คลังเก็บป้ายกำกับ: SD-WAN

AIS Business เดินหน้าปี 2023 พร้อมเป็นพันธมิตรดิจิทัลของทุกองค์กรไทย พลิกโฉมธุรกิจให้ “เติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน”

ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาอาจถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความยากลำบากสำหรับทุกองค์กรธุรกิจ มีเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นทั้งเรื่องของสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ความไม่แน่นอนในเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ จนกระทบมาถึงเรื่องเงินเฟ้อและเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ที่อาจจะเกิดขึ้นทั่วโลกในปีนี้ ทุกองค์กรธุรกิจจึงจำเป็นจะต้องเร่งปรับตัวเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่กำลังเป็นไปในอนาคตอันใกล้

AIS Business ในฐานะ Digital Service Provider ชั้นนำของไทย ที่มีโครงสร้างพื้นฐานและระบบนิเวศธุรกิจดิจิทัล (Digital Business Ecosystem) ได้เปิดวิสัยทัศน์ปี 2023 เดินหน้าสู่การเป็นพาร์ตเนอร์ พันธมิตรของทุกองค์กรอย่างเต็มรูปแบบ ด้วยแนวคิด “เติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน” เพื่อทำให้ทุกองค์กรสามารถดำเนินธุรกิจท่ามกลางความไม่แน่นอนและความท้าทายต่อไปได้อย่างยั่งยืน แล้ว AIS Business มีแผนที่จะก้าวต่อไปอย่างไรบ้าง แนวคิดอะไรที่องค์กรธุรกิจสามารถเชื่อมโยงหรือนำไปประยุกต์ใช้ได้ ติดตามได้ในบทความนี้

AIS Transformation จาก Digital Service Provider สู่การเป็น Cognitive TechCo

ตั้งแต่สมัยอดีตกาล AIS ได้มีบทบาทสำคัญต่อประเทศในฐานะผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคม (Telecom Service Provider) ชั้นนำที่ให้บริการโครงข่ายกับผู้ใช้อย่างแข็งแกร่งมาจวบจนถึงวันนี้ และด้วยแนวคิดที่ไม่ยอมหยุดนิ่งอยู่กับที่ของ AIS ด้วยความพยายามพลิกโฉมดิสรัป (Disrupt) องค์กรตัวเองอย่างต่อเนื่องจนนำพาองค์กรฝ่าฟันอุปสรรคหรือวิกฤตการณ์ใด ๆ มาแล้วมากมาย ทำให้ทุกวันนี้ AIS ได้กลายมาเป็นผู้ให้บริการดิจิทัล (Digital Service Provider) อย่างเต็มรูปแบบได้สำเร็จ และได้รับความไว้วางใจจากองค์กรชั้นนำระดับประเทศสูงสุดในปีที่ผ่านมาเป็นที่เรียบร้อย

สำหรับปี 2023 และอนาคตอันใกล้ ทาง AIS ก็กำลังเดินก้าวถัดไปที่จะทรานส์ฟอร์มองค์กรใหม่อีกครั้ง ในฐานะ “องค์กรโทรคมนาคมอัจฉริยะ” หรือ “Cognitive TechCo” ที่จะมีความชาญฉลาดในการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีต่าง ๆ อย่างเช่น AI, Data Analytics หรือ Automation มาสนับสนุนประยุกต์ในบริการและโซลูชัน เพื่อให้การทำงานในทุกอุตสาหกรรมนั้นมีความฉลาดมากขึ้นและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งวิสัยทัศน์นี้ได้ฉายภาพมายังฝั่งของ AIS Business ด้วยเช่นกันผ่าน 5 กลยุทธ์ของ AIS Business ที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่องเรื่อยมา ประกอบกับเรื่องความเชื่อในการจับมือเดินไปด้วยกันเป็น Digital Business Ecosystem มากกว่าการเดินทำธุรกิจอย่างโดดเดี่ยว คือจุดสำคัญที่ทำให้องค์กรสามารถเติบโตมาได้จนถึงทุกวันนี้ 

AIS Business ปี 2022 ช่วยเร่งการพัฒนาดิจิทัลให้ธุรกิจไทยอย่างต่อเนื่อง

ในปีที่ผ่านมาอาจยังเรียกได้ว่าสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 นั้นยังคงส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจอยู่พอสมควร หากแต่สถานการณ์ก็ยังดูดีกว่าปีก่อน ๆ ซึ่งตัวเลขที่ทาง AIS Business เปิดเผยออกมานั้น สะท้อนให้เห็นว่าภาคธุรกิจยังคงนำเทคโนโลยีดิจิทัลสนับสนุนให้องค์กรเดินหน้าต่อไป โดยมีการปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเติบโตขึ้นในระดับ 2 หลัก (Double Digits) ซึ่งตัวเลขที่โดดเด่นอย่างมาก คือจำนวนองค์กรที่มีการปรับใช้เทคโนโลยี Cloud จากทาง AIS Business ในปีที่แล้วนั้นมีจำนวนมากถึง 3 พันรายหรือเพิ่มขึ้นสูงขึ้นกว่า 200% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า (Year Over Year : YoY) และจำนวนการเชื่อมต่อ 5G เพื่อธุรกิจ ถึง 2 แสนอุปกรณ์ หรือเพิ่มขึ้นกว่า 40% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าเช่นกัน

อีกด้านหนึ่ง AIS Business ก็ยังคงสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง จนทำให้มีพาร์ตเนอร์มากกว่า 200 องค์กรแล้วในปัจจุบัน ทั้งระดับประเทศที่เป็นภาครัฐและเอกชนในหลากหลายอุตสาหกรรม  พร้อมทั้งได้รับรางวัลเป็น Partner of the Year จากพันธมิตรเทคโนโลยีระดับโลก นี่คือตัวบ่งชี้อย่างชัดเจนถึงขีดความสามารถที่ทำให้ AIS Business เป็นผู้ให้บริการดิจิทัลที่สนับสนุนภาคธุรกิจให้สามารถเร่งการทรานสฟอร์มได้อย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

พันธกิจส่งเสริมธุรกิจไทยให้เดินหน้าอย่างยั่งยืนผ่าน 3 แนวคิด “เติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน”

สำหรับก้าวถัดไปหลังจากนี้ของ AIS Business ดูเหมือนจะไม่ได้เลือกใช้แนวทางให้องค์กรเติบโตแบบก้าวกระโดดเพียงลำพังเท่านั้น หากแต่จะเป็นการเติบโตที่สามารถเดินหน้าพร้อมพันธมิตรทุกธุรกิจต่อไปได้อย่างยั่งยืน (Sustainability) ด้วย ตามที่ AIS Business ได้ประกาศแนวคิด “เติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน” ซึ่งถือว่าเป็นคำพูดที่สะท้อน 3 สิ่งที่ AIS Business จะผลักดันให้มากขึ้นในปีนี้ได้อย่างนุ่มนวลแต่ครบถ้วน โดย 3 สิ่งที่ว่านั้น ได้แก่

Growing เร่งภาคธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง

ด้วยสถานการณ์แพร่ระบาด COVID-19 ที่กำลังคลี่คลายลงเรื่อย ๆ องค์กรในทุกภาคอุตสาหกรรมเริ่มตั้งหลักได้ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ปีนี้จึงเชื่อว่าภาคธุรกิจจะสามารถฟื้นคืนกลับสู่สภาวะปกติและจะกลับมาเร่งการเติบโตต่อไปได้แล้ว ดังนั้น AIS Business ร่วมกับพันธมิตรที่มีโซลูชันและนวัตกรรมอันหลากหลายจึงมีความพร้อมที่จะช่วยสนับสนุนให้ทุกองค์กรธุรกิจเร่งการเติบโตหลังจากนี้ได้อย่างต่อเนื่องและมั่นคง 

ไม่ว่าจะเป็นโซลูชันที่ช่วยเสริมความยืดหยุ่นและความฉลาดให้กับองค์กร อย่างเช่น 5G NEXTGen Platform, Cloud X Ecosystem, Data Analytics as a Service หรือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานในแต่ละอุตสาหกรรม อาทิ Smart Manufacturing, IoT ฯลฯ โซลูชันทั้งหลายเหล่านี้ของ AIS Business นั้นมีความพร้อมที่จะเสริมให้ทุกองค์กรมีความคล่องตัว (Agility) ขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยข้อมูล (Data-Driven) และเสริมประสิทธิภาพให้มีผลิตผล (Productivity) ที่ดีขึ้น ทั้งหมดเพื่อทำให้ธุรกิจเร่งเดินหน้าเติบโตต่อไปได้อย่างรวดเร็ว เปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์โลกได้อย่างทันท่วงที

Trusted เสริมความอุ่นใจในโครงสร้างพื้นฐาน

การทรานส์ฟอร์มธุรกิจใด ๆ เรื่องโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล (Digital Infrastructure) คือส่วนสำคัญอย่างมากที่จะส่งผลต่อความสำเร็จในการพลิกโฉมธุรกิจให้ทันกับความเปลี่ยนแปลง ซึ่งไม่ว่าองค์กรจะมีโจทย์ปัญหาหรือข้อจำกัดอะไรก็ตาม ในระบบนิเวศของ AIS Business นั้นมี Digital Infrastructure และนวัตกรรมต่าง ๆ ที่พร้อมให้เลือกใช้งานได้อย่างมั่นใจในทุกจุด 

ตั้งแต่เรื่องของโครงข่าย (Network) สัญญาณ 5G ไปจนถึงระบบ Cloud ในระดับ Private Cloud, Edge Computing, Local Cloud และ Hyperscaler รวมถึงการทำ Cybersecurity ในทุกระดับ ทาง AIS Business พร้อมพาร์ตเนอร์มีโซลูชันที่สามารถสนับสนุนทุกความต้องการ เช่น Network Slicing, Software Defined Network, 5G Fixed Wireless Access (FWA), Multi-access EDGE Computing (MEC), Sovereign Cloud หรือ Cloud X, Cyber Secure ทุกโซลูชันนั้นพร้อมสนับสนุนให้ทุกองค์กรทรานส์ฟอร์มพลิกโฉมได้อย่างมั่นใจได้ในทุกจุดที่ต้องเชื่อมต่อกัน เพื่อทำให้โครงสร้างพื้นฐานขององค์กรมีทั้งเรื่องประสิทธิภาพ ความยืดหยุ่น และความมั่นคงปลอดภัย อุ่นใจได้ทุกที่ทุกเวลา

Sustainability ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน

หลายคนมักจะนึกถึงเรื่อง Sustainability คือเรื่องของสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก แต่แท้จริงแล้วยังมีเรื่องอื่น ๆ ที่ต้องพิจารณาด้วย ดังเช่นแนวคิด ESG ที่ประกอบไปด้วยสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และธรรมาภิบาล (Governance) ซึ่งจะเห็นได้ว่า Sustainability นั้นไม่ได้มีแค่เรื่องสิ่งแวดล้อมเพียงเท่านั้นอย่างเดียว ยังมีเรื่องของสังคม ความเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำ ความปลอดภัยของพนักงาน หรือการกำกับดูแลกิจการให้มีความโปร่งใสและเป็นธรรม ฯลฯ อีกมากมาย 

สิ่งนี้คืออีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ AIS ได้ยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจมาโดยตลอด ทั้งการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมด้วยการใช้พลังงานน้อยลง ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2), การลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ ด้วยโครงการ AIS e-Waste และการสร้างความตระหนักรู้ด้านดิจิทัลให้กับประชาชนด้วยโปรแกรม AIS Acadamy for Thai และ AIS Aunjai Cyber ที่ช่วยเหลือสังคมให้เข้ามีความเข้าใจการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างถูกต้อง มีประโยชน์ ปลอดภัยโดยเท่าเทียมมากขึ้น นอกจากนั้น AIS Business ยังนำโซลูชันสนับสนุนภาคธุรกิจและองค์กรอื่น ๆ ให้ดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืนเช่นกันผ่านการใช้งานโซลูชันต่างๆ อาทิ ระบบตรวจสอบคุณภาพอากาศ (Air Quality Monitoring) หรือระบบตรวจสอบน้ำเน่าเสีย (Wastewater Monitoring) รวมไปถึงการสร้างศูนย์ AIS 5G NEXTGen Center เพื่อขับเคลื่อนระบบนิเวศนวัตกรรมดิจิทัล (Digital Innovation Ecosystem) สร้างความร่วมมือใหม่ ๆ ร่วมหาข้อมูลเชิงลึก (Insight) และสร้างนวัตกรรมที่แก้ไขปัญหาได้ตรงความต้องการให้มากขึ้น ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ AIS Business จะผลักดันต่อไปเพื่อทำให้เกิดความยั่งยืนทางธุรกิจไปด้วยกันในทุกภาคส่วน

