คลังเก็บป้ายกำกับ: IT_CASE_STUDIES

“คลังสินค้า” มีผลผลิตเพิ่มขึ้น 15% ด้วยเทคโนโลยีจาก Zebra

[ IT Case Studies ] Zebra Technologies โชว์ผลงานว่าด้วยอุปกรณ์อ่านบาร์โค้ดประเภทพกพา และเครื่องพิมพ์อุตสาหกรรมของตนได้ช่วยให้ผู้บริการจัดส่งสินค้าสามารถดำเนินการได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นถึง 15%
 

Zebra ได้เคลมตัวอย่างโซลูชันแบบครบวงจรสำหรับ Warehouse Management ของ Stuart ซึ่งเป็นเชี่ยวชาญด้านการจัดส่งสินค้าแบบเร่งด่วนและปัจจุบันได้ให้บริการแล้วทั่วยุโรป โดยเฉพาะลูกค้าในฝรั่งเศสระดับชั้นนำอย่าง Carrefour, Decathlon และ Nespresso ที่มีสาขาทั้งในและประเทศต่างๆ ในทุกภูมิภาค
 
ผู้ให้บริการด้านจัดส่งสินค้า “ควรอย่างยิ่งที่จะเสริมศักยภาพให้กับการดำเนินงานเพื่อยกระดับให้มีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น ด้วยการปรับใช้อุปกรณ์และเทคโนโลยีตัวช่วยที่ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะงาน สำหรับเคสโซลูชันคลังสินค้าของ Stuart ได้นำอุปกรณ์พกพาระดับอุตสาหกรรมเข้ามาช่วยขยายขีดความสามารถให้กับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานภายในคลังสินค้า เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่มีปริมาณเพิ่มขึ้น” จากข้อมูลข้างต้นนี้ Stocovia-ID ซึ่งเป็น Business Partner กับ Zebra Technologies ได้ออกแบบโซลูชันเฉพาะทางสำหรับ Warehouse Management ขึ้นมา โดยคำนึงถึงความเหมาะสมที่จะเข้ามาผสานการทำงานร่วมกับกิจกรรมหลักภายในคลังสินค้าของ Stuart ซึ่งขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีจาก Zebra Technologies

Scanner – งานสแกนอ่านบันทึกข้อมูลสินค้า :

ในคลังสินค้าของ Stuart พนักงานได้ใช้เทคโนโลยีจาก Zebra แบบสวมใส่ เพื่อเสริมทักษะความคล่องตัวให้กับเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน และอุปกรณ์อ่านข้อมูลบาร์โค้ดแบบตั้งโต๊ะ อุปกรณ์ทั้งหมดนี้ได้เข้ามาช่วยให้การทำงานบันทึกข้อมูลสินค้าจากบาร์โค้ดให้มีประสิทธิภาพและความแม่นยำในศูนย์คัดแยกสินค้ามากขึ้น โดยมีรุ่นอุปกรณ์ดังนี้
  • คอมพิวเตอร์พกพาแบบสวมแขน รุ่น Zebra TC5X Series
  • เครื่องสแกนแบบวงแหวนสวมนิ้วมือ รุ่น Zebra RS5100
  • เครื่องสแกนอ่านข้อมูลบาร์โค้ด รุ่น Zebra DS2208
Image Credit : identwerk.de

ผลิตภัณฑ์ประเภท Scanner ช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานควบคุมคลังสินค้าทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการปลดพันธนาการให้กับมือทั้งสองข้างเป็นอิสระเพื่อเพิ่มศักยภาพในการคัดแยกสินค้า การจัดเก็บสินค้า และการเคลื่อนย้ายพัสดุต่างๆ ซึ่งเป็นกระบวนการก่อนที่จะถึงขั้นตอนการจัดส่งออกไปจากคลังสินค้าสู่ลูกค้าปลายทางอย่างครบถ้วนและถูกต้อง Zebra กล่าวว่า โซลูชันเฉพาะทางที่นำเสนอให้กับ Stuart นี้ “ช่วยให้ประสิทธิภาพของผลผลิตสูงขึ้นถึง 10-15%”

Printer – งานสั่งพิมพ์ข้อมูลสินค้าในรูปแบบ RFID tag :

นอกจากเครื่องอ่านบาร์โค้ดแล้ว ภายในคลังสินค้าของ Stuart ได้เลือกใช้เครื่องพิมพ์อุตสาหกรรมรุ่น Zebra ZT411 RFID (Radio Frequency Identification) เข้ามาช่วยสร้างฉลากสินค้าชนิด RFID tag ซึ่งจะเห็นได้จากร้านค้าของ Decathlon ที่ประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยี RFID กับสินค้าในทุกรายการ ตั้งแต่กระบวนการรับสินค้าเข้า การจัดวางสินค้าพร้อมจำหน่าย และการตัดรายการสินค้าออกจากร้านค้า (การชำระเงิน) โดยมีรายงานว่า Zebra ZT411 RFID Printer สามารถช่วยเร่งผลผลิตจากงานพิมพ์เพิ่มขึ้นถึง 70% เลยทีเดียว
Léonel de La Bretesche กรรมการผู้จัดการของ Stuart Retail France กล่าวว่า “การทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและแม่นยำที่ศูนย์คัดแยกของเรามีความสำคัญต่อความสำเร็จของเรา ด้วยโซลูชันใหม่นี้ เราพบว่ามีผลผลิตเพิ่มขึ้นอย่างน่าทึ่ง – มากถึง 70% ในบางพื้นที่”
 
“เวิร์กโฟลว์ของเราเชื่อถือได้อย่างสมบูรณ์แบบ และเรากำจัดข้อผิดพลาดในการจัดส่งได้เกือบทั้งหมดแล้ว ด้วยแอปพลิเคชันที่กำลังพัฒนามากขึ้นและความเป็นไปได้ในการปรับขยายโซลูชันนี้ทั่วทั้งธุรกิจของเรา เราหวังว่าจะได้ทำงานร่วมกับเทคโนโลยีของ Zebra อย่างต่อเนื่อง” Léonel de La Bretesche กล่าวทิ้งท้าย
 

from:https://www.techtalkthai.com/successful-case-study-warehouse-productivity-increases-15-percent-with-zebra-technology/

Advertisement

ACR Management ยกระดับการทำงานแบบดิจิทัล ด้วยบริการ Google Workspace จาก True IDC

การแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างถูกต้องและรวดเร็วเป็นหัวใจสำคัญของการทำงานในยุคดิจิทัล บทความนี้ คุณเหรียญชัย เบญจาศุภวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ACR Management (ACRM) ได้ออกมาเปิดเผยถึงการนำ Google Workspace เข้ามาใช้ในการติดต่อประสานงานระหว่างทีมงานส่วนกลางกับทีมผู้ดูแลโครงการต่างๆ ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพในการทำงานร่วมกัน ซึ่งนำไปสู่ความพึงพอใจของลูกค้าในแต่ละโครงการที่บริษัทฯ ดูแลอยู่ รวมไปถึงการใช้บริการดังกล่าวผ่าน True IDC

ACR-Management (ACRM) ผู้ให้บริการด้านการจัดการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย

ACR-Management หรือ ACRM เป็นบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อให้บริการด้านการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ทุกรูปแบบ เช่น หมู่บ้าน คอนโดมิเนียม อาคารสำนักงาน มานานกว่า 13 ปี บริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์มากกว่า 30 โครงการ ทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด เช่น ชลบุรี ระยอง เชียงใหม่ และประจวบคีรีขันธ์ (หัวหิน) มีบริการครอบคลุมตั้งแต่การจดทะเบียนและจัดตั้งนิติบุคคล การจัดหาผู้จัดการและที่ปรึกษาทีมงานไปประจำแต่ละโครงการ ไปจนถึงการจัดทำกฎระเบียบข้อบังคับสำหรับนิติบุคคลและผู้อยู่อาศัย โดยคำนึงถึงการเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ รวมถึงประโยชน์สูงสุดของเจ้าของร่วม และผู้พักอาศัยเป็นหลัก

ปัจจุบันนี้ ACRM มีพนักงานส่วนกลางที่ประจำอยู่ที่สำนักงานใหญ่ราว 50 คน แบ่งเป็นฝ่ายปฏิบัติการ วิศวกร บัญชี กฎหมาย จัดซื้อ ทรัพยากรบุคคล เทคโนโลยี และอื่นๆ สำหรับดูแลทีมงานที่กระจายไปยังโครงการต่างๆ ทั่วประเทศอีกกว่า 200 คน

ความท้าทายในการจัดการอสังหาริมทรัพย์ในยุคดิจิทัล

คุณเหรียญชัยระบุว่า ในปัจจุบัน ACRM ได้ส่งทีมงานนิติบุคคลไปประจำโครงการต่างๆ มากกว่า 30 โครงการ ซึ่งกระจายอยู่ทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมไปถึงต่างจังหวัด เช่น ชลบุรี ระยอง หัวหิน เชียงใหม่ เมื่อทีมงานส่วนกลางและทีมงานประจำโครงการอยู่ต่างสถานที่กัน ทำให้ยากต่อการติดต่อสื่อสารและประสานงานระหว่างกัน อีเมลและโทรศัพท์กลายเป็นช่องทางหลักในการแลกเปลี่ยนข้อมูล ส่งผลให้การนัดหมาย ประชุม รับส่งข้อมูล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอกสารต่างๆ ทำได้ลำบากและไม่ทั่วถึง และเมื่อต้องทำงานร่วมกับเจ้าของร่วมโครงการและผู้อยู่อาศัย ทำให้การบริหารจัดการนิติบุคคลมีความละเอียดอ่อน ทีมงานที่ประจำโครงการต้องตอบสนองต่อคำร้องขออย่างถูกต้องและรวดเร็ว เพื่อส่งมอบประสบการณ์การพักอาศัยที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า

“บุคลากรของเราต้องทำงานร่วมกันจากต่างสถานที่กัน เพื่อให้การทำงานราบรื่น รวดเร็ว แก้ปัญหาได้ตรงจุด ACRM จึงมองหาเครื่องมือที่สามารถเข้ามาช่วยสนับสนุนตรงจุดนี้ เพื่อให้ผู้รับบริการได้รับความพึงพอใจสูงสุด” — คุณเหรียญชัยกล่าวถึงความท้าทายของการทำงานใน ACRM 

ยกระดับประสิทธิภาพในการทำงานร่วมกันด้วย Google Workspace

ACRM เลือกใช้บริการ Google Workspace มาเพิ่มศักยภาพในการติดต่อประสานงานระหว่างทีมงานส่วนกลางและทีมงานนิติบุคคลประจำโครงการต่างๆ ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพในการทำงานร่วมกันให้ดียิ่งขึ้น ตัวอย่างเครื่องมือที่ ACRM ใช้งาน ได้แก่

  • Gmail – บริการรับส่งอีเมลที่มั่นใจได้ว่าข้อมูล รายละเอียดที่ต้องการสื่อสาร จะถูกส่งถึงผู้รับอย่างถูกต้อง ครบถ้วน และรวดเร็ว
  • Google Meet – บริการประชุมออนไลน์ที่ช่วยให้ทีมงานส่วนกลางและทีมงานที่ประจำโครงการต่างๆ สามารถติดต่อสื่อสารกันได้จากทุกที่ ทุกเวลา เสมือนทำงานอยู่ด้วยกัน
  • Google Calendar – บริการปฏิทินออนไลน์แบบครบวงจร ช่วยให้การนัดหมาย ประชุมคณะกรรมการ หรือการประชุมที่ต้องกำหนดทีมงานเข้าไปช่วยบริหารจัดการเป็นจำนวนมาก เช่น ประชุมใหญ่ประจำปี ทำได้สะดวกและรวดเร็ว ทั้งยังช่วยตรวจสอบสถานะของบุคลากรและจัดสรรทรัพยากรต่างๆ เช่น การจองอุปกรณ์ ได้ง่ายยิ่งขึ้น
  • Google Drive – บริการจัดเก็บและแชร์ไฟล์ร่วมกัน แก้ปัญหาเรื่องการส่งข้อมูลไม่ทั่วถึง หรือไม่ได้รับข้อมูลล่าสุด ทั้งยังสามารถควบคุมการเข้าถึงไฟล์ได้ตามต้องการ
  • Google Docs และ Google Sheets – บริการเอกสารข้อความและสเปรดชีตที่มีจุดเด่นในการสร้างและแก้ไขข้อมูลบนเอกสารร่วมกันได้ ช่วยให้ทีมงาน เข้าถึงชุดข้อมูลเดียวกันและไม่พลาดการอัปเดตใด ๆ
  • Google Form – บริการแบบฟอร์มออนไลน์ที่ ACRM มักใช้เพื่อจองการประชุม จองทรัพยากรจากส่วนกลาง หรือทำแบบสอบถาม เป็นต้น

