คลังเก็บป้ายกำกับ: VR

หรือนี่คือ Vison Pro รุ่นราคาถูก? Apple จดสิทธิบัตรแว่น VR / AR ที่ใช้ iPhone หรือ iPad เป็นจอแสดงผล

Vision Pro แว่น VR/AR ที่ Apple เรียกว่า Spatial Computer เปิดตัวมาด้วยราคาที่ทำเอาคนอยากลองของล้ำ ๆ ต้องขนลุกขนพองเพราะน่าจะซื้อกนไม่ไหว และหลังจากนั้นไม่นานก็มีข่าวว่าอาจจะมีแว่น Vision รุ่นราคาถูกออกมาในปี 2025 ด้วย…ล่าสุดมีข่าวออกมาอีกรอบว่า Apple จดสิทธิบัตรแว่น VR/AR ที่ต้องเอา iPhone หรือ iPad มาใช้เป็นหน้าจอ คล้าย ๆ Gear VR ของค่าย Samsung นั่นเอง

ข้อมูลเกี่ยวกับการจดสิทธิบัตรดังกล่าวพึ่งถูกค้นพบในอาทิตย์นี้เอง โดยแหล่งข่าวบอกว่าอุปกรณ์ชิ้นนี้เป็นประเภท Head Mount Display (HMD) ที่ต้องเอามือถืออย่าง iPhone หรือ iPad มาใส่ประกอบกัน ออกมาเป็นอุปกรณ์ Mixed reality ที่ใช้มือถือและแท็บเล็ตเป็นตัวประมวลผล

ตามข้อมูลในสิทธิบัตรบอกว่าอุปกรณ์ดังกล่าวจะมีรูปร่างเป็นแว่นแบบ Goggles ที่มีสายรัดหัวปรับขนาดได้ ส่วน iPhone / iPad ก็จะเอามาใส่ไว้ที่ด้านหน้าเพื่อเป็นจอแสดงผลเหมือนกับแว่น Gear VR ของ Samsung ที่ตอนนี้หยุดพัฒนาไปแล้ว (แต่ยังไม่เข้าใจว่าถ้าใช้ iPad มาเสียบ มันจะไม่ใหญ่และหนักเกินไปเหรอ?)

น่าจะออกมาคล้าย ๆ กับ Gear VR แบบนี้

แม้ว่าหลาย ๆ บริษัทมักจะจดสิทธิบัตรเทคโนโลยีใหม่ ๆ เอาไว้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะออกมาเป็นสินค้าขายจริงทุกชิ้นนะครับ เพราะบางทีก็แค่จดไว้เฉย ๆ เท่านั้น…แต่จากที่มีข่าวว่า Apple จะพัฒนาแว่น Vision รุ่นราคาถูกออกมา ก็ไม่แน่เหมือนกันนะ ว่าสุดท้ายอาจจะออกมาเป็นแว่นที่ต้องใช้คู่กับมือถือเพื่อลดต้นทุนลงก็ได้

 

ที่มา : AndroidAuthority

from:https://droidsans.com/apple-patent-vr-headset-use-iphone-as-display/

ตอบคำถาม Apple Vision Pro จากประสบการณ์ของสื่อต่างประเทศที่ได้ทดลองใช้มาแล้ว

หลังจากที่ Apple เปิดตัวแว่น Vision Pro ไปในงาน WWDC 2023 จนทำเอาหลาย ๆ คนรู้สึกว้าวกันเต็มที่ เพราะมันแทบจะเหมือนหนัง Sci-Fi เข้าไปทุกที ๆ แน่นอนว่าคนที่ได้ดูพรีเซ้นท์การใช้งานของอุปกรณ์สุดล้ำตัวนี้ก็ต้องอยากลองกันบ้างล่ะ ว่ามันจะเจ๋งจริงรึเปล่า และมันเอามาทำอะไรได้บ้าง เหมาะกับใคร หรือมีข้อจำกัดตรงไหน…แม้ว่าทาง Droidsans จะไม่ได้ไปลองตัวจริงให้ดู แต่เราก็ขอรวบรวมประสบการณ์การใช้งานจริงจากสื่อหลาย ๆ สำนักมาให้ดูกัน ว่าเค้าคิดยังไงกับเจ้า Vision Pro กันบ้างครับ

สำหรับคนที่ยังไม่ค่อยเก็ตว่า Vision Pro คืออะไรกันแน่ มันเป็นแค่แว่น VR / AR เหมือนกับของค่ายอื่น ๆ ในตลาดรึเปล่า ก็ไปดูข้อมูลเพิ่มเติมกันได้จากบล็อก “รวมข้อมูล Apple Vision Pro จริง ๆ แล้วมันคืออะไร ใช้ทำอะไรได้บ้าง?” เลยครับ ส่วนคนที่เก็ตแล้ว ก็มาดูฟีดแบ็คจากสื่อต่างประเทศหลาย ๆ สำนักกันซะหน่อย ว่ามันว้าวจริงมั้ย

การแสดงผลชัดเจนแค่ไหน?

หน้าจอของ Vision Pro ทั้งซ้าย-ขวา มีความละเอียดสูงถึงข้างละ 4K เป็นจอแบบ micro-OLED ที่ให้ภาพแบบคมกริบ ละเอียดยิบ และสีสันสดสวยสมจริง แถมยังครอบด้วยเลนส์ ZEISS เพิ่มความชัดเจน และลดความผิดเพี้ยนของมุมมองด้านในด้วย

จากประสบการณ์ของสำนักข่าวสายเทคหลาย ๆ เจ้า บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า Vision Pro แสดงผลทั้งภาพจากแอป และภาพจากภายนอกได้แบบชัดเจนเหมือนตาเห็นจริง ๆ

คนใส่แว่นสายตาใช้ได้มั้ย?

Vision Pro มีขนาดที่ค่อนข้างเล็กหากเทียบกับพวกแว่น VR อื่น ๆ ในตลาดที่ถูกออกแบบมาให้ใส่แว่นสายตาซ้อนไว้ได้ นั่นหมายความว่าคนที่ใส่แว่นสายตา ต้องถอดแว่นออกก่อนถึงจะใช้ Vision Pro ได้ ทีนี้ก็เกิดคำถามแล้วว่าแบบนี้คนสายตาสั้น/ยาว/เอียง จะมองชัดเหรอ?

ตรงนี้แหละคือปัญหาของคนที่มีปัญหาสายตา เพราะจะต้องซื้ออุปกรณ์เสริมที่ต้องเอาเลนส์สายตาของเราไปแปะเพิ่มในตัว Vision Pro (เป็นคลิปเลนส์แบบใช้แม่เหล็กติด) ถึงจะใช้งานได้แบบชัดเจน ซึ่งเลนส์ดังกล่าวจะผลิตโดย ZEISS และต้องเป็นเลนส์ที่รองรับการใช้ Eye Tracking รวมถึงการสแกนม่านตาเพื่อเข้าบัญชีด้วย เดาไว้ก่อนเลยว่าราคาไม่น่าจะถูก ๆ เลยล่ะ

เล็กเกินกว่าที่จะใส่แว่นสายตาข้างในได้

เลนส์แว่นเป็นแบบใสรึเปล่า ทำไมมองเห็นหน้าคนใส่ด้วย?

