คลังเก็บป้ายกำกับ: CES_2023

แนะนำวิธีเลือกสเปคโน้ตบุ๊คในปี 2023 เทรนด์ปีนี้ไปถึงไหนแล้ว จ่ายซื้อราคานี้ได้สเปคเท่าไหร่ (ทั้งเกมมิ่งและทำงาน)

งาน CES 2023 หรืออีเวนต์ใหญ่สุดประจำปีของฝั่งพีซีได้จบไปแล้วสักพัก เช่นเคยคือเป็นต้นศักราชที่เหล่าเทคยักษ์ใหญ่พากันนำสินค้าเจนใหม่ของตัวเองมาเรียงแถวเปิดตัวเพียบ โดยเฉพาะ 3 ค่ายหลักอย่าง Intel, AMD และ NVIDIA ที่ก็ยังคงขนทัพซีพียูและการ์ดจอมากมายหลายรุ่น มาโชว์พลังดิบและความแรงกันไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อเป็นตัวกำหนดทิศทางของโลกพีซีในปีนี้ตลอดทั้งปี

เช่นเดียวกับฝั่งผู้ผลิตพีซีและโน้ตบุ๊คได้แก่ Acer, ASUS, Dell, Lenovo, MSI, Razer และอื่น ๆ ที่ต่างก็เร่งเอาคอมโน้ตบุ๊คซีรีส์ใหม่ตัวเองตามออกมาอวดติด ๆ ด้วยเหมือนกัน ทำให้ได้เห็นสเปคของทั้งรุ่นกลางรุ่นใหญ่หลายรุ่น บางยี่ห้อครบเลย คือไม่ต้องไปรอลุ้นหลังซีพียูการ์ดจอออกมาก่อนแล้วค่อยได้เห็นตามเหมือนในอดีตแล้ว

ดังนั้นวันนี้ทีมงานจึงถือโอกาสจะขอมาสรุปภาพรวมคร่าว ๆ ให้ฟังกันว่า ความน่าสนใจของวงการฮาร์ดแวร์พีซีในปีนี้เค้ามีอะไรบ้าง จะได้ทราบว่าเทรนด์สเปคต่าง ๆ ของคอมฝั่ง Windows ยุคนี้มันไปถึงไหนแล้ว เพื่อไกด์เป็นแนวทางสำหรับการเลือกซื้อโน้ตบุ๊ครุ่นใหม่ในปี 2023 นี้ให้กับทุกคนครับ

 

ซีพียู Intel กลับมานำตลาด แต่การ์ดจอใหม่ยังเงียบกริบ

ถ้าใครตามข่าวมาบ้าง จะรู้ว่าก่อนหน้านี้กระแส Intel ในช่วงซีพียู Gen 8 -10 ไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่ ซึ่งเป็นผลพวงมาจากการลดขนาดซีพียูไม่ได้ และประสิทธิภาพก็ไม่ได้ดีก้าวกระโดดขึ้นจากก่อนหน้ามาก จนถูกฝั่ง AMD ที่ไล่ตามมาตลอดแซงทัน สุดท้ายคนก็อพยพลองย้ายไปใช้ซีพียู Ryzen โน้ตบุ๊คกันเยอะ (แถมติดใจซะด้วย) ทำให้ช่วงนั้นยอดขายโน้ตบุ๊คซีพียู Intel หดหายไประนาวอยู่เหมือนกัน

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงตอนนี้ ซีพียู Intel เริ่มได้ภาพลักษณ์ความนิยมกลับมาอีกครั้ง หลังการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่บน Gen 12 ที่เริ่มกันมาใช้สถาปัตยกรรมคอร์แบบไฮบริจด์เป็นครั้งแรก คือใช้แกนเล็กผสมแกนใหญ่ (เลิกเขียน C = จำนวนคอร์ แต่เขียนเป็น P = คอร์ใหญ่ + E คอร์เล็กแทน ข้อดีคือแกนรวมมันดูเยอะ ซึ่งคนชอบสเปคเห็นแล้วคลั่งไคล้ทันที) พร้อมการปรับเปลี่ยนแนวทางที่เน้นแข่งขันที่ประสิทธิภาพมากขึ้น แทนการลดขนาดชิปลงทุก 1-2 ปีเหมือนปีเก่า ๆ จนตอนนี้ถือว่าสามารถแก้มลทินเรื่องนี้ออกไปได้มากแล้ว

ล่าสุดซีพียู Gen 13 บนโน้ตบุ๊คเปิดตัวออกมา มีครบทุกรหัสสำหรับทุกตลาดให้เลือก ได้แก่ รหัส HX, H, P และ U แม้ภาพรวมจะยังคล้าย Gen 12 เหมือนเดิมแบบฝั่งเดสก์ท็อป แต่ปีนี้ประสิทธิภาพก็ก้าวกระโดดขึ้นกว่าเดิมมาก โดยเฉพาะรหัส HX ที่เป็นการเอาซีพียูระดับเดสก์ท็อปมายัดลงบนโน้ตบุ๊ค และปัจจุบันก็นับเป็นตระกูลที่ 2 ซึ่งแม้จะออกตามหลังตระกูลแรกติด ๆ แค่ครึ่งปี แต่มีการตีบวกหลายอย่างให้แบบไม่มีกั๊ก ทั้งจำนวนคอร์เธรด และประสิทธิภาพเธรดเดี่ยวเธรดรวม เลยได้ชื่อว่าปีนี้เป็นปีที่ซีพียู Intel มาแรงมาก




 

สาเหตุที่ Intel เน้นซีพียูรหัส HX มากเป็นพิเศษในปีนี้ คาดก็เพื่อต่อกรกับฝั่ง Apple ที่มีซีพียูระดับ M1 Max ออกมาเขย่าโลกก่อนหน้า (ปัจจุบัน M2 Max) ทำให้ต้องออกยาแรงรักษาภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำเดิมไว้ นี่จึงถือเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคอย่างเราสุด ๆ ที่ได้เห็นการแข่งขันอันดุเดือดของโลกซีพียูจากปีที่แล้วลามมาถึงปีนี้จนได้

อย่างไรก็ตาม แม้ฝั่งซีพียูจะขาขึ้น แต่กระแสการ์ดจอ Intel Arc ที่ปูไว้เนิ่น ๆ ตั้งแต่ปีที่แล้วกลับหายไปแบบเงียบ ๆ สังเกตได้เลยว่าจะยังไม่เห็นโน้ตบุ๊ครุ่นเด่นตัวไหนในปีนี้เลือกใช้เลย ซึ่งก็ไม่น่าแปลกเพราะพี่เริ่มเข้าตลาดช้าจริง ๆ แถมประสิทธิภาพก็ยังเป็นรองเจนเก่าคู่แข่งอยู่ ตั้งแต่ยังไม่โดนทิ้งห่างไปไกลด้วยเจนใหม่รอบนี้ด้วยซ้ำ

ดังนั้นในปีนี้เชื่อว่าการ์ดจอ Intel Arc บนโน้ตบุ๊คที่เคยลุ้นกันว่าจะเข้ามาเป็นมือที่ 3 ก็จะยังไม่อยู่ในลิสต์ให้เราตัดสินใจแน่นอน (เผลอ ๆ อาจจะไม่มีรุ่นเข้าไทยเลยด้วย) คงต้องอยู่กับ NVIDIA และ AMD กันไปต่ออีกปีครับ

 

ซีพียู AMD ยังมาตรฐานดี แต่มาตรฐานเดิม (ระวังโดนหลอก)

ไม่ได้อยากจะให้ร้ายค่ายแดงเท่าไหร่ แต่ปีนี้ AMD ค่อนข้างทำสาวกฝั่งโน๊ตบุ๊คน้อยใจ (แบบโดยภาพรวมนะ) จากการเปิดตัวซีพียู Ryzen 7000 มาแบบเหล้าเก่าในขวดใหม่เยอะไปนิด กล่าวคือทุกรุ่นได้ใช้เลข 7000 ใหม่เหมือนกันหมดก็จริง แต่ดันใหม่แค่เลขหน้าสุดซึ่งเป็นเลขประจำปี เพราะตอนนี้มีซีพียูจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้ใช้ชิป Zen 4 ตัวใหม่ล่าสุดของปีนี้ แต่ดันมี Zen 3+, Zen 3 และกระทั่ง Zen 2 โผล่มาด้วย ซึ่งใครที่ดูเลขดูชิปไม่เป็นอาจจะถูกอาถรรพ์เลข 7 ต้มเอาได้

จริง ๆ จะโทษ AMD ก็ไม่ได้ เพราะเค้าเคยประกาศอัปเดตวิธีการอ่านเลขรุ่นซีพียู Ryzen โน้ตบุ๊คแบบใหม่เอาไว้แล้ว (เริ่มใช้ปีนี้ปีแรกพอดี) ดังนั้นเราต้องลบภาพการอ่านเลข 7000 แบบเพียว ๆ ในหัวออกไป เปลี่ยนเป็นการดูจากเลขหลักที่ 3 เป็นหลักแทน เช่น 7040, 7030 และ 7020 เพราะมันคือตัวเลขที่บอกรุ่นชิป Zen ที่ใช้ ซึ่งจะแรงมากแรงน้อยกว่ากันก็ขึ้นอยู่กับตรงนี้เป็นหลัก (เผลอ ๆ ตัวที่ไม่ใช่ 7040 ขึ้นไป ประสิทธิภาพอาจจะไม่ต่างจากตอน 6000 ลงมาเลยก็ได้ แค่ได้เลขหน้าใหม่เท่านั้น)


 

ปีนี้ AMD เปิดตัวซีพียูโน้ตบุ๊คมาทั้งหมด 5 ตระกูลหลัก เรียงความแรงจากมากไปน้อย ได้แก่

  • Ryzen 7045 | ชิป Zen 4 | โค้ดเนม Dragon Range | รุ่นรหัสท้าย HX
  • Ryzen 7040 | ชิป Zen 4 | โค้ดเนม Phoenix | รหัสท้าย HS / U
  • Ryzen 7035 | ชิป Zen 3+ | โค้ดเนม Rembrandt-R | รหัสท้าย HS / U
  • Ryzen 7030 | ชิป Zen 3 | โค้ดเนม Barcelo-R | รหัสท้าย U
  • Ryzen 7020 และ Athlon | ชิป Zen 2 | โค้ดเนม Mendocino | รหัสท้าย U

(อยากเห็นทุกรหัสแบบครบทุกรุ่นเต็ม ๆ เผื่อมีรุ่นใหม่อัปเดตในอนาคตอีก ให้ดูในลิงก์นี้)

นั่นก็เป็นส่วนของเลขรุ่นชิปไป แต่ส่วนของรหัสท้าย ก็ยังเป็นความน่างงต่อเนื่องอีกเหมือนเดิมในปีนี้ที่ AMD ยังแบ่งรหัสท้ายได้ไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่เมื่อเทียบกับคู่แข่ง จากข้อมูลคือน่าจะตั้งใจเทียบรหัส HX ของตัวเองกับ HX ของ Intel เพราะมีการวางคลาสให้มีความแรงใกล้เคียงเดสก์ท็อปเหมือนกัน

ถัดมาก็คือ HS ที่ก็น่าจะแข่งกับ H แต่ดันแตกออกเป็น 2 ขา คือมี HS ตัว Zen 3+ อีก ซึ่งตัวนี้ก็เดาว่าน่าจะเอาไว้แข่งกับ P (ทำไมตัวแรงกว่าไม่ใช่ H เหมือนเดิม) และท้ายสุดคือ U ที่ก็คงแข่งกับ U เหมือนกัน แต่ดันมีด้วยกันถึง 4 ชิปอีก เลยชวนชิปชวนงงไปใหญ่ เอาเป็นว่าเราคงไม่สามารถเทียบซีพียูกันที่รหัสท้ายได้ตรง ๆ ขนาดนั้น ไว้รอเทียบกันที่คะแนนทดสอบปลายทางเองคงจะดีที่สุดครับ

 

