คลังเก็บป้ายกำกับ: FACE_RECOGNITION

เฟซบุ๊กสั่งจ่ายเช็ค 397 ดอลลาร์ฯ ชดใช้แก่คนอิลินอยส์ตามศาลสั่ง

ผู้ที่อยู่อาศัยในอิลินอยส์มากกว่าล้านคนจะได้รับเงินชดเชยจากเฟซบุ๊กกว่า 397 ดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในสัปดาห์นี้ อันเป็นผลมาจากการฟ้องร้องเกี่ยวกับระบบแท็กภาพที่ใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าของแพลตฟอร์มโซเชียลชื่อดัง

เป็นเวลาเกือบ 7 ปีตั้งแต่ยื่นฟ้องครั้งแรกเมื่อปี 2015 ที่กล่าวหาเฟซบุ๊กว่าละเมิดกฎหมายความเป็นส่วนตัวที่ห้ามบริษัทจัดเก็บข้อมูลไบโอเมตริกโดยไม่แจ้งให้ผู้ใช้ทราบก่อน ซึ่งตอนนั้นเฟซบุ๊กโดนวิพากษ์วิจารณ์จากทั่วโลกถึงการใช้เทคโนโลยีนี้

จนล่าสุดปีที่ผ่านมา บริษัทเมต้าได้หยุดการใช้เทคโนโลยีนี้โดยสิ้นเชิงทั้งบนเฟซบุ๊กและอินสตาแกรม แต่ทางสำนักข่าว Vox.com ก็ออกมาให้ความเห็นว่า เมต้าก็ไม่เคยให้สัญญาว่าจะเลิกใช้การจดจำใบหน้านี้ในผลิตภัณฑ์ที่จะออกใหม่ต่อไปเหมือนกัน

แม้คดีนี้จะเริ่มฟ้องที่อิลินอยส์ แต่สุดท้ายก็ตกมาถึงเขตอำนาจบ้านเกิดของเฟซบุ๊กเองคือ ศาลแขวงแคลิฟอร์เนียเหนือ ที่ได้ปัดตกการร้องขอจากเฟซบุ๊กให้ยกฟ้องหลายต่อหลายครั้ง จนล่าสุดได้รับรองผลการตัดสินจากทางอิลินอยส์

อ่านเพิ่มเติมที่นี่ – engadget

//////////////////

สมัครสมาชิก Enterprise ITPro เพื่อรับข่าวสารด้านไอที

form#sib_signup_form_4 {
padding: 5px;
-moz-box-sizing:border-box;
-webkit-box-sizing: border-box;
box-sizing: border-box;
}
form#sib_signup_form_4 input[type=text],form#sib_signup_form_4 input[type=email], form#sib_signup_form_4 select {
width: 100%;
border: 1px solid #bbb;
height: auto;
margin: 5px 0 0 0;
}
form#sib_signup_form_4 .sib-default-btn {
margin: 5px 0;
padding: 6px 12px;
color:#fff;
background-color: #333;
border-color: #2E2E2E;
font-size: 14px;
font-weight:400;
line-height: 1.4285;
text-align: center;
cursor: pointer;
vertical-align: middle;
-webkit-user-select:none;
-moz-user-select:none;
-ms-user-select:none;
user-select:none;
white-space: normal;
border:1px solid transparent;
border-radius: 3px;
}
form#sib_signup_form_4 .sib-default-btn:hover {
background-color: #444;
}
form#sib_signup_form_4 p{
margin: 10px 0 0 0;
}form#sib_signup_form_4 p.sib-alert-message {
padding: 6px 12px;
margin-bottom: 20px;
border: 1px solid transparent;
border-radius: 4px;
-webkit-box-sizing: border-box;
-moz-box-sizing: border-box;
box-sizing: border-box;
}
form#sib_signup_form_4 p.sib-alert-message-error {
background-color: #f2dede;
border-color: #ebccd1;
color: #a94442;
}
form#sib_signup_form_4 p.sib-alert-message-success {
background-color: #dff0d8;
border-color: #d6e9c6;
color: #3c763d;
}
form#sib_signup_form_4 p.sib-alert-message-warning {
background-color: #fcf8e3;
border-color: #faebcc;
color: #8a6d3b;
}

from:https://www.enterpriseitpro.net/facebook-issues-397-checks-to-illinois-residents/

Instagram อาจใช้การถ่ายวิดีโอใบหน้ายืนยันตัวตน คาดไว้สู้บ็อท สู้แอคเคาท์ปลอม

มีผู้ใช้งานหลายราย พบเห็นว่า Instgram หำลังทดสอบฟีเจอร์ใหม่ โดยต้องถ่ายวิดีโอเซลฟี่เพื่อยืนยันตัวตนก่อนเข้าใช้งาน โดยข้อความบนหน้าจอระบุว่าต้องการข้อมูลใบหน้าเพื่อยืนยันว่าเป็นบุคคลที่มีอยู่จริง และจะลบข้อมูลใบหน้าออกใน 30 ว้น

Instagram เองก็สู้กับปัญหาบัญชีปลอม บัญชีบ็อทที่สร้างขึ้นเพื่อเพิ่มตัวเลขยอดไลค์ยอดฟอลโล่ว รวมถึงบัญชีที่มักเผยแพร่สแปม ก่อนหน้านี้ Meta หรือชื่อเก่าคือ Facebook ประกาศว่าจะปิดใช้งานฟีเจอร์ตรวจจับใบหน้าที่ใช้งานบน Facebook และจะลบข้อมูลออก แต่ก็ไม่ได้บอกว่าบริษัทจะหยุดใช้งานการตรวจจับใบหน้า

