คลังเก็บป้ายกำกับ: CASE_STUDY

ทนา กรุ๊ป มั่นใจ HPE เสริมแกร่งโซลูชั่นเซิร์ฟเวอร์ และสตอเรจ รองรับการใช้งานไอทีในองค์กร

บริษัท ฮิวเลตต์ แพคการ์ด เอ็นเตอร์ไพรส์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ เอชพีอี ผู้นำด้านเทคโนโลยีดิจิทัลระดับโลก เปิดเผยว่า ทางบริษัท ทนา กรุ๊ป อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้บริหารแบรนด์ภัตตาคารอาหารญี่ปุ่น ฟูจิ, ร้านข้าวแกงกะหรี่ญี่ปุ่น โคโค่ อิฉิบันยะ, ร้านอาหารชอบ นู้ดเดิ้ลแอนไรซ์ และผลิตภัณฑ์ฟูจิชะ กรีนที ได้นำโซลูชั่นอินฟราสตรัคเจอร์ของ เอชพีอี ทั้งเซิร์ฟเวอร์ และสตอเรจ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการลูกค้า

ปัจจุบันธุรกิจอาหาร และเครื่องดื่ม (Food & Beverage: F&B) เป็นธุรกิจที่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีด้านดิจิทัลเข้ามาเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตการณ์แพร่ระบาดของโรค Covid-19 ที่ผ่านมา หลายองค์กรได้เริ่มนำเอาเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อให้ยังคงสามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง

คุณธีระ วงศ์พัฒนาสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทนา กรุ๊ป อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวว่า ระบบไอที มีความสำคัญกับธุรกิจ F&B มาโดยตลอด แต่ในช่วงที่ผ่านมา พบว่ามีปัจจัยต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบกับธุรกิจในกลุ่มนี้อยู่พอสมควร เริ่มจากในเรื่องของนวัตกรรมใหม่ที่เกิดขึ้น ตัวอย่างเช่นในเรื่องของ e-payment ที่มีวิธีการรับชำระเงินในรูปแบบใหม่เข้ามา ทำให้ธุรกิจต้องมีการปรับตัวตามไป ถัดมาเป็นเรื่องของการแพร่ระบาดของโรค Covid-19 ทำให้ต้องมีการเชื่อมโยงเทคโนโลยีเข้ากับแพลตฟอร์มของผู้ให้บริการ Delivery platform มากขึ้น

สำหรับบริษัท ทนา กรุ๊ป มีธุรกิจที่หลากหลาย โดยเฉพาะธุรกิจร้านอาหารเป็นอีกหนึ่งธุรกิจหลักของบริษัทฯ ที่มีมากกว่า 100 สาขาในประเทศไทย และรวมถึงร้านอาหารที่อยู่ในต่างประเทศ ระบบไอทีจำเป็นอย่างยิ่งที่เข้ามามีบทบาทในการรองรับการทำงาน ทั้งในแง่ของการนำมาวิเคราะห์ลูกค้า จัดทำระบบลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) การบริหารจัดการต้นทุนสินค้า, รวมถึงการบริหารข้อมูลการขายที่ในแต่ละเดือนมีมากกว่า 10 ล้านรายการ เป็นต้น

คุณธีระ กล่าวต่อไปว่า ทางบริษัทได้ตัดสินใจเลือกใช้ผลิตภัณฑ์จากทางเอชพีอี อันประกอบด้วยโซลูชั่นด้านเซิร์ฟเวอร์ และสตอเรจ เป็นโซลูชั่นที่นำมาใช้เพื่อทดแทนของเดิม โดยเฉพาะยิ่งนำมาใช้เพื่อการจัดการข้อมูลลูกค้าของบริษัทผ่านทางระบบไอทีขององค์กร

“ข้อดีที่เราตัดสินใจเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ของทางเอชพีอี เป็นเพราะปัจจัยในหลายๆ อย่าง นอกจากจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพสูงแล้ว ทางเอชพีอียังนำเสนอในส่วนของวิธีการบริหารจัดการด้านการเงินโดยแทนที่จะเป็นการลงทุนเพียงครั้งเดียว (CAPEX) แต่ปรับเปลี่ยนเป็นแบบทยอยจ่ายได้ (OPEX) สามารถแบ่งจ่ายต่อเดือนได้ เป็นการมอบความยืดหยุ่นให้กับบริษัท รวมถึงการให้บริการที่มีลักษณะแบบ Proactive มีทีมงานที่พร้อมให้บริการตลอดเวลา” คุณธีระกล่าวทิ้งท้าย

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บริษัท วีเอสที อีซีเอส (ประเทศไทย) จำกัด โทร. 02-032-9999

from:https://www.enterpriseitpro.net/hpe-tana-group-case-study/

Veeam ช่วยให้ KBank ประหยัดค่าใช้จ่ายด้านไอทีกว่า 70,000 ดอลลาร์

Veeam® Software ผู้นำด้านโซลูชันการสำรองข้อมูล การกู้คืน และการจัดการข้อมูลที่มีระบบปกป้องข้อมูลที่ทันสมัย ขอประกาศว่าปัจจุบันธนาคารกสิกรไทย (KBank) ซึ่งมีรายชื่ออยู่ใน Forbes Global 2000 และเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดและประสบความสำเร็จมากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย ได้แทนที่โซลูชันการสำรองข้อมูลแบบเดิมด้วย Veeam Availability Suite™ Veeam ดำเนินการปกป้องข้อมูลที่บริษัทเทคโนโลยีในเครือของธนาคาร กล่าวคือ กลุ่มเทคโนโลยีทางธุรกิจกสิกรไทย (KBTG) เพื่อสร้างธนาคารดิจิทัลแห่งอนาคตสำหรับลูกค้ากว่า 16.5 ล้านคน Veeam ยังรองรับข้อบังคับการปฏิบัติตามข้อกำหนดความเป็นส่วนตัวของข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย และช่วย KBank ประหยัดเวลาในงานธุรการ 900 ชั่วโมงในแต่ละเดือน และค่าใช้จ่ายด้านไอที 70,000 ดอลลาร์ในแต่ละปี (เงินไทยราว 2.24 ล้านบาท)

นายตะวัน จิตรถเวช Chief Technology Officer (CTO) กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป กล่าวว่า “การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลคือสิ่งสำคัญทางธุรกิจอันดับแรกสำหรับ KBank ข้อกำหนดที่สำคัญประการหนึ่งสำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลคือระบบปกป้องข้อมูลที่ทันสมัย แต่โซลูชันการสำรองข้อมูลแบบเดิมของธนาคารไม่สามารถทำได้ ในการสำรองข้อมูลเราจำเป็นต้องตรวจสอบด้วยตนเองทุกครั้งว่าสำเร็จหรือล้มเหลวและทำการสำรองข้อมูลที่ล้มเหลวอีกครั้ง การกู้คืนเป็นปัญหาอีกประการหนึ่ง ทำได้ยากและช้า ในบางกรณีเราอาจใช้เวลากู้คืนฐานข้อมูลเดียวมากกว่าสี่ชั่วโมง ซึ่งไม่ตรงตามข้อกำหนดทางธุรกิจหรือไม่รองรับข้อกำหนดที่บังคับ โซลูชันแบบเดิมที่มีความท้าทายเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นระบบที่ใช้เอเจนต์ ดังนั้นผู้ดูแลระบบไอทีจึงใช้เวลาติดตั้ง บำรุงรักษา และแพทช์เอเจนต์ในแต่ละระบบและแอปพลิเคชันถึงสี่เดือน ระบบและแอปพลิเคชันทำงานทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง ดังนั้นผู้ดูแลระบบจึงต้องขอ downtime สำหรับแต่ละระบบและแอปพลิเคชัน การอัพเกรดเอเจนต์ประสานงานเป็นเรื่องยากและใช้เวลานาน”

“ระบบและแอปพลิเคชันเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจของ KBank ระบบข้อมูลลูกค้าจะช่วยให้พนักงานจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า ระบบประมวลผลการชำระเงินจะช่วยให้ลูกค้าชำระค่าบริการ และเครื่องมือข่าวกรองธุรกิจจะวิเคราะห์ข้อมูลที่ใช้ในการพัฒนาและปรับปรุงข้อเสนอทางดิจิทัล การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัลต้องมีระบบปกป้องข้อมูลที่ทันสมัย และ Veeam ไม่เพียงแต่ทำให้ระบบปกป้องข้อมูลทันสมัยเท่านั้น แต่ยังช่วยให้มั่นใจว่ามีการปกป้องข้อมูลอยู่เสมอและช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานเพราะเชื่อถือได้และใช้งานง่าย ความสมบูรณ์ของผลิตภัณฑ์ของ Veeam และความรับผิดชอบต่ออุตสาหกรรมนั้นน่าชื่นชม” นายตะวัน กล่าว

