คลังเก็บป้ายกำกับ: TECHNOLOGY

โอกาสของเด็กอักษร รู้จักงาน Prompt Engineer งานสายเทคฯ ที่ไม่ต้องเขียนโค้ด แต่ต้องสื่อสารกับ AI ด้วยภาษามนุษย์

ไม่ต้องเขียนโค้ดก็ทำงานสายเทคโนโลยีได้ผ่านอาชีพอย่าง Prompt Engineer ที่ทำหน้าที่เป็นนักสื่อสารกับปัญญาประดิษฐ์ด้วยภาษามนุษย์

หลังจากบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Google, Microsoft และ OpenAI ได้พัฒนาโมเดลปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถป้อนคำบรรยายหรือ Prompt เพื่อให้ AI สร้างผลลัพธ์ตามที่ต้องการ (Generative AI) โดยไม่ต้องใช้ภาษาโปรแกรมมิ่ง 

Prompt Engineer เป็นอีกอาชีพที่เริ่มเติบโตขึ้นและเป็นอาชีพหนึ่งที่ผู้ที่ไม่ได้เรียนจบในสายเทคโนโลยีสามารถทำได้ โดยมีหน้าที่หลักในการทำความเข้าใจกับระบบภาษาของ AI เพื่อแก้ไขจุดบกพร่องและเรียนรู้การเขียนคำบรรยายเพื่อป้อนลงให้ปัญญาประดิษฐ์แสดงผลลัพธ์ที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้มากที่สุด 

การสร้างงานใหม่ขึ้นมาด้วย Generative AI มีจุดอ่อนไหวอยู่มากและมีแนวโน้มที่ปัญญาประดิษฐ์จะให้ผลลัพธ์ที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อน แม้แต่คำบรรยายเดียวกันก็อาจจะให้ผลลัพธ์ที่ไม่เหมือนกันก็ได้ ซึ่งแตกต่างจากการเขียนโปรแกรมที่เพียงป้อนโค้ดลงไปก็จะทำงานไปตามนั้น หรือเมื่อเกิดข้อผิดพลาดก็จะแสดงผลออกมาเป็นรหัสทำให้สามารถแก้ไขได้ตรงจุด 

เนื่องจากโมเดลปัญญาประดิษฐ์ที่เป็นการสร้างบทความหรือบทสนทนาอัตโนมัติจะถูกเทรนด้วย ข้อมูลที่เป็นตัวหนังสือจากเว็บไซต์ โดยใช้โมเดลด้านภาษาเป็นหลัก เพื่อให้สามารถเช้าใจ วิเคราะห์รูปแบบการเขียน รวมถึงคำและวลีที่ใช้ ปัญญาประดิษฐ์จึงมีแนวโน้มที่จะลอกเลียนแบบการสนทนาของมนุษย์โดยเพิ่มเติมลูกเล่นหรือเรื่องราวเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อลดความเป็นทางการและให้เหมือนมนุษย์มากขึ้น แต่ปัญหาคือในบางครั้งจะเกิดความผิดพลาด ไม่ตรงตามบริบทของบทสนทนา ทำให้การนำปัญญาประดิษฐ์ไปใช้โดยทั่วไปมีข้อจำกัดและความสุ่มเสี่ยงอยู่
 

Prompt Engineer จะทำหน้าที่วิเคราะห์การทำงานของปัญญาประดิษฐ์ อย่างถ้าผู้ใช้ ChatGPT ป้อนคำบรรยายที่ทำให้ปัญญาประดิษฐ์แสดงผลลัพธ์ที่ไม่ต้องตามต้องการหรือแปลกไปจากภาษาที่มนุษย์ใช้จริง Prompt Engineer ก็จะสามารถเรียนรู้และแก้ไขจุดอ่อนได้เพื่อให้ปัญญาประดิษฐ์ทำงานได้ตรงจุดมากขึ้น

Riley Goodside ผู้ทำงานเป็น Prompt Engineer ในบริษัทสตาร์ทอัพในเมืองซานฟรานซิกโกที่มีชื่อว่า Scale AI ได้ใช้วิธีให้ปัญญาประดิษฐ์อย่าง GPT-3 คิดทีละขั้นตอน หากทำงานผิดพลาดก็จะป้อนให้ AI จดจำไว้ว่าให้ทำตามคำสั่งล่าสุดไม่ใช่สิ่งที่เคยทำผิดพลาด

หรือตัวอย่างเช่นนักศึกษาในเยอรมนีที่พัฒนาปัญญาประดิษฐ์ที่มีชื่อภายในว่า Sydney โดยการเทรนให้ปัญญาประดิษฐ์ปฏิเสธที่จะดำเนินบทสนทนาต่อหากผู้ใช้ป้อนคำบรรยายที่ไม่เหามะสม อย่างเช่นว่าขอให้คิดมุกตลกที่มีผลกระทบต่อจิตใจของคนจำนวนมาก หรืออย่างกรณีของ Microsoft ที่เทรนให้ปัญญาประดิษฐ์ตอบว่าไม่ต้องการสนทนาต่อแล้วหากผู้ใช้พิมพ์ข้อความที่ไม่เหมาะสม

ส่วนทางฝั่งโมเดลปัญญาประดิษฐ์สำหรับการสร้างรูปภาพอย่าง Midjourney หรือ Stable Doffusion การใส่คำบรรยายเป็นเรื่องที่สำคัญเช่นเดียวกันถึงขนาดที่ครีเอเตอร์บางคนขายข้อความคำบรรยายลงในแพลตฟอร์มอย่าง PromptBase ที่มีการซื้อขายข้อความสำหรับปัญญาประดิษฐ์มาตั้งแต่ปี 2021 ผู้ขายบางรายถึงกับมีบริการเขียนข้อความให้เป็นรายบุคคล ซึ่งผู้ที่คิดคำบรรยายขึ้นมาและขายลงบนแพลตฟอร์มก็คือ Prompt Engineer เช่นเดียวกัน

ตำแหน่ง Prompt Engineer ไม่ได้จำกัดอยู่ในบริษัทเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังสำคัญกับบริษัทอื่นใช้เทคโนโลยีด้วยอย่างโรงพยาบาลในเมืองบอสตันที่จ้าง Prompt Emgineer เพื่อเขียนข้อความเพื่อสั่งให้ AI วิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพ 

อย่างไรก็ตาม งาน Prompt Engineer จำเป็นต้องมีความเชี่ยวชาญอย่างมาก อย่างบริษัทด้าน AI ที่ชื่อว่า Anthropic ประกาศรับสมัครงานด้วยเงินเดือนสูงสุดถึง 335,000 ดอลลาร์สหรัฐหรือราว 12 ล้านบาท

Ethan Mollick ศาสตรจารย์ด้านเทคโนโลยีที่ University of Pennsylvania ได้ทดลองให้นักศึกษาเขียนบทความโดยให้ลองป้อนข้อความบรรยายบทความที่ต้องการลงในโมเดลปัญญาประดิษฐ์พบว่าการใส่ข้อความทั่วไปอย่างเช่นเขียนบทความยาว 5 ย่อหน้า กลับได้บทความที่ไม่ได้ดีเท่ากับการอธิบายอย่างเฉพาะเจาะจง

อย่างไรก็ตาม Mollick กลับมองว่าแม้ว่า Prompt Engineer จะมีความสำคัญในช่วงนี้ แต่อาชีพนี้ก็ใช่ว่าจะคงอยู่ไปตลอดเพราะเทคโนโลยีก็เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ซึ่งตรงกับความเห็นของ Steinert-Threlkeld

ศาตราจารย์ของ University of Washington ที่เปรียบเทียบอาชีพนี้ว่าเหมือน Search Specialist ที่มีหน้าที่คิดคำค้นหาบน Google เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาตรงตามต้องการที่สุด เพราะปัจจุบันอาชีพนี้แทบไม่มีความจำเป็นอีกแล้วเมื่อใคร ๆ ก็สามารถค้นหาผ่าน Google ด้วยตนเองได้

