เปิดตัว Asset Activator ผู้นำ Digital Twin ปั้นคู่เสมือนโลกดิจิทัล ปฏิวัติมาตรฐานใหม่งานบริหารอสังหาไทยทัดเทียมสากล ระดมกูรูชั้นนำลุยสัมมนาออนไลน์ Digital Twin Thailand Series By Asset Activator
แอสเซ็ท แอคทิเวเตอร์ (Asset Activator) ผนึกพลัง 4 พันธมิตรชั้นนำระดับประเทศ ปักธงเป็น Property TechOps Company เนรมิตโซลูชั่นอัจฉริยะ Digital Twin เทคโนโลยีเมกาเทรนด์ระดับโลก ปั้นคู่เสมือนโลกดิจิทัล สู่การพลิกโฉมมิติใหม่งานบริหารจัดการข้อมูลสินทรัพย์ไทยอย่างไม่เคยมีมาก่อน มั่นใจช่วยเพิ่มศักยภาพ สร้างมูลค่าเพิ่มสินทรัพย์-อสังหาริมทรัพย์ยั่งยืน พร้อมจัดสัมมนาออนไลน์ให้ความรู้เปิดโลก Digital Twin หวังยกระดับมาตรฐานใหม่วงการอสังหาไทยทัดเทียมสากล
ดังนั้นองค์กรจึงต้องพร้อม ‘ยืดหยุ่น’ เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลง (Agility) โดยหนึ่งในอาวุธสำคัญที่จะมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการข้อมูลสินทรัพย์ คือ Digital Twin (ดิจิทัล ทวิน) หรือคู่เสมือนทางดิจิทัล อย่างที่ Gartner บริษัทวิจัยให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลกจัดให้ Digital Twin เป็น 1 ใน 10 เทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์ตั้งแต่ปี 2019 และคาดการณ์ว่าภายในปี 2021 บริษัทอุตสาหกรรมรายใหญ่ครึ่งหนึ่งของโลกจะใช้ Digital Twin เป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาศักยภาพของธุรกิจและงานบริหารอาคาร-อสังหาริมทรัพย์
Asset Activator จึงได้ก่อตั้งขึ้นในฐานะเป็น Property TechOps Company ผู้ให้บริการด้านการบริหารจัดการข้อมูลสินทรัพย์ ด้วยการใช้ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี Digital Twin มาสร้างโซลูชั่นอัจฉริยะ เพื่อช่วยแก้ปัญหาและเพิ่มศักยภาพการเติบโตทางธุรกิจ ภายใต้ปรัชญา EMPOWERING PROPERTY ASSET VALUE WITH DIGITAL TWIN (บริหารข้อมูลสินทรัพย์ของคุณอย่างสร้างสรรค์และยั่งยืน ด้วยเทคโนโลยี Digital Twin) สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินทรัพย์-อสังหาริมทรัพย์อย่างยั่งยืน
เพื่อสร้างความเข้าใจอย่างรู้ลึก-รู้จริงถึงความทรงพลังของการใช้เทคโนโลยีชั้นสูงอย่าง Digital Twin มาใช้ในงานบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น Asset Activator จึงได้จัดสัมมนาออนไลน์ “Digital Twin Thailand Series By Asset Activator : เปิดโลกใหม่เทคโนโลยีบริหารอาคาร-อสังหาริมทรัพย์ ด้วย Digital Twin” ขึ้น ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Your Property Asset Information is as important as your property asset condition” (ข้อมูลสินทรัพย์อาคารของคุณมีความสำคัญเช่นเดียวกับตัวสินทรัพย์อาคารของคุณ)