การ์ดจอ NVIDIA แรงเข้าขั้น การ์ดจอ AMD เงียบเหมือนเดิม

อย่างที่กล่าวไปหัวข้อต้นว่าการ์ดจอ Intel Arc คงต้องโดนตัดออกจากช้อยส์ไปก่อน (จะได้ไม่ต้องเหนื่อยเตรียมข้อมูลด้วย) ปีนี้ NVIDIA ยังคงรักษาภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำด้านการ์ดจอเอาไว้ได้เหมือนเดิม แม้กระทั่งฝั่งโน้ตบุ๊คก็ยังเป็นต่อ AMD อยู่ไกล เปิดตัว GeForce RTX 4000 Series ทีเดียวครบทุกรุ่น ตั้งแต่ 4050 ยัน 4090 ซึ่งเป็นการมาในรอบ 2 ปีหลังจาก RTX 3000 ครองตลาดดีอยู่แล้วตั้งแต่ปี 2021 และปีนี้เป็นปีแรกที่ใช้เลขรหัส 90 บนรุ่นโน้ตบุ๊คด้วย

  • RTX 4090 | 16GB | 256-bit | 1.45 – 2.04 GHz | 9,728 Cuda Core | 80-150W
  • RTX 4080 | 12GB | 192-bit | 1.35 – 2.28 GHz | 7,424 Cuda Core | 60-150W
  • RTX 4070 | 8GB | 128-bit | 1.23 – 2.17 GHz | 4,608 Cuda Core | 35-115W
  • RTX 4060 | 8GB | 128-bit | 1.47 – 2.37 GHz | 3,072 Cuda Core | 35-115W
  • RTX 4050 | 6GB | 128-bit | 1.6 – 2.37 GHz | 2,560 Cuda Core | 35-115W

ด้านเทคโนโลยี NVIDIA คงไม่ต้องพูดถึง ยัดมาแบบจัดเต็มนำเพื่อนเหมือนเดิมทั้ง DLSS 3 สำหรับอัปสเกลภาพ และ Max-Q Gen 5 เพิ่มการประหยัดพลังงานและใช้หน่วยความจำไดนามิก คาดว่าดีขึ้นหลายอย่าง ส่วนด้านประสิทธิภาพเคลมไว้แต่เนิ่น ๆ เลยว่าตัวเล็กสุด RTX 4050 ยังแรงกว่า RTX 3080 เสียอีก ด้วยอานิสงค์ของ DLSS 3 นี่แหละ (แต่ด้านพลังดิบอาจจะอีกเรื่องนะ)

ลองเปรียบเทียบสเปคกับ RTX 3000 Series รุ่นเก่าด้านล่างดู

  • RTX 3080 Ti | 16GB | 256-bit | 1.12 – 1.59 GHz | 7,424 Cuda Core | 80-150W
  • RTX 3080 | 8/16GB | 256-bit | 1.24 – 1.71 GHz | 6,144 Cuda Core | 80-150W
  • RTX 3070 Ti | 8GB | 256-bit | 1.03 – 1.48 GHz | 5,888 Cuda Core | 80-150W
  • RTX 3070 | 8GB | 256-bit | 1.29 – 1.62 GHz | 5,120 Cuda Core | 80-150W
  • RTX 3060 | 6GB | 192-bit | 1.28 – 1.7 GHz | 3,840 Cuda Core | 60-115W
  • RTX 3050 Ti | 4GB | 128-bit | 1.03 – 1.69 GHz | 2,560 Cuda Core | 35 – 80W
  • RTX 3050 | 4/6GB | 64/128-bit | 0.99 – 1.74 GHz | 2048 – 2560 Cuda Core | 35 – 80W

ปูอวย NVIDIA มาขนาดนี้จะบอกว่าการ์ดจอฝั่ง AMD ไม่พัฒนาเลยหรือเปล่า ก็ไม่ถึงขนาดนั้น ปีนี้เปิดตัว Radeon RX 7000M และ 7000S Series รุ่นโน้ตบุ๊ครวม 4 รุ่น ตามหลัง RX 6000 ที่เคยออกมา 3 ตัวแรกในรอบปีครึ่ง (มีมาสมทบเพิ่มอีก 5 รุ่นด้วยตอน CES 2022) ครั้งนี้ใช้ของดีเหมือนฝั่งเดสก์ท็อปหมด ได้แก่ชิปใหม่ RDNA 3 มีเทคโนโลยี FSR และ RSR สำหรับการอัปสเกลภาพที่ดีขึ้น เช่นเดียวกับ Raytracing และ AI ที่ก็เคลมว่าพัฒนาขึ้นเยอะ และรองรับการเข้ารหัสแบบ AV1 เต็มตัวแล้ว (เดิมมีเฉพาะถอดรหัส)

เฉพาะช่วงต้นปีนี้ AMD ยังเปิดตัวการ์ดจอโน้ตบุ๊คมาเพียง 4 รุ่น ที่มีสเปคระดับเริ่มต้น-กลาง (รหัส 600-700) เรียงความแรงจากมากไปน้อย ได้แก่

  • Radeon RX 7600M XT | 8GB | 128-bit | 2.3 GHz | 32CU / 2,048 Stream Processor | สูงสุด 120W
  • Radeon RX 7600M | 8GB | 128-bit | 2.07 GHz | 28CU / 1,792 Stream Processor | สูงสุด 90W
  • Radeon RX 7700S | 8GB | 128-bit | 2.2 GHz | 32CU / 2,048 Stream Processor | สูงสุด 100W
  • Radeon RX 7600S | 8GB | 128-bit | 1.86 GHz | 28CU / 1,792 Stream Processor | สูงสุด 75W

อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ไม่ได้โดดเด่นขึ้นแบบก้าวกระโดด มีเทียบประสิทธิภาพให้ดูแค่เฉพาะกับของเก่าตัวเอง (ไม่เหมือนฝั่งซีพียูที่ชอบเอาคู่แข่งขึ้นสไลด์ตลอด) เลยยังขโมยซีนมาจากคู่แข่งแทบไม่ค่อยได้เหมือนเดิม ขณะที่ฝั่งเดสก์ท็อปภาพลักษณ์ดูสู่สีกว่านี้มาก ไม่รู้ด้วยว่าการที่ยังเลือกใช้ M, S ต่อท้ายชื่อ (เพื่อให้ต่างจากเดสก์ท็อป) มันส่งผลให้ภาพลักษณ์ไม่ดีขึ้นด้วยหรือเปล่า งานนี้ AMD อาจยังต้องเลือกใช้กลยุทธ์แข่งขันที่ด้านราคา หรือเอาประสิทธิภาพต่อการใช้พลังงานมาเป็นจุดขายหลักแทน เพื่อกระตุ้นความน่าสนใจของตัวเองให้อยู่

 

ยุคของแรม DDR5 เต็มตัว ตีคู่กับซีพียูและการ์ดจอใหม่พอดี

แรม DDR5 เริ่มเข้าตลาดมาสักพักในปี 2022 แต่ก็เป็นปีที่เปิดมาไม่ค่อยสวยหรูนัก เพราะเจอวิกฤตด้านราคาที่แรงมากตั้งแต่แรก ทั้งจากความเป็นของใหม่ที่แพงด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว ตีคู่กับยุคที่ชิปขาดแคลนพอดี เลยกลายเป็นปีเปิดตัวที่ของขาดตลาดหนักสุด ๆ คือไม่เคยมีใครได้เห็นของ บอกว่ายังไม่เคยเปิดตัวปีนั้นเลยยังน่าเชื่อถือกว่า

แต่ปีนี้แหละที่หลายอย่างจะเริ่มนิ่งขึ้น ความขาดแคลนเริ่มลดลงไปบ้าง แรม DDR5 จะถูกนำมาใช้กับโน้ตบุ๊คแบบเป็นสามัญกว่าเดิม ดังนั้นรุ่นไหนที่เคยกั๊ก ๆ ใส่แรมมาให้มาแค่ 8GB ในปีก่อน ปีนี้ก็จะได้เห็นรุ่นตัวเลือก 16GB เข้ามามากขึ้น โดยเฉพาะตัวที่ใช้ซีพียู AMD Ryzen 7000 ซึ่งโดนบังคับใช้แรม DDR5 อยู่แล้วก็จะมีให้เลือกแน่นอน ฉะนั้นใครที่ตัดสินใจจะซื้อเครื่องใหม่ปีนี้ก็จะได้ของใหม่ของแรงแบบจุก ๆ คูณสองกันไปเลย แต่ราคาก็จะแรงขึ้นคูณสองตามเหมือนกันนะ (ถ้ารวมการ์ดจอใหม่ด้วยก็แรงคูณสามไปอีก เพราะก็เพิ่งมาในรอบ 2 ปีเหมือนกัน)

ส่วนโน้ตบุ๊คฝั่งซีพียู Intel ซึ่ง Gen 13 ปีนี้อย่างที่บอกไปว่าเป็นตัวตีบวกจาก Gen 12 ดังนั้นคอนเซปต์ก็จะยังคงเหมือนเดิมคือใช้ได้กับทั้งแรม DDR4 และ DDR5 ตัวเลือกโน้ตบุ๊คในตลาดเลยจะยังคงหลากหลายกว่า AMD คือมีรุ่นลดต้นทุนแรมแต่ยังได้ซีพียูใหม่ด้วย ทั้งนี้เลยขึ้นอยู่กับว่าใครชอบและพร้อมจ่ายแบบไหนมากกว่ากัน (ส่วนกลุ่มโน้ตบุ๊คทำงานก็จะเน้นแรม LPDDR5 เหมือนเดิม ซึ่งมีมาก่อนนานแล้ว)

อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวคิดว่าการลงทุนกับแรม DDR5 ในปีนี้เลยก็เป็นทางเลือกที่ไม่แย่ แม้ราคาจะแอบแรงหน่อยและต้องซื้อคู่กับซีพียูใหม่เท่านั้น แต่อย่าลืมว่ามันคือการข้ามเจนจาก DDR4 ที่อยู่มาแล้วร่วม 10 ปี ซึ่งความเร็วที่เพิ่มขึ้นมันก็สร้างความแตกต่างในการใช้งานจริงแน่นอน (ยิ่งกว่าซีพียูที่แรงขึ้นทีละน้อยทุกปีซะอีก) ดังนั้นใครที่ใช้งานโน้ตบุ๊คเก่ามาร่วม 4-5 ปีแล้ว หากพร้อมแล้วสำหรับการอัปเกรด นี่ก็ถือเป็นนิมิตหมายอันดีมาก คิดเสียว่าเจ็บแต่จบ ลงทุนครั้งเดียวใช้ยาว ๆ ครับ (แต่ถ้าไม่พร้อมก็ไม่ว่ากันนะ)

 

หน้าจอ OLED / Mini LED ตีตลาดหนักขึ้น และจอพับมาแรงกว่าเดิม

จบที่ฝั่งไส้ในไปแล้ว เรามาพูดถึงฝั่งไส้นอกกันบ้าง ไฮไลต์เด็ดอีกอย่างในปีนี้คือเราเห็นโน้ตบุ๊คเกมมิ่งหลายรุ่น ได้ใช้จอ Mini LED กันเยอะขึ้นแล้ว เช่น MSI Titan, Acer Predator, ASUS ROG เกือบทุกรุ่น และอื่น ๆ (ส่วนใหญ่ยังเฉพาะบนซีรีส์ท็อป) จากเดิมปีก่อนยังมีประปรายแค่ไม่กี่ตัว เรียกว่ากลายมาเป็นตัวเลือกกระแสหลักกระแสใหม่ที่ตีคู่พร้อมแรม DDR5 ให้เลยสำหรับคนงบถึง

เช่นเดียวกับจอ OLED ที่จริง ๆ เริ่มเยอะมาสักพักแล้วในปี 2022 ส่วนใหญ่ยังอยู่เฉพาะบนกลุ่มโน้ตบุ๊คทำงาน แต่จะเห็นเริ่มลามลงมาอยู่กับรุ่นกลาง ๆ เยอะขึ้น อย่าง ASUS Vivobook, Acer Swift บางรุ่นราคาไม่ถึง 30,000 บาท ก็ได้จอ OLED ที่ทั้งสีสวยและสีตรงเป๊ะกันหมดแล้ว ปีนี้ก็คงจะยิ่งจัดหนักกันมากกว่าเดิม รุ่นกลางอาจจะได้เห็น OLED 2K บวก ๆ กันเป็นปกติ หรือรุ่นเริ่มต้นอาจมีสิทธิ์ได้ใช้ OLED กับเค้าแล้วก็เป็นได้