โดยสรุปแล้ว Google Workspace ช่วยให้วิถีการทำงาน นัดหมาย ประชุม และแลกเปลี่ยนข้อมูลมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวดเร็วยิ่งขึ้น ทั้งยังมีความถูกต้อง ที่สำคัญคือ สามารถมั่นใจได้ว่าทีมงานทั้งส่วนกลางและที่ประจำโครงการต่างๆ จะได้รับข้อมูลอัปเดตล่าสุดตลอดเวลา

“เราใช้ Google Workspace มาสนับสนุนเรื่องการติดต่อสื่อสารและการทำงานร่วมกันระหว่างทีมที่กระจายอยู่ตามโครงการต่าง ๆ มาแล้วครึ่งปี พบว่ามีฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย ใช้งานง่าย มีความเสถียรสูง และสามารถออกแบบการใช้งานได้ตามความต้องการของแต่ละคน ช่วยให้เราประสานงานกับเจ้าของร่วมโครงการและผู้อยู่อาศัยได้ดียิ่งขึ้น” — คุณเหรียญชัยกล่าวถึงประสบการณ์ใช้งาน Google Workspace จนถึงปัจจุบัน

True IDC ผู้ช่วยคนสำคัญในการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้ Google Workspace

ACRM เลือกใช้บริการ Google Workspace ผ่าน True IDC เนื่องจากเป็นผู้ให้บริการ Data Center และ Cloud ชั้นนำของไทยที่มีมาตรฐานและมีความเป็นมืออาชีพสูง  ทีมฝ่ายขายมีความจริงใจในการนำเสนอแพ็กเกจที่เหมาะสมต่อความต้องการขององค์กร ในขณะที่ทีมฝ่ายเทคนิคก็ให้ข้อมูลที่ครบถ้วน ทำงานประสานกับฝ่าย IT ของ ACRM ได้เป็นอย่างดี ตั้งแต่การให้คำปรึกษา การออกแบบและจัดเตรียมระบบให้พร้อมใช้งาน การสำรองข้อมูลเก่าเพื่อย้ายไปยังระบบใหม่ ไปจนถึงการสนับสนุนหลังการขาย ช่วยให้ ACRM สามารถยกระดับการสื่อสารและทำงานร่วมกันระหว่างทีมงานที่กระจายอยู่ตามโครงการต่างๆ ได้รวดเร็วและราบรื่นมากยิ่งขึ้น

“การใช้งาน Google Workspace ภายใต้การดูแลของ True IDC สร้างความพึงพอใจให้แก่ทีมงานของเราเป็นอย่างมาก True IDC ช่วยสนับสนุนเราเป็นอย่างดีตั้งแต่การเริ่มเตรียมระบบ การสำรองข้อมูลเดิมแล้วย้ายมาสู่ระบบใหม่ ไปจนถึงการดูแลหลังการขาย จนถึงตอนนี้การใช้งานทุกอย่างราบรื่นดีมาก ระบบเสถียร และยังไม่เจอปัญหาใดๆ เลย เราหวังว่า Google Workspace จะสามารถเชื่อมต่อกับระบบอื่นๆ ของ ACRM เช่น IoT เพื่อเพิ่มความคล่องตัวให้เราได้ในอนาคต” – คุณเหรียญชัยกล่าวปิดท้าย

สำหรับองค์กรที่สนใจใช้บริการ Google Workspace ผ่าน True IDC หรือต้องการรับคำปรึกษา สามารถติดต่อเพื่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.trueidc.com/th/contact หรือโทร 02-494-8300 

from:https://www.techtalkthai.com/acr-management-improves-staff-collaboration-with-google-workspace-by-true-idc/

ไขความลับสู่ความสำเร็จการทำ Smart City ของเทศบาลนครนนท์ที่มอบให้แก่ประชาชน | Tangerine x เทศบาลนครนนท์

เทศบาลนครนนทบุรี ได้กำหนดวิสัยทัศน์ให้เป็นเมืองที่น่าอยู่ ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีการบริการที่เป็นเลิศ และด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน วิกฤตโควิด 19 ทำให้เทศบาลนครนนทบุรีขยายฐานข้อมูล ไม่เพียงแต่กลุ่มเปราะบางเท่านั้น แต่เทศบาลยังเล็งเห็น และใส่ใจคุณภาพชีวิต ความเป็นอยู่ที่ดี และการบริหารจัดการที่ดีขึ้น จึงเป็นที่มาของการทำโครงการ Smart City ร่วมกับ Tangerine เพื่อปรับปรุงระบบสารสนเทศ และบูรณาการข้อมูล ในการขับเคลื่อนการลงพื้นที่ เพื่อเป็นประโยชน์สำหรับการจัดทำฐานข้อมูลประวัติการติดเชื้อโควิด 19 และการรับวัคซีนป้องกันโควิด 19 ของประชาชนในเทศบาลนครนนทบุรี

ในอดีตระบบงานสาธารณสุขของเทศบาลนครนนทบุรี มีการสำรวจผู้ป่วยตามชุมชนทั้งหมดกว่า 93 ชุมชน ผ่านฟอร์มในรูปแบบกระดาษ รวมถึงเอกสารอื่น ๆ ทั้งข้อมูลค่าวัดต่าง ๆ เช่น ค่าหลอดเลือดหัวใจ ค่าความดันโลหิต หรือการข้อมูลการตรวจ ADL ทำให้เทศบาลมีเอกสารจำนวนมากสำหรับการบริหารจัดการ

แต่ด้วยวิสัยทัศน์ของเทศบาลนครนนทบุรี กับการบริหารจัดการ Paperless Work และ Digital Tranformation ให้ตอบโจทย์ในยุคดิจิทัล มีการนำเข้าข้อมูลของคน ประชากร เช่น ผู้ป่วยติดเตียง ผู้ป่วยติดบ้าน ผู้สูงอายุ และอื่น ๆ ให้แสดงผลบน Google Maps Platforms และทำแอปพลิเคชันให้เป็น Data Center เก็บข้อมูลทั้งหมดของศูนย์ในเทศบาลทั้งเขต อำเภอ สถานีอนามัย โรงเรียน ตลาด และอื่น ๆ ว่ามีจำนวนเท่าไหร่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบสารสนเทศ และบูรณาการข้อมูลของ เสริมความสามารถให้กับแพลตฟอร์มการบริหารจัดการข้อมูลสำหรับสร้าง เผยแพร่ และเป็นเว็บศูนย์กลางข้อมูล ด้านการบริหารจัดการ มีการจัดการชั้น layer ของข้อมูล รวมถึงการจำกัดสิทธิการเข้าถึงข้อมูล เพื่อให้การบริหารจัดการเป็นไปตามมาตราฐานที่กำหนดไว้

เทศบาลนครนนทบุรีมั่นใจในความเชี่ยวชาญของแทนเจอรีน ในการวางแผนและพัฒนาเมืองสู่เมืองอัจฉริยะ Smart City Application ซึ่งเล็งเห็นถึงโอกาสและความสำคัญของการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิต ความเป็นอยู่ของประชาชนเพื่อมุ่งสู่การเป็น Smart Living พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง และกลุ่มผู้เปราะบางของเทศบาลนครนนทบุรี โดยนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลเข้ามาดูแลสุขภาพ อย่างยั่งยืน

และเทศบาลนครนนท์ก็ยังคงมีแผนที่จะทำให้สภาพแวดล้อมของชุมชนเมืองเป็นเมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืน ส่งเสริม อาชีพ และสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เพื่อสร้างรายได้ให้กับประชาชน ส่งเสริมพัฒนาคุณภาพชีวิตทั้งในด้านการศึกษา กีฬา นันทนาการ สาธารณสุข สวัสดิการต่าง ๆ และอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่น และเจ้าหน้าที่ได้พัฒนาคุณภาพการให้บริการต่อไป โดยเน้นการสร้างเสริมศักยภาพบุคลากร ตลอดจนการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เหมาะสม “เพราะนี่คือหัวใจของเรา การทำงานของเทศบาลนครนนทบุรี”

ท่านใดสนใจนำ Data มาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้ธุรกิจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่หรือติดต่อ marketing@tangerine.co.th

from:https://www.techtalkthai.com/tangerine-nonthaburi-municipality-smart-city/

[Guest Post] “แคสเปอร์สกี้”เผยบริษัทในอาเซียน 33% เคยตกเป็นเหยื่อแรนซัมแวร์หนึ่งครั้ง

การวิจัยพบผู้บริหารองค์กรเพียง 5% ที่มีทีมตอบสนองเหตุการณ์ภายในหรือเธิร์ดปาร์ตี้ แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นด้านความสามารถในการตรวจจับและตอบสนองต่อภัยคุกคามไซเบอร์ในภูมิภาค

นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์โจมตี Wannacry คำว่าแรนซัมแวร์ก็ได้กลายเป็นคำศัพท์ในโลกธุรกิจ โดยมีการโจมตีองค์กรขนาดใหญ่ปรากฏในหัวข้อข่าวทุกเดือน ธุรกิจต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่ใต้การจับตาของอาชญากรไซเบอร์ จากการวิจัยล่าสุดของแคสเปอร์สกี้ พบว่าธุรกิจจำนวนสามในห้า (67%) ยืนยันว่าตนตกเป็นเหยื่อแรนซัมแวร์ 

แคสเปอร์สกี้ บริษัทรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ระดับโลก สำรวจผู้ตอบแบบสอบถาม 900 คนทั่วอเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ แอฟริกา รัสเซีย ยุโรป และเอเชียแปซิฟิก โดยในจำนวนนี้มี 100 คนมาจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และดำเนินการในเดือนเมษายน 2022 การวิจัยเรื่อง “How business executives perceive ransomware threat” ได้รวบรวมคำตอบจากผู้บริหารระดับสูงที่ไม่ใช่ฝ่ายไอที (เช่น ซีอีโอ รองประธาน และผู้บริหารระดับผู้อำนวยการ) เจ้าของธุรกิจและหุ้นส่วนในบริษัทที่มีพนักงาน 50 – 1,000 คน

ในส่วนผู้ตอบแบบสอบถามที่ระบุว่าตกเป็นเหยื่อแรนซัมแวร์และข้อมูลถูกเข้ารหัสโดยอาชญากรไซเบอร์ ในจำนวนนี้ครึ่งหนึ่ง (34%) ประสบกับการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ไม่ใช่ครั้งเดียวแต่หลายครั้ง ผู้ตอบแบบสอบถามที่เหลือ (33%) บอกว่าเคยประสบเหตุการณ์ดังกล่าวเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

สิ่งที่พบมากที่สุดในหมู่เหยื่อแรนซัมแวร์ในภูมิภาคนี้คือ เหยื่อเกือบทั้งหมด (82.1%) เลือกจ่ายค่าไถ่ ผู้บริหารที่ตอบแบบสำรวจ 47.8% สารภาพว่าจ่ายเงินค่าไถ่อย่างเร็วที่สุดเพื่อให้เข้าถึงข้อมูลธุรกิจได้ทันที ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 38.1% ถึงสองหลัก

ผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนเกือบหนึ่งในสี่ (23.9%) พยายามกู้คืนข้อมูลผ่านการสำรองหรือถอดรหัสแต่ล้มเหลว และจ่ายค่าไถ่ภายในสองวัน ในขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถาม 10.4% ใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่จะจ่ายเงิน

