คลังเก็บป้ายกำกับ: VISION

รู้แหละว่าแพง…Apple พัฒนาแว่น Vision รุ่นธรรมดาที่มีราคาถูกกว่า คาดเปิดตัวปี 2025

ในงาน WWDC ที่ผ่านมา หนึ่งในสิ่งที่ว้าวที่สุดและทำเอาแฟน ๆ Apple ฮือฮากันก็คือแว่น MR สุดล้ำอย่าง Vision Pro ที่มากับเทคโนโลยีสุดเทพ แถมยังมีราคาที่ใครเห็นก็ต้องอุทาน (จะอุทานอะไรก็แล้วแต่…) ด้วยค่าตัวราว ๆ แสนสองหมื่นบาท แต่ล่าสุดมีข้อมูลออกมาว่า Apple ไม่ได้มีแว่น MR รุ่นนี้แค่รุ่นเดียว แต่กำลังพัฒนารุ่นที่มีราคาถูกกว่าออกมาในปี 2025 ด้วย

ข้อมูลของแว่น Vision รุ่นเล็กนี้ มาจากสายข่าวฝั่ง Apple อย่าง Mark Gurman ที่มักจะวิเคราะห์หลาย ๆ เรือ่งได้อย่างแม่นยำ ซึ่งล่าสุดเค้าออกมาเผยว่าทาง Apple กำลังพัฒนาแว่น MR รุ่นที่มีราคาถูกกว่า Vision Pro อยู่ เพื่อที่จะทำให้สินค้าประเภทนี้เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น โดยแว่นรุ่นเล็กอาจใช้ชื่อว่า Vision หรือ Vision One

แน่นอนว่าเมื่อราคาถูกลงแล้ว สเปคต่าง ๆ ก็จะลดหลั่นลงมาจากรุ่น Pro ด้วย ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอที่อาจมีความละเอียดน้อยกว่า ชิปประมวลผลที่ไม่แรงเท่า ตัดกล้องหรือเซนเซอร์บางตัวออกไป และอาจต้องใช้งานคู่กับหูฟัง AirPods เพราะไม่มีหูฟังมาให้ในตัว ส่วนฟีเจอร์หลัก ๆ อย่างจอนอกสำหรับแสดงหน้าของผู้ใส่และเซนเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวของมือจะยังคงมีอยู่

แหล่งข่าวบอกว่า Apple วางแผนจะเปิดตัว Vision รุ่นธรรมดาช่วงปลายปี 2025 นู่นเลย นอกจากนี้ยังจะเริ่มพัฒนา Vision Pro รุ่นที่สองต่อเลยด้วย

ก็ต้องรอดูกันต่อไปว่าหาก Apple เปิดตัวแว่น Vision ทีมีราคาถูกลงจนลูกค้าทั่วไปสามารถหามาใช้ได้ไม่ยากแล้ว ตอนนั้นตลาดแว่น AR / VR อาจกลับมาคึกคักอีกรอบก็ได้ เพราะหลาย ๆ ค่ายก็น่าจะเริ่มพัฒนาแว่นของตัวเองออกมาแข่งกันนั่นแหละ

 

ที่มา : Gizmochina

from:https://droidsans.com/cheaper-apple-vison-might-coming-2025/

ข้ามช็อต! “AIS Cloud X” กับ การพลิกโฉม “คลาวด์” ที่ไม่ใช่แค่เรื่องการประมวลผลอีกต่อไป

ในยุคนี้ที่แทบทุกธุรกิจอยู่บนโลกของ VUCA World ที่มีความผันผวน (Volatility) ไม่แน่นอน (Uncertainty) มีความซับซ้อน (Complexity) ชวนให้ผู้คนรู้สึกสับสนคลุมเครือ (Ambiguity) ในทุก ๆ วัน ไม่ว่าจะเรื่องภัยพิบัติในหลายพื้นที่ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ หรือเรื่องวิกฤตเศรษฐกิจกับพลังงานที่ดูจะยืดเยื้ออย่างต่อเนื่อง หากไม่ร่วมมือร่วมใจกันฟันฝ่าปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ความสำเร็จก็คงไม่อาจเกิดขึ้นได้ ภาคธุรกิจจึงต่างเร่งปฎิรูปทางเทคโนโลยี ด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจ 

ฝั่งผู้ให้บริการเทคโนโลยีเองก็เช่นกัน ที่จะต้องตื่นตัวพัฒนาศักยภาพด้านเทคโนโลยี เพื่อให้สามารถรองรับ  สนับสนุนความต้องการของลูกค้าองค์กรธุรกิจได้ และ “AIS” คือหนึ่งในองค์กรชั้นนำของประเทศที่ยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ด้วยกลยุทธ์และวิสัยทัศน์ที่มอง “ข้ามช็อต” ทรานสฟอร์มตัวเองอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเรื่อง “คลาวด์” ที่พลิกโฉมหน้าตาโซลูชันไปอย่างรวดเร็ว และด้วยความร่วมมือกับพาร์ตเนอร์มากมายจึงทำให้กำเนิดเป็น “AIS Cloud X” ระบบนิเวศน์คลาวด์อัจฉริยะได้สำเร็จ มุมมองของ AIS Business ในเรื่องของคลาวด์แห่งอนาคตนั้นเป็นอย่างไร ติดตามได้ในบทความนี้

AIS Business องค์กรที่ “ไม่เคยหยุดนิ่ง”

หากใครได้ติดตามข่าวเกี่ยวกับโซลูชันของทาง AIS Business จะเห็นถึงความไม่หยุดนิ่งของการดำเนินธุรกิจที่มีทั้งการต่อยอดในโซลูชันของตัวเองให้รองรับ Use Case ใหม่ ๆ ได้มากขึ้น พร้อมทั้งสร้างความร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ในหลากหลายอุตสาหกรรม จนทำให้เกิดระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง

AIS 5G NEXTGen Business

ภายใน AIS Business นั้นมีทั้งระบบนิเวศน์ 5G (5G Ecosystem) ตั้งแต่ระดับโครงสร้างพื้นฐาน (5G Infrastructure) เช่น โซลูชัน Multi-access Edge Computing (MEC) หรือ Network Slicing ที่สามารถเลือกใช้ได้ตามความจำเป็นในการใช้งาน ต่อยอดเป็นโซลูชันแนวนอนและแนวตั้ง (5G Horizontal & Vertical Solution) ที่เป็นโซลูชันแบบพร้อมประยุกต์ใช้ที่เจาะลึกเฉพาะงานมากขึ้น จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ก็ได้เปิดตัว 5G NEXTGen Platform ที่รวบรวมทุกโซลูชัน 5G ให้เลือกใช้ได้อย่างรวดเร็ว พร้อมให้บริการในหลากหลายรูปแบบ สิ่งเหล่านี้คือพัฒนาการอย่างต่อเนื่องของ AIS Business ที่ไม่เคยหยุดนิ่งโดยแท้จริง

ร่วมมือหลากพาร์ตเนอร์ ร่วมสร้างระบบนิเวศอัจฉริยะ AIS Cloud X

สำหรับเทคโนโลยีคลาวด์ที่เป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของการทำ Digital Transformation นั้น ทาง AIS Business มีโซลูชันให้บริการเช่นกันที่ให้บริการในรูปแบบของ Infrastructure as a Service (IaaS) ด้วยเทคโนโลยีของ VMware NSX จึงทำให้สามารถจัดสรรและตั้งค่าโมดูลต่าง ๆ ได้อย่างยืดหยุ่น เช่น นโยบายความมั่นคงปลอดภัย (Security Policies) หรือเส้นทางเครือข่าย (Network Routing) เป็นต้น 

หากแต่ด้วยความไม่หยุดนิ่งของ AIS Business ที่ได้มีการสร้างความร่วมมือกับพาร์ตเนอร์มากมายในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรระดับโลก เช่น VMware, Microsoft, Veeam หรือว่าองค์กรระดับประเทศ เช่น Blendata, Opsta, NETbay ความร่วมมือทั้งหมดได้มารวมตัวกันกลายเป็น “AIS Cloud X” ระบบนิเวศน์คลาวด์อัจฉริยะ (Intelligence Cloud Ecosystem) ที่มีความชาญฉลาดและแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

“AIS Cloud X” ระบบนิเวศน์คลาวด์อัจฉริยะที่มีพาร์ตเนอร์มากมาย
Credit : AIS Business

ไม่ว่าจะเป็น Use Case แบบใด ความต้องการใช้งานแบบไหน เทคโนโลยีโซลูชันที่มีอยู่ภายใน AIS Cloud X ล้วนมีให้เลือกสรรใช้งานทั้งสิ้น อย่างเช่น VMware Tanzu ที่ช่วยสนับสนุนการจัดการกับทรัพยากรบน Multi Cloud ได้อย่างยืดหยุ่น Azure Stack Edge ของ Microsoft ที่สามารถนำคลาวด์ Azure มาใช้งานแบบส่วนตัว (Private) ตอบโจทย์การเก็บข้อมูลไว้ภายในประเทศ หรือโซลูชัน Backup & Recover จาก Veeam เพื่อทำให้ข้อมูลบนคลาวด์มีความปลอดภัย เป็นต้น ทั้งหมดนี้ จึงทำให้ AIS Cloud X เป็นระบบนิเวศที่ชาญฉลาดชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อน

“ข้ามช็อต” สู่การเป็นผู้ให้บริการ Sovereign Cloud เจ้าแรกใน SEAK

ด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลของ AIS Business กับเรื่องของเทคโนโลยีคลาวด์ ภายใต้แนวคิดที่มองนิยามของคำว่า “คลาวด์” ในอนาคตนั้นจะไม่ใช่แค่เรื่องของการประมวลผลหรือการรองรับธุรกิจได้จำนวนมหาศาลเท่านั้นแล้ว แต่จะต้องมีองค์ประกอบอื่น ๆ ที่เสริมให้คลาวด์นั้นมีความฉลาด คล่องตัว มั่นคงปลอดภัยมากขึ้น รวมทั้งสามารถตอบโจทย์การจัดเก็บข้อมูลไว้ในภายในประเทศ หรือนโยบายการกำกับดูแลจากหน่วยงานต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว  

สิ่งนั้นคือนิยามของคำว่า “Sovereign Cloud” คลาวด์แห่งโลกอนาคตที่ทุกเจ้ากำลังจะเดินไป ซึ่งเป็นคลาวด์ที่มีความมั่นคงปลอดภัยและเสถียรภาพสูงสำหรับการใช้งานในระดับประเทศไปจนถึงระดับภูมิภาค จวบจนสามารถแข่งขันได้กับ Hyperscale Cloud ผู้ให้บริการระดับโลกทั้งในแง่ของประสิทธิภาพ ทรัพยากร และต้นทุนราคาที่เข้าถึงได้มากขึ้น

เหตุนี้เอง AIS Business ที่มีวิสัยทัศน์ มีระบบนิเวศหลากหลาย มีพาร์ตเนอร์มากมายโดยเฉพาะพาร์ตเนอร์ระดับโลกอย่าง VMware และ Microsoft ทาง AIS Business จึงได้ประกาศความแข็งแกร่ง เปิดตัวเป็นผู้ให้บริการ Sovereign Cloud รายแรกของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเกาหลี  (South East Asia : SEAK) ภายใต้ AIS Cloud X ระบบนิเวศน์คลาวอัจฉริยะ ในงาน AIS Business Cloud 2022 ที่ผ่านมา ที่มีความพร้อมให้บริการในทุก ๆ โจทย์การใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ มั่นคง และปลอดภัย 

รางวัลการันตี “6 ปี” ที่พาร์ตเนอร์ไว้วางใจมากมาย

ด้วยวิสัยทัศน์ ความร่วมมือ และการให้บริการด้วยคุณภาพที่ยอดเยี่ยมอย่างต่อเนื่องของ AIS Business จึงส่งผลให้องค์กรได้รับรางวัลมากมายจากพาร์ตเนอร์ติดต่อกันมาถึง 6 ปีซ้อนแล้ว และในปี 2022 นี้ AIS Business ก็ยังคงได้รับรางวัลจากพาร์ตเนอร์คนสำคัญมากมาย อาทิ