Veeam สำรองข้อมูล 2 PB ใน 1,800 VMs และ 120 physical machines ไปยัง Hewlett Packard Enterprise (HPE) StoreOnce ในระบบคลาวด์ในสถานที่ที่ปลอดภัย StoreOnce จำลองข้อมูลไปยังไซต์แยกต่างหากเพื่อปฏิบัติตามข้อบังคับและกู้คืนจากความเสียหาย (DR) เนื่องจาก Veeam ทำงานผสานรวมกับ HPE StoreOnce Catalyst การสำรองข้อมูลจึงรวดเร็วและเชื่อถือได้ และการกู้คืนใช้เวลาไม่กี่นาที ไม่ใช่หลายชั่วโมงเหมือนโซลูชันแบบเดิม

นายตะวัน กล่าวเพิ่มเติมว่า Instant VM Recovery® และ Veeam Explorers™สำหรับ Oracle และ Microsoft SQL Server เป็นคุณลักษณะที่ผู้ดูแลระบบชื่นชอบ เพราะช่วยลดเวลาการกู้คืนได้ถึง 300% อีกสิ่งหนึ่งที่ชื่นชอบคือ Veeam DataLabs™ เพราะผู้ดูแลระบบสามารถสร้างสภาพแวดล้อมแบบแยกส่วนเพื่อตรวจสอบความสามารถในการกู้คืนข้อมูลสำรอง (SureBackup®) และแบบจำลอง (SureReplica) สำหรับการปฏิบัติตามข้อบังคับ ก่อนที่จะปรับใช้ Veeam การตรวจสอบความสามารถในการกู้คืนเพื่อปฏิบัติตามข้อกำหนดนั้นใช้เวลาหลายเดือน แต่ตอนนี้ใช้เวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ Veeam ได้ปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานอย่างมาก นอกจากนี้ยังช่วยเราแก้ไขประเด็นด้านไอทีในเชิงรุก Veeam ให้ทัศนวิสัยผ่านการตรวจสอบ การรายงาน และการวางแผนความจุ ทำให้เราสามารถปกป้องธุรกิจด้วยการแก้ไขเรื่องที่เป็นประเด็นก่อนที่จะพัฒนาเป็นปัญหา”

การปกป้องธุรกิจเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ดังนั้นผู้ดูแลระบบจึงใช้ Veeam Staged Restore เพื่อสแกนข้อมูลสำรองตรวจหามัลแวร์ก่อนที่จะกู้คืน KBank กำลังพิจารณา Veeam’s hardened Linux repository สำหรับการสำรองข้อมูลที่ไม่เปลี่ยนรูปเพื่อเพิ่มการป้องกันแรนซัมแวร์ และจะทดสอบ Veeam Continuous Data Protection (CDP) เพื่อปรับปรุงความยืดหยุ่นของภาระงานที่สำคัญ ทั้งยังสนใจความสามารถในการดูแลคอนเทนเนอร์ที่ Kasten ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่ Veeam Software เข้าซื้อกิจการ นำเสนอสำหรับการสำรองข้อมูลและ DR ของ Kubernetes “Veeam มีวิธีปรับปรุงประสิทธิภาพมากมายเพื่อประหยัดเวลาและยังช่วยประหยัดเงินด้วยการผสานรวมกับ HPE StoreOnce จะเพิ่มอัตราการขจัดข้อมูลซ้ำซ้อนของเราเป็น 4:1 ซึ่งช่วยประหยัดพื้นที่จัดเก็บข้อมูลสำรอง และ Veeam ยังช่วยประหยัดค่าลิขสิทธิ์รายปี

//////////////////

สมัครสมาชิก Enterprise ITPro เพื่อรับข่าวสารด้านไอที

form#sib_signup_form_4 {
padding: 5px;
-moz-box-sizing:border-box;
-webkit-box-sizing: border-box;
box-sizing: border-box;
}
form#sib_signup_form_4 input[type=text],form#sib_signup_form_4 input[type=email], form#sib_signup_form_4 select {
width: 100%;
border: 1px solid #bbb;
height: auto;
margin: 5px 0 0 0;
}
form#sib_signup_form_4 .sib-default-btn {
margin: 5px 0;
padding: 6px 12px;
color:#fff;
background-color: #333;
border-color: #2E2E2E;
font-size: 14px;
font-weight:400;
line-height: 1.4285;
text-align: center;
cursor: pointer;
vertical-align: middle;
-webkit-user-select:none;
-moz-user-select:none;
-ms-user-select:none;
user-select:none;
white-space: normal;
border:1px solid transparent;
border-radius: 3px;
}
form#sib_signup_form_4 .sib-default-btn:hover {
background-color: #444;
}
form#sib_signup_form_4 p{
margin: 10px 0 0 0;
}form#sib_signup_form_4 p.sib-alert-message {
padding: 6px 12px;
margin-bottom: 20px;
border: 1px solid transparent;
border-radius: 4px;
-webkit-box-sizing: border-box;
-moz-box-sizing: border-box;
box-sizing: border-box;
}
form#sib_signup_form_4 p.sib-alert-message-error {
background-color: #f2dede;
border-color: #ebccd1;
color: #a94442;
}
form#sib_signup_form_4 p.sib-alert-message-success {
background-color: #dff0d8;
border-color: #d6e9c6;
color: #3c763d;
}
form#sib_signup_form_4 p.sib-alert-message-warning {
background-color: #fcf8e3;
border-color: #faebcc;
color: #8a6d3b;
}

from:https://www.enterpriseitpro.net/veeam-kbank-save-cost-70000-usd/

มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ยกระดับการให้บริการด้านไอทีด้วยแพลตฟอร์ม Intel vPro

ในฐานะของสถาบันการศึกษาชั้นนำของภาคเหนือ ที่มุ่งเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของอาเซียนที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มหาวิทาลัยแม่ฟ้าหลวงจึงไม่เพียงมุ่งสร้างความเป็นเลิศทางวิชาการเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเป็น Digital University หรือมหาวิทยาลัยในยุคดิจิทัลที่พร้อมเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ของภูมิภาค

นั่นจึงทำให้เทคโนโลยีสารสนเทศและระบบคอมพิวเตอร์มีความจำเป็นอย่างมากต่อการเรียนการสอน การดำเนินงานภายใน และให้บริการด้านวิชาการของมหาวิทยาลัย ภายใต้แนวนโยบายการบริหารงานสารสนเทศแบบรวมศูนย์ โดยมี ศูนย์บริการเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นหน่วยงานหลักทำหน้าที่วางแผนและปรับใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อสนับสนุนความเป็นเลิศในแต่ละด้านของมหาวิทยาลัย

ความท้าทายของมหาวิทยาลัยยุคดิจิทัล

“ศูนย์บริการเทคโนโลยีสารสนเทศ มีหน้าที่ในการจัดหาและดูแลโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศทั้งหมดของมหาวิทยาลัย ครอบคลุมถึงห้องแล็บคอมพิวเตอร์ที่เปิดให้บริการแก่นักศึกษา บุคลากร และบุคคลทั่วไป รวมถึงอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เพื่อการเรียนการสอนและการปฏิบัติงานของบุคลากร“ อาจารย์ วิทยาศักดิ์ รุจิวรกุล ผู้อำนวยการศูนย์บริการเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กล่าว “ แต่เนื่องจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงเป็นสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาขนาดใหญ่ มีเครื่องคอมพิวเตอร์หลายพันเครื่อง ถือเป็นความท้าทายของเราในการดูแลให้ได้อย่างทั่วถึง รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ “

อาจารย์ วิทยาศักดิ์ รุจิวรกุล ผู้อำนวยการศูนย์บริการเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