Partnership ร่วมมือไปด้วยกันในอุตสาหกรรมที่หลากหลายขึ้น

ความร่วมมือยังคงเป็นหัวใจสำคัญสำหรับ AIS Business เสมอมา และสิ่งนี้จะยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีนี้และต่อ ๆ ไป ซึ่งก่อนหน้าจะเห็นว่า AIS Business ได้สร้างความร่วมมือกับองค์กรมากมายในภาคอุตสาหกรรมการผลิต (Manufacturing) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดย 2 Use Case ที่ AIS Business ภาคภูมิใจนำเสนอคือ SCG และ Somboon Advance Technology ที่สามารถพลิกโฉมโรงงานเก่าให้กลายเป็นโรงงาน Smart Factory ได้สำเร็จ ด้วยการปรับใช้ 5G ร่วมกับเทคโนโลยี 3D Vision-Robot, AS/RS-Warehouse และหุ่นยนต์ขนส่งไร้คนขับ (Unmanned AGV) ทำให้สามารถปรับไลน์การผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ การจัดการคลังสินค้าให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นกว่าเดิมอย่างมหาศาล

หลังจากนี้ AIS Business จึงเตรียมการขยายขอบเขตความร่วมมือที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตไปยังอุตสาหกรรมอื่น ๆ ให้หลากหลายมากขึ้นกว่าเดิม อาทิ ค้าปลีก (Retail) ขนส่งและโลจิสติกส์ (Transportation & Logistics) หรือธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) เพราะ AIS Business เชื่อว่าการเชื่อมจุด (Connect the dots) ได้มากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ก็จะยิ่งทำให้ทุกองค์กรในระบบนิเวศสามารถสร้างโอกาสใหม่ ๆ ได้อย่างทวีคูณ และปีนี้เชื่อว่าทุกคนจะได้เห็นการเติบโตของ AIS Business และพันธมิตรไปอีกระดับขั้น ผ่านโซลูชันและนวัตกรรมใหม่ ๆ ในอุตสาหกรรมที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งทั้งหมดจะส่งผลให้ทุกองค์กรเติบโตไปพร้อม ๆ กันได้อย่างอุ่นใจและยั่งยืน

บทส่งท้าย

ด้วยแนวคิดที่ไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ Disrupt และพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งแนวคิดที่จะก้าวต่อไปด้วยการเติบโตอย่างมั่นใจและยั่งยืนร่วมกัน จึงสรุปออกมาเป็นประโยคสั้น ๆ ที่ว่า “เติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน” อันเป็นตัวชี้ให้เห็นถึงแนวทางในปี 2023 ของ AIS Business ที่จะเดินหน้าสู่การเป็นพันธมิตรของทุกองค์กรได้อย่างนุ่มนวลและยั่งยืน ที่ทุกองค์กรสามารถให้ความเชื่อใจ และร่วมเดินทางเติบโตไปด้วยกันได้อย่างแน่นอน

สำหรับผู้ที่ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโซลูชันต่าง ๆ ของ AIS Business และพาร์ตเนอร์เพื่อนำไปทรานส์ฟอร์มธุรกิจของท่านได้ในทุกรูปแบบ สามารถติดต่อทาง AIS Business ได้ในทุกช่องทาง

AIS Business พร้อมเป็นพันธมิตรดิจิทัล ที่มั่นใจได้ เพื่อพัฒนาธุรกิจและสังคมไทย

เติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน

“Your Trusted Smart Digital Partner”

ปรึกษาและวางแผนพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อรองรับการทำงานและต่อยอดธุรกิจได้ที่

Email: business@ais.co.th

Website: https://business.ais.co.th

from:https://www.techtalkthai.com/ais-business-direction-for-year-2023-ready-to-become-the-digital-partner-of-all-thai-organization/

Advertisement

เปิดตัว Aruba EdgeConnect Enterprise Subscription ใหม่ และ Aruba EdgeConnect Enterprise EC-10104 สำหรับ SD-WAN Branch Gateway

ทุกวันนี้ SD-WAN ได้กลายเป็นโซลูชันหลักที่จำเป็นสำหรับธุรกิจองค์กรหลายแห่งไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเสริมประสิทธิภาพ ความคุ้มค่า และความมั่นคงปลอดภัยให้กับการเชื่อมต่อเครือข่ายระหว่างสาขา หรือการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ IoT, Cloud และระบบเครือข่ายขององค์กรเข้าด้วยกันก็ตาม

เพื่อให้ SD-WAN กลายเป็นเทคโนโลยีที่ธุรกิจองค์กรสามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น Aruba Networks ในฐานะของผู้นำด้านเทคโนโลยี SD-WAN ในระดับโลก จึงได้ทำการเปิดตัว Subscription License ใหม่ และ Hardware Appliance รุ่นใหม่อย่าง Aruba EdgeConnect Enterprise EC-10104 ออกมาสู่ตลาด ซึ่งในบทความนี้เราจะพาทุกท่านไปรู้จักกันว่า ในการเปิดตัวใหม่ครั้งนี้ Aruba ได้นำเสนอนวัตกรรมใหม่อะไรที่น่าสนใจสำหรับธุรกิจองค์กรกันบ้างครับ

Aruba EdgeConnect Enterprise Subscription License ใหม่ เลือกใช้งานได้อย่างยืดหยุ่นยิ่งขึ้น

ในแง่มุมของ Aruba นั้น ธุรกิจที่เลือกใช้โซลูชัน SD-WAN มักจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มที่ชัดเจน ได้แก่

  • ธุรกิจองค์กรทั่วไปที่ต้องการใช้ SD-WAN เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับ WAN, บริหารจัดการ WAN ได้จากศูนย์กลาง และเสริมความมั่นคงปลอดภัยให้กับระบบเครือข่ายโดยรวม
  • ธุรกิจองค์กรขนาดใหญ่ที่มีบริษัทย่อยดำเนินการภายใต้อยู่เป็นจำนวนมาก และมีระบบเครือข่ายที่ซับซ้อน จึงต้องการนำ SD-WAN ที่มีความสามารถชั้นสูงเพื่อช่วยบริหารจัดการระบบเครือข่ายที่ซับซ้อนเป็นพิเศษเหล่านี้ให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ด้วยเหตุนี้ Aruba จึงได้ทำการปรับ Subscription License ใหม่ให้สอดคล้องกับบริบทและความต้องการของธุรกิจองค์กรทั่วโลก ด้วยการแบ่ง License ออกเป็น 2 ระดับ ดังนี้

  1. Foundation License มีความสามารถพื้นฐานของ SD-WAN อย่างครบถ้วน ทั้งในส่วนของประสิทธิภาพ, การบริหารจัดการ และความมั่นคงปลอดภัย โดยมี NGFW, Fine-Grained Segmentation, Layer 7 Firewall, DDoS Protection และ Anti-Spoofing ให้พร้อมใช้งาน โดยสามารถทำ VRF ได้เล็กน้อยเพื่อให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้งานได้อย่างเหมาะสม และสามารถเชื่อมต่อกับโซลูชันอื่นๆ เพื่อทำ SASE ได้อย่างเต็มตัว
  2. Advanced License มีความสามารถของ Foundation License ทั้งหมด โดยเสริมเรื่องของการทำ Network Segment/VRF ได้มากถึง 64 วงของเครือข่าย, การทำ QoS ชั้นสูง และการทำ Data Retention ได้อย่างเต็มตัว

จะเห็นได้ว่าการใช้งาน Foundation License นี้ก็สามารถตอบโจทย์การใช้งาน SD-WAN ของธุรกิจองค์กรทั่วไปจำนวนมากได้แล้ว ในขณะที่ Advanced License นี้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับหลายธุรกิจภายใต้เครือเดียวกันร่วมกันได้ในระบบเดียว ทำให้เหมาะกับธุรกิจองค์กรขนาดใหญ่ที่มีธุรกิจในเครือหลายแห่ง หรือกรณีที่เกิดการควบรวมหรือเข้าซื้อกิจการ และต้องผสานรวมระบบเครือข่ายให้กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน

นอกจากนี้ Aruba ยังได้เพิ่ม License สำหรับ Aruba WAN Orchestrator ซึ่งเป็นระบบบริหารจัดการ SD-WAN จากศูนย์กลางภายใต้ชื่อ Advanced On-Prem License เพื่อให้ธุรกิจองค์กรที่มีความกังวลด้านความเป็นส่วนตัวของข้อมูลอย่างเช่นหน่วยงานภาครัฐ สามารถนำ Aruba WAN Orchestrator ไปติดตั้งใช้งานภายใน Data Center หรือ Private Cloud ขององค์กรได้อีกด้วย

Aruba EdgeConnect Enterprise EC-10104: SD-WAN Edge Gateway ที่คุ้มค่ายิ่งกว่าเดิม

Aruba EdgeConnect Enterprise EC-10104 ที่เพิ่งเปิดตัวมาใหม่นี้ถูกออกแบบมาสำหรับสาขาหรือ Edge ขนาดเล็กของธุรกิจ ที่ต้องการ WAN Bandwidth ขนาดไม่เกินกว่า 500Mbps และต้องการทำ WAN Optimization ด้วยประสิทธิภาพไม่เกินกว่า 200Mbps โดยมาพร้อมกับ 10/100/1000 RJ-45 Interface จำนวน 4 ช่อง (2 WAN, 2 LAN) และมีช่อง USB ให้พร้อมใช้งาน

ในแง่ของความสามารถ Aruba EdgeConnect Enterprise EC-10104 นี้ก็มีความสามารถของโซลูชัน SD-WAN จาก Aruba อย่างครบถว้น ไม่ว่าจะเป็นการเสริมความมั่นคงปลอดภัยด้วย Branch Firewall, การบริหารจัดการ WAN ที่ง่ายดาย ไปจนถึงการเชื่อมต่อกับระบบภายนอกก้าวสู่สถาปัตยกรรม SASE ได้อย่างเต็มตัว ซึ่งธุรกิจองค์กรสามารถเลือกใช้งานความสามารถเหล่านี้ได้ตาม Subscription License ที่ต้องการ

กรณีการใช้งานที่เหมาะกับ Aruba EdgeConnect Enterprise EC-10104 นี้ก็คือการใช้งานตามสาขาของธุรกิจที่จำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจค้าปลีกที่มีหน้าร้านกระจายอยู่ทั่วประเทศ หรือสาขาของธนาคารที่กระจายอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ ซึ่งอาจมีพนักงานจำนวนไม่มากนัก มีการใช้ Bandwidth ที่ไม่สูง แต่ก็ยังคงต้องการการเชื่อมต่อเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพ, มีความมั่นคงปลอดภัย และสามารถบริหารจัดการจากศูนย์กลางได้อย่างเป็นระบบ ในการลงทุนที่คุ้มค่า

สนใจใช้งาน Aruba EdgeConnect Enterprise สามารถติดต่อ SiS ได้ทันที

สำหรับธุรกิจองค์กรที่สนใจใช้งาน Aruba EdgeConnect Enterprise หรือโซลูชันอื่นๆ จาก HPE Aruba สามารถติดต่อทีมงาน SiS ได้ทันทีที่ อีเมล : HPEAruba@sisthai.com หรือ LineID : @sisaruba

from:https://www.techtalkthai.com/new-aruba-edgeconnect-enterprise-subscription-and-edgeconnect-ec-10104-for-sd-wan-branch-gateway-by-sis/

Gartner ออกรายงาน Magic Quadrant ด้าน SD-WAN ปี 2022 – Fortinet, VMware และ Cisco เป็นผู้นำ

Gartner บริษัทวิจัยและที่ปรึกษาชื่อดังจากสหรัฐฯ ออกรายงาน Magic Quadrant ด้าน SD-WAN ฉบับล่าสุดปี 2022 ผลปรากฏว่ามี Vendor ครองตำแหน่ง Leader มากถึง 6 ราย นำโดย Fortinet, VMware และ Cisco ตามมาด้วย Palo Alto Networks, Versa Networks และ HPE Aruba