ส่วนโน้ตบุ๊คเกมมิ่ง ปีก่อนเห็นแค่ MSI กับ Razer อยู่สองเจ้าที่เจาะตลาดจอ OLED ปีนี้ก็อาจจะมีคู่แข่งโผล่มาเล็กน้อย แต่คงยังไม่เยอะเท่า Mini LED อยู่ดี เชื่อว่าน่าจะเพราะ OLED ยังคงต้นทุนสูงกว่าเหมือนเดิม แถมมีสิทธิ์จอเบิร์นได้ง่ายหากอยู่กับความร้อนของสเปคเกมมิ่งตลอดเวลา เลยยังไม่มีค่ายไหนสนใจเลือกใช้เป็นกิมมิกหลักเท่าไหร่ แต่ไม่แน่ เดี๋ยวรอลุ้นกลางปีอีกทีว่าจะมีเซอร์ไพรส์อะไรเปิดมาเพิ่มเยอะรึเปล่า

ส่วนกระแสที่ไม่พูดไม่ได้เลยก็คือโน้ตบุ๊คจอพับ OLED หลังจากได้รับอิทธิพลมาจากฝั่งมือถือ ในปี 2020 Lenovo ได้ออก ThinkPad X1 Fold สู่ตลาดนี้เป็นเจ้าแรกของโลก (แต่ขายจริง 2021) ตามด้วย X1 Fold Gen 2 ในปี 2022 และ ASUS ก็ออก ZenBook Fold 17 OLED ตามมาแข่งติด ๆ ปีนี้คงจะได้เห็นเทรนด์นี้ถูกต่อยอดขึ้นมาอีกในหลายยี่ห้อและหลายรุ่นแน่นอน แต่เชื่อว่าราคาคงยังไม่ถูกลงได้เร็ว ๆ นี้ เพราะยังเป็นของใหม่อยู่

 

สรุปแนวทางการเลือกสเปค และเรทราคาที่ได้

เนื่องจากวันที่เขียนบทความนี้คือหลังงาน CES หมาด ๆ ซึ่งคือช่วงยังมีโน้ตบุ๊คที่เปิดตัวไม่เยอะรุ่นมาก แถมรุ่นที่เปิดแล้วส่วนใหญ่ก็ยังมีเฉพาะรุ่นท็อป ทั้งที่ยังไม่วางขายหรือยังไม่มีราคาบอก ฉะนั้นข้อมูลด้านราคาที่ออกมาเลยจะเป็นในเชิงคาดการณ์อยู่เยอะ แต่ก็จะใช้ข้อมูลที่มีอยู่แล้วผสมกับแนวโน้มจากปีก่อน บอกเล่าออกมาให้ตรงที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ครับ

สเปคและเรทราคาโน้ตบุ๊คเกมมิ่งปี 2023

ปีนี้เป็นยุคข้าวยากหมากแพงที่ได้รับผลต่อเนื่องมาจากวิกฤตเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมา ดังนั้นราคาโน้ตบุ๊คจะไม่ค่อยถูกเหมือนแต่ก่อนเท่าไหร่ โดยเฉพาะเกมมิ่งรุ่นขวัญใจยอดนิยมของหลาย ๆ คน ปีนี้อาจจะแพงขึ้นกว่าอดีต 4,000 – 5,000 บาทเป็นอย่างน้อย แต่ก็แลกมากับข้อดีหลายอย่างที่มีเพิ่มบ้าง เช่น ชิปแรงก้าวกระโดดขึ้น, เทคโนโลยีเจนใหม่มาตรึม รวมถึงโน้ตบุ๊ครุ่นเริ่มต้นก็ค่อย ๆ ได้ดีไซน์ที่ดีใกล้เคียงรุ่นใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว

1. โน้ตบุ๊คเกมมิ่งรุ่นเริ่มต้น

สเปคมาตรฐานขั้นต่ำที่สุดที่คนน่าจะสนใจเยอะสำหรับโน้ตบุ๊คกลุ่มนี้ก็ คือ

  • ซีพียู Intel Core i5-13600H (4P+8E/16T) / AMD Ryzen 5 7640HS (6C/12T)
  • การ์ดจอ GeForce RTX 4050 (6GB) / Radeon RX 7600M (8GB)
  • แรม 16GB DDR4 Bus 3200 MHz / 8GB DDR5 Bus 4800 MHz
  • SSD M.2 PCIe 4.0 512GB
  • จอ 15.6 นิ้ว, Full HD (1,920 x 1,080), IPS, 144Hz
  • Windows 11 Home

โน้ตบุ๊คยอดนิยมในกลุ่มนี้ ได้แก่ Acer Nitro 5, ASUS TUF Dash F15/A15, Lenovo IdeaPad Gaming 3/3i, MSI Cyborg 15, HP Vitus 15, Dell G15 และอื่น ๆ โดยทุกรุ่นตอนนี้ยังไม่มีเปิดตัวของใหม่ เพราะปกติจะไปเปิดกันเยอะช่วงกลางปี ราคาเปิดตัวคาดการณ์คือ 35,000 – 40,000 บาท (Cyborg 15 เริ่มต้นที่ 999 เหรียญ ~ 33,000 บาท ไม่รวมภาษี)

2. โน้ตบุ๊คเกมมิ่งรุ่นกลาง

สเปคมาตรฐานที่คนน่าจะสนใจเยอะสำหรับโน้ตบุ๊คกลุ่มนี้ก็ คือ

  • ซีพียู Core i7-13700H, i9-13900H (6P+8E/20T) / Ryzen 7 7735HS, Ryzen 9 7940HS (8C/16T)
  • การ์ดจอ GeForce RTX 4060, RTX 4070 (8GB) / Radeon RX 7600M XT (8GB), RX 7700M (10GB)
  • แรม 8/16GB DDR5 Bus 4800 MHz
  • SSD M.2 PCIe 4.0 512GB/1TB
  • จอ 15.6-17.3 นิ้ว, Full HD, IPS, 144-165Hz หรือ QHD (2K), IPS, 240Hz
  • Windows 11 Home

โน้ตบุ๊คยอดนิยมในกลุ่มนี้ ได้แก่ Acer Nitro 16/17, ASUS TUF Gaming A15/F15/A16/A17/F17, Lenovo Legion 5/5i, MSI Stealth 15, HP Vitus 16/Omen 16, Dell G15 และอื่น ๆ ตอนนี้มีบางรุ่นเปิดตัวมาแล้วแต่ยังไม่บอกราคา ส่วนอันที่ใส่ราคาคร่าว ๆ ก็บอกสเปคไม่ละเอียด ราคาเปิดตัวคาดการณ์คือ 42,000 – 65,000 บาท (Nitro 16/17 เริ่มต้นที่ 1,200 เหรียญ ~ 40,800 บาท ไม่รวมภาษี)

3. โน้ตบุ๊คเกมมิ่งรุ่นกลาง-บน

สเปคในกลุ่มนี้ค่อนข้างกว้าง ส่วนใหญ่ถ้าเน้นซีพียูแรงสุดไปเลยอย่างรหัส HX ก็มักจะให้การ์ดจอเบาลงมาหน่อย หรือถ้าเน้นการ์ดจอก็จะลดต้นทุนซีพียูลงมาเป็นรหัส H, HS แทน (แล้วแต่ยี่ห้อมาก) ระบุไว้คร่าว ๆ คือ

  • ซีพียู Core i5 / i7 / i9 รหัส H, HX (สูงสุด 8P+16E/32T) / Ryzen 5 / Ryzen 7 / Ryzen 9 รหัส HS, HX (สูงสุด 16C/32T)
  • การ์ดจอ RTX 4080 (12GB), RTX 4090 (16GB) / Radeon RX 7800M (12GB) หรือสูงกว่า (ถ้ามี)
  • แรม 16/32GB DDR5 Bus 4800/5200 MHz
  • SSD M.2 PCIe 4.0 512GB/1TB/2TB
  • จอ 15.6-17.3 นิ้ว QHD (2K), IPS/Mini LED, 240-250Hz
  • Windows 11 Home/Pro

โน้ตบุ๊คยอดนิยมในกลุ่มนี้ ได้แก่ Predator Helios 16/18, ROG Zephyrus G14/416/M16, Lenovo Legion 7/7i, HP Omen 17, Dell G16 และอื่น ๆ คล้ายกับรุ่นกลางเลยคือมีหลายรุ่นเปิดมาแล้ว แต่รายละเอียดยังไม่เยอะ แถมตลาดนี้แอบจัดกลุ่มยากเพราะมีหลากรุ่นหลากราคาอย่างที่บอกไป ทำให้ต้องตีเลขเริ่มต้นไว้กว้าง ๆ หน่อยคือ 59,000 – 90,000 บาท (Helios 16 เริ่มต้นที่ 1,650 เหรียญ ~ 55,000 บาท ไม่รวมภาษี)

4. โน้ตบุ๊คเกมมิ่งรุ่นไฮเอนด์

สเปคคงไม่ต้องเดาเยอะ น่าจะเป็นแบบเกือบสุดถึงสุดทุกทางแล้วสำหรับซีรีส์นี้ คือ

  • ซีพียู Core i7 / i9 รหัส HX (สูงสุด 8P+16E/32T) / Ryzen 7 / Ryzen 9 รหัส HX (สูงสุด 16C/32T)
  • การ์ดจอ GeForce RTX 4090 (16GB)
  • แรม 32/64/128GB DDR5 Bus 4800/5200/5600/6400 MHz
  • SSD M.2 PCIe 4.0 2TB/4TB
  • จอ 15.6-18 นิ้ว FHD-QHD (2K), IPS, 165-480Hz หรือ Mini LED 240Hz / UHD (4K), Mini LED, 120-144Hz
  • Windows 11 Home/Pro

โน้ตบุ๊คยอดนิยมในกลุ่มนี้ ได้แก่ ROG Strix SCAR 16/17/18, MSI Titan GT77/Raider GE78HX, Alienware X14/X16/M16/M18, Razer Blade 16/18 และอื่น ๆ ราคาเปิดตัวคาดการณ์คือ 100,000 – 180,000 บาท (อ้างอิงตามราคาปีที่แล้ว)

สเปคและเรทราคาโน้ตบุ๊คทำงานปี 2023

จริง ๆ ต้องยอมรับตามตรงว่าผู้เขียนเป็นสายเชี่ยวชาญโน้ตบุ๊คเกมมิ่งมากกว่าโน้ตบุ๊คทำงาน เลยจะให้ข้อมูลได้ไม่ครอบคลุมเท่า ที่สำคัญคือฝั่งโน้ตบุ๊คทำงานเค้าก็มีตัวเลือกเยอะมาก คือแทบจะในทุกหย่อมราคาเลย เช่นมีรุ่นที่ลดสเปคนี้ไปเพิ่มสเปคนี้แทนแต่ราคาเท่ากัน (หยิบย่อยกว่าฝั่งเกมมิ่งสุด ๆ) เลยจะลำบากในการจัดกลุ่มสเปคราคาหน่อย แต่ก็จะพยายามให้ข้อมูลที่ครอบคลุมมากสุดเท่าที่เป็นไปได้ครับ

อย่างที่ทราบกันว่าโน้ตบุ๊คทำงานคือรุ่นที่เน้นตัวเครื่องน้ำหนักเบา พกพาง่าย และงานใช้แบตเตอรี่ได้หลายชั่วโมง ดังนั้นซีพียูที่ใช้จะเน้นรหัส P, U (Intel) และ HS, U (AMD) ซึ่งเป็นตัวประหยัดพลังงานเป็นหลัก และจะมีตัวเลือก Core i3, Ryzen 3, Intel Processor, Athlon Gold มาให้เลือกเพิ่มเติมสำหรับราคาประหยัด (หรือกระทั่งซีพียู Arm อย่าง Snapgragon แต่ก็ยังน้อยมากอยู่) เดี๋ยวมาดูกันว่าโน้ตบุ๊คที่ได้จะอยู่เรทราคาเท่าไหร่