จากที่เราเห็นภาพของ Vision Pro ตามเว็บไซต์ต่าง ๆ หรือตามคลิปวิดีโอ จะเหมือนว่ามันเป็นเลนส์โปร่งใสที่ตอนใส่แล้วจะมองเห็นหน้าคนใส่ได้ด้วย แต่จริง ๆ แล้วเลนส์ด้านนอกเป็น “หน้าจอ 3D” ที่จะแสดงภาพบริเวณดวงตาของผู้ใส่ออกมาให้คนด้านนอกเห็นได้ ซึ่งหน้าจอดังกล่าวเป็นแบบ 3 มิติ ที่คนมองด้านนอกจะเห็นหน้าเราตามองศาที่มอง ทำให้เหมือนว่ามองหน้าคนใส่แว่นที่เป็นเลนส์ใสจริง ๆ ไม่ใช่แค่เป็นจอ 2 มิติ แบน ๆ มองแล้วรู้สึกแปลก ๆ

เหตุผลที่ Vision Pro ถูกออกแบบมาให้แสดงหน้าของคนใส่แบบนี้ก็เพราะ คนภาพนอกจะได้รู้ว่าตอนนั้นเรากำลังมองโลกภายนอกอยู่ ไม่ใช่ทำเป็นเนียนใส่แว่นดูหนัง แต่จริง ๆ แล้วแอบมองอยู่นั่นเองครับ และพอคนใส่กลับเข้าสู่โลกเวอร์ชวลแบบที่ไม่ได้มองโลกภายนอกปุ๊บ หน้าจอก็จะเปลี่ยนเป็นกราฟิกสีสันมัว ๆ แทน

ในฝั่งของคนใส่ก็จะมองเห็นโลกภาพนอกได้แบบชัดเจน ซึ่งการมองออกไปข้างนอกจะใช้กล้องสีที่ติดไว้ตรงด้านนอกของตัวแว่น (เรียกว่าโหมด Passthrough) จากประสบการณ์ของคนที่ได้ลองแล้วบอกว่ามันเป็นแว่นที่มีโหมด Passthrough ชัดเจนที่สุดเท่าที่เคยใช้มา แถมยังไม่มีอาการ Lag ให้เวียนหัวด้วย คือเรียกว่ามันแสดงผลได้แบบเรียลไทม์เหมือนว่ามองผ่านเลนส์ใสจริง ๆ เลย

เทคโนโลยี Eye Tracking ใช้สายตาแทนเมาส์ แม่นแค่ไหน?

Vision Pro ไม่มีคอนโทรลเลอร์มาให้เหมือนกับพวก VR Headset ทั่วไป ทำให้เวลาจะเลือกแอป เลือกปุ่มกด เลือกเมนูต่าง ๆ ต้องใช้เทคโนโลยี Eye Tracking แทน โดยเทคโนโลยีดังกล่าวจะใช้เซนเซอร์ที่อยู่ด้านในของแว่นเพื่อจับการเคลื่อนไหวของดวงตาแทนการใช้เมาส์หรือเคอเซอร์ สมมุติตอนเปิดเครื่องขึ้นมาแล้วต้องการเลือกแอป Safari เราก็แค่จ้องไปที่ไอค่อนของแอปดังกล่าว จากนั้นก็จีบนิ้วแทนการคลิกเพื่อเปิดแอปได้เลย

จากประสบการณ์ใช้งานของสื่อแทบทุกสำนักบอกว่า Eye Tracking ของ Vision Pro มีความแม่นยำในระดับสุดยอดแบบที่ไม่เคยใช้จากที่ไหนมาก่อน ซึ่งการใช้งานครั้งแรกระบบจะให้เรา Calibrate เซนเซอร์การตรวจจับสายตาก่อนเพื่อความแม่นยำในการใช้งานก่อนด้วย

เทคโนโลยี Hand Tracking จับการเคลื่อนไหวของมือ แม่นแค่ไหน?

อย่างที่บอกว่า Vison Pro ไม่มีคอนโทรลเลอร์มาให้ด้วย เวลาจะใช้งานหลัก ๆ คืออาศัยเซนเซอร์ตรวจจับสายตาและเซนเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวของมือเอา โดยการจีบนิ้วเข้าด้วยกันคือการคลิกเมาส์ และไม่จำเป็นต้องยกมือขึ้นมาจีบนิ้วให้เมื่อยด้วย เพราะมันมีกล้องจับภาพด้านล่างแม้จะนั่งวางมือไว้บนขาก็ยังจีบนิ้วเพื่อคลิกได้อยู่ หรือจะเดินไปใช้นิ้วจิ้มเอาเลยก็ยังได้

นอกจากนี้ยังจับการเคลื่อนไหวของมือได้แม่นยำไปจนถึงนิ้วต่าง ๆ ทำให้ตอนพิมพ์ด้วยคีย์บอร์ดเสมือนที่ลอยอยู่ตรงหน้าเรา สามารถใช้ทุกนิ้วพิมพ์ได้เหมือนพิมพ์บนคีย์บอร์ดจริง ๆ เลย เพราะเซนเซอร์ตรวจจับมือได้แม่นมาก ในระดับที่ว่าพวกแว่น VR ในตลาดตอนนี้เทียบไม่ติดเลย

ใช้ทำงานได้จริงมั้ย? ลื่นมั้ย?

สเปคของ Vision Pro เรียกว่าอยู่ในระดับแรงเลยล่ะ เพราะมันมีทั้งชิป M2 สำหรับการประมวลผลทั่วไปและชิป R1 แยกอีกตัวสำหรับการประมวลผลภาพดิจิทัลที่ขึ้นมาผสานกับโลกจริง ทำให้การใช้งานต่าง ๆ ลื่นปรื๊ด ๆ ซึ่งจากประสบการณ์ของสื่อหลายสำนักได้ลองเล่นแล้ว พบว่าหน้าตาของ visionOS คล้าย ๆ กับ iPadOS แค่เปลี่ยนจากการแสดงผลบนหน้าจอแล้วใช้นิ้วจิ้มเป็นการแสดงผลลอยอยู่ตรงหน้าแล้วใช้สายตาแทนเคอเซอร์เอา

นอกจากนี้ทั้งการใช้มือไถหน้าฟีด หน้าเว็บต่าง ๆ ก็ไหลลื่นมาก แถมภาพก็คมชัดบาดตาสุด ๆ เพราะจอแต่ละข้างแสดงผลได้ที่ความละเอียดระดับ 4K ที่มีความหนาแน่นของเม็ดพิกเซลมากกว่าทีวี 4K ทั่วไปซะอีก

ใช้งานด้านบันเทิงดีมั้ย?

เอามาใช้ด้านบันเทิงก็บอกเลยว่าเด็ดดวงสุด ๆ เพระเราสามารถใช้ Vision Pro มาดูหนังจอยักษ์ได้แบบส่วนตัว, ใช้เล่นเกมจอยักษ์ก็ได้ แถมในอนาคตยังจะมีคอนเท้นต์จากฝั่ง Disney ที่รองรับการใช้งานกับแว่นตัวนี้ และจะมีฟีเจอร์ Live Sports ให้ดูกีฬาถ่ายทอดสดจากได้แบบสมจริงเหมือนไปนั่งอยู่ขอบสนามเองเลย

ตัวแว่นถ่ายรูปได้มั้ย?

Vision Pro ใส่กล้อง + เซนเซอร์มาให้เพียบขนาดนี้ แน่นอนว่ามันเอามาใช้ถ่ายรูปถ่ายวิดีโอได้อยู่แล้ว โดยจุดเด่นอย่างนึงก็คือใช้ถ่ายวิดีโอแบบ 3D ได้ และเมื่อเอามาเปิดเล่นบนตัวแว่นทีหลัง ก็จะให้อารมณ์เหมือนได้กลับไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริง ๆ

แบตเตอรี่เป็นแบบไหน?

แบตเตอรี่ของ Vision Pro จะใช้แบบต่อสายออกมาข้างนอกซึ่งสามารถเปลี่ยนแบตก้อนใหม่ได้เหมือนพาวเวอร์แบงค์ เพื่อช่วยลดน้ำหนักของตัวแว่นไม่ให้คนใส่รู้สึกหนักหัวเวลาใช้ไปนาน ๆ และยังทำให้ตัวแว่นไม่มีความร้อนจากแบตเตอรี่ด้วย 

แต่! เนื่องจาก Vision Pro ไม่มีแบตเตอรี่ในตัวนะครับ หากแบตเตอรี่หมดแล้วจะเปลี่ยนก้อนใหม่ก็ต้องปิดเครื่องก่อน และจากที่ Apple บอกไว้ แบตเตอรี่ที่มากับเครื่องจะใช้งานได้สูงสุด 2 ชม. ถ้าต้องการจะใช้งานแบบนาน ๆ ก็ต้องเสียบไฟบ้านเอา แน่นอนว่าก็จะต้องนั่งเล่นยืนเล่นอยู่กับที่เท่านั้น

ใช้แอปอะไรได้บ้าง?