ปี 2022 นี้ Gartner ได้เปลี่ยนชื่อ Magic Quadrant ด้าน WAN Edge Infrastructure มาเป็น SD-WAN แทน โดยให้คำนิยามว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่มาทดแทน Router ดั้งเดิมที่ใช้งานตามสำนักงานสาขา มีฟังก์ชันการใช้งานครอบคลุมทั้ง Dynamic Path Selection (ตามนโยบายทางธุรกิจหรือแอปพลิเคชัน) สามารบริหารจัดการและจัดการ Policy ได้จากศูนย์กลาง รองรับ VPN และ Zero Touch Configuration ผลิตภัณฑ์ SD-WAN เป็น WAN Transport-/Carrier-agnostic และสามารถสร้างเส้นทางผ่านการเชื่อมต่อ WAN ได้อย่างมั่นคงปลอดภัย อาจเป็นอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์ก็ได้ จะบริหารจัดการโดยตรงภายในองค์กรเอง หรือจะใช้บริการผ่าน Managed Service Provider ก็ได้เช่นกัน

Gartner คาดการณ์ว่า ภายในปี 2025 ครึ่งหนึ่งของการซื้อ SD-WAN ใหม่จะอยู่ในส่วนของบริการ SASE และ 40% ของการวางระบบ SD-WAN ในองค์กรจะมีการใช้ AI เพื่อจัดการ Day 2 Operation ซึ่งเพิ่มจากปี 2022 ที่มีเพียงแค่ 10% เท่านั้น

สำหรับผลการจัดอันดับ Magic Quadrant ทางด้าน SD-WAN ในปีนี้ พบว่า Vendor 6 รายที่ครองตำแหน่ง Leader ในปี 2021 ได้แก่ Fortinet, VMware, Cisco, Palo Alto Networks, Versa Networks และ HPE Aruba ยังคงครองตำแหน่ง Leader ต่อไปในปีนี้ โดยผู้ที่ครองอันดับหนึ่งด้าน Ability of Execute คือ Fortinet, VMware และ Cisco ตามลำดับ ในขณะที่ผู้ที่ครองอันดับหนึ่งด้าน Completeness of Vision คือ Palo Alto Networks และ VMware ที่ตามมาติดๆ

ผู้ที่สนใจสามารถดาวน์โหลดรายงาน Gartner ฉบับเต็มได้ผ่านช่องทางของ Cisco ได้ที่ https://www.cisco.com/c/en/us/solutions/enterprise-networks/sd-wan/gartner-2022-magic-quadrant.html

from:https://www.techtalkthai.com/gartner-magic-quadrant-for-sd-wan-2022/

TTT 2022 Reinforce: ขับเคลื่อนธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพด้วย Network Modernization โดย HPE Aruba

ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เหตุการณ์ต่างๆ ได้ทำให้ธุรกิจนั้นต้องเปลี่ยนแปลงตนเองอย่างรวดเร็ว มีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในการทำงานรูปแบบใหม่อย่าง Remote Working และ Hybrid Working ซึ่งทั้งหมดนี้ย่อมส่งผลให้ธุรกิจนั้นต้องวางแผนใหม่สำหรับระบบเครือข่าย ให้มีความยืดหยุ่นและคล่องตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงอันไม่คาดฝันในอนาคตกันต่อไป

คุณประคุณ เลาหกิตติกุล Country Manager (Thailand) แห่ง HPE Aruba ได้มาเล่าถึงหัวข้อ “Accelerate Your Business with Network Modernization” ภายในงานสัมมนา TTT 2022 Reinforce ที่ผ่านมา ถึงความจำเป็นและแนวทางในการทำ Network Modernization อย่างเข้มข้น เพื่อให้ธุรกิจสามารถวางระบบเครือข่ายซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจขับเคลื่อนต่อไปได้อย่างต่อเนื่องในอนาคตเป็นอย่างน้อย 4-5 ปีนับถัดจากนี้

4 เป้าหมายหลักของการทำ Network Modernization

คุณประคุณได้เล่าว่าในการทำ Network Modernization นั้น ธุรกิจองค์กรมักมีเป้าหมายหลักด้วยกัน 4 ประการ ได้แก่

  1. Hybrid Work – การทำงานแบบผสมผสานทั้งจากภายในองค์กรและภายนอกองค์กรได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยประสบการณ์เดียวกัน และความมั่นคงปลอดภัยในระดับสูงที่ไว้วางใจได้
  2. Digital Transformation Acceleration – เร่งความเร็วในการปรับตัวของธุรกิจ รองรับการนำนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาใช้งานเพื่อตอบสนองต่อการเติบโตของธุรกิจได้
  3. Personalized Experiences – นำเสนอประสบการณ์เฉพาะบุคคลให้กับผู้ใช้งานได้ตั้งแต่ระดับของเครือข่าย, ข้อมูล และ Application อย่างครบถ้วน สร้างขีดความสามารถในการแข่งขันทั้งภายในและภายนอกองค์กร
  4. Need for Efficiencies – ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและรองรับการเกิดขึ้นของธุรกิจรูปแบบใหม่ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง โดยใช้บุคลากรฝ่าย IT จำนวนเท่าเดิมในการบริหารจัดการกับเทคโนโลยีที่มีการใช้งานมากขึ้นได้

เพื่อให้ธุรกิจองค์กรสามารถบรรลุเป้าหมายทั้ง 4 ประการนี้ได้ คุณสมบัติของระบบเครือข่ายแห่งอนาคตจึงต้องครอบคลุมถึงทั้งการทำ Automation เพื่อลดความผิดพลาดในการทำงาน และช่วยให้ทรัพยากรฝ่าย IT สามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการระบบเครือข่ายที่มีขนาดใหญ่และซับซ้อนได้ Security ซึ่งถูกผนวกรวมเป็นส่วนหนึ่งของระบบเครือข่าย เพื่อเสริมความมั่นคงปลอดภัยเพิ่มขึ้นไปอีกขั้น และ Agility มีความยืดหยุ่นรองรับการเปลี่ยนแปลงระบบเครือข่ายที่จะเกิดขึ้นจากการมาของเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้อย่างทันท่วงที

ปรับระบบเครือข่ายให้ทันสมัยด้วย Aruba ESP Solutions

คุณประคุณได้สรุปถึงเทคโนโลยีทั้งหมดที่ HPE Aruba ได้ทำการคิดค้น พัฒนา และนำเสนอสู่ธุรกิจองค์กรทั่วโลกในช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมานี้ ด้วยภาพของ Aruba ESP หรือ Edge Services Platform ที่จะเปลี่ยนให้ Network นั้นกลายเป็น Platform สำคัญทั้งสำหรับการทำงานและส่งมอบประสบการณ์หรือนวัตกรรมใหม่ๆ ไปยังผู้ใช้งานทั้งภายในและภายนอกองค์กร ซึ่งมีแนวคิดหลักด้วยกัน 3 ประการ

1. Unified Infrastructure

ผสานรวมระบบ Wired, Wireless และ SD-WAN รวมถึงระบบเครือข่ายสำหรับอุปกรณ์ IoT เข้าเป็นหนึ่งเดียวภายในระบบเครือข่าย โดยสามารถเลือกวิธีการบริหารจัดการได้ทั้งบน Cloud, Centralized หรือแม้แต่ Standalone

2. Security

HPE Aruba นั้นได้ผสานระบบ Security ให้เป็นส่วนหนึ่งของระบบเครือข่ายตั้งแต่แรก และในทุกวันนี้ก็ได้เพิ่มเรื่องของการทำ Automation เข้าไปด้วย เพื่อให้ Security กลายเป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่งขึ้นกว่าเดิม

3. AIOps

ด้วยปริมาณของอุปกรณ์เครือข่ายที่มากยิ่งขึ้น ในขณะที่แต่ละองค์กรนั้นไม่ได้มีทีมผู้ดูแลระบบมากขึ้นตามไปด้วย ทำให้ผู้ดูแลระบบเครือข่ายต้องรับภาระในการดูแลรักษาระบบ IT ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ดังนั้นการนำ AIOps เข้ามาช่วย เพื่อให้การบริหารจัดการระบบเหล่านี้เป็นไปได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย

คุณประคุณได้เล่าถึงกรณีของลูกค้ารายหนึ่ง ที่ย้ายการบริหารจัดการระบบเครือข่ายจากเดิมที่แยกส่วนอยู่ภายในองค์กร ไปอยู่บน Cloud ของ Aruba โดยตรง ทำให้ข้อมูลของระบบเครือข่ายทั้งหมดในส่วนของ Wired, Wireless และ SD-WAN ถูกรวมอยู่ที่เดียวบน Cloud และ AIOps ก็สามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์ตรวจสอบปัญหาต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ช่วยให้ลูกค้าของ HPE Aruba ในประเทศไทยสามารถจัดการกับปัญหาภายในระบบเครือข่ายได้อย่างทันท่วงที

ความสามารถใหม่ในระบบเครือข่ายที่น่าจับตามองจาก HPE Aruba

เมื่อมองไปถึงอนาคต คุณประคุณก็ได้เล่าถึงนวัตกรรมใหม่ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นภายใน HPE Aruba ที่หลายส่วนก็ได้กลายเป็นฟีเจอร์ใหม่ๆ ในโซลูชันให้พร้อมใช้งานได้แล้ว ได้แก่

1. Aruba CloudAuth

เมื่อธุรกิจองค์กรนั้นมีการใช้งาน Cloud มากขึ้นเรื่อยๆ แนวคิดหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือการใช้ Cloud ให้ได้เต็มศักยภาพมากที่สุด และ HPE Aruba เองก็กำลังมุ่งไปทางนั้นด้วยเช่นกัน โดยความสามารถหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ Aruba CloudAuth นั่นเอง

Aruba CloudAuth คือการยกระบบ Network Authentication ขึ้นไปอยู่บน Cloud ด้วยการทำงานร่วมกับ Microsoft Azure AD และ Google Workspace ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม และทำหน้าที่เป็น Cloud Managed NAC ได้ทันที ซึ่งที่ผ่านมาก็มีลูกค้าในไทยใช้งานอยู่แล้วด้วยเช่นกัน

2. Wi-Fi 6E

เพื่อให้ธุรกิจองค์กรรองรับต่อการเชื่อมต่ออุปกรณ์ IoT จำนวนมหาศาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรองรับ Workload ใหม่ๆ ในระบบเครือข่ายได้อย่างเพียงพอ Aruba จึงได้นำ Wi-Fi 6E มานำเสนอในการตอบโจทย์นี้โดยเฉพาะ

Wi-Fi 6E นั้นได้ทำการพัฒนาต่อยอดจาก Wi-Fi 6 ที่รองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ปริมาณมหาศาลได้โดยส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพน้อยกว่าในอดีตมาก โดย Wi-Fi 6E ได้เพิ่มย่านความถี่ 6GHz เข้ามาด้วยเพื่อให้การเชื่อมต่อเครือข่ายรองรับอุปกรณ์และ Bandwidth ได้มากยิ่งขึ้นนอกเหนือจากการใช้เพียงแค่ 2.4GHz และ 5GHz ที่ใช้กันอยู่เดิม

อย่างไรก็ดี สำหรับในประเทศไทยก็ยังคงต้องติดตามต่อไปอีกซักระยะหนึ่ง จากกฎหมายที่ต้องรอให้ระบุชัดเจนว่าจะสามารถใช้ย่านความถี่ 6GHz ได้มากน้อยเพียงใด

3. IoT

HPE Aruba นั้นมีวิสัยทัศน์ที่นอกเหนือจากการเป็นเพียงแค่ Network Platform ไปสู่การเป็น IoT Platform ด้วย ทำให้ Access Point ของ Aruba นั้นสามารถให้บริการ BLE และ ZigBee เพื่อเชื่อมต่ออุปกรณ์ IoT ได้ รวมถึงยังสามารถติดตั้ง USB ที่เป็น Sensor เพิ่มเติมเข้าไปบน Access Point โดยตรงได้ด้วย

นอกจากนี้ Aruba ก็ยังเปิด API ให้ผู้ใช้งานสามารถทำการเชื่อมต่อนำ RFID Tag ใดๆ ก็ได้มาใช้งาน โดยใช้ Aruba Access Point ทำหน้าที่ในการอ่านค่าการเชื่อมต่อและส่งข้อมูลเหล่านี้ไปยังระบบประมวลผลอื่นๆ ทำให้สามารถพัฒนา Application ได้อย่างหลากหลาย โดยเฉพาะในกลุ่มของ Location Services