1. โน้ตบุ๊คทำงานรุ่นเริ่มต้น

สเปคมาตรฐานขั้นต่ำที่สุดที่คนน่าจะสนใจเยอะสำหรับโน้ตบุ๊คกลุ่มนี้ก็ คือ

  • ซีพียู Intel U300 (1P+4E/6T) Core i3-1315U (2P+4E/8T) / AMD Ryzen 3 7335U (4C/8T) / Athlon Gold 7220U (2C/4T) / Snapdragon 7c
  • การ์ดจอออนบอร์ด Intel UHD Graphics (64EU) / Radeon 610M/660M (2/4 Core)
  • แรม 4/8GB DDR4/LPDDR4/LPDDR5 Bus สูงสุด 3200 (หรือ DDR5 Bus 4800 เฉพาะ AMD)
  • SSD M.2 PCIe 3.0/4.0 256-512GB
  • จอ 14/15.6 นิ้ว, Full HD (1,920 x 1,080), IPS, 60Hz
  • Windows 11 Home

โน้ตบุ๊คยอดนิยมในกลุ่มนี้ ได้แก่ Acer Aspire 3, ASUS ExpertBook L1, Lenovo V14, Infinix InBook, RedmiBook 15 และอื่น ๆ โดยทุกรุ่นตอนนี้ยังไม่มีเปิดตัวของใหม่ เพราะปกติจะไปเปิดกันเยอะช่วงกลางถึงปลายปี ราคาเปิดตัวคาดการณ์คือ 10,000 – 18,000 บาท (อ้างอิงจากราคาปีที่แล้ว) ส่วนใหญ่คนที่สนใจโน้ตบุ๊คตลาดนี้มักหยิบรุ่นเก่าลดราคา 1-2 ปีที่แล้วมาเปรียบเทียบด้วย เพราะซื้อของใหม่ที่ซีพียูเจนใหม่อย่างเดียวใช่ว่าจะดีเสมอไป ต้องดูความคุ้มอย่างอื่นรวม ๆ กัน

2. โน้ตบุ๊คทำงานรุ่นกลาง

สเปคมาตรฐานที่คนน่าจะสนใจเยอะสำหรับโน้ตบุ๊คกลุ่มนี้ก็ คือ

  • ซีพียู Intel Core i5/i7 รหัส U / Core i5 รหัส P / AMD Ryzen 5/Ryzen 7 รหัส U/HS
  • การ์ดจอออนบอร์ด Intel Iris Xe Graphics (80EU) / Radeon 660M (4 Core) / บางรุ่นเริ่มมีการ์ดจอแยก เช่น MX550/MX570 หรือ NVIDIA เจนเก่า
  • แรม 8/16GB DDR4/LPDDR4/LPDDR5 Bus สูงสุด 3200 (หรือ DDR5 Bus 4800 เฉพาะ AMD)
  • SSD M.2 PCIe 3.0/4.0 512GB
  • จอ 14-17.3 นิ้ว, FHD/QHD (2K), IPS/OLED 60-90Hz
  • Windows 11 Home

โน้ตบุ๊คยอดนิยมในกลุ่มนี้ ได้แก่ ASUS Vivobook OLED, Acer Aspire 5, MSI Modern, Dell XPS, Lenovo IdeaPad Slim, Huawei MateBook และอื่น ๆ โดยทุกรุ่นตอนนี้ยังไม่มีเปิดตัวของใหม่ เพราะปกติจะไปเปิดกันเยอะช่วงกลางถึงปลายปี ราคาเปิดตัวคาดการณ์คือ 18,000 – 32,000 บาท (อ้างอิงจากราคาปีที่แล้ว)

3. โน้ตบุ๊คทำงานรุ่นกลาง-บน

สเปคมาตรฐานที่คนน่าจะสนใจเยอะสำหรับโน้ตบุ๊คกลุ่มนี้ก็ คือ

  • ซีพียู Intel Core i7 รหัส U/P/H / AMD Ryzen 7/Ryzen 9 รหัส U/HS
  • การ์ดจอออนบอร์ด Intel Iris Xe Graphics (96EU) / Radeon 760M/780M (8-12 Core) / บางรุ่นมีการ์ดจอแยก เช่น RTX 4050
  • แรม 16/32GB LPDDR5/DDR5 Bus สูงสุด 6400
  • SSD M.2 PCIe 4.0 512GB/1TB
  • จอสัมผัส 14-17.3 นิ้ว, QHD (2K) / UHD 4K, IPS/OLED 60-120Hz
  • Windows 11 Home/Pro

โน้ตบุ๊คยอดนิยมในกลุ่มนี้ ได้แก่ ASUS Zenbook, HP Envy, Lenovo Yoga/ Yoga Slim, Microsoft Surface และอื่น ๆ ที่เหมือนกับรุ่นกลางธรรมดา แต่เป็นตัวเลือกซีพียูที่สเปคสูงกว่า, ความจุเยอะกว่า, แบตอึดขึ้น, อัปเกรดจอหรือภายนอกบางอย่างเพิ่มเติม และเน้นวัสดุโลหะเกรดพรีเมียมไปเลย ราคาเปิดตัวคาดการณ์คือ 32,000 – 70,000 บาท (อ้างอิงจากราคาปีที่แล้ว)

3. โน้ตบุ๊คทำงานรุ่นไฮเอนด์

สเปคมาตรฐานที่คนน่าจะสนใจเยอะสำหรับโน้ตบุ๊คกลุ่มนี้ก็ คือ

  • ซีพียู Intel Core i7/i9 รหัส H / AMD Ryzen 7/Ryzen 9 รหัส HS (หรือนอกเหนือจากนี้)
  • การ์ดจอออนบอร์ด Intel Iris Xe Graphics (96EU) / Radeon 760M/780M (8-12 Core) / บางรุ่นมีการ์ดจอแยก เช่น RTX 4050, 4060
  • แรม 16/32GB LPDDR5/DDR5 Bus สูงสุด 6400
  • SSD M.2 PCIe 4.0 1TB
  • จอสัมผัส 14-17.3 นิ้ว/จอพับ, QHD (2K) / UHD 4K, IPS/OLED/Mini-LED 60-120Hz
  • Windows 11 Home/Pro

โน้ตบุ๊คยอดนิยมในกลุ่มนี้ จะเป็นรุ่นที่มีการออกแบบที่แหวกแนวไปเลย เช่น ASUS Zenbook Pro Duo OLED (รุ่นที่มีหน้าจอพิเศษที่ 2), ASUS Zenbook 17 Fold (จอพับ), Lenovo ThinkPad X1 Fold (จอพับ), Microsoft Surface Laptop Studio และอื่น ๆ ฉะนั้นสเปคจะไม่ใช่ประเด็นหลักที่มีผลต่อราคา แต่คือกิมมิกด้านการออกแบบและความไม่เหมือนใครล้วน ๆ ราคาเปิดตัวคาดการณ์ของโน้ตบุ๊คกลุ่มนี้ (กว้างมาก) อยู่ที่ 60,000 – 130,000 บาท (อ้างอิงจากราคาปีที่แล้ว)

ก็จบกันไปแล้วนะครับสำหรับบทความแนะนำการเลือกสเปคโน้ตบุ๊ครุ่นใหม่ประจำปี 2023 นี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นประโยชน์ให้กับทุกคนที่กำลังวางแผนเลือกซื้อคอมใหม่ปีนี้กันอยู่ หรือหากไม่ได้สนใจตอนนี้ก็มาศึกษาหรือใช้เป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนข้อมูลด้านพีซีร่วมกันแทนได้ ต้องขออภัยด้วยครับถ้าหากมีข้อมูลบางอย่างผิดพลาดบ้าง รวมถึงยังไม่ได้เขียนครอบคลุมถึงวงการคอมประกอบ DIY ด้วย หากมีโอกาสเดี๋ยวได้ทำเพิ่มเติมแน่นอน ขอบพระคุณมาก ๆ สำหรับการติดตามซึ่งได้อ่านกันมาจนถึงตรงนี้

from:https://droidsans.com/windows-laptops-2023-specs-guideline/

Advertisement

Qualcomm และ Salesforce จับมือร่วมกันบนแพลตฟอร์ม Connected Car ใหม่

จะช่วยให้ผู้ผลิตรถยนต์สามารถปรับแต่งประสบการณ์ของลูกค้าโดยใช้ข้อมูลแบบเรียลไทม์ จากการประกาศของ Qualcomm ในงาน CES 2023 ว่ากำลังร่วมมือกับ Salesforce เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์ม connected car ใหม่ สำหรับผู้ผลิตรถยนต์
 

แพลตฟอร์มใหม่นี้ เป็นการผสมผสานโซลูชัน Automotive Cloud ของ Salesforce และแพลตฟอร์ม Snapdragon Digital Chassis ของ Qualcomm เพื่อช่วยให้ผู้ผลิตยานยนต์ปรับแต่งประสบการณ์ของลูกค้าโดยใช้ข้อมูลแบบเรียลไทม์ จากนั้นจึงจะสามารถปรับใช้บริการใหม่เหล่านี้ได้อย่างกว้างขวางทั่วทั้งยานพาหนะที่กำหนดโดยซอฟต์แวร์ (SDVs)
 
ผู้ผลิตรถยนต์และซัพพลายเออร์จะได้ใช้ Snapdragon Digital Chassis เพื่อส่งมอบเทคโนโลยีช่วยเหลือการขับขี่อัตโนมัติ รวมถึงการเชื่อมต่อกับระบบคลาวด์และระบบสาระบันเทิง ซึ่งมีกลุ่มลูกค้าที่ใช้งานแล้ว ได้แก่ Cadillac, Mercedes, Stellantis และ Afeela กับ Honda ซึ่งเป็นแบรนด์ที่เพิ่งประกาศจาก Sony
ประโยชน์ที่ได้จากการทำงานร่วมกันของ Qualcomm และ Salesforce สำหรับการใช้แชสซีดิจิทัลควบคู่กับ Automotive Cloud ของรุ่นถัดไป
  • สามารถสร้างรายได้ผ่านความเข้าใจที่ดีขึ้นจากผู้ใช้รถและพฤติกรรมของพวกเขาผ่านข้อมูลรถและคนขับที่ถูกเชื่อมต่อไว้
  • ช่วยให้ผู้ผลิตรถยนต์สามารถกำหนดค่าคุณลักษณะของยานพาหนะแบบไดนามิกเพื่อรองรับบริการใหม่ๆ
  • ช่วยลดต้นทุนที่เกิดขึ้นประจำและให้การอัปเกรดที่ราบรื่นสำหรับผู้บริโภค
  • ทำให้เห็นการสร้าง Digital Twin ของ Snapdragon Digital Chassis บนระบบคลาวด์ยานยนต์ ซึ่งให้มุมมองแบบ 360 องศาที่สมบูรณ์ของลูกค้าและยานพาหนะสำหรับหลายโดเมน
Snapdragon Digital Chassis ของ Qualcomm แสดงศักยภาพและแนวคิดในการออกแบบโดยโดยเน้นย้ำถึงนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วย AI จำนวนมาก รวมถึงวิธีที่การผสานการจดจำใบหน้าและการยืนยันตัวตนด้วยไบโอเมตริกจะช่วยให้ผู้ขับขี่รถยนต์ซื้อฟีเจอร์และเนื้อหาใหม่ๆ ที่ทำให้ SDV มีชีวิตมากยิ่งขึ้น
 

from:https://www.techtalkthai.com/qualcomm-and-salesforce-partner-on-new-connected-car-platform/

LG เปิดตัวทีวี OLED และตู้เย็น เทคโนโลยีใหม่ในงาน CES 2023

LG เปิดตัวทีวี OLED และตู้เย็น เทคโนโลยีใหม่ในงาน CES 2023
Cherry Cola

ครั้งแรกของโลก LG เปิดตัวทีวี OLED ที่มาพร้อมเทคโนโลยี  Zero Connect ณ งาน CES 2023 ที่ลาสเวกัส และตู้เย็นพร้อมเทคโนโลยี MoodUP พร้อมแต่งแต้มไลฟ์สไตล์ของคุณให้มีสีสันยิ่งขึ้น กับห้องครัวที่ตกแต่งด้วยสีประจำปี พ.ศ. 2566 จากแพนโทน เปิดตัวนวัตกรรมทีวี SIGNATURE OLED M (Model M3) ขนาด 97 นิ้ว ทีวีสำหรับผู้บริโภคเครื่องแรกของโลกที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี Zero Connect โซลูชันรับส่งสัญญาณวิดีโอและเสียงไร้สายแบบเรียลไทม์ที่สามารถรองรับการส่งสัญญาณภาพความละเอียดระดับ 4K 120Hz ช่วยมอบคุณภาพของภาพและเสียงที่เหนือกว่า พร้อมเพิ่มความสะดวกในการติดตั้งและเชื่อมต่อมากขึ้น