ที่มา – The Washington Post

อ่านเพิ่มเติม

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post โอกาสของเด็กอักษร รู้จักงาน Prompt Engineer งานสายเทคฯ ที่ไม่ต้องเขียนโค้ด แต่ต้องสื่อสารกับ AI ด้วยภาษามนุษย์ first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/prompt-engineer/

Advertisement

แอร์เอเชีย เปิดตัวแชตบอตตัวใหม่ Ask Bo ตั้งชื่อตาม โบ ลิงกัม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มสายการบิน

แคปปิตอล เอ เบอร์ฮาด บริษัทแม่ของแอร์เอเชีย สายการบินราคาประหยัดผู้นำในภูมิภาคอาเซียน ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในการสื่อสารที่โปร่งใส และสร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้นสำหรับผู้โดยสารทุกคน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์ในการเป็นแบรนด์ที่มีการสื่อสาร ตอบสนอง และเข้าถึงได้ดีที่สุดในภูมิภาค

AirAsia

โทนี่ เฟอร์นานเดส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แคปปิตอล เอ กล่าวว่า เราพร้อมรับฟังความคิดเห็นและฟีดแบคของผู้โดยสาร ผู้โดยสารของเราไม่พอใจการให้บริการของ AVA เพราะไม่สามารถทำตามความคาดหวังของลูกค้าได้ และเราต้องการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น ที่ผ่านมาขอขอบคุณ AVA สำหรับความสำเร็จของเธอในการจัดการแขกมากกว่า 113 ล้านคนตั้งแต่ปี 2562 และการจัดการข้อความค้นหามากกว่า 43 ล้านรายการในปี 2563

ในช่วงที่โควิดระบาดสูงสุด ด้วยขนาดของสายการบินอย่างแอร์เอเชีย การขอคืนเงินและขอเปลี่ยนเที่ยวบินหลายพันครั้ง มนุษย์คนเดียวรับมือไม่ได้ เราต้องใช้เทคโนโลยีเข้ามาส่งเสริมการให้บริการ ซึ่งได้เรียนรู้จาก AVA ถึงวิธีการใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อตอบคำถามที่ซับซ้อนและมีขนาดใหญ่ได้ดีขึ้นและเร็วขึ้น ในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา ทีมงานได้มุ่งเน้นเรียนรู้สิ่งที่ผู้โดยสารต้องการ ข้อร้องเรียนสูงสุดของพวกเขาคืออะไร และวันนี้เรายินดีที่จะแนะนำ Ask Bo ซึ่งตั้งชื่อตาม โบ ลิงกัม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มสายการบิน ซึ่งเขาได้ทำงานอยู่เคียงข้างกันมาตลอด 21 ปีที่ผ่านมา และเป็นคนที่ตอบคำถามทุกข้อสำหรับคำถามเกี่ยวกับสายการบินของกลุ่มเรา

โบ ลิงกัม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มแอร์เอเชีย เอวิเอชั่น กล่าวว่า ผมยินดีที่ได้มอบชื่อและภาพหน้าตา ให้กับการพัฒนาบริการรูปแบบใหม่นี้สำหรับลูกค้า เราสัญญาว่าจะทำงานเชิงรุกและเอาใจใส่ทุกความเห็นอย่างดีที่สุด ค่าโดยสารที่ถูกกว่าไม่ได้หมายความว่าคุณภาพการบริการจะน้อยกว่า เราให้ความสำคัญกับลูกค้าที่เลือกบินกับเรา ต้องได้รับทั้งราคาค่าโดยสารและประสบการณ์ที่ดีที่สุด Ask Bo จะทำให้การเดินทางของทุกคนสะดวกง่ายขึ้น และมีข้อมูลครบถ้วนที่สุด

เคซาวัน สิวะนันดัม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายท่าอากาศยานและประสบการณ์ลูกค้า กลุ่มแอร์เอเชีย เอวิเอชั่น กล่าวว่า เราได้เพิ่มคุณสมบัติใหม่ที่น่าตื่นเต้นมากมายใน Ask Bo โดยจะสามารถให้ข้อมูลอัปเดตสดเกี่ยวกับสถานะเที่ยวบิน (การล่าช้า การออกเดินทาง) และ/หรือการเปลี่ยนแปลงและข้อมูลการขึ้นเครื่อง ในภาษาต่างๆ มากขึ้น ได้แก่ อังกฤษ จีน บาฮาซา (BM ชาวอินโดนีเซีย) ไทย ญี่ปุ่น เกาหลี และเวียดนาม รวมทั้งส่งการแจ้งเตือนเร่งด่วนเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงในนาทีสุดท้ายในวันเดินทาง การให้ข้อมูลด้านสัมภาระ (การติดตาม สายพานขาเข้า รายงานเคสสัมภาระ) และรายงานการอัปเดตเวลาออกเดินทางอัตโนมัติตามเวลาจริงลงในบัตรขึ้นเครื่องอิเล็กทรอนิกส์เพื่อความราบรื่นในการเดินทางของผู้โดยสาร ผู้โดยสารของเราจะได้รับความสะดวกมากขึ้น โดยจะสามารถเปลี่ยนเที่ยวบิน ขอคืนเงิน ฯลฯ ผู้โดยสารของเราจะสามารถพูดคุยสดกับเจ้าหน้าที่ของเราได้ในระหว่างการโต้ตอบกับ Ask Bo เราจะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ต่อไป เพื่อให้แน่ใจว่าเราดูแลทุกคนได้ในมาตรฐานสูงสุด

เพื่อการให้ข้อมูลที่เปิดกว้างและโปร่งใสมากขึ้น Capital A จะเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับด้านความตรงต่อเวลา ตลอดจนข้อมูลการจัดการสัมภาระบนเว็บไซต์และ Super App นอกจากนี้ บริษัทให้คำมั่นว่าจะตรวจสอบคำติชมของผู้โดยสารอย่างสม่ำเสมอ สนับสนุนการทำงานร่วมกันข้ามแผนก และการนำโปรแกรมประสบการณ์ลูกค้าไปใช้ในองค์กรธุรกิจต่างๆ ต่อไป ในขณะเดียวกันก็มั่นใจว่าจะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ในการริเริ่มปรับปรุงระบบการให้บริการผู้โดยสาร ให้ประสบความสำเร็จต่อไป

from:https://www.thumbsup.in.th/airasia-ask-bo-chatbot?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=airasia-ask-bo-chatbot

ซิสโก้ เปิดเทรนด์เทคโนโลยี และธุรกิจที่สำคัญในปี 2566

ทวีวัฒน์ จันทรเสโน กรรมการผู้จัดการ ซิสโก้ ประเทศไทย และพม่า กล่าวว่า บทเรียนสำคัญที่ได้รับในช่วงสองสามปีที่ผ่านมาก็คือ อนาคตเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ ได้เห็นหลาย ๆ องค์กรในภูมิภาคนี้ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปภายหลังการแพร่ระบาด และสามารถขยายธุรกิจให้เติบโตท่ามกลางปัจจัยภายนอกที่ผลมาจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น และความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก

สำหรับปี 2566 องค์กรธุรกิจต่าง ๆ จะต้องตอบสนองความคาดหวังที่เปลี่ยนแปลงไปของพนักงาน ท่ามกลางสภาพแวดล้อมแบบไฮบริดที่มุ่งเน้นดิจิทัล และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เทรนด์ธุรกิจและเทคโนโลยีที่สำคัญในปีใหม่นี้มีอะไรบ้าง และองค์กรธุรกิจต่าง ๆ จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ เหล่านี้ได้อย่างไร