เมื่อสอบถามเหยื่อแรนซัมแวร์ถึงขั้นตอนที่จะดำเนินการหากต้องเผชิญกับเหตุการณ์เดียวกันนี้อีก ผู้นำธุรกิจส่วนใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (77%) ยืนยันว่าจะยังคงจ่ายค่าไถ่เช่นเดิม ซึ่งแสดงถึงแนวโน้มที่น่าเป็นห่วงสำหรับบริษัทที่เคยตกเป็นเหยื่อแรนซัมแวร์ที่ยังต้องจ่ายเงิน ทำให้อาชญากรไซเบอร์สามารถปฏิบัติการโจมตีได้อย่างต่อเนื่อง

นายเซียง เทียง โยว ผู้จัดการทั่วไปประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แคสเปอร์สกี้ กล่าวว่า “เป็นเรื่องน่ากังวลที่เห็นว่ามีธุรกิจเพียง 17.9% ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ตกเป็นเหยื่อของแรนซัมแวร์ แต่ไม่ตอบรับต่อการเรียกร้องค่าไถ่ของอาชญากรไซเบอร์ เรายืนยันอย่างแน่วแน่ว่า องค์กรเอ็นเทอร์ไพรซ์ไม่ควรตอบสนองด้วยการจ่ายเงินค่าไถ่ แต่ผู้ตอบแบบสำรวจจำนวนมากกว่าครึ่ง (67%) ยอมรับว่าองค์กรของตนไม่สามารถอยู่รอดได้หากปราศจากข้อมูลทางธุรกิจเมื่อถูกโจมตี อย่างไรก็ตาม เราเข้าใจถึงความเร่งด่วนและความสิ้นหวังอยากได้ข้อมูลกลับมาโดยเร็วที่สุด” 

ผลการสำรวจของแคสเปอร์สกี้ยังเผยให้เห็นถึงข้อมูลสำคัญ นั่นคือ องค์กรส่วนใหญ่ในภูมิภาค (94%) จะขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานภายนอกองค์กรหากถูกโจมตีโดยแรนซัมแวร์ ซึ่งมีสัดส่วนสูงกว่าตัวเลขทั่วโลกเล็กน้อยที่ 89.9%

องค์กรเกือบหนึ่งในสี่ (20%) จะติดต่อหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ในขณะที่ 29% จะติดต่อผู้ให้บริการตรวจสอบและตอบสนองต่อเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เป็นเธิร์ดปาร์ตี้ อย่างเช่นแคสเปอร์สกี้ สัดส่วนที่เหลือจะติดต่อทั้งสององค์กรนี้เพื่อขอทราบวิธีตอบสนองต่อการโจมตีของแรนซัมแวร์

“มีผู้นำองค์กรเพียง 5% เท่านั้นที่ยืนยันว่าองค์กรของตนมีความสามารถในการตอบสนองต่อเหตุการณ์ภายใน หรือมีทีมไอทีหรือผู้ให้บริการในการค้นหาการโจมตีของแรนซัมแวร์ จึงชัดเจนว่าองค์กรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นต้องการความช่วยเหลือสำหรับเหตุการณ์นี้ แคสเปอร์สกี้สนับสนุนความร่วมมือข้ามพรมแดน และความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อช่วยรัฐบาลและบริษัทต่างๆ ในการต่อสู้กับภัยคุกคาม เช่น แรนซัมแวร์ อย่างไรก็ตาม องค์กรต่างๆ ควรดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อเพิ่มทักษะ และสร้างทีมป้องกันความปลอดภัยของตนเองที่มีความสามารถในการตรวจจับและตอบสนองเหตุการณ์ที่นำทางโดยข้อมูลภัยคุกคามเชิงลึก” นายเซียง เทียง โยว กล่าวเสริม

แคสเปอร์สกี้ได้ร่วมก่อตั้งโครงการระดับโลกชื่อ “No More Ransom Initiative” ซึ่งตอนนี้เติบโตขึ้นจากพันธมิตร 4 รายเป็น 188 ราย และได้แบ่งปันเครื่องมือถอดรหัสทั้งสิ้น 136 รายการ ครอบคลุมแรนซัมแวร์ 165 ตระกูล

โครงการนี้เปิดตัวตั้งแต่ปี 2016 ปัจจุบันช่วยให้ผู้ใช้กว่า 1.5 ล้านคนทั่วโลกถอดรหัสอุปกรณ์ของตน เหยื่อแรนซัมแวร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เกือบ 30,000 คนตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปี 2021 จนถึงสิ้นเดือนมิถุนายนปี 2022 ก็สามารถกู้คืนข้อมูลของตนเองได้ผ่านความช่วยเหลือของโครงการนี้

โครงการนี้ดำเนินการโดยแคสเปอร์สกี้ร่วมกับหน่วยอาชญากรรมไฮเทค (National High Tech Crime Unit) ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเนเธอร์แลนด์ ศูนย์อาชญากรรมทางอินเทอร์เน็ตแห่งยุโรปของสำนักงานตำรวจสากลแห่งสหภาพยุโรป (Europol) และพันธมิตรรายอื่นๆ

ทั้งนี้ แคสเปอร์สกี้ให้ความสำคัญกับการป้องกันการโจมตีของแรนซัมแวร์ เราขอสนับสนุนให้องค์กรธุรกิจปฏิบัติตามคำแนะนำง่ายๆ และมีประสิทธิภาพเหล่านี้ เพื่อช่วยปกป้ององค์กรของตนจากภัยคุกคามประเภทนี้ ดังต่อไปนี้

  • เก็บสำเนาไฟล์เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ เพื่อให้สามารถแทนที่ได้ในกรณีที่สูญหาย (เช่น เกิดจากมัลแวร์หรืออุปกรณ์ที่เสียหาย) ควรเก็บไฟล์ไว้บนอุปกรณ์จริงและบนคลาวด์เพื่อความมั่นใจมากขึ้น ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณสามารถเข้าถึงข้อมูลสำรองได้อย่างรวดเร็วในกรณีฉุกเฉิน
  • ติดตั้งการอัปเดตความปลอดภัยทั้งหมดทันทีที่มีให้ใช้งาน อัปเดตระบบปฏิบัติการและซอฟต์แวร์เสมอเพื่อกำจัดช่องโหว่ล่าสุด
  • ให้ความรู้ด้านความปลอดภัยแก่พนักงาน อธิบายว่า พนักงานสามารถช่วยป้องกันเหตุการณ์แรนซัมแวร์ได้โดยทำตามกฎง่ายๆ แนะนำหลักสูตรการฝึกอบรมเฉพาะ เช่น หลักสูตรใน Kaspersky Automated Security Awareness Platform
  • เปิดใช้งานการป้องกันแรนซัมแวร์สำหรับเครื่องเอ็นด์พอยต์ทั้งหมด มีเครื่องมือ Kaspersky Anti-Ransomware Tool for Business แบบไม่มีค่าใช้จ่ายที่ปกป้องคอมพิวเตอร์และเซิร์ฟเวอร์จากแรนซัมแวร์และมัลแวร์ประเภทอื่นๆ ป้องกันการบุกรุก และทำงานเข้ากันได้กับโซลูชันความปลอดภัยที่ติดตั้งไว้แล้ว
  • ขอแนะนำให้บริษัทระดับเอ็นเทอร์ไพรซ์ใช้โซลูชันต่อต้าน APT และโซลูชัน EDR ซึ่งช่วยให้สามารถค้นหาและตรวจจับภัยคุกคามขั้นสูง สอบสวนและแก้ไขเหตุการณ์ได้ทันท่วงที ตลอดจนเข้าถึงข้อมูลภัยคุกคามล่าสุด ผู้ให้บริการ MDR สามารถช่วยในการตามล่าการโจมตีแรนซัมแวร์ขั้นสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ข้อมูลทั้งหมดนี้มีอยู่ใน Kaspersky Expert Security

แคสเปอร์สกี้ขอแนะนำว่า หากคุณตกเป็นเหยื่อ อย่าจ่ายค่าไถ่ เพราะไม่มีการรับประกันว่าคุณจะได้รับข้อมูลคืน แต่จะเป็นการสนับสนุนให้อาชญากรดำเนินธุรกิจต่อไปได้ แนะนำให้รายงานเหตุการณ์ดังกล่าวไปยังหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่ของคุณ และขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญในการตอบสนองต่อเหตุการณ์ อย่างเช่น แคสเปอร์สกี้

บริษัทต่างๆ สามารถลองค้นหาตัวถอดรหัส (decryptor) บนอินเทอร์เน็ตได้ที่ https://www.nomoreransom.org/en/index.html

from:https://www.techtalkthai.com/guest-post-kaspersky-reveals-33-of-asean-have-been-victims-of-ransomware-once/

Upskill ทักษะไอที กับ “Code Their Dreams” โครงการสอนเขียนภาษาคอมพิวเตอร์ โดย CDG x 42 Bangkok KMITL

หากพูดถึงทักษะแห่งโลกอนาคต อย่างหนึ่งที่หลาย ๆ คนจะต้องนึกถึงแน่นอนนั่นคือ “การเขียนโปรแกรมหรือโค้ดดิ้ง (Coding)” อันเป็นทักษะด้านคอมพิวเตอร์ที่มีความสำคัญในการพัฒนานวัตกรรมต่าง ๆ ขึ้นมาบนโลกนี้ จนกระทั่งในสถาบันการศึกษาหรือโรงเรียนมากมายเริ่มบรรจุวิชา Coding เข้าไปเป็นหลักสูตรบังคับ ดังที่จะได้เห็นเป็นกระแสอยู่ช่วงหนึ่ง และบางแห่งก็เริ่มสอนการเขียนภาษา Python สำหรับเด็กประถมแล้วด้วย

บทความนี้ จึงอยากจะมาแนะนำให้รู้จักกับ “Code Their Dreams” โครงการเผยแพร่ความรู้โดยทาง CDG Group และความร่วมมือล่าสุดที่ได้จับมือกับ “42 Bangkok” เพื่อมุ่งเน้นให้ความรู้ด้านวิชาการและทักษะด้านคอมพิวเตอร์ ในการเขียนโปรแกรมให้กับเยาวชนและประชาชนคนทั่วไปที่สนใจอยากจะพัฒนาตัวเองในด้านนี้ได้ “ฟรี” ไม่มีค่าใช้จ่าย และด้วยรูปแบบโครงการที่แตกต่างจากการสอนตามคอร์สเรียนทั่วไป จึงมีโอกาสที่จะทำให้โครงการนี้กลายเป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนชื่นชอบ และอยากเข้าร่วมพัฒนาทักษะ Upskill เพื่อเสริมแกร่งวงการไอทีในประเทศไทยได้ โครงการนี้เป็นอย่างไร ติดตามได้เลย

แรงงานไอทีขาดตลาด สวนกระแสวิวัฒนาการโลก

ดูเหมือนว่ายิ่งโลกมีวิวัฒนาการในด้านเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมไปเร็วเพียงใด แรงงานหรือบุคลากรด้านไอทีก็มักจะยิ่งขาดตลาดมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งวิกฤตแรงงานขาดแคลนนี้ไม่ได้เกิดแค่ในประเทศไทยเท่านั้นหากแต่เกิดขึ้นทั่วโลก ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความสามารถในการพัฒนาทักษะของบุคลากรไม่ว่าจะ Upskill หรือว่า Reskill นั้นก็ไม่สามารถทำได้อย่างรวดเร็วหรือว่าทันเวลากับความต้องการของงานหรือตลาดแรงงานที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง 