LG OLED with Zero Connect 3 | CES 2023 | LG เปิดตัวทีวี OLED และตู้เย็น เทคโนโลยีใหม่ในงาน CES 2023

โดยปกติแล้ว ทีวีรุ่นทั่วไปมักจะมีช่องสำหรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ภายนอกทั้งหมดอยู่บริเวณด้านหลังหรือด้านข้างของตัวทีวี แต่ทีวีรุ่น M3 ล่าสุดจากแอลจีมาพร้อมกับกล่อง Zero Connect ที่สามารถส่งสัญญาณวิดีโอและเสียงสู่จอทีวีสำหรับคอภาพยนตร์ขนาด 97 นิ้วเครื่องนี้ได้แบบไร้สาย และจากการที่กล่อง Zero Connect สามารถติดตั้งห่างจากตัวทีวีได้ ทำให้บรรยากาศในการรับชมความบันเทิงภายในบ้านเป็นระเบียบเรียบร้อยยิ่งขึ้น เนื่องจากไร้สายรบกวนสายตา และมอบอิสระในการจัดการพื้นที่ภายในบ้านให้กับผู้ใช้มากขึ้น โดยกล่อง Zero Connect มาพร้อมกับช่องสำหรับเสียบอุปกรณ์ที่หลากหลาย เพื่อใช้สำหรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ HDMI ที่เป็นที่นิยมต่าง ๆ เช่น กล่องรับสัญญาณเคเบิลหรือดาวเทียม เกมคอนโซล และนอกจากนี้ ยังสามารถใช้เชื่อมต่อกับลำโพงซาวด์บาร์รุ่นที่รองรับแบบไร้สายได้ เพื่อมอบเสียงที่ก้องกังวานและทรงพลัง พร้อมความสะดวกในการเชื่อมต่อแบบไร้สายเพิ่มเติม

LG OLED with Zero Connect 1 | CES 2023 | LG เปิดตัวทีวี OLED และตู้เย็น เทคโนโลยีใหม่ในงาน CES 2023

โซลูชันแบบไร้สายของแอลจีถูกพัฒนาต่อยอดมาจากเทคโนโลยีล้ำสมัยเพื่อนำเสนอระบบรับส่งสัญญาณวิดีโอและเสียงสู่หน้าจอ OLED ที่สร้างความดำสนิทและสีสันสมจริงของทีวีแอลจี M3 ทำให้ผู้ใช้สามารถรับชมเนื้อหาที่มีความละเอียดระดับ 4K 120Hz พร้อมระบบเสียงที่คมชัดโดยปราศจากการรบกวนหรือคุณภาพที่ลดลง เพื่อให้แน่ใจว่าการส่งข้อมูลจากกล่อง Zero Connect สู่ทีวีแอลจีจะสามารถดำเนินไปได้อย่างไร้รอยต่อ แอลจีจึงได้พัฒนาอัลกอริทึมที่ช่วยกำหนดเส้นทางการส่งสัญญาณที่เหมาะสมที่สุดขึ้น นอกจากนี้ อัลกอริทึมดังกล่าวยังช่วยลดข้อผิดพลาดหรือสิ่งรบกวนจากการตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมได้ในทันที เช่น
เมื่อคนหรือสัตว์เลี้ยงกำลังเดินอยู่ในห้อง อัลกอริทึมจะเปลี่ยนเส้นทางการส่งสัญญาณให้เหมาะสมตามการเคลื่อนไหวดังกล่าวได้ นอกจากนี้ เพื่อการส่งสัญญาณในระดับความแรงสูงสุด เสาอากาศของกล่องรับสัญญาณดังกล่าวยังสามารถถูกปรับด้วยการหมุนหรือเอียงเสาให้ตรงกับจุดติดตั้งทีวีได้อย่างง่ายดาย และเพื่อการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด กล่อง Zero Connect ยังสามารถรองรับเทคโนโลยีการจดจำเสียง ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้จะสามารถเปิดปิดและควบคุมทีวีแอลจี M3 และอุปกรณ์เชื่อมต่อต่าง ๆ ผ่านคำสั่งเสียงได้อย่างง่ายดาย 

LG OLED with Zero Connect 2 | CES 2023 | LG เปิดตัวทีวี OLED และตู้เย็น เทคโนโลยีใหม่ในงาน CES 2023

แม้ว่าทีวีแอลจีรุ่น M3 จะมาพร้อมหน้าจอที่มีขนาดใหญ่พิเศษ แต่ก็ยังสามารถกลมกลืนไปกับการตกแต่งภายในบ้านได้อย่างลงตัว ด้วยดีไซน์สำหรับการติดตั้งแบบติดผนัง (One Wall Design) โดยทีวีแอลจีรุ่น M3 และขาแขวนทีวีในตัวจะถูกติดตั้งแบบชิดติดผนังโดยไม่มีช่องว่าง จึงช่วยมอบสุนทรียภาพที่สวยงาม ทันสมัย เปรียบเสมือนการแสดงภาพศิลปะในอาร์ตแกลอรี่ที่สามารถนำเสนอคุณภาพของภาพได้อย่างโดดเด่น จากการสร้างความดำสนิทและสีสันสมจริง นอกจากนี้ ทีวี 4K OLED แบบไร้สายของแอลจี ซึ่งมาพร้อมเทคโนโลยีที่
ล้ำสมัยและการออกแบบที่น่าทึ่ง ยังได้รับรางวัลด้านนวัตกรรมถึง 2 หมวดหมู่ ภายใน งาน CES 2023 อีกด้วย

นอกจากนี้ แอลจียังมอบไลฟ์สไตล์ที่มีสีสันยิ่งขึ้นภายในห้องครัว ด้วยการนำเสนอเฉดสีใหม่ที่น่าตื่นเต้นสำหรับนวัตกรรมตู้เย็นสุดล้ำที่มาพร้อมเทคโนโลยี MoodUP เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่สามารถปรับให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้ใช้แต่ละคน โดยแอลจีได้ร่วมมือกับสถาบันสีแพนโทน (Pantone Color Institute) ที่มีชื่อเสียงระดับโลก ในการนำสี Viva Magenta ที่ถูกคัดเลือกให้เป็นสีประจำปี พ.ศ. 2566 มาเป็นตัวเลือกเฉดสีใหม่ล่าสุดให้กับตู้เย็นสุดล้ำที่สามารถเปลี่ยนสีได้จากแอลจี

LG Refrigerator with MoodUP 1 | CES 2023 | LG เปิดตัวทีวี OLED และตู้เย็น เทคโนโลยีใหม่ในงาน CES 2023

ภายในงาน CES 2023 ตู้เย็นแอลจีที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี MoodUP ยังมาพร้อมตัวเลือกสีสันที่สดใสและน่าตื่นเต้นมากมาย ช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้สามารถตกแต่งห้องครัวให้มีชีวิตชีวาได้อย่างง่ายดายผ่านการสั่งงานบนแอปพลิเคชัน LG ThinQTM ได้ทุกเวลาที่ต้องการเปลี่ยนสีของตู้เย็นให้เข้ากับอารมณ์ความรู้สึกในช่วงเวลานั้น โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมและไม่ต้องเผชิญกับความยุ่งยากในการนำวัสดุตกแต่งมาเปลี่ยนใหม่ด้วยตนเอง

การเพิ่มตัวเลือกสี Viva Magenta สีแดงเข้มที่สะท้อนถึงความกล้าหาญและไร้ซึ่งความกลัว นอกจากจะช่วยสร้างความตื่นเต้นเร้าใจให้กับพื้นที่ส่วนตัวของผู้ใช้แต่ละคน โดยเพิ่มชีวิตชีวาให้กับบรรยากาศภายในบ้านด้วยสีสันที่สดใสแล้ว ยังทำให้ในปัจจุบัน ผู้ใช้สามารถเลือกเฉดสีที่ทันสมัยสำหรับบานประตูตู้เย็นด้านบนได้ทั้งหมด 23 สี โดยผู้ใช้ตู้เย็นแอลจีรุ่น French Door แบบ 4 ประตู สามารถเลือกมิกซ์แอนด์แมทช์เฉดสีได้อย่างอิสระจนกว่าจะพึงพอใจ จากตัวเลือกในการจับคู่สีตามใจชอบที่สามารถจับคู่กันได้กว่า 190,000 รูปแบบ 

สำหรับผู้ที่ชอบตกแต่งห้องครัวในแบบที่เรียบง่ายก็สามารถปรับเฉดสีบานประตูตู้เย็นแอลจีที่มาพร้อมแผงไฟ LED ด้วยเทคโนโลยี MoodUP™ ได้เช่นเดียวกัน โดยเลือกใช้การจับคู่สีที่มีเสน่ห์ด้วยสี Lux Gray และ
Lux White ซึ่งเป็นเฉดสีที่ให้ความรู้สึกสงบ สบายตา พร้อมสะท้อนความหรูหราล้ำลึกแบบเหนือกาลเวลา อีกทั้งยังสามารถผสมผสานเข้ากับการตกแต่งบ้านทุกรูปแบบได้อย่างลงตัว และยังช่วยเน้นความโดดเด่นให้กับการตกแต่งภายในที่ใช้หินสีต่าง ๆ ได้อย่างเป็นธรรมชาติและมีชั้นเชิง

ติตตามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอัพเดทล่าสุดจากแอลจีและกิจกรรมที่น่าตื่นเต้นภายในงาน CES 2023 ได้ที่เว็ปไซต์ของแอลจีที่ www.LG.com/CES2023 และยูทูป LG Global YouTube

ข่าว: LG เปิดตัวทีวี OLED และตู้เย็น เทคโนโลยีใหม่ในงาน CES 2023 มีที่มาจาก: แอพดิสคัส.

from:https://www.appdisqus.com/lg-showcases-new-oled-tvs-and-refrigerators-at-ces-2023/

ซัมซุงยกระดับการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนไปอีกขั้น ณ งาน CES 2023

ซัมซุงเปิดตัวนวัตกรรมเพื่อก้าวเข้าสู่ยุคการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน SmartThings Energy จะสร้างมาตราฐานใหม่ให้กับบ้าน เครื่องใช้ไฟฟ้า Bespoke จะช่วยประหยัดทั้งพลังงานและค่าใช้จ่าย เมื่อทำงานร่วมกับเทคโนโลยีใหม่ เช่น โหมดการซักผ้าแบบใหม่และฟิลเตอร์ที่สามารถลดการปล่อยไมโครไมโครพลาสติกได้ ความก้าวหน้านี้จะช่วยให้ผู้บริโภคลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและช่วยรักษาโลกได้ง่ายกว่าที่เคย

“เทคโนโลยีที่ซัมซุงได้นำเสนอในงาน CES 2023 เรายึดความยั่งยืนของการใช้งานเป็นหัวใจสำคัญ” มูห์ยัง ลี รองประธานและหัวหน้าฝ่ายวิจัยและพัฒนา กลุ่มธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ของซัมซุง กล่าว “เป้าหมายของเราคือการก้าวเป็นที่สุดของผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดพลังงานระดับโลก ผลิตภัณฑ์ล่าสุดรวมไปถึงความร่วมมือต่างๆจะส่งมอบการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนแก่ผู้บริโภคและชุมชนจำนวนมากขึ้น”