  • Microsoft Thailand Partner of the Year 2022 หนึ่งในรางวัลที่มีความหมายอย่างยิ่ง เพราะเป็นรางวัลที่ Microsoft ได้มอบให้กับ AIS Business เพียงรายเดียวเท่านั้นในปี 2022 
  • VMware Thailand Cloud Partner of the Year 2022 และ VMware Sovereign Cloud Partner in Thailand and SEAK ในฐานะผู้ให้บริการ Sovereign Cloud เจ้าแรกในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและเกาหลี
  • Cisco Thailand 1st Cloud Security MSSP in 2022 ที่ทำให้มั่นใจเรื่องความมั่นคงปลอดภัยภายในคลาวด์ของ AIS Business ได้

จากรางวัลและความไว้วางใจจากพาร์ตเนอร์ที่ AIS Business ได้รับมาอย่างต่อเนื่อง เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดที่สำคัญในความสำเร็จของ AIS Business Cloud ที่สามารถการันตีได้ทั้งคุณภาพของโซลูชันและบริการที่ผู้ใช้งานจะได้รับและเชื่อมั่นในการใช้งาน AIS Cloud X เพื่อดำเนินธุรกิจ พร้อมปรับตัว Digital Transformation ได้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างแน่นอน

บทส่งท้าย

เพราะเราอยู่ในโลกของ VUCA World เราจึงต้องมีวิสัยทัศน์ว่าอยากจะเป็นอะไรในโลกใบนี้” ชัดเจนว่าโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และอนาคตคือสิ่งที่ต้องเริ่มคิดตั้งแต่วันนี้ ซึ่งการมอง “ข้ามช็อต” เรื่องอนาคตของคลาวด์ใน “AIS Cloud X” กับการเป็น Sovereign Cloud เจ้าแรกของภูมิภาคนั้น เชื่อว่าจะทำให้ AIS Business สามารถกลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นชั้นนำในเทคโนโลยีคลาวด์ได้ในสักวันหนึ่งและสามารถตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้าทั้งในปัจจุบันและอนาคต ท่ามกลางความไม่แน่นอนเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน

สำหรับผู้ที่สนใจรายละเอียดของ “AIS Cloud X” หรือโซลูชันใด ๆ ภายในระบบนิเวศน์คลาวด์อัจฉริยะ สามารถติดต่อทาง AIS Business ได้ทุกช่องทาง ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของ AIS Business Cloud business.ais.co.th/cloud

AIS Business พาร์ทเนอร์ที่ช่วยตอบโจทย์ทุกเรื่อง ICT & Digital ที่คุณมั่นใจ

“Your Trusted Smart Digital Partner”

ปรึกษาและวางแผนพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อรองรับการทำงานและต่อยอดธุรกิจได้ที่

Email: business@ais.co.th

Website: https://business.ais.co.th

from:https://www.techtalkthai.com/overlook-shot-with-ais-cloud-x-the-transformation-of-cloud-that-is-not-just-about-computing-anymore/

อ่านวิสัยทัศน์ L’ORÉAL เมื่อความสวย ต้องมาจากภายในพร้อมกับการพลิกโฉมเรื่องความปลอดภัยของโลก

หญิงสาวทุกคนรู้จักเรื่องของความสวยงามของตนเองเป็นอย่างดี เพราะทุกคนมีเอกลักษณ์ความงามที่แตกต่างกัน การนำเสนอสินค้าและผลิตภัณฑ์ด้านความงามของลอรีอัลเอง ก็ไม่ได้หยุดนิ่ง ตลอดระยะเวลากว่าร้อยปี ที่ลอรีอัลให้บริการด้านสินค้าและบริการด้านความสวยความงาม จะไม่ได้จำกัดแค่เรื่องของรูปลักษณ์แล้ว

ในวิสัยทัศน์ใหม่เพื่อความยั่งยืน หรือ L’Oréal for the futureสำหรับปี 2030 ได้มุ่งยกระดับไปถึงเรื่องของขีดจำกัดด้านความปลอดภัยของโลก เพื่อร่วมแก้ไขปัญหาด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมโลกที่ทวีความรุนแรงขึ้น เป็นการตอกย้ำพันธสัญญาของบริษัทด้านความยั่งยืนและส่งเสริมการอยู่ร่วมกันอย่างเท่าเทียม พร้อมริเริ่มการแสดงข้อมูลผลิตภัณฑ์ด้านผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่ได้รับการตรวจสอบ เพื่อส่งเสริมให้ผู้บริโภคสามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน

การปฎิรูปธุรกิจของลอรีอัลเพื่อไม่ละเมิด “ขีดจำกัดความปลอดภัยของโลก” (planetary boundaries)

“ขีดจำกัดความปลอดภัยของโลก” นั้นมีข้อจำกัด หากถูกละเมิดจะเป็นอันตรายต่อสภาวะความเหมาะสมของโลกสำหรับการอยู่อาศัยและพัฒนาการของมนุษย์ นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกเห็นพ้องอย่างเป็นเอกฉันท์ว่า ในช่วงทศวรรษต่อๆ จากนี้ เราจำต้องให้ความสำคัญในเรื่องดังกล่าวเป็นลำดับต้นๆ เพื่อมนุษยชาติ ลอรีอัลจึงได้ตั้งเป้าหมายที่จะปรับเปลี่ยนวิธีการดำเนินธุรกิจทั้งหมดให้อยู่ภายใต้ขีดจำกัดความปลอดภัยของโลกดังกล่าวให้สำเร็จ

ด้วยเหตุนี้ บริษัทฯ จึงได้กำหนดเป้าหมายใหม่สำหรับปี 2030 เพื่อรับมือปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดย กำหนดเป้าหมายบนพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ (Science Based Targets initiative) พร้อมยกระดับแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สำคัญอีกสามประการ ได้แก่ การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ การบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน และการใช้ทรัพยากรหมุนเวียน

โดยลอรีอัลจะไม่เพียงมุ่งลดผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อมโดยตรงเท่านั้น แต่ยังต้องการลดผลกระทบของกิจกรรมทั้งหมดทั้งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับซัพพลายเออร์และผู้บริโภคของบริษัทฯ เพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินธุรกิจนั้นคำนึงถึงโลกที่มีทรัพยากรอยู่อย่างจำกัด และเป็นธรรมต่อชุมชนที่บริษัทฯ ทำงานด้วย

เป้าหมายสำคัญที่ลอรีอัลได้กำหนดบนพื้นฐานการทำงานภายใต้ขีดจำกัดความปลอดภัยของโลก ได้แก่

  • ภายในปี 2025 โรงงานและศูนย์กระจายสินค้าของลอรีอัลทุกแห่ง ต้องไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่ชั้นบรรยากาศ (carbon neutral) ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และใช้พลังงานทดแทน 100%
  • ภายในปี 2030 พลาสติกใช้ในบรรจุภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์ลอรีอัลทั้งหมด 100% จะมาจากพลาสติกรีไซเคิล หรือ จากแหล่งวัสดุชีวภาพ
  • ภายในปี 2030 ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของแต่ละผลิตภัณฑ์สำเร็จลง 50% เมื่อเทียบกับปี 2016

สนับสนุนให้ลูกค้าสามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความยั่งยืนยิ่งขึ้น

ลอรีอัลคำนึงว่า การสนับสนุนให้เกิดความยั่งยืนตลอดระบบนิเวศทางธุรกิจ ที่รวมถึงคู่ค้า ผู้ผลิต และผู้บริโภค เป็นส่วนหนึ่งในความรับผิดชอบของบริษัทในการดำเนินงาน

โดยได้พัฒนาการแสดงข้อมูลผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมของผลิตภัณฑ์ เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคกว่า 1.5 พันล้านคนทั่วโลก ตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีความยั่งยืนมากขึ้น โดยการแสดงข้อมูลผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมดังกล่าว

มีคะแนนระดับ A ถึง E โดย “A” หมายถึงผลิตภัณฑ์ที่ “มีความเป็นเลิศด้านความยั่งยืนมากที่สุด” ในแง่ของผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งสามารถตรวจสอบได้บนหน้าเว็บไซต์ของแบรนด์ ระดับคะแนนดังกล่าวได้การตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และรับรองข้อมูลอย่าง บูโร เวอริทัส เซอร์ทิฟิเคชั่น (Bureau Veritas Certification) หน่วยงานด้านการตรวจสอบอิสระระดับโลก

ทั้งนี้ แบรนด์แรกที่จะมีการแสดงข้อมูลนี้ คือผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผมของแบรนด์การ์นิเย่ ซึ่งนับเป็นแบรนด์ความงามอันดับสามของโลก และเป็นผู้นำในตลาดที่ประเทศฝรั่งเศส โดยการแสดงข้อมูลนี้จะทยอยขยายการดำเนินงานไปยังประเทศอื่น รวมถึงแบรนด์อื่นๆ และทุกหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์ของลอรีอัลต่อไป

ช่วยแก้ไขปัญหาเร่งด่วนระดับโลกด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมโดยการสนับสนุนเงินทุน

ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ลอรีอัลได้ประกาศแผนการช่วยเหลือปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมเร่งด่วนด้วยการจัดสรรงบประมาณ 150 ล้านยูโร (ประมาณ 5.2 พันล้านบาท) โดยงบประมาณดังกล่าวจะถูกนำไปใช้แก้ไขปัญหาต่างๆ ดังนี้

  • 100 ล้านยูโร (ประมาณ 5 พันล้านบาท) สำหรับการให้ทุนเพื่อจัดการกับปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม โดย
    50 ล้านยูโร (ประมาณ 1.7 พันล้านบาท) จะเป็นเงินทุนสำหรับโครงการฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเลและป่าไม้ที่เสียหาย ผ่านกองทุน L’Oréal Fund for Nature Regeneration ซึ่งดำเนินการโดย Mirova บริษัทในเครือของ Natixis Investment Managers ส่วนอีก 50 ล้านยูโร (ประมาณ 1.7 พันล้านบาท) จะใช้ในการให้ทุนโครงการที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจหมุนเวียน
  • ช่วยเหลือสตรีผู้ด้อยโอกาส โดย ลอรีอัลจึงได้ตั้งกองทุนบริจาคเพื่อการกุศลอีก 50 ล้านยูโร (ประมาณ
    7 พันล้านบาท) เพื่อช่วยสนับสนุนองค์กรภาคสนามและองค์กรการกุศลท้องถิ่นในการต่อสู้กับความยากจน ช่วยเหลือสตรีให้สามารถประสบความสำเร็จในสังคมและวิชาชีพ ให้ความช่วยเหลือฉุกเฉินแก่ผู้ลี้ภัยและผู้พิการสตรี และป้องกันความรุนแรงต่อสตรีและช่วยเหลือเหยื่อที่ได้รับผลกระทบ

การดำเนินงานด้านความยั่งยืนในประเทศไทย

ลอรีอัล ประเทศไทย มุ่งมั่นสร้างความยั่งยืนในการดำเนินงานตามแนวทางบริษัทแม่ เพื่อช่วยบรรลุเป้าหมายภาพรวมที่กำหนดไว้ทั้งในแง่ของผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม

ในด้านสิ่งแวดล้อม เมื่อปี 2017 ลอรีอัล ประเทศไทย ได้เปิดศูนย์กระจายสินค้าสีเขียวของลอรีอัลแห่งแรกในเอเชีย ที่ได้การรับรองมาตรฐาน LEED ระดับ Silver โดยศูนย์กระจายสินค้าได้ลดการใช้พลังงานและน้ำ พัฒนาระบบขนส่ง ริเริ่มโครงการรีไซเคิล และดำเนินการพัฒนาศูนย์ฯ ให้เป็นมิตรและลดการสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง

ด้านการช่วยเหลือและพัฒนาสังคม ลอรีอัล ประเทศไทย ได้ดำเนินการโครงการที่แข็งแกร่งในการช่วยเหลือผู้คนในชุมชนที่ด้อยโอกาสให้มีโอกาสได้รับการจ้างงานผ่าน โครงการจัดหาจัดจ้างเพื่อผู้ขาดโอกาสทางสังคม (Solidarity Sourcing) และ โครงการสอนทักษะอาชีพเสริมสวยแก่ผู้ด้วยโอกาส (Beauty For a Better Life)

