอยู่ใน EEC Silicon Tech Park ซิสโก้ได้พัฒนาบุคลากรที่มีความสามารถด้านดิจิทัลผ่านโปรแกรม Cisco Networking Academy มาเป็นระยะเวลากว่า 25 ปีโดยการเป็นพันธมิตรกับ PlanetComm, Mavenir Systems และ 5G Catalyst Technologies ในการพัฒนาหลักสูตรไอทีที่มีคุณภาพ และความปลอดภัยทางไซเบอร์, เครื่องมือจำลองการเรียนรู้ และโอกาสในการเรียนรู้ภาคปฏิบัติ เพื่อดึงดูดผู้มีความสามารถในพื้นที่ EEC Silicon Tech Park

นายคณิศ แสงสุพรรณ ประธานที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี กล่าวว่า “อีอีซี ได้ร่วมมือกับภาคเอกชนด้านนวัตกรรมชั้นนำ ได้แก่ ซิสโก้ แพลนเน็ตคอม และซิลิคอนเทคพาร์ค เตรียมความพร้อมการพัฒนา “ศูนย์นวัตกรรมดิจิทัลและเทคโนโลยีขั้นสูงบ้านฉาง” ในพื้นที่โครงการ EEC SILICON TECH PARK โดยใช้เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง 400 Gbps นับเป็นการลงทุนระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลในพื้นที่อีอีซี เป็นที่ตั้งของคนทำงานยุคใหม่ผ่านนวัตกรรมขั้นสูง       ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ได้คุณภาพชีวิตที่ดี รองรับการลงทุนจากภาคเอกชน จูงใจบริษัทชั้นนำทั่วโลกเข้ามาลงทุนวิจัยพัฒนา (R&D) ต่อยอดธุรกิจด้านดิจิทัลในพื้นที่ในอีอีซี สร้างพื้นที่กลุ่มธุรกิจสตาร์ทอัพให้เข้ามาทำงานในอีอีซีเพิ่มขึ้น และจะเป็นศูนย์ฝึกอบรม การเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อพัฒนาบุคลากรด้านดิจิทัลในพื้นที่ อีอีซี โดยตั้งเป้าหมายให้พื้นที่ EEC SILICON TECH PARK เป็นเมืองต้นแบบดิจิทัล หรือ ซิลิคอนวอลเล่ย์แห่ง ภาคตะวันออก ดึงการลงทุนด้านดิจิทัล ขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมอัจฉริยะ สร้างโอกาสลงทุนตามแผน   อีอีซี ระยะ 2 ให้ได้ตามเป้าหมาย 2.2 ล้านล้านบาท (61.97 พันล้านดอลลาร์) ภายในปี 2570 รวมทั้งช่วยพัฒนาทักษะบุคลากรด้านดิจิทัล รองรับความต้องการของอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ New S-Curve สร้างตำแหน่งงาน และรายได้ที่ดีขึ้นอย่างสมดุลและยั่งยืน”

ดร. ชิต เหล่าวัฒนา ที่ปรึกษาพิเศษด้านการพัฒนาบุคลากรฯ สกพอ.

ดร. ชิต เหล่าวัฒนา ที่ปรึกษาพิเศษด้านการพัฒนาบุคลากรฯ สกพอ. กล่าวว่า “โครงการ EEC SILICON TECH PARK จะเป็นพื้นที่ศูนย์รวมงานวิจัยและเทคโนโลยีขั้นสูงของอีอีซี ที่ส่งเสริมและยกระดับความร่วมมือด้านการพัฒนาบุคลากร ด้านหุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติ และดิจิทัล ภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่ อีอีซี จะได้รับความรู้ และเกิดการใช้ระบบผลิตอัตโนมัติแบบดิจิทัล ด้วยเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตขั้นสูงในพื้นที่ พร้อมกันนี้จะสามารถฝึกอบรมทักษะใหม่ (New skill) เพื่อพัฒนาความชำนาญให้แก่บุคลากรที่จะเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมทักษะด้าน Robotics & Automation โดยตรง ซึ่งเป็นบุคลากรพิเศษเฉพาะด้าน โดยตั้งเป้าหมายจะพัฒนาให้ได้ประมาณ 5,000 คน ภายใน 5 ปี สร้างความพร้อมและจูงใจให้ผู้ประกอบการทั่วโลกสนใจลงทุนอุตสาหกรรมดิจิทัล ในพื้นที่อีอีซี ต่อไป”