ในตอนนี้ Vision Pro ยังมีแค่แอปพื้นฐานคล้าย ๆ กับที่ติดมาใน iPhone / iPad เท่านั้น อย่างพวก Safari, Photos, Apple TV, Mail, Notes อะไรประมาณนี้ แต่ทาง Apple ก็ปล่อยเครื่องมือในการพัฒนาแอปให้นักพัฒนาได้เอาไปใช้ทำแอปกันแล้ว คาดว่าตอนวางขายจริงในช่วงต้นปีหน้า น่าจะมีแอปเจ๋ง ๆ ที่ใช้งานคู่กับ Vision Pro โผล่ออกมาโชว์ศักยภาพของเทคโนโลยีนี้ได้แบบเต็มที่เลย

ตอนนี้ยังมีแค่แอปพื้นฐานเท่านั้น คาดว่าตอนขายจริงน่าจะมีแอป Third party ออกมาอีกเพียบ

ข้อจำกัดของ Vision Pro

ไม่มีคอนโทรลเลอร์

พูดถึงแต่ความเจ๋งความล้ำของ Vision Pro มาขนาดนี้แล้ว ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเรื่องให้ติเลยนะครับ โดยสิ่งที่สื่อนอก หลาย ๆ สำนักบอกว่าเป็นจุดด้อยของแว่นตัวนี้ ก็คือการที่มันไม่มีคอนโทรลเลอร์มาให้ด้วย ทำให้เวลาจิ้มเวลาสั่งการอะไรไป มันเหมือนจิ้มอากาศเฉย ๆ เพราะไม่มีระบบ Haptic หรือระบบสั่นอะไรให้รู้สึกเลย ตัวอย่างเช่นตอนสาธิตความสมจริงของกราฟิก ให้คนใส่สามารถยื่นมือออกไปแล้วมีผีเสื้อบินมาเกาะนิ้วได้แบบสมจริง แต่ที่มือก็ไม่มีความรู้สึกอะไรเลย คือเห็นได้อย่างเดียว แต่รู้สึกหรือสัมผัสไม่ได้

น้ำหนักค่อนข้างมากแม้ไม่มีแบตในตัว

อีกอย่างคือเรื่องน้ำหนักของ Vision Pro ที่ค่อนข้างหนักเลย อยู่ที่ 453 กรัม (ประมาณมือถือ 2 เครื่อง) ซึ่งขนาดว่าไม่มีแบตเตอรี่อยู่ในตัวก็ยังหนักขนาดนี้ สำหรับการใช้งานที่ไม่นานนักราว ๆ 30 นาที – 1 ชม. อาจไม่รู้สึกอะไร แต่ถ้าใช้นานกว่านั้นน่าจะเมื่อยคอเลยล่ะ (อันนี้จากประสบการณ์ตัวเองที่เล่น Quest 2 น้ำหนัก 503 กรัม ซัก ชม. นึงก็รู้สึกว่าปวดคอแล้ว)

แบตไม่อึด

แบตเตอรี่ที่มากับ Vision Pro ใช้งานได้สูงสุดแค่ 2 ชม. เท่านั้น และหากว่าแบตหมดระหว่างใช้งานก็ต้องเสียบสายกับหัวชาร์จเอา เพื่อใช้งานยาว ๆ ซึ่งยังดีที่ตัวแบตเตอรี่มีพอร์ต USB-C ให้เสียบสายชาร์จได้อีกต่อนึง แต่ทีนี้ก็จะกลายเป็นว่าถูกจำกัดการเคลื่อนไหวไป เพราะหากเสียบสายแล้วคงจะเดินไปเดินมาไม่ได้มากนัก

คนใส่แว่นสายตา ต้องจ่ายเพิ่ม

อันนี้คืออย่างที่บอกไปด้านบนว่าคนสายตาสั้นสายตายาวแล้วต้องใส่แว่นสายตา จะต้องซื้อเลนส์พิเศษมาติดข้างใน Vision Pro ซะก่อน ถึงจะใช้ได้เต็มประสิทธิภาพ

ราคานี้ทำมาขายใคร?

ด้วยราคากว่าหนึ่งแสนสองหมื่นบาท ทำให้หลาย ๆ คนคิดแล้วล่ะว่า Apple ทำมาขายใคร เพราะไม่ใช่ราคาที่ลูกค้าทั่ว ๆ ไปจะซื้อมาใช้กันได้แน่นอน ก็เลยมีการวิเคราะห์ว่า Vison Pro เป็นสินค้าที่น่าจะทำขึ้นมาสำหรับเหล่านักพัฒนาที่อยากลองเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อเอาไปพัฒนาซอฟท์แวร์เตรียมไว้สำหรับ Vision รุ่นต่อ ๆ ไปที่มีราคาถูกลง

หรืออาจจะเป็นลูกค้าที่ชอบลองของใหม่ ๆ ล้ำ ๆ (และมีเงินเหลือเฟือ) เพราะ Apple ก็ไม่ได้หวังว่าจะขายแว่นตัวนี้ได้เป็นล้าน ๆ ชิ้นเหมือนกับ iPhone / iPad อยู่แล้ว

จะมีรุ่นถูกกว่าออกมามั้ย?

มีข่าวว่า Apple กำลังพัฒนา Vision รุ่นที่มีราคาถูกกว่าอยู่ด้วย อาจใช้ชื่อว่า Vision หรือ Vision One ซึ่งจะโดนลดสเปคบางอย่างลงมา โดยคาดว่าจะเปิดตัวในช่วงปลายปี 2025

 

ที่มา : MKBHD, Mrwhosetheboss, Theverge, ZDNET, Mashable

from:https://droidsans.com/apple-vision-pro-feedbacks-wow-factors/

รวมข้อมูล Apple Vision Pro จริง ๆ แล้วมันคืออะไร ใช้ทำอะไรได้บ้าง?

แว่น Vision Pro สุดล้ำจาก Apple ที่เปิดตัวมาในราคาราว ๆ แสนสองหมื่นบาท ตอนดูพรีเซ้นท์ในงาน หลาย ๆ คนก็น่าจะว้าวอยู่ว่ามันสามารถทำนู่นทำนี่ได้เหมือนในหนัง Sci-fi เลย แต่ก็น่าจะมีคำถามกันหลายข้ออยู่ว่าความสามารถจริง ๆ ของมันมีอะไรบ้าง มันเอาไว้ใช้ทำอะไร และทำไมถึงแพงมหาศาลขนาดนี้ เราก็เลยรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ มาสรุปให้ชัด ๆ ไปเลยว่า Vision Pro มันมีดีตรงไหนครับ

Vision Pro คืออะไร?