4. Open Locate

เมื่อ Aruba เปิดให้การทำ Location Services Application ง่ายดายมากยิ่งขึ้นแล้ว อีกส่วนหนึ่งที่ Aruba เสริมขึ้นมาก็คือการติดตั้ง GPS ลงไปใน Access Point โดยตรง ทำให้ Access Point ทั้งหมดมีข้อมูลพิกัดตำแหน่งที่แม่นยำ และนำข้อมูลพิกัดตำแหน่งนี้ไปใช้ใน Location Services ได้อย่างแม่นยำระดับความคลาดเคลื่อนเพียงแค่ 1 เมตรเท่านั้น

5. Zero Trust

จากเทรนด์ใหญ่ด้าน Zero Trust ที่กำลังกลายเป็นกระแสหลักของธุรกิจองค์กร HPE Aruba ก็ได้นำแนวคิดนี้มาพัฒนาเป็น Aruba Zero Trust Protection สามารถกำหนด Policy ให้กับทุกๆ การเชื่อมต่อและแบ่งหมวดหมู่นโยบายสำหรับอุปกรณ์แต่ละชนิด, ผู้ใช้งานแต่ละกลุ่ม ด้วยแนวคิด Aruba Dynamic Segmentation ที่สามารถจัดการ Security Policy ให้ระบบเครือข่ายทั้งหมดได้อย่างครอบคลุม

6. 4th Generation Data Center

ปัจจุบันนี้ 3rd Generation Data Center ที่ใช้แนวคิดของ Data Center Fabric บนสถาปัตยกรรมแบบ Leaf-Spine เพื่อรองรับการรับส่งข้อมูลระหว่าง Server ภายใน Data Center ดว้ยกันเองให้มีประสิทธิภาพสูงสุดนั้น ก็เริ่มเจอปัญหาในการใช้งานจริงแล้ว จากการที่เมื่อ Data Center มีขนาดใหญ่มากขึ้น แต่ Network Services และ Security Services บางส่วนกลับยังไม่ถูกผนวกรวมเข้าไปใน Fabric และกลายเป็นคอขวด

4th Generation Data Center จึงได้เกิดขึ้นมาเพื่อนำ Network Services และ Security Services เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอุปกรณ์เครือข่ายโดยตรง โดย HPE Aruba ได้จับมือกับ Pensando เพื่อนำหน่วยประมวลผลเฉพาะทางด้าน Network และ Security มาใช้งานภายใน Aruba CX10000 ทำให้ภายใน Data Center Fabric มีความสามารถทุกอย่างที่จำเป็นอย่างครบถ้วน และไม่เกิดคอขวดในแบบเดิมๆ อีกต่อไป

7. Unified SD-WAN Fabric

ด้วยกรณีการใช้งานของ SD-WAN ที่มีหลากหลายมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการที่ Application และ Data ถูกย้ายไปอยู่บน Cloud จำนวนมาก และผู้ใช้งานมีการใช้งานทั้งจากในแบบ Remote Work จากบ้านแต่ละหลังหรืออุปกรณ์แต่ละชิ้น, การมีออฟฟิศขนาดเล็กที่บ้าน, ออฟฟิศสาขาขนาดเล็ก ไปจนถึงธุรกิจองค์กรขนาดใหญ่ ทำให้ SD-WAN ได้รับความสำคัญมากยิ่งขึ้นกว่าในอดีตเป็นอย่างมาก

HPE Aruba ได้เข้าซื้อกิจการของ Silver Peak มา และนำจุดเด่นของ Silver Peak อย่างเช่นการทำ WAN Optimization เข้ามาช่วยเสริมประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อไปยังบริการ Cloud ต่างๆ ที่ธุรกิจมีการใช้งาน อีกทั้งยังได้มีการพัฒนาต่อยอดด้าน Security จนได้รับ ICSA Labs Secure SD-WAN Certification มาแล้วเป็นรายแรกของโลก

8. Network Assurance

เมื่อการส่งมอบประสบการณ์ที่ดีได้กลายเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญของทุกระบบ IT แน่นอนว่าระบบ Network เองก็ต้องตอบสนองในส่วนนี้ด้วย ซึ่ง Aruba UXI ก็สามารถตอบโจทย์นี้ได้ด้วยการนำ UXI Agent/Sensor มาทำหน้าที่จำลองพฤติกรรมของผู้ใช้งาน ในการเชื่อมต่อ Wi-Fi หรือ LAN แล้วทำการเชื่อมต่อไปยัง Cloud Application ที่ธุรกิจองค์กรใช้ เพื่อให้ทราบถึงข้อมูลด้านประสบการณ์ของผู้ใช้งานได้อย่างต่อเนื่องอยู่เสมอ และตรวจสอบแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที

9. Network-as-a-Service (NaaS)

ด้วยวิสัยทัศน์ของ HPE ที่ต้องการเปลี่ยน CapEx ในการลงทุน Server และ Storage มาสู่การเช่าใช้งานแบบ OpEx ภายใต้บริการ HPE GreenLake ทำให้ HPE Aruba เองก็ปรับตัวไปสู่ทิศทางเดียวกัน ด้วยบริการ HPE GreenLake for Aruba ทำให้ธุรกิจองค์กรสามารถเลือกใช้งานระบบเครือข่ายในแบบ OpEx ได้แล้ว และรองรับกรณีการใช้งานดังนี้

  • Indoor Wireless aaS
  • Outdoor Wireless aaS
  • Remote Wireless aaS
  • Wired Access aaS
  • Wired Aggregation aaS
  • Wired Core aaS
  • SD-Branch aaS
  • UXI aaS

ทาง IDC นั้นได้มีผลสำรวจว่า 69% ของธุรกิจองค์กรนั้นได้เริ่มใช้งาน NaaS หรือมีแผนจะใช้งานภายในอีก 2 ปีนับถัดจากนี้แล้ว ก็ถือเป็นทิศทางที่น่าสนใจไม่น้อยทีเดียว

ท่านใดสนใจโซลูชัน HPE Aruba หรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ คุณนวรัตน์ จิตรตระการวงศ์ อีเมล nawarat.ch@hpe.com

from:https://www.techtalkthai.com/ttt-2022-reinforce-network-modernization-by-hpe-aruba/

สรุปงาน Aruba Atmosphere 2022 SEATH : ก้าวสู่นวัตกรรมใหม่ Enterprise Networking & Security ด้วยอุปกรณ์เครือข่ายที่ชาญฉลาดมากยิ่งขึ้น

ในช่วงปีที่ผ่านมา ถือเป็นช่วงที่เทคโนโลยีในวงการ Enterprise Networking และ Security มีการปรับตัวสู่ทิศทางใหม่ในหลายแง่มุม และ Aruba Networks ในฐานะของผู้นำนวัตกรรมด้าน Enterprise Networking และ Security เอง ก็ได้มีการนำเสนอแนวคิดใหม่ๆ ภายในโซลูชันของตนเองมากมาย เพื่อให้ธุรกิจองค์กรได้นำไปปรับประยุกต์ใช้ สำหรับเตรียมก้าวสู่การผลักดันสร้างสรรค์สิ่งใหม่เพื่อเร่งสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจในยุคดิจิทัลแล้ว

ทีมงาน TechTalkThai และ APDT.news มีโอกาสได้เข้าร่วมงาน Aruba Atmosphere 2022 SEATH & INDIA ในครั้งนี้ที่มาจัดในประเทศไทย จึงขอนำสรุปประเด็นสำคัญจากงานสัมมนาครั้งนี้ พร้อมเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่นำมาจัดแสดงในบูธกันดังนี้ครับ

3 ปัจจัยสู่การทำ Networking Modernization

เทรนด์หลักที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลกในวงการ Network อยู่นี้ก็คือการทำ Network Modernization หรือการปรับปรุงระบบเครือข่ายให้มีความทันสมัย ตอบรับต่อโลกของการทำงานที่กำลังเปลี่ยนไปสู่ยุค Hybrid Work ซึ่งมีทั้งโจทย์ของการรองรับการทำงานจากนอกสถานที่ได้อย่างอิสระ ไปจนถึงการใช้งาน Cloud เป็นหลักในการทำงาน ในขณะที่การรักษาความมั่นคงปลอดภัยก็ต้องสูงยิ่งขึ้นตามความซับซ้อนของภัยคุกคามที่กำลังเกิดขึ้นในทุกวัน

การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในวงการ Enterprise Networking และ Security ในยามนี้ ได้ทำให้สถาปัตยกรรมของระบบเครือข่ายนั้นพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ และทำให้เหล่าผู้ดูแลระบบเครือข่ายทั่วโลกต้องเร่งปรับตัวกันอย่างรวดเร็ว ต้องมีการนำเทคโนโลยีใหม่เข้ามาใช้งานอย่างต่อเนื่อง และต้องปรับวิธีการดูแลรักษาระบบเครือข่ายใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับความคาดหวังในการได้รับประสบการณ์ที่ดีของผู้ใช้งาน

ในมุมของ HPE Aruba สิ่งที่จะสามารถตอบโจทย์เหล่านี้ได้ คือการปรับระบบเครือข่ายให้มีคุณสมบัติ 3 ประการ ดังนี้

1.Automation
การทำ Automation ได้กลายเป็นคุณสมบัติสำคัญประการแรกของระบบเครือข่ายแห่งอนาคต เพราะด้วยระบบเครือข่ายที่มีการขยายตัวออกไปยังภายนอกองค์กร ทำให้มีองค์ประกอบภายในระบบเครือข่ายที่หลากหลายยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อประสบการณ์ของผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้น รวมถึงยังมีการใช้งานอุปกรณ์ Internet of Things (IoT) ที่หลากหลายยิ่งขึ้น ในขณะที่ประเด็นด้าน Cybersecurity เองก็ยังมีความสำคัญที่ไม่อาจมองข้ามไปได้ ทำให้ภาระในการบริหารจัดการและการดูแลรักษาระบบเครือข่ายนั้นสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว

ด้วยเหตุเหล่านี้ การบริหารจัดการระบบเครือข่ายด้วยวิธีการแบบดั้งเดิมจึงไม่อาจเพียงพออีกต่อไป และหลายองค์กรเองก็ยังต้องเผชิญความกดดันจากการขาดแคลนบุคลากรที่จะมาดูแลรักษาระบบ IT Infrastructure สำคัญเหล่านี้ด้วย ดังนั้นการมีเทคโนโลยีที่สามารถติดตั้งใช้งานบริหารจัดการได้ง่าย ทำงานได้แบบอัตโนมัติ และมี AI เป็นตัวช่วยจึงกลายเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณา เพื่อให้ธุรกิจองค์กรยังคงสามารถจัดการและควบคุมการใช้ระบบเครือข่ายของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2.Security
จากความต้องการในการใช้งานระบบเครือข่ายในรูปแบบที่เปลี่ยนไป ทั้งจากภายในและภายนอกองค์กร ทำให้การปกป้องดูแลผู้ใช้งานและอุปกรณ์ขององค์กรนั้นต้องมีการปรับตัวตามไปด้วย ดังนั้นสถาปัตยกรรมด้าน Network Security อย่างในอดีตที่มีการแยกส่วนของการปกป้องผู้ใช้งานภายในองค์กรนั้นจึงไม่เพียงพออีกต่อไป

เพื่อตอบโจทย์นี้เทคโนโลยีด้าน Network และ Security ต้องถูกผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน และทำงานได้ตามหลักการของ Zero Trust เพื่อควบคุมทุกการยืนยันตัวตนและเชื่อมต่อสื่อสารระหว่างผู้ใช้งานหรืออุปกรณ์ที่ใช้งาน ไปยังส่วนอื่นๆ ของระบบเครือข่ายหรือ Internet ให้เป็นไปตามนโยบายด้านความมั่นคงปลอดภัยขององค์กร เพื่อลดความเสี่ยงที่ระบบ IT จะถูกโจมตีต่อเนื่องด้วยวิธีการต่างๆ และจำกัดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน

3.Agility
ความคล่องตัวนั้นได้กลายมาเป็นอีกคุณสมบัติสำคัญของระบบเครือข่ายในทุกวันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับระบบเครือข่ายที่มีขนาดใหญ่ เพื่อให้การเพิ่มเติมบริการหรือการปรับเปลี่ยนการทำงานของระบบเครือข่ายนั้นเป็นไปได้อย่างรวดเร็วและคล่องตัว ตอบสนองต่อกลยุทธ์ของธุรกิจและการทำงานที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งการมาของ COVID-19 ได้ทำให้ความสำคัญของประเด็นนี้ยิ่งทวีคูณขึ้น จากการที่ธุรกิจองค์กรทั่วโลกต่างต้องรีบเปลี่ยนสถาปัตยกรรมของระบบเครือข่ายเพื่อปรับตัวไปสู่การทำงานแบบ Remote Working อย่างเต็มตัวก่อนที่จะปรับมาสู่ Hybrid Working ในปัจจุบัน

นอกจากความคล่องตัวในเชิงเทคนิคแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่ธุรกิจองค์กรต้องคำนึงถึงก็คือความคล่องตัวในแง่ของการลงทุนเพิ่มขยายระบบ IT ภายในองค์กร ซึ่งเทรนด์ของการใช้งานระบบ IT ในแบบ as-a-Service นั้นก็สามารถตอบโจทย์นี้ได้เป็นอย่างดี และ Aruba ก็จะตอบสนองต่อความต้องการของธุรกิจองค์กรทั่วโลกนี้ ด้วยบริการ Network-as-a-Service หรือ NaaS นั่นเอง

ในการช่วยให้ธุรกิจองค์กรทั่วโลกก้าวไปสู่การทำ Network Modernization ได้อย่างสำเร็จนี้ ทาง Aruba ได้นำเสนอ Aruba ESP Solutions เพื่อตอบโจทย์ความท้าทายทั้ง 3 ประการดังกล่าวภายในโซลูชันเดียว โดยภายในโซลูชันดังกล่าวนี้จะมีการแบ่งระบบออกเป็น 4 ชั้น ดังนี้

  1. Connect โดยมี Switch, AP, Gateway สำหรับรองรับการเชื่อมต่อทั้งภายในและภายนอกองค์กร รวมถึงยังรองรับการทำงานจากภายนอกองค์กรได้อย่างสะดวกสบาย เชื่อมต่อเครือข่ายระหว่างสาขาได้ง่ายด้วย SD-WAN
  2. Protect ปกป้องทุกการเชื่อมต่อสื่อสาร โดยผสานระบบ Security เข้าเป็นส่วนหนึ่งของระบบเครือข่ายโดยตรง เพื่อปกป้องทั้งอุปกรณ์ของผู้ใช้งานและอุปกรณ์ IoT ด้วยการทำ Zero Trust และเสริม Security เข้าไปในระบบ SD-WAN ให้ธุรกิจสามารถก้าวสู่การทำ SASE ด้วยเทคโนโลยี Cloud Security ได้ทันที
  3. Automation การติดตั้งใช้งานและการดูแลรักษาระบบทั้งหมดจะต้องเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายและเป็นอัตโนมัติ เพื่อให้ตอบโจทย์ต่อระบบเครือข่ายที่ต้องขยายและเปลี่ยนแปลงตามระบบ IT ได้อย่างรวดเร็วและยืดหยุ่น โดย Aruba มีการนำเทคโนโลยี AI เข้ามาเสริมในการทำ Automation
  4. Adapt เพิ่มความยืดหยุ่นในการวางระบบเครือข่ายให้สูงยิ่งขึ้น ทั้งในแง่ของการลงทุนที่มีทางเลือกใหม่อย่าง NaaS และการบริหารจัดการที่สามารถเลือกได้ว่าจะดูแลรักษาระบบเครือข่ายด้วยตนเอง หรือ Outsource ออกไปให้กับผู้ให้บริการ Managed Services

อัปเดตเทคโนโลยีและโซลูชันล่าสุดจาก Aruba ในปี 2022

นอกจากการนำเสนอในเชิงวิสัยทัศน์แล้ว งานสัมมนาครั้งนี้ก็ได้มีการนำนวัตกรรมใหม่ๆ จาก HPE Aruba มาเปิดตัวในภูมิภาค APAC กันอย่างหลากหลาย ดังนี้ครับ

โซลูชันแรกคือ Aruba Central NetConductor ที่จะช่วยให้การวางระบบ Network และ Security ภายในองค์กรกลายเป็นรูปแบบ Overlay ได้ ด้วยการตั้งค่าในแบบ Intent-based และบังคับใช้งานนโยบายเหล่านี้ได้แบบอัตโนมัติ ทำให้การบริหารจัดการเครือข่ายในภาพรวมทั้งในส่วนของ Network และ Security ถูกผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยการตั้งค่าทั้งหมดนี้จะอาศัยการผสมผสานกันระหว่าง Protocol มาตรฐานของอุตสาหกรรม เพื่อให้มั่นใจว่าทุกการทำงานนั้นจะเป็นไปอย่างมีแบบแผน และปรับเปลี่ยนได้ในอนาคตเมื่อมีมาตรฐานใหม่ๆ ออกมาให้ใช้งาน

ถัดมาที่ถูกเน้นย้ำเป็นอย่างมากในงานสัมมนาครั้งนี้ ก็คือ Aruba EdgeConnect SD-WAN Fabric ที่มีทั้ง EdgeConnect Mobile, Mibrobranch, SD-Branch และ Enterprise ให้เลือกใช้งานได้ตามรูปแบบของสาขาที่ธุรกิจองค์กรต้องการ เพื่อเชื่อมต่อเครือข่ายและรักษาความมั่นคงปลอดภัยให้กับระบบเครือข่ายได้อย่างครอบคลุมไม่ว่าโครงสร้างของธุรกิจและนโยบายในการทำงานจะเป็นอย่างไร และปกป้องผู้ใช้งานได้ในทุกการเข้าถึงทุก Application ทั้งภายใน Data Center และบน Cloud

ในส่วนของ Aruba EdgeConnect Microbranch ที่ Aruba ระบุว่าได้รับความนิยมสูงมากนั้น ก็คือการเสริมความสามารถ SD-WAN Gateway เข้าไปยัง Access Point รุ่น Remote ของ Aruba โดยตรง ทำให้การวางระบบเครือข่ายสำหรับสาขาขนาดเล็กมากๆ ที่มีผู้ใช้งานเพียงแค่ 1 คน แต่อาจมีหลายอุปกรณ์ที่ต้องใช้งาน และต้องการส่งมอบประสบการณ์ในการทำงานให้กับพนักงานหรือผู้บริหารที่ทำงานจากที่บ้านนั้นเป็นไปได้เสมือนการมาทำงานที่ออฟฟิศ เกิดขึ้นได้อย่างสะดวกและง่ายดายภายในอุปกรณ์เพียงแค่ชุดเดียว สามารถนำไปใช้ได้ทั้งสำหรับสาขาของร้านค้าขนาดเล็ก หรือการวางระบบให้พนักงานสามารถทำงานจากที่บ้านได้อย่างมั่นคงปลอดภัย ตอบโจทย์การเพิ่มขยายสาขาจำนวนหลายสิบหรือหลายร้อยแห่งในระยะเวลาอันสั้นได้เป็นอย่างดี

ทางด้าน Aruba EdgeConnect Enterprise ก็มีประกาศอัปเดตครั้งใหญ่ในฐานะของโซลูชัน SD-WAN แรกที่ได้รับ ICSA Secure SD-WAN Certification ที่รับรองถึงความสามารถในการทำ Next-Generation Firewall และ Cybersecurity อื่นๆ สามารถทำงานได้อย่างมีมาตรฐาน ตรวจจับและยับยั้งป้องกันภัยคุกคามในหลากหลายรูปแบบได้อย่างแม่นยำ เพื่อปกป้องการเชื่อมต่อของระบบ SD-WAN และควบคุมการเข้าถึงใช้งานระบบเครือข่ายของผู้ใช้งานได้อย่างมั่นใจ

อีกหนึ่งนวัตกรรมที่น่าสนใจนั้นก็คือ Open Locate ที่ทาง Aruba ได้ทำการใส่ GPS ลงไปใน AP รุ่น Wi-Fi 6E และรองรับมาตรฐาน 802.11mc / Fine Time Measurement (FTM) ทำให้การระบุจุดติดตั้ง Access Point มีความแม่นยำสูงยิ่งขึ้นกว่าในอดีต และนำตำแหน่งจุดติดตั้งไปใช้อ้างอิงกับระบบแผนที่อื่นๆ ได้อย่างเป็นสากล ในขณะที่ยังสามารถให้บริการข้อมูลพื้นที่ตำแหน่งให้กับ Mobile Application ได้ สร้างความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในการพัฒนา Location-based Application ที่ต้องใช้ข้อมูลตำแหน่งภายในอาคารได้อย่างง่ายดาย ตอบโจทย์ได้ดีทั้งในแง่ของการติดตั้งใช้งาน และการต่อยอดสร้างคุณค่าเพิ่มเติมจากระบบเครือข่ายไร้สายที่ธุรกิจมีการใช้งานอยู่

ในฝั่งของ Data Center Networking ทาง Aruba ได้พูดคุยถึงเทรนด์ Distributed Services Switch ด้วย Aruba CX 10000 Series Switch with Pensando ที่ใช้เทคโนโลยีชิป DPU และ Software จาก AMD Pensando เข้ามาเสริมให้กับ Data Center Switch ทำให้ Top-of-Rack Switch มีความสามารถด้าน Security ในตัวในระดับประสิทธิภาพเดียวกับการทำ Switching ได้ทันที อย่างเช่น การทำ Firewall เพิ่มเติมภายในอุปกรณ์ Switch ช่วยเสริม Data Center Network Security ได้โดยไม่เกิดผลกระทบต่อประสิทธิภาพด้านระบบเครือข่าย และไม่มีความซับซ้อนของการรับส่งข้อมูลภายในระบบเครือข่ายอย่างในอดีตอีกต่อไป ตอบโจทย์ของธุรกิจที่ต้องการทำ Security ให้กับ Network Traffic ในแบบ East-West ซึ่งมีปริมาณมหาศาล และยากต่อการดูแลรักษาในอดีตได้ทันที

สุดท้ายก็คือการพูดคุยถึง NaaS – Network as a Service ที่ธุรกิจองค์กรสามารถเลือกใช้งานระบบ IT Infrastructure ในฝั่งของ Network และ Security จาก Aruba ทั้งหมดได้ โดยคิดค่าใช้จ่ายในแบบ Subscription-based ซึ่งจะมีทั้ง Hardware และ Software รวมอยู่ภายในบริการ พร้อมระบบ Data Analytics สำหรับวิเคราะห์ข้อมูลการใช้งานและการปรับแต่งระบบเครือข่าย เปิดให้สามารถบริหารจัดการได้ทั้งโดยฝ่าย IT ขององค์กร และผู้ให้บริการ Managed Services ซึ่งจะช่วยให้เทคโนโลยีด้าน Network และ Security ขององค์กรสามารถถูกใช้งานได้โดยตลาดที่มีขนาดกว้างมากยิ่งขึ้น ในขณะที่มีความสามารถเทียบเท่าได้กับโซลูชันในระดับธุรกิจองค์กร

Aruba ระบุว่าเทรนด์ของการปรับไปใช้งาน NaaS นั้นโตเร็วมากจากการมาของ Hybrid Work ที่ธุรกิจต้องการระบบเครือข่ายใหม่ที่มีความซับซ้อนสูง บนการออกแบบสถาปัตยกรรมที่แตกต่างออกไป ดูแลง่าย ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการลงทุนเริ่มต้นไม่สูงมาก

ในการใช้งาน NaaS นั้น ธุรกิจองค์กรจะสามารถใช้งานผ่านบริการ HPE GreenLake for Aruba Service Packs รองรับ 8 Use Case ได้แก่ Outdoor Wireless, Indoor Wireless, Remote Wireless, Wired Core, Wired Aggregation, Wired Access, SD-Branch และ UXI โดยสามารถเสริมความสามารถในส่วนของ Network Management และ Network Security จากโซลูชันของ Aruba ที่ต้องการได้ทั้งหมด ซึ่งสัญญาในการใช้บริการดังกล่าวนี้จะอยู่ที่ระยะเวลา 3-5 ปี