น่าสนใจว่า ผู้ใช้งานจะเชื่อถือ Meta ขนาดไหน ในหารยินยอมให้ถ่ายวิดีโอใบหน้าของตัวเอง แม้ Meta จะให้สัญญาว่าจะลบข้อมูลออกในภายหลังก็ตาม
alt="Instagram ใบหน้า"

ที่มา – The Verge

from:https://www.blognone.com/node/125872

[Guest Post] Facebook เลิกใช้ระบบ Tag ด้วยใบหน้า

ระบบจดจำใบหน้า (Face Recognition) เป็นระบบที่ Facebook ใช้สำหรับการแท็กผู้ใช้รายอื่นๆในรูปภาพ และเป็นตัวระบุผู้ใช้ในภาพหรือแท็กอัตโนมัติใน Memories (เมื่อปีที่แล้ว)

สัปดาห์เดียวหลังจากเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Meta ทาง Facebook ประกาศว่าจะเลิกใช้ฟีเจอร์จดจำใบหน้าและลบข้อมูลทั้งหมดที่ฟีเจอร์นี้ใช้งาน

รองประธานฝ่าย AI ของ Facebook ประกาศว่า “แม้ระบบจดจำใบหน้าจะมีประโยชน์ในหลายทาง แต่ก็มีกระแสต่อต้านของเทคโนโลยีนี้เช่นกัน”

“กระแสต่อต้านมีหลากหลายประเด็น และกฎหมายที่รองรับเทคโนโลยีนี้ก็ยังไม่ชัดเจน และแตกต่างกันในแต่ละประเทศ”

“แต่อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่าการใช้ระบบจดจำใบหน้าเป็นเทคโนโลยีที่มีประโยชน์หากนำไปใช้ในวงแคบและเหมาะสม”

ทาง Facebook เคยจ่ายค่าปรับเป็นจำนวนกว่า 650 ล้านเหรียญสหรัฐฯหลังถูกกล่าวหาว่าเก็บข้อมูลชีวภาพ เช่น ใบหน้า ลายนิ้วมือ ของผู้ใช้ Facebook โดยไม่ขออนุญาต

การเลิกใช้ระบบจดจำใบหน้ากระทบต่อผู้ใช้อย่างไรบ้าง:

  • Facebook จะไม่สามารถจดจำใบหน้าคนใน Memories รูปภาพ หรือวิดีโอ
  • ผู้ใช้จะไม่สามารถค้นหาคำแนะนำการแท็กชื่อผู้ใช้คนอื่นๆภายในรูปภาพหรือวิดีโอแบบอัตโนมัติ
  • นี่ยังรวมถึงระบบ Automatic Alt Text (AAT) เทคโนโลยี ที่สร้างคำอธิบายให้คนที่พิการทางสายตา

อ้างอิง: https://blog.eset.co.th/?p=15848

from:https://www.techtalkthai.com/guest-post-eset-facebook-face-recognit-shutdownion/

[Guest Post] Facebook เลิกใช้ระบบ Tag ด้วยใบหน้า

ระบบจดจำใบหน้า (Face Recognition) เป็นระบบที่ Facebook ใช้สำหรับการแท็กผู้ใช้รายอื่นๆในรูปภาพ และเป็นตัวระบุผู้ใช้ในภาพหรือแท็กอัตโนมัติใน Memories (เมื่อปีที่แล้ว)

สัปดาห์เดียวหลังจากเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Meta ทาง Facebook ประกาศว่าจะเลิกใช้ฟีเจอร์จดจำใบหน้าและลบข้อมูลทั้งหมดที่ฟีเจอร์นี้ใช้งาน

รองประธานฝ่าย AI ของ Facebook ประกาศว่า “แม้ระบบจดจำใบหน้าจะมีประโยชน์ในหลายทาง แต่ก็มีกระแสต่อต้านของเทคโนโลยีนี้เช่นกัน”

“กระแสต่อต้านมีหลากหลายประเด็น และกฎหมายที่รองรับเทคโนโลยีนี้ก็ยังไม่ชัดเจน และแตกต่างกันในแต่ละประเทศ”

“แต่อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่าการใช้ระบบจดจำใบหน้าเป็นเทคโนโลยีที่มีประโยชน์หากนำไปใช้ในวงแคบและเหมาะสม”

ทาง Facebook เคยจ่ายค่าปรับเป็นจำนวนกว่า 650 ล้านเหรียญสหรัฐฯหลังถูกกล่าวหาว่าเก็บข้อมูลชีวภาพ เช่น ใบหน้า ลายนิ้วมือ ของผู้ใช้ Facebook โดยไม่ขออนุญาต

การเลิกใช้ระบบจดจำใบหน้ากระทบต่อผู้ใช้อย่างไรบ้าง:

  • Facebook จะไม่สามารถจดจำใบหน้าคนใน Memories รูปภาพ หรือวิดีโอ
  • ผู้ใช้จะไม่สามารถค้นหาคำแนะนำการแท็กชื่อผู้ใช้คนอื่นๆภายในรูปภาพหรือวิดีโอแบบอัตโนมัติ
  • นี่ยังรวมถึงระบบ Automatic Alt Text (AAT) เทคโนโลยี ที่สร้างคำอธิบายให้คนที่พิการทางสายตา

อ้างอิง: https://blog.eset.co.th/?p=15848

from:https://www.techtalkthai.com/guest-post-eset-facebook-face-recogniton-shutdown/

