ในช่วงวันที่ 28 มกราคม 2019 – 1 กุมภาพันธ์ 2019 นี้ ทางหัวเว่ยได้จัดงาน AI Open Day Thailand 2019 เพื่อจัดแสดงเทคโนโลยีด้าน AI ของตนเอง พร้อมจำลอง Use Case ต่างๆ ที่เกิดขึ้นจริงแล้วในประเทศจีนมาให้เราได้รับชม เพื่อเป็นแนวทางในการประยุกต์นำเทคโนโลยีเหล่านั้นมาใช้งานในประเทศไทย ซึ่งทางทีมงาน TechTalkThai ก็มีโอกาสได้ไปเข้าร่วมชมงานครั้งนี้มา และก็ประทับใจค่อนข้างมากทีเดียวกับเทคโนโลยีต่างๆ ที่นำมาจัดแสดง จึงขอสรุปเรื่องราวที่น่าสนใจให้ผู้อ่านทุกท่านได้อ่านกันดังนี้ครับ
การปรับนำเทคโนโลยี AI มาใช้สร้างกิจกรรมสนุกๆ นั้นก็เป็นไปได้ โดยในงานนี้ Huawei ได้จัดบูธแจกกาแฟฟรี โดยมีเงื่อนไขว่าผู้ที่อยากทานกาแฟจะต้องไปยืนหน้า Tablet แล้วทำมือรูปหัวใจก่อน จึงจะสามารถลงทะเบียนเพื่อรับกาแฟฟรีได้ แน่นอนว่าแนวคิดนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อีกหลากหลาย ไม่เพียงแต่การกำหนดท่าทางเท่านั้น แต่การนำสินค้าที่มีตราโลโก้ของแบรนด์มาแสดง หรือเงื่อนไขอื่นๆ นั้นก็เป็นไปได้ทั้งสิ้นด้วยเทคโนโลยี AI
Huawei กับกลยุทธ์ Full-stack AI พัฒนาเทคโนโลยีตั้งแต่ Hardware จนถึง Application เองทั้งหมด
Huawei ได้ออกมาเล่าถึงการพัฒนาเทคโนโลยีในฝั่ง AI ของตนเองว่าทาง Huawei นั้นให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี AI เป็นอย่างมาก และในมุมของ Huawei เองที่มีทั้งเทคโนโลยีในฝั่งของอุปกรณ์ Endpoint อย่าง Smartphone และ Notebook รวมกับเทคโนโลยีฝั่ง Data Center อย่าง Server หรือ Cloud ซึ่งมีภาพครบทั้ง Hardware และ Software อีกทั้่งยังมีพื้นฐานด้านการวิจัย คิดค้น และพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ จากธุรกิจระบบ IT Infrastructure ทั้งสำหรับผู้ให้บริการสัญญาณโทรศัพท์และระดับองค์กร ก็ทำให้ Huawei สามารถก้าวเข้าสู่ตลาดของ AI ได้ไม่ยาก
ทาง Huawei นั้นได้ทำการพัฒนาชิป AI ของตนเองเพื่อใช้ในการประมวลผลประสิทธิภาพสูงได้ โดยชิปดังกล่าวนี้จะใช้สถาปัตยกรรม Da Vinci และมีชิปในฝั่ง Data Center ที่ชื่อว่า Huawei Ascend 910 ซึ่งใช้เทคโนโลยี 7nm ในการผลิต และมีความเร็วในการประมวลผล FP16 สูงถึง 256 TeraFLOPS ต่อชิป ในขณะที่สำหรับฝั่งอุปกรณ์ Mobile และ IoT นั้นจะมีชิป Huawei Ascend 310 ซึ่งใช้เทคโนโลยี 12nm และมีความเร็วในการประมวลผล FP16 อยู่ที่ 8 TeraFLOPS
ชิปเหล่านี้ถือเป็นหัวใจสำคัญของ Huawei ในการรุกตลาด AI ทีเดียว เพราะชิปเหล่านี้จะเป็นตัวประมวลผลหลักที่ทำให้ AI Application สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกที่ ผสานไปกับแนวคิดของ Internet of Things (IoT) ในขณะที่ยังจะช่วยเร่งพลังประมวลผลในฝั่ง Data Center โดยยังคงประหยัดพลังงานได้อยู่