Cisco

ธุรกิจจำเป็นต้องปรับปรุงเรื่องไซเบอร์ซีเคียวริตี้และโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที เพื่อให้ทันกับแลนด์สเคปที่เปลี่ยนแปลงไป

การเชื่อมต่อระหว่างผู้คน อุปกรณ์ และข้อมูลมีการขยายตัวอยู่ตลอดเวลา โดยมีจุดเชื่อมต่อที่เปิดกว้าง รองรับการใช้งานร่วมกัน และเข้าถึงได้นับพันล้านจุด และมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในการทำงานแบบไฮบริดที่ใช้ระบบคลาวด์ “เครือข่าย” เปรียบเสมือนระบบประสาทที่ทำให้ทุกสิ่งสามารถทำงานร่วมกัน และแม้ว่าเครือข่ายจะรองรับความเป็นไปได้อย่างไร้ขีดจำกัด แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดความซับซ้อนเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน เนื่องจากองค์กรและผู้ใช้กระจัดกระจายมากขึ้น อีกทั้งยังมีความต้องการในการเข้าถึงแอปพลิเคชันได้ทุกที่ทุกเวลา ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องดำเนินการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเครือข่าย เพื่อรองรับการเชื่อมต่ออย่างราบรื่น ควบคู่ไปกับการรักษาความปลอดภัย จากการสำรวจพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม 7 ใน 10 คนในอาเซียนเชื่อว่าปัญหาการเชื่อมต่อที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งคือข้อจำกัดที่สำคัญสำหรับบุคลากรที่ทำงานนอกสถานที่ อย่างไรก็ดี 27% ระบุว่าบริษัทของพวกเขายังคงต้องการโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายที่เหมาะสม ธุรกิจต่าง ๆ ยังต้องปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีให้ทันสมัยโดยใช้เทคโนโลยี SD-WAN ซึ่งจะช่วยให้สามารถเชื่อมต่อผู้ใช้ อุปกรณ์ต่าง ๆ และอุปกรณ์ IoT เข้ากับระบบ แอป และข้อมูลได้อย่างปลอดภัย ด้วยการจัดการแบบรวมศูนย์และการบริหารนโยบายด้านความปลอดภัย นอกจากนี้ ยังต้องเปลี่ยนย้ายจากระบบรักษาความปลอดภัยแบบสแตนด์อโลน ไปสู่กลยุทธ์แพลตฟอร์มที่เชื่อมต่อที่มุ่งเน้นไปที่การตรวจจับ การตอบสนอง และการกู้คืน

ยุคใหม่ของเครือข่ายที่ “รองรับการคาดการณ์” ได้มาถึงแล้ว และจะเปลี่ยนความคล่องตัวของธุรกิจ

การแข่งขันในโลกดิจิทัลปัจจุบันมีความมุ่งหมายเดียว นั่นคือ อะไรก็ตามที่สามารถส่งมอบในรูปแบบดิจิทัลได้ต้องพร้อมใช้งานอยู่เสมอ แอปพลิเคชันเป็นเพียงประตูที่เปิดไปสู่โลกดิจิทัลที่มีการเปลี่ยนแปลงและเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งในแง่ของขนาดและความซับซ้อน ทั้งนี้มีการคาดการณ์ว่าตลาด Super App ในอาเซียนจะมีรายได้สูงถึง 23 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2568[1] กุญแจสำคัญในการส่งมอบประสบการณ์ดิจิทัลที่ดีเยี่ยมก็คือ ความสามารถในการตรวจสอบทั่วทุกจุด ทั้งในส่วนของข้อมูล การโต้ตอบกับระบบ ความเชื่อมโยงระหว่างกัน และดัชนีชี้วัดทางธุรกิจที่เกิดขึ้นแบบเรียลไทม์ผ่านอินเทอร์เฟซดิจิทัล โดยเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการดำเนินการในส่วนนี้ก็คือ เอนจิ้นเครือข่ายสำหรับการคาดการณ์ซึ่งทำหน้าที่เก็บรวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลการตรวจวัดทางไกลจำนวนมาก และผสานรวมเข้ากับโมเดลต่าง ๆ เพื่อคาดการณ์ปัญหาเกี่ยวกับประสบการณ์ของผู้ใช้ เทคโนโลยีที่ว่านี้จะช่วยลดช่องว่างระหว่างทีมงานฝ่ายไอทีและฝ่ายธุรกิจ โดยผู้บริหารฝ่ายไอทีจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ล่วงหน้าก่อนที่ปัญหาจะเกิดขึ้นจริง ขณะที่ทีมงานฝ่ายธุรกิจสามารถโฟกัสไปที่ความคล่องตัวและการสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อให้โดนใจลูกค้า

Physical spaces หรือพื้นที่ทางกายภาพ เช่น ออฟฟิศ และสถานพยาบาล จะถูกพลิกโฉมเพื่อรองรับการทำงานแบบไฮบริดสำหรับทุกคน

ผลการสำรวจล่าสุดเปิดเผยว่า พนักงานที่ทำงานจากที่บ้านมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมากในตอนนี้ ซึ่งนั่นหมายความว่า 98%[2] ของการประชุมจะมีผู้เข้าร่วมผ่านรีโมทอย่างน้อยหนึ่งคน อย่างไรก็ตาม ทั่วโลกมีห้องประชุมและห้องเรียนเพียง 6% เท่านั้นที่รองรับวิดีโอ และในปีใหม่นี้ การทำงานแบบไฮบริดจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อพื้นที่ทำงานทางกายภาพ โดยองค์กรต่าง ๆ ในทุกกลุ่มอุตสาหกรรมจะต้องคิดใหม่ทำใหม่เกี่ยวกับพื้นที่ทำงานขององค์กร ไม่ว่าจะเป็นออฟฟิศหรือสถานพยาบาล เพื่อขับเคลื่อนสภาพแวดล้อมที่เอื้อประโยชน์แก่ทุกคน สิ่งนี้จะเกิดขึ้นผ่านการทำงานร่วมกันที่ใกล้ชิดยิ่งระหว่างฝ่ายไอที ฝ่ายทรัพยากรบุคคล และฝ่ายอาคารสถานที่ เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่การผสานรวมฟีเจอร์ต่าง ๆ เช่น ระบบเสียงอัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วย AI/การตัดเสียงรบกวนรอบข้าง ไปจนถึงการจัดเตรียมพื้นที่ทางกายภาพโดยใช้อุปกรณ์การประชุมทางวิดีโอที่เหมาะสม เพื่อรองรับการทำงานร่วมกันแบบไฮบริดที่ราบรื่นและปลอดภัย รวมถึงการปรับปรุงนโยบายเกี่ยวกับพนักงานและแนวทางปฏิบัติของบริษัท เพื่อให้แน่ใจว่าพนักงานทุกคนจะได้รับผลตอบแทนที่เป็นธรรมในระยะยาว ไม่ว่าพวกเขาจะทำงานจากที่ใดก็ตาม