นอกจากนั้น ลอรีอัล กรุ๊ป ยังได้จัดซื้อน้ำมันรำข้าวหอมมะลิที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและผิวหนังจากเกษตรกรในประเทศไทย โดยทำงานร่วมกับ 4 สหกรณ์ในภาคอีสานที่เกษตรกรรายย่อยที่กำลังเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ เพื่อส่งเสริมการค้าอย่างเป็นธรรม สนับสนุนขีดความสามารถของคนในชุมชน และพัฒนาระบบวนเกษตร ซึ่งเป็นหนึ่งในระบบที่ช่วยสร้างสมดุลคาร์บอนอีกด้วย โดยจากทุกโครงการที่กล่าวมา มีผู้ได้รับผลการช่วยเหลือในประเทศไทยราว 1,200 คน

ในส่วนผู้บริโภคในไทย จะได้มีโอกาสในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ความงามที่มีความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น ผลิตภัณฑ์ของลอรีอัลที่นำมาจัดจำหน่ายในประเทศไทย ล้วนได้รับการพัฒนาให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและช่วยสังคมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านส่วนผสมทางชีวภาพ บรรจุภัณฑ์จากพลาสติกรีไซเคิลหรือวัสดุชีวภาพ ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ที่ลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการใช้ของผู้บริโภคได้

นางอินเนส คาลไดรา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า โลกกำลังเผชิญหน้ากับปัญหาที่ทุกคนต้องให้ความสำคัญและเดินหน้าแก้ไขอย่างเร่งด่วน เราจะมุ่งให้ความสำคัญกับการสนับสนุนชุมชน ส่งเสริมความยั่งยืน และการมีส่วนร่วมกับระบบนิเวศการดำเนินธุรกิจของเราในประเทศไทย และแสดงให้เห็นว่าเราสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยแก้ไขความท้าทายที่โลกกำลังเผชิญอยู่ได้ เรามุ่งเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงทั้งในอุตสาหกรรมความงามและอุตสาหกรรมอื่นๆ พร้อมสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้บริโภคและทุกภาคส่วน ให้ร่วมกันเดินหน้าปกป้องโลกใบนี้”

รศ.ดร. สุชนา ชวนิชย์ อาจารย์ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ทูตแห่งมหาสมุทรเพื่อความยั่งยืนแห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า “‘ขีดจำกัดความปลอดภัยของโลก เป็นการประเมินถึงศักยภาพของโลกในการรับมือกับปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันมีกิจกรรมมากมายที่ก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม และกำลังจะก้าวข้ามขีดจำกัดความปลอดภัยมากขึ้น และส่งผลกระทบต่อมนุษย์ สิ่งสำคัญคือขีดจำกัดความปลอดภัยดังกล่าวนั้นมีขอบเขตและต้องได้รับการแก้ไขร่วมกัน ดังนั้นจึงถึงเวลาแล้วที่ทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการ ผู้ผลิต รวมทั้งผู้บริโภคเอง ต้องร่วมมือกันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนภายในปี 2030 เพื่อความเป็นอยู่อย่างยั่งยืนของทุกคนและโลกใบนี้

เกี่ยวกับวิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืนของลอรีอัล: คำมั่นสัญญาที่ไม่ได้เริ่มต้นจากศูนย์

ลอรีอัลตระหนักถึงการตอบสนองต่อความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมอย่างรวดเร็ว ในฐานะบริษัทที่มีอุตสาหกรรมการผลิต ลอรีอัลได้เริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมโดยการให้ความสำคัญและดำเนินการจัดการผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของโรงงานและศูนย์กระจายสินค้าเป็นลำดับแรก โดยการเปลี่ยนแปลงช่วงแรกได้ใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ด้วยผลการดำเนินงานดังนี้

  • ตั้งแต่ปี 2005 บริษัทฯ ได้ลดการปล่อยก๊าซคอร์บอนไดออกไซด์ของโรงงานและศูนย์กระจายสินค้าลงถึง 78% เกินกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ในปี 2020 ที่ตั้งไว้ 60% ในขณะที่มีปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้น 37% ในช่วงเวลาเดียวกัน
  • ปลายปี 2019 ลอรีอัลมีโรงงานและศูนย์กระจายสินค้าที่ไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิออกสู่ชั้นบรรยากาศ (ใช้พลังงานทดแทน 100%) ถึง 35 แห่ง โดยเป็นโรงงานถึง 14 แห่ง

ในปี 2013 ลอรีอัลได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ความงาม เปิดตัววิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืนระดับโลกปี 2020 “แบ่งปันความงามให้ทุกสรรพสิ่ง หรือ “Sharing Beauty With All” โดยมีแกนหลักของวิสัยทัศน์คือนวัตกรรม SPOT (เครื่องมือประเมินเพื่อพัฒนาความยั่งยืนของผลิตภัณฑ์) ในการประเมินและปรับปรุงประสิทธิภาพด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมของผลิตภัณฑ์ในทุกแบรนด์ โดยการพัฒนาอย่างยั่งยืนได้ถูกควบรวมเข้ากับกระบวนการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัทฯ ตั้งแต่เริ่มต้นคิดค้นผลิตภัณฑ์

  • 85% ของผลิตภัณฑ์ที่คิดค้นใหม่หรือปรับสูตรในปี 2019 ได้รับการพัฒนาคุณลักษณะให้เป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมหรือสังคมมากขึ้น
  • ในปี 2019 ลอรีอัลได้ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสจำนวน 90,635 คน ให้มีโอกาสในการทำงานผ่านโครงการจัดหาอย่างมีจริยธรรม
  • ลอรีอัลเป็นบริษัทฯ เดียวในโลกที่ได้รับผลการประเมินเกรด “A” จากการจัดอันดับ CDP องค์กรเพื่อสาธารณประโยชน์ด้านการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวม 3 ด้าน คือ การปกป้องสภาพภูมิอากาศ การจัดการน้ำ และการอนุรักษ์ป่าไม้ ต่อเนื่องกัน 4 ปีซ้อน

from:https://www.thumbsup.in.th/loreal-vision-2030?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=loreal-vision-2030

วิสัยทัศน์เอไอเอส 2018 ลุยสร้างสามแพลตฟอร์มดิจิทัล “IoT-VDO-VR”

เอไอเอสชี้ การแข่งขันในยุคดิจิทัล ไทยยังมีโอกาส แต่โอกาสของยุคนี้ไม่ใช่การแข่งขันแบบกินรวบอีกต่อไป แต่อาจเป็นการสร้าง Ecosystem ร่วมกับพาร์ทเนอร์ให้ได้ พร้อมมองว่าการมาถึงของดิจิทัลจะสร้างธุรกิจใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นใน 10 – 20 ปีนับจากนี้อีกมหาศาล และบางธุรกิจอาจไม่ต้องลงทุนด้านกายภาพใด ๆ เลยก็ได้หากมีการวางแผนสร้างแพลตฟอร์มที่ดี ส่งผลต่อการแถลงวิสัยทัศน์ของเอไอเอสในปีนี้ ที่มุ่งสู่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลในสามด้านหลัก ๆ นั่นคือ การมุ่งสู่แพลตฟอร์ม IoT, VDO และ Virtual Reality

ภาพรวมไทยพร้อมก้าวสู่ดิจิทัล?

โดยข้อมูลที่เอไอเอสนำมาแสดงบนเวทีนั้นเป็นตัวเลขประชากรโลกที่ปัจจุบันอยู่ที่ 7.512 พันล้านคน ในจำนวนนี้ ครึ่งหนึ่ง (3.773 พันล้านคน) สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้แล้ว แต่หากนับเป็นจำนวน Mobile Users แล้ว จะพบว่าอยู่ที่ 65% หรือหากมองมาที่ประเทศไทย ที่มีประชากร 68 ล้านคน ประชากรที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตมีประมาณ 50% แต่เรามี Mobile Users แล้วที่ 47.9 ล้านคน หรือคิดเป็น 70% ของจำนวนประชากร นอกจากนี้ยังพบว่าเป็นผู้ใช้งาน Social Media มากกว่า 46 ล้านคนด้วย

ไม่เพียงเท่านั้น ปริมาณการใช้งานอินเทอร์เน็ตของกลุ่ม Mobile User ชาวไทยก็ยังเพิ่มขึ้นถึง 80% จากเดิมที่ใช้อยู่ที่ 3.8 GB ต่อคนต่อเดือนในปี 2016 เพิ่มเป็น 7.3 GB ในปี 2017 ส่วนปี 2018 คาดการณ์ว่าจะเกิน 10GB ต่อคนต่อเดือนด้วย และเวลาที่ใช้ Social Network ยังเพิ่มขึ้น 60% จาก 3 ชั่วโมงต่อคนต่อวันในปี 2016 เป็น 4.8 ชั่วโมงในปี 2017 ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่มีการผลิตและบริโภคคอนเทนต์บน Social Media สูงที่สุดในโลกไปโดยปริยาย

เอไอเอสยังพบว่า คนไทยสนใจคอนเทนต์สตรีมมิ่งเพิ่มขึ้น อยู่ที่ 41 ล้านคน ขณะที่ตัวเลขผู้ชมทีวีปกตินั้นอยู่ที่ 67 ล้านคน และ 80% ของคอนเทนต์ที่รับชมเป็นคอนเทนต์จากคนไทยกันเอง ส่วนในภาคธุรกิจ เอไอเอสมองว่าการใช้งานคลาวด์ได้กลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว โดยพิจารณาจากตัวเลขการเติบโตของธุรกิจ AIS Business Cloud ที่ปัจจุบันมีลูกค้า 1.2 ล้านราย ทั้งหมดนี้น่าจะแสดงถึงความพร้อมและความคุ้นเคยกับเทคโนโลยีดิจิทัลในระดับหนึ่งของประเทศไทยได้ดี

แต่สิ่งที่เอไอเอสมองเห็นอีกข้อก็คือ ในการบริโภคคอนเทนต์ดิจิทัลของคนไทยนั้น ส่วนใหญ่ยังอิงอยู่กับแพลตฟอร์มจากต่างประเทศ ซึ่งในจุดนี้จะเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้โอกาสในการแข่งขันของบ้านเราลดลงด้วย เพราะคนไทยจะไม่สามารถออกกฎควบคุมใด ๆ กับแพลตฟอร์มจากต่างชาติได้

คุณสมชัย เลิศสุทธิวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส กล่าวว่า ไทยเหลือโอกาสอีก 3 ปีกับการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับการไหลบ่าของยุคดิจิทัล กับการมาถึงของยุค IoT ที่มนุษย์หนึ่งคนอาจพกพาอุปกรณ์ IoT เฉลี่ย 7 ชิ้น ในมุมมองของเอไอเอส มองว่า นี่คือโอกาสของประเทศไทย แต่เราจะต้องฉวยโอกาสนี้ให้ได้ด้วยการพัฒนาบุคลากรของบ้านเราให้สามารถแข่งขันได้ และสองคือการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับคนไทย เพื่อลดการพึ่งพาต่างชาติ

โดยแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ทางเอไอเอสจะพัฒนานั้นประกอบด้วย 3 แพลตฟอร์ม ดังนี้

1. AIS IoT Alliance Program – AIAP

โครงการความร่วมมือของสมาชิก 70 รายจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี IoT ไม่ว่าจะเป็นองค์กรหน่วยงาน ทั้งภาครัฐ มหาวิทยาลัย ผู้ผลิตเทคโนโลยี นักพัฒนาอุปกรณ์และซอฟท์แวร์ ทั้งในและต่างประเทศ ที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนความรู้ความสามารถ, Product, Service หรือ Solution เพื่อให้เกิดการพัฒนา IoT Solution/Business Model ร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรม ขยายประโยชน์สู่ภาคประชาชน เสริมการบริหารจัดการในทุกภาคส่วน

2. The Play 365

Local VDO Platform ที่เปิดโอกาสให้ศิลปิน สื่อมวลชน นักสร้างสรรค์ Content ทุกวงการสามารถนำเสนอผลงานที่สร้างสรรค์ขึ้น สร้างโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคชาวไทยทุกคน พร้อมโครงสร้างรายได้และโมเดลที่เหมาะสม สอดคล้องกับตัวเลขผู้ชมที่แท้จริง

3. AIS IMAX VR

VR Content Platform ที่เปิดโอกาสให้นักพัฒนา VR Content สามารถเรียนรู้จากผู้ผลิต VR อันดับหนึ่งของโลกอย่าง IMAX พร้อมโครงการ VR Content Creator Program ที่เอไอเอสได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นเวทีของการสร้าง Content VR ให้กับอุตสาหกรรม