เฟซบุ๊ก เริ่มกังวล ! เตรียมปิดฟีเจอร์จดจำใบหน้า

มีข่าวล่าสุดว่า เฟซบุ๊กเตรียมปิดตัวระบบจดจำใบหน้า พร้อมๆ กับลบข้อมูลแม่แบบการจดจำใบหน้าตัวบุคคลของผู้ใช้นับหลายพันล้านราย หลังจากมีความกังวลเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีดังกล่าวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในภาพรวม

ซึ่งทางฝั่งผู้ที่รณรงค์และกังวลเกี่ยวกับปัญหาความเป็นส่วนตัวต่างแสดงความยินดีกับข่าวนี้ ถือเป็นการประกาศที่สะเทือนวงการครั้งแรกๆ หลังจากยักษ์ใหญ่ด้านโซเชีบลเจ้านี้เพิ่งรีแบรนด์ตัวเองเป็นชื่อ “Meta” เมื่อสัปดาห์ก่อน

ระบบนี้ทำงานด้วย AI ที่คอยให้คำแนะนำในการแท๊กตัวผู้ใช้ให้แบบอัตโนมัติ ด้วยการเพิ่มชื่อไปยังใบหน้าที่ใช้ซอฟต์แวร์ของบริษัทคอยประมวลผล ข่าวการลบข้อมูลใบหน้าบุคคลหลายพันล้านรายนี้มาจากบล็อกที่โพสต์โดยรองประธานของ Meta

คุณ Jerome Pesenti รองประธานด้าน AI ย้ำผ่านบล็อกว่า “แม้แต่ผู้ใช้ที่เคยยินยอมใช้ฟีเจอร์ดังกล่าวก็จะไม่สามารถใช้ฟังก์ชั่นการจดจำใบหน้าอัตโนมัติบนทั้งภาพนิ่งและวิดีโอได้อีก” เรียกเสียงตอบรับที่ดีจากนักวิจารณ์จำนวนมาก

ที่มา : InformationWeek

from:https://www.enterpriseitpro.net/facebook-shuts-down-facial-recognition/

Facebook ประกาศปิดระบบจดจำใบหน้า เตรียมลบข้อมูลใบหน้าผู้ใช้งานกว่าพันล้านราย

ปกติเวลาที่เราเล่น Facebook ไม่ว่าจะโพสท์ภาพหรือวิดีโอ ระบบ AI จะสามารถจำแนกใบหน้าของคนในนั้นได้ พร้อมแนะนำว่าต้องการแท็กคนคนนั้นด้วยหรือไม่ ซึ่งก็นับว่าเป็นอะไรที่สะดวกดี เพราะเราไม่ต้องมานั่งแท็กเพื่อน ๆ แต่ละคนเอง…แต่หลังจากนี้ผู้ใช้งาน facebook จะต้องลงมือแท็กหน้าคนในรูป / วิดีโอเองแล้ว เพราะทาง Meta ออกมาประกาศว่าจะปิดระบบจำแนกใบหน้าบนแพลตฟอร์ม Facebook ลง ภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้

นอกจากจะปิดระบบจดจำใบหน้าบนแพลตฟอร์ม Facebook แล้ว ทาง Meta ยังจะลบข้อมูลใบหน้าของผู้ใช้งาน Facebook ออกไปจากระบบทั้งหมด ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีจำนวนมากกว่าหนึ่งพันล้านใบหน้าเลยทีเดียว

และหลังจากที่ปิดระบบนี้อย่างเป็นทางการ ผู้ใช้งาน Facebook ทั้งบนแอปและบนเว็บไซต์จะไม่สามารถเปิดระบบจดจำใบหน้าได้อีก ทำให้การโพสท์ภาพ วิดีโอ หรือ Memories ในอนาคต ผู้ใช้งานต้องกดแท็กใบหน้า และกดเลือกโปรไฟล์ของคนในรูปที่ต้องการแท็กเอาเอง

นอกจากนี้ฟีเจอร์ Automatic Alt Text ที่จะใช้ระบบ AI ในการจำแนกรูปภาพและใส่คำบรรยายของภาพให้อัตโนมัติพร้อมกับอ่านออกเสียงให้ด้วย ซึ่งออกแบบมาสำหรับผู้พิการทางสายตาที่เข้าไปดูโพสท์ต่าง ๆ ที่ไม่มี Caption ใส่ไว้ โดยหลังจากที่ปิดระบบจดจำใบหน้าแล้ว ก็จะไม่มีการแท็ก+ใส่ชื่อคนในรูปให้แล้วเหมือนกัน

ฟีเจอร์ Alt text

สำหรับสาเหตุที่ Meta ออกมาประกาศปิดระบบจดจำใบหน้าบนแพลตฟอร์ม Facebook ก็เนื่องจากเริ่มมีความกังวลเกิดขึ้นในสังคมว่าเทคโนโลยีนี้จะไปละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน แถมในบางรัฐหรือบางประเทศก็ยังมีกฎหมายเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวที่ไม่ชัดเจน ซึ่ง Meta เองก็เคยโดนผู้ใช้งานจากรัฐอิลลินอยส์ ฟ้องร้องเรื่องการละเมิดความเป็นส่วนตัวจากการแท็กใบหน้าบนรูปภาพ จนต้องเสียเงินเป็นจำนวนหลายร้อยล้านดอลลาร์มาแล้วเมื่อปี 2020

Meta จะเริ่มปิดระบบจดจำใบหน้าอย่างเป็นทางการภายในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้แล้ว แต่ทาง Meta เองก็ยังอยากให้ผู้ใช้งาน Facebook ทั้งหลายลงมือแท็กหน้าเพื่อน ๆ ในรูป หรือในวิดีโอด้วยตัวเองอยู่ แม้ว่าจะจะไม่มีระบบอัตโนมัติทำให้แล้วก็ตามครับ