ในแง่ของระดับ Software นั้น Huawei เองก็มี Platform สำหรับต่อยอดในการพัฒนาระบบ AI บน Cloud มากมาย เช่น ModelArts และ HiLens ซึ่งก็จะช่วยให้ภาคธุรกิจนั้นสามารถประยุกต์ใช้ระบบ AI ในธุรกิจของตนเองในแง่มุมที่ต้องการได้ง่าย
สิ่งที่ Huawei ได้นำ AI เข้ามาเสริมเพื่อแก้ไขปัญหานั้นก็คือปัญหาข้างต้นดังกล่าว AI จะทำให้การอ่านเอกสารด้วย OCR มีความชาญฉลาดมากขึ้น ระบบสามารถเข้าใจได้ว่าเนื้อหาลักษณะนี้คือข้อมูลที่ควรถูกบันทึกลง Field ไหน อีกทั้งในการใช้งานจริงที่เมียนมาร์ AI ของ Huawei เองก็ช่วยให้ OCR สามารถอ่านเอกสารที่เป็นลายมือ และบันทึกลงฐานข้อมูลโดยอัตโนมัติได้สำเร็จมาแล้ว
เมื่อข้อมูลภาพและวิดีโอคือหัวใจสำคัญของ AI การจัดการกับการรับส่งข้อมูลเหล่านี้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นก็เป็นเรื่องสำคัญ
จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีที่นำมาจัดแสดงส่วนใหญ่นั้นเป็นการใช้ภาพจากกล้องวิดีโอมาวิเคราะห์ทั้งสิ้น เนื่องจากการใช้ภาพนี้มีข้อดีในแง่ของการที่ติดตั้งใช้งานจริงได้ง่าย และไม่ต้องมีอุปกรณ์เสริมใดๆ ติดตั้งที่เป้าหมายที่เราต้องการวิเคราะห์ข้อมูลเลย แต่แน่นอนว่าการใช้ภาพและวิดีโอในการวิเคราะห์ภายในระบบ AI ทั้งหมดนี้ ก็ย่อมต้องตามมาด้วยข้อมูลปริมาณมหาศาลที่ต้องรับส่งแน่นอน
Huawei นั้นนอกจากจะมีชิป AI ขนาดเล็กสำหรับติดตั้งใช้งานในอุปกรณ์ Embedded Device หรือกล้องได้แล้ว ก็ยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อลดขนาดข้อมูลของภาพและวิดีโอที่ต้องรับส่งด้วย เพื่อตอบโจทย์กรณีที่ต้องมีการส่งข้อมูลเหล่านี้ไปจัดเก็บและประมวลผลที่ Data Center หรือ Cloud อื่นๆ
LINE ประกาศเตรียมขายไลเซนส์เทคโนโลยีด้าน AI ให้บริษัทอื่นๆ ใช้งานด้วย โดยจะเริ่มในช่วงต้นปี 2019
ตัวอย่างเทคโนโลยีด้าน AI ของ LINE คือ text/image recognition รวมถึง OCR โดยเน้นไปที่ภาษาญี่ปุ่นเป็นหลัก เป้าหมายก็เพื่อให้บริษัทอื่นๆ ที่ไม่มีกำลังนักพัฒนาเท่ากับ LINE สามารถตอบสนองลูกค้าผ่านแช็ทบ็อต หรือแปลงข้อความจากภาพเป็น text แล้วนำไปแปลภาษาอัตโนมัติ
การขายไลเซนส์ของ LINE จะไม่บังคับให้ต้องเชื่อมต่อแอพกับ LINE ด้วย แต่ LINE ก็มองว่าการเปิดเทคโนโลยีให้บริษัทอื่นๆ ใช้งานจะช่วยเร่งการพัฒนาของตัวเอง รวมถึงสร้างรายได้เข้าบริษัทได้อีกช่องทางหนึ่ง