มร. เอ็ดเวิร์ด แกรนท์, ที่ปรึกษาอาวุโสของ อีอีซี ซิลิคอนเทคพาร์ค

มร. เอ็ดเวิร์ด แกรนท์, ที่ปรึกษาอาวุโสของ อีอีซี ซิลิคอนเทคพาร์ค กล่าวว่า “EEC Silicon Tech Park (EEC STP) ตั้งอยู่ในทำเลที่ดีเยี่ยมในอำเภอบ้านฉาง โดยภายในรัศมี 10 กิโลเมตรจากพื้นที่อีอีซี การพัฒนา EEC STP จะเป็นหัวใจสำคัญของแผนที่จะเป็น ultimate frontier ของศูนย์กลางของเทคโนโลยีขั้นสูงและนวัตกรรม ด้วยความพร้อมของการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่ขับเคลื่อนโดยซิสโก้ EEC STP Park สามารถให้บริการเชื่อมต่อดิจิทัลกับผู้พักอาศัย รวมถึงการวิจัยและพัฒนาในทุกอุตสาหกรรม เช่น การบิน การแพทย์ การเงิน เทคโนโลยี และอื่นๆ เรามุ่งมั่นที่จะใช้ประโยชน์จากพลังงานหมุนเวียน และเทคโนโลยีกรีนเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ยั่งยืน รองรับอนาคต และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม EEC STP มุ่งมั่นสร้างแรงบันดาลใจ กระตุ้น และจุดประกายการสร้างสรรค์นวัตกรรมกับผู้คน และเรามีความยินดีที่ได้ร่วมมือกับซิสโก้ในโครงการนี้”

นายประพัฒน์ รัฐเลิศกานต์, ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แพลนเน็ต คอมมิวนิเคชั่น เอเชีย จำกัด (มหาชน)

นายประพัฒน์ รัฐเลิศกานต์, ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แพลนเน็ต คอมมิวนิเคชั่น เอเชีย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “แพลนเน็ตคอมร่วมมือกับซิสโก้ผ่านโครงการ Cisco CDA – Country Digital Acceleration ขับเคลื่อนการพัฒนาดิจิทัลในประเทศไทย นำนวัตกรรมโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง Internet Switch 400 Gbps มาให้บริการอินเทอร์เน็ตในพื้นที่โครงการ EEC SILICON TECH PARK ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล และเป็น 1 ใน 4 ส่วนสำคัญอันประกอบด้วย อินเทอร์เน็ตเร็วสูง ระบบไฟฟ้ามั่นคง น้ำสะอาดอากาศบริสุทธิ์ และ ที่พักอาศัยสำหรับคนทำงานยุคใหม่ (Health & Wellbeing) เพื่อให้เป็นเมืองต้นแบบ Smart Digital City สำหรับการบูรณาการและพัฒนาเมืองอื่นในประเทศไทย

นายทวีวัฒน์ จันทรเสโน, กรรมการผู้จัดการ ซิสโก้ ประเทศไทยและพม่า

นายทวีวัฒน์ จันทรเสโน, กรรมการผู้จัดการ ซิสโก้ ประเทศไทยและพม่า กล่าวว่า “อนาคตของสมาร์ทซิตี้ในประเทศไทยต้องอาศัยเครือข่ายที่ปลอดภัยเป็นแกนหลัก เนื่องจากอุปกรณ์ ข้อมูล และแพลตฟอร์มที่เชื่อมต่อกันเป็นรากฐานของบริการสมาร์ทซิตี้ ซิสโก้มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับพันธมิตรอีโคซิสเต็มส์ภายใต้โครงการ CDA เพื่อนำอนาคตของการเชื่อมต่อที่ปลอดภัยมายังผู้อาศัย และธุรกิจต่างๆ ใน EEC Silicon Tech Park และเปิดโอกาสในการสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย โดยเป็นพื้นที่ที่ธุรกิจสามารถนำร่องประสบการณ์การเชื่อมต่อยุคใหม่ และสร้างประสบการณ์ดิจิทัลที่มีความหมาย เช่น ระบบไฟฟ้าอัจฉริยะ และระบบขนส่งอัจฉริยะ เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชากร”


เกี่ยวกับ อีอีซี

อีอีซี เป็นต้นแบบการพัฒนาพื้นที่เชิงยุทธศาสตร์ โดยบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน มีพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 รองรับ ให้การพัฒนาพื้นที่มีความต่อเนื่อง มีองค์กรกำกับดูแลอย่างถาวร และมีกระบวนการทำงานที่ชัดเจน เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย ส่งเสริมและสนับสนุนการลงทุนใน 12 อุตสาหหกรรมเป้าหมาย ต่อยอดและผลักดันนวัตกรรมขั้นสูงด้านดิจิทัล ยกระดับคุณภาพชีวิตเพื่อให้ประชาชนในพื้นที่และประเทศได้รับประโยชน์สูงสุด

เกี่ยวกับ ซิสโก้

ซิสโก้ (NASDAQ: CSCO) เป็นผู้นำเทคโนโลยีระดับโลกที่ยกระดับการใช้งานอินเทอร์เน็ต ซิสโก้สร้างความเป็นไปได้ใหม่ๆ จากวิธีการใช้แอปพลิเคชันที่แตกต่างไปจากเดิม การรักษาความปลอดภัยของข้อมูล การปรับเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐาน และช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้กับทีมของคุณเพื่อโลกแห่งอนาคต เปิดประสบการณ์เพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบเน็ตเวิร์ก และติดตามข่าวสารของซิสโก้บนทวิตเตอร์ที่ Twitter @Cisco.