และทั้งหมดนี้ก็คือประเด็นสำคัญจากงานสัมมนา Aruba Atmosphere 2022 SEATH & INDIA ในครั้งนี้ครับ ถ้าหากท่านใดมีข้อสงสัยหรือคำถามใดๆ เพิ่มเติม ก็สามารถติดต่อทีมงาน HPE Aruba สามารถติดต่อ HPE Aruba ได้ที่อีเมล: nawarat.ch@hpe.com หรือติดต่อพาร์ทเนอร์รายต่างๆ ของ Aruba ทั่วประเทศ เพื่อขอรายละเอียดเพิ่มเติมหรือนัดทดสอบเทคโนโลยีหรือโซลูชันต่างๆ ที่ต้องการได้ทันทีครับ

 

from:https://www.techtalkthai.com/aruba-atmosphere-2022-seath/

แนะนำนวัตกรรม Networking & Cabling ในงาน TTT 2022 Reinforce: Enterprise IT Infrastructure Day

อัปเดตนวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านเครือข่ายล่าสุดสำหรับ Campus, Edge, Data Center และ Branch ไม่ว่าจะเป็น 5G, Software-defined Networking, SD-WAN, Wi-Fi 6 และ Cabling รวมไปถึงการทำ Network Modernization เพื่อพลิกโฉมองค์กรสู่การเป็น Digital Workplace ในงาน TTT 2022 Reinforce: Enterprise IT Infrastructure Day วันที่ 5 ตุลาคม 2020 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุม BITEC

📆 วันพุธที่ 5 ตุลาคม 2022
⏰ เวลา 8:00 – 17:00 น.
🏢 Grand Hall, BITEC Bangna
🇹🇭 บรรยายภาษาไทยทุกเซสชัน

กำหนดการบรรยาย Track 3: Networking

13:30 – 14:00 พลิกโฉมธุรกิจสู่ยุคดิจิทัลด้วยแพลตฟอร์มการเชื่อมต่อ 5G อัจฉริยะ
คุณภุชงค์ เจริญสุข Enterprise Product Marketing Manager, AIS Business
14:00 – 14:30 Software-defined Networking แบบ Multi-domain สำหรับองค์กรขนาดใหญ่
คุณธิติ พิพัฒน์ธนวงศ์ Enterprise Networking Product Sales Specialist, Cisco
14:30 – 15:00 ขับเคลื่อนธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพด้วย Network Modernization
คุณประคุณ เลาหกิตติกุล Country Manager (Thailand), HPE Aruba
15:00 – 15:30 พักรับประทานอาหารว่างและเยี่ยมชมบูธ
15:30 – 16:00 ก้าวข้ามขีดจำกัดการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์และแพลตฟอร์มบนเครือข่าย พร้อมรับความต้องการทางธุรกิจยุคดิจิทัล
คุณสมยศ อุดมนิโลบล Country Manager, Alcatel-Lucent Enterprise
16:00 – 16:30 พลิกโฉมระบบเครือข่ายสู่การเชื่อมต่อแห่งอนาคต
คุณพงศ์ภวัน พูนประชา System Engineer (Thailand), CommScope และคุณธีระพล สุขประไพพัฒน์ System Engineer (Thailand & Myanmar), Ruckus
16:30 – 17:00 Lucky Draw และกล่าวปิดงานโดย TechTalkThai

งานสัมมนานี้เหมาะสำหรับ: CIO, CTO, CISO, DPO, IT Manager, Compliance Manager, Cloud Architect, Security Engineer, Security Analyst, Network Engineer, IT Admin, IT Auditor และผู้ที่สนใจด้าน Cloud, Data Center, Networking และ Cybersecurity

🎉 พิเศษ!! ลงทะเบียนและเข้าร่วมงานเพื่อลุ้นรับ MacBook Air (M2), AirPods Max และ Sandisk Extreme Portable SSD อย่างละ 2 รางวัล รวมมูลค่ากว่า 130,000 บาท

ดูรายละเอียด กำหนดการ และลงทะเบียนได้ที่: https://conf.techtalkthai.com/re22/

เกี่ยวกับงานสัมมนา TTT 2022 Reinforce: Enterprise IT Infrastructure Day

จากซีรีส์งานสัมมนาออนไลน์ TTT Virtual Summit ที่มีคนติดตามมากกว่า 8,000 คน สู่งานสัมมนาใหญ่ Enterprise IT Infrastructure Day ส่งท้ายปี 2022 ในรูปแบบ Physical Event ภายใต้แนวคิด Reinforce เสริมแกร่งรากฐานระบบ IT พลิกโฉมสู่ธุรกิจดิจิทัลอย่างยั่งยืนและมั่นคงปลอดภัย ภายในงานท่านจะได้อัปเดตแนวโน้ม นวัตกรรม แนวทางปฎิบัติ และกรณีศึกษาที่น่าสนใจทางด้าน IT Infrastructure สำหรับองค์กร ครอบคลุมทั้งด้าน Cloud & Data Center, Networking, Cybersecurity และ Standards & Compliance ผ่านการบรรยายรวม 20 เซสชัน

นอกจากนี้ยังมีบูธจัดแสดงนวัตกรรมสำหรับองค์กรอีกกว่า 30 บูธ สำหรับให้ผู้เข้าร่วมงานขอคำปรึกษา แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และแชร์ประสบการณ์ด้าน Enterprise IT Infrastructure โดยตรงกับผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงาน องค์กร และบริษัท IT/Consult ชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ

from:https://www.techtalkthai.com/ttt-2022-reinforce-track-3-networking/

ขอเชิญร่วมงาน สัมมนาออนไลน์ Driving and Securing Business Data to Cloud with SD-WAN ในวันพุธที่ 5 ต.ค.2565 ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

Fusion Advantec ขอนำเสนอ SASE : Secure Access Service Edge ในอีกมุมมองหนึ่ง ที่จะมาทำให้ชีวิตของชาวไอที และ User ผู้ใช้งาน สะดวกและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง แต่ทุกท่านกลับไม่มีเวลาหาข้อมูล Fusion Advantec เข้าใจท่านดีเป็นที่สุด ทั้งทำงาน WFH ที่ไม่มีเวลาเลิกงานที่แท้จริง

Fusion Advantec จึงได้จัดสัมมนา Webinar งาน “Driving and Securing Business Data to Cloud with SD-WAN” ในวันพุธที่ 5 ตุลาคม 2565  เวลา 10:00 – 12:00 น. เพื่อให้ท่านได้รับข้อมูลแบบครบถ้วนภายใน 3 ชั่วโมง

ภายในงานจะได้พบกับ Topics Hi-light ที่น่าสนใจ อาทิเช่น
1.We are Fusion Advantec as an expert I VMWare’s EUC solution
2.SASE and Use case
3.SASE and Solution and Mini Demo

โดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ จาก VMWare และ Engineer ผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ในการติดตั้งและแก้ปัญหาให้ลูกค้ามาแล้วหลายองค์กร

นอกจากนี้ภายในงาน ยังมีกิจกรรมชิงรางวัลมากมายและปิดท้ายด้วยลุ้นรางวัลใหญ่กับ Big Lucky draw Central Gift Voucher มูลค่า 3,000 บาท

พิเศษ ร่วมลงทะเบียนวันนี้ 30 ท่านแรก รับฟรี E-Voucher มูลค่า 100 บาท*

แล้วมาพบกันในงาน Webinar ที่ Fusion Advantec  จะเข้ามาช่วยขับเคลื่อนให้องค์กรของท่านปลอดภัยมากขึ้นได้อย่างไร

สนใจลงทะเบียนสัมมนาวันที่ 5 ตุลาคม 2565 ได้ที่ https://form.jotform.com/fusioneventth/driving-and-securing-business-data-  ฟรี ! ไม่มีค่าใช้จ่าย 

     หรือสแกน QR Code 

 

from:https://www.techtalkthai.com/webinar-fusion-advantec-driving-and-securing-business-data-to-cloud-with-sd-wan/

[Guest Post] Aruba จัดงาน Atmosphere 2022 SEATH and India ณ กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย

วันนี้ Aruba บริษัทในเครือ Hewlett Packard Enterprise (NYSE:HPQ) ได้จัดการประชุมยิ่งใหญ่ประจำปี Aruba Atmosphere Conference – SEATH and India ที่กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย โดยในการประชุมครั้งนี้ได้มีธุรกิจชั้นนำมากมายจากทั่วทั้งภูมิภาคมาร่วมงาน เพื่อเจาะลึกถึงแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับแต่ละอุตสาหกรรม, พูดคุยสนทนาในประเด็นองค์ความรู้ใหม่ด้านเทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์ และเสริมสร้างทักษะใหม่จากเทคโนโลยีล่าสุด ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจเหล่านี้สามารถปรับปรุงระบบเครือข่ายให้มีความทันสมัยได้อย่างต่อเนื่อง

 

การประชุมครั้งนี้มีประเด็นหลักทางด้านเทคโนโลยีจากนวัตกรรมของ Aruba ที่ผู้บริหารระดับสูงและผู้เชี่ยวชาญของอุตสาหกรรมให้ความสำคัญอยู่ด้วยกัน 3 ประการ ได้แก่ ความคล่องตัว (Agility), ความเป็นอัตโนมัติ (Automation) และความมั่นคงปลอดภัย (Security) ระบบเครือข่ายที่มีการเปลี่ยนแปลงน้อยอย่างในอดีตนั้นไม่อาจตอบสนองต่อความต้องการทางธุรกิจที่เติบโตยิ่งขึ้นหรือสนับสนุนความต้องการด้านความมั่นคงปลอดภัยที่เปลี่ยนแปลงได้อีกต่อไป เมื่อธุรกิจองค์กรเริ่มดำเนินโครงการด้าน Digital Transformation และปรับตัวสู่การทำงานแบบ Hybrid Work แล้ว ก็เป็นที่แนะนำอย่างยิ่งว่าองค์กรก็ต้องมีการปรับไปใช้สถาปัตยกรรมระบบเครือข่ายที่ทันสมัยร่วมไปด้วย เพื่อให้เกิดการเชื่อมต่อที่ไร้รอยต่อและมั่นคงปลอดภัยสำหรับบริษัทในทุกขนาด และสามารถดำเนินกิจกรรมหลักของธุรกิจได้อย่างสะดวกจากทุกแห่งหน

 

ประเด็นสำคัญ 3 ประการ ช่วยขับเคลื่อนองค์กรสู่การปรับใช้สถาปัตยกรรมระบบเครือข่ายที่ทันสมัย

  • ความคล่องตัว (Agility): การใช้บริการ Network-as-a-Service (NaaS) ได้อย่างง่ายดายยิ่งกว่าเดิม ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนไปสู่การใช้สถาปัตยกรรมแบบผสานรวม, Cloud-Native และทำงานบนมาตรฐานซึ่งสามารถรองรับอนาคตได้ และยังคุ้มค่าการลงทุนและง่ายดายต่อการบริหารทรัพยากรบุคคล
  • ความเป็นอัตโนมัติ (Automation)​: ปรับสู่กระบวนการทำงานที่ง่ายดายและทำงานแบบอัตโนมัติด้วย AI เพื่อลดเวลาและทรัพยากรที่ต้องใช้ในการวางแผน, ติดตั้งใช้งาน และบริหารจัดการระบบเครือข่ายซึ่งสนับสนุนการเชื่อมต่อจากภายนอก, สาขาย่อย, สาขาใหญ่ และ Cloud
  • ความมั่นคงปลอดภัย (Security): ความสำคัญของการตรวจจับและยับยั้งภัยคุกคามที่สูงขึ้น โดยการใช้เฟรมเวิร์ค Zero Trust และ SASE ด้วยการใช้เทคโนโลยี Identity-based Access Control และ Dynamic Segmentation ที่มีให้พร้อมใช้งานในระบบ

โซลูชันในแบบ As-a-Service กำลังได้รับความนิยมทั่วโลกไปพร้อมกับการเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วของการทำงานแบบ Hybrid Work ซึ่ง HPE GreenLake for Aruba ก็ได้เข้าไปเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของธุรกิจองค์กร ตั้งแต่การช่วยให้องค์กรธุรกิจสามารถริเริ่มกรณีการใช้งานใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว อย่างเช่น Hybrid Work, Connected Retail และ Hybrid Learning ไปจนถึงการสร้างความมั่นใจว่าระบบเครือข่ายจะพร้อมสนับสนุนความต้องการของภาคองค์กรธุรกิจได้อยู่เสมอ จากการที่ HPE GreenLake นั้นรองรับการเพิ่มขยายเพื่อให้เติบโตไปพร้อมกับธุรกิจได้ตามต้องการ

 