ไทยต้องลุยด้านวิจัยและพัฒนา

ด้านคุณกานต์ ตระกูลฮุน หัวหน้าทีมภาคเอกชนการยกระดับนวัตกรรมและ Digitalization คณะกรรมการสานพลังประชารัฐและประธานกรรมการเอไอเอสกล่าวว่า ภาพรวมด้านความสามารถในการแข่งขันของไทยนั้น จำเป็นต้องได้รับการพัฒนาในเรื่องการสร้างนวัตกรรมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศ

โดยที่ผ่านมา งบประมาณจากภาครัฐและภาคเอกชนที่ใช้ในการวิจัยและพัฒนานั้นถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก (ไม่ถึง 1% ของจีดีพี) แต่ในปี 2018 นี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจนอยู่ที่ 1% และเติบโตจนเป็น 1.5% ต่อจีดีพีภายในปี 2021 ซึ่งคุณกานต์เชื่อว่า การเพิ่มขึ้นของตัวเลขดังกล่าวจะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงภายในประเทศไทยอย่างมหาศาล เหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับประเทศเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น รัสเซีย จีน สหรัฐอเมริกา มาเลเซีย อังกฤษ เยอรมนี และอีกหลายประเทศทั่วโลก

แต่การจะไปให้ถึงเป้าหมายดังกล่าว ไทยยังต้องเพิ่มบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนาให้อยู่ในสัดส่วน 25 คนต่อประชากร 10,000 คนด้วย

จากข้อมูลของ Bloomberg 2018 Innovation Index ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดด้านนวัตกรรม พบว่า ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 45 จากทั้งหมด 50 อันดับ ขณะที่ 10 อันดับแรกของตารางนั้นมีเพียงประเทศสิงคโปร์ (อันดับสาม) ที่มาจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ทั้งนี้ เอไอเอสย้ำในตอนท้ายด้วยว่า บริษัทมีความเชื่อมั่นว่าเหล่านี้คือหนทางสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน และจะสามารถสนับสนุนเป้าหมายของภาครัฐในการนำพาประเทศไทยสู่ Thailand 4.0 ที่มีเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นเครื่องมือได้อย่างยั่งยืนด้วย

 
Source: thumbsup

from:http://thumbsup.in.th/2018/02/ais-vision-2018-iot-vdo-vr/

ไทยพาณิชย์เปิดวิสัยทัศน์ 2020 ลดสาขาเหลือ 400 แห่ง ตั้งเป้าดึงลูกค้าสู่แพลตฟอร์มดิจิทัล

คุณอาทิตย์ นันทวิทยา

ถือว่าเป็นการประกาศวิสัยทัศน์ที่สร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ให้กับวงการธนาคารและสถาบันการเงินไทยเลยทีเดียวกับ “CEO Vision 2020” ของคุณอาทิตย์ นันทวิทยา กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ที่ออกมาย้ำจุดยืนว่าคลื่นแห่งความเปลี่ยนแปลงนั้น “มาถึงแล้ว” และธนาคารต้องเปลี่ยนตัวเองให้เป็นองค์กรที่ Lean ขึ้นจึงจะสามารถผ่านพ้นคลื่นครั้งนี้ไปได้

โดยหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นคือการลดจำนวนสาขาลงให้เหลือ 400 สาขาและลดพนักงานลงเหลือ 15,000 คนภายในปี 2020 หรือ พ.ศ. 2563 ในขณะเดียวกันก็จะลงทุนอย่างต่อเนื่องใน 3 ส่วนคือเทคโนโลยี การสร้างทักษะใหม่ให้พนักงาน และการสร้างประสบการณ์ใหม่ให้ลูกค้าผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล

“ที่ผ่านมา เราเคยคิดว่าเราเป็นยักษ์ใหญ่ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับองค์กรใหม่ในโลกที่มีความสามารถในการแข่งขัน เช่น Facebook, Google ไทยพาณิชย์คือความเชื่องช้า คือองค์กรที่มีต้นทุนในการให้บริการลูกค้าที่แพงกว่าคนอื่น และมีพลังที่จะสร้างสิ่งใหม่ ๆ น้อย เรื่องของ Innovation จึงไม่เกิดขึ้นในไทยพาณิชย์” คุณอาทิตย์ นันทวิทยากล่าว พร้อมบอกว่า การทำ Digital Transformation ของไทยพาณิชย์ที่ผ่านมาคือการลงทุนในด้านเทคโนโลยีสูงที่สุด ซึ่งรวมถึงการเปิดตัว SCB Abacus ในฐานะมันสมองขององค์กร ส่วนของพนักงานนั้นได้มีการลงทุนอบรมทักษะใหม่ ๆ ในรูปของอะคาเดมี่เพื่อให้พนักงานสามารถใช้งานเทคโนโลยีขั้นสูงที่ธนาคารลงทุนไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่เรื่องของลูกค้านั้นจะเป็นการยกระดับการให้บริการลูกค้าไปสู่แพลตฟอร์มดิจิทัลซึ่งเท่ากับเป็นการเปลี่ยนประสบการณ์ครั้งสำคัญ

เปลี่ยนแปลงเพื่อรับมือกับโครงสร้างรายได้ที่เปลี่ยนไป

ภารกิจครั้งใหม่ที่ไทยพาณิชย์กำหนดเอาไว้ที่ 1,000 วันนั้นจึงเป็นภารกิจที่จะสร้างองค์กรไปสู่ความกระฉับกระเฉง และผลิตความคิดสร้างสรรค์ออกมาขับเคลื่อนองค์กรให้เดินไปข้างหน้า ซึ่งการจะเปลี่ยนแปลงได้นั้น จะมีการพลิกวิธีคิดแบบ 360 องศา หรือที่คุณอาทิตย์เรียกว่ามันคือยุทธศาสตร์แห่งการกลับหัวตีลังกา (Going Upside Down) โดยยกลูกค้าเป็นตัวตั้งให้สมกับเป้าหมายที่ต้องการเป็นธนาคารที่น่าชื่นชมที่สุด (The Most Admired Bank) ซึ่งในส่วนนี้ เป็นความกล้าที่ไทยพาณิชย์เองก็ยอมรับตรง ๆ ว่า ธนาคารไม่ว่ารายใดก็ตามที่ยังเก็บค่าธรรมเนียมจากลูกค้าในระดับที่เป็นอยู่ จะไม่สามารถเข้าไปนั่งกลางใจลูกค้าได้

แต่การจะคิดกลับด้านโดยการยกเลิกค่าธรรมเนียม ไทยพาณิชย์เองก็ต้องหาทางรับมือกับรายได้ที่ลดลงนี้ด้วยเพื่อรักษาสมดุลในฝั่งนักลงทุน นั่นจึงนำไปสู่กลยุทธ์ในการ Lean the Bank ที่ตั้งเป้าไว้ว่าองค์กรจะลดค่าใช้จ่ายลงให้ได้ 30% ภายในปี 2020

สำหรับการ Lean the Bank นั้น ไทยพาณิชย์เองก็ชี้แจงอย่างชัดเจนว่าจะไม่ใช่การเลย์ออฟพนักงาน แบบที่สถาบันการเงิน หรือบริษัทยักษ์ใหญ่ในต่างประเทศทำ เนื่องจากในแต่ละปีจะมีพนักงานลาออกอยู่แล้วเป็นปกติเฉลี่ยปีละ 3,000 คน แต่ไทยพาณิชย์จะเปลี่ยนรูปแบบไปสู่การสร้างศูนย์ให้คำปรึกษาทางธุรกิจเพิ่มขึ้นในพื้นที่ต่าง ๆ เช่น ตลาดจตุจักร แพลตตินัม หรือพื้นที่รอบเกาะรัตนโกสินทร์ และเปลี่ยนพนักงานธนาคารไปสู่พนักงานยุคใหม่ที่สามารถบริหารความมั่งคั่งให้กับลูกค้าได้ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นภายใน 3 ปีนี้จะทำให้ไทยพาณิชย์มีพนักงานลดลงจาก 27,000 คนเหลือ 15,000 คน มีจำนวนสาขาลดลงจาก 1,153 สาขา เหลือ 400 สาขา มีพนักงานประจำสาขาลดลงครึ่งหนึ่งจากที่มีอยู่เดิม และจะมีศูนย์บริการทางการเงินแห่งอนาคตเปิดตัวขึ้นมา 4 แบบ เพื่อรองรับความต้องการของผู้ประกอบการยุคใหม่ ได้แก่ SCB Express, SCB Investment Center, SCB Business Center และ SCB Service Center

สินเชื่อใหม่ ต้อง “High margin”

นอกจากนั้น ธุรกิจสินเชื่อซึ่งเป็นรายได้หลักของธนาคารเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จะเปลี่ยนแปลงไป โดยไทยพาณิชย์จะก้าวไปสู่การเป็นผู้ให้สินเชื่อที่มีผลตอบแทนสูง ซึ่งส่วนหนึ่งจะมาจากการนำปัญญาประดิษฐ์เข้ามาช่วย เพื่อให้ธนาคารสามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างถูกที่ถูกเวลา และมีต้นทุนที่ลดลง

“การให้สินเชื่อในแบบเดิมกำลังถูก Disrupt และจะทำให้ธนาคารไม่สามารถอยู่รอดได้ในอนาคต ในขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ก็ต้องการการซัพพอร์ตที่มากกว่าเดิม ซึ่งไทยพาณิชย์สามารถช่วยได้ด้วยการใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่ธนาคารมีอยู่”

ทั้งนี้ รายได้หลักของธนาคารจะยังมาจาก 3 ธุรกิจหลัก นั่นคือ สินเชื่อธุรกิจ สินเชื่อเพื่อการบริโภค และการบริหารความมั่งคั่งที่ทางธนาคารมีเป้าหมายจะขยายฐานลูกค้าในกลุ่มนี้อย่างมาก ผ่านการนำเทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุน โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการเป็น Digital Platform ขนาดใหญ่ที่ถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและข้อมูล

ความแตกต่างอีกประการหนึ่งที่จะเกิดขึ้นคือการเปลี่ยนวิธีการทำงานและโครงสร้างใหม่เพื่อให้ธนาคารสามารถทดลอง หรือสร้างนวัตกรรมต่าง ๆ ได้ เช่น การตั้งดิจิทัลเวนเจอร์ ในการทำงานกับสตาร์ทอัป หรือ SCB Abacus ที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์เป็นตัวขับเคลื่อน ซึ่งทั้งหมดนี้จะส่งผลให้โครงสร้างรายได้ของธนาคารเริ่มเปลี่ยนไป จากเดิมที่ธนาคารอาจมีรายได้จากค่าธรรมเนียมประมาณ 30% และอีก 70% เป็นรายได้จากดอกเบี้ยไปสู่การมีรายได้จากค่าธรรมเนียมที่ลดลง แต่เมื่อนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยแล้ว ก็จะทำให้ต้นทุนในการบริการลูกค้าลดลงด้วยเช่นกัน ซึ่งในจุดนี้ ไทยพาณิชย์บอกว่าจำเป็นต้องทำ เพื่อให้สามารถผ่านคลื่นแห่งความเปลี่ยนแปลงนี้ไปให้ได้

ทั้งนี้ เป็นไปได้ว่า อีกหนึ่งความกล้าที่ไทยพาณิชย์ในยุคต่อไปจะมีเพิ่มมากขึ้นก็คือ การกล้าที่จะเป็นมากกว่าธนาคาร ซึ่งอาจทำให้เราได้เห็นการจับมือเป็นพาร์ทเนอร์กับธุรกิจอื่น ๆ ได้อีกมากมายผ่านการใช้ข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ให้เกิดประโยชน์ เช่น การจับมือกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจค้าปลีก และอื่น ๆ อีกมากมายด้วย

 

 
Source: thumbsup

from:http://thumbsup.in.th/2018/01/scb-lean-the-bank-ceo-vision-2020/

ตามไปดูเทคโนโลยีเพื่อแสงสว่าง ของเล่นใหม่จาก Philips

ถือเป็นการเปิดตัวนวัตกรรมด้านแสงสว่างที่น่าสนใจทีเดียวสำหรับ Philips Electronics (Thailand) กับวิสัยทัศน์ “แสงต้องเป็นมากกว่าการส่องสว่าง” (Light beyond illumination) ด้วยการผนวกเทคโนโลยี IoT (Internet of Things) กลายเป็น Connected Lighting ให้สามารถควบคุมแสงไฟในหลากหลายแอปพลิเคชัน คาดตอบโจทย์ธุรกิจได้ตรงจุดมากขึ้น