คุณนาถ ลิ่วเจริญ
ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทซีดีจี

“สถานการณ์ความต้องการแรงงานและบุคลากรไอทีทั่วโลก พบว่าการขาดแรงงานไอทีในตลาดยังเป็นวิกฤตในหลายหน่วยงาน และหลายประเทศก็กำลังเผชิญอยู่เช่นกัน เนื่องจากความต้องการในส่วนนี้คือความเปลี่ยนแปลงที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของโลกดิจิทัลเทคโนโลยี นอกจากนี้ ไม่ว่าจะในสายงานใด บุคลากร คือ ทรัพยากรที่สำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนธุรกิจ รวมถึงการขับเคลื่อนองค์รวมในภาคส่วนอื่น ๆ ของสังคมด้วยเช่นกัน” คุณนาถ ลิ่วเจริญ ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทซีดีจี กล่าว 

ด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแบบนี้ทั่วโลก จึงทำให้องค์กรทั้งหลายต้องให้ความสำคัญในการพัฒนาศักยภาพของพนักงานให้ทันกระแสและเทคโนโลยี รวมถึงทาง CDG Group เองในฐานะองค์กรผู้เชี่ยวชาญด้านการให้บริการเทคโนโลยีโซลูชันในประเทศไทยมาอย่างยาวนานนั้น ก็ได้เห็นถึงความสำคัญในการพัฒนาทักษะบุคลากรทั้งภายใน CDG Group และประชาชนคนทั่วไปเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นความรู้ในด้านเทคโนโลยี ทักษะพื้นฐานต่าง ๆ ตลอดจนทักษะความรู้แบบลึก (Deep Knowledge) ทักษะทางสังคม (Soft Skill) หรือทักษะการทำงานร่วมกันเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ CDG Group มองว่าควรจะต้องเดินหน้าพัฒนาไปพร้อม ๆ กัน จึงเป็นที่มาของโครงการ “Code Their Dreams” ที่ CDG Group เริ่มต้นดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2559 แล้ว

จุดเริ่มต้น “Code Their Dreams” ถ่ายทอดความรู้ดิจิทัล

จุดเริ่มต้นของโครงการ “Code Their Dreams” ที่ทาง CDG Group วางไว้นั้น เพื่อแบ่งปันและถ่ายทอดความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศให้กับเยาวชนและคนทั่วไป รวมทั้งสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับสถานประกอบการต่าง ๆ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์วิชาชีพ และการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมทางด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศให้เกิดขึ้นในวงกว้าง 

สำหรับทักษะสำคัญสำหรับยุคดิจิทัลในอนาคตที่ CDG Group มองเห็นและมุ่งเน้นในโครงการ Code Their Dreams นั่นก็คือ “Coding” ด้วยเหตุผลที่ไม่ใช่แค่แรงงานขาดแคลนและเป็นที่ต้องการสูงเพียงเท่านั้น แต่ทักษะการเขียนโค้ดยังช่วยทำให้กระบวนการคิดเป็นไปอย่างมีระบบ อีกทั้งยังสามารถช่วยสนับสนุนการทำงานในหลากหลายสายอาชีพให้สามารถช่วยลดกระบวนการหรือเวลาในการทำบางสิ่งที่ต้องใช้แรงงานลงไปได้อย่างมหาศาล และถ้าหากเริ่มต้นฝึกฝนตั้งแต่เด็ก ก็ยิ่งทำให้เด็กไทยมีโอกาสที่จะเติบโตมาเป็นกำลังสำคัญของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น

เหตุนี้เอง จึงทำให้โครงการ Code Their Dreams ได้มีการจัดเวิร์กชอปเพื่อให้ความรู้ด้านการเขียนโปรแกรม Coding เบื้องต้นแก่นักเรียนตามโรงเรียนประถมศึกษามาแล้วมากมาย รวมทั้งก่อนหน้านี้ก็ได้สร้างความร่วมมือกับหลากหลายสถาบัน เช่น มหาวิทยาลัยมหิดล หรือมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และจนถึงวันนี้ก็ได้มีนักเรียนนักศึกษาและบุคคลทั่วไปที่มาเข้าร่วมโครงการแล้วทั้งสิ้นถึง 4,171 คน พร้อมทั้งมีโรงเรียนเข้าร่วมแล้วมากกว่า 425 โรงเรียน และได้พัฒนาความรู้ให้แก่ครูผู้สอนทั่วประเทศถึง 313 คนแล้ว

Code Their Dreams x 42 Bangkok เสริมแกร่งสานฝันให้เป็นจริง

ล่าสุด ทาง CDG Group ได้ขยายความร่วมมือโครงการ Code Their Dreams ร่วมกับ “42 Bangkok” ที่จัดตั้งขึ้นโดยสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (KMITL) ซึ่งหากใครที่ยังไม่รู้จัก 42 Bangkok มาก่อน สถาบันนี้คือโรงเรียนสอนเขียนโค้ดภาษาคอมพิวเตอร์ระดับโลกสำหรับผู้ที่สนใจในทุกระดับชั้นที่สามารถเข้าร่วมเรียนได้ “ฟรี”

42 Bangkok

ภายในสถาบัน 42 Bangkok จะมีหลักสูตรสำหรับโปรแกรมเมอร์โดยเฉพาะที่จัดทำโดยสถาบันสอนโปรแกรมเมอร์ชั้นนำจากประเทศฝรั่งเศส โดยผู้เรียนไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานด้านเทคโนโลยีหรือมีวุฒิการศึกษามาก่อน เพียงแค่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ไม่จำกัดเพดานอายุ ก็สามารถเข้าร่วมหลักสูตรได้ทันที และที่สำคัญคือไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้นเลยด้วย

จุดหนึ่งที่เห็นได้ชัดว่าแตกต่างจากโรงเรียนสอนภาษาคอมพิวเตอร์ทั่วไปของ 42 Bangkok นั่นคือ “วิธีการเรียนรู้ผ่านรูปแบบโครงการ (Project-based Learning)” โดยจะไม่มีอาจารย์ ไม่มีการบังคับเข้าเรียน และสามารถเลือกเวลาเรียนได้เองตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งวิธีการดังกล่าวจะเป็นการพัฒนาทักษะด้านไอทีที่สำคัญให้กับผู้เข้าร่วมผ่าน “การทำงานจริงในโครงการจริง” นั่นเอง 

ทั้งหมดนี้ จึงทำให้ 42 Bangkok มีชื่อเสียงในระดับที่ว่าเป็นสถาบันปั้นโปรแกรมเมอร์แถวหน้าของภูมิภาคเอเชีย ที่สามารถการันตีทักษะของผู้เข้าร่วมโครงการว่าพร้อมทำงานได้จริงในสายงานดิจิทัลได้เลยเมื่อผ่านหลักสูตรออกมา และด้วยความร่วมมือกับทาง 42 Bangkok กับโครงการ Code Their Dreams ที่เกิดขึ้น จึงเป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้กับความฝันและความตั้งใจของ CDG Group อย่างมหาศาลทีเดียว

กิจกรรมสร้างสรรค์ แข่งขันภาษาคอมพิวเตอร์

จวบจนถึงวันนี้ โครงการ Code Their Dreams ได้มีกิจกรรมสร้างสรรค์ต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเวิร์กชอป “สร้างฝันเด็กไทยด้วย Coding” เพื่อถ่ายทอดความรู้การเขียนโค้ดภาษาคอมพิวเตอร์ให้กับโรงเรียนต่าง ๆ มาแล้วถึง 18 ครั้ง หรือการฝึกอบรมให้กับหน่วยงานต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งภายใต้ความร่วมมือระหว่าง Code Their Dreams กับ 42 Bangkok นั้นก็ได้มีกิจกรรมการแข่งขันเขียนภาษาคอมพิวเตอร์เพื่อประลองทักษะการเขียนโค้ดและไอเดียในการแก้ไขโจทย์ปัญหาอันท้าทายมาแล้วถึง 3 ครั้งก่อนหน้านี้ ซึ่งในแต่ละโจทย์การแข่งขันนั้นเรียกว่าน่าสนใจและท้าทายไม่น้อย

จากการแข่งขันที่ผ่านมาทั้ง 3 ครั้งนั้น ทาง CDG Group เผยว่ามีผู้ที่สนใจเข้าไปประลองฝีมือและไอเดียจำนวนมาก โดยมีผู้แข่งขันตั้งแต่ระดับชั้นมัธยมศึกษาไปจนถึงคนวัยทำงานในหลากหลายสาขาอาชีพ อีกทั้งผลงานที่ได้ยังแสดงให้เห็นถึงไอเดียที่สร้างสรรค์ล้ำสมัย ที่มีโอกาสนำไปต่อยอดให้กลายเป็นโซลูชันที่ใช้งานจริงได้เลย 

บทส่งท้าย

ทั้งหมดนี้คือ Code Their Dreams โดย CDG Group กับ 42 Bangkok โครงการพัฒนาทักษะการเขียนโปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์หรือ Coding ที่มีกิจกรรมและเวิร์กชอปเกิดขึ้นมาแล้วมากมาย และคาดว่าอนาคตเราน่าจะได้เห็นกิจกรรมดี ๆ แบบนี้จากทางโครงการอีกอย่างแน่นอน ซึ่งเชื่อว่าโครงการและความร่วมมือครั้งนี้น่าจะจุดประกายให้กับใครหลาย ๆ รู้สึกอยากจะเรียนรู้และพัฒนาตัวเองเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง และเมื่อใดที่รู้สึกอยากจะฝึกเขียนโค้ดให้เก่งขึ้นในรูปแบบการทำงานโครงการจริง คิดถึงโครงการ “Code Their Dreams” และกดเข้าร่วมได้เลย

“เพราะ CDG Group เชื่อว่า การส่งเสริมการศึกษาและสนับสนุนทักษะด้านดิจิทัลเทคโนโลยี คือ การพัฒนาคุณภาพประชากรสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน”

สำหรับผู้ที่สนใจอยากจะเข้าร่วมโครงการ Code Their Dreams กับ 42 Bangkok สามารถเข้าไปลงทะเบียนได้ที่ https://www.42bangkok.com/ หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.codetheirdreams.com/ หรือที่ Facebook https://www.facebook.com/codetheirdreams

from:https://www.techtalkthai.com/upskill-with-code-their-dreams-computer-language-teaching-program-by-cdg-x-42-bangkok-kmitl/

5 ข้อคิดจาก Workshop เส้นทางสู่นักเจาะระบบ โดย Mayaseven

จบไปเป็นที่เรียบร้อยกับ “Workshop เส้นทางสู่นักเจาะระบบ” งานอบรมฟรีจากทาง TechTalk Thai ร่วมกับ Mayaseven ผู้ให้บริการด้าน Offensive Security Services ชั้นนำระดับประเทศ เมื่อวันเสาร์อาทิตย์ที่ 23-24 กรกฎาคม 2022 ณ BITEC ห้อง Silk 1-2 ที่ผ่านมา สำหรับใครที่ได้เข้ามาร่วม Workshop กันทั้งสองวัน เชื่อว่าได้ประโยชน์จากเนื้อหา Cybersecurity และเส้นทางในการเป็นนักเจาะระบบที่อัดแน่นเต็ม ๆ ทั้ง 2 วันอย่างแน่นอน

หากใครพลาดโอกาสไปงานที่ผ่านมาก็ไม่ต้องเสียใจไป เพราะว่าบทความนี้ทีมงาน TechTalk Thai อยากจะบอกเล่าถึงบรรยากาศ Workshop ในงานนี้ว่าเป็นอย่างไร ทำอะไรกันบ้าง พร้อมข้อคิดที่ได้จาก Mayaseven ที่อยากจะให้ผู้อ่านทุกท่านนำไปพิจารณาเพื่อต่อยอดและเสริมสร้างเรื่อง Cybersecurity ให้แข็งแกร่งขึ้น ไม่ว่าเป็นการทำงานภายในองค์กรหรือว่าใช้งานส่วนตัว เพราะภัยอันตรายต่าง ๆ อาจจะใกล้ตัวกว่าที่คุณคิดก็เป็นได้