“ด้วยความปกติใหม่ที่กำลังถูกนิยามด้วยกลยุทธ์ด้าน Hybrid Cloud, การเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วของระบบ IoT และการทำงานจากนอกสถานที่ การเชื่อมต่อเครือข่ายจึงกลายเป็นกุญแจสำคัญในโลกที่ยังขาดการเชื่อมถึงกันในทุกวันนี้” Steve Wood, Vice President, APJ แห่ง Aruba บริษัทในเครือ Hewlett Packard Enterprise กล่าว “เราทราบดีว่าการเชื่อมต่อเครือข่ายให้ได้จากทุกที่ทุกเวลานั้นได้กลายเป็นสิ่งที่จำเป็นมากยิ่งกว่าที่เคย และด้วยการมุ่งเน้นไปยังการปรับปรุงระบบเครือข่ายให้ทันสมัย องค์กรธุรกิจที่ให้ความสำคัญต่อการทำDigital Transformation และการเร่งความเร็วของธุรกิจจะสามารถเอาชนะความท้าทายที่ยากยิ่งในครั้งนี้ได้ ด้วยการทำงานร่วมกันของระบบเครือข่าย, การบริหารจัดการระบบเครือข่าย และการรักษาความมั่นคงปลอดภัย ซึ่งจะเป็นตัวเร่งให้ธุรกิจเติบโตได้ในท้ายที่สุด”

นอกจากนี้ ในการส่งมอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดแก่ลูกค้า, พนักงาน และฝ่าย IT การเปลี่ยนแปลงของสถาปัตยกรรมระบบ WAN และการรักษาความมั่นคงปลอดภัยด้วยการใช้ระบบ Software-Defined Wide Area Network (SD-WAN) ที่ช่วยให้องค์กรสามารถก้าวไปสู่สถาปัตยกรรม Secure Access Service Edge (SASE) ได้นั้นก็มีความสำคัญอย่างยิ่งเช่นกัน

เมื่อเร็วๆ นี้ แพลตฟอร์มระบบ Aruba EdgeConnect Enterprise SD-WAN ก็ยังได้รับใบรับรอง ICSA Labs Secure SD-WAN Certification เป็นรายแรกจากบรรดาโซลูชัน SD-WAN ในวงการ โดยในการรับรองครั้งนี้ก็ได้เน้นย้ำถึงความสามารถทางด้าน SD-WAN และความมั่นคงปลอดภัยของ Aruba ที่สูงสุดในวงการ ซึ่งสามารถมอบทั้งความยืดหยุ่นและความมั่นใจให้กับลูกค้าในการเปลี่ยนแปลงระบบเครือข่ายและความมั่นคงปลอดภัยครั้งสำคัญให้สำเร็จลุล่วงได้

พอร์ตโฟลิโอโซลูชันที่ครบถ้วนจาก Aruba นี้ได้นำระบบเครือข่ายขององค์กรธุรกิจไปสู่ที่บ้านได้ด้วย Network Edge ที่ยังคงคงวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบรับต่อความต้องการการเชื่อมต่อเครือข่ายและความมั่นคงปลอดภัยอย่างต่อเนื่องของผู้ใช้งาน ตัวอย่างเช่น ด้วยโซลูชัน EdgeConnect Microbranch ฝ่าย IT จะสามารถมั่นใจได้ว่าประสบการณ์ของพนักงานทุกๆ คนจะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ว่าพนักงานคนนั้นจะอยู่ที่ใด ด้วยการส่งมอบบริการการเชื่อมต่อที่ครบถ้วนเสมือนทำงานอยู่ภายในองค์กร ไปยังพนักงานที่ทำงานจากภายนอกองค์กร, การแก้ไขปัญหาที่รวดเร็วยิ่งขึ้น และการปกป้องดูแลพนักงานทั่วทั้งองค์กรด้วยการใช้เฟรมเวิร์คด้านความมั่นคงปลอดภัยอย่าง Zero Trust และ Secure Access Services Edge (SASE) ที่ถูกเพิ่มขยายจากภายในองค์กรไปสู่ที่บ้านของพนักงานหรือสาขาขนาดเล็กได้อย่างไร้รอยต่อ

ยิ่งไปกว่านั้น Aruba ยังได้มีการเปิดตัวโครงสร้างพื้นฐานสำหรับระบบเครือข่ายไร้สายที่สามารถระบุตำแหน่งของตนเองได้ พร้อมโครงการ Open Locate เพื่อปรับวิธีการในการแบ่งปันข้อมูลด้านสถานที่ให้กลายเป็นมาตรฐาน ด้วย AP ที่สามารถระบุตำแหน่งของตนเองได้จาก Aruba ธุรกิจองค์กรและผู้ให้บริการโครงข่ายจะสามารถให้บริการแอปพลิเคชันที่อาศัยข้อมูลตำแหน่งสถานที่ได้อย่างรวดเร็ว, แม่นยำ และทั่วถึงได้ทั้งระบบ Wireless LAN ช่วยให้องค์กรธุรกิจไม่ต้องทำการสำรวจและตรวจสอบสถานที่ด้วยตนเอง ซึ่งเป็นกระบวนการที่มีทั้งค่าใช้จ่ายและความผิดพลาดที่สูงอีกต่อไป

ความเห็นจากลูกค้า

“เราต้องขับเคลื่อนโครงการ Digital Transformation ระดับสูงในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และตั้งเป้าหมายในการสร้างระบบเครือข่ายแบบ Zero Trust เพื่อให้เกิดการใช้ Cloud อย่างเต็มศักยภาพและเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบโครงสร้างพื้นฐานและความมั่นคงปลอดภัยทางด้าน IT ระบบเครือข่ายของเราจึงต้องมีสถาปัตยกรรมเครือข่ายที่ทันสมัยและคล่องตัว ในขณะที่ระบบเครือข่าย MPLS ที่เรามีอยู่เดิมนั้นก็ไม่สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้” Irwan Yulianto, Head of APAC Enterprise Infrastructure แห่ง Panasonic กล่าว “การติดตั้งใช้งานโซลูชัน Aruba EdgeConnect SD-WAN ของเราได้กลายเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้การก้าวสู่ดิจทัลของเราเป็นจริง และสร้างรากฐานให้กับระบบเครือข่ายแบบ Zero Trust รวมถึงยังช่วยเสริมให้เรามั่นใจในประสิทธิภาพการเชื่อมต่อจาก Edge มาสู่ Cloud ที่ดีเยี่ยมอยู่เสมอ ปัจจุบันนี้เราสามารถตรวจสอบระบบเครือข่ายของเราได้อย่างสมบูรณ์เป็นผืนเดียวกันทั้งหมด เพื่อให้ง่ายต่อการบริหารจัดการ และเรามั่นใจว่าเส้นทางนี้ของเราจะทำให้เราสามารถก้าวสู่การใช้งาน Cloud ได้เต็มศักยภาพอย่างแท้จริง”

คุณสันติ เมธาวิกุล  กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูไนเต็ด อินฟอร์เมชั่น ไฮเวย์ จำกัด

“ในฐานะของผู้นำในกลุ่มผู้ให้บริการ Managed Service ภายในประเทศไทย ลูกค้าของเรามีหลากหลายครบถ้วนในทุกอุตสาหกรรม รวมถึงผู้ให้บริการระบบโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศ ดังนั้นการที่เราสามารถช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับลูกค้าของเราซึ่งมีสาขากระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาคด้วยโซลูชันที่มีประสิทธิภาพสูงจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ” คุณสันติ เมธาวิกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูไนเต็ด อินฟอร์เมชั่น ไฮเวย์ จำกัด (UIH) กล่าว “ความเป็นอัตโนมัตินั้นได้กลายเป็นหัวใจสำคัญของการพิจารณาด้านความร่วมมือเชิงเทคโนโลยี เนื่องจากเราต้องบริหารจัดการกับความต้องการด้านระบบเครือข่ายที่ซับซ้อนของลูกค้าของเรา การติดตั้งใช้งานแพลตฟอร์มบริหารจัดการ Aruba Central ในแบบ Cloud-Native จึงเป็นกุญแจในโครงการดิจิทัลของลูกค้าของเรา เนื่องจากระบบดังกล่าวสามารถเพิ่มขยายเพื่อรองรับระบบเครือข่ายกระจายตัวที่มีขนาดใหญ่มากได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยความเป็นพันธมิตรเชิงเทคโนโลยีกับ Aruba นี้ ทุกวันนี้เราจึงมีศักยภาพที่จะปรับปรุงระบบเครือข่ายของลูกค้าของเราให้ทันสมัยยิ่งขึ้น ในขณะที่ยังยึดมั่นกับข้อตกลงระดับการให้บริการ และเติบโตร่วมไปกับลูกค้าของเราได้”

ผู้สนับสนุนงาน Atmosphere 2022 SEATH & India ประกอบไปด้วยผู้นำด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมระดับโลกอย่างเช่น AMD Pensando, Check Point, Netskope, Zebra, BT, Ekahau, TechData, VSTECS และ Westcon

Atmosphere 2022 SEATH & India เริ่มขึ้นระหว่างวันที่ 20 – 21 กันยายน ณ กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย

 

เกี่ยวกับ Aruba บริษัทในเครือ Hewlett Packard Enterprise
Aruba บริษัทในเครือ Hewlett Packard Enterprise คือผู้นำระดับโลกสำหรับโซลูชันระบบเครือข่ายในแบบ Edge-to-Cloud ที่มั่นคงปลอดภัยและชาญฉลาดจากการใช้ AI เพื่อปรับระบบเครือข่ายให้เป็นอัตโนมัติ พร้อมทั้งใช้ข้อมูลเพื่อขับเคลื่อนผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ทรงพลัง ด้วย Aruba ESP (Edge Services Platform) และการใช้งานในแบบ As-a-Serivce ทำให้ Aruba สามารถใช้แนวทางแบบ Cloud-Native เพื่อช่วยลูกค้าให้ตอบโจทย์ความต้องการด้านการเชื่อมต่อเครือข่าย, การรักษาความมั่นคงปลอดภัย และการเงินได้ทั้งสำหรับระบบในสาขาขนาดใหญ่, สาขาขนาดเล็ก, ศูนย์ข้อมูล และการทำงานจากภายนอก ครอบคลุมทั้งระบบเครือข่ายแบบมีสาย, ไร้สาย และ Wide Area Network (WAN)
ถ้าหากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติม กรุณาเยี่ยมชม Aruba ที่ www.arubanetworks.com สำหรับการติดตามข่าวสารแบบทันท่วงที กรุณาติดตาม Aruba ที่ Twitter และ Facebook โดยสำหรับการพูดคุยสนทนาในประเด็นด้านเทคโนโลยีล่าสุดเกี่ยวกับ Mobility และผลิตภัณฑ์ของ Aruba กรุณาเยี่ยมชม Airheads Community ที่ community.arubanetworks.com

 

from:https://www.techtalkthai.com/guest-post-aruba-atmosphere-2022-seath-and-india-bkk/

โปรโมชั่นพิเศษ! เช่าใช้งาน Aruba EdgeConnect เริ่มต้นเพียง 9,500 บาทต่อเดือนต่อสาขา วางระบบ SD-WAN ได้อย่างคล่องตัวและง่ายดาย

SD-WAN ได้กลายเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีมาตรฐานที่ธุรกิจองค์กรซึ่งมีหลายสาขาจำเป็นต้องใช้งานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ไปแล้ว ในขณะที่ธุรกิจองค์กรที่มีสาขาเดียวเองหลายแห่งก็เลือกที่จะใช้ SD-WAN เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อเข้าถึงระบบ Application และข้อมูลบน Cloud ด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาหลายธุรกิจมักมองว่า SD-WAN เป็นโซลูชันที่มีราคาค่อนข้างสูง เข้าถึงได้ยาก ทาง SiS Distribution และ Aruba Networks จึงได้จับมือกันจัดโปรโมชันพิเศษ เช่าใช้งาน Aruba EdgeConnect เริ่มต้นเพียง 9,500 บาทต่อเดือนต่อสาขาเท่านั้น เพื่อให้การใช้งาน SD-WAN ในไทยเป็นที่แพร่หลายมากยิ่งขึ้นในประเทศไทย