เพื่อรับมือกับความท้าทายดังกล่าว ศูนย์บริการเทคโนโลยีสารสนเทศจำเป็นต้องมีเครื่องมือเพื่อช่วยเจ้าหน้าที่ของศูนย์ ซึ่งมีจำนวนไม่มาก เมื่อเทียบกับปริมาณของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่ หนึ่งในโซลูชันดังกล่าวคือซอฟต์แวร์ด้าน Remote Desktop เพื่อให้สามารถใช้คนน้อยแต่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการดูแลเครื่องได้จากระยะไกล ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปที่หน้าเครื่อง แต่เนื่องจากซอฟต์แวร์ส่วนใหญ่ที่มีอยู่ในตลาดต้องเสียค่าใช้จ่ายในการใช้งาน ศูนย์ฯ จึงพยายามมองหาโซลูชันทางเลือกที่มีประสิทธิภาพในระดับเดียวกัน แต่เสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด

จากการติดตามข้อมูลข่าวสารเทคโนโลยีอยู่เสมอ ประกอบกับการได้อัปเดตเทคโนโลยีจากบริษัท อินเทล ศูนย์ฯ จึงได้รู้จักกับแพลตฟอร์ม Intel vPro ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ระดับองค์กรที่ใช้ Intel Core vPro โดยมีความสามารถมากมาย และความสามารถสำคัญที่ศูนย์ฯ นำมาใช้งานคือการทำ Remote Management


รูปแบบการทำงาน

แพลตฟอร์ม Intel vPro จะทำงานร่วมกับซอฟต์แวร์บนระบบคลาวด์ Intel Active Management Technology (Intel AMT) และ Intel Endpoint Management Assistant (Intel EMA) ฝ่ายไอทีขององค์กรสามารถแก้ไขปัญหาของคอมพิวเตอร์ปลายทางได้จากระยะไกล ไม่ว่าเครื่องคอมพิวเตอร์จะตั้งอยู่ที่ไหน


เพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลระบบคอมพิวเตอร์ 700 เครื่อง ด้วยเจ้าหน้าที่เพียงคนเดียว

ศูนย์ฯ เริ่มนำ Intel vPro มาทดลองใช้เพื่อดูแลระบบไอทีภายในห้องแล็บคอมพิวเตอร์ “ ด้วยความสามารถ Remote Management ของ Intel vPro ช่วยให้เราดูแลเครื่องคอมพิวเตอร์จำนวนมากกว่า 700 เครื่องในห้องแลบ โดยใช้เจ้าหน้าที่เพียง 1 ท่านเท่านั้น “ คุณภิญโญ คงมีลาภ หัวหน้าฝ่ายเลขานุการและธุรการ ศูนย์บริการเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กล่าว

 

คุณภิญโญ คงมีลาภ หัวหน้าฝ่ายเลขานุการและธุรการ ศูนย์บริการเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

“ จากแต่ก่อนเราต้องใช้คนเพื่อเดินเปิดเครื่องทุกเครื่องในห้อง และหากเครื่องไหนมีปัญหาก็ต้องคอยเดินไปแก้ไขที่หน้าเครื่องที่ละเครื่อง ซึ่งแม้จะเป็นงานที่ไม่ยาก แต่ใช้เวลามาก ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่มาพร้อมกับ Intel vPro เจ้าหน้าที่สามารถนั่งหน้าเครื่องควบคุม แล้วสั่งเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งหมดจากระยะไกลได้ทันที หรือหากเครื่องมีปัญหา ก็สามารถ Remote เข้าไปแก้ไขหรือสั่งรีบูตเครื่องจากระยะไกลก็สามารถทำได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานให้เราได้เป็นอย่างมาก “ คุณภิญโญ กล่าวเสริม

นอกจากนี้ Intel vPro ยังช่วยให้ศูนย์ฯ สามารถดูแลเครื่องคอมพิวเตอร์ที่กระจายอยู่ในห้องแล็บต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะสามารถกำหนดกลุ่มบริหารจัดการแยกออกจากกันได้ ทำให้การตรวจสอบการทำงานหรือแก้ไขปัญหาทำได้รวดเร็วขึ้น ขณะเดียวกันก็ยังสามารถช่วยให้การวางแผนบำรุงรักษาต่างๆ ทำได้ดีขึ้นด้วย

ตอบโจทย์การใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า

เช่นเดียวกับหลายๆ สถาบันการศึกษา องค์กรภาครัฐและเอกชน หนึ่งในแนวนโยบายหลักของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงการใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า คุณภิญโญ ระบุว่า ในการจัดซื้อจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยนั้น นอกเหนือจากจะต้องได้เครื่องที่มีประสิทธิภาพ คุ้มกับราคา สามารถใช้งานได้ยาวนาน และมีบริการหลังการขายที่ดีแล้ว เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ซีพียูอินเทล ที่มาพร้อมกับความสามารถของ Intel vPro ที่เราได้รับเพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องลงทุนเพิ่ม ทำให้มหาวิทยาลัยตัดสินใจได้ง่ายขึ้น และถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า

ขณะที่ทีมงานของอินเทลในประเทศไทย ก็เข้ามาช่วยมหาวิทยาลัยในการติดตั้งและปรับแต่งการทำงานจนสามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ มีความใส่ใจคอยสอบถามและให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มความสามารถ

ก้าวต่อไปของการให้บริการด้วย Intel vPro

อ. วิทยาศักดิ์ เปิดเผยว่า นอกจากนี้ Intel vPro ยังเข้ามาตอบโจทย์แผนงานในอนาคตของศูนย์ คือการยกระดับคุณภาพการให้บริการ ทั้งในแง่ของความรวดเร็วและการใช้ทรัพยากรบุคคลอย่างคุ้มค่า

โดยหลังจากทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานอย่างเต็มที่ ศูนย์ฯ มีความพึงพอใจในประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเครื่องคอมพิวเตอร์จำนวนมากโดยใช้เจ้าหน้าที่เพียงไม่กี่คนของ Intel vPro โดยแผนงานต่อไปในอนาคตคือ การนำไปใช้เพื่อบริหารจัดการเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อการปฏิบัติงานทั้งหมดของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงเป็นลำดับต่อไป

 

from:https://www.enterpriseitpro.net/intel-vpro-university/

กทม. หันใช้ Oracle Exadata Cloud@Customer สร้างประสิทธิภาพด้านดิจิทัล

Bangkok Metropolitan Administration (BMA) (ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร) เดินหน้าปรับใช้ระบบคลาวด์ของออราเคิล Oracle Exadata Cloud@Customer ตอบรับแผนการดำเนินงานสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัลเต็มรูปแบบ และส่งเสริมการบริการด้านฐานข้อมูล ด้วยการบริหารจัดการผ่านคลาวด์แบบครบวงจรด้วยศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ภายในองค์กร อีกทั้งปรับปรุงการดำเนินงาน และเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานระบบไอทีของกทม.ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน พร้อมยกระดับประสิทธิภาพการให้บริการต่าง ๆ แก่ประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร

นางสุธาทิพย์ สนเอี่ยม ผู้อำนวยการสำนักยุทธศาสตร์และประเมินผล สำนักงานกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า “คนไทยกำลังเข้าสู่วิถีชีวิตดิจิทัลมากขึ้นเรื่อย ๆ รัฐบาลไทยก็ตระหนักถึงความสำคัญเพื่อปรับตัวต่อกระแสการให้บริการแบบดิจิทัล กรุงเทพมหานครพยายามเร่งเดินหน้าสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัลเต็มรูปแบบให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ไทยแลนด์ 4.0 ดังนั้นการปรับเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานจึงถือเป็นเรื่องสำคัญเพื่อสนับสนุนให้เราสามารถมุ่งเน้นการใช้นวัตกรรมใหม่ๆ แทนการบำรุงรักษาและการดำเนินงานรูปแบบเดิม ๆ ซึ่งระบบ Oracle Exadata Cloud@Customer จะเป็นตัวช่วยให้เราบรรลุถึงเป้าหมายดังกล่าวได้”