Private 5G พร้อมด้วย Wi-Fi6 จะปฏิวัตินวัตกรรมคลาวด์, เอดจ์ (Edge) และ IoT

เนื่องจากองค์กรธุรกิจจำนวนมากในเอเชีย-แปซิฟิกเริ่มตระหนักถึงประโยชน์ของการปรับเปลี่ยนสู่ดิจิทัลเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการใช้เทคโนโลยีแห่งอนาคต เราจึงคาดการณ์ว่าจะมีการปรับใช้ 5G เพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยให้รายได้รวมของ 5G ในภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้นจาก 2.13 พันล้านดอลลาร์ในปี 2563 เป็น 23.89 พันล้านดอลลาร์ในปี 2568[3] นอกจากนี้ การรวมกันของ Wi-Fi 6 และ 5G จะเป็นตัวเปลี่ยนเกมที่สำคัญ และจะปูทางสู่อนาคตใหม่ของการเชื่อมต่อสำหรับเกือบทุกอุตสาหกรรม โดยจะให้แบนด์วิธเพิ่มขึ้นสามเท่า และความเร็วเพิ่มขึ้นห้าเท่าเมื่อเทียบกับ Wi-Fi 5 เทคโนโลยีนี้สำคัญอย่างยิ่งสำหรับบริษัทในภาคอุตสาหกรรมเช่น ภาคการผลิต ซึ่งต้องการความสามารถทางวิศวกรรมที่มีความแม่นยำสูง เพื่อใช้แอปพลิเคชันใหม่ ๆ ที่ขับเคลื่อนการปรับเปลี่ยนสู่ดิจิทัล ระบบโรงงานอัจฉริยะ และระบบอัตโนมัติภายในกระบวนการต่าง ๆ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ พลังของเทคโนโลยีมาจากความสามารถในการตรวจสอบและจัดการทรัพย์สินหลายพันรายการ และความสามารถในการปรับขนาดจะช่วยรองรับการใช้งานหุ่นยนต์เคลื่อนที่ในวงกว้าง รวมไปถึงยานยนต์ไร้คนขับ และด้วยเหตุนี้ เราจึงคาดการณ์ว่าบริษัทต่าง ๆ จะมองหาหนทางในการปรับใช้เทคโนโลยีดังกล่าว เมื่อมีการกำหนดคลื่นความถี่และจัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง

Purpose หรือจุดมุ่งหมายจะเชื่อมโยงทุกสิ่งที่ธุรกิจทำ ขณะที่ ESG จะเป็นวาระการประชุมของคณะกรรมการบริหาร

Purpose หรือจุดมุ่งหมาย จะมีความเกี่ยวข้องมากขึ้นและมีความสำคัญอย่างมากต่อบริษัทต่าง ๆ ในปีใหม่นี้ ซึ่งนับเป็นสิ่งที่ดีสำหรับธุรกิจ โดยจากผลการศึกษาของ Harvard Business Review พบว่ามากกว่า 50%ของบริษัทที่ขับเคลื่อนด้วยจุดมุ่งหมายมีการเติบโตทางธุรกิจ 10% เมื่อเทียบกับ 42% ของบริษัทที่ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยจุดมุ่งหมาย นอกจากนี้ ยังนับเป็นเรื่องดีสำหรับบุคลากร เพราะจากการศึกษาวิจัยพบว่า “จุดมุ่งหมายที่ชัดเจน” คือกุญแจสำคัญในการดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ และสุดท้าย นับเป็นสิ่งที่ดีสำหรับโลกของเรา กล่าวคือ แทนที่จะเป็นแบบฝึกหัดที่กาเครื่องหมายในช่องตัวเลือก การวัดผลกระทบของการดำเนินงานตามจุดมุ่งหมายของแต่ละบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม จะกลายเป็นเวทีกลางสำหรับการตัดสินใจขององค์กรมากขึ้น และเราจะเห็นองค์กรภาครัฐและภาคเอกชนร่วมมือกันมากขึ้นเพื่อกำหนดกรอบการรายงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูล รวมถึงการกำหนดกฎระเบียบและเป้าหมายด้านความยั่งยืน

from:https://www.thumbsup.in.th/cisco-tech-business-trends-2023?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=cisco-tech-business-trends-2023

Apple มูลค่ากิจการลดลง 1 ล้านล้านเหรียญ ใน 1 ปี ล่าสุดเหลือต่ำกว่า 2 ล้านล้านเหรียญ

วันที่ 4 ม.ค. 2022 Apple เคยมีมูลค่ากิจการเกิน 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่หลังจากนั้น 1 ปี Apple กลับมีมูลค่ากิจการต่ำกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ ถือเป็นการสูญเสียมูลค่ากิจการกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ ในปีเดียว

Apple

Apple มูลค่ากิจการลดลง 1 ล้านล้านดอลลาร์ ใน 1 ปี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มูลค่าหุ้น Apple ปิดตลาดวันที่ 3 ม.ค. 2023 ตามเวลาสหรัฐอเมริกาที่ 125.07 ดอลลาร์ ลดลง 3.74% และน้อยกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่ 30.40% ตัวเลขดังกล่าวส่งผลให้มูลค่ากิจการ Apple อยู่ที่ 1.99 ล้านล้านดอลลาร์ เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน มี.ค. 2021 ที่มูลค่ากิจการน้อยกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์

ขณะเดียวกัน Apple ยังมีมูลค่ากิจการลดลง 1 ล้านล้านดอลลาร์ หลังผ่านไป 1 ปี เพราะเมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2022 บริษัทเคยมีมูลค่ากิจการ 3 ล้านล้านดอลลาร์ ในช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ปัจจุบันด้วยความกังวลกับเรื่องเศรษฐกิจ และความต้องการสินค้า ทำให้นักลงทุนเทขายในช่วงครึ่งหลังของปี 2022 จนทำให้มูลค่ากิจการลดลงอย่างต่อเนื่อง

Apple

สำนักข่าว Nikkei รายงานว่า Apple มีการแจ้งซัพพลายเออร์ให้ลดกำลังการผลิตของสินค้ายอดนิยมต่าง ๆ เช่น AirPods, Apple Watch และ MacBook กระทบกับความเชื่อมั่นของนักลงทุน นอกจากนี้การระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศจีน ยังทำให้ความต้องการสินค้า และการผลิตที่นั่นมีปัญหาเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม Apple ยืนยันว่า ความต้องการของ iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max ยังแข็งแกร่ง แม้สินค้าจะมีราคาค่อนข้างสูง เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนในช่วงเศรษฐกิจถดถอย และคลายความกังวลจากบริษัทเทคโนโลยีที่ช่วงเวลานี้ผลประกอบการออกมาเป็นที่ไม่น่าพอใจนัก

หากจินตนาการไม่ออกว่า มูลค่ากิจการหายไป 1 ล้านล้านดอลลาร์ ใน 1 ปี มากขนาดไหน เมื่อนำธนบัตรใบละ 1 ดอลลาร์ มาเรียงซ้อนกันจนมีมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ จะมีความยาวเท่ากับการเดินทางรอบโลก 2.72 รอบ และงบประมาณประเทศไทยปี 2023 อยู่ที่ 3.18 ล้านล้านบาท หรือราว 93,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

สรุป

Apple เป็นอีกบริษัทเทคโนโลยีที่ประสบปัญหามูลค่าหุ้นลดลงรับปีใหม่ และเป็นการยากที่จะฟื้นกลับมา เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยยังมีอยู่ ประกอบกับตลาดหลักอย่างประเทศจีนยังคลายปัญหาจากการระบาดของโรคโควิด-19 ไม่ได้

อ้างอิง // CNN

อ่านเพิ่มเติม

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post Apple มูลค่ากิจการลดลง 1 ล้านล้านเหรียญ ใน 1 ปี ล่าสุดเหลือต่ำกว่า 2 ล้านล้านเหรียญ first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/apple-market-cap-under-2-tillion/

เหตุผลที่แบรนด์ของคุณต้องลงมือทำ TikTok ทันที!!

อีคอมเมิร์ซของ TikTok คือการใช้แอปวิดีโอยอดนิยมเพื่อขายสินค้าหรือบริการ ซึ่งตัวแอปมีเครื่องมือทางการค้าหลายตัวสำหรับผู้ขายที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถดูและซื้อผลิตภัณฑ์ได้ง่ายภายในเวลาไม่กี่วินาที ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ผู้ขายทุกคนสามารถใส่ลิงก์ผลิตภัณฑ์ลงในวิดีโอและประวัติได้โดยตรง เพื่อให้ผู้ใช้สามารถคลิกและซื้อจากเบราว์เซอร์ในแอปได้ นั่นหมายความว่าผู้คนสามารถซื้อสิ่งที่พวกเขาเพิ่งเห็นในฟีดได้ทันที

เหตุใดคุณจึงควรใช้ TikTok สำหรับอีคอมเมิร์ซ?