คุณเฉลิมพงษ์ ดรงค์สุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟิลิปส์ อิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “บริษัท Philips ก่อตั้งมากว่า 126 ปีแล้ว แต่ไม่มียุคไหนเลยที่เทคโนโลยีแสงสว่างจะพัฒนาได้มากขนาดนี้ เพราะมันเป็นการเปลี่ยนจากยุค Analog สู่ยุคดิจิทัล (IoT) เปลี่ยนจากหลอดแบบ Conventional สู่หลอด LED เรายังเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานจากที่ต้องมีหลอดกับโคมมาสู่การจับหลอดกับโคมมาอยู่รวมกันเป็นชุดเดียว และที่สำคัญที่สุดคือการเปลี่ยนจากแสงเฉย ๆ กลายเป็นสิ่งที่มากกว่าแสงสว่าง”

“ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านแสงสว่าง เราได้ศึกษาปัญหา เทรนด์การใช้งานและอนาคตของอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อมองหาหนทางใหม่ๆ ในการรองรับและเพิ่มศักยภาพให้กับการใช้งานที่เปลี่ยนไปในอนาคต โดยในโลกที่กำลังก้าวสู่ยุค 4.0 ด้วยเทคโนโลยี “Internet of Things (IoT)” ทำให้เราเล็งเห็นถึงศักยภาพในการนำเทคโนโลยีเข้ามาต่อยอดกับนวัตกรรมแสงสว่าง ทำให้อุปกรณ์สารพัดชนิด ทั้งอุปกรณ์สื่อสาร และอุปกรณ์ไฟฟ้าแสงสว่าง สามารถเชื่อมโยงและสื่อสารถึงกันได้ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และเทคโนโลยีเหล่านี้สามารถใช้สร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับแวดวงการตลาดได้ด้วย”

โดยทาง Philips ได้เลือกนวัตกรรมแสงสว่างอัจฉริยะ Connected Lighting บางส่วนมาจัดแสดงในรูปแบบละครเวทีเพื่อสื่อสารให้เห็นภาพมากขึ้น ได้แก่


Philips Guest by Design: เป็นการผสานระบบไฟแสงสว่างกับระบบอื่นในห้องพัก เช่น ระบบม่าน ระบบเครื่องปรับอากาศ ฯลฯ ยกตัวอย่างการใช้งานในธุรกิจโรงแรมที่พัก เมื่อลูกค้ามีการเช็คอินที่เคาเตอร์ด้านล่างแล้ว ระบบอัตโนมัติจะสั่งการให้ห้องพักที่แขกจองไว้มีการเปิดไฟสร้างบรรยากาศ รวมถึงเปิดหรือปิดม่านเพื่อให้มีระดับของแสงลอดเข้ามาในห้องอย่างเหมาะสม และสามารถเปิดเครื่องปรับอากาศไว้รอได้เลย นอกจากนี้ยังสามารถแจ้งสถานะของห้องไปยังระบบส่วนกลางเพื่อการจัดการห้องพักที่ดียิ่งขึ้นด้วย

Philips Connected PoE (Power over Ethernet): ระบบไฟอัจฉริยะในสำนักงาน ต่อไฟและเชื่อมเน็ตเวิร์กในคราวเดียวด้วยสาย LAN ควบคุมแสงสว่างเฉพาะบริเวณส่วนตัวได้จากสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต ยกตัวอย่างเช่น หากมีพนักงานมาทำงานเพียงรายเดียวก็สามารถเปิดไฟเฉพาะจุดที่พนักงานคนนั้นนั่งทำงานอยู่ได้ ไม่ต้องเปิดทั้งฟลอร์อย่างที่หลายองค์กรทำอยู่ในปัจจุบัน พร้อมมีรายงานข้อมูลเชิงลึกด้านการใช้งาน เพื่อการวิเคราะห์วางแผนอย่างมีประสิทธิภาพ


Philips Indoor Positioning: สำหรับเทคโนโลยีนี้อาจเหมาะสำหรับซูเปอร์มาร์เก็ต หรือห้างสรรพสินค้า โดยเป็นการปรับแสงสว่างจากหลอดไฟของ Philips ที่มีคลื่นความถี่ต่างกันในการนำทางลูกค้าให้ไปยังชั้นวางสินค้าที่ต้องการได้อย่างถูกต้อง (ลูกค้าต้องติดตั้งแอปพลิเคชันของผู้ให้บริการก่อน จากนั้นแอปพลิเคชันจะใช้กล้องดิจิทัลของสมาร์ทโฟนตรวจสอบกับแสงไฟที่ส่องเข้ามาเพื่อตรวจสอบตำแหน่งว่าตนเองอยู่ตรงจุดไหนของร้านค้า และจะได้เกิดการนำทางไปยังชั้นวางสินค้าที่ถูกต้องต่อไป


Philips CityTouch: ระบบการควบคุมไฟถนนอัจฉริยะที่ได้เชื่อมต่อเข้ากับโคมไฟแต่ละโคมผ่านเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ สามารถเปิดปิดหรือตั้งเวลาล่วงหน้าได้ผ่านแอปพลิเคชั่น พร้อมข้อความแจ้งเตือนเมื่อเกิดความผิดปกติกับโคมหรือตู้ไฟ โดยปัจจุบันมีการใช้งานแล้วในลอสแอลเจลลิส สหรัฐอเมริกา หรือบัวเอโนสไอเรส บราซิล ส่วนในภูมิภาค SEA ก็มีกรุงจาการ์ตา อินโดนีเซียและมะละกา ของมาเลเซียด้วย


Philips HealWell: จากเดิมที่ห้องพักฟื้นในโรงพยาบาลจะเปิดหลอดไฟที่ให้แสงสว่างอยู่เป็นประจำ ซึ่งแสงที่สว่างจ้าเกินไปนั้นจะทำให้ผู้ป่วยพักผ่อนไม่เพียงพอ ส่วน “HealWell” จะเป็นแสงที่ใกล้เคียงกับธรรมชาติ เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยมีวงจรการนอนที่ยาวนานขึ้น และฟื้นตัวได้เร็วนั่นเอง

นอกจากนั้นก็ยังมีเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในละครเวทีด้วย ดังนี้

Philips Luminous Textile: ยกระดับการตกแต่งภายในด้วยไฟส่องสว่าง ใช้วัสดุสิ่งทอจาก Kvadrat ผู้ผลิตสิ่งทอชั้นนำจากยุโรป ติดตั้งและควบคุมได้ง่าย

Philips Luminous Carpets™: ผสานเทคโนโลยีฟิลิปส์แอลอีดีเข้ากับพรมคุณภาพของ Desso ผู้ผลิตพรมชั้นนำ สามารถตั้งระบบให้แสดงไฟและข้อความได้ล่วงหน้า

Philips StoreWise: ระบบไฟอัจฉริยะ ยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนได้บนสมาร์ตโฟนหรือแท็บเล็ต สำหรับห้างสรรพสินค้าและร้านค้า

Philips GreenManufacturing: ติดตั้งง่ายแทนโคมเดิมได้ทันที พร้อมฟังก์ชั่น “Daylight Harvesting” และ “Occupancy Control” ทำให้ใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

Philips ArenaExperience: ระบบไฟอัจฉริยะที่เข้าใจง่าย สะดวกต่อการใช้งาน ปิดและเปิดไฟได้ทันที ไม่ต้องรอ สามารถสั่งปรับหรี่ไฟ และการควบคุมในรูปแบบอื่นๆ ได้อย่างเต็มที่

Philips ActiveSite: ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายด้วยโปรแกรมปรับเปลี่ยนเอฟเฟกต์แสงระยะไกลผ่านระบบคลาวด์ (Cloud-based control system) ติดตามสถานะการทำงานของอุปกรณ์ได้ตามเวลาจริง (RealTime)

นอกจากนวัตกรรมอัจฉริยะ Connected Lighting แล้ว ฟิลิปส์ยังเปิดตัวหลอดแอลอีดีรุ่นใหม่ ไม่ว่าจะเป็นหลอดแอลอีดี บัลบ์ ดิมเอเบิล (Philips LED Bulb Dimmable) แบบหรี่แสงได้ หลอดแอลอีดี ซีนสวิตช์ (Philips LED SceneSwitch) ที่สามารถเปลี่ยนสี สร้างบรรยากาศใหม่ให้กับห้องได้เพียงเปิดปิด และชุดผลิตภัณฑ์สวิตซ์และเต้ารับรุ่นออริกามิสไตล์ (Origami Style) เพื่อตอบโจทย์ทุกการใช้งานของผู้บริโภคอีกด้วย

“ในฐานะผู้นำตลาดด้านธุรกิจส่องสว่าง ฟิลิปส์ต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการเพิ่มมูลค่าและพัฒนาธุรกิจในภาคส่วนต่างๆ ด้วยนวัตกรรมที่ตอบโจทย์การลงทุนในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นภาคการท่องเที่ยวและการโรงแรม โรงพยาบาล หรือกับหน่วยงานรัฐ โดยเรามุ่งหวังที่จะสร้างความร่วมมือสำคัญในการวางโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อการต่อยอดที่ยั่งยืนในอนาคต” คุณเฉลิมพงษ์กล่าวปิดท้าย

สำหรับในปี พ.ศ. 2559 บริษัทฯ มียอดขายกว่า 7.1 พันล้านยูโร และปัจจุบัน มีพนักงานกว่า 34,000 คนทั่วโลก

 
Source: thumbsup

from:http://thumbsup.in.th/2017/03/philips-life-beyond-illumination/

ถอดรหัสวิสัยทัศน์ไม้ฝาเฌอร่า นั่งคุยกับผู้บริหาร แบรนด์แกร่ง แข็งขนาดที่ SCG ก็ล้มไม่ได้

ถ้าให้บอกชื่อแบรนด์วัสดุก่อสร้าง หนึ่งในแบรนด์ที่ทุกคนมักพูดติดปาก คือ “ไม้ฝาเฌอร่า” และนี่คือหนึ่งในแบรนด์ที่ชนะได้ทั้งรางวัลบนเวที และยอดขาย เรียกว่าในผลิตภัณฑ์ “วัสดุแทนไม้” เฌอร่า สามารถล้มยักษ์ใหญ่ SCG ลงได้ วันนี้ Brand Inside มีโอกาสได้นั่งคุยกับผู้บริหารของเฌอร่าถึงวิสัยทัศน์ในการนำเอานวัตกรรมเข้ามาใช้ในธุรกิจจนประสบความสำเร็จ

ย้อนกลับไปก่อนแบรนด์เฌอร่า คือกระเบื้องห้าห่วง อันโด่งดัง

ถ้าพูดถึงธุรกิจกลุ่มมหพันธ์ อาจไม่เป็นที่รู้จักเท่ากับผลิตภัณฑ์ที่พวกเขาเคยทำมาในอดีต เพราะก่อนหน้าแบรนด์เฌอร่าที่กลุ่มมหพันธ์กระโดดลงมาทำ พวกเขาได้ทำ “กระเบื้องห้าห่วง” มาก่อนในนามบริษัท โอลิมปิคกระเบื้องไทย จำกัด ตั้งแต่ปี 2517 เป็นธุรกิจระดับครอบครัว เหตุผลในตอนนั้นคืออยากทำธุรกิจที่อยู่อาศัย เพราะคนต้องสร้างบ้านเรื่อยๆ ส่วนผลิตภัณฑ์ก็เริ่มมาจากการทำหลังคาอย่างที่เราเห็นกัน

หากใครยังจำโฆษณากระเบื้องห้าห่วงของนิเชาอันลือลั่นได้เมื่อหลายปีก่อน ลองชมโฆษณาด้านล่างนี้

ประกรณ์ เตชะมหพันธ์ ผู้บริหารของเฌอร่า บอกว่า แม้กระเบื้องห้าห่วงจะได้รับการตอบรับอย่างดีมากในช่วงนั้น แต่ถึงจุดหนึ่งก็ต้องยอมรับว่าแบรนด์มีจุดอ่อน คือกระเบื้องห้าห่วง “ทำได้แค่หลังคา” เพราะเป็นเพียงธุรกิจกระเบื้องลอนคู่ สุดท้ายก็สู้แบรนด์อื่นไม่ได้ และแทบไม่ต้องคิดไปถึงระดับจะไปแข่งกับ SCG เลย เพราะเขาทำได้แบบครบวงจร