เกี่ยวกับ บริษัท แพลนเน็ต คอมมิวนิเคชั่น เอเชีย จำกัด (มหาชน)

แพลนเน็ตคอม (mai: PLANET) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2537 และจดทะเบียนในตลาด mai เมื่อปี พ.ศ. 2557 โดยปัจจุบันเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมแบบครบวงจร ให้บริการออกแบบ ติดตั้ง และบริการหลังการขาย สำหรับโครงสร้างพื้นฐานระบบโครงข่ายโทรคมนาคม ระบบการสื่อสารแบบรวมศูนย์ ระบบส่งสัญญาณภาพและเสียงแบบดิจิทัล ระบบรักษาความปลอดภัยบนไซเบอร์ ดาต้าเซ็นเตอร์ คลาวด์ ไอโอทีแพลทฟอร์ม การวิเคราะห์ภาพและข้อมูลอัจฉริยะ การแพทย์ทางไกล เทคโนโลยียานพาหนะไฟฟ้า พลังงานหมุนเวียน และ เทคโนโลยีการบริหารจัดการน้ำด้วยระบบดิจิทัล โดยมุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีไปใช้เพื่อยกระดับและพัฒนาประเทศไปสู่สังคมคาร์บอนเป็นศูนย์ (Zero-Carbon) ยกระดับภาคการผลิตไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพของผลผลิต (Increasing Productivity) รวมไปถึงยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน (Improving a Quality of Life)

เกี่ยวกับ ซิลิคอน เทค พาร์ค (STP)

ซิลิคอน เทค พาร์ค (STP) บ้านฉาง จังหวัดระยอง ประเทศไทย เป็นบริษัทบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ และอุทยานเทคโนโลยีขั้นสูงที่จัดตั้งขึ้นใหม่ ซึ่งครอบคลุมแผนยุทธศาสตร์ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) มูลค่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์ของรัฐบาลไทย เพื่อสร้าง “มูลค่าใหม่ เศรษฐกิจฐานราก” มุ่งขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นประเทศที่มีการแข่งขันสูงที่สุดในอาเซียน เป็นเมืองน่าอยู่ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม น่าอยู่อาศัย ประกอบอาชีพ และเจริญรุ่งเรือง ด้วยพื้นที่รวมกว่า 519 ไร่ (205 เอเคอร์) STP จะกลายเป็นสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมือนใครในไม่ช้า และ เป็นวิทยาเขตที่มุ่งเน้นในด้านการวิจัยและพัฒนา รวมถึงการเป็นเจ้าของ หรือ การถือครอง ของบริษัทสตาร์ทอัพที่เพิ่งเริ่มต้น เฟสที่ 1 กำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินการพร้อมกับความสำเร็จของ EEC Global Cloud Data Center ซึ่งเป็นศูนย์ข้อมูล Tier-3 ที่ทันสมัย และครอบคลุมที่สุดในอาเซียน และ ไซต์นี้ยังให้บริการโดยเครือข่าย 5-G ที่ทันสมัยที่สุดในประเทศไทย มีที่ดินสำหรับขาย หรือ ให้เช่า และเรามีพันธมิตรที่สามารถทำการสร้างให้เหมาะกับอาคาร หรือ สิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ ที่นักลงทุนและ/หรือผู้เช่าหลักหมายปองไว้ได้อย่างรวดเร็ว107

from:https://www.techtalkthai.com/cisco-powers-secure-digital-connectivity-for-thailands-next-silicon-tech-park-innovation-hotspot/

TTT 2022 Reinforce: ขับเคลื่อนธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพด้วย Network Modernization โดย HPE Aruba

ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เหตุการณ์ต่างๆ ได้ทำให้ธุรกิจนั้นต้องเปลี่ยนแปลงตนเองอย่างรวดเร็ว มีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในการทำงานรูปแบบใหม่อย่าง Remote Working และ Hybrid Working ซึ่งทั้งหมดนี้ย่อมส่งผลให้ธุรกิจนั้นต้องวางแผนใหม่สำหรับระบบเครือข่าย ให้มีความยืดหยุ่นและคล่องตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงอันไม่คาดฝันในอนาคตกันต่อไป

คุณประคุณ เลาหกิตติกุล Country Manager (Thailand) แห่ง HPE Aruba ได้มาเล่าถึงหัวข้อ “Accelerate Your Business with Network Modernization” ภายในงานสัมมนา TTT 2022 Reinforce ที่ผ่านมา ถึงความจำเป็นและแนวทางในการทำ Network Modernization อย่างเข้มข้น เพื่อให้ธุรกิจสามารถวางระบบเครือข่ายซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจขับเคลื่อนต่อไปได้อย่างต่อเนื่องในอนาคตเป็นอย่างน้อย 4-5 ปีนับถัดจากนี้

4 เป้าหมายหลักของการทำ Network Modernization

คุณประคุณได้เล่าว่าในการทำ Network Modernization นั้น ธุรกิจองค์กรมักมีเป้าหมายหลักด้วยกัน 4 ประการ ได้แก่