SmartThings ที่ช่วยประหยัดพลังงานขั้นสุด

Samsung

แพลตฟอร์ม SmartThings ยังคงขยายตัวและปลดล็อคหนทางการลดคาร์บอนใหม่ๆที่บ้าน ปัจจุบัน AI Energy Mode ของ SmartThings Energy[1] มีประสิทธิภาพกว่าเคย สามารถทำงานกับอุปกรณ์หลากชนิด กระจายสู่ภูมิภาคใหม่ๆ และสามารถประหยัดพลังงานของตู้เย็นได้ 15%[2]  เครื่องปรับอากาศ 20%[3]  และเครื่อง 35%[4]

ผู้ผลิตรายแรกที่ได้รับใบรับรอง Smart Home Energy Management Systems (SHEMS)

สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมสหรัฐฯ (Environmental Protection Agency หรือ EPA) มอบใบรับรอง Smart Home Energy Management Systems (SHEMS) ให้เป็นรายแรกในตลาด เพื่อยืนยันว่าเครื่องใช้และบริการต่างๆ ช่วยให้ผู้บริโภครับรู้ถึงการใช้พลังงานของตน ก่อให้ผู้ใช้ประหยัดพลังงาน ลดต้นทุนและ ช่วยบริหารจัดการให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

EPA ยังมอบ ENERGY STAR®  จำนวน 260 ใบกับเครื่องใช้ไฟฟ้ารุ่นพื้นฐาน รวมถึง “Most Efficient” recognitions” จำนวน 43[5] ใบ  กว่า 1 ทศวรรษที่ซัมซุงเป็นผู้นำสำหรับรางวัล ENERGY STAR®  และยังเคยได้รับรางวัล ENERGY STAR Corporate Commitment Award ซึ่งมีไม่กี่รายที่ได้รับอีกด้วย

บรรลุเป้าหมายให้บ้านมีคาร์บอนเป็นศูนย์ ครัวเรือนใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพขั้นสุด

ซัมซุงร่วมกับ Sterling Ranch และ Siemens เปิดตัว Smart City Project โดยจะพัฒนา Sterling Ranch ให้เป็นชุมชนยั่งยืนตัวอย่างสำหรับชาวบ้านกว่า 3 หมื่นคนในเมือง Littleton รัฐ Colorado

โครงการนี้จะใช้ SmartThings Energy เป็นแอปหลักในการตรวจสอบข้อมูลของเครื่องใช้ไฟฟ้าแบบ Real-time พร้อม Solar panels และแบตเตอรี่เพื่อจ่ายและจัดเก็บพลังงาน โดยเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ประหยัดพลังงานจะลดการใช้พลังงานและตรวจสอบการใช้น้ำเพื่อให้ใช้ทรัพยากรต่างๆ น้อยที่สุด อีกทั้งโซลูชั่นโครงสร้างพื้นฐานจาก Siement และ โซลูชั่นการจัดการพลังงานและบ้านจาก Resideo Technologies ช่วยให้ชุมชนใช้ชีวิตกับการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ได้อย่างราบรื่น

นอกจากนี้มีการขยับขยายความร่วมมือกับ Resideo โดยทั้ง 2 บริษัทกำลังหาวิธีที่จะรวมเครื่องใช้ไฟฟ้าของซัมซุงกับโซลูชั่น Smart grid ของ Resideo เพื่อเชื่อมโยงกับผู้บริโภคในรัฐ California และ Texas ด้วยโปรแกรมการจัดการพลังงาน ในอนาคตโครงการนี้จะช่วยให้ชุมชนต่างๆ พร้อมใช้พลังงานไฟฟ้าจาก Smart-grid ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพโดยอาศัยเทคโนโยโลยีจาก Resideo และการประหยัดพลังงานจาก SmartThings Energy

จัดการปัญหาไมโครพลาสติกด้วยเทคโนโลยี “Less Microfiber”

ตลอดระยะเวลากว่า 1 ปี ซัมซุงและ Patagonia ร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหาเศษไมโครพลาสติกที่ไหลลงสู่แหล่งน้ำระหว่างกระบวนการซักผ้าซึ่งก่อให้เกิดมลภาวะทั้งในมหาสมุทรและแหล่งน้ำตามธรรมชาติ  โดยนำเสนอ Less Microfiber Cycle และ Filter ที่สามารถลดการปล่อยไมโครพลาสติกลงสู่น้ำได้มากถึง 54%[6]

โดย Filter จะช่วยดักไมโครพลาสติกไม่ให้ไหลลงสู่แหล่งน้ำ ซึ่งช่วยลดการสร้างขยะได้ในอนาคต โดยผู้บริโภคสามาถซื้อฟิลเตอร์นี้ไปติดตั้งกับเครื่องซักผ้าของตนไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ใดได้

นอกจากนี้ เครื่องซักผ้าและตู้เย็นของซัมซุงยังมีการรับประกันยาวนานถึง 20 ปี[7]  โดยคลอบคลุมไปถึงเทคโนโลยี Digital Inverter เพื่อเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะลดขยะ โดยยืดอายุการใช้งานของทั้งเครืองซักผ้าและตู้เย็น ตู้เย็น Bespoke ยังสามารถปรับแต่งประตูทำให้เกิดการใช้งานมากขึ้น ไม่ต้องเปลี่ยนบ่อย

ความร่วมมืออย่างใกล้ชิด ความก้าวล้ำทางเทคโนโลยี และพันธสัญญาเพื่อจะก้าวเป็นผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ประหยัดพลังงานที่สุดในโลก เป็นเป้าหมายที่ซัมซุงยึดมั่นเพื่อก้าวไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนขึ้น ท่านสามารถเข้าชมเวบไซต์ samsung.com เพื่อศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับนวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ซัมซุงนำเสนอในงานซีอีเอส 2023


[1] ใช้งานผ่านอุปกรณ์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์หรือไอโอเอส จำเป็นต้องใช้ไว-ไฟและบัญชีซัมซุง

[2] จะใช้งานได้ในตู้เย็นรุ่นที่รองรับผ่านการอัพเดทโดยใช้ไว-ไฟ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2023 เป็นต้นไป ผลการทดสอบเปรียบเทียบจากการทำงานระหว่างตู้เย็นที่ใช้และไม่ใช้โหมดประหยัดพลังงานโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ ทดสอบโดยใช้ตู้เย็นที่จำหน่ายในสหรัฐฯ ตั้งค่าอุณหภูมิมาตรฐานจากโรงงาน ผลการใช้งานจริงอาจแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะและรูปแบบการใช้งาน

[3] อ้างจากผลการทดสอบภายในโดยใช้เครื่องปรับอากาศรุ่นที่จำหน่ายในสหรัฐฯ ผลการใช้งานจริงอาจแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและรูปแบบการใช้งาน

[4] อ้างจากผลการทดสอบภายในโดยใช้เครื่องซักผ้ารุ่น WF8900B ที่มีความจุถังซัก 8 ปอนด์ตามเกณฑ์ของ IEC ทดสอบในทุกโหมดการซักยกเว้นโหมด Small Load cycle (ความจุสูงสุด 4 ปอนด์ตามเกณฑ์ของ IEC) ผลการใช้งานจริงอาจแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะและรูปแบบการใช้งาน

[5] สถิติ ณ เดือนพฤศจิกายน 2022.

[6] ทดสอบกับเสื้อฮู้ดดี้ผ้าโพลีเอสเตอร์น้ำหนักรวม 2 กิโลกรัม โดยเปรียบเทียบระหว่างการซักผ้าด้วยโหมดซักผ้าใยสังเคราะห์ในเครื่องซักผ้าซัมซุงรุ่น WW4000T และการใช้โหมดเลส ไมโครไฟเบอร์ ไซเคิลในเครื่องซักผ้ารุ่น WW7000B ผลลัพธ์อาจแตกต่างกันตามชนิดของผ้าและสภาพแวดล้อม การทดสอบดำเนินการโดย Ocean Wise Plastics Lab

[7] การรับประกัน 20 ปีนั้นหมายความถึงการรับประกันมอเตอร์ของดิจิตอลอินเวอร์เตอร์ในเครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้าที่ผลิตและจัดจำหน่ายในสหรัฐฯ รวมถึงการรับประกันมอเตอร์ของดิจิตอลอินเวอร์เตอร์ในเครื่องซักผ้า เครื่องอบผ้า และคอมเพรสเซอร์ของตู้เย็นที่จำหน่ายในตลาดทวีปยุโรปตั้งแต่เดือนกรกฎาคมศกนี้ การรับประกันนี้จำกัดเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดยซัมซุงและซับคอนแทรกเตอร์ของซัมซุง ไม่ครอบคลุมถึงผลิตภัณฑ์ที่ซัมซุงจ้างผู้ผลิตภายนอกผลิตให้

.fb-background-color {
background: #ffffff !important;
}
.fb_iframe_widget_fluid_desktop iframe {
width: 100% !important;
}

from:https://www.mobileocta.com/samsung-takes-sustainable-living-to-the-next-level-at-ces-2023/?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=samsung-takes-sustainable-living-to-the-next-level-at-ces-2023

ผู้บริหาร Microsoft ยืนยัน Windows 12 จะใช้ AI ทำงานให้ทุกด้าน เข้ามาเสริมการประมวลผล และอาจได้เห็นผู้ช่วยที่ฉลาดขึ้น

ถึงยุคนี้แล้ว คงไม่มีใครสามารถจะหยุดความก้าวหน้าของเทคโนโลยี AI ได้ นอกจากทำให้มันกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน ไม่เว้นแม้แต่ภายในตัวระบบปฏิบัติการพีซี Windows ที่เราใช้งานกันเป็นประจำ ซึ่งตอนนี้มีแนวโน้มว่าจะเติบโตขึ้นด้วยพลังด้านนี้ด้วย

โดยในงาน CES 2023 ที่ผ่านมา คุณ Panos Panay รองประธานบริหารและ CPO ของ Microsoft ได้ถูกเชิญขึ้นเวทีเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของ AMD ระหว่างนั้นถูกยิงคำถามเซอร์ไพรส์จากป้าลิซ่าของเรา ถึงทิศทางของสิ่งที่ Microsoft จะทำต่อไปในอนาคต ซึ่งคุณ Panoy ก็มีแอบช็อกเล็ก ๆ ไม่นึกว่าจะโดนถาม แต่ก็พูดถึงแนวทางในการนำ AI มาพัฒนาและประยุกต์ใช้กับงานทุกด้านที่ Microsoft ทำอยู่ ไม่เว้นแม้แต่ตัว Windows ที่ก็จะหันมาขับเคลื่อนด้วยพลัง AI อย่างเต็มรูปแบบขึ้น

คุณ Panoy ยกตัวอย่างว่าในอดีตการเกิดขึ้นของเมาส์ ได้เคยเข้ามาปฏิวัติโลกคอมพิวเตอร์ให้กลายเป็นแบบ Graphical User Interface (GUI) เต็มขั้น แทนที่การพิมพ์กันด้วย Command Line มาแล้ว เขาเชื่อว่า AI ก็กำลังจะทำแบบเดียวกันในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ ซึ่งมันจะนำพาสิ่งที่คนคาดไม่ถึงเข้ามาสู่การใช้งานทุกอย่างบน Windows ได้แบบสุดทึ่งมาก ๆ (ใช้คำว่าทุกอย่างเลยจริง ๆ)

ตอนนี้โลกมาถึงยุคที่การประมวลผลข้อมูลมหาศาลมากขึ้น หากใครทำงานด้านเทรนด์โมเดลจะรู้ดีว่าขนาดเร็กคอร์ดข้อมูลของไฟล์ Excel ไฟล์เดียวมันเยอะมาก จนคอมเล็ก ๆ ประมวลผลไม่ไหว ดังนั้นการต้องพึ่งพาพลังดิบจากชิปอย่างเดียวคงไม่เพียงพอแล้วในปัจจุบัน จะต้องมีพลัง AI ขนาดใหญ่ที่ส่งตรงจากคลาวด์ ซึ่งทำงานร่วมกับระดับ OS เข้ามาช่วยเสริมทางให้กันด้วย

พูดง่าย ๆ คือยุคนี้ไม่ใช่ยุคที่ฮาร์ดแวร์จะต้องแรงอยู่ฝ่ายเดียวอีกแล้ว ถ้าซอฟต์แวร์มีความฉลาดพอ มันจะยิ่งปูทางเสริมประสิทธิภาพการประมวลผลให้กันอีก หรือแม้กระทั่งอาจลดการพึ่งพาไปเลยก็เป็นได้ เรากำลังจะเข้าสู่ยุคที่ไม่ต้องลงทุนกับซีพียูการ์ดจอหนักเท่าเดิมอีกต่อไป