นายทวีศักดิ์ แสงทอง กรรมการผู้จัดการ ออราเคิล ประเทศไทย กล่าวว่า “ปัจจุบัน หน่วยงานภาครัฐก็ไม่แตกต่างจากภาคเอกชน ที่ต้องจัดการกับข้อมูลและภาระงานปริมาณมหาศาล ซึ่งมีแต่จะเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในแต่ละวัน หากต้องการความฉับไว ความยืดหยุ่น และความคุ้มค่าของประสิทธิภาพต่อราคาที่สอดคล้องกับความต้องการ การเปลี่ยนมาใช้ระบบคลาวด์ย่อมเป็นคำตอบที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม การปรับเปลี่ยนต่างๆนั้นอาจนำมาซึ่งความกังวลใจสำหรับองค์กรได้ เช่น หน่วยงานที่ต้องมีกฎหมายควบคุมอย่างเข้มงวดอาจเกิดความวิตกกังวลเรื่องความมั่นคงปลอดภัยทางข้อมูล หรือภาระงานบางอย่างที่จำเป็นต้องปฏิบัติในสถานที่ทำงานเท่านั้น ระบบ Exadata Cloud@Customer จะช่วยสนับสนุนให้องค์กรรูปแบบนี้สามารถใช้ประโยชน์จากการทำงานผ่านคลาวด์และการขับเคลื่อนนวัตกรรม ไปพร้อม ๆ กับการรักษาข้อมูลทั้งหมดให้มีความมั่นคงปลอดภัยภายในศูนย์ข้อมูลขององค์กรเอง”

from:https://www.enterpriseitpro.net/oracle-exadata-cloudcustomer/

Case Study: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เลือก CSL เป็นพาร์ทเนอร์ อัปเกรดระบบ Wi-Fi 5/Wi-Fi 6 ทั่วมหาวิทยาลัย

ในยุคดิจิทัลที่การเชื่อมต่อมีความสำคัญ เทคโนโลยี Wi-Fi ไม่เพียงแค่สำคัญกับธุรกิจองค์กรเท่านั้น แต่สำหรับสถาบันการศึกษาระดับแนวหน้า Wi-Fi ยังช่วยขับเคลื่อนให้ก้าวไปสู่การเป็นสถาบันดิจิทัล สำหรับบทความนี้ รศ. ดร. รัฐสิทธิ์ สุขะหุต ผู้อำนวยการสำนักบริการเทคโนโลยีและสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หนึ่งในสถาบันการศึกษาชั้นแนวหน้าของไทย ได้ให้สัมภาษณ์ถึงการเลือก CSL เป็นพาร์ทเนอร์ในการอัปเกรดและขยายระบบ Wi-Fi กว่า 5,600 APs เพื่อให้นักศึกษาและบุคลากรของมหาวิทยาลัยกว่า 50,000 คนสามารถใช้งานเครือข่าย Wi-Fi และเข้าถึงระบบการเรียนการสอนออนไลน์ได้อย่างราบรื่น

ภาพรวมของสำนักบริการเทคโนโลยีและสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

สำนักบริการเทคโนโลยีและสารสนเทศมีหน้าที่ขับเคลื่อนเทคโนโลยีสารสนเทศของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการดูแลโครงสร้างพื้นฐาน ระบบเครือข่าย การเชื่อมต่อระหว่างหน่วยงาน อินเทอร์เน็ต การพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับใช้ในมหาวิทยาลัย การดูแลระบบบริหารจัดการด้านต่างๆ อาทิ ERP for Education ไปจนถึงระบบการเรียนการสอนออนไลน์ ทั้งหมดนี้ เพื่อให้หน่วยงานต่างๆ กว่า 60 หน่วยงานของมหาวิทยาลัยสามารถใช้ระบบสารสนเทศกลางร่วมกันได้ ทั้งยังรองรับการเข้าถึงระบบสารสนเทศและอินเทอร์เน็ตของบุคลากรกว่า 12,000 คนและนักศึกษากว่า 38,000 คนทั่วมหาวิทยาลัย

“เราทำงานร่วมกับหลายผู้ให้บริการและ Vendors เพื่อส่งมอบงานด้านสารสนเทศที่ดีที่สุดให้กับมหาวิทยาลัย” –– รศ. ดร. รัฐสิทธิ์ กล่าว

ต้องการปรับปรุงระบบ Wi-Fi ให้รองรับอุปกรณ์เชื่อมต่อที่เพิ่มมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ให้บริการเครือข่ายไร้สายแก่บุคลากรและนักศึกษาด้วย Cisco Access Point มาตรฐาน Wi-Fi 4 (802.11n) ประมาณ 2,100 เครื่อง ซึ่งใช้งานมานานกว่า 5 ปี สำนักบริการเทคโนโลยีและสารสนเทศจึงวางแผนที่จะปรับปรุงระบบเครือข่ายไร้สายให้รองรับจำนวนอุปกรณ์เคลื่อนที่ ทั้งโน๊ตบุ๊ก สมาร์ตโฟน และแท็บเล็ต ที่เพิ่มมากขึ้น เพื่อมอบประสบการณ์ในการเชื่อมต่อเครือข่ายของมหาวิทยาลัยและอินเทอร์เน็ตอันแสนยอดเยี่ยมให้แก่บุคลากรและนักศึกษา ทั้งด้านความเร็วและความเสถียร

“เราต้องการปรับปรุงระบบ Wi-Fi 5 ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ของมหาวิทยาลัยทั้งในแนวราบและแนวดิ่ง ที่สำคัญคือต้องมีความเสถียร รองรับการใช้งานในพื้นที่ที่มีบุคลากรและนักศึกษาหนาแน่นได้อย่างไม่ติดขัด ให้บริการได้อย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง และต้องสามารถทำงานร่วมกับระบบเครือข่ายไร้สายเดิมของมหาวิทยาลัยได้” –– รศ. ดร. รัฐสิทธิ์ กล่าวถึงความต้องการในการปรับปรุงระบบ Wi-Fi

พาร์ทเนอร์กับ CSL อัปเกรดและขยายระบบ Wi-Fi ทั่วมหาวิทยาลัย

สำนักบริการเทคโนโลยีและสารสนเทศแบ่งการปรับปรุงระบบเครือข่ายไร้สายออกเป็น 2 เฟส คือ การขยายระบบเพิ่มด้วย Access Points มาตรฐาน Wi-Fi 5 (802.11ac) จำนวน 3,500 เครื่อง ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ของมหาวิทยาลัย และการอัปเกรด Cisco Access Points เดิมตรงจุดที่มีการใช้งานหนาแน่น ให้เป็น Access Point มาตรฐาน Wi-Fi 6 (802.11ax) รวม 2,100 จุด เพื่อเพิ่มความราบรื่นและความเร็วในการใช้งาน

หลังจากทำการประเมินผู้ให้บริการหลายรายแล้ว สำนักบริการเทคโนโลยีและสารสนเทศได้เลือกให้ CSL เป็นพาร์ทเนอร์เพื่อช่วยวางแผนและแนะนำโซลูชันที่เหมาะสมให้ ซึ่ง CSL เลือกใช้ Cisco Wi-Fi 5 เนื่องจากต้องการให้สามารถทำงานร่วมกับ Access Points เดิมที่มหาวิทยาลัยใช้งานอยู่ได้และผู้ดูแลระบบมีความคุ้นเคยอยู่แล้ว รวมไปถึงสามารถอัปเกรดเป็น Wi-Fi 6 ได้ง่ายในอนาคต โดย Access Points ทั้งหมดถูกเชื่อมต่อกลับมาที่ส่วนกลางและบริหารจัดการผ่าน Controller เพื่อให้สามารถติดตามสถานะการทำงานได้แบบเรียลไทม์

“มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เปิดกว้างในการรับพาร์ทเนอร์เข้ามาร่วมงานด้วย ซึ่งขณะนั้นเรากำลังเตรียมปรับปรุงระบบเครือข่ายไร้สาย พอเป็นระบบขนาดใหญ่ที่ต้องใช้งานทั่วมหาวิทยาลัย ทาง Vendor จึงได้แนะนำ CSL เข้ามา ซึ่งเราได้ทำการประเมินแล้วพบว่า CSL เป็นบริษัทใหญ่และมีชื่อเสียง ทั้งยังมีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการวางระบบเครือข่ายขนาดใหญ่ จึงตัดสินใจเลือกใช้บริการ” –– รศ. ดร. รัฐสิทธิ์ กล่าวถึงประสบการณ์แรกพบ CSL

ต่อยอดสู่บริการ Managed Services ดูแลระบบ Wi-Fi แบบครบวงจร

ในฐานะพาร์ทเนอร์ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ CSL ได้ให้บริการ Managed Services สำหรับดูแลระบบ Wi-Fi ของมหาวิทยาลัยแบบครบวงจร ตั้งแต่การช่วยวางแผน ติดตั้ง เฝ้าระวัง และซัพพอร์ต โดยมีทีม CSL ประจำอยู่ที่มหาวิทยาลัยถึง 4 คน ทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ของสำนักบริการเทคโนโลยีและสารสนเทศ พร้อมทั้งให้คำแนะนำด้านเครือข่ายและการเชื่อมต่อเมื่อมีการนำเสนอโปรเจ็กต์ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศใหม่