Apple ไม่ได้วางคาแรคเตอร์ของ Vision Pro เอาไว้ว่าเป็นแว่น VR, AR หรือ MR ที่มีคู่แข่งมากมายในตลาดนะครับ แต่เค้าจำกัดความว่ามันคือ Spatial Computer รุ่นแรกของ Apple ถ้าอธิบายแบบเข้าใจง่าย ๆ ก็คือคอมพิวเตอร์สวมใส่ที่สามารถแสดงผลภาพแบบดิจิทัลเข้ากับภาพของโลกจริงได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งทำงาน และความบันเทิง

แม้ว่าทาง Apple จะไม่อยากใช้คำว่า VR หรือ AR กับเจ้า Vision Pro แต่จากการพรีเซ้นต์ที่เราได้เห็นในงาน WWDC มันก็คือแว่นที่รวมเอาเทคโนโลยี VR และ AR มาไว้ในอุปกรณ์เดียวกันนี่แหละ เพราะมันทำได้ทั้งการผสานภาพดิจิทัลเข้ากับโลกจริงเหมือนแว่น AR และการเข้าสู่โลกไซเบอร์แบบเต็ม ๆ โดยที่ไม่เห็นโลกจริงแบบแว่น VR ก็ได้เหมือนกัน

รูปร่างหน้าตาของ Vision Pro 

Vision Pro มีหน้าตาที่เหมือนกับแว่นดำน้ำ (โดนแซวจนยับแล้ว) ที่มีกรอบเป็นอลูมินัมอัลลอย และมีเลนส์สีดำอยู่ด้านหน้า ซึ่งจริง ๆ แล้วมันไม่ใช่เลนส์โปร่งแสงแบบที่คนใส่จะมองทะลุออกมาได้เหมือนกับ Hololens ของ Microsoft นะครับ แต่มันเป็นหน้าจอ OLED ที่สามารถแสดงภาพบริเวณดวงตาของเราให้คนอื่นเห็นได้ ในขณะที่เราก็มองเห็นคนด้านนอกได้เช่นกัน

ที่เห็นตาคนใส่ไม่ใช่เลนส์ใสนะ แต่เป็นจอภาพที่แสดงบริเวณตาของคนใส่ให้เห็นได้

การสวมใส่ก็ใช้สายคาดหัวคล้าย ๆ กับ VR Headset ทั่วไป แต่จะฝังลำโพงระบบ Spatial Audio ไว้ข้าง ๆ บริเวณหูเพื่อความสมจริง (Audio Straps) ด้านหลังเป็นสายคาดที่ทำจากผ้ายืดปรับความแน่นได้

Audio Straps

สเปค Vision Pro

Vision Pro เป็นแว่น MR ที่ทำงานได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องเสียบกับ PC หรือใช้งานคู่กับมือถือ เพราะมันมีชิปสุดแรง M2 ในตัวสำหรับการประมวลผลทั่วไป และยังมีชิป R1 ที่ถูกออกแบบมาสำหรับประมวลผลกล้อง + เซนเซอร์ + ไมโครโฟน ที่อยู่รอบแว่นอีกทีนึง ทำให้การผสานกราฟิกต่าง ๆ เข้ากับโลกจริงมีความแม่นยำและรวดเร็วแบบเรียลไทม์

หน้าจอของ Vision Pro ทั้งซ้าย-ขวา มีความละเอียดสูงถึงข้างละ 4K เป็นจอแบบ micro-OLED ที่ให้ภาพแบบคมกริบ ละเอียดยิบ และสีสันสดสวยสมจริง แถมยังครอบด้วยเลนส์ ZEISS เพิ่มความชัดเจน และลดความผิดเพี้ยนของมุมมองด้านในด้วย

รอบ ๆ ตัวเครื่อง Vision Pro มีกล้องและเซนเซอร์ติดไว้เพียบประกอบด้วยกล้องหน้า 2 ตัว, เซนเซอร์ 3D LiDAR ตรงกลาง 1 ตัว, กล้องมองด้านล่าง 2 ตัว, กล้องด้านข้าง 2 ตัว, กล้องจับความลึก TrueDepth 2 ตัว และตัวยิงแสงอินฟราเรดอีก 2 ตัว โดยทั้งหมดนี้จะถูกประมวลผลผ่านชิป R1 ทำให้การจับความตื้นลึกบริเวณรอบ ๆ มีความแม่นยำสูงมาก ๆ นั่นเอง

ก่อนหน้านี้เทคโนโลยี AR จะยังไม่เนียนเท่าไหร่ เพราะอุปกรณ์ที่ใช้งานพวกนี้ (เช่นมือถือ) ยังไม่มีเซนเซอร์สำหรับวัดความตื้นลึกของบริเวณรอบ ๆ ได้แบบละเอียดยิบและแม่นยำเหมือนของ Vision Pro คือสามารถแสดงกราฟิกลอยกลางอากาศได้ แต่ยังตรึงอยู่กับที่ไม่แม่น เวลาเดินเข้าไปหาหรือเดินรอบ ๆ แล้วกราฟิก 3D จะยังขยับหรือยังโดดไปมาอยู่

ซึ่งเทคโนโลยีนี้ก็เอามาใช้ในการเปิดหน้าจอเสมือนให้ลอยอยู่ต่อหน้าเราเพื่อใช้งานได้เหมือนหน้าจอจริง ๆ แถมยังเปิดได้พร้อมกันหลายจอ และขยับเปลี่ยนที่ตั้งไปมา หรือขยายขนาดให้ใหญ่ขึ้นได้ตามใจเลย

อยากมองเห็นโลกภายนอก หรือจะเข้าไปอยู่ในโลกไซเบอร์เต็มตัวก็ได้ง่าย ๆ

อย่างที่บอกไปว่า Vision Pro สามารถใช้งานแบบ AR ซึ่งจะแสดงภาพของโลกภาพนอกระหว่างใช้งานแอปต่าง ๆ ไปด้วยได้ หรือจะเข้าสู่โลก VR แบบเต็ม ๆ โดยที่ไม่เห็นโลกภาพนอกเลยก็ได้ ซึ่งเราปรับโหมดได้ง่าย ๆ ด้วยปุ่มหมุนที่ตัวแว่น (หมุนเพื่อหรี่ภาพของโลกภายนอกหรือหมุนไปอีกทางเพื่อแสดงภาพโลกภายนอกแบบเต็ม ๆ)

อยากนั่งดูหนังในห้องแบบ AR

หรือจะเข้าโหมด VR เพื่อดูหนังในป่าก็ได้

ปรับง่าย ๆ ด้วยปุ่มหมุน

ระบบเสียง Spatial Audio

Vision Pro รองรับระบบเสียง Spatial Audio ที่จะเล่นเสียงออกมาจากลำโพงที่สายคาดหัว ซึ่งระบบ Spatial Audio จะมีความที่เหมาะกับเทคโนโลยี AR มาก ๆ เพราะมันจะเล่นเสียงมาจากทิศทางที่นั้น ๆ เลย ยกตัวอย่างเราดูไลฟ์การแข่งขัน NBA แบบ 360° อยู่ เมื่อเราหันหน้าไปที่สนามเสียงการแข่งขันก็จะอยู่ด้านหน้าตามปกติ แต่พอเราหันข้างเสียงการแข่งขันก็จะมาจากข้าง ๆ แทน ไม่เหมือนการใช้หูฟังทั่วไป ที่เสียงจะมาเท่า ๆ กันไม่ว่าจะหันไปทางไหน

ระบบ VisionOS คืออะไร?