 

ที่มา : GSMArena, Meta

from:https://droidsans.com/meta-shutting-down-face-recognition-system-facebook/

SKY ICT เผยโฉม “SOC” ศูนย์สั่งการความปลอดภัยอัจฉริยะใหญ่ที่สุดในไทย อีกหนึ่งเทคโนโลยีสุดล้ำแห่งยุคที่จะพลิกโฉมประเทศสู่ Better Thailand

ห้องปฏิบัติการที่เต็มไปด้วยจอมอนิเตอร์เรียงราย พร้อมทีมผู้เชี่ยวชาญด้านระบบรักษาความปลอดภัยอัจฉริยะ และเทคโนโลยีสุดล้ำที่ปรากฏตามภาพยนตร์สืบสวนหรือหนัง Sci-fi กลายเป็นภาพจดจำในฐานะ “ผู้ช่วยชีวิต” ที่ลงมือได้อย่างรวดเร็วเมื่อมีใครสักคนตกอยู่ในอันตราย คงจะดีไม่น้อยหากเทคโนโลยีและทีมปฏิบัติการเหล่านั้นสามารถเฝ้าระวังและช่วยแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นในชีวิตจริง เมื่อต้องอยู่ท่ามกลางยุคแห่งความไม่มั่นคงปลอดภัย (Insecurity Era) เช่นนี้

ขยล ตันติชาติวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาด บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ SKY ผู้นำด้านการพัฒนานวัตกรรม การให้บริการ Digital Platform และ AI Solutions ระดับประเทศ เล่าว่า นับตั้งแต่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามามีบทบาทในการพัฒนาด้านความปลอดภัย ช่วยยืนยันอัตลักษณ์บุคคล และวิเคราะห์ความผิดปกติจากสภาพแวดล้อมหรือระบบการทำงานต่างๆ ได้แม่นยำและหลากหลายรูปแบบมากขึ้น ทำให้เหล่าประเทศพัฒนาแล้วต่างนำ Security Tech มาใช้อย่างแพร่หลาย ตั้งแต่ระดับอุตสาหกรรมไปจนถึงการใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวัน ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนานวัตกรรมด้านความปลอดภัยมาตลอด 5 ปี บริษัทเห็นแนวโน้มดังกล่าวจึงได้พัฒนาศูนย์สั่งการอัจฉริยะด้านความปลอดภัย (Security Operation Center) หรือ SOC เพื่อยกระดับปฏิบัติการด้านความปลอดภัยให้ครอบคลุมและเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น

“ประเทศต่างๆ ทั้งในสหรัฐอเมริกา ประเทศในแถบยุโรป รวมไปถึงจีน ลงทุนกับเรื่องความปลอดภัยทั้งทางไซเบอร์และชีวิตทรัพย์สินของผู้คนมากขึ้น ศูนย์ SOC เอง เปรียบเสมือนหัวใจของการดูแลความปลอดภัยดังกล่าว ทีมงานของเราจึงไปดูงานที่ต่างประเทศ และนำ Know-how กลับมา ลงทุนกว่า 100 ล้านบาท ระดมเทคโนโลยีด้านความปลอดภัย บุคลากรมืออาชีพในด้านดังกล่าว จนเกิดเป็นศูนย์สั่งการอัจฉริยะด้านความปลอดภัยของภาคเอกชนที่ใหญ่และล้ำสมัยที่สุดในประเทศไทย เน้นเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งเป็นจุดแข็งของเรา” ขยล กล่าว

นอกจากพัฒนาศูนย์สั่งการขนาดใหญ่ราวกับหลุดออกมาจากภาพยนตร์แล้ว สกาย ไอซีทียังเชื่อมโยงระบบฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ด้านความปลอดภัยจากผู้เชี่ยวชาญระดับโลก เพื่อเชื่อมต่อการทำงานเป็นระบบอย่างสมบูรณ์แบบ โดยเชื่อมการทำงาน 3 ด้าน เข้าด้วยกัน ได้แก่ 1.กล้อง AI CCTV โดยนำ AI เข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพของกล้อง CCTV ทั่วไป ทำให้สามารถตรวจจับผู้บุกรุกได้ จดจำใบหน้า ลักษณะการแต่งกายของผู้คนที่ผ่านหน้ากล้องไป เพื่อเฝ้าระวังความเสี่ยงและสามารถตรวจสอบข้อมูลใช้เป็นหลักฐานต่อไป 2.แอปพลิเคชันบนเครื่องมือสื่อสารเคลื่อนที่ เป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อการทำงานระหว่างผู้ใช้งาน กล้อง CCTV และ 3.SOC ศูนย์สั่งการที่บูรณาการระบบรักษาความปลอดภัยทั้งหมดภายใต้มาตรฐานสากล พร้อมตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่างๆ ได้อย่างทันท่วงที ด้วยทีมผู้เชี่ยวชาญด้านระบบรักษาความปลอดภัยอัจฉริยะ บริการตลอด 24 ชั่วโมง โดยการเชื่อมต่อทั้งหมด จะทำให้สามารถรองรับการแสดงภาพจากกล้อง CCTV เกือบ 1,000 ตัวพร้อมกันแบบ Real time บนจอมอนิเตอร์ทั้งหมดภายในศูนย์ SOC