Race Center – เว็บไซต์ติดตามรับชมการแข่งขันแบบสดๆ อย่างเป็นทางการ ที่จะอัพเดตทุกการแข่งขันรวมถึงข้อมูลการติดตามสดของผู้ขับขี่บน fr และในแอพพลิเคชั่น Tour de France Mobile อย่างเป็นทางการ
LeTourData – ข้อมูลเชิงลึกที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและการทำนายผลการแข่งขันด้วย AI บน Twitter, Instagram และรายการทีวี
3D Tracker – แอพพลิเคชั่นที่จะเติมเต็มความสมจริงในทุกมุมมองแบบ 3 มิติ ของทุกๆ สเตจในการแข่งขัน
Tour de France Fantasy by Tissot – เกมกีฬาแฟนตาซีที่รวมข้อมูลเชิงลึกและแมชชีนเลิร์นนิง (คาดการณ์ผลโดย NTT) เพื่อให้ข้อมูลเชิงลึกแก่นักปั่นได้รับชม
NTT Media Wall – หน้าจอแสดงผลที่สมบูรณ์แบบติดตั้งที่หมู่บ้านที่มีการแข่งขันเพื่อนำเสนอข้อมูลเชิงลึกและการแสดงภาพจาก LeTourData พร้อมอัพเดตการแข่งขันสด
Amaury Sport Organisation เป็นบริษัทที่เป็นเจ้าของ ออกแบบ และจัดงานกีฬาระดับนานาชาติชั้นนำ เชี่ยวชาญในกิจกรรมกลางแจ้ง “non-stadia” โดยมีความรู้ภายในเกี่ยวกับอาชีพที่เชื่อมโยงกับองค์กร สื่อ และการขายการแข่งขันกีฬา โดย A.S.O จัดการแข่งขัน 240 วันต่อปี โดยมี 90 งานใน 25 ประเทศ A.S.O มีส่วนร่วมในกีฬาสำคัญ 5 ประเภท ได้แก่ การปั่นจักรยานกับ Le Tour de France กีฬาแข่งรถกับ Dakar การแล่นเรือกับ Tour Voile งานด้านสื่อมวลชนกับ Schneider Electric Marathon de Paris และกอล์ฟกับ Lacoste Ladies Open de France Amaury Sport Organisation เป็นบริษัทในเครือ Amaury Group สื่อและกลุ่มกีฬาที่เป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ L’Equipe
· Race Center – เว็บไซต์ติดตามรับชมการแข่งขันแบบสดๆ อย่างเป็นทางการ ที่จะอัพเดตทุกการแข่งขันรวมถึงข้อมูลการติดตามสดของผู้ขับขี่บน letour.fr และในแอพพลิเคชั่น Tour de France Mobile อย่างเป็นทางการ
· LeTourData – ข้อมูลเชิงลึกที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและการทำนายผลการแข่งขันด้วย AI บน Twitter, Instagram และรายการทีวี
· 3D Tracker – แอพพลิเคชั่นที่จะเติมเต็มความสมจริงในทุกมุมมองแบบ 3 มิติ ของทุกๆ สเตจในการแข่งขัน
· Tour de France Fantasy by Tissot – เกมกีฬาแฟนตาซีที่รวมข้อมูลเชิงลึกและแมชชีนเลิร์นนิง (คาดการณ์ผลโดย NTT) เพื่อให้ข้อมูลเชิงลึกแก่นักปั่นได้รับชม
· NTT Media Wall – หน้าจอแสดงผลที่สมบูรณ์แบบติดตั้งที่หมู่บ้านที่มีการแข่งขันเพื่อนำเสนอข้อมูลเชิงลึกและการแสดงภาพจาก LeTourData พร้อมอัพเดตการแข่งขันสด