อย่างที่บอกไปว่า Vision Pro สามารถใช้งานได้ในตัวเอง ไม่ต้องเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่น ๆ เพราะมันมีชิปในตัว และยังมีระบบปฎิบัติการในตัวอีกด้วย ซึ่งก็คือระบบ visionOS ที่ออกแบบมาให้ทำงานได้ด้วยการใช้สายตาในการเลือกเมนูต่าง ๆ ใช้มือเปล่าสั่งการได้โดยไม่ต้องมีคอนโทรลเลอร์ รวมถึงใช้คำสั่งเสียงก็ได้เหมือนกัน

ใช้สายตากวาดมองไปที่แอปแทนการใช้เม้าส์

ปลดล็อคด้วยการสแกนดวงตาก่อนใช้งาน

เวลาจะเข้าใช้งาน Vision Pro แต่ละที จะต้องยืนยันตัวตนผ่านการสแกนดวงตาด้วยเซนเซอร์ Optic ID ที่อยู่ด้านในแว่นซะก่อน เนื่องจาก visionOS มีทั้ง App Store และแอปอื่น ๆ ที่ผูกกับ Apple ID เอาไว้นั่นเอง ก็เลยต้องมีการล็อคเครื่องล็อคบัญชีเหมือนกับ iPhone นั่นเองครับ

Vision Pro ใช้แอปอะไรได้บ้าง

visionOS จะมีแอปให้เลือกใช้ได้เหมือนกับ iOS เลย ไม่ว่าจะเป็นเบราว์เซอร์ Safari, Apple TV, Photos, Music ฯลฯ และสามารถดาวน์โหลดเพิ่มเติมได้จาก App Store ที่มีติดตั้งอยู่แล้ว โดยแอปเหล่านี้ก็จะถูกออกแบบมาให้ใช้งานคู่กับ visionOS โดยเฉพาะ เนื่องจากมันมีการแสดงผลและการสั่งการที่ต่างจากบนหน้าจออุปกรณ์ทั่วไปนั่นเอง แต่ตอนเปิดตัววางขายจริงก็จะมีแอปอื่น ๆ เพิ่มขึ้นมาจากเหล่านักพัฒนาอีกเพียบแน่นอน

การใช้งาน Vision Pro

Vision Pro ไม่มีคอนโทรลเลอร์มาให้เหมือนกับพวก VR Headset นะครับ เพราะมันถูกออกแบบมาให้ใช้วิธีตรวจจับการมอง (Eye Tracking) และตรวจจับการเคลื่อนไหวของมือ (Hand Tracking) อย่างเวลาเราเปิดเครื่องขึ้นมาแล้วเลือกว่าจะใช้แอปไหน ก็แค่กวาดสายตาไปแล้วจ้องไปตรงแอปที่ต้องการ จากนั้นก็จีบนื้วมือแทนการคลิก เท่านี้แอปก็จะเปิดขึ้นมาให้เลย โดยที่เราไม่จำเป็นต้องยกมือขึ้นมาชี้ไปตรงนั้นตรงนี้ให้เมื่อยด้วย

หรือเวลาทำงานผ่าน Safari, แอปแชท หรืออื่น ๆ เราก็ใช้มือแทนเมาส์ได้ เช่นการจีบนิ้วก็คือการคลิก ถ้าจีบค้างไว้แล้วลากก็เหมือนการคลิกเมาส์ค้างไว้นั่นเอง อย่างเวลาจะส่งภาพเข้าห้องแชท ก็แค่จีบนิ้วตรงภาพในเบราว์เซอร์แล้วลากมาไว้ในห้องแชทเพื่อส่งภาพได้ทันที

จีบนิ้วเพื่อคลิก

แน่นอนว่าฟีเจอร์พื้นฐานอย่างการสั่งงานด้วยเสียงก็มีมาให้ด้วย อย่างเวลาจะค้นหาข้อมูลใน Google หรือหาหนังดู ก็แค่กดตรงปุ่มคำสั่งเสียงแล้วพูดออกไปได้เลย

การพิมพ์ด้วยคีย์บอร์ด

Vision Pro จะเชื่อมต่อกับคีย์บอร์ดแบบไร้สายก็ได้เพราะผู้ใส่สามารถมองเห็นคีย์บอร์ดที่วางอยู่ในโลกจริงได้อยู่แล้ว หรือหากไปนอกสถานที่ ไม่ได้พกอะไรไปด้วย ก็ใช้คีย์บอร์ดเสมือนที่ลอยอยู่ตรงหน้า แล้วใช้นิ้วจิ้มเอาเหมือนคีย์บอร์ดจริง ๆ แต่แน่นอนว่าการจิ้ม ๆ กลางอากาศแบบนี้จะเมื่อยมากเลย เวลาใช้ไปซักพัก

มีคีย์บอร์ดลอยอยู่ตรงหน้า

Vision Pro ใช้ทำอะไรได้บ้าง?

มาถึงตรงนี้แล้ว หลาย ๆ คนน่าจะสงสัยว่า Vision Pro มันจะเอามาทำอะไรได้บ้าง ซึ่งตามที่ Apple พรีเซ้นท์เอาไว้ หลัก ๆ ก็คือ…

ดูหนังจอยักษ์แบบส่วนตัว

Vison Pro สามารถแสดงจอสำหรับเล่นหนังได้แบบยักษ์ ๆ เหมือน IMAX ไปเลย โดยจะดูหนังแบบให้จอลอยอยู่กลางห้องนั่งเล่นแบบ AR ก็ได้ หรือจะปรับให้เป็นโหมด VR เปลี่ยนบริเวณรอบด้านกลายเป็นสภาพแวดล้อมอื่น ๆ อย่างโรงหนัง, กลางป่า, บนดวงจันทร์ ไปเลยก็ได้เหมือนกัน

เล่นเกมผ่าน Apple Arcade ด้วยจอยักษ์ส่วนตัว

Apple พรีเซ้นท์ว่า Vision Pro สามารถเล่นเกมผ่าน Apple Arcade ได้ ด้วยการเชื่อมกับคอนโทรลเลอร์เกมทั่วไป ซึ่งตัวเกมจะไม่ได้เป็นแบบ VR นะครับ แต่จะเป็นการแสดงหน้าจอขนาดใหญ่ขึ้นมาตรงหน้าเหมือนเวลาเราดูหนังนี่แหละ

ดูคอนเท้นต์ 360 องศา

Apple บอกว่าจะไปจับมือกับค่ายต่าง ๆ อย่าง Disney เพื่อผลิตคอนเท้นต์ 360 องศา ให้เหมือนกับว่าเราเข้าไปนั่งอยู่ในหนังหรือในการ์ตูนได้ นอกจากนี้ยังสามารถเข้าไปดูการแข่งขันกีฬาอย่าง NBA แบบติดขอบสนามได้ด้วย (เป็นคอนเท้นต์ที่ต้องเสียค่าบริการ)

วิดีโอคอลล์ได้เหมือนคุยกันต่อหน้า

สามารถวิดีโอคอลล์ผ่าน FaceTime ได้เหมือนคุยกันอยู่ต่อหน้า โดยหน้าต่างวิดีโอคอลล์จะขยายหรือหดได้ตามที่ต้องการ

Vision Pro ใช้งานได้นานแค่ไหน? เปลี่ยนแบตได้ไหม?

Apple เคลมว่า Vision Pro ใช้งานต่อเนื่องได้ราว ๆ 2 ชั่วโมง โดยแบตเตอรี่ของมันจะใช้แบบต่อสายออกมาข้างนอกซึ่งสามารถเปลี่ยนแบตก้อนใหม่ได้เหมือนพาวเวอร์แบงค์ แต่! เนื่องจาก Vision Pro ไม่มีแบตเตอรี่ในตัวนะครับ หากแบตเตอรี่หมดแล้วจะเปลี่ยนก้อนใหม่ก็ต้องปิดเครื่องก่อน หรือถ้าต้องการจะใช้งานแบบนาน ๆ ก็ต้องเสียบไฟบ้านเอา แน่นอนว่าก็จะต้องนั่งเล่นยืนเล่นอยู่กับที่ (อ้าว!)

from:https://droidsans.com/apple-vision-pro-what-is-it-what-does-it-do/

Samsung เปลี่ยนดีไซน์แว่น Galaxy XR ใหม่ พร้อมอัปเกรดสเปค เพื่อเตรียมทุบ Apple Vision Pro

Samsung เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ดูเหมือนจะสนใจตลาด VR อยู่เนือง ๆ เพราะเมื่อหลายปีก่อนก็เคยเปิดตัว Gear VR อุปกรณ์เสริมที่ใช้มือถือทำหน้าที่เป็นจอเพื่อใช้งานในโหมด VR แต่ก็ได้เงียบหายกันไปพักใหญ่ แต่ล่าสุดเมื่อช่วงต้นปีก็มีข่าวว่าทางแบรนด์ได้ซุ่มพัฒนาแว่นตา MR คล้าย ๆ Vision Pro อยู่ด้วยในชื่อ Galaxy XR แต่ในเมื่อ Apple ชิงเปิดตัวก่อน Samsung จึงไม่รอช้า สั่งรื้อสเปค และดีไซน์ใหม่เพื่อท้าชนแล้ว