ปัจจุบัน ศูนย์สั่งการอัจฉริยะ SOC ได้นำมาใช้ในการควบคุมดูแลระบบรักษาความปลอดภัยในพื้นที่สาธารณะขนาดใหญ่ อย่างศูนย์ราชการและสนามบินภายใต้การดูแลของท่าอากาศยานไทย (AOT) ทั้ง 6 แห่งทั่วประเทศ โดยใช้เทคโนโลยี Face Recognition ตรวจจับใบหน้าบุคคลที่เดินทางเข้าออกสถานที่ นอกจากมอนิเตอร์เรื่องความปลอดภัยผ่านกล้อง CCTV โดยตรงแล้ว จอภายใน SOC ยังมี Dashboard ที่สามารถปรับเปลี่ยนเพื่อติดตามสถิติหรือสถานการณ์ที่อาจมีความเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยได้ด้วย อาทิ สถานะของกล้องในอาคาร สถานะของบุคคลที่กล้องคอยมอนิเตอร์อยู่

ไม่เพียงแต่ดูแลอาคารที่เป็นสถานที่สาธารณะ สกาย ไอซีที ยังพัฒนา SOC ให้สามารถบูรณาการการทำงานร่วมกับแพลทฟอร์มด้านความปลอดภัยอื่นๆ ในอนาคตด้วย ซึ่งระหว่างนี้ สกาย ไอซีทีได้ระดมทีม NEBULA กลุ่มนักพัฒนารุ่นใหม่เข้ามาต่อยอด Smart Security Platform เพื่อให้ขยายขอบเขตความสามารถการดูแลอาคารประเภทต่างๆ และประยุกต์ใช้กับการดูแลให้สอดคล้องกับความต้องการของทั้งโครงการที่อยู่อาศัย สำนักงานให้เช่า ห้างสรรพสินค้า ฯลฯ คาดว่าจะสามารถเปิดตัวอย่างเป็นทางการได้เร็วๆ นี้

“เราจะไม่หยุดอยู่แค่สนามบิน หรือที่อยู่อาศัยเท่านั้น แต่สกาย ไอซีทีวางแผนจะต่อยอดด้าน Security Tech ที่ตอบโจทย์ต่อการพัฒนา Smart City และมุ่งยกระดับประเทศสู่ Better Thailand ไปด้วยกัน” ขยล กล่าวทิ้งท้าย

 

สำหรับ บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ SKY บริษัท Tech Company เต็มรูปแบบที่เน้นการพัฒนานวัตกรรม การให้บริการ Digital Platform และ AI Solutions ให้ลูกค้าอย่างครบวงจร เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคมด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะของ SKY ICT 

 

from:https://www.techtalkthai.com/sky-ict-security-operation-center/

เป็นเรื่อง…Facebook ออกโรงขอโทษ หลังระบบ AI จำแนกผิดพลาดแปะ Label วิดีโอของชายผิวดำว่าเป็น “ลิง”

Facebook ต้องออกมาแถลงขอโทษจากเหตุการที่ระบบ AI เกิดข้อผิดพลาดจากการสแกนเพื่อจำแนกภาพในคลิปวิดีโอข่าวที่เกี่ยวกับชายผิวดำ แต่ระบบ AI กลับคิดว่าวิดีโอนั้นเป็นวิดีโอเกี่ยวกับ Primate หรือ ลิง ซึ่งหลังจากมีผู้ใช้งานค้นพบข้อผิดพลาดของระบบ AI ดังกล่าวแล้ว ทาง Facebook จึงออกมาขอโทษและบอกว่ามันเป็น “ข้อผิดพลาดที่ไม่สามารถยอมรับได้” และจะตรวจสอบระบบเพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีกครั้ง

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจากการที่มีผู้ใช้งานแอป Facebook ไถหน้า Feed ไปเจอกับข่าวของเพจ Daily Mail ที่โพสต์ไว้เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2563 โดยเป็นข่าวนั้นเป็นคลิปวิดีโอที่มีชื่อว่า “White man calls cops on black men at marina” (ชายผิวขาวเรียกตำรวจมาจับชายผิวดำที่ท่าจอดเรือ) และด้านล่างของคลิปก็มีแถบแนะนำวิดีโอ (Label) เพื่อถามผู้ใช้งานว่า “Keep seeing videos about Primates?” (ต้องการดูวิดีโอเกี่ยวกับลิงอีกหรือไม่?) จากนั้นก็แคปหน้าจอเอาไว้แล้วส่งมาให้ Facebook ดูอีกที

หลังจากที่ Facebook รับรู้ถึงข้อผิดพลาดในการทำงานของระบบ AI ตามข่าว ก็เลยรีบออกมาตรวจสอบหาความจริงว่าอะไรทำให้มันผิดพลาดไปได้ขนาดนี้ และได้หยุดการทำงานของฟีเจอร์จำแนกประเภทของภาพ/วิดีโอเพื่อแนะนำคอนเท้นต์ในทันที

โดยเมื่อวันศุกร์ที่ 3 กันยายน 2564 ทาง Facebook ก็ได้ออกมาแถลงการณ์ขอโทษสำหรับข้อผิดพลาดของระบบ AI และได้บอกว่ามันเป็น ข้อผิดพลาดที่ไม่สามารถยอมรับได้ ซึ่งทางบริษัทจะดำเนินการหาจุดบกพร่องของฟีเจอร์นี้เพื่อป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นอีกรอบ และจะปรับปรุงพัฒนาระบบ AI ต่อไป