  1. Hybrid Work – การทำงานแบบผสมผสานทั้งจากภายในองค์กรและภายนอกองค์กรได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยประสบการณ์เดียวกัน และความมั่นคงปลอดภัยในระดับสูงที่ไว้วางใจได้
  2. Digital Transformation Acceleration – เร่งความเร็วในการปรับตัวของธุรกิจ รองรับการนำนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาใช้งานเพื่อตอบสนองต่อการเติบโตของธุรกิจได้
  3. Personalized Experiences – นำเสนอประสบการณ์เฉพาะบุคคลให้กับผู้ใช้งานได้ตั้งแต่ระดับของเครือข่าย, ข้อมูล และ Application อย่างครบถ้วน สร้างขีดความสามารถในการแข่งขันทั้งภายในและภายนอกองค์กร
  4. Need for Efficiencies – ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและรองรับการเกิดขึ้นของธุรกิจรูปแบบใหม่ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง โดยใช้บุคลากรฝ่าย IT จำนวนเท่าเดิมในการบริหารจัดการกับเทคโนโลยีที่มีการใช้งานมากขึ้นได้

เพื่อให้ธุรกิจองค์กรสามารถบรรลุเป้าหมายทั้ง 4 ประการนี้ได้ คุณสมบัติของระบบเครือข่ายแห่งอนาคตจึงต้องครอบคลุมถึงทั้งการทำ Automation เพื่อลดความผิดพลาดในการทำงาน และช่วยให้ทรัพยากรฝ่าย IT สามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการระบบเครือข่ายที่มีขนาดใหญ่และซับซ้อนได้ Security ซึ่งถูกผนวกรวมเป็นส่วนหนึ่งของระบบเครือข่าย เพื่อเสริมความมั่นคงปลอดภัยเพิ่มขึ้นไปอีกขั้น และ Agility มีความยืดหยุ่นรองรับการเปลี่ยนแปลงระบบเครือข่ายที่จะเกิดขึ้นจากการมาของเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้อย่างทันท่วงที

ปรับระบบเครือข่ายให้ทันสมัยด้วย Aruba ESP Solutions

คุณประคุณได้สรุปถึงเทคโนโลยีทั้งหมดที่ HPE Aruba ได้ทำการคิดค้น พัฒนา และนำเสนอสู่ธุรกิจองค์กรทั่วโลกในช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมานี้ ด้วยภาพของ Aruba ESP หรือ Edge Services Platform ที่จะเปลี่ยนให้ Network นั้นกลายเป็น Platform สำคัญทั้งสำหรับการทำงานและส่งมอบประสบการณ์หรือนวัตกรรมใหม่ๆ ไปยังผู้ใช้งานทั้งภายในและภายนอกองค์กร ซึ่งมีแนวคิดหลักด้วยกัน 3 ประการ

1. Unified Infrastructure

ผสานรวมระบบ Wired, Wireless และ SD-WAN รวมถึงระบบเครือข่ายสำหรับอุปกรณ์ IoT เข้าเป็นหนึ่งเดียวภายในระบบเครือข่าย โดยสามารถเลือกวิธีการบริหารจัดการได้ทั้งบน Cloud, Centralized หรือแม้แต่ Standalone

2. Security

HPE Aruba นั้นได้ผสานระบบ Security ให้เป็นส่วนหนึ่งของระบบเครือข่ายตั้งแต่แรก และในทุกวันนี้ก็ได้เพิ่มเรื่องของการทำ Automation เข้าไปด้วย เพื่อให้ Security กลายเป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่งขึ้นกว่าเดิม

3. AIOps

ด้วยปริมาณของอุปกรณ์เครือข่ายที่มากยิ่งขึ้น ในขณะที่แต่ละองค์กรนั้นไม่ได้มีทีมผู้ดูแลระบบมากขึ้นตามไปด้วย ทำให้ผู้ดูแลระบบเครือข่ายต้องรับภาระในการดูแลรักษาระบบ IT ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ดังนั้นการนำ AIOps เข้ามาช่วย เพื่อให้การบริหารจัดการระบบเหล่านี้เป็นไปได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย

คุณประคุณได้เล่าถึงกรณีของลูกค้ารายหนึ่ง ที่ย้ายการบริหารจัดการระบบเครือข่ายจากเดิมที่แยกส่วนอยู่ภายในองค์กร ไปอยู่บน Cloud ของ Aruba โดยตรง ทำให้ข้อมูลของระบบเครือข่ายทั้งหมดในส่วนของ Wired, Wireless และ SD-WAN ถูกรวมอยู่ที่เดียวบน Cloud และ AIOps ก็สามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์ตรวจสอบปัญหาต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ช่วยให้ลูกค้าของ HPE Aruba ในประเทศไทยสามารถจัดการกับปัญหาภายในระบบเครือข่ายได้อย่างทันท่วงที

ความสามารถใหม่ในระบบเครือข่ายที่น่าจับตามองจาก HPE Aruba

เมื่อมองไปถึงอนาคต คุณประคุณก็ได้เล่าถึงนวัตกรรมใหม่ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นภายใน HPE Aruba ที่หลายส่วนก็ได้กลายเป็นฟีเจอร์ใหม่ๆ ในโซลูชันให้พร้อมใช้งานได้แล้ว ได้แก่