Digital Twin เป็นชื่อเรียกของแนวคิดการทำสำเนาหรือแบบจำลองของสิ่งต่างๆทางกายภาพให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล ทว่า Digital Twin เหล่านี้ไม่เพียงเป็นภาพจำลองที่สวยงามเท่านั้น แต่ยังมีกลไกเชื่อมต่อกับวัตถุของจริงผ่านระบบเซ็นเซอร์ที่คอยเก็บข้อมูลสถานะทางกายภาพของวัตถุแบบ Real-time ทำให้แบบจำลองนั้นเป็นเสมือนการย้ายวัตถุไปไว้ในโลกดิจิทัลนั่นเอง
เมื่อมีแบบจำลองวัตถุที่สมจริง สิ่งที่ตามมาคือความสามารถในการตรวจสอบสถานะของวัตถุอย่างละเอียดโดยมีสื่อที่เป็นภาพคอยนำทาง และความสามารถในการจำลองสถานการณ์ขึ้นว่าหากสภาพแวดล้อม หรือสถานะจุดใดจุดหนึ่งภายในตัววัตถุเปลี่ยนไป จะเกิดผลกระทบอย่างไรบ้างกับวัตถุ โดยที่มากไปกว่านั้นคือ Digital Twin ของวัตถุแต่ละชิ้นนั้นเราย่อมสามารถนำมาเชื่อมต่อกันให้กลายเป็นระบบจำลองขนาดย่อมๆได้ ทำให้เราสามารถจำลองสถานการณ์และทำนายความเป็นไปได้ในภาพที่สมบูรณ์มากขึ้น
สำหรับธุรกิจ ความสามารถเช่นนี้ของ Digital Twin หมายความว่าพวกเขาจะสามารถเฝ้าระวังเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำลองเหตุการณ์และวางแผนการดำเนินการ เช่น การกะเวลาที่ควรซ่อมบำรุง การสร้างสถานการณ์สมมติ การตรวจสอบการทำงานร่วมกันของเครื่องจักรหลายชิ้น เป็นต้น นอกจากนี้ Digital Twin อาจสามารถช่วยแจ้งเตือน และเริ่มดำเนินขั้นตอนในการทำงานแบบอัตโนมัติเมื่อสถานะของวัตถุบ่งบอกว่าต้องการ Action อะไรบางอย่างต่อระบบ
เราใช้เทคโนโลยีอะไรสร้าง Digital Twin?
แนวคิดหลักของ Digital Twin นั้นคือการสร้างแบบจำลองวัตถุขึ้นในโลกดิจิทัล ทั้งในรูปแบบของภาพ และข้อมูล แล้วจากนั้นในการใช้งานจะมีการดึงข้อมูลไปวิเคราะห์ สร้างสถานการณ์จำลอง ดังนั้นน่าจะพอเห็นภาพได้ว่า Digital Twin นั้นเป็นการผสมผสานของเทคโนโลยีหลายชนิด อันได้แก่
เทคโนโลยีผลิตภาพ 3 มิติ หรือ VR และ AR ทำหน้าที่สร้างรูปร่างของวัตถุในโลกดิจิทัล
เทคโนโลยีเซ็นเซอร์ และ Internet of Things (IoT) รับผิดชอบการเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างโลกแห่งความเป็นจริงและโลกดิจิทัล รวมทั้งการอัปเดตข้อมูลใหม่ๆเข้ามาใน Digital Twin อยู่เสมอแบบ Real-time
ตัวอย่างการใช้งานจริงของ Digital Twin ในอุตสาหกรรม
Digital Twin นั้นเป็นแนวคิดเทคโนโลยีที่มาในคลื่นเดียวกับ Industry 4.0 โดยในปี 2017 Gartner บริษัทวิเคราะห์เทคโนโลยีระดับโลกได้จัดให้ Digital Twin เป็น 1 ใน 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง และปัจจุบัน ธุรกิจในอุตสาหกรรมต่างๆก็มีการนำแนวคิด Digital Twin ไปใช้กันมากขึ้นเรื่อยๆ