จริง ๆ แล้วนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ระบบ AI ที่ใช้ในการจำแนกใบหน้าเกิดความผิดพลาดขึ้นกับเหล่าคนผิวสี อย่างเมื่อปี 2558 ระบบ AI ของ Google Photos ก็เคยแปะ Label ผิดเช่นกัน โดยระบุว่ารูปของคนผิวดำเป็นกอริลล่า จนกลายเป็นเรื่องเป็นราวเกี่ยวกับการเหยียดผิวมาแล้ว ซึ่งหลังจากนั้น Google ก็ต้องออกมาแถลงการณ์ขอโทษเช่นกัน และแก้ปัญหาด้วยการตัดคำว่า กอริลล่า, ชิมแปนซี และลิง ออกไปจากระบบการค้นหาใบหน้าของแอปซะเลย

 

ที่มา : npr

from:https://droidsans.com/facebook-ai-mislabeling-black-man-for-primates/

[Guest Post] เมื่อ “การสแกนหน้า” พลิกโฉมธุรกิจ-อุตสาหกรรมโลก ‘สกาย ไอซีที’ เปิดทิศทางอนาคต “Face Recognition” ในไทย

ไม่ใช่เป็นแค่เพียงเทคโนโลยีล้ำๆ ในภาพยนตร์ Sci-fi แต่ในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมา “เทคโนโลยีการจดจำใบหน้า” (Face Recognition) กำลังกลายเป็นเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทต่อภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมทั่วโลก และมีแนวโน้มจะยิ่งทรงพลัง สร้างมิติใหม่ต่อการดำเนินธุรกิจและการใช้ชีวิตของผู้คนในอนาคต

ขยล ตันติชาติวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาด บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ SKY ผู้นำด้านการพัฒนานวัตกรรม การให้บริการ Digital Platform และ AI Solutions ระดับประเทศ เล่าว่า เทคโนโลยี Face Recognition นับเป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์โลกที่เด่นชัดขึ้นอย่างมากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาจากการต่อยอดพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) จนสามารถระบุข้อมูลของใบหน้ามนุษย์ได้อย่างแม่นยำ ล่าสุด Face Recognition ค่อยๆ เข้ามาทดแทนเทคโนโลยีการพิสูจน์อัตลักษณ์ทางกายภาพของบุคคล (Biometrics) รูปแบบอื่น เนื่องจากสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้หลากหลายรูปแบบและหลากหลายอุตสาหกรรม ขณะเดียวกัน ยังสามารถมองเห็นรายละเอียดได้มากกว่าตาของมนุษย์ ณ ช่วงวินาทีเดียวกัน ทำให้มหาอำนาจหลายประเทศทั่วโลกต่างนำเทคโนโลยี Face Recognition เข้ามาช่วยค้นหาคนหายจากฐานข้อมูลใบหน้า ไปจนถึงใช้ติดตามมิจฉาชีพและผู้ต้องสงสัยในคดีอาชญากรรมต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกเหนือจากการใช้เพื่องานด้านความปลอดภัย (Security) แบบในภาพยนตร์แล้ว เทคโนโลยี Face Recognition ยังถูกนำมาใช้ในหลากหลายธุรกิจ ได้แก่ 1.ธุรกิจค้าปลีก (Retail) ได้มีการนำเทคโนโลยีดังกล่าวเข้ามาใช้ตั้งแต่การนับจำนวนคนเข้ามาในห้าง ไปจนถึงการพัฒนาการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (Customer Relationship Management หรือ CRM) ช่วยตรวจจับและแจ้งเตือนให้พนักงานขายทราบตั้งแต่ตอนที่ลูกค้า VIP เดินเข้ามาในห้าง เพื่อที่จะได้เข้าไปดูแลได้อย่างรวดเร็วและเหมาะสม 2.ธุรกิจสุขภาพ (Health) ประเทศในแถบอเมริกาเหนือ เช่น แคนาดา สหรัฐอเมริกา นำเทคโนโลยี Face Recognition มาใช้กับศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ (Nursing Home) ตรวจจับเพื่อดูแลไม่ให้ผู้สูงอายุเข้าไปในพื้นที่เสี่ยง 3.ธุรกิจโลจิสติกส์ (Logistic) นำอุปกรณ์ IoT (Internet of Thing) เข้ามามีส่วนช่วยเชื่อมต่อกับเทคโนโลยี Face Recognition ในยานพาหนะ มาใช้กับเรื่องระบบ Face Access เนื่องจากผู้เกี่ยวข้องในกระบวนการด้านโลจิสติกส์มีหลากหลายกลุ่ม อาทิ คนขับรถ คนส่งของ พนักงานคลังสินค้า สินค้าที่จะขนส่งก็มีระดับความสำคัญหลากหลาย จึงใช้การสแกนใบหน้า เพื่อกำหนดสิทธิ์การเข้าพื้นที่ของคนแต่ละกลุ่ม ตรวจสอบว่าผู้ขับรถคันดังกล่าว เป็นผู้ที่มีใบอนุญาตขับขี่ประเภทดังกล่าว ไม่ได้เป็นผู้ไม่มีใบอนุญาตมาขับแทน รวมถึงตรวจจับว่าใบหน้าของผู้ขับขี่ มีอาการอ่อนเพลียหรือหลับหรือไม่ และแจ้งเตือนให้จอดพักหากมีอาการ นอกจากนี้ ยังรวมถึงช่วยตรวจสอบว่า พนักงานบางกลุ่มที่จำเป็นต้องประจำอยู่ในบางพื้นที่ของคลังสินค้าตลอดเวลา เช่น พนักงานรักษาความปลอดภัย ได้ประจำอยู่ในพื้นที่จริงๆ