แต่ช่วงนั้นก็เริ่มตระหนักแล้วว่าการใช้ “ใยหิน” เป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้คน เป็นเหตุของการเกิดโรค เช่น มะเร็งปอด จึงคิดค้นหาวิธีอื่น จนมาพบกับนวัตกรรม “ไฟเบอร์ซีเมนต์” (Fibre Siemens) โดยเป็นเยื่อไม้ผสมกับซีเมนต์ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แม้ต้องแบกต้นทุนสูงขึ้นถึง 10% แต่ทีมงานก็ทำงานกันอย่างหนัก โดยเฉพาะฝ่ายวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (R&D) นั้นแข็งแรงมาก จึงพัฒนาจนทำให้ต้นทุนใกล้เคียงกับการใช้ใยหินได้ในเวลาต่อมา

จากกระเบื้อง สู่ ไม้ฝา วิสัยทัศน์เฌอร่า คือพัฒนาสินค้าด้วยนวัตกรรม

ผู้บริหารของเฌอร่า เล่าให้ฟังว่า ปี 2540 จึงคิดว่าเราจะทำธุรกิจกันแบบครบวงจรบ้าง แต่จะเริ่มจากอะไร ผลิตภัณฑ์ใหม่ของเราจะเป็นอะไรดี สุดท้ายคำตอบที่ได้ก็ไม่พ้นการใช้ “Innovation” หรือนวัตกรรม คือผลิตภัณฑ์ใหม่ของเราหลังจากนี้ต้องเน้นความสร้างสรรค์ด้านนวัตกรรม

“จนมาลงตัวที่ ไม้ เราศึกษาจาก Need ของคนไทยก่อน เรารู้ว่าคนไทยต้องการสร้างบ้านด้วยไม้ แต่ไม้มีราคาแพง คืออยากได้ไม้ แต่อยากจ่ายน้อยลงหน่อย หลังจากศึกษาโจทย์แล้ว วิธีคิดจึงเปลี่ยนเป็นว่า จะหาผลิตภัณฑ์อะไรที่มาทดแทนไม้ ไม่ใช่เพียงแค่เนื้อสัมผัส แต่คุณสมบัติต้องครบ หรือต้องมากกว่าไม้ทั่วๆ ไป และที่สำคัญคำว่าครบวงจรนี้คือต้องสร้างบ้านได้ทั้งหลัง ซึ่งตอนนี้เราทำได้แล้ว”

ผู้บริหารของเฌอร่า ย้ำว่า คุณสมบัติไม้ของเฌอร่ายังไปไกลกว่าไม้ธรรมดา เป็นต้นว่า กันน้ำได้ กันปลวก โดนไฟก็ไม่ไหม้ แต่ที่สำคัญคือ เลื่อยได้เหมือนไม้ทั่วไป และขึ้นรูปได้ด้วย สิ่งเหล่านี้มาจากนวัตกรรมทั้งสิ้น ที่จะตอบสนองผู้บริโภคได้ เพราะไม้ฝาเฌอร่ามีหน้าตาเหมือนไม้ คุณสมบัติไปไกลกว่าไม้ แต่ราคาถูกกว่าไม้ถึง 1 ใน 3

ได้ผลิตภัณฑ์จากนวัตกรรม แต่ทำการตลาดด้วยไลฟ์สไตล์

ผู้บริหารของเฌอร่า บอกว่า การตลาดของเรานั้นคือการสร้างไลฟ์สไตล์ผ่านแบรนด์ ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจว่าธุรกิจสร้างบ้านนั้นเป็น Low engagement เพราะทั้งชีวิตคุณอาจสร้างบ้านแค่ครั้งเดียว การตลาดของเราจึงเป็นการสร้างความเชื่อมั่น คือทำให้คนคิดเลยว่า “ถ้าสร้างบ้าน ต้องเฌอร่า” ทำให้การคิดลักษณะนี้เป็น Moment of truth ของผู้คนให้ได้ แต่ไม่ใช่แค่ผู้บริโภคเท่านั้น แต่รวมถึงช่างและบริษัทก่อสร้างด้วย

 

“ถ้าเจาะจงไปที่ผู้บริโภค เราต้องขายแบบสร้างแรงบันดาลใจ ต้องสร้างจินตนาการให้ลูกค้าเห็น ต้องตอบโจทย์ความต้องการให้ได้ ต้องให้เขาคิดว่า Brand นี้คือตัวตนของฉัน แม้เราจะเด่นเรื่องนวัตกรรม แต่นวัตกรรมก็ต้องไปพร้อมกับความต้องการของผู้บริโภคด้วย ส่วนช่างหรือผู้รับเหมาก่อสร้าง นอกจากเราจะสร้างเครือข่ายให้แข็งแกร่งด้วยบริการที่ครบครัน เราต้องทำให้ช่าง ผู้รับเหมา หรือสถาปนิกรู้สึกว่าเฌอร่าทำได้มากกว่าที่เขาคิด คือไม้แบบนี้ทำแบบนี้ก็ได้ ไม้แบบนี้วางตรงนี้ก็ได้ ที่สำคัญสินค้าของเราต้องทำให้เขาทำงานเร็วขึ้น ไม่มีปัญหาตามมา และมีกำไร เราต้องทำให้ดี ก็จะเกิดการบอกต่อ”

ยักษ์ใหญ่อย่าง SCG ยังล้มไม่ได้ เฌอร่าเตรียมขยายธุรกิจ

อย่างที่บอกว่า ไม่ว่าจะแข่งกันเวทีไหน เฌอร่าก็ชิงตำแหน่งสวมมงกุฎผู้ชนะในหมวด “วัสดุแทนไม้” มาโดยตลอด เหตุผลส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าคิดค้นผลิตภัณฑ์และทำตลาดไปก่อน แต่สิ่งสำคัญคือการพัฒนานวัตกรรมอย่างไม่หยุดยั้ง อย่างในปีที่แล้วเฌอร่าปล่อยไม้พื้น เฌอร่า คัลเลอร์ทรู สีในเนื้อ ถือเป็นรายเดียวในโลกที่มีนวัตกรรมไม้แบบนี้ หรือล่าสุดในปีนี้ก็ปล่อย ประตูไม้ วงกบ ออกมา จะเห็นได้ว่าเฌอร่าไม่หยุดที่จะพัฒนาตัวเองอยู่ตลอด

หลังจากนี้ เฌอร่าเตรียมขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศในช่วง 3-5 ปีนี้ แต่จะเริ่มต้นแถวๆ ประเทศเพื่อนบ้านก่อนคือ ประเทศกลุ่ม CLMV แต่ก็จะตีตลาดไปยังอินเดีย ตะวันออกกลาง อย่างในพม่า ผู้บริหาร บอกว่า เขาใช้ไม้เฌอร่ากันจำนวนาก เพราะว่าเชื่อมั่นในแบรนด์ ถือว่าเกินครึ่งของส่วนแบ่งในตลาดพม่าที่เฌอร่าครองอยู่

สรุป

รหัสความสำเร็จของธุรกิจกลุ่มมหพันธ์ที่เริ่มต้นจากกระเบื้องห้าห่วงมาจนถึงไม้ฝาเฌอร่าคือ “นวัตกรรม” ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นว่าการวิจัยและพัฒนาเป็นสิ่งสำคัญของโมเดลธุรกิจยุคใหม่ เฌอร่ายังถือเป็นแบรนด์คนไทยที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะมีผลิตภัณฑ์ที่นำหน้าตลาดอยู่เสมอมา ส่วนก้าวต่อไปของเฌอร่าคือการเชื่อมต่อกับระบบดิจิทัล สร้างให้เป็น E-Business ทุกอย่างต้องทำให้จบในที่เดียว

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/shera-vision-business/

เปิดวิสัยทัศน์ AIS’2017 “Digital For Thais” ยิ่งใหญ่ครบทุกมิติ

 

เป็นอีกหนึ่งการแสดงวิสัยทัศน์ที่จบลงได้อย่างงดงามสำหรับ AIS กับวิสัยทัศน์แห่งปี 2017 โดย AIS ประกาศพร้อมนำแพลตฟอร์มทั้งเครือข่าย Mobile, Fix Broadband, แอปพลิเคชัน, บุคลากร และพันธมิตรระดับโลก มาร่วมสนับสนุนการสร้างประเทศไทยสู่ Thailand 4.0 แล้ว

บรรยากาศภายในงานแน่นอนว่าเต็มไปด้วยความตื่นตาตื่นใจกับพันธมิตรมากมายที่ AIS สรรหามาฝากกัน รวมถึงรางวัลการันตีคุณภาพเครือข่าย และพันธมิตรด้าน Business Cloud ซึ่ง AIS ได้แสดงวิสัยทัศน์ในด้านการเป็น Digital Life Service Provider เอาไว้ในสามด้านใหญ่ ๆ ได้แก่

1. ด้านเครือข่าย มีการยกระดับเครือข่ายไปสู่ Next G Network (Gigabit Network) และรองรับการก้าวสู่ 5G เป็นรายแรกของไทย รวมถึงเป็นผู้ให้บริการเครือข่ายรายแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่พัฒนาเครือข่าย Narrowband-IoT (NB-IoT) เพื่อให้รับกับการมาถึงของยุค IoT ในอนาคตได้

2. ด้าน Digital Service มีการจับมือกับผู้ให้บริการคอนเทนต์ยักษ์ใหญ่ระดับโลก อย่าง Fox, HBO, NBA และ Chromecast ที่จะนำคอนเทนต์แบบจัดเต็มมาให้บริการกับผู้บริโภคชาวไทย รวมถึง Microsoft ในการนำ Business Cloud มาให้บริการ

3. AIS Digital For Thais ที่มีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลไปเพิ่มความแข็งแกร่งให้ภาคการเกษตร สาธารณสุข ผู้ประกอบการ OTOP ภาคการศึกษา และ Digital Start Up ให้ได้เข้าถึงโอกาสต่าง ๆ และลดความเหลื่อมล้ำระหว่างชุมชนเมืองกับชนบท

คุณสมชัย เลิศสุทธิวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS กล่าวว่า “ปี 2559 ที่ผ่านมา นับเป็นปีแห่งการก้าวกระโดดของอุตสาหกรรมสื่อสารโทรคมนาคมไทย ที่ปรับตัวครั้งใหญ่เพื่อเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัว การพลิกโฉมธุรกิจไปสู่ดิจิทัลจึงกลายเป็นประเด็นที่ทุกอุตสาหกรรมและรัฐบาลให้ความสำคัญ โดยในส่วนเอไอเอสเองก็ได้มีการ Transform เพื่อให้พร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเครือข่าย,ดิจิทัลเซอร์วิส และบุคลากร

 

ทั้งนี้สังเกตได้จากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดยในส่วนของลูกค้า AIS นั้น มียอดการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่านมือถือสูงถึง 24 ล้านราย ในจำนวนนี้ 12 ล้านราย ใช้งานผ่านมือถือ 4G และใช้อินเตอร์เน็ตวันละ 6 ชั่วโมง โดยพบว่ามีการชมวีดีโอถึง 10 ล้านคลิปต่อวัน รวมถึงอัพโหลดภาพวันละ 1.8 ล้านภาพ

นอกจากนั้น AIS ยังโชว์ผลการทำงานหลังการประมูลคลื่น 1800 MHz และ 900 MHz ที่ใช้เวลาเพียง 300 วันกับการทำให้เครือข่าย AIS 4G ครอบคลุมพื้นที่แล้วกว่า 98% ของพื้นที่ประชากร รวมถึงการนำนวัตกรรมเข้ามาเสริมขีดความสามารถเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาเครือข่าย 4.5G ครั้งแรกในโลก ซึ่งได้มีการประกาศตั้งแต่ต้นปี 2559 จนได้รับการรับรองจาก OOKLA Speed test ว่า AIS เป็นเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่เร็วที่สุดในประเทศไทย

นอกจากนั้น Qualcomm ผู้ผลิตชิพเซ็ตระดับโลกได้ทำการทดสอบและรับรองว่า เครือข่ายของ AIS มีความเสถียรและสนับสนุนการใช้งานของ Smart Phone รุ่นใหม่ๆที่ดีที่สุด พร้อมทั้งเป็นเครือข่าย 4G Roaming ที่ใหญ่เป็นอันดับ 1 ในเอเชีย (182 ผู้ให้บริการใน 150 ประเทศ)