ที่สำคัญหากพูดถึง AI ที่เป็นกระแสมากที่สุดตอนนี้ก็คงหนีไม่พ้น ChatGPT แน่นอนว่าไม่ใช่แค่พวกเราที่สนใจ เพราะ Microsoft เองก็สนใจมาก ถึงขนาดมีข่าวการลงทุนใน OpenAI และการพัฒนาร่วมกับซอฟต์แวร์ของตัวเองมาแบบรายวัน ดังนั้นคงเลี่ยงพูดไม่ได้ว่านี่คือหนึ่งในสิ่งที่ Microsoft อยากจะนำมาผลักดันร่วมกับ Windows รุ่นถัดไปในอนาคตมาก (Windows 12) ซึ่งเราก็น่าจะได้เห็นหลายอย่างที่มีอยู่แล้วบน Windows ตอนนี้ ถูกต่อยอดด้านการใช้งานให้ล้ำขึ้นไปอีกด้วย AI ดังกล่าว

ความล้ำที่ว่านี้อาจจะหมายถึงทั้งการทำงานของซอฟต์แวร์ร่วมกับฮาร์ดแวร์ทุกอย่างด้วย เช่น การวิดีโอคอลที่ทำงานร่วมกับกล้องอย่างไร้รอยต่อกว่าเดิม ซึ่งอาจทำให้ Deepfake ตอนนี้กลายเป็นของเล่นไปเลย หรือกระทั่งผู้ช่วยอัจฉริยะที่มีความฉลาดขึ้นกว่า Cortana ปัจจุบัน ก็อาจจะถูกฝังเข้ามาให้ใช้บน Windows แบบเต็มขั้น อย่างไรก็ดี ทั้งหมดคืออนาคตที่ยังมาไม่ถึง แต่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นสูงบนโลกของ Microsoft แน่นอน มารอดูกันครับว่าเราจะได้เห็นบน OS รุ่นถัดไปอย่าง Windows 12 ที่เสริมด้วยพลัง AI แล้ว ออกมาน่าทึ่งขนาดไหน

 

 

ที่มา : AMD, ComputerWorld

from:https://droidsans.com/windows-12-will-be-an-ai-powerhouse-which-improve-everything/

ซัมซุงเปิดตัว SmartThings Station ในงาน CES 2023 สุดยอดเทคโนโลยีแห่งบ้านอัจฉริยะ (Smart Home)

ซัมซุง เปิดตัว SmartThings Station แพลตฟอร์ม Smart Home ที่ใช้งานง่าย สำหรับควบคุมอุปกรณ์อัจฉริยะภายในบ้าน พร้อมที่ชาร์จไฟความเร็วสูง ในราคาเอื้อมถึง 

Smart Home หรือ บ้านอัจฉริยะ กำลังเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย โดยตลาดมีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ใช้งานต้องการโซลูชันในการเชื่อมต่ออุปกรณ์หลากหลายร่วมกันได้ ใช้งานง่าย ภายในแพลตฟอร์มเดียวกัน SmartThings Station เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ตั้งค่าการใช้งานได้ไม่ยุ่งยาก และสามารถใช้งานได้กับผลิตภัณฑ์ Smart Home ได้หลากหลายประเภท

รวมไปถึง อุปกรณ์ต่างๆ ที่ผลิตภายใต้มาตรฐานแมตเทอร์ มาพร้อมกับการใช้งานที่สะดวกตามแบบฉบับของซัมซุง นอกจากนี้ SmartThings Station ยังช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้งานในการตั้งค่าอัตโนมัติให้กับพื้นที่ส่วนต่างๆ ภายในบ้าน รวมไปถึงการตั้งค่าการเปิด-ปิดอัตโนมัติในแต่ละวัน ตามความสะดวกสบายของผู้อยู่อาศัย และช่วยประหยัดพลังงาน เช่น การปิดสวิทช์ไฟและเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ เมื่อไม่ได้ใช้งาน

“การติดตั้ง Smart Home สามารถทำได้อย่างง่ายและไม่สิ้นเปลือง ซัมซุงจึงได้สร้างสรรค์ให้ SmartThings Station เป็นแพลตฟอร์มภายในบ้าน ที่ใช้งานง่ายและมีประสิทธิภาพ พร้อมรองรับการใช้งานอย่างครบวงจรในอนาคต” นายแจ ยอน จุง, Executive Vice President and Head of SmartThings, Device Platform Center ของซัมซุง กล่าว

“ความนิยมและจำนวนอุปกรณ์ที่สื่อสารและเชื่อมต่อกันภายในบ้านกำลังเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการเปิดตัวมาตรฐานแมตเทอร์ เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่ผ่านมาซัมซุงมีความภูมิใจเป็นอย่างมากที่มีบทบาทในการช่วยให้ผู้บริโภคสามารถใช้เทคโนโลยีนี้ได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น”

Samsung

Smart Home บ้านที่ชาญฉลาดจะต้องเข้าถึงได้อย่างง่าย

SmartThings Station สามารถตั้งค่าได้ง่าย เพียงกดปุ่มเปิดใช้งานครั้งแรก ข้อความเพื่อแนะนำขั้นตอนการเชื่อมต่อจะปรากฎขึ้นมาบนหน้าจอสมาร์ทโฟน Samsung Galaxy หรือผู้ใช้สามารถเลือกลงอุปกรณ์เริ่มต้นใช้งานนี้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยการสแกน QR Code ผ่านกล้องถ่ายรูปในสมาร์ทโฟน 

ปรับการใช้งานได้ดั่งใจ ตามกิจวัตรประจำวัน

แพลตฟอร์ม Smart Home ช่วยเชื่อมต่อการใช้งานให้กับอุปกรณ์หลายหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น อุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิ หลอดไฟ หรือปลั๊กไฟฟ้า ที่สามารถเชื่อมต่อหาอุปกรณ์ Smart Home อื่นๆ ได้อย่างไร้รอยต่อ และทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ SmartThings Station ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถตั้งค่าอัตโนมัติได้ล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชันในสมาร์ทโฟน โดยที่ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องตั้งค่าแยกตามอุปกรณ์ในแต่ละชิ้นด้วยตนเอง  

เพียงกดปุ่ม Smart Button บน SmartThings Station ผู้ใช้งานสามารถเริ่มต้นชีวิตประจำวันที่ตั้งค่าขึ้นเองผ่านแอป SmartThings เช่น การตั้งโหมดเข้านอน การทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการนอนจะเริ่มทำงานทันที โดยฟีเจอร์นี้สามารถปิดไฟ ปิดม่านบังตา และปรับอุณหภูมิให้เย็นขึ้น หรือ หากเป็นการชมภาพยนต์ภายในบ้าน ระบบจะเปิดทีวีและหรี่ไฟให้สว่างน้อยลง หรือหากต้องออกจากบ้าน SmartThings Station จะหยุดการจ่ายไฟและปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ไม่ได้ใช้งานเพื่อเป็นการประหยัดพลังงานและจะเริ่มการทำงานของระบบรักษาความปลอดภัย หรือหากผู้ใช้งานต้องการเข้าสู่โหมดเล่นเกม ระบบจะเปิดทีวีที่ต้ังค่าไว้สำหรับการเล่นเกมโดยเฉพาะ พร้อมกับระบบแสงสว่างและเข้าสู่โหมด “ห้ามรบกวน” โดยอัตโนมัติ 

ทั้งนี้ ผู้ใช้งานสามารถตั้งค่าได้ถึง 3 โหมดการทำงาน ผ่านการกดปุ่ม Smart Button แบบสั้นๆ หรือกดค้างไว้ หรือ กดปุ่ม 2 ครั้งเพื่อเป็นการเริ่มต้นการทำงาน โดยการตั้งค่าโหมดชีวิตประจำวันต่างๆ ผู้ใช้งานสามารถเริ่มต้นใช้งานได้ผ่านแอป SmartThings ได้ทุกที่ ไม่ว่าจะอยู่ในบ้านหรือนอกบ้าน

ค้นหาและจัดการอุปกรณ์ในบ้านได้อย่างแม่นยำ

SmartThings Station ยังทำงานร่วมกับฟีเจอร์ SmartThings Find บริการที่ช่วยในการค้นหาอุปกรณ์ที่หายไป หรือวางผิดที่ ผ่านการกดปุ่ม Smart Button สองครั้ง ซึ่งสัญญาณจะถูกส่งไปยังสมาร์ทโฟนเครื่องใกล้ๆ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถค้นหาได้ง่ายขึ้น การทำงานของ SmartThings Station เปรียบได้กับการมีสแกนเนอร์ประจำบ้านที่ไม่ยอมให้ทุกสิ่งคลาดสายตา จึงช่วยให้ผู้ใช้สมาร์ทโฟน Samsung Galaxy สามารถทราบตำแหน่งของอุปกรณ์ที่ได้ติดตั้งฟีเจอร์ SmartThings Find ไว้ ไม่ว่าจะเป็น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต นาฬิกา หูฟัง หรือของใช้ส่วนตัวอื่นๆ เช่น กุญแจ หรือ กระเป๋าสตางค์ที่มีอุปกรณ์ Galaxy SmartTag หรือ SmartTag+  ติดไว้  เมื่อมีการสแกนหาอุปกรณ์เป็นประจำ SmartThings Station จะสามารถบอกผู้ใช้ถึงตำแหน่งของอุปกรณ์ต่างๆ เหล่านั้น และจะส่งเสียงแจ้งเตือนไปยังสมาร์ทโฟนของผู้ใช้อุปกรณ์ที่มีการเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์ม ขณะออกนอกบ้านหรือกลับมายังตำแหน่งภายในบ้าน

แท่นชาร์จความเร็วสูงที่เหมาะกับบ้านอัจฉริยะอย่างสมบูรณ์แบบ

แพลตฟอร์มชาร์จไฟแบบเร็วในบ้านอัจฉริยะ จะต้องมี SmartThings Station ทำหน้าที่เป็นแท่นชาร์จไฟไร้สายทรงพลังที่มีกำลังไฟถึง 15 วัตต์  ระบบการชาร์จไฟที่รวดเร็วนี้เป็นอีกหนึ่งคุณสมบัติพิเศษของแพลตฟอร์ม Smart Home ที่ช่วยให้ทุกจังหวะชีวิตเป็นไปอย่างราบรื่น ผู้ใช้งานสามารถรับการแจ้งเตือนเมื่อการมีการชาร์จไฟเสร็จสิ้น เพื่อที่จะได้กลับมาเล่นเกมส์ที่ค้างไว้ หรือเปลี่ยนมาชาร์จอุปกรณ์อื่นๆ ต่อไป

กำหนดการพร้อมใช้งาน

SmartThings Station จะเปิดตัวในสหรัฐอเมริกาและเกาหลี มีให้เลือก 2 สี คือ ขาวและดำ โดยจะวางขายในอเมริกาเป็นที่แรกในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 นี้

.fb-background-color {
background: #ffffff !important;
}
.fb_iframe_widget_fluid_desktop iframe {
width: 100% !important;
}

from:https://www.mobileocta.com/samsung-launches-smartthings-station-at-ces-2023/?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=samsung-launches-smartthings-station-at-ces-2023

เทคโน ขึ้นแท่นแบรนด์สมาร์ทโฟนท็อป 10 ของโลก ประจำปี 2565 – 2566 รับรางวัลจากเวที CES ด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยีที่ไร้พรมแดน

CES 2023 หรือ Consumer Electronic Show 2023งานจัดแสดงนิทรรศการผลิตภัณฑ์ด้านเทคโนโลยีและอิเล็กทรอนิกส์ ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ล่าสุดได้ประกาศผลการจัดอันดับ 10 แบรนด์สมาร์ทโฟนชั้นนำระดับโลก ประจำปี 2565 – 2566