บรรยากาศสบาย ๆ เนื้อหา Cybersecurity อัดแน่น

ภายในงานทั้ง 2 วันนี้ ทางคุณนพ ภูมิไธสง ผู้ก่อตั้ง Mayaseven ได้นำทีมบรรยายในเรื่องราวต่าง ๆ ของการเป็นนักเจาะระบบ ตั้งแต่เรื่องตลาดแรงงาน สายอาชีพในด้าน Cybersecurity ไปจนถึงเรื่องกระบวนการทำงานในการเป็นนักเจาะระบบ หรือนักทดสอบระบบ พร้อมทั้งเหตุการณ์ใหญ่ ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้แล้ว เพื่อเป็นกรณีศึกษาว่าทำไมเรื่องของ Security และการทดสอบเจาะระบบก่อนนำใช้งานขึ้นจริงนั้นเป็นเรื่องที่ “สำคัญยิ่ง”

ทั้งสองวัน ทีมงาน Mayaseven ได้สาธิตการ “แฮก” บนสภาพแวดล้อมที่จำลองขึ้นมากันให้เห็นสด ๆ ผ่านเครื่อง VM ที่ติดตั้ง Kali Linux ไว้ ด้วยคำสั่ง Command Line บน Linux และ Power Shell มากมายพร้อมเครื่องมือยอดนิยมต่าง ๆ มากมาย เช่น Bloodhound, Metasploit หรือ Burp Suite ที่สามารถนำมาประยุกต์ผสมผสานกันจนสามารถยึดเครื่อง Server เครื่องหนึ่งแล้วสามารถทำการแฮกไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งยึดถึง Domain Server ได้เลย

อีกส่วนหนึ่งที่มีพูดถึงในงานนี้ด้วยเช่นกัน นั่นคือ OWASP Top 10 ปี 2021 ช่องโหว่บน Web Application และ API ที่แม้แต่ Firewall ก็อาจไม่สามารถป้องกันได้ ซึ่งทีม Mayaseven ได้อธิบายให้เห็นภาพของแต่ละกรณี พร้อมทั้งแนะนำคู่มือที่ควรจะไปศึกษาต่อยอดเพิ่มเติมได้ ทั้ง OWASP Application Security Verification Standard (ASVS) หรือว่า OWASP Web Security Testing Guide และได้โชว์การแฮกเว็บที่จำลองไว้กันให้ดูสด ๆ ซึ่งทำให้เห็นภาพได้ว่าถ้าหากพัฒนาเว็บไซต์ไม่ปลอดภัยดีพอ อาจนำมาซึ่งความเสียหายมากกว่าที่คาดคิดไว้ได้แน่นอน

Workshop เข้มข้น แข่ง CTF สุดเร้าใจ

หลังจากเรียนภาคทฤษฎีและดูสาธิตการแฮกแล้ว ภายในงานยังมี Workshop ทดลองใช้ Burp Suite ไปพร้อม ๆ กันเพื่อทดลองดักจับ Package ระหว่างทางแล้วปรับค่าข้อมูลจากที่ส่งผ่านหน้าเว็บบางอย่างเพื่อไปส่งต่อยังระบบหลังบ้าน (Backend) ซึ่งถ้าหากระบบ Backend ทำไว้ไม่ดี เช่น ไม่ได้ดักจับกรณีจำนวนสินค้าหรือเงินห้ามติดลบ ก็จะทำให้โดนเปลี่ยนค่าระหว่างส่งจากหน้าเว็บ ส่งผลให้ระบบทำงานผิดพลาดได้อย่างง่ายดาย

นอกจากนี้ Mayaseven ยังได้เตรียมการจำลอง CTF (Capture The Flag) แข่งขันแฮกชิงธงที่ให้ทุกคนได้มาสนุกร่วมกันบนทรัพยากรจำลองของทาง Mayaseven ที่เชื่อว่าทุกคนน่าจะสนุกและตื่นเต้น ที่ได้มาประลองฝีมือในการเจาะระบบกันจริง ๆ ภายในเวลาอันจำกัด ซึ่งจากตัวเลขการ Solved ปัญหาแต่ละข้อได้นั้น เชื่อว่าแต่ละท่านที่เข้าร่วมงานน่าจะมีฝีมืออยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว 

ทั้งนี้ คุณนพและทีมได้ชี้ให้เห็นชัดเจนว่าตลาดแรงงานในด้าน Cybersecurity นั้นยังคงขาดแคลนอยู่อย่างต่อเนื่อง เหตุผลที่สำคัญนั่นเป็นเพราะเรื่องของ Security นั้นจะอยู่ในทุกที่ทุกแห่ง ไม่ว่าเทคโนโลยีจะก้าวล้ำไปเพียงใด หรือว่าจะเกิดนวัตกรรมอะไรขึ้นมาใหม่ ยังไงก็ตามจะต้องมีเรื่องความมั่นคงปลอดภัยที่ต้องเดินไปด้วยกันเสมอ อย่างที่เห็นกันว่าแม้กระทั่ง Blockchain ที่เชื่อกันว่าจะเป็นเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก ก็ยังหนีไม่พ้นในเรื่อง Cybersecurity อยู่ดี ซึ่ง Mayaseven ได้เปิดรับสมัครงานอยู่ ณ ตอนนี้ สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่

5 ข้อคิดจาก Workshop โดย Mayaseven

หลังจากผ่าน Workshop โดย Mayaseven ครั้งนี้ไป บอกได้เลยว่ามีข้อคิดมากมายที่ได้มาจาก Workshop ที่จะปรับเปลี่ยนความคิดบางอย่างในการใช้ชีวิตในโลกดิจิทัลปัจจุบันอย่างแน่นอน ซึ่งทีมงาน TechTalk Thai ขอนำเสนอ 5 ข้อคิดที่ได้จาก Workshop โดย Mayaseven ครั้งนี้ให้กับผู้อ่านได้พิจารณากันอีกครั้งหนึ่ง ดังต่อไปนี้

“ห้าม”ทดลองเจาะระบบใครก็ตาม หากยังไม่มีสัญญาข้อตกลงที่เป็นลายลักษณ์อักษร

ข้อนี้คือสิ่งแรกที่คุณนพเน้นย้ำมาตั้งแต่วันแรกและเน้นอยู่ตลอดทั้งงาน Workshop เหตุผลนั้นง่าย ๆ เลยว่าเพราะแม้ท่านจะมีเจตนาประสงค์ดีอยากจะทดสอบระบบให้ แต่เมื่อเกิดเหตุความเสียหายขึ้นใด ๆ ก็ตาม ก็อาจจะทำให้เกิดเป็นคดีความหรือข้อพิพาททางกฎหมายได้เลย ดังนั้น หากใครต้องการอยากเป็นนักเจาะระบบ การมีสัญญาและขอบเขตการทดสอบที่เป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจนนั้นจะดีที่สุด “ห้ามกระทำการใด ๆ ด้วยการตกลงด้วยคำพูดแบบปากเปล่าเด็ดขาด”

ไม่มีทางที่ระบบที่พัฒนามาหลายเดือน จะค้นพบบั๊กทั้งหมดภายใน 3-5 วันที่จ้างมาทดสอบ Penetration Testing

ประเด็นนี้สำคัญมาก หลาย ๆ คนอาจจะเข้าใจอยู่แล้วว่ายังไงระบบที่พัฒนาขึ้นมาก็ย่อมมีบั๊ก ซึ่งบางคนอาจจะบอกว่าเป็นหน้าที่ของนักทดสอบระบบ (Tester) ที่จะค้นหาบั๊กออกมาให้ได้มากที่สุดหรือทั้งหมดให้ได้อยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ดี เรื่อง Security นั้นจะเหนือกว่าที่คิดไว้ เพราะว่าถ้าหากว่าไม่ได้มีการออกแบบวางโครง Security เข้าไปตั้งแต่แรกแล้วปล่อยให้นักพัฒนาระบบดำเนินการเรื่อยมาจนกระทั้งระบบเสร็จสิ้นแล้วพบเจอความเสี่ยงหรือช่องโหว่ในเรื่อง Security ในภายหลัง มีโอกาสที่จะทำให้ระบบนั้นอาจจะต้องรื้อทำใหม่เลยก็เป็นได้ 

ดังนั้น เรื่องของ Security ไม่ใช่เรื่องเฉพาะแค่นักทดสอบระบบเท่านั้น หากแต่นักพัฒนาระบบหรือว่าผู้ดูแลระบบเองก็จำเป็นจะต้องพิจารณาและจัดการไว้ตั้งแต่เริ่มพัฒนาระบบใด ๆ ขึ้นมา ซึ่งวิธีการนี้นอกจากจะช่วยทั้งเรื่องลดค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปิดช่องโหว่ในภายหลังได้แล้ว ยังช่วยให้การพัฒนาระบบมีความเสี่ยงน้อยลงไปอีกด้วย

เครื่องและระบบในองค์กรควรต้องทนทานต่อการสแกนได้ทั้งหมดเป็นขั้นต่ำ

แน่นอนว่าภายในองค์กรย่อมมีเครื่องและระบบที่หลากหลายมากมาย ซึ่งช่องโหว่ก็ย่อมจะมากตามกันไปเช่นกัน ดังที่เห็นในเว็บไซต์ https://www.exploit-db.com/ ที่มีลิสต์ช่องโหว่ไว้มากมายเต็มไปหมด ดังนั้น วิธีการขั้นต่ำที่ง่ายที่สุดที่จะทำให้สบายใจได้ไปเปราะหนึ่งก่อนนั่นคือการเลือกใช้งานระบบสแกนช่องโหว่ความปลอดภัยที่สามารถทำการตรวจสอบระบบและเครื่องได้อย่างรวดเร็วและง่ายที่จะดำเนินการได้ทันที ซึ่งทั้งระบบและเครื่องต่าง ๆ ภายในองค์กรควรจะต้องผ่านมาตรฐานการตรวจสอบด้วยเครื่องมือเป็นขั้นต่ำ เพราะหากเครื่องมือตรวจสอบพบเจอช่องโหว่ได้ ก็แสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่ามีความเสี่ยงอยู่จริง ๆ

มี Firewall แล้ว ไม่ใช่ว่าจะปลอดภัยแล้วทั้งหมด

Firewall ไม่ใช่พระเจ้า ขนาด Firewall เองยังมีหลายแบบหลายระดับ และที่สำคัญคือหากช่องโหว่ที่มีดันสามารถทำงานได้ข้าม Firewall เช่น ช่องโหว่ที่มีอยู่ใน Web Application ที่วางไว้อยู่ภายในเครื่อง Web Server ที่อยู่หลัง Firewall ซึ่งหากถูกเจาะผ่าน Web App แล้วโดนยึดเครื่อง Web Server ไป ก็มีโอกาสโดนใช้เครื่อง Web Server ไปดึงข้อมูลจาก Database แล้วส่งออกไปในอินเทอร์เน็ต ข้าม Firewall ไปได้อย่างง่ายดาย เป็นต้น สิ่งนี้จึงชี้ให้เห็นว่าต่อให้มี Firewall แล้ว ระบบต่าง ๆ ที่ใช้ภายในองค์กรก็ต้องทำให้ปลอดภัยด้วยเช่นกัน

อัปเดต Patch ให้ไว ใช้ซอฟต์แวร์ที่น่าเชื่อถือเสมอ

หลัง ๆ มานี้จะเห็นข่าวสารด้าน Cybersecurity มากมาย ว่าคนโดนเจาะด้วยบั๊ก Zero-Day ต่าง ๆ นานา ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นผลพวงมาจากบั๊กนั้นยังไม่ได้รับการแก้ไขจึงทำให้เกิดเป็นช่องโหว่ที่ผู้ไม่ประสงค์ดีสามารถกระทำการได้ทันที แต่อย่างไรก็ดี เมื่อทางผู้ผลิตซอฟต์แวร์ได้ออก Patch ใหม่ที่ปิดช่องโหว่ต่าง ๆ ออกมาแล้ว “ให้ดำเนินการอัปเดต Patch ให้เร็วที่สุดไว้เสมอ” เพื่อปิดช่องโหว่ความเสี่ยงที่อาจเกิดเหตุขึ้นได้ให้มากที่สุด รวมทั้งซอฟต์แวร์ที่เลือกใช้มา ให้พิจารณาถึงความน่าเชื่อถือด้วยว่าใครเป็นผู้พัฒนา มีคนใช้งานมากน้อยเพียงใด และผลการ Review หรือคะแนนที่ได้นั้นมากน้อยแค่ไหน 