1. Aruba CloudAuth

เมื่อธุรกิจองค์กรนั้นมีการใช้งาน Cloud มากขึ้นเรื่อยๆ แนวคิดหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือการใช้ Cloud ให้ได้เต็มศักยภาพมากที่สุด และ HPE Aruba เองก็กำลังมุ่งไปทางนั้นด้วยเช่นกัน โดยความสามารถหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ Aruba CloudAuth นั่นเอง

Aruba CloudAuth คือการยกระบบ Network Authentication ขึ้นไปอยู่บน Cloud ด้วยการทำงานร่วมกับ Microsoft Azure AD และ Google Workspace ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม และทำหน้าที่เป็น Cloud Managed NAC ได้ทันที ซึ่งที่ผ่านมาก็มีลูกค้าในไทยใช้งานอยู่แล้วด้วยเช่นกัน

2. Wi-Fi 6E

เพื่อให้ธุรกิจองค์กรรองรับต่อการเชื่อมต่ออุปกรณ์ IoT จำนวนมหาศาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรองรับ Workload ใหม่ๆ ในระบบเครือข่ายได้อย่างเพียงพอ Aruba จึงได้นำ Wi-Fi 6E มานำเสนอในการตอบโจทย์นี้โดยเฉพาะ

Wi-Fi 6E นั้นได้ทำการพัฒนาต่อยอดจาก Wi-Fi 6 ที่รองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ปริมาณมหาศาลได้โดยส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพน้อยกว่าในอดีตมาก โดย Wi-Fi 6E ได้เพิ่มย่านความถี่ 6GHz เข้ามาด้วยเพื่อให้การเชื่อมต่อเครือข่ายรองรับอุปกรณ์และ Bandwidth ได้มากยิ่งขึ้นนอกเหนือจากการใช้เพียงแค่ 2.4GHz และ 5GHz ที่ใช้กันอยู่เดิม

อย่างไรก็ดี สำหรับในประเทศไทยก็ยังคงต้องติดตามต่อไปอีกซักระยะหนึ่ง จากกฎหมายที่ต้องรอให้ระบุชัดเจนว่าจะสามารถใช้ย่านความถี่ 6GHz ได้มากน้อยเพียงใด

3. IoT

HPE Aruba นั้นมีวิสัยทัศน์ที่นอกเหนือจากการเป็นเพียงแค่ Network Platform ไปสู่การเป็น IoT Platform ด้วย ทำให้ Access Point ของ Aruba นั้นสามารถให้บริการ BLE และ ZigBee เพื่อเชื่อมต่ออุปกรณ์ IoT ได้ รวมถึงยังสามารถติดตั้ง USB ที่เป็น Sensor เพิ่มเติมเข้าไปบน Access Point โดยตรงได้ด้วย

นอกจากนี้ Aruba ก็ยังเปิด API ให้ผู้ใช้งานสามารถทำการเชื่อมต่อนำ RFID Tag ใดๆ ก็ได้มาใช้งาน โดยใช้ Aruba Access Point ทำหน้าที่ในการอ่านค่าการเชื่อมต่อและส่งข้อมูลเหล่านี้ไปยังระบบประมวลผลอื่นๆ ทำให้สามารถพัฒนา Application ได้อย่างหลากหลาย โดยเฉพาะในกลุ่มของ Location Services

4. Open Locate

เมื่อ Aruba เปิดให้การทำ Location Services Application ง่ายดายมากยิ่งขึ้นแล้ว อีกส่วนหนึ่งที่ Aruba เสริมขึ้นมาก็คือการติดตั้ง GPS ลงไปใน Access Point โดยตรง ทำให้ Access Point ทั้งหมดมีข้อมูลพิกัดตำแหน่งที่แม่นยำ และนำข้อมูลพิกัดตำแหน่งนี้ไปใช้ใน Location Services ได้อย่างแม่นยำระดับความคลาดเคลื่อนเพียงแค่ 1 เมตรเท่านั้น

5. Zero Trust

จากเทรนด์ใหญ่ด้าน Zero Trust ที่กำลังกลายเป็นกระแสหลักของธุรกิจองค์กร HPE Aruba ก็ได้นำแนวคิดนี้มาพัฒนาเป็น Aruba Zero Trust Protection สามารถกำหนด Policy ให้กับทุกๆ การเชื่อมต่อและแบ่งหมวดหมู่นโยบายสำหรับอุปกรณ์แต่ละชนิด, ผู้ใช้งานแต่ละกลุ่ม ด้วยแนวคิด Aruba Dynamic Segmentation ที่สามารถจัดการ Security Policy ให้ระบบเครือข่ายทั้งหมดได้อย่างครอบคลุม

6. 4th Generation Data Center

ปัจจุบันนี้ 3rd Generation Data Center ที่ใช้แนวคิดของ Data Center Fabric บนสถาปัตยกรรมแบบ Leaf-Spine เพื่อรองรับการรับส่งข้อมูลระหว่าง Server ภายใน Data Center ดว้ยกันเองให้มีประสิทธิภาพสูงสุดนั้น ก็เริ่มเจอปัญหาในการใช้งานจริงแล้ว จากการที่เมื่อ Data Center มีขนาดใหญ่มากขึ้น แต่ Network Services และ Security Services บางส่วนกลับยังไม่ถูกผนวกรวมเข้าไปใน Fabric และกลายเป็นคอขวด