มีข่าวลือมาว่าหลังจากที่ Apple Vision Pro ได้เปิดตัวออกมาอย่างฮือฮา มาพร้อมเทคโนโลยีจัดเต็ม ที่มีสิทธิ์เปลี่ยนทิศทางตลาดพรีเมียมเทคโนโลยีในอนาคต ทำให้ฝั่ง Samsung ที่กำลังพัฒนาแว่น Galaxy XR อยู่ถึงกับนั่งไม่ติดเก้าอี้ ได้กลับไปทบทวนแผนการพัฒนา รวมถึงรื้อดีไซน์ใหม่เพื่อแข่งขันกับทาง Apple

Galaxy XR

Galaxy XR

ดีไซน์ Galaxy XR ที่หลุดออกมาครั้งก่อน

นอกจากนี้แล้ว Samsung ก็กำลังพิจารณาอัปเกรดสเปคแว่น Galaxy XR ใหม่ด้วยเช่นกัน จากทีแรกที่ทางแบรนด์จะใช้พาเนลจอความละเอียด 2,000 PPI แต่ภายหลังเมื่อ Apple Vision Pro เปิดตัวมาพร้อมกับจอด้านในที่มีความละเอียดสูงกว่า 3,500 PPI ทำให้ Samsung ต้องตัดสินใจอัปเกรดความละเอียดจอให้สูงกว่าเดิมที่ 3,000 PPI เพื่อให้พอฟัดพอเหวี่ยงกับแบรนด์ผลไม้นั่นเอง

ณ ขณะนี้ ทาง Samsung ได้สั่งผลิตตัวอย่างจอแสดงผลเวอร์ชั่นอัปเกรดใหม่แล้ว และคาดว่าจะเริ่มผลิตในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2023 แต่ถ้าหากผลิตไม่ทันในเดือนเดียวกัน ทางแบรนด์อาจต้องเลื่อนเปิดตัวแว่นตาจากเดิมที่พาร์ตเนอร์อย่าง Google เคยเปรย ๆ ไว้ว่าจะเปิดตัวภายในปี 2023 นี้

อย่างไหร่ก็ตาม เราอาจจะได้เห็นทางแบรนด์เอาแว่นตา Galaxy XR ตัวต้นแบบออกมาโชว์กันในงาน Galaxy Unpacked รอบที่ 2 ปี 2023 ที่กำลังจะจัดขึ้นในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมนี้ก็เป็นได้ แต่ตัวต้นแบบที่นำมาโชว์อาจจะยังเป็นรุ่นที่ใช้พาเนลจอแบบเก่าอยู่ และจะยังไม่เปิดให้สั่งจองภายในงาน ส่วนจะจริงเท็จอย่างไร ต้องรอติดตามรับชมกันในงานนะ

ที่มา: SamMobile

from:https://droidsans.com/samsung-galaxy-xr-redesign-to-beat-apple-vision-pro/

รู้แหละว่าแพง…Apple พัฒนาแว่น Vision รุ่นธรรมดาที่มีราคาถูกกว่า คาดเปิดตัวปี 2025

ในงาน WWDC ที่ผ่านมา หนึ่งในสิ่งที่ว้าวที่สุดและทำเอาแฟน ๆ Apple ฮือฮากันก็คือแว่น MR สุดล้ำอย่าง Vision Pro ที่มากับเทคโนโลยีสุดเทพ แถมยังมีราคาที่ใครเห็นก็ต้องอุทาน (จะอุทานอะไรก็แล้วแต่…) ด้วยค่าตัวราว ๆ แสนสองหมื่นบาท แต่ล่าสุดมีข้อมูลออกมาว่า Apple ไม่ได้มีแว่น MR รุ่นนี้แค่รุ่นเดียว แต่กำลังพัฒนารุ่นที่มีราคาถูกกว่าออกมาในปี 2025 ด้วย

ข้อมูลของแว่น Vision รุ่นเล็กนี้ มาจากสายข่าวฝั่ง Apple อย่าง Mark Gurman ที่มักจะวิเคราะห์หลาย ๆ เรือ่งได้อย่างแม่นยำ ซึ่งล่าสุดเค้าออกมาเผยว่าทาง Apple กำลังพัฒนาแว่น MR รุ่นที่มีราคาถูกกว่า Vision Pro อยู่ เพื่อที่จะทำให้สินค้าประเภทนี้เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น โดยแว่นรุ่นเล็กอาจใช้ชื่อว่า Vision หรือ Vision One

แน่นอนว่าเมื่อราคาถูกลงแล้ว สเปคต่าง ๆ ก็จะลดหลั่นลงมาจากรุ่น Pro ด้วย ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอที่อาจมีความละเอียดน้อยกว่า ชิปประมวลผลที่ไม่แรงเท่า ตัดกล้องหรือเซนเซอร์บางตัวออกไป และอาจต้องใช้งานคู่กับหูฟัง AirPods เพราะไม่มีหูฟังมาให้ในตัว ส่วนฟีเจอร์หลัก ๆ อย่างจอนอกสำหรับแสดงหน้าของผู้ใส่และเซนเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวของมือจะยังคงมีอยู่

แหล่งข่าวบอกว่า Apple วางแผนจะเปิดตัว Vision รุ่นธรรมดาช่วงปลายปี 2025 นู่นเลย นอกจากนี้ยังจะเริ่มพัฒนา Vision Pro รุ่นที่สองต่อเลยด้วย

ก็ต้องรอดูกันต่อไปว่าหาก Apple เปิดตัวแว่น Vision ทีมีราคาถูกลงจนลูกค้าทั่วไปสามารถหามาใช้ได้ไม่ยากแล้ว ตอนนั้นตลาดแว่น AR / VR อาจกลับมาคึกคักอีกรอบก็ได้ เพราะหลาย ๆ ค่ายก็น่าจะเริ่มพัฒนาแว่นของตัวเองออกมาแข่งกันนั่นแหละ

 

ที่มา : Gizmochina

from:https://droidsans.com/cheaper-apple-vison-might-coming-2025/

สนุกแน่…Samsung จับมือ Qualcomm และ Google ซุ่มพัฒนาแว่น Mixed Reality เตรียมชน Apple Vision Pro ในปีนี้

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาเราได้เห็นการเปิดตัว Vision Pro แว่น Mixed Reality ของฝั่ง Apple กันไปแล้ว ซึ่งจากการพรีเซ้นต์ฟีเจอร์ต่าง ๆ ก็ทำเอาหลายคนว้าวไปตาม ๆ กัน (พอรู้ราคายิ่งว้าวเข้าไปใหญ่ -_-) แต่ดูท่าทางปีนี้ตลาด Mixed Reality อาจจะดุเดือดขึ้นมาก็ได้ เพราะมีข่าวว่า Samsung ได้จับมือกับ Qualcomm และ Google เพื่อพัฒนาแว่น Mixed Reality ของตัวเองอยู่เหมือนกัน

มีข้อมูลออกมาว่าตอนนี้ Samsung, Qualcomm และ Google ได้จับมือกันเพื่อพัฒนาแว่น MR (Mixed reality) ของตัวเองอยู่ และคาดว่าน่าจะเผยโฉมภายในปีนี้ โดยฝั่ง Google จะรับผิดชอบด้านระบบปฏิบัติการสำหรับ Mixed Reality โดยเฉพาะ ฝั่ง Qualcomm รับผิดชอบด้านชิปประมวลผลสำหรับ Mixed Reality และ Samsung จะรับผิดชอบด้านตัวเครื่องของแว่น MR และจะเป็นผู้จัดจำหน่ายด้วย