ส่วน AIS Fibre ก็มีการขยายโครงข่ายผ่านไปยังชุมชนแล้วมากกว่า 5 ล้านครัวเรือน โดยมีปริมาณลูกค้าใช้งาน ณ สิ้นปี 59 อยู่ที่ 3 แสนราย และเพิ่มขีดความสามารถในการติดตั้งได้ใกล้เคียงกับผู้ให้บริการรายเดิม แม้จะเปิดให้บริการมาเพียง 2 ปีเท่านั้น

“ปี 2560 ในภาพรวมเราเชื่อว่าการใช้งานอินเตอร์เน็ตจะเติบโตถึง 300% โดยตลาดที่เติบโตมากที่สุดคือ Fix Broadband และกลุ่มการใช้งานของอุปกรณ์ IoT ที่เข้ามาในตลาดอย่างชัดเจน อาทิ Wearable, Machine2Machine ซึ่งถือว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนในการสร้างโอกาสใหม่ๆ ยกระดับการบริหารจัดการธุรกิจและการใช้ชีวิตของคนไทยไปอีกขั้น  ทั้งนี้เราคาดการณ์ว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า เศรษฐกิจดิจิทัลของไทยจะทำให้อุตสาหกรรมหลักแต่ละด้านเติบโตอย่างก้าวกระโดด จากการขยายตัวเข้าถึงทุกพื้นที่ของ Digital Infrastructure 3 ส่วนหลัก คือ อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง, สมาร์ทโฟนที่เติบโตมากกว่า 70 ล้านเครื่อง และ IoT มากกว่า 20 ล้านรูปแบบ”

สำหรับแผนงานในปี 2560 นั้น นายฮุย เวง ชอง กรรมการผู้อำนวยการ AIS กล่าวว่า “เครือข่ายของ AIS ทั้งหมด จะก้าวไปสู่  “เครือข่ายดิจิทัล ที่รองรับการใช้งานระดับกิกะบิท (Gigabit Network)” เป็นครั้งแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยในส่วนของเครือข่ายไร้สายนั้น ด้วยเทคโนโลยีล่าสุด Multipath TCP ทำให้เพิ่มความเร็วได้ถึง 10 เท่าของเครือข่าย LTE และ เร็วขึ้นอีก 4 เท่าของเครือข่าย Tri Band LTE Advance สำหรับเครือข่าย AIS Wifi ก็จะก้าวสู่ Gigabit Super Wifi เช่นกัน (ด้วยมาตรฐาน 802.11 ac Wave 2) และแน่นอนว่า เครือข่าย AIS Fibre ก็จะพร้อมรองรับการใช้งานได้ถึง 10 กิกะบิทด้วยเช่นกัน”

“ซึ่งจากพื้นฐานดังกล่าว  ย่อมนำมาซึ่งความพร้อมในการต่อยอดสู่เทคโนโลยี IoT ที่เป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานประเทศ จุดประกายในการพัฒนาบริการสาธารณะต่างๆ ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม และพร้อมก้าวสู่ Smart City อย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงการเปิดตัวเครือข่าย Narrowband IoT สำหรับรองรับการใช้งานอุปกรณ์ IoT ต่างๆ ด้วย”

นายฮุย เวง ชอง กล่าวเพิ่มเติมว่า “เมื่อโครงข่ายมีขีดความสามารถรองรับการใช้งานระดับกิกะบิทแล้ว เราจึงพร้อมตอบสนองความต้องการผู้ใช้บริการในยุคปัจจุบันด้วยคลังวีดีโอ คอนเท็นต์ จากสุดยอดพาร์ทเนอร์ตัวจริง ทั้งในและต่างประเทศ ผ่าน AIS Play และกล่อง AIS Play Box   โดยพร้อมเปิดตัวเป็นครั้งแรกเพื่อคนไทยกับ ช่อง FOX Networks, HBO, NBA รวมไปถึง Chromecast ที่จะทำให้โลกแห่งการชมวีดีโอคอนเท็นต์ไร้ขีดจำกัด”

“สำหรับภาคธุรกิจ ซึ่งเป็นหัวใจหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศนั้น AIS ได้ร่วมมือกับ Microsoft ยกระดับ AIS Business CLOUD ด้วยมาตรฐานระดับโลก ซึ่งทำให้สามารถตอบสนองความต้องการของภาคธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย”

การออกมาเผยถึงวิสัยทัศน์ของ AIS ในครั้งนี้ อาจเป็นการแสดงให้เห็นถึงความพร้อมของภาคเอกชนในการขับเคลื่อนประเทศไทยตามนโยบาย Thailand 4.0 ซึ่งเมื่อคิดถึงอีกด้านหนึ่งว่า คู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกันกับ AIS จะรับชมด้วยความรู้สึกอย่างไรนั้น เป็นสิ่งที่คาดเดาได้ไม่ยากเลย

 

 
Source: thumbsup

from:http://thumbsup.in.th/2017/02/ais-vision-2017-digital-for-thais/

Kinema Systems ระบบหุ่นยนต์ที่หยิบกล่องมั่ว ๆ บนพาเลทได้

kinema-systems

หุ่นยนต์ถูกใช้มากในงานเคลื่อนย้ายสิ่งของ (material handling) ในโรงงานและคลังสินค้า แต่มีงานอย่างหนึ่งที่ดูง่ายสำหรับมนุษย์แต่ยากสำหรับหุ่นยนต์ คือการหยิบกล่องหลากหลายรูปแบบที่จัดเรียงกันแน่นบนพาเลทออกมา แต่ Kinema Systems สตาร์ตอัปจากแคลิฟอร์เนียมีระบบที่แก้ปัญหานี้มาเสนอ

การหยิบกล่องที่เรียงเป็นรูปแบบที่รู้ล่วงหน้านั้นไม่ยาก หุ่นยนต์สามารถเคลื่อนที่ไปยังตำแหน่งที่กำหนดไว้ล่วงหน้าได้ แต่ถ้ากล่องเรียงตัวกันมั่ว สิ่งที่ยากสำหรับหุ่นยนต์คือวิเคราะห์ให้ได้ว่ากล่องไหนอยู่ตรง และจะหยิบอย่างไร

Kinema Systems ก่อตั้งโดย Chitta และ Dave Hershberger นักวิจัยด้านหุ่นยนต์ที่เคยทำงานที่ Willow Garage และ SRI International ตัว Chitta เองและทีมของเขาพัฒนาองค์ประกอบจำนวนมากที่เกี่ยวกับการวางแผนการเคลื่อนไหวของแขนหุ่นยนต์ใน ROS

ระบบที่ Kinema Systems นำเสนอเป็นระบบที่ใช้งานง่าย เพียงแค่ติดตั้งระบบการมองภาพ กำหนดว่าพาเลทจะอยู่ตรงไหน จะหยิบกล่องไปวางที่ไหน แล้วสอนให้ระบบรู้จักกล่องจำนวนหนึ่ง จากนั้นระบบจะเริ่มหยิบกล่องแล้วค่อย ๆ เรียนรู้เพิ่มเติมเอง

ความท้าทายของระบบคือ เมื่อพาเลทมาในตอนแรกจะมีกล่องเต็มแน่นไปหมด กล่องแรกที่จะหยิบนั้นยากที่สุด เพราะแยกแยะได้ยากว่ากล่องอยู่ตรงไหน ซึ่ง Kinema บอกว่าวิธีที่ระบบนี้ทำนั้นเป็นความลับ เมื่อกล่องแรกถูกหยิบไปแล้ว ก็จะวิเคราะห์ตำแหน่งและขอบเขตของกล่องต่อ ๆ ไปได้ง่ายขึ้น

ก่อนหน้านี้ก็ Industrial Perception Inc. (ที่โดน Google ซื้อไป) พยายามแก้ปัญหานี้ แต่ทาง Kinema บอกว่า ถ้าสังเกตดี ๆ วิดีโอที่ Industrial Perception สาธิตนั้น กล่องจะมีระยะห่างจากกันเล็กน้อย นั่นทำให้ตรวจจับตำแหน่งกล่องได้ง่าย แต่ในการขนส่งสินค้าจริงนั้น กล่องจะถูกจัดเรียงมาอย่างแน่น

ภาพและที่มา IEEE Spectrum

from:https://www.thairobotics.com/2016/04/22/kinema-systems/

[บทความแปล] วิสัยทัศน์ที่แตกต่างระหว่าง Apple และ Microsoft

วิวัฒนาการของ Microsoft ในช่วงไม่กี่ปีหลังมานี้ ดูเหมือนว่าจะนำพาให้ Microsoft เข้าไปใกล้กับ Apple มากกว่าที่ผ่านๆมา อย่างที่ทราบกันดีว่าตอนนี้ Microsoft นั้นมีการวางจำหน่ายทั้งโทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ตของตัวเองและไหนจะมีการปล่อยอัพเดท OS ฟรีๆอย่างที่มีข่าวกันไปก่อนหน้านี้ว่า Windows 10 จะปล่อยให้โหลดฟรีนั่นเอง และนอกจากนั้นตอนนี้ทาง Microsoft ก็มีสาขามากมายที่กระจายไปทั่วโลกอีกด้วย ในความเป็นจริงแล้วสาขาระดับเรือธงของ Microsoft เองก็ตั้งห่างออกไปจากร้านของ Apple เพียงไม่กี่บล็อคเท่านั้นใน Fifth Avenue  ถึงแม้ว่าทั้ง 2 บริษัทนี้จะมีความคล้ายคลึงกันเพียงใด แต่หากเรามองลึกลงไปในความเหมือนนั้น เราจะพบกับความแตกต่างทางวิสัยทัศน์ของทั้ง 2 บริษัทครับ

สำหรับ Apple อนาคตของคอมพิวเตอร์ส่วนตัวหรือที่เราคุ้นหูกันในนาม PC คือ การทำให้มันกลายมาเป็นคอมพิวเตอร์ส่วนตัวที่มีความส่วนตัวยิ่งขึ้น ซึ่งหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของ Apple อย่างชัดเจนนั้น คงจะเป็นสิ่งที่เราเห็นกันไปล่าสุดกับไอเดียการออกแบบของ Apple Watch ที่มีการออกแบบมาเพื่อเน้นให้ใช้ได้กับผู้ใช้เพียงคนเดียว เพราะอุปกรณ์ตัวนี้จะเรียนรู้เพื่อจะรู้จักกับผู้ที่สวมใส่ตัวมันอยู่นั่นเองครับ ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งหนึ่งที่แสดงให้เห็นแล้วว่า Apple Watch เป็นอะไรที่ควรถูกเรียกว่า”ความเป็นส่วนตัว” มากกว่าจะเป็นเพียงอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งเท่านั้น Apple-CEO-Tim-Cook-NYT-story-2014

ส่วนสำหรับ Microsoft นั้นได้ให้คำจำกัดความอนาคตของบริษัทไว้ว่า”ประสบการณ์ความเป็นส่วนตัวที่มากกว่า” ซึ่งนั่นไม่ได้จำกัดไว้เพียงแค่เพียงอุปกรณ์เท่านั้น และนั่นก็นำไปสู่ความแตกต่างของทั้ง 2 บริษัทอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตามถึงแม้จะมีวิสัยทัศน์ที่แตกต่างก็ไม่ได้ทำให้ทั้ง 2 บริษัทนี้เข้ากันไม่ได้ซะทีเดียว เพราะในความเป็นจริงแล้วทั้ง Apple และ Microsoft ก็ใฝ่หาในสิ่งที่เรียกว่าเป้าหมายเดียวกันคือ รูปแบบที่จะเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการนั่นเองครับ

microsoft-just-finished-its-latest-round-of-layoffs--heres-what-you-need-to-know

จริงๆแล้วทุกวันนี้สองยักษ์ใหญ่ในวงการเทคโนโลยีก็เข้ากันได้มากขึ้นแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ในประวัติศาสตร์ความสัมพันธุ์ที่ผ่านมาระหว่าง Apple และ Microsoft นั้นมักจะเป็นการเผชิญหน้ากันมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็น Surface กับ iPad ,Zune กับ iPod หรือ PC กับ Mac จะบอกว่าทั้งคู่นั้นเป็นคู่แข่งกันในการที่จะมอบสิ่งต่างๆที่เหล่าผู้ใช้ต้องการก็ไม่ผิดนัก และตอนนี้ทาง Microsoft เองก็เริ่มยอมรับในอำนาจของ Android และ iOS แล้วว่าทั้งคู่เป็นระบบปฏิบัติการที่ดีที่สุดของสมาร์ทโฟน แต่ก็เหมือนจะยังพอมีที่ว่างสำหรับทั้ง Apple และ Microsoft ที่จะทำงานร่วมกันในอุปกรณ์เดียวกันอยู่ ตัวอย่างล่าสุดที่ได้แสดงให้เห็นถึงการทำงานร่วมกันก็มีให้เห็นมาแล้ว อย่างในงานสัมนา Microsoft’s Build 2015 ที่ผ่านมาได้มีการกล่าวถึง Uber add-on สำหรับ Outlook ใน iPad ที่จะอนุญาติให้ผู้ใช้สามารถทำการจองบริการ Uber ผ่านทางหน้า Calendar หรือปฏิทินบน iPad ได้นั่นเองครับ