TikTok เปรียบเสมือนหน้าร้านฟรีในห้างสรรพสินค้าที่มีผู้คนพลุกพล่านมากมาย อันที่จริง การวิจัยแสดงให้เห็นว่าผู้ใช้ TikTok 35% ซื้อสินค้าจากแพลตฟอร์ม และ 44% ของผู้ใช้ค้นพบผลิตภัณฑ์ผ่านโฆษณาและเนื้อหาที่โพสต์โดยแบรนด์

เมื่อคุณพิจารณาว่า TikTok มีผู้ใช้งานมากกว่าหนึ่งพันล้านคนต่อเดือน คุณจะเห็นว่ามีโอกาสขายที่ยังไม่ได้ใช้งานมากน้อยเพียงใดบน ForYouPage (FYP)

1. เพิ่มยอดขาย

เมื่อแบรนด์กำลังมองหาวิธีใหม่ๆ ในการเพิ่มยอดขายทางออนไลน์  TikTok เป็นหนึ่งในสถานที่แรกๆ ที่แบรนด์ควรคิดถึง

การศึกษาแสดงให้เห็นว่าผู้คนมองว่า TikTok เป็น “ของแท้ ไม่มีการกรอง และเป็นเทรนด์” ซึ่งหมายความว่ามีเนื้อหาที่มีความสมบูรณ์ที่ผู้คนต้องการนั้นคือเนื้อหาที่มีรูปแบบน้อยกว่าและผ่านการกรองไม่มากเกินไปเหมือนกับโฆษณาบน Facebook และ Instagram

การขายด้วยความเป็นจริงนั้นทำให้ผู้ใช้ทราบว่าพวกเขาไม่ได้ขายสิ่งที่พวกเขาไม่ต้องการ นั่นแปลว่ามีความไว้วางใจเกิดขึ้นต่อเนื้อหามากขึ้น และท้ายที่สุดก็จะมียอดขายเพิ่มขึ้น

2. สร้าง SEO ผ่านแพลตฟอร์มง่ายขึ้น

เมื่อต้นปีนี้ Prabhakar Raghavan รองประธานอาวุโสของ Google กล่าวว่า 40% ของคนหนุ่มสาวหันมาใช้ TikTok หรือ Instagram มากขึ้นไปอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ เสิร์ชเอ็นจิ้นจึงเริ่มแสดงวิดีโอ TikTok ในผลการค้นหาของ Google

ซึ่งหมายความว่า ตราบใดที่คุณเพิ่มประสิทธิภาพวิดีโอทั่วไปและโฆษณาที่ลงอย่างเหมาะสม คุณก็จะมีโอกาสที่วิดีโอเหล่านั้นจะแสดงขึ้นเมื่อมีผู้ค้นหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือแบรนด์ของคุณ

3. เปิดโอกาสการเข้าถึงฐานลูกค้ากลุ่มใหม่

หากคุณกำลังมองหาวิธีการโปรโมตผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณกับผู้ชมที่อายุน้อยลง การตลาดบน TikTok เป็นสิ่งที่แบรนด์ต้องทำเพราะ 63% ของ Gen Z ใช้ TikTok เป็นประจำทุกวัน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า Gen Z เป็นกลุ่มเดียวที่แสวงหาประสบการณ์การช็อปปิ้งในแอป คนรุ่นมิลเลนเนียลและ Gen X มีแนวโน้มมากขึ้นที่จะใช้งานแอปนี้ โดยผู้ใช้มากกว่า 30% อยู่ในช่วงอายุ 25 ถึง 44 ปี การโปรโมตผลิตภัณฑ์บน TikTok จะช่วยให้คุณส่งข้อความถึงผู้ชมที่อายุน้อยกว่าและเข้าถึงผู้ใช้ที่ไม่ได้อยู่ในแพลตฟอร์มหลักของคุณ

เทรนด์การใช้งาน Tiktok นั้น ถือว่าเป็นโอกาสที่ช่วยเพิ่มยอดขายเข้าสู่ลูกค้ากลุ่มอายุน้อยลง และเป็นวัยรุ่นมากขึ้น หากแบรนด์ลองนำเสนอสินค้าเข้ามาน่าจะช่วยเพิ่มยอดขายได้ดี เพราะตอนนี้มีเหล่าอินฟลูเอนเซอร์เข้าไปขายของกันมากขึ้นแล้ว

from:https://www.thumbsup.in.th/why-tiktok?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=why-tiktok

Salesforce เผยองค์กรไทย 53% เห็นว่างานบริการลูกค้าเป็นเครื่องมือสร้างรายได้

Salesforce ผู้นำด้าน CRM ระดับโลกได้เปิดตัวรายงาน State of Service ฉบับที่ห้า ซึ่งนำเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเป้าหมายสำคัญ ความท้าทาย การวัดผลสำเร็จ และกลยุทธ์ขององค์กรที่เปลี่ยนแปลงไปท่ามกลางความคาดหวังของลูกค้าในโลกที่ดิจิทัลมาเป็นอันดับหนึ่ง และสภาพเศรษฐกิจที่ท้าทาย จากมุมมองของมืออาชีพกว่า 8,000 คนจาก 36 ประเทศ ในจำนวนนี้มีกว่า 300 คนจากประเทศไทย

Salesforce

จากรายงานดังกล่าวพบว่า ความผันผวนทางเศรษฐกิจกระตุ้นให้มีการเน้นประสิทธิภาพ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นข่าวใหญ่ ทีมบริการลูกค้าต่างหันมาใช้การวัดผลสำเร็จและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 67% ขององค์กรด้านบริการในประเทศไทยใช้เวิร์กโฟลว์ และกระบวนการทางธุรกิจแบบอัตโนมัติ

ขณะเดียวกันงานบริการลูกค้าที่ใช้ระบบดิจิทัลเป็นอันดับแรกจะยังมาแรงอย่างต่อเนื่อง ลูกค้าหันเริ่มมาใช้ระบบดิจิทัลในช่วงที่เกิดโรคระบาด และยังไม่มีสัญญาณว่าจะชะลอลง 67% ขององค์กรด้านบริการในประเทศไทยให้บริการผ่านระบบวิดีโอและ 63% ให้บริการแชท รวมถึง “การลาออกครั้งใหญ่” ยังกระตุ้นให้เกิดความสนใจเรื่องประสบการณ์ของพนักงาน เพราะอัตราการเปลี่ยนงานที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้องค์กรด้านบริการคิดสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ โดยองค์กรด้านบริการในไทยมีอัตราการหมุนเวียนของพนักงานเฉลี่ย 17% ในปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตามการให้บริการลูกค้ายังเติบโตเกินไปกว่าศูนย์บริการติดต่อ ขณะนี้บริการภาคสนามมีความสำคัญมากกว่าขอบเขตการทำงานเดิมในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น ในภาคพลังงานและสาธารณูปโภค 88% ขององค์กรด้านบริการที่มีบริการภาคสนามในประเทศไทยกล่าวว่าบริการประเภทนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการขยายธุรกิจ

กิตติพงษ์ อัศวพิชยนต์ กรรมการผู้จัดการของเซลส์ฟอร์ซ ประเทศไทย อธิบายว่า รูปแบบของการให้บริการลูกค้ากำลังมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ธุรกิจต่าง ๆ ต้องกลับมาคิดหาแนวทางใหม่ ๆ ในการสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า ในสภาพการณ์ที่เศรษฐกิจเผชิญกับความท้าทายในขณะนี้ ผลักดันให้เกิดความจำเป็นและเร่งด่วนที่ธุรกิจต้องให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพ

ส่งผลให้ทีมบริการต้องกลับมาคิดทบทวนว่าจะสามารถสร้างผลลัพธ์ที่มากขึ้นโดยใช้ทรัพยากรทั้งค่าใช้จ่าย บุคลากร เวลา ฯลฯ ที่น้อยลงได้อย่างไร สภาวะการณ์นี้ทำให้เกิดความจำเป็นอย่างยิ่งที่องค์กรธุรกิจจะต้องสร้างมุมมองแบบ 360 องศาของลูกค้าจากข้อมูลการติดต่อในทุกด้าน และนำระบบการให้บริการแบบอัตโนมัติเข้ามาเสริมเพื่อมอบบริการ และประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า

from:https://www.thumbsup.in.th/salesforce-services-thailand?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=salesforce-services-thailand

เคล็ดลับการขายบนโซเชียลให้ยอดปังตลอดปี!