จริง ๆ ไม่ใช่ว่าทั้ง 3 พึ่งจะมาจับมือกันพัฒนาอุปกรณ์สำหรับเทคโนโลยี MR นะครับ แต่ได้ซุ่มพัฒนากันมาซักพักแล้ว โดยในงาน Google I/O 2023 ที่ผ่านมา รองประธานของ Google ได้ออกมาเผยว่าทางบริษัทได้ร่วมมือกับ Samsung Electronics เพื่อเตรียมขยายตลาดออกไปในฝั่ง XR หรือ Extended Reality ซึ่งจะเผยข้อมูลเต็ม ๆ ออกมาอีกทีภายหลังของปีนี้ (Extended Reality คือคำที่ใช้เรียกรวมเทคโนโลยี VR AR และ MR)

เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา Samsung ได้จดสิทธิบัตรแอปสำหรับแว่น MR ของตัวเองไว้แล้ว โดยจะเอามาใช้กับแว่นที่มีชื่อว่า Galaxy Glasses ที่ตามข้อมูลบอกว่ารูปร่างของมันจะเหมือนกับแว่นตาธรรมดา ๆ ไม่ได้รูปร่างเป็นแว่นดำน้ำเหมือน Vision Pro

ยังไม่รู้ว่าแว่น MR ของทั้ง 3 ค่ายนี้จะออกมาชนกับ Vision Pro เต็ม ๆ เลยรึเปล่า เพราะก่อนนี้ Samsung ก็เคยทำแว่น VR สำหรับเล่นเกมโดยเฉพาะออกมาขายในชื่อ HMD Odyssey ส่วน Google ก็เป็นคนปลุกกระแสแว่น VR ขึ้นมาตั้งแต่สมัย Cardboard ไล่มาถึงโปรเจ็คท์ Daydream แต่กระแสก็ค่อย ๆ ซาลงไป

 

ที่มา : Gizchina, 91mobiles

from:https://droidsans.com/samsung-joined-forces-qualcomm-google-mr-headset/

CEO Facebook ออกปาก Apple Vision Pro ยังไม่ว้าว เพราะ Meta เคยทำมาหมดแล้ว

มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอคนดังแห่ง Meta (อดีต Facebook) ที่เคยพยายามปลุกกระแส VR มาแล้วรอบหนึ่งกับ Metaverse ได้ออกความเห็นให้เหล่าพนักงานฟังในที่ประชุมของบริษัท และดูเหมือนจะไม่ค่อยปลื้มแว่นตา MR สุดล้ำที่เพิ่งเปิดตัวไปหมาด ๆ อย่าง Apple Vision Pro สักเท่าไหร่

ซีอีโอแห่ง Meta ได้เผยว่า Apple Vision Pro ยังไม่มีนวัตกรรมใหม่ที่ยิ่งใหญ่พอจะปฏิวัติเทคโนโลยี VR / AR ได้เลย เพราะทั้งหมดที่ Apple เอามาโชว์ในงาน Meta เคยทำมาหมดแล้ว นอกจากนี้วิสัยทัศน์ที่แบรนด์ผลไม้วาดภาพไว้ ก็ไม่ตรงใจกับมาร์ก ซักเคอร์เบิร์กเสียทีเดียว เพราะ Meta ต้องการให้แว่นเป็นสื่อกลางที่ช่วยให้ผู้คนได้ใกล้ชิดกัน มีปฏิสัมพันธ์กันในแบบใหม่ ๆ รวมถึงช่วยให้ผู้คนได้ Active และทำกิจกรรมร่วมกัน

ต่างจากฝั่ง Apple ที่ในงานเปิดตัวโชว์แต่วิดีโอ Tech Demo ที่มีคนนั่งติดโซฟา อยู่แค่กับตัวเอง ซึ่งเจ้าตัวมองว่านี่ไม่ใช่อนาคตของคอมพิวเตอร์แบบที่ Meta ต้องการจะใช้เป็น และนอกจากเรื่องนวัตกรรมแล้ว ยังมีเรื่องของราคาที่ Meta พยายามทำให้แว่นตา VR มีราคาที่ถูกลงเพื่อให้คนส่วนมากเข้าถึงได้ง่าย อ้างอิงได้จาก Meta Quest 3 ที่เปิดราคามาราว ๆ 17,290 บาทเท่านั้น ผิดกับแบรนด์ผลไม้ที่เปิดราคา Vision Pro มาสูงราว ๆ 120,000 บาท

Apple Vision Pro

นอกจากนี้เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว เจ้าตัวยังได้เคยให้ความเห็นไว้ว่า การที่ Apple เปิดตัวอุปกรณ์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการปิด อาจทำให้ตลาดของ VR/AR เติบโตยากขึ้น รวมถึงเป็นการกีดกันไม่ให้ Meta มีพื้นที่ในตลาด และทำให้บริษัททำรายได้ได้ยากขึ้นด้วย

ทั้งนี้ที่มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก จะไม่ชอบ Vision Pro ไม่ใช่เรื่องแปลกสักเท่าไหร่ เพราะหลายปีที่ผ่านมา Meta แทบจะเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่เพียงรายเดียวที่พยายามดันเทคโนโลยี VR แบบสุด ๆ โดยได้ลงทุนไปกว่าหลายพันล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่ก็เหมือนจะไม่เป็นผลสักเท่าไหร่ เพราะ Metaverse ที่หมายมั่นปั้นมือก็ส่อแววล้ม ดังนั้นการมาของคู่แข่งอย่าง Apple จึงถือเป็นสัญญาณเตือนที่ค่อนข้างน่ากลัวนั่นเอง

ที่มา: The Verge, Apple Insider

from:https://droidsans.com/mark-zuckerberg-thoughts-on-apple-vision-pro/

Apple เข้าซื้อกิจการ Mira บริษัท Startup ด้าน AR หลังเปิดตัว Vision Pro ไม่กี่วัน

ล่าสุด Apple เข้าซื้อกิจการ Mira หลังเปิดตัว Vision Pro ไม่กี่วัน โดยเป็นบริษัท Startup AR ในเมือง Los Angeles ซึ่งเคยผลิตแว่น AR ให้กับหลายบริษัท รวมไปถึงกองทัพสหรัฐ และยังเคยร่วมงานกับ Nintendo World ในการให้ใช้แว่น AR ในเกมอีกด้วย

ตามรายงานของ The Verge ทาง Apple ยืนยันการเข้าซื้อกิจการ Mira ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพด้าน AR ใน Los Angeles ที่เคยทำชุดหูฟังให้สำหรับบริษัทอื่น ๆ และกองทัพสหรัฐมาก่อน โดยอิงจากบัญชี Instagram ของ Ben Taft CEO ของ Mira

ดูเหมือนว่าข่าวดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงหนึ่งวันหลังจากที่ Apple เปิดตัว  Vision Pro  เป็นแว่น AR แบบ Stand-alone ที่ไม่ต้องต่อกับ PC โดยจะแสดงภาพ 3 มิติ เข้ากับโลกจริงได้แบบที่เราเคยเห็นในหนัง Sci-fi มีราคาอยู่ที่ 3499 ดอลลาร์ หรือประมาณ 121,000 บาท เรียกว่าสร้างเสียงฮือฮาไปทั่วโลกทั้งในเรื่องของราคาและนวัตกรรมที่ล้ำหน้า

ส่วนข้อมูลยังไม่มีการเปิดเผยว่า Apple เข้าซื้อกิจการของ Mira เป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ แต่สำหรับ Mira ในปัจจุบันได้ระดมทุนไปแล้วกว่า 17 ล้านดอลลาร์ ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจคือ Jony Ive เคยเป็นอดีตหัวหน้าฝ่ายออกแบบของ Apple มาก่อน และยังเป็นที่ปรึกษาของ Mira ด้วยค่ะ ทำให้เราสนใจว่าการร่วมมือกันในครั้งนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ?