“CSL ให้การสนับสนุนและให้คำปรึกษาในด้านสารสนเทศได้เป็นอย่างดี และสามารถทำงานร่วมกับบุคลากรของมหาวิทยาลัยได้อย่างราบรื่น เมื่อเข้าสู่เฟส 2 ที่ต้องอัปเกรด Access Points เดิมอีก 2,100 เครื่องให้เป็นมาตรฐาน Wi-Fi 5 เราได้ทำการประเมินพาร์ทเนอร์ และท้ายที่สุดก็เลือกใช้ CSL อีกครั้ง จนถึงตอนนี้ ก็เป็นเวลา 3 ปีแล้วที่ CSL ได้สนับสนุนเรา” –– รศ. ดร. รัฐสิทธิ์ กล่าวถึงสาเหตุที่เลือกใช้บริการ CSL มาอย่างต่อเนื่อง

“ขอบคุณทีม CSL ที่เข้ามามีบทบาทในการพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เรามอง CSL เป็นทีมงานหนึ่งของมหาวิทยาลัยไปแล้ว ซึ่งที่ผ่านมาหลายโปรเจ็กต์ก็ประสบความสำเร็จ เราได้ทั้งประสบการณ์และความรู้ที่ได้รับถ่ายทอดมาจาก CSL ด้วย” –– รศ. ดร. รัฐสิทธิ์ กล่าวปิดท้าย

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการ Managed Services ติดต่อทีมงาน CSL ได้ที่อีเมล csl-presales@ais.co.th หรือโทร 02-263-8185

from:https://www.techtalkthai.com/case-study-cmu-partners-with-csl-to-upgrade-wi-fi-system/

Case Study: Asia Pacific Petrochemical วางใจใช้ CSL Managed Services สร้างรากฐานธุรกิจดิจิทัล

ทีมงาน TechTalkThai ได้มีโอกาสสัมภาษณ์คุณไพศิลป์ ลิมป์ทองทิพย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเซีย แปซิฟิค ปิโตรเคมิคอล จำกัด ถึงการวางโครงสร้างพื้นฐานระบบ IT รวมไปถึงการดูแลอย่างครบวงจรโดยใช้บริการ Managed Services ของ CSL ซึ่งช่วยให้องค์กรสามารถดำเนินธุรกิจที่มียอดขายเกือบ 5,000 ล้านบาทต่อปีได้อย่างมั่นใจ

เกี่ยวกับบริษัท เอเซีย แปซิฟิค ปิโตรเคมิคอล จำกัด

บริษัท เอเซีย แปซิฟิค ปิโตรเคมิคอล จำกัด ก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 1997 เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น และไทย ด้วยทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท ประกอบธุรกิจนำเข้าและจัดจำหน่ายเคมีภัณฑ์จากคู่ค้าคุณภาพมากมายทั่วโลก เพื่อตอบสนองต่อความต้องการอันหลากหลายของอุตสาหกรรมไทย ปัจจุบันมีสำนักงานตั้งอยู่ใน 6 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ ไทย และพม่า นับเป็นหนึ่งในผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายเคมีภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมียอดจำหน่ายสินค้ารวมกันทั้ง 6 ประเทศปริมาณมากถึง 700,000 ตันต่อปี

สำหรับประเทศไทย สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ถนนรามอินทรา จังหวัดกรุงเทพมหานคร และมีคลังสินค้า 3 แห่ง ได้แก่จังหวัดสมุทรปราการ 2 แห่งและจังหวัดชลบุรี 1 แห่ง มีพนักงานรวม 71 คน และ Outsource อีก 150 คน มีปริมาณการขายสินค้าเคมีภัณฑ์ 150,000 ตันต่อปี คิดเป็นมูลค่ายอดขายสูงเกือบ 5,000 ล้านบาท

“ธุรกิจที่เราทำไม่ใช่ปลาใหญ่กินปลาเล็กอีกต่อไป ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ เราได้เพิ่มนโยบายการบริหารงานขึ้นมาใหม่ คือ ‘ปลาเร็วคว้าโอกาส’ ซึ่งประกอบด้วย 3 แนวทางสำคัญ คือ การพัฒนาอย่างไร้ขีดจำกัด การบริการเป็นเลิศ และการช่วยเหลือสังคม รวมถึงการรักษาสิ่งแวดล้อม” — คุณไพศิลป์กล่าวถึงการทำธุรกิจเมื่อต้องเข้าสู่ยุคดิจิทัล

การรับทราบข้อมูลแบบเรียลไทม์เป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจ

คุณไพศิลป์กล่าวว่า การนำเข้าและส่งออกเคมีภัณฑ์ที่ทำอยู่นี้ เป็นธุรกิจที่มีความละเอียดอ่อน เนื่องจากสินค้ามีราคาผันผวนไม่เว้นในแต่ละวัน การกำหนดราคาซื้อขายให้ได้ผลตอบแทนสูงสุดจึงเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ในขณะที่การบริหารจัดการสินค้าในคลังก็มีความท้าทายสูง จำเป็นต้องกะเกณฑ์ระยะเวลาของเรือที่จะนำสินค้าเข้ามาเติมในคลังให้ถูกจังหวะ ไม่ให้สินค้าหมดสต็อก นอกจากนี้ ลูกค้าแต่ละรายก็มีความต้องการแตกต่างกันออกไป ต้องให้บริการอย่างเหมาะสมเพื่อเพิ่มความพึงพอใจ เหล่านี้ ทำให้การใช้แรงงานคนอย่างเดียวอาจทำให้มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น จำเป็นต้องพึ่งพาระบบ IT เข้ามาสนับสนุน โดยทุกภาคส่วนต้องมีการเชื่อมต่อถึงกันและกัน แลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้แบบออนไลน์และเรียลไทม์ เพื่อให้การอัปเดตข้อมูลทุกอย่างทำได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งจะช่วยให้การวิเคราะห์สถานการณ์และการประเมินธุรกิจมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

วางโครงสร้างระบบ IT โดยใช้บริการจาก CSL

สมัยเริ่มกิจการ บริษัท เอเซีย แปซิฟิค ปิโตรเคมิคอล จำกัด มีสำนักงานใหญ่เพียงแห่งเดียว ในขณะที่คลังสินค้าใช้วิธีเช่าใช้ ซึ่งผู้ดูแลคลังสินค้าเป็นผู้จัดการโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ให้ แต่หลังจากที่ธุรกิจเติบโต บริษัทฯ มีคลังสินค้าเป็นของตัวเอง จึงต้องวางระบบโครงสร้างพื้นฐานทางด้าน IT ให้สำนักงานใหญ่และคลังสินค้าอีก 3 แห่งสามารถเชื่อมต่อหากันได้  จึงตัดสินใจว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญมาช่วยวางระบบและดูแลโครงสร้างพื้นฐานทางด้าน IT

ปี 2008 บริษัทฯ ตัดสินใจเลือกใช้บริการจาก CSL โดยเริ่มจากการวางเครือข่ายใยแก้วนำแสง (Fibre Optics) ก่อน ต่อมาก็วางโครงข่าย MPLS เชื่อมต่อระหว่างสำนักงานใหญ่และคลังสินค้าโดยมีเทคโนโลยี 3G เป็นโครงข่ายสำรอง หลังจากนั้นก็เริ่มวางโครงสร้างพื้นฐานระบบ IT ในองค์กรเพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจและปกป้องผู้ใช้จากภัยคุกคามไซเบอร์ เช่น Public Internet, Web Hosting, Secure Email Gateway, Firewall และอื่นๆ

“หลังจากเปรียบเทียบบริการและค่าใช้จ่าย รวมไปถึงชื่อเสียงแล้ว เราเลือกใช้บริการวางโครงสร้างระบบ IT จาก CSL  ซึ่ง CSL ให้บริการธรุกิจหลากหลายอุตสาหกรรม แสดงว่ามีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมที่ใกล้เคียงกับที่เราทำอยู่ จึงน่าจะนำความรู้และความเชี่ยวชาญมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจของเราได้ แน่นอนว่าเราสัมผัสได้ถึงความเป็นมืออาชีพ การทำงานอย่างรวดเร็ว และสามารถช่วยเราแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้อย่างทันท่วงที” — คุณไพศิลป์กล่าวถึงเหตุผลว่าทำไมถึงใช้บริการ CSL