ไม่ว่าคุณจะทำงานในอุตสาหกรรมใด คุณต้องการให้แน่ใจว่าการลงทุนของคุณคุ้มค่า ในด้านการตลาดย่อมทำให้เกิดคำถามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น โฆษณาบนโซเชียลมีเดียของคุณเพียงพอหรือไม่ คุณใช้เงินไปกับการทำคอนเท้นต์บนโซเชียลมีเดียมากมายขนาดไหน? แคมเปญคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่?

สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นคำถามที่ควรพิจารณา การมีโครงร่างงบประมาณโซเชียลมีเดียจะช่วยให้คุณตอบคำถามเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าบริษัทของคุณจะใหญ่หรือเล็ก งบประมาณก็ยังคงเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อคุณเริ่มติดตามการใช้จ่าย คุณจะวิเคราะห์ประสิทธิภาพของกลยุทธ์ได้ง่ายขึ้น ดังนั้นเรามาลองแยกย่อยปัจจัยบางอย่างที่คุณต้องพิจารณาเมื่อคุณทำการจัดสรรงบประมาณการตลาดบนโซเชียมีเดียกัน

 

ตั้งเป้าหมาย – จัดสรรงบ ก่อนยิงแอด

คุณจะไม่รู้วิธีจัดสรรงบประมาณของคุณจนกว่าคุณจะรู้เป้าหมายโซเชียลมีเดียของคุณ ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้น คุณอาจลงทุนมากขึ้นในการสร้างแคมเปญที่เพิ่มการรับรู้ ซึ่งแบรนด์ควรลำดับความสำคัญที่ต้องการแล้วจัดสรรรงบประมาณของคุณ การสร้างการมีส่วนร่วมมากขึ้น การเข้าถึงผู้ชมใหม่ การเสริมสร้างชุมชนที่แน่นแฟ้น และการเพิ่มรายได้คือเป้าหมายสี่อันดับแรกที่นักการตลาดควรมีในการทำงานร่วมกันประเภทนี้

สร้างคอนเทนต์สุดปัง! ให้คนอยากแชร์ซ้ำ

โซเชียลมีเดียเร่งการแข่งขันทางธุรกิจ แต่การพัฒนาเนื้อหาที่สร้างสรรค์และให้ข้อมูลช่วยให้แบรนด์โดดเด่นท่ามกลางผู้คนจำนวนมาก การเผยแพร่และลงทุนในเนื้อหาอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิดีโอขนาดสั้นนื่องจากวิดีโอนั้นเป็นรูปแบบเนื้อหายอดนิยม นั่นจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการบรรลุเป้าหมายบนโลกโซเชียล หากกลยุทธ์ด้านเนื้อหาของคุณต้องการจำนวนโพสต์รายวันที่มากขึ้น งบประมาณของคุณในพื้นที่นี้อาจมากกว่าของแบรนด์ที่โพสต์เพียงสองสามครั้งต่อสัปดาห์ และวิธีหนึ่งในการลดค่าใช้จ่ายคือการสร้างกลยุทธ์เนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างขึ้น

ระบบหลังบ้านต้องพร้อม คลิกให้น้อย จ่ายเงินได้ไว

ทีมโซเชียลจำนวนมากใช้ทรัพยากรที่มาพร้อมกับค่าใช้จ่ายรายเดือนหรือรายปี ซึ่งรวมถึงการสมัครสมาชิกของเครื่องมือการจัดการและวิเคราะห์โซเชียลมีเดีย หรือการสนับสนุนลูกค้าและแพลตฟอร์มอีเมลต่างๆ ซึ่งแบรนด์ควรแบ่งปันงบมาส่วนนี้เพราะเครื่องมือโซเชียลมีเดียนั้นทั้งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ และสร้างข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งธุรกิจของคุณ

ยิงแอดในแคมเปญที่เหมาะสม อย่าถี่จนเหมือนสแปม

การโฆษณาเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่มีงบประมาณสูง แต่ผู้บริโภคส่วนใหญ่กล่าวว่าโฆษณาบนโซเชียลมีเดียเป็นแหล่งข้อมูลที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อเป็นอย่างมาก ด้วยการเข้าถึงแบบออร์แกนิกและการแข่งขันที่สูง การมีงบประมาณการโฆษณาบนโซเชียลมีเดียเป็นวิธีสำคัญที่จะช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อแบรนด์ของเรา สำหรับบริษัทที่ดำเนินการแคมเปญหลายช่องทาง คุณจะต้องตัดสินใจว่าจะจัดสรรให้แต่ละช่องทางเป็นจำนวนเท่าใดให้เหมาะสมและคุ้มค่ามากที่สุด

จับมืออินฟลู – ครีเอเตอร์ สร้างสีสันให้แบรนด์บ้าง

ระหว่างการทำงานร่วมกันของแบรนด์และแคมเปญการตลาดแบบอินฟลูเอนเซอร์ การเป็นพันธมิตรกับแบรนด์เหล่านี้มีอยู่ทุกที่บนโซเชียลมีเดีย พวกเขาเพิ่มการแสดงแบรนด์ของคุณอย่างมีประสิทธิภาพและดึงดูดลูกค้าใหม่ ๆได้อย่างมากมาย เมื่อพูดถึงการทำงานกับผู้สร้างเนื้อหา นักการตลาดมองว่างบประมาณเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่มากของพวกเขา แบรนด์จึงควรทำวิจัยและตัดสินใจว่าควรจัดลำดับความสำคัญของช่องและประเภทเนื้อหาใดก่อน เพื่อสร้างช่องทางที่ดีและเหมาะสมกับงบประมาณของแบรนด์

ที่มา : skylead.io

from:https://www.thumbsup.in.th/selling-tips?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=selling-tips

Content audit คืออะไร

ไม่ว่าคุณจะเป็นแบรนด์เล็กหรือใหญ่ที่มีเว็บไซต์เป็นของตนเอง ต่างก็ต้องคอยตรวจเช็คเว็บไซต์ของคุณ ว่าเข้าถึงผู้ใช้งานได้ง่ายหรือไม่ คอนเทนต์ดึงดูดใจทั้งคนอ่านทั่วไปและ SEO หรือเปล่า เพื่อให้การลงทุนของคุณไม่เสียเปล่า และนี่คือสิ่งที่คุณต้องเตรียมพร้อมในการตรวจสอบหลังบ้านของคุณค่ะ

การตรวจสอบเนื้อหาคือการตรวจสอบเนื้อหาทั่วทั้งไซต์ของคุณอย่างเป็นระบบ รวมถึง:

  • บล็อก
  • แลนดิ้งเพจ
  • หน้าผลิตภัณฑ์หรือบริการ
  • หน้าเนื้อหาหลัก

การตรวจสอบนี้ช่วยให้คุณเข้าใจว่าเนื้อหาของคุณทำงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายหรือไม่ รวมถึงการเข้าถึงผู้ชมที่คุณต้องการ