นอกจากนี้ Microsoft กำลังทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยกำลังที่ตัวเองมีเพิ่อที่จะทำลายกำแพงความแตกต่างของสมาร์ทโฟนและแพลตฟอร์มต่างๆ โดยเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าทาง Microsoft ได้ออกมาแสดงวิธีการพอร์ทแอพใน Android และ iOS มาใน Windows และนอกจากนั้นทาง Satya Nadella ยังมีการพัฒนาฮาร์ดแวร์ให้ดีขึ้นและต้องมั่นใจว่าผู้ใช้สามารถเข้าถึงได้ในราคาที่ไม่สูงนักอีกด้วย ซึ่งแตกต่างจากในยุคที่นาย Steve Ballmer เป็นคนกุมบังเหียนของ Microsoft นั่นเองครับ และอย่างที่เราทราบกันดีว่าตอนนี้เป้าหมายของ Microsoft คือการทำ universal app หรือแอพที่สามารถใช้งานได้ในทุกๆอุปกรณ์ ตรงกันข้ามกับ Apple ที่ยังคงเน้นไปในส่วนที่แคบกว่า อย่างล่าสุดที่มีการพัฒนาให้ Mac สามารถรับสายโทรศัพท์และรับ SMS ได้ แต่สามารถทำได้เฉพาะ iPhone กับ Mac เท่านั้น และหากว่าเราใช้ iPhone อยู่การที่จะทำงานร่วมกันระหว่าง สมาร์ทโฟนจาก Android หรือ Windows แท็บเล็ตนั้นกลับเป็นไปไม่ได้เลยครับ

Apple ยังคงทำในสิ่งที่ทำสำเร็จอยู่ตลอด ขณะที่ Microsoft เลือกที่จะพัฒนาในสิ่งที่แตกต่าง

จะเห็นได้ว่าทุกๆครั้งเมื่อ Apple เปิดตัวซอฟท์แวร์ตัวใหม่หรือการบริการใหม่ๆสู่อุปกรณ์ของทางบริษัท เหมือนว่าทางบริษัทจะมีเจตนาให้อุปกรณ์ที่ออกมาใหม่นั้นไม่เป็นส่วนหนึ่งหรือพูดง่ายๆว่าต้องการให้แยกออกจากอุปกรณ์ตัวเก่าๆ ซึ่งแตกต่างจาก Microsoft ที่ทำในสิ่งที่สวนทางกับ Apple โดยสิ้นเชิง ถึงแม้ว่าบริษัท Apple นั้นเป็นบริษัทที่ดูจะชอบการผสมผสานทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟท์แวร์และบริการต่างๆเข้าด้วยกัน แต่รายได้ของบริษัทที่แสดงให้เห็นทุกๆปีนั้นเป็นสิ่งที่ยืนยันไดว่าบริษัทเน้นไปในเรื่องของฮาร์ดแวร์เป็นหลักแน่นอน และนอกจากนี้ทุกๆอุปกรณ์ที่ Apple ออกแบบมานั้น เหมือนจะมีเจตนในการขายอุปกรณ์อื่นๆพ่วงเข้ามาด้วย อย่าง iPhone iPad หรือจะเป็น Mac ก็ตาม อย่างที่เราเห็นว่า Apple Watch นั้นก็เหมือนเป็นเครื่องประดับที่หรูหราที่สุดสำหรับ iPhone นั่นเองครับ

ขณะที่ Apple ยังคงตั้งหน้าตั้งตาขายฮาร์ดแวร์ต่างๆของบริษัท Microsoft กลับให้ความสนใจในเรื่องของจำนวนผู้ใช้ เพราะในการเลือกที่จะปล่อยให้ Office สามารถใช้งานได้ฟรีบน Android และ iOS นั้นดูเหมือนจะเป็นการตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ของ Microsoft เลยทีเดียว เพราะมันไม่ต่างอะไรกับการให้อาวุธไปกับคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดอย่าง Android และ iOS เลยล่ะครับ แต่เหมือนว่าทาง Microsoft จะคิดถึงแผนในระยะยาวมากกว่าที่จะมากังวลถึงผลเสียที่เกิดขึ้นในตอนนี้ เพราะจากการคาดการณ์ทาง Microsoft น่าจะต้องการดันให้ Office กลายเป็นแอพที่ได้รับความนิยมและมีผู้ใช้จำนวนมากขึ้นนั่นเองครับ

ซึ่งมันก็เป็นสิ่งเดียวกันกับที่ทาง Facebook พยายามที่จะดันให้ Messenger เป็นแพลตฟอร์มตัวหนึ่ง เพราะจะมีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆเข้าไปให้กับ Messenger ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์และการบริการที่เป็นเอกลักษณ์มากขึ้น เช่นเดียวกันกับ Line จากกญี่ปุ้นและ WeChat ในจีน ที่มีการใส่ฟีเจอร์ต่างๆเข้าไปในแอพไม่ว่าจะเป็นการส่งข้อความหาผู้ใช้ด้วยกันเอง การเล่นเกมส์ในแอพ และการชำระเงินผ่านมือถือ นอกจากนั้นยังมีการใส่บริการรถ Taxi เข้าไปด้วย ซึ่งนั่นก็แสดงให้เห็นแล้วว่าแอพต่างๆสามารถได้รับความนิยมได้ด้วยวิธีการเหล่านี้ ซึ่งแน่นอนว่าทาง Apple เองก็จะทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นบนแพลตฟอร์มของทาง Apple เองเช่นกัน

อุปกรณ์ต่างๆเหมือนจะไม่มีความหมายกับ Microsoft มากนักแต่กลับสำคัญมากสำหรับ Apple

สิ่งที่เรียกว่า “แพลตฟอร์ม” ได้ถูกนำไปใส่ในหลายๆสิ่งที่แตกต่างกัน ซึ่งนั่นทำให้เรารู้สึกว่ามันไม่มีความหมายอะไรอีกแล้วในตอนนี้ แต่อย่างไรก็ตามมันก็มีความหมายที่ค่อนข้างตรงไปตรงมาที่สุดในโลกของเทคโนโลยีเลยล่ะครับ เพราะว่าแพลตฟอร์มก็เป็นเหมือนช่องว่างที่คุณเป็นเจ้าของ มีอำนาจและสามารถที่จะทำให้มันดูน่าดึงดูดสำหรับคนอื่นๆเพื่อที่จะยอมให้เค้าเหล่านั้นยอมจ่ายเงินเพื่อให้ได้ครอบครองนั่นเอง

เหมือนกับ App Store และ iPhone ที่เป็นแพลตฟอร์มของทาง Apple และมันยังเป็นเหมือนคฑาสายฟ้าที่นำทุกๆคนเข้ามาใช้ในแพลตฟอร์มของ Apple นั่นเองครับ และเหมือนว่าตอนนี้ทาง Microsoft กำลังพยายามที่จะสร้างระบบปฏิบัติการของตัวเองให้ดูเหนือกว่าสิ่งนั้น และรูปแบบหลักที่ Microsoft กำลังทำนั้นก็คือการปล่อยให้ดาวน์โหลดซอฟท์แวร์ไปใช้ในแบบที่ฟรี ซึ่งดูเหมือนจะโน้มเอียงไปทางธุรกิจของ Apple แต่ไม่ได้เกิดในช่วงของนาย Steve Ballmer ผู้เป็น CEO คนก่อนของ Microsoft นอกจากนั้น Microsoft ตอนนี้เองก็เหมือนจะมีการทำงานร่วมกันกับ Google ด้วย ในการทำพิมพ์เขียวเพื่อความสำเร็จของชุดบริการฟรีบนแพลตฟอร์มภายนอก

แน่นอนว่าอนาคตของเทคโนโลยีเพื่อความเป็นส่วนตัวนั้นก็คือสมาร์ทโฟน ซึ่งก็ดูจะไม่ได้มีปัญหาอะไรมากนัก เพราะว่าสำหรับ Apple โทรศัพท์มือถือก็คือ อุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ ในทางตรงกันข้ามสำหรับ Microsoft นั้นโทรศัพท์มือถือก็คือ ประสบการณ์ที่เป็นมากกว่าอุปกรณ์ แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะเป็น Android ,iPhone หรือ Windows พื้นฐานของระบบปฏิบัติการทั้งหมดก็คือ การสร้างและออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้

จริงๆแล้วฮาร์ดแวร์เหมือนว่าจะไม่สำคัญกับ Microsoft เท่าไรนัก แต่ในขณะเดียวกันมันกลับเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งต่อ Apple เพราะนั้่นจะเป็นเหมือนการแสดงให้เห็นถึงนวัตกรรมที่แต่ละบริษัทกำลังมุ่งเน้นและก้าวเดินไป และสำหรับ Apple นั้นมุ่งเน้นไปในเรื่องของการทำใหอุปกรณ์ต่างๆบางขึ้น เบาขึ้น ดีขึ้นและสามารถทำงานได้เร็วขึ้น แต่สำหรับทาง Microsoft นั้นดูเหมือนว่าจะยังคงไล่ล่าความทะเยอทะยานของตัวเองอยู่ เพื่อที่จะสร้างมิติใหม่ในการใช้งานให้กับผู้ใช้ อย่างที่เห็นว่าตอนนี้ทาง Microsoft ก็กำลังพัฒนาเกี่ยวกับอุปกรณ์ที่ใช้แสดงโลกเสมือนอย่าง HoloLens นั่นเองครับ

 

ที่มา : Theverge

 

ทัศนคติผู้เขียน

สำหรับบางคนที่อ่านแล้วยังงงๆ ผมขอสรุปให้เข้าใจสั้นๆแบบนี้ว่าถึงแม้ทั้ง 2 บริษัทจะมีความคล้ายคลึงกัน แต่วิสัยทัศน์ของทั้งคู่นั้นกลับแตกต่างกัน

โดยที่วิสัยทัศน์ของ Apple นั้นถึงแม้จะมุ่งเน้นไปที่ความเป็น Personal หรือปัจเจก เอกลักษณ์ แต่ทาง Apple จะมุ่งเน้นไปในทาง Hardware เสียมากกว่าพูดง่ายๆคือการผลิตฮาร์ดแวร์ให้ผู้ใช้รู้สึกถึงความเป็น Personal Device และเน้นในเรื่องของการใช้งานร่วมกันของอุปกรณ์ที่บริษัทผลิตขึ้นเท่านั้น

ซึ่งแตกต่างจาก Microsoft ที่ยังคงไล่ตามฝันของตัวเองแบบไม่หยุดหย่อน ที่ยังพยายามหาคำว่า More  Personal Experiences หรือประสบการณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ เป็น Personal มากกว่า ซึ่งจะไม่ได้เน้นไปที่ Hardwere เหมือนกับทาง Apple นอกจากนั้น Microsoft ยังคงเน้นเรื่องของจำนวนผู้ใช้ด้วยการทำให้อุปกรณ์ต่างๆที่วางจำหน่ายลงมาในตลาดมีราคาที่ทุกคนเอื้อมถึงง่ายขึ้น และนอกจากนี้ยังยอมเข้าไปในแพลตฟอร์มอื่นๆอย่าง iOS และ Android เพื่อให้ผู้ใช้ได้เข้าถึงง่ายขึ้นนั่นเองครับ

Apple is Personal Device/Machine

Microsoft is More Personal Experience 

from:http://www.appdisqus.com/2015/05/10/apple-watch-microsoft-hololens-us-future-vision-compete.html