ต่อยอดสู่บริการ Managed Services ดูแลระบบ IT แบบครบวงจร

เมื่อเข้าสู่ยุค Digital Transformation โครงสร้างพื้นฐานระบบ IT ขององค์กรเริ่มมีความซับซ้อน บริษัท เอเซีย แปซิฟิค ปิโตรเคมิคอล จำกัด จึงตัดสินใจยกระดับไปใช้บริการ Managed Services ของ CSL เพื่อให้เข้ามาจัดการและดูแลระบบ IT ของบริษัทฯ แบบครบวงจร ตั้งแต่การให้คำปรึกษาในการวางระบบให้ตอบโจทย์ความต้องการเชิงธุรกิจ การออกแบบและติดตั้งระบบ IT การปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบให้ดียิ่งขึ้น ไปจนถึงการเฝ้าระวังและดูแลระบบให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ ลดภาระฝ่าย IT ของบริษัทฯ และช่วยขับเคลื่อนให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน

คุณไพศิลป์ยังกล่าวถึงเหตุการณ์แพร่ระบาดของ COVID-19 ระบุว่า ทางบริษัทฯ มีการเตรียมความพร้อมและประเมินความเสี่ยงตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2020 และตัดสินใจที่จะดำเนินนโยบาย Work from Home ทันที ซึ่งบริษัทฯ มีโครงสร้างพื้นฐานระบบ IT ที่พร้อมรองรับการ Work from Home อยู่แล้ว ทาง CSL จึงเข้ามาช่วยออกแบบและวางระบบ Remote Access และ Video Conference สำหรับการทำงานจากระยะไกลให้ ช่วยให้สำนักงานใหญ่สามารถ Work from Home ได้ 100% เมื่อเกิดเหตุแพร่ระบาดในไทย ส่งผลให้ธุรกิจของบริษัทฯ ยังคงดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง ไม่สะดุด

“เราถูกใจบริการของ CSL และเรามอง CSL เป็นพาร์ทเนอร์คนสำคัญในการดำเนินธุรกิจ CSL เข้ามาช่วยจัดการและดูแลโครงสร้างพื้นฐานระบบ IT ให้กับเรา ช่วยให้เราสามารถโฟกัสกับการทำธุรกิจได้โดยไม่ต้องมาระแวง มาระวังหลัง ไม่ต้องห่วงว่าระบบ IT จะมีปัญหา และไม่ต้องกังวลว่าเมื่อธุรกิจก้าวไปข้างหน้าแล้วระบบ IT จะไม่ก้าวตาม การเป็นพาร์ทเนอร์ที่ร่วมเดินทางไปกับเรานี้ ช่วยให้เราสามารถเดินไปข้างหน้าได้เร็วยิ่งขึ้นและมั่นคงยิ่งขึ้น” — คุณไพศิลป์กล่าวปิดท้าย

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการ Managed Services ติดต่อทีมงาน CSL ได้ที่อีเมล csl-presales@ais.co.th หรือโทร 02-263-8185

from:https://www.techtalkthai.com/case-study-asia-pacific-petrochemical-uses-csl-managed-services/

Fake News ปัญหาโลกแตกของชาวออนไลน์ – บทความโดย อ.โอภาส

สื่อออนไลน์เดี๋ยวนี้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เรื่องไหนที่ถูกจริตกับเราและชอบเป็นพิเศษเราก็มักจะตัดสินใจกดไลก์ กดแชร์กันอย่างไม่ค่อยคิดหน้าคิดหลัง และเมื่อเรามีส่วนร่วมกับเรื่องนั้นๆ ก็มักมีเรื่องโน้นๆ ที่มีความใกล้เคียงสอดคล้องกับเรื่องนั้นๆ ก่อนหน้ามาคอยป้อนหลอกล่อให้เราได้อ่านได้เสพอยู่อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ซึ่งนั่นก็เป็นกลไกธรรมชาติของ Social Media ยุคปัจจุบัน

ซึ่งถ้าข่าวใดที่เป็นจริงก็แล้วไป แต่เมื่อไหร่ก็ตามข่าวนั้นเป็นเรื่องเท็จไม่ได้รับการกรองสักแต่ว่าแชร์ๆ ต่อกันไปแล้วนั้นซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นและน่าติดตามเป็นพิเศษก็มักจะก่อให้เกิดความเสียหายไม่ทางใดก็ทางหนึ่งตามมาอย่างแน่นอน

ที่ผ่านมามีความพยายามและกระบวนการในการต่อต้านข่าวปลอมมาโดยตลอดเช่นเดียวกันไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานองค์กรใดๆ ก็ตามที่เรามักพบเห็นกันโดยทั่วไป แต่ในโลกของความเป็นจริงข่าวปลอมมักจะนำหน้ากระบวนการต่อต้านข่าวปลอมหนึ่งก้าวอยู่เสมอ

และด้วยกลไกของข่าวปลอมที่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่งในโลกยุค Social Media นี่เองที่เป็นเหมือนดาบสองคมนั่นคือคมแรกบริษัทต่างๆ ใช้กลไกนี้สร้างกระแสให้เกิดการตีข่าวสองแง่สองง่ามเพื่อหวังผลทางการตลาดทั้งที่บางเรื่องมีความสุ่มเสี่ยงทางด้านศีลธรรมจรรยาก็ตามที บางครั้งได้ดีก็ดีไป แต่บางครั้งอาจทำให้บริษัทย่ำแย่ก็อาจเป็นได้ ส่วนคมที่สองนั้นมักเป็นเรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมที่ใช้กลไกความตื่นตัวทางด้านการข่าวผ่าน Social Media ให้เกิดสิ่งดีๆ ขึ้นในสังคมไม่ว่าจะแง่มุมใดๆ ซึ่งต้องขอชื่นชมกับคมหลังนี้เป็นอย่างยิ่ง

ทั้งหมดที่กล่าวมาล้วนตกเป็นประโยชน์ของเจ้าของสื่อ Social Media อย่างหน้าชื่นตาบานกันทั้งนั้นไม่ว่าจะออกทางคมดีหรือคมไม่ดี แต่สิ่งที่ทุกคนในสังคมต้องตระหนักอย่างยิ่งยวดนั่นคือสติที่ต้องมีในโลกยุคความเปลี่ยนแปลงสูงและรวดเร็วในปัจจุบันนี้ต้องรู้เท่าทันและมีกระบวนการกรองสื่อต่างๆ ที่เรารับเข้ามาอย่างพิถีพิถันมากกว่าโลกยุคเดิมเป็นร้อยเท่าพันเท่าก่อนที่จะตัดสินใจส่งต่อสิ่งที่ตัวเองได้รับให้แก่ผู้อื่น และสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสมาเมื่อสองพันปีกว่ายังใช้ได้อยู่เสมอนั่นคือ “สะติ เตสัง นิวาระนัง-การมีสติ ช่วยป้องกันความเลวร้ายได้”

ผู้แต่ง : นายโอภาส หมื่นแสน วิศวกร สำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

from:https://www.enterpriseitpro.net/fake-news/

เงินติดล้อ เลือก True IDC ชูกลยุทธ์ Cloud Transformation รองรับการใช้งานออนไลน์ที่มากขึ้น

เงินติดล้อ ผู้ให้บริการสินเชื่อทะเบียนรถและนายหน้าประกันวินาศภัยชื่อดังของไทย มั่นใจใช้ True IDC ผู้นำการให้บริการ Data Center และระบบ Cloud พลิกโฉมระบบโครงสร้างพื้นฐานทางด้านไอทีขึ้นสู่ Cloud เพื่อรองรับการใช้บริการออนไลน์ที่เพิ่มมากขึ้น มอบประสบการณ์ใช้งานที่เหนือกว่าให้แก่ลูกค้าและยกระดับความพึงพอใจในการใช้บริการไปอีกขั้น นับเป็นก้าวแรกของการทำ Cloud Transformation

“True IDC เข้ามาช่วยดูแลและให้คำปรึกษาว่าเราควรวางโครงสร้างพื้นฐานทางด้านไอทีโดยเฉพาะระบบเว็บไซต์อย่างไรให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงได้อย่างรวดเร็ว มีความยืดหยุ่น พร้อมขยายระบบได้ง่ายในอนาคต ในขณะที่ยังคงไว้ซึ่งความมั่นคงปลอดภัย การนำเอาเทคโนโลยี Cloud มาใช้เป็นคำตอบที่ตรงกับความต้องการของเราที่สุด” —  คุณภคมน ตุลยาพิศิษฐ์ชัย ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่าย Digital Transformation ของเงินติดล้อกล่าว