ข้อดีของการทำ Content Audit

1. แสดงให้คุณเห็นว่าเนื้อหาใดต้องปรับปรุง

นอกจากการแสดงให้คุณเห็นว่าเนื้อหาของคุณใช้งานได้ตามปกติแล้ว การตรวจสอบเนื้อหายังให้ทิศทางที่เป็นรูปธรรมแก่คุณในด้านต่างๆ ที่คุณต้องปรับปรุง

เนื่องจากการตรวจสอบเนื้อหาช่วยให้คุณเข้าใจว่าสิ่งใดใช้ได้ผลและไม่ได้ผล (เพราะคุณจะเห็นผลของทั้งสองฝั่งในไซต์ของคุณ) คุณจึงสามารถนำไปใช้กับการสร้างเนื้อหาในอนาคตเพื่อผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น

2. ช่วยให้คุณมองเห็นเนื้อหาของคุณโดยรวมจากภาพรวม

หากคุณมีเนื้อหาจำนวนมากบนเว็บไซต์ของคุณ การตรวจสอบอาจเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบเนื้อหาให้เสร็จสิ้นเป็นวิธีเดียวที่จะเจาะลึกเนื้อหาทั้งหมดของคุณและทำความเข้าใจอย่างแท้จริงว่าเนื้อหานั้นส่งผลแก่ธุรกิจของคุณอย่างไร

หรือแม้ว่าคุณจะมีธุรกิจขนาดเล็กและมีเนื้อหาไม่มาก การตรวจสอบเนื้อหาก็ยังมีประโยชน์ มันจะช่วยคุณเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหาที่คุณมีเพื่อให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

การตรวจสอบเนื้อหาสามารถช่วยให้คุณเข้าใจสิ่งที่คุณมี สิ่งที่คุณต้องการ สิ่งที่คุณไม่ต้องการ และสิ่งที่คุณสามารถทำได้ในอนาคตเพื่อให้แน่ใจว่าภาพรวมของเนื้อหาของคุณมีส่วนสนับสนุนต่อเป้าหมายของคุณ

ข้อควรจำ: ไม่มีวิธีใดที่สมบูรณ์แบบในการตรวจสอบเนื้อหา การตรวจสอบของคุณสามารถเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับประเภทของเนื้อหาที่คุณกำลังวิเคราะห์และเป้าหมายที่คุณหวังว่าจะบรรลุเมื่อการตรวจสอบเสร็จสิ้น ด้วยเหตุนี้ให้ปรับแต่งการตรวจสอบเนื้อหาของคุณเพื่อให้เหมาะกับความต้องการของไซต์และกลยุทธ์เนื้อหาของคุณ

from:https://www.thumbsup.in.th/content-audit?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=content-audit

ทำไมหลายๆ แบรนด์ถึงเริ่มสนใจในการผลิตเพลงลง TikTok

เป็นเวลาหลายปีที่นักการตลาดได้ใช้การตลาดด้วยเพลงเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์การตลาด โดยหลายๆแบรนด์เลือกที่จะดึงศิลปินที่อยู่ในกระแสหลักมาสร้างสรรค์เพลงต้นฉบับของแบรนด์เอง 

แม้ว่าผลงานเหล่านี้มักจะเป็นเพลงประกอบโฆษณาทางทีวีหรือบนแพลตฟอร์มสตรีมเพลงต่างๆ แต่ก็มีการสร้างขึ้นโดยเฉพาะสำหรับ TikTok แอปโซเชียลที่กำลังโดดเด่นนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งถือโอกาสที่ดีสำหรับแบรนด์ในอการพึ่งพาสิ่งที่แพลตฟอร์มนำเสนอและถูกใช้งานกับเหล่าครีเอเตอร์อยู่แล้ว ด้วยตัว TikTok เองที่มีการอัปโหลดเพลงจำนวนมากและแบรนด์สามารถมีเพลงที่เป็นที่นิยมไปทั้งแพลตฟอร์มได้ในเวลาเพียงไม่กี่วัน”

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา TikTok ได้ช่วยนำเพลงฮิตเก่าๆ กลับมาสู่ชาร์ต ในการคิดการตลาดเพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคที่อายุน้อยและกลุ่มที่เบื่อหน่ายโฆษณาจำนวนมากโดยการเปิดรับกระแสความนิยมของดนตรีบน TikTok นักการตลาดรายใหญ่ได้เริ่มเปลี่ยนความพยายามในการสร้างแบรนด์เพลงของตนไปยังรูปแบบของแพลตฟอร์มนี้มากยิ่งขึ้น โดยทำงานร่วมกับครีเอเตอร์ชั้นนำและนักดนตรีชั้นนำในการสร้างเพลงต้นฉบับที่สามารถเป็นที่นิยม TikTok ด้วย และวิธีเหล่านี้รวมถึงการนำเพลงที่เป็นสัญลักษณ์และเป็นที่จดจำมาสู่ TikTok และร่วมมือกับเหล่าครีเอเตอร์ 

ความพยายามในการสร้างแบรนด์ให้มีส่วนผสมของดนตรีมักถูกใช้เพื่อการสร้างแบรนด์และมีส่วนร่วมกับผู้บริโภคที่อายุน้อย ซึ่งเป็นความจำเป็นที่เพิ่มขึ้นสำหรับนักการตลาดทุกกลุ่ม เพราะเมื่อนำความพยายามเหล่านี้มาสู่ TikTok แล้วนั้น ความสำเร็จสามารถวัดได้มากกว่าการดู like และ comment แต่สามารถดูได้โดยการมีส่วนร่วมกับเนื้อหาของผู้บริโภค เพราะโดยพื้นฐานแล้วแบรนด์สามารถเปลี่ยนจากการมีผู้สร้างคนหนึ่งขยายแบรนด์ออกไปเป็น 200,000 คนในแอปโดยใช้เสียงหรือการเต้นหรืออะไรก็ตามที่แบรนด์พยายามจะสื่อสารได้

from:https://www.thumbsup.in.th/song-to-tiktok?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=song-to-tiktok

G-Able องค์กรเทคโนโลยีชั้นนำ ผู้อาสาปลดล็อคขีดจำกัดการเติบโตทุกธุรกิจในยุคดิจิทัล

โลกตอนนี้หมุนด้วยดิจิทัลอย่างไม่ต้องสงสัย ทุกองค์กรเริ่มลงทุนเทคโนโลยีเพื่อติดอาวุธธุรกิจ แต่ก็มีหลายรายที่ลงทุนแค่ไหนก็ยังใช้ได้ไม่เต็มที่ อาจเพราะขาดความเข้าใจ หรือไม่สามารถประยุกต์ใช้ได้เต็มรูปแบบ

วันนี้ G-Able ขอใช้ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและดิจิทัลโซลูชันที่สะสมมากว่า 33 ปี เพื่อช่วยให้ทุกองค์กรสามารถติดอาวุธด้วยเทคโนโลยีต่าง ๆ ได้จริง ปลดล็อคขีดจำกัดในการดำเนินธุรกิจ ด้วยแนวคิด Possible. Simple. ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไร ติดตามกันที่บรรทัดถัดไปได้เลยครับ

G-Able

Possible. Simple. คือหัวใจของ G-Able

G-Able โลดแล่นในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและดิจิทัลโซลูชันมามากกว่า 33 ปี คนทั่วไปอาจไม่รู้จักว่า G-Able เป็นใคร แต่รู้หรือไม่ว่าเกือบทุกองค์กรธุรกิจอาจเคยใช้บริการที่ G-Able รับผิดชอบอยู่เบื้องหลัง เพราะบริษัทนี้เชี่ยวชาญในการพัฒนา-ติดตั้งระบบเทคโนโลยีและดิจิทัลโซลูชัน ให้กับองค์กรชั้นนำ