NASA นั้นเป็นองค์กรที่ได้ประโยชน์อย่างชัดเจนจากความสามารถในการยกวัตถุเข้ามาไว้ในโลกดิจิทัลไม่ว่าวัตถุนั้นจะอยู่ที่ใด พวกเขาเริ่มจากการใช้งานเทคโนโลยีซึ่งเรียกว่า Pairing Technology ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นต้นตระกูลของ Digital Twin มาช่วยดำเนินการในอวกาศ โดยมีผลงานสำคัญคือการกู้ภัยในภารกิจ Apollo 13 และทุกวันนี้พวกเขาใช้ประโยชน์จากการที่ Digital Twin กำจัดความจำเป็นที่จะต้องเข้าไปตรวจสอบอุปกรณ์ในสถานที่จริงมาใช้ในการเฝ้าระวังและวางแผนการซ่อมบำรุงอุปกรณ์ต่างๆที่อยู่ไกลถึงในอวกาศ
Chevron ก็เป็นหนึ่งบริษัทใหญ่ที่นำ Digital Twin มาใช้งาน โดยเน้นไปที่การตรวจสอบสถานะของอุปกรณ์ในบ่อเจาะน้ำมันและโรงกลั่นแบบ Real-time ทำนายเวลาที่ต้องซ่อมบำรุงและวางแผนเพื่อกำหนดเวลาในการซ่อมบำรุงให้น้อยที่สุดโดยไม่เบียดเบียนการดำเนินงาน โดยในปี 2024 พวกเขาวางแผนจะนำ Digital Twin เข้ามาใช้ในอุปกรณ์ที่มีความจำเป็นต่อการดำเนินการทั้งหมด ซึ่งคาดการณ์ว่าอาจช่วยลดต้นทุนได้หลายล้านเหรียญสหรัฐฯ
ในทำนองเดียวกัน แนวคิดของ Digital Twin นี้สามารถปรับใช้กับสิ่งมีชีวิตและอวัยวะในร่างกายของคนเราได้ด้วย อุตสาหกรรมแรกที่หลายคนอาจนึกถึงคืออุตสาหกรรมการแพทย์ ซึ่งเมื่อจำลองร่างกายของมนุษย์ออกมาในรูปแบบ Digital Twin แล้ว แพทย์ก็จะสามารถวิเคราะห์ค่าต่างๆในร่างกาย นำข้อมูลมาเปรียบเทียบกับชุดข้อมูลอื่นๆ และจำลองการรักษาเพื่อดูถึงผลลัพธ์ได้
นอกจากนี้ ในการจำลอง Digital Twin นั้นอาจจำลองแยกเป็นอวัยวะแต่ละส่วนไป เช่นโครงการ Blue Brain Project (BBP) ซึ่งมีเป้าหมาย ในการสร้างแบบจำลองสมองโดยละเอียดตามลักษณะทางชีววิทยาที่สามารถจำลองสถานการณ์ได้หลากหลาย โดยในเบื้องต้น BBP ได้ทำการพัฒนาสมองจำลองของสัตว์ฟันแทะ และในอนาคตจะมีการขยายผลไปพัฒนา Digital Twin ของสมองมนุษย์ต่อไป
อีกทางหนึ่งเทคโนโลยี Digital Twin ในสิ่งมีชีวิตหรือมนุษย์ก็ได้ถูกนำเข้ามาใช้ในวงการบันเทิงเช่นกัน โดยในเทศกาลตรุษจีนในปี 2019 รายการโทรทัศน์ Spring Festival Gala ทางช่อง China Central Television ของจีน พิธีกรในรายการทั้ง 4 รายได้ดำเนินรายการร่วมกับ Digital Twin ของตัวเอง ซึ่งสามารถสื่อสารโต้ตอบได้อย่างเป็นธรรมชาติ และในอนาคต OBEN ผู้พัฒนาโซลูชันนี้ก็หวังว่าจะสามารถนำ Digital Twin ไปใช้จำลองมนุษย์ในอาชีพอื่นๆ เช่น ครู และแพทย์
อนาคตของ Digital Twin
นับตั้งแต่แนวคิด Digital Twin เริ่มได้รับความสนใจ เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องนั้นมีต้นทุนที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง และความพร้อมในการเปิดรับเทคโนโลยีของธุรกิจต่างๆก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ด้วยแนวโน้มดังกล่าว จึงเป็นไปได้ว่าในอนาคตเราจะได้เห็น Digital Twin ถูกใช้งานกันอย่างแพร่หลายในธุรกิจต่างๆ มีการประยุกต์สร้างคุณค่าในรูปแบบใหม่ๆ และอาจเข้าถึงได้ในระดับที่ผู้บริโภคเริ่มนำมาใช้งานในชีวิตประจำวัน เช่น Digital Twin ของรถยนต์ หรือระบบเครือข่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านเลยทีเดียว