ขณะที่การใช้งานเทคโนโลยี Face Recognition ในไทยนั้น ขยล เล่าว่า ในอดีต Face Recognition ในไทย เคยเผชิญความท้าทายเรื่องคุณภาพของตัวกล้องที่ใช้ตรวจจับใบหน้า และความแตกต่างระหว่างบริบทของประเทศผู้พัฒนาเทคโนโลยี Face Recognition และประเทศไทย แต่ปัจจุบัน เทคโนโลยี Face Recognition ในไทยพัฒนาไปไกลขึ้น จนสามารถทลายความท้าทายดังกล่าว และกลายเป็นสาเหตุสำคัญให้ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนสนใจนำ Face Recognition มาใช้งานอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มจะถูกนำมาใช้อย่างเต็มรูปแบบกับธุรกิจและอุตสาหกรรมใหม่ๆ มากขึ้น

ทั้งนี้ สกาย ไอซีที ได้จับมือเป็นพันธมิตรกับ SenseTime ผู้พัฒนา AI ระดับท็อปของโลก เพื่อพัฒนาเทคโนโลยี Face Recognition สำหรับประเทศไทยในลักษณะ “Co-develop” นำข้อมูลดิบ (Raw Data) ในไทยมาป้อนให้ Machine Learning เพื่อพัฒนาและเรียนรู้บริบทของประเทศไทย รวมถึงใส่ใจกับความหลากหลายของการใช้งานกล้อง มีเทคโนโลยีรวมศูนย์กล้อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความแม่นยำให้มากยิ่งขึ้น

ขยล เชื่อว่าระบบการทำงานของ Face Recognition จะยิ่งมีบทบาทเหมือนภาพยนตร์ Sci-fi มากขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะด้านความปลอดภัยสาธารณะ (Public Safety) และเข้ามาช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน เพิ่มความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยในทุกด้าน โดย สกาย ไอซีที จะยังคงเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง อาทิ เทคโนโลยี Face Recognition และ Access Control สำหรับเข้าพื้นที่ต่างๆ การพัฒนาเทคโนโลยีการทำความรู้จักลูกค้าด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-KYC) เพื่อเข้าไปช่วยตอบโจทย์ธุรกิจการเงิน ประกันภัย การศึกษา สร้างความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตให้แก่ผู้คน

สำหรับ บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ SKY เป็นบริษัท Tech Company เต็มรูปแบบที่เน้นการพัฒนานวัตกรรม การให้บริการ Digital Platform และ AI Solutions ให้ลูกค้าอย่างครบวงจร เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคมด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะของ SKY ICT

 

from:https://www.techtalkthai.com/guest-post-sky-future-of-face-recognition/

[Guest Post] สกาย ไอซีที จับมือ AppMan บุกตลาด e-KYC ด้วยเทคโนโลยี Face Recognition และ OCR ครบวงจร รองรับเทรนด์การพิสูจน์ตัวตนออนไลน์ในหลากอุตสาหกรรมทั่วโลก

“สกาย ไอซีที” จับมือ AppMan เชื่อมโยงเทคโนโลยี Face Recognition กับ Optical Character Recognition ต่อยอดระบบโครงสร้างพื้นฐาน e-KYC ครบวงจรและปลอดภัยยิ่งขึ้น รองรับความต้องการแห่งอนาคต หลังภาครัฐ-เอกชนมุ่งสู่ดิจิทัล ต้องการระบบความปลอดภัยยืนยันตัวตนผ่านออนไลน์ ชูจุดเด่นช่วยลดต้นทุนผู้ประกอบการจากระบบ e-KYC ทั่วไป เล็งเจาะกลุ่มการเงิน-ประกัน-โลจิสติกส์-สุขภาพ-การศึกษา  

จากซ้าย: นายสิทธิเดช มัยลาภ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) และนายธนภูมิ เจริญศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอพแมน จำกัด

 

นายสิทธิเดช มัยลาภ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ SKY ผู้นำการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานความปลอดภัย ด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารระดับประเทศ กล่าวว่า เทคโนโลยีการทำความรู้จักลูกค้าด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-KYC) ถือเป็นเทคโนโลยีแห่งอนาคต มีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อความปลอดภัยของธุรกิจและแพลตฟอร์มต่างๆ สำหรับการเปิดให้บริการบนช่องทางออนไลน์ บริษัทในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยีความปลอดภัย จึงร่วมกับบริษัท แอพแมน จำกัด (AppMan) ผู้นำเทคโนโลยี OCR อันดับหนึ่งในตลาด เรื่องความแม่นยำในการอ่านอักขระโดยเฉพาะภาษาไทย เชื่อมโยงเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งของทั้ง 2 บริษัทเข้าด้วยกัน เพื่อสนับสนุนการทำสร้างระบบ e-KYC Solution ครบวงจร พร้อมตอบโจทย์โลกแห่งอนาคต

“เรามีความเชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์ โดยเฉพาะเทคโนโลยีการตรวจจับใบหน้า หรือ Face Recognition ที่ได้รับเทคโนโลยีมาจากพันธมิตรชั้นนำด้าน AI ของโลกอย่าง SenseTime ขณะเดียวกัน AppMan ก็ถือเป็นผู้นำในเทคโนโลยีการอ่านอักขระด้วยแสง หรือ Optical Character Recognition เมื่อเราเชื่อมโยงเทคโนโลยีของทั้ง 2 บริษัทเข้าด้วยกัน จะช่วยให้เราสามารถสร้าง e-KYC Solution ครบวงจร สร้างมูลค่าเพิ่มและยกระดับมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยให้แก่ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่กำลังมุ่งหน้าสู่ดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นายสิทธิเดช กล่าว