ส่งท้าย แต่ไม่ท้ายสุด

แม้ว่าจะมีข้อคิดอีกมากมายที่ไม่ได้พูดถึงในบทความนี้ แต่ก็เชื่อว่า 5 แนวคิดดังกล่าวคือพื้นฐานของนักเจาะระบบและชาวไอทีทั่วไปควรจะต้องเข้าใจ เพราะว่า Cybersecurity นั้นเป็นเรื่องของทุกคน และมันใกล้ตัวผู้อ่านมากกว่าที่คิด

สุดท้ายนี้ ทาง TechTalk Thai และ Mayaseven ต้องขอขอบพระคุณผู้เข้าร่วมงาน Workshop ที่ผ่านมาทุกท่านที่เสียสละเวลามา ณ ที่นี้ ซึ่งทีมงานหวังว่าทุกท่านจะได้รับประโยชน์และความรู้ในเรื่อง Cybersecurity ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน รวมทั้งสร้างแรงบันดาลใจให้กับทุกท่านสนใจในเรื่องความมั่นคงปลอดภัยมากยิ่งขึ้นได้ไม่มากก็น้อย นอกจากนี้ ต้องขอขอบคุณทาง Palo Alto Networks ที่ได้สนับสนุนการจัดงานสัมมนาครั้งนี้มา ณ ที่นี้ด้วย และหากมีงานดี ๆ เช่นนี้อีกในอนาคต ทางทีม TechTalk Thai จะมาประชาสัมพันธ์เชิญชวนทุกท่านในโอกาสหน้าต่อไป

ถ้าหากใครรู้สึก “อิน” สนุกไปกับสายงาน Cybersecurity แบบนี้ อยากจะต่อยอดไปเป็นผู้เชี่ยวชาญในการเจาะระบบต่อไป ทาง Mayaseven มีช่องทางให้ติดตามทั้งบน Facebook และ YouTube ซึ่งในนั้นยังมีเรื่องราวด้าน Cybersecurity อีกมามายให้ติดตามและอัปเดตกันตลอด และถ้าใครสนใจอยากร่วมงานกับทาง Mayaseven สามารถไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของ Mayaseven และติดต่อเข้าไปพูดคุยกับทีมงานได้เลย

from:https://www.techtalkthai.com/5-thoughts-from-ethical-hacking-and-security-workshop-by-mayaseven/

Tech Refresh & Data Migration ลดต้นทุน Tech Operation ผลักดันสู่ความท้าทายใหม่ในอนาคต | Tangerine x SVI

บริษัท แทนเจอรีน จำกัด เป็นผู้เชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาและบริการด้านไอทีครอบคลุมทั้งระบบธุรกิจ ตั้งแต่ Infrastructure, Data Center, Network, Security และ ERP ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อีกทั้งได้รับความไว้วางใจจากบริษัท เอสวีไอ จำกัด (มหาชน) บริษัทระดับโลกด้านการผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

บริษัท แทนเจอรีน จำกัด ผู้ให้คำปรึกษา ออกแบบ จัดหาโซลูชัน ติดตั้ง และทดสอบ เพื่อให้แน่ใจว่าระบบทั้งหมดจะสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ปราศจากข้อผิดพลาดที่อาจส่งผลกระทบต่อกระบวนการทางธุรกิจ ช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน เสริมศักยภาพการแข่งขัน และทำให้องค์กรพร้อมรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ ในอนาคตได้เป็นอย่างดี

คุณต่อพงษ์ สุขุมสวัสดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายไอที บริษัท เอสวีไอ จำกัด (มหาชน)

“SVI เรามุ่งสู่การเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้ประกอบการชั้นแนวหน้า ส่งมอบบริการเป็นเลิศแก่ลูกค้า หัวใจสำคัญ คือการมีโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที และระบบเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงสุด เช่นเดียวกับการมีผู้ให้บริการที่วางใจได้ นั่นคือสิ่งที่ทำให้เราเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ประสิทธิภาพสูงจากซิสโก้ และการสนับสนุนจากมืออาชีพอย่างแทนเจอรีน ด้วยโซลูชันเหล่านี้ ช่วยเราลดต้นทุนการดำเนินงาน เสริมศักยภาพการแข่งขัน และทำให้เราพร้อมรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ ในอนาคตได้เป็นอย่างดี“

การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีในครั้งสำคัญนี้ ครอบคลุมทั้งการปรับปรุงระบบใน ดาต้าเซ็นเตอร์ เซิร์ฟเวอร์ ระบบเครือข่าย โดยมีโซลูชันดาต้าเซ็นเตอร์และระบบเครือข่ายความเร็วสูงจากซิสโก้เป็นหัวใจในการทำงาน นอกจากนี้แทนเจอรีนยังให้บริการครอบคลุมถึงการพัฒนาระบบ ERP ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจให้ทำงานบนเทคโนโลยีเวอร์ชวลไลเซชันได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ความท้าท้าย คือ ระบบใหม่ต้องมีเสถียรภาพ และประสิทธิภาพไม่ด้อยไปกว่าเดิม บนต้นทุนที่ประหยัดขึ้น ทำงานได้แบบอัตโนมัติเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความถูกต้อง ตอบสนองความต้องการของธุรกิจ และเสริมประสิทธิภาพการดำเนินงานให้ก้าวไปข้างหน้าได้อีก

และอีกหนึ่งประโยชน์ที่ SVI ได้รับ คือการสร้างแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Plan: BCP) โดยแทนเจอรีนมีการปรับปรุงระบบที่ติดตั้งอยู่ในด้าต้าเซ็นเตอร์สำรอง (DR Site) ให้สามารถทำงานทดแทนได้ทันทีโดยอัตโนมัติ หากระบบหลักเกิดปัญหา ในขณะเดียวกันระบบสำรองยังทำงานเป็นระบบเสริมประสิทธิภาพได้พร้อมกัน เพราะ SVI สามารถใช้ระบบที่ไซต์สำรอง ทำงานคู่ขนานกับระบบหลัก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้การดำเนินงานในภวะปรกติได้ด้วย

การที่ SVI สามารถบริการจัดการโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ได้รวดเร็ว ทำให้มีความคล่องตัวมากขึ้น ช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของ SVI และตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี ท่ามกลางสภาวะที่เต็มไปด้วยความท้าทายและแรงกดดันจากรอบด้าน SVI ตัดสินใจพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ด้วยความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงแม้ในภาวะที่ยากลำบาก เพื่อสร้างการเติบโตและประสบความสำเร็จในอนาคต ด้วยความไว้ใจของ SVI ที่ให้โอกาสแทนเจอรีนในการให้คำปรึกษาและดูแล บริการติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้บรรลุเป้าหมายสำเร็จตามกลยุทธ์ที่ได้วางไว้

คุณนิรุตติ เลิศสมบุญ ผู้จัดการฝ่ายขาย บริษัท แทนเจอรีน จำกัด

“แทนเจอรีนมีความภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที ซึ่งเราได้นำเสนอศักยภาพในการให้คำปรึกษา ออกแบบ และติดตั้งระบบไอที รวมถึงการบริการตลอดโครงการแก่ SVI“

หากสนใจบริการต่าง ๆ หรือต้องการคำปรึกษาเพิ่มเติมติดต่อได้ที่
marketing@tangerine.co.th หรือ โทร 02 285 5511
ท่านจะได้รับคำตอบจากผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน

from:https://www.techtalkthai.com/svi-tech-refresh-and-data-migration-by-tangerine/

กลุ่มเซ็นทรัลจับมือ Workato ยกระดับประสบการณ์การทำงาน

พัฒนาแชทบอตอัจฉริยะ เชื่อมต่อองค์กร-พนักงานแบบเรียลไทม์ ตอบรับยุคดิจิทัล เวิร์คเพลส ทรานฟอร์เมชัน

Workato แพลตฟอร์ม Enterprise Automation ชั้นนำ กล่าวว่า กลุ่มเซ็นทรัล ผู้นำด้านธุรกิจค้าปลีกและบริการทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ได้นำแพลตฟอร์ม Workato มาใช้งานเพื่อทรานฟอร์มและยกระดับประสบการณ์การทำงานที่ดีขึ้นให้แก่พนักงาน โดยกลุ่มเซ็นทรัล ได้ริเริ่มโครงการด้วยการปรับปรุงกระบวนการทำงานและใช้โซลูชันที่รองรับการใช้งานผ่านโทรศัพท์มือถือให้สะดวกรวดเร็วมากขึ้น เพื่อเชื่อมต่อกับพนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเตรียมพร้อมที่จะนำโซลูชันและเทคโนโลยีล่าสุดมาใช้ต่อยอด รวมทั้งยกเลิกการทำงานแบบแมนนวล (Manual) และขั้นตอนที่ต้องทำซ้ำๆ ด้วยการใช้งานระบบอัตโนมัติ ทั้งนี้ การนำแพลตฟอร์มของ Workato มาใช้งานกับกลุ่มเซ็นทรัล นับเป็นการย้ำภาพของการเป็นผู้นำด้าน Digi-Lifestyle Platform ที่สมบูรณ์แบบของกลุ่มเซ็นทรัล

การนำแพลตฟอร์ม Workato มาใช้ในกลุ่มเซ็นทรัลจะช่วยลดความซับซ้อนในการทำงาน และช่วยให้กระบวนการทำงานที่มี “พนักงานเป็นศูนย์กลางสำคัญ” มีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น  กระบวนการทำงาน อาทิ การขอลาหยุด และการอนุมัติทำได้อย่างง่ายดายผ่าน “บอตลาหยุด” (Leave Bot) ซึ่งเชื่อมต่อเข้ากับโปรแกรมแชทของบริษัทฯ นอกจากนี้ โซลูชันที่ใช้งานได้ง่ายผ่านโทรศัพท์มือถือนี้ยังรวมไปถึง “บอตสุขภาพ” (Health Bot) เพื่อแสดงข้อมูลการคัดกรองโรค และอัปเดตข่าวสารที่เกี่ยวข้องในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 และ “บอตชม” (Chom Bot) เพื่อส่งเสริมการชื่นชมพนักงานทุกระดับทั่วทั้งองค์กร ขณะนี้พนักงานสามารถใช้งานระบบต่างๆ เหล่านี้ได้อย่างรวดเร็วผ่านโทรศัพท์มือถือด้วยการคลิกปุ่มเพียงปุ่มเดียว ทั้งนี้ ทีมงานสามารถพัฒนา และเชื่อมต่อบอตลาหยุดให้ใช้งานได้ภายใน 1 สัปดาห์ โดยภายหลังการนำระบบมาใช้ สามารถลดระยะเวลาในการรอผลอนุมัติการลาหยุดไปได้มากถึง 94% 

ปาริฉัตรหาญญานันท์ Head of Digital HR กลุ่มเซ็นทรัล กล่าวว่า “การใช้ระบบอัตโนมัติมาช่วยในกระบวนการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลนั้น ได้ทรานฟอร์มประสบการณ์การทำงานที่ดีขึ้นให้แก่พนักงานของเราอย่างมาก เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ยกระดับประสบการณ์ของพนักงานของเราในรูปแบบดิจิทัล และพร้อมที่จะขยายการดำเนินงานผ่านแพลตฟอร์ม Workato ต่อไป โดยมุ่งมั่นในการเสริมแกร่งการเป็นองค์กรชั้นนำในยุคดิจิทัล”

อัลลันเต็งผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ Workato เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่นกล่าวว่า “ในฐานะผู้นำด้านธุรกิจค้าปลีกและการบริการชั้นนำในเอเชีย แบรนด์ของ “กลุ่มเซ็นทรัล” มีการดำเนินธุรกิจมาอย่างยาวนาน สื่อถึงความเชื่อมั่นในใจผู้บริโภค และสะท้อนถึงประสิทธิภาพของพนักงานทุกระดับที่มีส่วนขับเคลื่อนธุรกิจขององค์กร เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ร่วมงานกับกลุ่มเซ็นทรัลเพื่อร่วมกันสร้างสรรค์การทำงานให้สะดวก รวดเร็ว ทุกที่ ทุกเวลา เพื่อก้าวต่อไปขององค์กรกับโลกดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดนิ่ง” 