ถ้าให้อธิบายง่าย ๆ G-Able เป็น Trusted Tech Enabler Partner for Business Resilience หรือผู้ที่นำศักยภาพความพร้อมของเทคโนโลยีในทุก ๆ ด้าน เพื่อผลักดัน และสนับสนุนลูกค้าให้พร้อมรับมือกับทุกๆสถานการณ์ และสามารถทำการแข่งขันได้ในโลกดิจิทัล แต่อย่างที่บอกว่าเรื่องเทคโนโลยีใช่ว่าจะเข้าใจกันง่าย ๆ แม้องค์กรไหนอยากจะลงทุนใช้งาน แต่ถ้าไม่เข้าใจจริง ๆ ก็คงเปิดใจได้ยาก

G-Able จึงคิดใหม่ทำใหม่ด้วยการใช้แนวคิด Possible. Simple. ที่เน้นเรื่องดิจิทัลโซลูชันและเทคโนโลยีที่เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน แต่แก้ปัญหา และติดอาวุธธุรกิจให้เติบโตได้จริง ผ่านความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมนี้มาอย่างยาวนานพร้อมพาร์ตเนอร์ระดับสากลที่พร้อมออกแบบบระบบต่าง ๆ ให้เข้ากับธุรกิจในไทย ที่รองรับการเติบโตในระดับสากล

แต่การจะก้าวไปถึงจุดนั้นได้ G-Able ไม่ได้เปลี่ยนแค่แนวคิดใหม่ แต่ยังยกระดับ 3 องค์ประกอบสำคัญคือ

  • การนำเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพเข้าไปช่วยเหลือองค์กรต่าง ๆ ให้ไปสู่การทำ Digital Transformation ได้
  • การเป็นองค์กรที่มีความชัดเจนในการทำธุรกิจ เข้าใจ และพร้อมแก้ปัญหาต่าง ๆ ให้กับทุกอุตสาหกรรม
  • การพัฒนาคนให้มีความสามารถ ช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลง และปลดล็อคขีดจำกัดของแต่ละธุรกิจ

ยกระดับแนวคิดผ่านการปรับตัวจริง

การเปลี่ยนแนวคิดธุรกิจข้างต้น ทาง G-Able มีตัวอย่างเบื้องหลังการทำงานที่น่าสนใจดังนี้

  • ในมุมการพัฒนาบุคลากร G-Able ได้ร่วมมือกับ คณะพาณิชยศาสตร์ และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อสนับสนุนระบบการศึกษาไทยในยุคดิจิทัล แก้ปัญหาขาดแคลนบุคลากรที่เชี่ยวชาญ และมีความเข้าใจเรื่องเทคโนโลยี ทั้งยังมอบโอกาสการทำงานในอนาคต
  • ในมุมช่วยเหลือองค์กรให้ทำ Digital Transformantion ได้ดีขึ้น ทาง G-Able ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์สินเชื่อผ่านดิจิทัล หรือ End-to-End Digital Lenging ตอบโจทย์องค์กรธุรกิจกลุ่มการเงินด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาวิเคราะห์รูปแบบสินเชื่อ และเพิ่มความปลอดภัยในการให้บริการ

ใช่ว่า G-Able พึ่งจะมาปรับภาพลักษณ์ เพราะตัวองค์กรทยอยปรับโครงสร้าง และแนวคิดการทำธุรกิจมาระยะหนึ่งแล้ว ผ่านการเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับองค์กรในแง่มุมต่าง ๆ พร้อมกับสร้างกลุ่มธุรกิจใหม่ในรูปแบบ Startup ซึ่งทั้งหมดนี้จะเติบโตไปด้วยกันกับองค์กรอื่น ๆ

G-Able

จุดพิสูจน์ว่าเทคโนโลยีคือสิ่งสำคัญในการเติบโตโดย G-Able เข้ามาช่วย

ข้อความข้างต้นน่าจะพิสูจน์ได้ว่า G-Able จริงจังกับการปรับตัวครั้งนี้ขนาดไหน และต้องการช่วยเหลือองค์กรต่าง ๆ ด้วยเทคโนโลยีมากเท่าใด แต่เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้นว่า เทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาทในแต่ละองค์กรแค่ไหน ช่วยเหลือทีมงานคนใดในองค์กรบ้าง G-Able ได้ยกตัวอย่างมาดังนี้

  • The Visionary หรือผู้สร้างวิสัยทัศน์ ที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อวางแผน และกำหนดทิศทางองค์กร
  • The Dream Maker หรือนักปั้นฝัน ที่นำความสามารถในแง่มุมต่าง ๆ ของเทคโนโลยีต่อยอดสิ่งที่คิด
  • The Change Maker หรือคนที่สร้างการเปลี่ยนแปลง ที่นำเทคโนโลยีมาติดอาวุธเพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขัน

และยังมีคนอื่น ๆ อีกมากมายในองค์กร ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นคนกลุ่มไหนในองค์กร เทคโนโลยีที่เข้าใจง่าย และมีประสิทธิภาพ จะเพิ่มความสามารถในการทำงาน และปลดล็อคขีดจำกัดในการมีส่วนช่วยยกระดับองค์กร ยิ่งมีพาร์ตเนอร์ที่เก่ง และเป็น Technology Enabler ที่เข้าใจองค์กรเหล่านั้น ยิ่งทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นจริงง่ายขึ้น

นอกจากนี้ G-Able ยังทำแคมเปญโฆษณาที่สื่อสารให้ลองตั้งคำถามกับตัวเอง และองค์กรว่า ยังมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่า Good, Great และ Greatness หรือไม่ และถ้าใช่ G ตัวต่อไปในการยกระดับตัวคุณ และองค์กรที่กำลังมองหาคืออะไร?

รู้จักบริการต่าง ๆ ของ G-Able ให้มากขึ้น

หากเจาะไปที่ภาพรวมธุรกิจของ G-Able ในปัจจุบัน ในฐานะ Tech Enabler ตัว Core Business ของบริษัทจะอยู่ภายใต้ G-Solution ที่ประกอบด้วย

  • Cybersecurity  ที่ดูแลตั้งแต่ให้คำปรึกษา, ออกแบบ, ติดตั้ง และตรวจสอบจริง
  • Cloud & Data Center Modernization ตอบโจทย์ยุคที่หลายธุรกิจใช้กลยุทธ์ Cloud-First
  • Data & Analytics รับกระแสการนำข้อมูลที่มีมาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพกับธุรกิจมากที่สุด
  • Digital Business & Application บริการช่วยให้องค์กรต่าง ๆ เข้าถึงลูกค้าด้วยช่องทางดิจิทัล
  • Managed Tech Services การบริหารจัดการระบบไอทีในองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ G-Able ยังมี กลุ่มธุรกิจ Tech Spin-off ซึ่งเป็นกลุ่ม Startup ต่อยอดมาจากกลยุทธ์ Own IP Platform หรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์ลิขสิทธิ์ของ G-Able ในปีที่ก่อนได้แก่ Blendata บริษัทด้าน Big Data, InsightEra ผู้ให้บริการ MarTech และ Mverge ผู้ให้บริการระบบบริหารจัดการพื้นที่เช่าแบบครบวงจร

สรุป

G-Able คือหนึ่งในบริษัทผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยีและดิจิทัลโซลูชันในประเทศไทยอย่างไม่ต้องสงสัย แต่จะให้เป็นแค่ SI เหมือนในอดีตคงไม่เพียงพออีกต่อไป ดังนั้นการเป็นทุกอย่างให้กับองค์กรต่าง ๆ เพื่อเติบโตในยุคดิจิทัลได้อย่างสมบูรณ์แบบคือทางออก และต้องติดตามกันว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ของ G-Able จะเขย่าวงการเทคโนโลยีในประเทศไทยมากเท่าใด

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post G-Able องค์กรเทคโนโลยีชั้นนำ ผู้อาสาปลดล็อคขีดจำกัดการเติบโตทุกธุรกิจในยุคดิจิทัล first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/gable-possible-simple/