Lifestyle ผู้บริโภคเปลี่ยนไป เข้าถึงสื่อออนไลน์มากขึ้น

เงินติดล้อเริ่มต้นจากการเป็นผู้ให้บริการสินเชื่อทะเบียนรถแบบครบวงจร มีประวัติยาวนานกว่า 10 ปี จนกระทั่งปี 2013 ได้ขยายบริการประกันภัยรถยนต์และประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลแก่บุคคลทั่วไป ปัจจุบันนี้มีสาขามากกว่า 1,000 แห่งทั่วประเทศ

คุณภคมน ตุลยาพิศิษฐ์ชัย ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่าย Digital Transformation ของเงินติดล้อ ระบุว่า ลักษณะชีวิตของคนในปัจจุบันยังคงทำงานแข่งกับเวลา มีภารกิจและงานประจำที่ต้องทำในแต่ละวันค่อนข้างมาก ทำให้มีลูกค้าบางส่วนไม่สะดวกเดินทางมาทำธุรกรรมที่สาขา รวมไปถึงไม่มีเวลาในการศึกษาเทคโนโลยีใหม่ๆ

แต่เมื่อมาถึงยุคของสมาร์ตโฟนและ Thailand 4.0 ทำให้ไลฟ์สไตล์ของคนเปลี่ยนไป มีการเข้าถึงสื่อออนไลน์และใช้บริการออนไลน์มากขึ้น ติดต่อเพื่อทำธุรกรรมที่สาขาน้อยลง ส่งผลให้บริษัทฯ ต้องปรับตัวให้พร้อมบริการออนไลน์ ไม่ว่าจะผ่านเว็บไซต์ แอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟน หรือโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook และ LINE รวมไปถึงต้องอบรมพนักงานให้สามารถส่งมอบความรู้ความเข้าใจให้กับลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าพร้อมเข้าถึงเทคโนโลยีเหล่านี้ ยกระดับความพึงพอใจของลูกค้าและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์แบบใหม่ ด้วยจุดมุ่งหมายในการนำเสนอ Digital Banking ที่ถูกและโปร่งใส

แต่ด้วยการแข่งขันในปัจจุบัน แค่ปรับตัวให้พร้อมบริการออนไลน์อย่างเดียวคงไม่พอ ต้องทำให้สามารถบริการได้ตลอดเวลา รวดเร็ว และมีความมั่นคงปลอดภัยด้วย คำถามคือจะทำอย่างไรดี?

พลิกโฉมระบบเว็บขึ้นสู่ Cloud รองรับการใช้งานออนไลน์ที่มากขึ้น

ด้วยคุณสมบัติด้านความยืดหยุ่น ความต่อเนื่องในการให้บริการ และความพร้อมในการขยายระบบในอนาคต ทำให้เงินติดล้อตัดสินใจทำ Cloud Transformation โดยเริ่มจากการย้ายระบบเว็บไซต์ทั้งหมดขึ้นสู่ Cloud ก่อน พร้อมใช้บริการ Content Delivery Network (CDN) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงเว็บไซต์และป้องกันการโจมตีแบบ DDoS ช่วยให้ลูกค้ามีประสบการณ์ในการใช้บริการผ่านเว็บไซต์ที่ดียิ่งขึ้น

นอกจากนี้ เงินติดล้อยังได้วางโครงสร้างเว็บไซต์ใหม่เพื่อรองรับปริมาณ Traffic ของผู้ใช้งานที่เข้ามา ช่วยให้ทีมงานสามารถนำเสนอโปรโมชันและข่าวสารประชาสัมพันธ์ได้แบบไม่สะดุด รวมไปถึงให้บริการแบบฟอร์มออนไลน์สำหรับรับคำร้องจากลูกค้า และเครื่องมือต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสินเชื่อและประกันภัย ซึ่งในอนาคตจะมีการเพิ่มบริการอื่นๆ เข้าไปเพื่อให้ตอบสนองต่อความต้องการและไลฟ์สไตล์ ของลูกค้ามากยิ่งขึ้น

True IDC ช่วยถ่ายทอดประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้าน Cloud Computing

เบื้องหลังความสำเร็จในการเริ่มทำ Cloud Transformation ของเงินติดล้อ คือ True IDC ที่ได้เข้ามาให้คำปรึกษาและบริการ Professional Services แบบครบวงจร ตั้งแต่การวิเคราะห์ความต้องการเชิงธุรกิจ, การออกแบบและวางโครงสร้าง Landing Zone ที่เป็นรากฐาน Architecture ที่ได้มาตรฐาน ให้มีทั้งความเร็ว ความยืดหยุ่น และความมั่นคงปลอดภัย, การย้ายระบบเว็บไซต์ขึ้นสู่ Cloud ไปจนถึงการสนับสนุนหลังการขยาย นอกจากนี้ยังช่วยถ่ายทอดความรู้และความเชี่ยวชาญด้าน Cloud Computing จากประสบการณ์ที่ให้บริการลูกค้าในหลากหลายธุรกิจ รวมไปถึงธุรกิจการเงินและประกันภัยให้แก่เงินติดล้อ ช่วยให้ทีมงานที่ไม่คุ้นชินด้าน Cloud Computing มาก่อนสามารถบริหารจัดการและดูแลระบบ Cloud ได้อย่างมั่นใจ

“True IDC เป็นพาร์ตเนอร์ที่ดีสำหรับเรา คอยให้คำปรึกษาและให้การสนับสนุนตลอดตั้งแต่เริ่มโปรเจ็กต์จนถึงตอนนี้ การย้ายเว็บไซต์ขึ้น Cloud กับ True IDC ทำให้เราได้ความรู้และความเชี่ยวชาญด้าน Cloud Computing เป็นอย่างดี ช่วยให้เรามั่นใจว่าโครงสร้างพื้นฐานมีความพร้อมในการรองรับระบบเว็บไซต์และการให้บริการแอปพลิเคชันต่างๆ แก่ลูกค้าในอนาคต” — คุณภคมน กล่าวถึง True IDC

เพิ่มบริการออนไลน์ผ่าน LINE และ Mobile App พร้อม Chatbot อำนวยความสะดวก

นอกจากการย้ายระบบเว็บไซต์ขึ้นสู่ Cloud แล้ว เงินติดล้อยังได้พลิกโฉมธุรกิจด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อตอบสนอง Lifestyle ของคนไทยที่นิยมใช้สมาร์ตโฟนและโซเชียลมีเดียอีกด้วย เช่น

  • LINE Business Connect: เพิ่มช่องทางการให้ข้อมูล การติดต่อ และบริการออนไลน์ผ่านทางแอปพลิเคชัน LINE
  • Mobile App: ให้บริการเช็คยอด จ่ายบิลได้ 24 ชั่วโมง รวมไปถึงต่อ พ.ร.บ. พร้อมรับกรมธรรม์ได้ภายใน 5 นาที
  • Chatbot: สำหรับพูดคุยและตอบคำถามลูกค้า ลดภาระของทีมเอเย่นต์ลงได้ถึง 50% รวมไปถึงช่วยเก็บข้อมูลลูกค้าได้เทียบเท่ากับการใช้พนักงานถึง 16 คน

เพื่อยกระดับความพึงพอใจไปอีกขึ้น เงินติดล้อยังได้เพิ่มลูกเล่นอย่างระบบ Rewards เข้าไปในแอปพลิเคชัน เช่น สิทธิ์ลุ้นทองเมื่อลูกค้าชำระเงินตรงเวลา ระบบนี้นอกจากจะเพิ่มความสนใจให้แก่ลูกค้าแล้ว ยังช่วยกำหนดพฤติกรรมของลูกค้าทางอ้อมได้อีกด้วย เมื่อลูกค้าชำระหนี้ตรงเวลา บริษัทฯ ก็จะมีเงินหมุนเวียนในธุรกิจมากขึ้น ในขณะที่ลูกค้าก็จะมีเครดิตที่ดียิ่งขึ้นตาม