4th Generation Data Center จึงได้เกิดขึ้นมาเพื่อนำ Network Services และ Security Services เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอุปกรณ์เครือข่ายโดยตรง โดย HPE Aruba ได้จับมือกับ Pensando เพื่อนำหน่วยประมวลผลเฉพาะทางด้าน Network และ Security มาใช้งานภายใน Aruba CX10000 ทำให้ภายใน Data Center Fabric มีความสามารถทุกอย่างที่จำเป็นอย่างครบถ้วน และไม่เกิดคอขวดในแบบเดิมๆ อีกต่อไป

7. Unified SD-WAN Fabric

ด้วยกรณีการใช้งานของ SD-WAN ที่มีหลากหลายมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการที่ Application และ Data ถูกย้ายไปอยู่บน Cloud จำนวนมาก และผู้ใช้งานมีการใช้งานทั้งจากในแบบ Remote Work จากบ้านแต่ละหลังหรืออุปกรณ์แต่ละชิ้น, การมีออฟฟิศขนาดเล็กที่บ้าน, ออฟฟิศสาขาขนาดเล็ก ไปจนถึงธุรกิจองค์กรขนาดใหญ่ ทำให้ SD-WAN ได้รับความสำคัญมากยิ่งขึ้นกว่าในอดีตเป็นอย่างมาก

HPE Aruba ได้เข้าซื้อกิจการของ Silver Peak มา และนำจุดเด่นของ Silver Peak อย่างเช่นการทำ WAN Optimization เข้ามาช่วยเสริมประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อไปยังบริการ Cloud ต่างๆ ที่ธุรกิจมีการใช้งาน อีกทั้งยังได้มีการพัฒนาต่อยอดด้าน Security จนได้รับ ICSA Labs Secure SD-WAN Certification มาแล้วเป็นรายแรกของโลก

8. Network Assurance

เมื่อการส่งมอบประสบการณ์ที่ดีได้กลายเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญของทุกระบบ IT แน่นอนว่าระบบ Network เองก็ต้องตอบสนองในส่วนนี้ด้วย ซึ่ง Aruba UXI ก็สามารถตอบโจทย์นี้ได้ด้วยการนำ UXI Agent/Sensor มาทำหน้าที่จำลองพฤติกรรมของผู้ใช้งาน ในการเชื่อมต่อ Wi-Fi หรือ LAN แล้วทำการเชื่อมต่อไปยัง Cloud Application ที่ธุรกิจองค์กรใช้ เพื่อให้ทราบถึงข้อมูลด้านประสบการณ์ของผู้ใช้งานได้อย่างต่อเนื่องอยู่เสมอ และตรวจสอบแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที

9. Network-as-a-Service (NaaS)

ด้วยวิสัยทัศน์ของ HPE ที่ต้องการเปลี่ยน CapEx ในการลงทุน Server และ Storage มาสู่การเช่าใช้งานแบบ OpEx ภายใต้บริการ HPE GreenLake ทำให้ HPE Aruba เองก็ปรับตัวไปสู่ทิศทางเดียวกัน ด้วยบริการ HPE GreenLake for Aruba ทำให้ธุรกิจองค์กรสามารถเลือกใช้งานระบบเครือข่ายในแบบ OpEx ได้แล้ว และรองรับกรณีการใช้งานดังนี้

  • Indoor Wireless aaS
  • Outdoor Wireless aaS
  • Remote Wireless aaS
  • Wired Access aaS
  • Wired Aggregation aaS
  • Wired Core aaS
  • SD-Branch aaS
  • UXI aaS

ทาง IDC นั้นได้มีผลสำรวจว่า 69% ของธุรกิจองค์กรนั้นได้เริ่มใช้งาน NaaS หรือมีแผนจะใช้งานภายในอีก 2 ปีนับถัดจากนี้แล้ว ก็ถือเป็นทิศทางที่น่าสนใจไม่น้อยทีเดียว

ท่านใดสนใจโซลูชัน HPE Aruba หรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ คุณนวรัตน์ จิตรตระการวงศ์ อีเมล nawarat.ch@hpe.com

from:https://www.techtalkthai.com/ttt-2022-reinforce-network-modernization-by-hpe-aruba/

TTT 2022 Reinforce: ก้าวข้ามขีดจำกัดการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์และแพลตฟอร์มบนเครือข่าย พร้อมรับความต้องการทางธุรกิจยุคดิจิทัล โดย Alcatel-Lucent Enterprise

ในช่วงเวลาที่วิกฤตเกิดขึ้นมากมาย ทั้งเรื่องการแพร่ระบาด COVID-19 พลังงานขาดแคลน สภาพภูมิอากาศแปรปรวน ไปจนถึงเรื่องความไม่แน่นอนที่อาจส่งผลกระทบในวงกว้างจนทำให้เศรษฐกิจถดถอยอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทุก ๆ อุตสาหกรรมรวมทั้งฝั่งไอทีนั้นล้วนได้รับผลกระทบกันหมด หากแต่ธุรกิจก็จำต้องดำเนินต่อไป แม้สถานการณ์วิกฤตต่าง ๆ จะเกิดขึ้นอยู่ก็ตาม