เกี่ยวกับกลุ่มเซ็นทรัล

กลุ่มเซ็นทรัลเป็นผู้นำด้านธุรกิจค้าปลีกและบริการทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ดำเนินธุรกิจหลากหลายแขนง อาทิ ธุรกิจห้างสรรพสินค้า ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจบริหารและการตลาดสินค้าแฟชั่น ธุรกิจโรงแรมและ รีสอร์ท ธุรกิจร้านอาหาร รวมไปถึงธุรกิจดิจิทัลไลฟ์สไตล์ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม http://www.centralgroup.com

เกี่ยวกับ Workato

ผู้นำด้านระบบอัตโนมัติสำหรับองค์กร ช่วยให้องค์กรทำงานได้เร็วขึ้นและอัจฉริยะขึ้นโดยไม่กระทบต่อความปลอดภัยและการกำกับดูแล Workato ออกแบบมาเพื่อผู้ใช้งานด้านธุรกิจและไอที โดยได้รับความไว้วางใจจากแบรนด์ชั้นนำของโลกกว่า 11,000 แบรนด์ ได้แก่ Broadcom, Intuit และ Box, Workato มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ เมาน์เทนวิว รัฐแคลิฟอร์เนีย บริษัทได้รับการสนับสนุนจาก Altimeter Capital, Battery Ventures, Insight Venture Partners, Tiger Global และ Redpoint Ventures สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูที่ workato.com หรือเชื่อมต่อกับเราผ่านทางโซเชียลมีเดีย:

from:https://www.techtalkthai.com/workato-centrol-group-workplace-transformation/

[Case Study] ม. แม่ฟ้าหลวง จับมือ CSL อัปเกรดระบบ Wi-Fi 6 วางรากฐานสู่ Digital University

ภายใต้สถานการณ์แพร่ระบาดของ COVID-19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานี้ หลายอุตสาหกรรมต่างเร่งทำ Digital Transformation เพื่อให้ธุรกิจยังคงดำเนินต่อไปได้ ไม่เว้นแม้แต่สถาบันการศึกษา บทความนี้เป็นกรณีศึกษาของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงที่จับมือกับ CSL ผู้ให้บริการระบบ Cloud, IT Solutions และ Data Center ชั้นนำของไทย ในการอัปเกรดและขยายระบบเครือข่ายสู่มาตรฐาน Wi-Fi 6 กว่า 2,000 จุด เพื่อรองรับการเรียนการสอนแบบ Blended Learning ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการเป็น Digital University

ผู้ให้สัมภาษณ์: อ. วิทยาศักดิ์ รุจิวรกุล ผู้อำนวยการศูนย์บริการเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

ศูนย์บริการเทคโนโลยีสารสนเทศ เบื้องหลังความก้าวหน้าสู่ Digital University

ศูนย์บริการเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นหน่วยงานกลางของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มีหน้าที่ดูแลและขับเคลื่อนเทคโนโลยีสารสนเทศของมหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเป็นวางโครงสร้างพื้นฐาน ระบบเครือข่าย การเชื่อมต่อระหว่างหน่วยงาน อินเทอร์เน็ต ศูนย์ข้อมูล ระบบบริหารจัดการด้านต่างๆ เช่น LMS และ ERP ไปจนถึงระบบการเรียนการสอนอิเล็กทรอนิกส์ (e-Learning) และซอฟต์แวร์ต่างๆ ที่มหาวิทยาลัยนำเข้ามาใช้ เพื่อให้หน่วยงานทั่วมหาวิทยาลัยและ 16 สำนักวิชา รวมถึงบุคลากรและเหล่าคณาจารย์กว่า 2,000 คนและนักศึกษาอีก 15,000 คน สามารถใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกลางได้อย่างราบรื่น

“ภายใต้สถานการณ์ COVID-19 มหาวิทยาลัยต้องเปลี่ยนรูปแบบไปสู่ Blended Learning ที่รองรับทั้งการเรียนการสอนแบบออนไลน์และออนไซต์ นนวัตกรรมด้านการเรียนการสอนที่หลากหลายได้ถูกนำมาใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นระบบ Learning Management System (LMS) ระบบ Video Conference หรือระบบ e-Learning ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้จำเป็นต้องมีโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง เพื่อให้ดำเนินการเรียนการสอนได้อย่างราบรื่น ไม่มีสะดุด” — อ. วิทยาศักดิ์กล่าว

ปรับปรุงระบบ Wi-Fi พร้อมรับ Blended Learning ช่วง COVID-19

ก่อนหน้านี้ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงให้บริการเครือข่าย Wi-Fi แก่บุคลากรและนักศึกษาด้วยเทคโนโลยีระดับโลกจาก Cisco มากถึง 1,200 จุด แต่ด้วยพื้นที่ที่กว้างขวางของมหาวิทยาลัย ทำให้การให้บริการยังไม่ครอบคลุมพื้นที่บางส่วน ประกอบกับจำนวนอุปกรณ์เคลื่อนที่ที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งโน๊ตบุ๊ก สมาร์ตโฟน แท็ปเล็ต และการเรียนการสอนแบบออนไลน์ที่ต้องพึ่งพาการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายและอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะอย่างยิ่งโซนหอพักนักศึกษาที่มีนักศึกษาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้มหาวิทยาลัยภายใต้คณะทำงานมหาวิทยาลัยดิจิทัลตัดสินใจอนุมุติให้ศูนย์บริการเทคโนโลยีสารสนเทศอัปเกรดระบบเครือข่ายและขยายการเชื่อมต่อ Wi-Fi ให้ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด พร้อมเพิ่มแบนด์วิดท์ให้มากขึ้น เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่มีทั้งความเร็วและความเสถียร รองรับการเรียนแบบ Blended Learning ที่กำลังดำเนินการในขณะนั้น

“เราต้องการระบบเครือข่ายและ Wi-Fi ที่แรง เร็ว และเสถียร สำหรับการเรียนการสอนแบบ Blended Learning อาจารย์และนักศึกษาต้องสามารถเชื่อมต่อเครือข่ายของมหาวิทยาลัยและเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้จากทุกที่ โดยเฉพาะในหอพักนักศึกษาที่มีนักศึกษาเรียนออนไลน์เป็นจำนวนมาก การมีโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งจะเป็นรากฐานสำคัญของการเป็น Digital University และ Blended Learning ที่มีประสิทธิภาพก็คือก้าวแรกที่สำคัญ” — อ. วิทยาศักดิ์ระบุถึงความต้องการของมหาวิทยาลัย

จับมือ CSL อัปเกรดระบบเครือข่ายสู่สู่ระดับ 10G พร้อมมาตรฐาน Wi-Fi 6

ศูนย์บริการเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เลือกใช้บริการจาก CSL ในการอัปเกรดโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งการเชื่อมต่อระหว่างหน่วยงานและสำนักวิชา รวมไปถึงเครือข่าย Wi-Fi ทั่วมหาวิทยาลัย โดย CSL ได้เลือกใช้โซลูชัน Cisco Wi-Fi 6 ได้แก่ Catalyst 9800 Wireless Controller และ Catalyst 9120AX Access Point มาตรฐาน Wi-Fi 6 เพื่อติดตั้งจุดกระจายสัญญาณ Wi-Fi เพิ่มเติมจากเดิมอีก 2,000 จุด ซึ่งเน้นพื้นที่บริเวณหอพักนักศึกษาเป็นหลัก เนื่องจากมีนักศึกษาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากและรองรับการเรียนแบบ Blended Learning ในช่วงสถานการณ์ COVID-19 ส่วนที่เหลือถูกติดตั้งเพิ่มเติมในห้องเรียน ห้องประชุม และพื้นที่อื่นๆ จนครอบคลุมพื้นที่ทั้งมหาวิทยาลัย CSL ยังได้เชื่อมต่อระบบ Wi-Fi ใหม่เข้ากับระบบ Wi-Fi เดิมที่เป็น Cisco เหมือนกันเพื่อเปิดใช้คุณสมบัติ Roaming ช่วยให้การใช้ Wi-Fi ลื่นไหลและต่อเนื่องยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ CSLยังได้อัปเกรด Switch ทั้งในส่วน Core, Distributed และ Access ให้สามารถรองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 6 ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ รวมไปถึงปรับปรุงการเชื่อมต่อเครือข่าย Fiber ทั่วมหาวิทยาลัยจากระดับ 1G ไปสู่ 10G เพื่อรองรับนวัตกรรมด้านการเรียนการสอนที่จะนำมาใช้เพื่อให้เป็น Smart Campus & Classroom อีกด้วย

“เราได้รับคำแนะนำให้ใช้บริการจาก CSL ซึ่งเป็นบริษัทขนาดใหญ่ มีความน่าเชื่อถือ และมีสถาบันการศึกษาเลือกใช้บริการเป็นจำนวนมาก CSL มีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ ช่วยสนับสนุนเราในการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานในทุกขั้นตอน ที่สำคัญคือตอบสนองเร็ว แม้จะมีเหตุ COVID-19 ที่ทำให้แผนเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยครั้ง บางจุดที่ต้องเร่งขึ้นระบบก่อนก็ดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว รายงานผลอย่างเป็นรูปแบบ ติดตามได้ง่าย มีความเป็นมืออาชีพ ทั้งยังสามารถประสานการทำงานร่วมกับทีมงานของศูนย์บริการเทคโนโลยีสารสนเทศได้เป็นอย่างดี” — อ. วิทยาศักดิ์กล่าวชมเชย CSL

มั่นใจความพร้อมใช้งาน ด้วยบริการ Managed Services จาก CSL

เพื่อให้โครงสร้างพื้นฐานของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงทำงานได้อย่างราบรื่น CSL ได้ให้บริการ Managed Services สำหรับดูแลระบบเครือข่ายและ Wi-Fi ของมหาวิทยาลัยแบบครบวงจร ทั้งการเฝ้าระวัง ตรวจสอบและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น รวมถึงการจัดทำรายงานสรุป โดยมีทีมผู้เชี่ยวชาญจาก CSL 1 ท่านรับหน้าที่ Service Desk ประจำอยู่ที่มหาวิทยาลัย พร้อมอุปกรณ์สำรองทั้ง Wireless Controller, Access Point และ Switch รุ่นต่างๆ พร้อมเปลี่ยนทันทีเมื่อมีอุปกรณ์ใดทำงานขัดข้อง นอกจากนี้ CSL ยังให้บริการ Web Managed Service สำหรับให้ทีมงานของศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศของมหาวิทยาลัยเปิดเคสซัพพอร์ต ติดตามสถานะการแก้ไขปัญหา และจัดทำรายงานด้วยตนเองได้อีกด้วย

“หลังการอัปเกรดระบบเครือข่ายและ Wi-Fi พบว่าการเชื่อมต่อเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด กระแสตอบรับจากเหล่าคณาจารย์และนักศึกษาก็ดีมาก การมีโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งช่วยให้เรากล้าต่อยอดเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น LMS และนวัตกรรมด้านการเรียนการสอนต่างๆ เพื่อก้าวสู่การเป็น Digital University ได้อย่างแท้จริง” — อ. วิทยาศักดิ์กล่าวปิดท้าย

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Wi-Fi Solution และบริการ Managed Services สามารถติดต่อทีมงาน AIS Business และ CSL เพื่อขอรับคำแนะนำได้ทันที

AIS Business และ CSL พาร์ทเนอร์ที่ช่วยตอบโจทย์ทุกเรื่อง ICT & Digital ที่คุณมั่นใจ

“Your Trusted Smart Digital Partner”

ปรึกษาและวางแผนพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อรองรับการทำงานและต่อยอดธุรกิจได้ที่