Aruba EdgeConnect กับความสามารถที่โดดเด่นเหนือ SD-WAN อื่น

โซลูชันของ Aruba EdgeConnect จะมีองค์ประกอบด้วยกัน 3 ส่วน ดังนี้
  • Aruba EdgeConnect Appliance อุปกรณ์ SD-WAN ในแบบ Physical/Virtual สำหรับเชื่อมต่อ WAN ที่หลากหลายเข้ากับ Network ภายในองค์กร พร้อมทำ Site-to-Site และ Hybrid WAN ในตัว
  • Aruba Orchestrator ระบบบริหารจัดการควบคุม SD-WAN ทั้งหมดจากศูนย์กลาง พร้อมกำหนดนโยบายควบคุมแบบอัตโนมัติ
  • Aruba Boost ออปชั่นเสริมสำหรับการทำ WAN Optimization ที่พร้อมใช้งานได้ใน 1 คลิก ด้วยเทคโนโลยีเฉพาะจาก Aruba ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับ Application ที่ต้องการ Latency ต่ำเป็นพิเศษได้อย่างเห็นผล โดยเฉพาะการเชื่อมต่อไปยังสาขาต่างประเทศ รวมถึงการใช้งานแอพพลิเคชั่นที่รันบน Public Cloud

ในภาพรวมแล้ว โซลูชัน Aruba EdgeConnect จะมีความสามารถที่โดดเด่นหลักๆ ด้วยกัน 4 ประการ ได้แก่

  • WAN Optimization เป็นความสามารถส่วนเสริมที่ชื่อว่า Aruba WAN Boost ซึ่งต้องเปิดใช้งานเพิ่มเติม เพื่อช่วยให้ประสิทธิภาพของ WAN ดีขึ้นด้วยสองเทคนิค
    • Latency Mitigation ใช้เทคนิคในการเพิ่มความเร็วและลดขั้นตอนให้กับ TCP หรือ Protocol อื่นๆ ที่มีการใช้งาน ทำให้สามารถลด Latency ในการเชื่อมต่อเครือข่ายลงได้อย่างชัดเจน
    • Data Reduction ทำ Data Compression และ Deduplication ให้กับข้อมูลที่รับส่งผ่าน TCP และ UDP บน WAN ช่วยลดปริมาณของ Traffic ที่มีความซ้ำซ้อน รวมถึงยังมีการจัดเก็บข้อมูลเอาไว้ภายใน Local เพื่อที่ว่าถ้าหากมีการเรียกใช้ข้อมูลที่ซ้ำซ้อนกับส่วนที่ถูกจัดเก็บเอาไว้นี้ ระบบก็จะนำข้อมูลที่จัดเก็บเอาไว้ส่งให้ยังปลายทางแทนได้ทันที
  • Business Intent Overlay สร้าง Application-Specific Virtual WAN Overlay จำนวนมากให้ทำงานร่วมกัน เพื่อรองรับการทำ QoS, Transport, Failover และ Security ให้แตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์ของแต่ละการรับส่งข้อมูลได้
  • Path Conditioning เสริมประสิทธิภาพและคุณภาพในการรับส่งข้อมูลผ่าน Public Internet โดยอาศัยเทคนิคในการซ่อมแซมหรือจัดเรียงลำดับ Packet
  • SaaS Express ตรวจสอบคุณภาพของ WAN ในการเชื่อมต่อไปยังบริการ SaaS หลายร้อยรายการ ช่วยให้การทำงานผ่าน Cloud เป็นไปได้อย่างมั่นใจ

จะเห็นได้ว่าความสามารถที่หลากหลายและมีความเป็นเอกลักษณ์ของ Aruba EdgeConnect นี้อาจช่วยตอบโจทย์หลายๆ ข้อที่ธุรกิจองค์กรไม่เคยนึกถึงมาก่อนได้ว่า SD-WAN จะสามารถเข้ามาช่วยในส่วนนี้ได้ และนี่เองก็เป็นเหตุผลว่าทำให้ธุรกิจองค์กรชั้นนำหลายแห่งทั่วโลกถึงเลือกใช้ Aruba EdgeConnect เป็นระบบ SD-WAN หลัก

นอกจากนี้ ในแง่ของความมั่นคงปลอดภัย Aruba EdgeConnect Enterprise ก็ยังถือเป็นโซลูชัน SD-WAN แรกของโลกที่ผ่านการรับรอง ICSA Labs Secure SD-WAN Certification จากการทดสอบเพื่อให้มั่นใจว่าโซลูชันดังกล่าวจะมีความมั่นคงปลอดภัยในการให้บริการ SD-WAN เป็นอย่างดี ด้วยความสามารถที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้ง Next-Generation Firewall, IDS/IPS และ DDoS Detection & Remediation อีกทั้งยังสามารถทำงานร่วมกับ Aruba ClearPass และ Aruba Central NetConductor เพื่อตอบโจทย์การทำ Automation ทั้งในส่วนของ Network และ Security ได้อย่างครบถ้วน

ตอบโจทย์การเชื่อมต่อเครือข่ายไปยังต่างประเทศและ Cloud อย่างมีประสิทธิภาพ

ด้วยความสามารถข้างต้นของ Aruba EdgeConnect การทำ WAN Optimization เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับ Traffic ที่ถูกส่งออกไปยังต่างประเทศหรือบริการ Cloud ต่างๆ นั้นจึงสามารถเข้ามาตอบโจทย์ธุรกิจองค์กรหลายแห่งที่มีกรณีการใช้งานในลักษณะนี้ได้ ทำให้ผู้ใช้งานมีประสบการณ์ในการทำงานที่ดีขึ้นจาก Network Latency ที่ลดลงอย่างชัดเจน

การเลือกใช้งาน Aruba EdgeConnect นี้จะสามารถลดค่าใช้จ่ายให้กับธุรกิจได้เป็นอย่างมากหากเทียบกับการเช่าใช้ Private Link เพื่อเชื่อมต่อไปยัง Cloud อย่างเช่น O365, Zoom, Salesforce หรือ Data Center ในต่างประเทศ อีกทั้งยังสามารถติดตั้งใช้งานได้ง่ายผ่านระบบ Marketplace ที่มีอยู่บนบริการ Cloud ชั้นนำหลายราย

ลดค่าใช้จ่ายการเช่าใช้ MPLS ลงได้อย่างคุ้มค่า

สำหรับธุรกิจองค์กรที่ใช้ MPLS อยู่เดิมนั้น การใช้ Aruba EdgeConnect จะทำให้การบริหารจัดการ WAN เป็นไปได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้นกว่าเดิม และสามารถลด Bandwidth ที่ต้องรับส่งข้อมูลผ่าน MPLS ได้ ช่วยลดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ ธุรกิจองค์กรจะยังได้รับความยืดหยุ่นพร้อมอิสระในการเลือกใช้ Internet Link จากผู้ให้บริการในแต่ละพื้นที่ได้อย่างอิสระ เพราะ Aruba EdgeConnect สามารถช่วยเชื่อมผสานระบบเครือข่ายในแต่ละพื้นที่เข้าเป็นหนึ่งเดียวกันได้ และยังใช้ Link หลายเส้นควบคู่กันไปเพื่อเพิ่มทั้งประสิทธิภาพและความมั่นคงทนทานให้กับการเชื่อมต่อ Internet ได้อีกด้วย

เริ่มต้นใช้งาน Aruba EdgeConnect ได้ทันที เพียง 9,500 บาทต่อเดือนต่อสาขาเท่านั้น!!
 

ทาง SiS ได้ร่วมมือกับ Aruba Networks จัดโปรโมชันเพิเศษสำหรับแพ็คเกจ 100/100Mbps ในราคาเพียง 9,500 บาทต่อเดือนต่อสาขา ที่มาพร้อมกับความสามารถในการทำ WAN Optimization ได้มากถึง 50Mbps พร้อมแถมฟรี บริการ Aruba Orchestrator บน SiS Cloud และฟรีค่าติดตั้งโดยทีมงาน SiS โดยมีระยะเวลาสัญญา 36 เดือน

ราคาดังกล่าวนี้ยังไม่รวมค่า Internet Link (FTTX) และ Public IP

สนใจใช้งาน Aruba EdgeConnect ติดต่อ SiS Distribution ได้ทันที

สำหรับผู้ที่สนใจใช้งาน Aruba EdgeConnect หรือโซลูชันอื่นๆ จาก Aruba Networks สามารถติดต่อทีมงาน SiS Distribution ได้ทันทีที่ hpearuba@sisthai.com หรือ LINE @sisaruba

from:https://www.techtalkthai.com/special-promotion-lease-of-aruba-edgeconnect-starting-at-only-9500-baht-per-month-per-branch-easy-to-deploy-sd-wan-systems/

TTT 2022 Reinforce: Enterprise IT Infrastructure Day | 5 ตุลาคมนี้

จากซีรีส์งานสัมมนาออนไลน์ TTT Virtual Summit ที่มีคนติดตามมากกว่า 8,000 คน สู่งานสัมมนาใหญ่ Enterprise IT Infrastructure Day ส่งท้ายปี 2022 ในรูปแบบ Physical Event ภายใต้แนวคิด Reinforce เสริมแกร่งรากฐานระบบ IT พลิกโฉมสู่ธุรกิจดิจิทัลอย่างยั่งยืนและมั่นคงปลอดภัย ภายในงานท่านจะได้อัปเดตแนวโน้ม นวัตกรรม แนวทางปฎิบัติ และกรณีศึกษาที่น่าสนใจทางด้าน IT Infrastructure สำหรับองค์กร ครอบคลุมทั้งด้าน Cloud & Data Center, Networking, Cybersecurity และ Standards & Compliance ผ่านการบรรยายรวม 20 เซสชัน

นอกจากนี้ยังมีบูธจัดแสดงนวัตกรรมสำหรับองค์กรอีกเกือบ 30 บูธ สำหรับให้ผู้เข้าร่วมงานสามารถขอคำปรึกษา แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และแชร์ความรู้ด้าน IT Infrastructure สำหรับองค์กรโดยตรงกับผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงาน องค์กร และบริษัท IT/Consult ชั้นนำระดับโลก ได้แก่ Alcatel-Lucent Enterprise, Allied Telesis, Blancco, Cisco, Cloudflare, Commscope, Dell Technologies, Fortinet, Hillstone Networks, HPE Aruba, Juniper Networks, Netka, Nutanix, Panduit, Schneider Electric, Sophos, Tenable, Thales Group, TmaxSoft, Veeam และ VMware ไปจนถึงเหล่าผู้เชี่ยวชาญในไทยที่จะมาแบ่งปันประสบการณ์และกรณีศึกษาต่างๆ ให้เหล่าธุรกิจไทยนำไปประยุกต์ใช้ได้ทันที เช่น AIS, Bangkok MSP, Bangkok Systems & Software, Computer Union, STelligence, Soft De’but, Tangerine, True IDC และ Yip In Tsoi

📍 ไฮไลต์ของงาน: พบกับวิทยากรรับเชิญพิเศษจาก AIS 5G, True IDC, สำนักงานคณะกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยแห่งชาติ (สกมช.) และธนาคารกสิกรไทย ที่จะมาอัปเดตเทรนด์ 5G, Data Center และ Hybrid Multi-cloud ในไทย รวมไปถึงการรักษาความมั่นคงปลอดภัยระบบโครงสร้างพื้นฐานตาม พ.ร.บ. การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ การจัดตั้ง SOC และการวางกลยุทธ์เพื่อรับมือกับภัยคุกคามไซเบอร์

📆 วันพุธที่ 5 ตุลาคม 2022
⏰ เวลา 8:00 – 17:00 น.
🏢 Grand Hall, BITEC Bangna
🇹🇭 บรรยายภาษาไทยทุกเซสชัน

งานสัมมนานี้เหมาะสำหรับ: CIO, CTO, CISO, DPO, IT Manager, Compliance Manager, Cloud Architect, Security Engineer, Security Analyst, Network Engineer, IT Admin, IT Auditor และผู้ที่สนใจด้าน Cloud, Data Center, Networking และ Cybersecurity

🎉 พิเศษ!! ลงทะเบียนและเข้าร่วมงานเพื่อลุ้นรับ MacBook Air (M2), AirPods Max และ Sandisk Extreme Portable SSD อย่างละ 2 รางวัล รวมมูลค่ากว่า 130,000 บาท

ดูรายละเอียด กำหนดการ และลงทะเบียนได้ที่: https://conf.techtalkthai.com/re22/

from:https://www.techtalkthai.com/ttt-2022-reinforce-enterprise-it-infrastructure-day/