Mira ยังคงมีสัญญากับกองทัพอากาศสหรัฐและสัญญากับกองทัพเรือมูลค่า 702,351 ดอลลาร์ ตามบันทึกของรัฐบาล โดยสัญญาของกองทัพอากาศมีไว้สำหรับนักบินทหารที่ฐานทัพอากาศ Travis เพื่อใช้แว่น Prism Pro ไปช่วยในการฝึกเพื่อแสดงสิ่งต่าง ๆ เช่นคำแนะนำเกี่ยวกับอุปกรณ์ หรืออื่น ๆ

อีกจุดที่เราอยากยกมาพูดคือ Mira ยังมีสัญญาร่วมงานกับ Nintendo World ในการให้ใช้แว่น AR สำหรับเครื่องเล่น Mario Kart ที่สวนสนุกในญี่ปุ่นและ Universal Studios ในเมือง Los Angeles ด้วย โดยตัวแว่นที่ใช้จะแสดงตัวละครเสมือนจริง และรายการต่างๆ อีกทั้งอุปกรณ์ในเกมส์ให้กับผู้เล่นเพื่อเพื่มอรรถรสในการขับขี่ให้สนุกขึ้น

ทำให้เราทราบว่า Apple ได้นำพนักงานของ Mira อย่างน้อย 11 คนมาเป็นส่วนหนึ่งของการซื้อกิจการ ยิ่งทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่าในการทำงานของสองบริษัทนี้จะมีบทบาทต่อกันอย่างไรในอนาคต หรือจะมีแว่น AR รุ่นใหม่ที่เจ๋งไปอีกขึ้นหรือเปล่าก็ต้องคอยติดตามกันต่อไป

 

 

 

ที่มา : theverge

from:https://droidsans.com/apple-mira-ar-headset-startup/

แอปเปิ้ลบุกตลาด VR ด้วยอุปกรณ์ใหม่ ที่เหล่าผู้บริหารในวงการซูฮกว่าเป็น “จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ”

ผู้บริหารรายใหญ่ๆ ในวงการ AR และ VR กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า การเปิดตัวอุปกรณ์สำหรับ Mixed Reality ของ Apple ครั้งนี้ถือว่าเป็น “จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ” สำหรับตลาดที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างมาก พร้อมอ้าแขนเปิดรับการแข่งขันของยักษ์ใหญ่จากสหรัฐฯ รายนี้เต็มที่

โดยทาง Apple ได้เปิดตัวอุปกรณ์สวมศีรษะที่ชื่อ Vision Pro ในงานประจำปี WWDC เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา สมกับข่าวลือและการรอคอยที่ว่าบริษัทไอทีใหญ่จากแคลิฟอร์เนียนี้พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ VR หรือ Augmented Reality ของตัวเองแล้ว

ด้านซีอีโอของ HTC คุณ Cher Wang กล่าวกับสำนักข่าว CNBC ว่าเธอมองความเคลื่อนไหวของแอปเปิ้ลเป็นการตอกย้ำหนทางที่ถูกต้องของตลาดนี้ โดย HTC อยู่ในธุรกิจ VR/AR มานาน ตั้งแต่การเปลี่ยนจากธุรกิจสมาร์ทโฟนมาทุ่มกับอุปกรณ์สวมหัว Vive เมื่อหลายปีก่อน

แต่เธอก็แสดงความกังวลว่า ธรรมชาติของการ “ปิดกั้น” ของอีโค่ซิสเต็มแอปเปิ้ลที่จำกัดการเข้าถึงบริการต่างๆ ที่ต้องผ่านแอปเปิ้ลนั้นจะเป็นปัญหากับเหล่านักพัฒนาในวงการนี้ที่จะร่วมผลักดันความสำเร็จให้ถึงขีดสุดได้

อ่านเพิ่มเติมที่นี่ – CNBC

from:https://www.enterpriseitpro.net/apples-entry-into-vr-with-its-new-headset-is-a-watershed-moment/

เปิดตัว Apple Vision Pro แว่น AR สุดล้ำ ผสานโลกเสมือนเข้ากับโลกจริงได้แบบไร้รอยต่อ

ลือกันมานานนนมากแล้ว ในที่สุด Apple ก็ได้ฤกษ์เปิดตัว Vision Pro แว่น AR แบบ Stand-alone ที่ใช้งานได้ในตัวเองโดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับ PC หรืออุปกรณ์อื่น ๆ โดยความสามารถของมันจะประมวลผลภาพกราฟิก 3D มาผสานกับโลกจริงได้แบบเนียน ๆ จะเปลี่ยนห้องนั่งเล่นให้กลายเป็นห้องทำงานที่มีมอนิเตอร์หลาย ๆ จอ, เปลี่ยนห้องนอนเป็นโรงหนัง หรือจะเปลี่ยนห้องน้ำเป็นห้องเล่นเกมก็ยังได้

Vision Pro เป็นแว่น AR แบบ Stand-alone ที่ไม่ต้องต่อกับ PC โดยจะแสดงภาพ 3 มิติ เข้ากับโลกจริงได้แบบที่เราเคยเห็นในหนัง Sci-fi เป๊ะ ๆ ตัวแว่นมีเลนส์โปร่งแสงที่เรายังมองเห็นภาพของโลกจริงตรงหน้าของเราได้ตามปกติ แต่เมื่อเปิดเครื่องแล้วมันจะแสดงภาพ 3 มิติ เข้ามาซ้อนกับภาพของโลกจริงของเราอีกทีนึง

หากว่าเราต้องการทำงานก็เปิดหน้าจอของแอปต่าง ๆ ขึ้นมาได้เลย โดยแอปนั้นก็จะลอยอยู่ต่อหน้าเราให้ใช้มือเปล่า ๆ จับหน้าจอดังกล่าวไปวางไว้ตรงตำแหน่งที่ต้องการได้ แถมยังเหมือนจริงสุด ๆ เพราะหน้าจอเหล่านี้จะถูกตรึงเอาไว้กับโลกจริงได้อย่างแม่นยำด้วยเซนเซอร์ LiDAR และกล้อง TrueDepth สำหรับจับความลึกของโลกภายนอก จะหันไปทางไหน หน้าจอก็ยังลอยอยู่ที่ตำแหน่งเดิมเหมือนกับว่ามันอยู่ตรงนั้นจริง ๆ

จะพิมพ์งานด้วยคีย์บอร์ดเสมือนให้เราจิ้ม ๆ บนอากาศเหมือนในหนัง หรือจะใช้งานคู่กับคีย์บอร์ด + TrackPad ของจริงเพื่อความคล่องตัวก็ได้ตามสบาย

ไม่ใช่แค่ไว้ทำงานเท่านั้น แต่เรื่องความบันเทิงก็จัดเต็ม อยากจะดูหนังจอยักษ์ก็แค่เปิดแอปดูหนังขึ้นมาแล้วขยายหน้าจอให้ใหญ่ยักษ์จนต้องแหงนหน้าดูไปเลยก็ได้

อยากเล่นเกมแบบเป็นส่วนตัวก็เปิด Apple Arcade ต่อคอนโทรลเลอร์แล้วนั่งเล่นสบาย ๆ คนเดียวได้เลย ส่วนเรื่องระบบเสียงก็จัดเต็มสมจริงด้วย Spatial Audio ที่จะตรึงเสียงเอาไว้ด้านหน้าเหมือนกับมีลำโพงตั้งเอาไว้เลย

Vision Pro จะวางจำหน่ายในช่วงต้นปี 2024 มีราคาอยู่ที่ 3499 ดอลลาร์ หรือประมาณ 121,000 บาท (ไม่รวมภาษี)

from:https://droidsans.com/apple-vision-pro-ar-headset-officially-announced/