บทความนี้คืออีกหนึ่งมุมมองจาก Country Manager แห่ง Alcatel-Lucent Enterprise คุณสมยศ  อุดมนิโลบล ที่ได้มาแชร์มุมมองในสิ่งที่องค์กรควรจะต้องทำในยุคหลังการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ว่าองค์กรควรจะต้องปรับตัวอย่างไร มีแนวทางอะไรบ้าง เพื่อทำให้องค์กรพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ในการทำธุรกิจยุคดิจิทัลและอนาคตที่จะมีความไม่แน่นอน

เส้นทางการทำ Digital Transformation

แน่นอน Digital Transformation คือเทรนด์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ ซึ่งมักจะมีสิ่งที่ท้าทายหรือไม่คาดคิดเกิดขึ้นอยู่เสมอ โดย 3 แกนที่คุณสมยศชี้ให้เห็นว่าองค์กรที่ต้องการทำ Digital Transformation ต้องมีนั้น ได้แก่

  • Operation Opportunities – โอกาสทางธุรกิจที่ต้องเข้าใจการดำเนินธุรกิจของตัวเองก่อนว่ามีโอกาสทำอะไรที่ก่อให้เกิดรายได้ได้บ้าง
  • IT Challenges – ความท้าทายของฝั่งไอทีภายในองค์กรนั้นมีอะไรบ้าง ไม่ว่าจะเรื่องอุปกรณ์โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (Cybersecurity)  หรือเครือข่าย (Network) ว่ามีความพร้อมมากน้อยแค่ไหน
  • Tools – เครื่องมือและระบบต่าง ๆ ที่มีภายในแต่ละแผนกขององค์กรว่ามีอะไรบ้าง เช่น ระบบ IoT, Analytics, ระบบ Process Automation หรือซอฟต์แวร์ในแผนกการเงิน เป็นต้น

เมื่อทำให้ทุกภาคส่วนเห็นภาพทั้ง 3 แกนตรงกันแล้ว การเดินหน้าทำ Digital Transformation ถึงจะสามารถเกิดขึ้นได้ แต่อย่างไรก็ดี ปัจจัยสำคัญที่สุดนั่นก็ยังเป็นเรื่องของ “งบประมาณ” ซึ่งเหตุการณ์การแพร่ระบาดและวิกฤตต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกนั้นได้ทำให้องค์กรหลาย ๆ แห่งมีการชะลอการลงทุนออกไป แล้วองค์กรควรจะต้องปรับตัวอย่างไร หรือมีทางเลือกอะไรบ้างเพื่อให้อยู่รอดและยังทรานส์ฟอร์มได้ต่อไป

ประเมินตัวเอง (Self-Assessment) ใน 4 ส่วนอย่างสม่ำเสมอ

เมื่อเกิดวิกฤตขึ้น สิ่งที่คุณสมยศชี้ว่าองค์กรควรจะต้อง “ประเมินตัวเอง (Self-Assessment)” ใน 4 ส่วนอย่างสม่ำเสมอว่าองค์กรของเรานั้นมีอะไรอยู่บ้าง อันประกอบไปด้วย

  • Humans – กลุ่มคน ที่องค์กรควรจะต้องเข้าใจว่าลูกค้า (Customer) มีใครบ้าง และพนักงานภายในองค์กรนั้นเป็นอย่างไร
  • Infrastructure – โครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนเครื่อง Server, Storage หรือว่าอุปกรณ์ต่าง ๆ มีอะไรและทำอะไรได้บ้าง
  • Apps – แอปพลิเคชันหรือระบบต่าง ๆ เช่น CRM, ERP ที่มีใช้งานภายในองค์กรว่ามีอะไรบ้าง ต้องดูแลระบบหรือบริหารจัดการแอปพลิเคชันอะไรบ้าง
  • IoT – องค์กรมีใช้งานอุปกรณ์ไอโอทีอะไรบ้าง ลักษณะและการใช้งานเป็นอย่างไร เช่น โดรน กล้องวงจรปิด หรือว่าเซ็นเซอร์ต่าง ๆ เป็นต้น

ค้นหาแพลตฟอร์มที่เชื่อมทั้ง 4 ส่วนเข้าด้วยกัน

หลังจากที่ประเมินทั้ง 4 ส่วนเรียบร้อยแล้วว่าภายในองค์กรมีอะไรบ้าง สิ่งที่ต้องทำในลำดับถัดไป นั่นก็คือต้องมี “แพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงทั้งหมดนี้เข้าด้วยกัน (Connectivity Infrastructure Platform)” เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงทั้ง 4 ส่วนให้สามารถเข้าถึงกันได้อย่างไร้รอยต่อ และทำให้ส่วนหนึ่งสามารถสนับสนุนการทำงานของอีกส่วนหนึ่งได้ทันที