Email: business@ais.co.th
Web: https://www.csl.co.th
Web: https://business.ais.co.th/

from:https://www.techtalkthai.com/case-study-mfu-w-fi-6-implementation-by-csl/

สรุปแนวโน้มการทำงานแห่งอนาคต ที่ New Normal ในอดีตไม่ตอบโจทย์อีกต่อไปกับ Salesforce

เมื่อการทำงานต้องเปลี่ยนไปสู่ Work from Anywhere และมีเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่กำลังเข้ามาพลิกโฉมการทำงานมากมาย ธุรกิจองค์กรก็ต้องเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงาน การจ้างงาน ทักษะที่ต้องการ และการดูแลพนักงานให้สอดคล้องต่อการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้

ดร. ฤทัยรัตน์ พรตปกรณ์ Regional Sales Director, Service Cloud, Salesforce ได้มาถ่ายทอดในเรื่อง “พลิกโฉมธุรกิจสู่การเชื่อมต่อลูกค้าแบบ 360 องศา โดย Salesforce” ในงานสัมมนา TTT Virtual Summit: Enterprise Tech & Innovation 2022 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งก็มีประเด็นที่น่าสนใจ ดังนี้

เตรียมตัวสู่โลกแห่งอนาคต New Normal ในสองปีที่ผ่านมาจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ถึงแม้ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ผู้คนและธุรกิจทั่วโลกจะต้องเปลี่ยนแปลงทั้งวิธีการใช้ชีวิตและวิธีการทำงานกันไปโดยสิ้นเชิงจนเกิดเป็นคำที่เราเรียกกันว่า New Normal แล้ว แต่หลังจากนี้ที่หลายประเทศทั่วโลกเริ่มรับมือกับวิกฤตการแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้ดีขึ้นจนเริ่มกลับมาเปิดธุรกิจหรือเปิดประเทศกันอีกครั้งแล้ว วิธีการใช้ชีวิตและวิธีการทำงานของผู้คนก็จะต้องเปลี่ยนไปอีกครั้ง

ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่นี้ โดยหลักแล้วเกิดจากการที่ผู้คนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและมุมมองที่มีต่อการใช้ชีวิตและการทำงานไป ทั้งจากความคุ้นชินในการใช้เทคโนโลยีเพื่อทำงานจากที่บ้าน, ความสะดวกสบายในการใช้บริการต่างๆ เพื่อให้สามารถซื้อสินค้าหรือรับบริการต่างๆ ได้จากที่บ้าน, การติดต่อสื่อสารทำงานที่ไว้ใจช่องทางออนไลน์มากยิ่งขึ้นกว่าในอดีต ไปจนถึงประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ได้รับจากโลกดิจิทัลซึ่งมีทั้งความชาญฉลาดและการนำเสนอสิ่งต่างๆ ในแบบรายเฉพาะบุคคล ซึ่งก็มีความท้าทายหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการที่บางคนยังไม่ไว้วางใจในการรับวัคซีน, ความเท่าเทียมกันในสังคม, การสื่อสารที่ยังขาดประสิทธิภาพ, การทำงานที่ต้องอาศัยความเชื่อใจมากขึ้น, การตอบรับต่อข้อกฎหมายและข้อบังคับต่างๆ ที่มีมากขึ้น, ความต้องการความปลอดภัยในการทำงาน, การบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลที่เปลี่ยนไป และการฝึกอบรมทักษะใหม่ๆ ที่จำเป็นต่อการทำงานแห่งอนาคต

ทั้งนี้ดร. ฤทัยรัตน์ ก็ได้ระบุถึง 3 เทรนด์หลักๆ ที่จะเกิดขึ้นในการทำงานดังต่อไปนี้

  1. ความคาดหวังของพนักงานในการทำงานนั้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ตั้งแต่เป้าหมายในการทำงานของผู้คนในแต่ละช่วงวัยที่เริ่มมองโลกเปลี่ยนไป, การทำงานโดยไม่มีวันเกษียณในอนาคต, ประสบการณ์ในการทำงานรูปแบบใหม่ที่ผสานทั้งการทำงานและการใช้ชีวิตเข้าด้วยกัน ไปจนถึงการพิจารณาความปลอดภัยในการทำงานเป็นส่วนสำคัญ
  2. การทำงานบนโลกดิจิทัลจะต้องยังคงเกิดขึ้นต่อไป ซึ่งผู้คนต่างคุ้นชินกับการทำงานได้อย่างยืดหยุ่นยิ่งขึ้น และการทำงานจากที่บ้านกันแล้ว ในขณะที่ภาคธุรกิจเองก็ต้องให้ความสำคัญด้านการสื่อสารกับพนักงานให้มากยิ่งขึ้น เพื่อให้ธุรกิจยังคงสามารถขับเคลื่อนและสร้างวัฒนธรรมองค์กรได้ท่ามกลางการทำงานได้จากทุกที่ทุกเวลาที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้
  3. การค้นหาและรับสมัครพนักงานใหม่จะเป็นความท้าทายสำคัญ จากความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาท ทำให้งานนั้นเปลี่ยนแปลงไป และทักษะที่จำเป็นต่อการทำงานก็เปลี่ยนไปด้วย ดังนั้นองค์กรจึงต้องให้ความสำคัญกับการเปิดให้สามารถจ้างพนักงานได้โดยไม่ต้องขึ้นกับที่อยู่อาศัย ให้การทำงานได้จากทุกที่ทุกเวลา ในขณะที่การปรับปรุงส่งเสริมทักษะใหม่ๆ ให้กับพนักงานเพื่อให้สอดคล้องกับงานใหม่ๆ ก็จำเป็น รวมถึงต้องอัปเดตเงื่อนไขของการจ้างและทักษะที่ต้องการใหม่ด้วย

นอกจากเทรนด์ข้างต้นแล้ว อีกประเด็นหนึ่งที่ถือว่าสำคัญไม่แพ้กันสำหรับในมุมของบริษัทก็คือการปรับประสบการณ์ในการทำงานของพนักงานให้สอดคล้องกับความคาดหวังของพนักงาน ที่เดิมทีได้อิทธิพลมาจากทั้ง Social Network และ Mobile Application ที่หลากหลายในการทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างสะดวก ทำให้ในองค์กรเองก็ต้องปรับนำ Business Application สำหรับแผนกต่างๆ ที่ใช้งานได้ง่ายและสร้างประสบการณ์ที่ดีมาใช้งานให้บริการพนักงาน

ถ่ายทอดแนวทางจาก Salesforce รักษาพนักงานเอาไว้ได้ด้วยเทคโนโลยีและประสบการณ์ที่ดี

ดร. ฤทัยรัตน์ได้เล่าถึงกรณีศึกษาจาก Salesforce เองในฐานะของบริษัทที่มีการดูแลพนักงานเป็นอย่างดี และมีแนวทางที่ดีในการสร้างแรงบันดาลใจให้พนักงานสัมผัสได้ถึงคุณค่าในการทำงาน ว่าภายในบริษัทมีหลักการที่ Salesforce ได้ยึดถือและใช้เป็น Core Values นั้นมีด้วยกัน 5 ประการ ได้แก่ Trust, Customer Success, Innovation, Equality และ Sustainability

โดยหนึ่งในสิ่งที่ Salesforce ให้ความสำคัญเพิ่มขึ้นก็คือเรื่องของ Sustainability ที่ได้คืนกำไรให้สู่สังคมในหลากหลายแง่มุม ไม่วาจะเป็นการให้ทุนแก่ NGO เป็นมูลค่าสูงกว่า 532 ล้านเหรียญ, มีการเปิดโอกาสให้พนักงานไปทำงานอาสาสมัครมากกว่า 6.7 ล้านชั่วโมง, มีการสนับสนุนองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไรหรือการสนับสนุนการศึกษามากกว่า 54,600 แห่ง และมีการตั้ง Salesforce Foundation บริจาคเงินไปแล้วมากกว่า 400 ล้านเหรียญ ซึ่งในส่วนนี้ก็เป็นอีกส่วนสำคัญที่ช่วยสร้างคุณค่าในการทำงานให้กับพนักงานทุกคน นอกจากนี้ ความมุ่งมั่นในการนำเสนอสิ่งที่ดีทั้งสำหรับพนักงานและลูกค้า ก็ทำให้ Salesforce ได้รับรางวัลมาอย่างหลากหลาย

ในมุมมองของ Salesforce นั้นมองว่าอนาคตของการทำงานจะกต้องเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก ซึ่งไม่ว่าจะในมุมของพนักงานภายใน Salesforce เองหรือลูกค้าของ Salesforce ก็ควรจะต้องให้ความสำคัญในประเด็นที่ไม่ต่างกันมากนัก ได้แก่

  1. Safety การสร้างความปลอดภัยในการทำงานทั้งสำหรับพนักงานและลูกค้า ที่ควรจะต้องหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการติดเชื้อหรือประสบกับอุบัติเหตุใดๆ เพื่อให้การทำงานนั้นเป็นไปได้อย่างมั่นใจและต่อเนื่องมากที่สุด โดย Salesforce นั้นมี Safety Cloud ที่ช่วยตรวจสอบพนักงานหรือลูกค้าที่จะใช้พื้นที่ใดๆ ในการทำงานให้มั่นใจว่าไม่มีความเสี่ยง และลดความแออัดที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่ทำงานลงได้
  2. Customer 360 การมีข้อมูลและรู้จักลูกค้าในเชิงลึก เพื่อให้ความสัมพันธ์ในการทำงานนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่การซื้อขาย แต่เป็นการเติบโตร่วมกัน, การพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกัน, การเป็นพันธมิตรทำสิ่งต่างๆ ร่วมกัน ไปจนถึงการนำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการได้อย่างเหมาะสม สามารถทำงานร่วมกันได้บนพื้นฐานของความไว้วางใจ
  3. Digital HQ การสร้างศูนย์กลางในการทำงานบนโลกออนไลน์ที่พนักงานและลูกค้าสามารถใช้พื้นที่นี้ในการทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่แพ้การทำงานในออฟฟิศจริงๆ ในขณะที่ยังส่งเสริมการทำงานแบบ Data-Driven ในองค์กรได้เป็นอย่างดี ซึ่ง Salesforce ก็ตอบโจทย์นี้ด้วย Slack ซึ่ง Salesforce ได้เข้าซื้อกิจการเข้ามา กลายเป็นช่องทางหลักในการทำงานภายในองค์กร และการให้บริการลูกค้าบนโลกออนไลน์ได้อย่างครบวงจร
  4. Net Zero การลดการเกิดก๊าซเรือนกระจกที่เป็นสาเหตุทำให้โลกร้อนในการใช้งานเทคโนโลยีและการทำงานใดๆ ให้เหลือน้อยที่สุด ซึ่งในมุมของ Salesforce นั้นก็มีการเลือกใช้ Data Center สำหรับการให้บริการ Cloud ในแบบ Net Zero ทั้งหมด รวมถึงยังมีบริการ Cloud สำหรับช่วยติดตามการใช้พลังงานหรือการสร้างคาร์บอนในอาคารต่างๆ ได้ทั้งหมด

กรณีศึกษาจาก IBM สู่การเป็น Trusted Enterprise ด้วย Salesforce

หนึ่งในลูกค้ารายใหญ่ของ Salesforce ในระดับโลกนั้นก็คือ IBM ที่ได้ใช้งาน Slack เพื่อเชื่อมผสานการทำงานระหว่างพนักงานภายในองค์กรมากกว่า 380,000 คน ซึ่งมีการแชทพูดคุยทั้งภายในและภายนอกองค์กรมากกว่า 16.6 ล้านข้อความในแต่ละวัน พร้อม Customer 360 ที่ช่วยให้พนักงานฝ่ายขายและบริการกว่า 55,000 คนทั่วโลกสามารถติดต่อสื่อสารให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านช่องทางในแบบ Self-Service, Chatbot และ Support Community ด้วยการ Integrate ระบบของ Slack เข้ากับระบบอื่นๆ ที่มีการใช้งานภายใน IBM นั่นเอง

from:https://www.techtalkthai.com/tvs-2022-ti-customer-360-part-2-by-salesforce/