ทั้งนี้ เทคโนโลยี e-KYC ของทั้ง 2 บริษัท จะช่วยพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้งาน ผ่านการสแกนบัตรประชาชน สแกนเอกสารทางราชการ ตลอดจนสแกนใบหน้า บนแพลตฟอร์มหรือแอปพลิเคชันต่างๆ ช่วยให้ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนสามารถป้องกันการปลอมแปลงเอกสารหรือตัวตน ป้องกันความเสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมาย เรียกใช้ข้อมูลได้ง่ายจากฐานข้อมูล ลดขั้นตอนการทำงานเมื่อเทียบกับการต้องยืนยันตัวตนแบบต่อหน้า (Face to Face) ขณะเดียวกัน ยังช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้งาน ลดขั้นตอนการกรอกเอกสาร ลดระยะเวลาในการวิเคราะห์ข้อมูล โดยเทคโนโลยี Face Recognition และ OCR ของบริษัทยังมีจุดแตกต่างจากเทคโนโลยี e-KYC ทั่วไปที่มักมีต้นทุนต่อการทำธุรกรรม (Transaction) ค่อนข้างสูง การผนึกกำลังระหว่าง 2 บริษัท จะส่งผลให้ลูกค้ามีต้นทุนต่อ Transaction ต่ำลง เพื่อให้บริการในราคาที่เข้าถึงได้ มีความแม่นยำสูง อีกทั้งมีความปลอดภัยมาตรฐาน Banking Grade

ด้านนายธนภูมิ เจริญศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอพแมน จำกัด หรือ AppMan ผู้นำเทคโนโลยี OCR อันดับหนึ่งในตลาด กล่าวว่า เนื่องจากข้อมูลส่วนบุคคลนั้นเป็นข้อมูลที่มีความเปราะบางสูง บริษัทฯ จึงสร้างความเชื่อมั่นปกป้องข้อมูลความปลอดภัย ผ่านการตรวจสอบ (Audit) ทุกขั้นตอนมาตรฐานสากลระดับ CSA- Star Level 2 และ ISO/IEC27001 ก่อนนำเสนอสู่ตลาด พร้อมให้บริการบน Cloud อีกทั้งในระดับโลกนั้น เทคโนโลยีที่ใช้ร่วมกับ e-KYC เข้ามามีบทบาทสำคัญมากในหลากหลายกลุ่มธุรกิจระยะหนึ่งแล้ว อาทิ กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัลโดยตรง เช่น ธุรกิจศูนย์ซื้อ-ขายแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซี ธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่ใช้ e-KYC เข้ามายืนยันตัวตน ป้องกันการโจรกรรมทางการเงินและการฟอกเงิน กลุ่มธุรกิจการศึกษาที่ปัจจุบันเริ่มมีสถาบันการศึกษาดิจิทัล หรือแม้กระทั่งการเรียนออนไลน์ของสถาบันการศึกษาต่างๆ ใช้ e-KYC เข้ามาช่วยยืนยันตัวตนผู้เข้าเรียนและผู้เข้าสอบ

“ในไทยเอง e-KYC ก็เริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้นในแทบทุกกลุ่มธุรกิจเช่น ในกลุ่มธุรกิจบริการสุขภาพ ก็มีการปรับตัวให้บริการคำปรึกษาด้านสุขภาพแบบ Online Video Consultation ต้องมีกระบวนการ Digital Onboarding และ e-KYC เข้ามาเกี่ยวข้อง ความร่วมมือกับสกาย ไอซีทีในครั้งนี้ จึงถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ทั้ง 2 บริษัทขยายโอกาสในการบริการกลุ่มลูกค้าให้หลากหลายมากขึ้น รองรับทั้งการเติบโตในไทยและระดับโลก” นายธนภูมิ กล่าว

ทั้งนี้ กลุ่มเป้าหมายหลักที่ทั้ง 2 บริษัท จะมุ่งเจาะตลาด มีทั้งกลุ่มหน่วยงานภาครัฐที่มีความจำเป็นต้องมีมาตรการพิสูจน์ตัวตนและตรวจสอบเอกสารทางราชการเพื่อความปลอดภัย กลุ่มภาคเอกชนในหลากหลายประเภทธุรกิจ อาทิ กลุ่มธุรกิจการเงิน กลุ่มธุรกิจประกันภัย กลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ กลุ่มธุรกิจการศึกษา กลุ่มธุรกิจบริการสุขภาพ กลุ่มธุรกิจขนส่งอาหาร กลุ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา และยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง

สำหรับ บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ SKY เป็นบริษัท Tech Company เต็มรูปแบบที่เน้นการพัฒนานวัตกรรม การให้บริการ Digital Platform และ AI Solutions ให้ลูกค้าอย่างครบวงจร เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคมด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะของ SKY ICT

ขณะที่ บริษัท แอพแมน จำกัด หรือ AppMan เป็นบริษัทผู้นำด้านเทคโนโลยีกระบวนการทำงานอัจฉริยะ หรือ Intelligent Working Process (IWP) ดิจิตอลโซลูชั่นหลากหลายรูปแบบด้วยความเชี่ยวชาญเทคโนโลยี OCR, เอไอ (AI) และ แมชชีนเลิร์นนิง (Machine Learning)  ครอบคลุมทุกธุรกิจ เสริมศักยภาพและขยายอีโคซิสเต็ม (Ecosystem) ทุกองค์กรตามมาตรฐานสากล

 

 

from:https://www.techtalkthai.com/guest-post-skyict-appman-e-kyc/