สำหรับแพลตฟอร์มที่มีความสามารถในการเชื่อมโยงดังที่กล่าวมาข้างต้นนั้นมีให้บริการอยู่ในตลาดมากมาย ซึ่งทาง Alcatel-Lucent Enterprise ก็มีแพลตฟอร์มลักษณะดังกล่าวให้ใช้งานด้วยเช่นกัน นั่นคือ Rainbow แพลตฟอร์มตัวกลางที่ใช้ในการสื่อสารส่งข้อความระหว่างกันได้แบบ End-To-End ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ใช้งานได้ “ฟรี” ไม่คิดค่าใช้จ่าย

Use Cases จากแพลตฟอร์ม Rainbow

แพลตฟอร์ม Rainbow ของทาง Alcatel-Lucent Enterprise นั้นได้เข้าไปช่วยเหลือในหลาย ๆ องค์กรในการเชื่อมโยงทั้ง 4 ส่วนมาแล้วทั่วโลก โดยตัวอย่าง Use Cases ที่คุณสมยศหยิบยกขึ้นมาให้เห็นภาพมากขึ้น เช่น 

ตรวจสอบกล้องวงจรปิดดับหรือเบลอให้แบบอัตโนมัติ

กล้องวงจรปิดแบบ PoE (Power over Ethernet) ที่มักจะพบเจอกับปัญหาหน้างาน เช่น ภาพไม่ชัด ระบบไม่เห็นกล้อง ซึ่ง Rainbow ได้เป็นแพลตฟอร์มกลางที่สามารถเชื่อมโยงระหว่างอุปกรณ์กล้องวงจรปิดให้แจ้งเตือนปัญหาไปยังผู้ปฏิบัติงานได้แบบอัตโนมัติว่ากล้องดับหรือว่าเบลอแล้ว ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่จำเป็นจะต้องนั่งเฝ้าหน้าจออยู่ตลอดเวลาก็ได้

เชื่อมโยงอุปกรณ์และโครงสร้างพื้นฐานเดิม ทรานส์ฟอร์มเป็น Smart City

เรื่องราวจากเมือง Liverpool ในสหราชอาณาจักรที่ Alcatel-Lucent Enterprise ได้นำแพลตฟอร์มไปเชื่อมโยงอุปกรณ์เดิม ๆ ที่มีอยู่แล้วภายในเมือง เช่น กล้องวงจรปิด เราเตอร์ Wi-Fi หน้าจอต่าง ๆ ฯลฯ ให้สามารถทำงานร่วมกับรถประจำทางและรถพยาบาล เกิดเป็น Smart City ที่สามารถแสดงข้อมูลหรือว่าแจ้งเตือนข้อมูลไปยังจุดต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว

เชื่อมโยงโทรศัพท์กับ MS Teams

ช่วงที่ COVID-19 แพร่ระบาดอย่างหนักได้ทำให้พนักงานออฟฟิศจำเป็นต้องใช้ระบบประชุมออนไลน์แทน ซึ่ง MS Teams คือหนึ่งในเครื่องมือยอดนิยมที่ใช้งานกันมาก หากแต่เมื่อสถานการณ์เริ่มกลับมาดีขึ้น และพนักงานเริ่มกลับเข้าไปทำงานที่ออฟฟิศแล้ว Alcatel-Lucent Enterprise จึงได้เข้าไปช่วยเชื่อมโยงระบบตู้โทรศัพท์แบบอะนาล็อกให้เข้ากับได้กับ MS Teams จนสามารถทำงานร่วมกันได้สำเร็จ

บทส่งท้าย

ทุกวิกฤตล้วนมีโอกาสอะไรบางอย่างแอบซ่อนไว้เสมอ และสิ่งที่องค์กรควรจะต้องทำเพื่อรับมือกับทุกสถานการณ์ในอนาคต นั่นก็คือการประเมินตัวเองทั้ง 4 ส่วนว่ามีอะไรบ้าง และควรจะต้องมีแพลตฟอร์มที่เชื่อมทั้งหมดนั้นเข้าด้วยกัน เพื่อให้องค์กรสามารถก้าวข้ามข้อจำกัดที่เกิดขึ้นจากวิกฤตการณ์ความไม่แน่นอนในยุคดิจิทัลปัจจุบันได้อย่างต่อเนื่อง

ต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถรับชมวิดีโอการบรรยายเรื่อง “ก้าวข้ามขีดจำกัดการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์และแพลตฟอร์มบนเครือข่าย พร้อมรับความต้องการทางธุรกิจยุคดิจิทัล” โดยคุณสมยศ  อุดมนิโลบล Country Manager จาก Alcatel-Lucent Enterprise ภายในงานสัมมนา TTT 2022 Reinforce: Enterprise IT Infrastructure ที่เพิ่งจัดไปเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม ได้ที่นี่

สำหรับผู้ที่สนใจรายละเอียดโซลูชันของทาง Alcatel-Lucent Enterprise สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ พร้อมติดตามข่าวสารจากทาง Alcatel-Lucent Enterprise ได้ในช่องทาง Facebook, Twitter, LinkedIn, YouTube หรือว่า Instagram รวมทั้งสามารถดูรายละเอียดของแพลตฟอร์ม Rainbow ได้ที่นี่

from:https://www.techtalkthai.com/ttt-2022-reinforce-surpass-limitation-of-connectivity-by-alcatel-lucent-enterprise/