“ช่วงเหตุการณ์ COVID-19 ก่อให้เกิดปัญหาเรื่องการขอพักชำระหนี้เป็นจำนวนมาก ทำให้การจัดการเรื่องเอกสารเกิดความล่าช้า จึงต้องนำระบบบอทอัจฉริยะ เข้ามาใช้เพื่อตรวจสอบเอกสารเบื้องต้นก่อนส่งให้พนักงานดำเนินการต่อ ลดภาระของพนักงานลง ในขณะที่ทีมติดตามหนี้ก็เปลี่ยนไปโทรให้ความรู้และอธิบายถึงเงื่อนไขและข้อจำกัดต่างๆ ให้ลูกค้าเข้าใจแทน” — คุณภคมนกล่าวถึงการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ช่วง COVID-19

นับได้ว่ากรณีศึกษานี้เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการเริ่มต้นนำเอาเทคโนโลยี Cloud มาใช้ หากองค์กรและหน่วยงานใดสนใจเริ่มทำ Cloud Transformation สามารถติดต่อ True IDC เพื่อขอคำปรึกษาได้ที่ https://www.trueidc.com/th/contact หรือโทร 02-494-8300

from:https://www.techtalkthai.com/ngerntidlor-partnership-with-true-idc-begins-cloud-journey/

[Webinar] คุยกับ Teibto CEO และ NocNoc.com – เครื่องมือที่ช่วยให้ธุรกิจ e-Commerce ประสบความสำเร็จในปี 2020 และหลังจากนี้

ขอเชิญเหล่าผู้บริหารและผู้ประกอบการเข้าฟังงานเสวนาออนไลน์เรื่อง “The New Normal: Tools for Ecommerce Success in 2020 & Beyond” โดยคุณอภิษฎา เดมีย์กุล CEO ของบริษัทเติบโต และคุณชัชพรรษ แสงสุข Business Architecture Manager จาก SCG ซึ่งจะมาแชร์ประเด็นการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจ e-Commerce รวมถึงเคล็ดลับความสำเร็จของการบริหาร NocNoc.com ในช่วงของวิกฤตโลก COVID-19 ที่ผ่านมา ในวันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม 2020 เวลา 14:00 น. ผ่านทาง Live Webinar

รายละเอียดการบรรยาย

หัวข้อ: The New Normal: Tools for Ecommerce Success in 2020 & Beyond
ผู้บรรยาย: คุณอภิษฎา เดมีย์กุล CEO จากบริษัทเติบโต และคุณชัชพรรษ แสงสุข Business Architecture Manager จาก SCG
วันเวลา: วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม 2020 เวลา 14:00 – 15:30 น.
ช่องทางการบรรยาย: Online Web Conference
จำนวนผู้เข้าร่วมสูงสุด: 500 คน
ภาษา: ไทย
ลิงค์ลงทะเบียน: https://zoom.us/webinar/register/WN_diH5KBAfR1aJO_KPy9OCsw

ตั้งแต่ปลายปี 2018 เติบโต (Teibto.com) ได้เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาระบบ Oracle NetSuite เพื่อเป็นระบบหลังบ้านในส่วนประกอบที่สำคัญ เช่น Order Management และ Finance and Accounting ให้กับ บริษัท เบ็ตเตอร์บี มาร์เก็ตเพลส จำกัด ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มมาร์เก็ตเพลส เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการเปิดตัวของ NocNoc ตั้งแต่ต้นปี 2019 NocNoc ได้กลายเป็นแพลตฟอร์มที่รวบรวมสินค้าและบริการวัสดุก่อสร้างและของตกแต่งบ้านรายแรกและรายเดียวในไทยที่ครบวงจรบนโลกออนไลน์ ซึ่ง NocNoc ได้ตั้งเป้าเพื่อมุ่งสู่ความเป็นผู้นำด้านแพลตฟอร์มในไทยและอาเซียนในปี 2025

เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองที่ NocNoc ได้ดำเนินการมาอย่างประสบความสำเร็จในเวลาเกือบสองปีที่ผ่านมา คุณอภิษฎา เดมีย์กุล CEO ของบริษัทเติบโต และคุณชัชพรรษ แสงสุข Business Architecture Manager จาก Siam Cement Group จะมาแชร์ให้ฟังถึงความเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจ e-Commerce รวมถึงเคล็ดลับความสำเร็จของการบริหาร NocNoc.com ในช่วงของวิกฤตโลก COVID-19 ที่ผ่านมา และการเดินต่อไปข้างหน้าหลัง COVID-19 จะเป็นอย่างไร เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของความเป็นผู้นำทางด้านแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ตั้งไว้

กด Interested หรือ Going เพื่อติดตามอัปเดตและรับการแจ้งเตือนบน Facebook Event: https://www.facebook.com/events/4108704669171211/

from:https://www.techtalkthai.com/tools-for-e-commerce-success-in-2020-by-teibto-and-nocnoc/

[Video Webinar] Workforce Transformation สู่ยุค New Normal ด้วย Dell Technologies

สำหรับผู้ที่ไม่ได้เข้าฟังการบรรยาย Geton | Dell Webinar เรื่อง “Workforce Transformation สู่ยุค New Normal” พร้อมแชร์กรณีศึกษาจากความสำเร็จในการพลิกโฉมการทำงานสู่วิถีใหม่ (New Normal) ของ Dell Technologies ที่มีพนักงานกว่า 120,000 คน ที่เพิ่งจัดไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา หรือต้องการรับชมการบรรยายซ้ำอีกครั้ง สามารถเข้าชมวิดีโอบันทึกย้อนหลังได้ที่บทความนี้ครับ

ผู้บรรยาย: คุณ Kittikhun Donsrikaew, Client Solutions Technologist, Senior Principal Engineer จาก Dell Technologies และคุณ Nuttapong Sakdapipanich, Product Manager จาก Get On Technology

เหตุการณ์แพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนคาดคิดมาก่อน ซึ่งนอกจากจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพแล้ว ยังก่อให้เกิดสถานการณ์ที่ไม่เคยมีใครเตรียมการล่วงหน้า เช่น การจำกัดการเดินทาง ทำให้แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะ “ดำเนินธุรกิจตามปกติ” อีกด้านหนึ่ง COVID-19 กลับเป็นตัวผลักดันองค์กรให้เข้าสู่ยุคดิจิทัลเร็วขึ้น ก่อให้เกิดการปฏิรูปกำลังแรงงาน (Workforce Transformation) การปรับตัวต่อสถานการณ์เฉพาะหน้า และอีกประเด็นที่น่าสนใจ คือ การปรับเปลี่ยนให้พนักงานทำงานจากภายนอกสถานที่ (Remote Working)

แม้ว่าการปฏิรูป การเปลี่ยนแปลง การปรับตัวเหล่านี้จะทำให้ธุรกิจสามารถดำเนินการต่อไปได้ แต่จะมั่นใจได้อย่างไรว่า การทำงานจะยังคงมีประสิทธิภาพเช่นเดิม มีปัจจัยไหนที่จะช่วยให้การสร้างกระบวนการทำงานใหม่แบบนี้เกิดขึ้นได้จริงและรวดเร็ว รวมถึงมีเทคโนโลยีใดที่จะทำให้องค์กรมั่นใจได้ว่าจะสามารถบริหารจัดการอุปกรณ์ที่หลากหลายได้อย่างครอบคลุมและมั่นคงปลอดภัย

เข้าร่วม Webinar นี้เพื่อเรียนรู้ประสบการณ์ความสำเร็จจากการพลิกโฉมสู่การทำงานแบบ Work from Home ของ Dell Technologies ที่มีพนักงานกว่า 120,000 คนภายใต้สถานการณ์ COVID-19 นี้ พร้อมแนะนำ 5 วิธีเพิ่มขีดความสามารถในการทำงานจากภายนอกสถานที่ ได้แก่

  • ความมั่นคงปลอดภัยที่มาพร้อมกับเครื่องคอมพิวเตอร์ของ Dell
  • เครื่องมือที่ทำให้คอมพิวเตอร์ของ Dell แตกต่าง ซึ่งจัดการได้ทั้งระดับ OS ไปถึงระดับเฟิร์มแวร์
  • เทคโนโลยีที่ผนวก AI/ML ทำให้ PC/Laptop เป็นมากกว่า “คอมพิวเตอร์”
  • ความแตกต่างระหว่าง Zero Client และ Thin Client พร้อมการนำไปใช้จริง
  • Infrastructure ของ Dell Technologies ที่ช่วยให้องค์กรเริ่ม Workforce Transformation ได้ง่ายและเร็วยิ่งขึ้น

from:https://www.techtalkthai.com/video-webinar-workforce-transformation-by-dell-technologies/