นอกจากนี้ ทิศทางของเทคโนโลยีกลุ่มนี้นับวันจะยิ่งง่ายขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญในอาชีพแขนงต่างๆ สามารถนำเครื่องมือและข้อมูลที่มีอยู่ไปสร้าง AI ที่ตอบโจทย์ความต้องการได้ด้วยตัวเองมากขึ้น ดังนั้นหากใครเชื่อว่า AI เป็นเรื่องของคนสาย IT เท่านั้นก็ควรรีบเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ และเริ่มต้นศึกษาเพื่อคว้าโอกาสในอนาคตกันได้แล้ว
เหล่าคน IT อาจต้องเริ่มเรียนรู้ว่าเทคโนโลยีเหล่านี้ทำงานได้อย่างไร และต้องการ IT Infrastructure พื้นฐานอย่างไรเพื่อให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ในขณะที่เหล่าคนนอกสาย IT ก็อาจต้องเรียนรู้ว่าในธุรกิจของตนมีการนำเทคโนโลยีเหล่านี้ไปใช้อย่างไรบ้าง เพื่อนำมาเป็นแนวทางประยุกต์ใช้ในธุรกิจของตน และประเมินความคุ้มค่าในการลงทุนได้อย่างแม่นยำ รวมถึงทำความเข้าใจว่าจะต้องจัดตั้งทีมงานอย่างไรในการนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้จริงให้ได้ประสบผลสำเร็จ
ในมุมคน IT คงต้องทำความเข้าใจภาพเหล่านี้และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องเอาไว้ เพื่อจะได้ช่วยองค์กรประเมินได้ว่าหากเลือกใช้บริการ Cloud เจ้าใดแล้วมีแผนจะย้ายออก จะจัดการได้อย่างไร ในขณะที่เหล่าคนนอกสาย IT เองก็ควรทราบเอาไว้แบบผิวเผิน เพื่อจะได้ให้คน IT ช่วยประเมินได้ก็น่าจะเพียงพอ
แน่นอนว่าคน IT เองนอกจากจะต้องเรียนรู้เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องแล้ว การเตรียมระบบเครือข่ายและพลังประมวลผลให้พร้อมเองก็ถือเป็นปัจจัยที่สำคัญ เพราะเทคโนโลยีเหล่านี้จะใช้ระบบเครือข่ายเยอะอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ในขณะที่เหล่าคนนอกสาย IT ก็คงต้องติดตามกันให้ดีว่าเทคโนโลยีเหล่านี้จะถูกนำไปใช้ทำอะไรกันบ้าง
ทั้งนี้อีกประเด็นที่น่าจับตามองเกี่ยวกับเทคโนโลยีกลุ่มนี้ คือการนำ AI เข้ามาผสานเพื่อสร้าง Content เสมือนที่มีความสมจริงมากยิ่งขึ้น เช่น ใบหน้าของมนุษย์ จนอาจนำไปสู่การสร้างข่าวปลอมที่มีความเหมือนจริงและยากต่อการแยกแยะได้ในอนาคตอันใกล้
ชุดข้อมูลเรียนรู้เป็นความท้าทายของทีมงาน เนื่องจากภาพถ่ายสัตว์ประเภทนี้ส่วนมากมักมีความกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม เนื่องจากพวกมันต้องพรางตัว เว็บไซต์ What the Herp? จึงมีหน้าให้อาสาสมัครเข้ามาช่วยปรับปรุงชุดภาพ โดยการตีกรอบพื้นที่ว่าสัตว์อยู่ตรงไหนในภาพกันแน่อีกด้วย
Don Becker โปรแกรมเมอร์ของโครงการนี้ ผู้หลงใหลในสัตว์เลื้อยคลาน บอกว่าโครงการนี้จะช่วยให้ผู้คนแยกแยะได้ว่า สิ่งไม่คุ้นเคยที่เขาเห็นนั้นคืออะไรกันแน่ และจะได้ไม่จบด้วยการพยายามฆ่าสัตว์ในทุกครั้งไป เพราะเมื่อคนเรียนรู้เข้าใจมากขึ้น คนก็จะรักมันมากขึ้นด้วย