ความสามารถในการเฝ้าระวังสถานะ วิเคราะห์ข้อมูล และจำลองเหตุการณ์ของ Digital Twin นั้นเปรียบเสมือนการอัพเกรดการวิเคราะห์ข้อมูลไปอีกขั้น ที่จะช่วยให้ธุรกิจ หน่วยงาน และบุคคลทั่วไปที่ได้งานมีภาพที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้นในการตัดสินใจสิ่งต่างๆด้วยข้อมูล ทำให้การตัดสินใจนั้นแม่นยำและชาญฉลาดยิ่งขึ้น Digital Twin มีประโยชน์หลากหลายและสามารถนำไปใช้ได้กับงานหลายรูปแบบ เป็นที่น่าติดตามต่อไปว่าเมื่อมีการใช้ Digital Twin อย่างแพร่หลายขึ้นแล้ว จะมีการต่อยอดการใช้งานอย่างไรต่อไปบ้าง
พื้นที่อัจฉริยะที่เกิดขึ้นจากการผสานผู้คน, กระบวนการ, บริการ และสิ่งของอัจฉริยะจะเกิดมากขึ้นทั้งในโลกจริงและในโลก Digital เพื่อสร้างประสบการณ์รูปแบบใหม่ๆ ทั้งในการใช้ชีวิตและการทำงาน ต่อยอดจากเทคโนโลยี Smart City, Digital Workplace, Smart Home และ Connected Factory ขึ้นไปอีกขั้น ทำให้เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทต่อชีวิตของเรามากขึ้นไปด้วย
ทุกวันนี้เราอาจจะมองว่าอุปกรณ์ IoT เป็นช่องโหว่ด้านความมั่นคงปลอดภัยเสียมากกว่าแต่อย่างไรก็ตามมีความเห็นต่างจาก นาย Tim Lang หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการและประธานอวุโสจาก MicroStrategy บริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้าน BI และ Data Analytics ได้มีความเห็นว่าอุปกรณ์ IoT สำหรับการใช้ในองค์กร (Enterprise IoT) จะสามารถนำไปใช้เพื่อติดตามและป้องกันก่อนจะเกิดเหตุการณ์ข้อมูลรั่วไหลได้
คงปฏิเสธไม่ได้กับความร้อนแรงของ AI ในยามนี้ โดย Gartner ชี้ว่า AI ที่สามารถเรียนรู้, โต้ตอบ และปรับตัวได้โดยนอัตโนมัตินี้จะกลายเป็นเทคโนโลยีหลักที่ใช้แข่งขันกันระหว่างเหล่าผู้พัฒนาเทคโนโลยีภายในปี 2020 ในขณะที่การใช้ AI เพื่อช่วยเสริมการตัดสินใจ, การปรับปรุงรูปแบบการทำธุรกิจ และการปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้านั้นจะยังคงกลายเป็นประเด็นหลักที่เหล่าองค์กรให้ความสำคัญต่อไปจนถึงปี 2025
ด้วยเหตุนี้ การลงทุนด้าน AI ไม่ว่าจะเป็นบุคลากร, เครื่องมือ หรือระบบที่เกี่ยวข้องอย่างเช่นการจัดการข้อมูลนั้นก็จะยังคงเติบโต่ต่อไปอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นสิ่งที่เหล่าองค์กรจะขาดไปไม่ได้แล้วสำหรับการแข่งขันในอนาคต
2. Intelligent Apps and Analytics
Application ในอนาคตอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้จะมีการใช้งาน AI หรือ Machine Learning อยู่ภายในแทบทั้งหมด โดยที่บางครั้งผู้ใช้งานอาจไม่รู้ตัวว่า AI นั้นทำงานอยู่ในส่วนใดของระบบก็เป็นได้ ซึ่งการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และ AI นี้ก็จะทำให้รูปแบบของการทำงานและสถานที่ทำงานในอนาคตเปลี่ยนไป โดย AI จะไม่ได้มาแทนมนุษย์ แต่จะมาช่วยให้มนุษย์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ในอนาคต การแข่งขันในตลาด Software และ Service โดยเฉพาะ ERP นั้นจะกลายเป็นการมุ่งเน้นไปที่เรื่องของ AI เป็นหลักว่า AI จะมาช่วยให้การทำงานหรือประสบการณ์ของผู้ใช้งานดีขึ้นได้อย่างไรแทน
3. Intelligent Things
สิ่งของต่างๆ ที่เคยเป็น Internet of Things (IoT) ในปัจจุบันจะวิวัฒนาการกลายไปเป็น Intelligent Things ที่ไม่ได้ทำงานตามคำสั่งของโค้ดที่ตายตัว แต่เปลี่ยนแปลงการทำงานไปตาม AI ที่ใช้และข้อมูลที่ได้เรียนรู้แทน เช่น รถยนต์ไร้คนขับ, หุ่นยนต์, Drone และทำให้ขีดความสามารถของอุปกรณ์ต่างๆ สูงขึ้นอย่างชัดเจน
อุปกรณ์ที่ทำงานได้โดยอัตโนมัตินี้จะใช้แรงงานคนน้อยลง และในอีก 5 ปีถัดจากนี้ เราก็จะเห็นระบบที่ยังคงใช้มนุษย์ทำงานร่วมกับ AI เกิดขึ้นมาเป็นจำนวนมาก แต่ในฉากหลังนั้นเหล่าผู้ผลิตนั้นต่างจะซุ่มพัฒนาระบบที่ไม่ต้องใช้คนเพื่อเตรียมแข่งขันกัน และประเด็นอื่นๆ นอกเหนือจากเทคโนโลยีอย่าเงช่นกฎหมายก็จะต้องถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อรองรับโลกแห่งอนาคตนี้
4. Digital Twin
ทรัพย์สินต่างๆ ในโลกจริงขององค์กรนั้นจะถูกสร้างข้อมูลขึ้นมากลายเป็นทรัพย์สินเสมือนในโลก Digital มากขึ้นเรื่อย เพื่อให้เหล่าองค์กรได้นำข้อมูลเหล่านั้นไปทำการวิเคราะห์ประกอบการตัดสินใจได้ในแบบ Real-time และทำการตอบโต้ต่อทุกสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที
Digital Twin จะช่วยให้การนำ AI มาใช้ผสานและการทำ Simulation มีประสิทธิภาพสูงยิ่งขึ้น การวางแผนในภาพใหญ่นั้นจะสามารถเจาะลึกลงรายละเอียดได้ดีขึ้นในทุกๆ ธุรกิจ และส่งประโยชน์ต่อธุรกิจ องค์กร หรือประเทศชาติได้ในระยะยาว
Digital Business ในอนาคตนั้นจะเปลี่ยนแปลงการทำงานไปเป็นแบบ Event Driven ที่ธุรกิจจะตอบสนองกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในการทำงานเป็นหลัก ด้วยการรับข้อมูลจากเทคโนโลยีที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็น Event Broker, IoT, Cloud, Blockchain, In-memory Data Management และ AI ทำให้การตรวจพบเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในธุรกิจสามารถทำได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น และปรับตัวโต้ตอบตามได้เร็วยิ่งขึ้นตามไปด้วย