โดย TECNO ได้รับรางวัลเกียรติยศ เป็น 1 ใน 10 แบรนด์สมาร์ทโฟนชั้นนำระดับโลก ด้วยการดำเนินกลยุทธ์เร่งพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีและความเป็นเลิศในด้านของงานออกแบบดีไซน์เพื่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ทันสมัยมีสไตล์มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2556

โดย TECNO ถูกสร้างให้เป็นแบรนด์นวัตกรรมระดับโลก ด้วยการดำเนินธุรกิจครอบคลุมตลาดกว่า 70 ประเทศทั่วโลก ทั้งนี้ รางวัลดังกล่าวนับเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ในฐานะแบรนด์ที่มีศักยภาพทัดเทียมกับแบรนด์ยักษ์ใหญ่ชั้นนำระดับโลกอื่นๆ

เวทีการจัดอันดับ Global Top Brands Award (โกลบอลท็อปแบรนด์อวอดส์) จัดขึ้นเป็นประจำ ทุกปี โดย เอเชีย ดิจิทัล กรุ๊ป, ยูโรเปียน ดิจิทัล กรุ๊ป และได้รับการสนับสนุนจาก ทไวซ์ (TWICE) และอินเตอร์เนชั่นนัล ดาต้า คอเปอเรชั่น หรือ International Data Corporation (IDC)

โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เกียรติกับแบรนด์อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำในระดับโลกในฐานะผู้สร้างสรรค์และคิดค้นนวัตกรรมล้ำสมัยให้กับผู้บริโภคทั่วโลก และเป็นการส่งเสริมเพื่อการยกระดับการพัฒนาอุตสาหกรรมในทุกภาคส่วน

“เราประทับใจกับความสำเร็จของ TECNO ในปีนี้” ตงฟ่าง โจว (Dongfang Zhu) ประธาน เอเชีย ดิจิทัล กรุ๊ป กล่าว “TECNO ได้สร้างชื่อเสียงมาอย่างยาวนานในตลาดโลก และทุ่มเทให้กับนวัตกรรมเทคโนโลยีสำหรับตลาดทั่วโลก เป็นที่น่าสังเกตว่า TECNO สร้างสรรค์นวัตกรรมในระดับแนวหน้าอย่างต่อเนื่อง และสะท้อนถึงจิตวิญญาณที่เรามองหาในแบรนด์อิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำสำหรับผู้บริโภคอย่างแท้จริง”

Tecno

Certificate & Trophy of “2022-2023 GLOBAL SMART PHONE BRANDS TOP 10” in Global Top Brands Award selection criteria.

นวัตกรรมเทคโนโลยีคือฮาร์ดคอร์ในการจัดอันดับแบรนด์ชั้นนำระดับโลก

เนื่องจากงาน CES มีเทคโนโลยีและนวัตกรรมระดับโลกเป็นรากฐาน รางวัล Global Top Brands Award ในปีนี้ยังอยู่ในธีมของ CES 2023: เทคโนโลยีจัดการกับความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกได้อย่างไร และมุ่งเน้นไปที่การตระหนักถึงนวัตกรรมที่สร้างแรงบันดาลใจ และกลยุทธ์ระดับโลกที่มีประสิทธิภาพของแบรนด์ เพื่อส่งเสริม

รวมทั้งยกระดับนวัตกรรมเทคโนโลยีและสร้างผลิตภัณฑ์ที่ใหม่และดีกว่า ในยุคดิจิทัลที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว แบรนด์ต่าง ๆ สามารถรับมือกับความท้าทายระดับโลกได้ด้วยการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง และปลดล็อกพื้นที่ที่ไม่รู้จักมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นความสามารถด้านนวัตกรรมและการบริการของแบรนด์จากมุมมองระดับโลกจึงถือเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาของรางวัล Global Top Brands Award

แบรนด์ที่เข้ารอบได้รับการประเมินจากหลายด้านมุมมอง รวมถึงความเป็นนานาชาติความสามารถในการแข่งขันในต่างประเทศ ประสบการณ์ของผู้บริโภค นวัตกรรมทางเทคโนโลยีและสิทธิบัตรการรับรู้ถึงแบรนด์ในต่างประเทศ และการจัดการแบรนด์ในระดับสากล เพื่อประเมินความสามารถด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีโดยรวม ตลอดจนความสำเร็จของแบรนด์ในระดับโลก

ยกย่องความก้าวหน้าครั้งใหญ่ของ TECNO สู่แบรนด์เทคโนโลยีระดับพรีเมียม

การคัดเลือกในปีนี้มีการประเมินแบรนด์ที่เข้าร่วมจากสี่มิติ ได้แก่ความนิยมในอุตสาหกรรม การวางกลยุทธ์ระดับโลก อิทธิพลต่อตลาดต่างประเทศ และนวัตกรรมของผลิตภัณฑ์ การได้รับรางวัลอันทรงเกียรติระดับโลกนี้และการได้รับการจัดอันดับให้เป็นแบรนด์สมาร์ทโฟนชั้นนำระดับโลก 10 อันดับแรกเป็นเครื่องยืนยันถึงความก้าวหน้าและจุดแข็งของ TECNO ในด้านต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน

เปิดรับเทรนด์ล่าสุดในนวัตกรรมเทคโนโลยีล้ำสมัยและการออกแบบที่ทันสมัยมีสไตล์เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้บริโภคยุคใหม่ TECNO ได้ปฏิวัติประสบการณ์ดิจิทัลในตลาดที่เกิดใหม่ทั่วโลกรวมทั้งผลักดันอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อการผสมผสานที่สมบูรณ์แบบของการออกแบบร่วมสมัยและสวยงามที่เข้ากับ เทคโนโลยีล่าสุดด้วยนวัตกรรมที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง TECNO ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ทั่วโลกที่ต้องการสร้างชีวิตที่เชื่อมต่อกับดิจิทัลและสะท้อนความเป็นตัวตนได้ดีกว่า

“เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับรางวัล Global Top Brands Award อันทรงเกียรตินี้ที่งาน CES 2023 นับเป็นการได้รับการยอมรับที่น่าตื่นเต้นสำหรับความพยายามอย่างต่อเนื่องของเรา ในการพัฒนาแบรนด์ให้โดดเด่น และทำให้ TECNO เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในกลุ่มผู้บริโภคทั่วโลก” แจ็ค กัว (Jack Guo) ผู้จัดการทั่วไปของ TECNO กล่าว

“ด้วยการยอมรับอันมีค่านี้กับความมุ่งมั่นอย่างสม่ำเสมอของเราที่มีต่อตลาดและผู้บริโภค TECNO จะเดินหน้ากลยุทธ์นวัตกรรม ผลักดันขอบเขตใหม่ระหว่างเทคโนโลยีและการออกแบบรวมทั้งทำให้ผู้บริโภคสามารถสร้างชีวิตสวยงามที่เชื่อมต่อทางดิจิทัลและมองไปข้างหน้า”

2022 TECNO Award-winning Products

ในฐานะแบรนด์ที่มีนวัตกรรมเทคโนโลยี TECNOได้สร้างมาตรฐานใหม่มากมายในด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีและการออกแบบที่ทันสมัยมีสไตล์เพื่อพัฒนาอุปกรณ์อัจฉริยะระดับพรีเมียมสำหรับผู้บริโภคที่มองไป ข้างหน้าในตลาดโลก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2565 ที่ผ่านมา TECNO ได้พัฒนาแบบก้าวกระโดดอย่างมากในด้านนวัตกรรมเทคโนโลยี กลุ่มระดับพรีเมียม PHANTOM X2 Pro สมาร์ทโฟนเครื่องแรกของโลกที่มีเลนส์ถ่ายภาพบุคคลแบบยืดหดได้ เทียบเท่ากับกล้องระดับมืออาชีพ เพื่อสร้างการถ่ายภาพบุคคล เหมือนถ่ายภาพในสตูดิโอ

PHANTOM X2 Pro 5G Eco-Friendly Edition ซึ่งฝาหลังทำจากวัสดุรีไซเคิลจากพลาสติกในมหาสมุทร รวมถึง TECNO CAMON 19 Pro Mondrian Edition สมาร์ทโฟนเครื่องแรกของโลกที่ใช้เทคโนโลยี “วาดแสงแดด” เพื่อให้ฝาหลังโทรศัพท์เปลี่ยนสีได้เมื่อกระทบโดนแสงแดด

.fb-background-color {
background: #ffffff !important;
}
.fb_iframe_widget_fluid_desktop iframe {
width: 100% !important;
}

from:https://www.mobileocta.com/tecno-has-emerged-as-one-of-the-worlds-top-10-smartphone-brands/?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=tecno-has-emerged-as-one-of-the-worlds-top-10-smartphone-brands

AIRVIDA T1 หูฟังไร้สาย True Wireless สุดแปลก ฟังเพลงพร้อมกรองอากาศได้ในตัว

ible Technology บริษัทเจ้าของสร้อยคอกรองอากาศชื่อดัง ได้เปิดตัวหูฟังไร้สาย AIRVIDA T1 ที่สามารถกรองฝุ่น มลพิษ รวมถึงเชื้อโรค ไวรัส และแบคทีเรียได้ แถมยังได้รับรางวัลสิ่งประดิษฐ์น่าทึ่ง CES 2023 Innovation Awards Honoree อีกด้วย เรียกได้ว่าจิ๋วแต่แจ๋วจริง ๆ

AIRVIDA T1 เป็นหูฟังไร้สาย True Wireless ที่มีระบบกรองอากาศภายในตัว โดยตัวกรองอากาศจะทำงานด้วยการปล่อยไอออนประจุลบกว่า 30 ล้านประจุ ต่อลูกบาศก์เซนติเมตร ทุก ๆ 0.6 วินาที (มากกว่าที่ป่าไม้ผลิต 3,000 เท่า) ในระยะรอบ ๆ ใบหน้า เพื่อดักจับฝุ่น และเชื้อโรคให้ตกลงไปที่พื้น โดยทางแบรนด์ได้เคลมไว้ว่า หูฟังสามารถดักจับ PM2.5, สารก่อภูมิแพ้, เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ H1N1 ได้มากถึง 99.9% เลยทีเดียว อีกทั้งยังสามารถกันเชื้อ COVID-19 ได้อีกด้วย แต่ไม่มีข้อมูลว่าสามารถกันได้สูงสุดกี่เปอร์เซ็นต์

Desktop Mode
Earbuds Mode

เจ้าหูฟังกรองอากาศที่ว่านี้สามารถทำงานในโหมดตั้งโต๊ะได้ เพียงแค่ใส่ตัวหูฟังกลับเข้ากล่องชาร์จ และเปิดฝาทิ้งไว้ ส่วนแบตเตอรี่ก็สามารถใช้งานกรองอากาศได้ยาว ๆ ติดต่อกัน 24 ชั่วโมงหากไม่ได้เปิดเพลง แต่ถ้าเปิดเพลงฟังไปด้วยจะอยู่ได้สูงสุด 5 ชั่วโมง ส่วนตัวเคสชาร์จสามารถชาร์จได้สูงสุด 3 ครั้ง

AIRVIDA T1 App

ขึ้นชื่อว่าเป็นหูฟัง ยังไงเรื่องเสียงก็สำคัญ AIRVIDA T1 จึงมาพร้อมกับไดรเวอร์แบบ Dynamic ที่ให้เสียงคุณภาพดี เสียงต่ำลงได้ลึก, มีฟีเจอร์ตัดเสียงรบกวน Active noise cancellation อีกทั้งยังเชื่อมต่อได้เร็วเพราะใช้ Bluetooth 5.3  แถมยังมีแอปให้ดูค่าดัชนีคุณภาพอากาศ Air Quality Index รวมถึงสามารถใช้เพื่อปรับแต่งเสียง Equalizer ได้ด้วย

Airvida T1

AIRVIDA T1 ยังไม่มีราคา และวันวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าจะเริ่มขายจริงในช่วงปลายปี 2023 นี้ ซึ่งเรียกได้ว่ามาท้าชน Dyson Zone ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อไม่นานนี้แบบจัง ๆ เลยทีเดียว หากใครที่ไม่ชอบดีไซน์แหวกแนวสุดเทอะทะ ก็มีทางเลือกเพิ่มขึ้นอีก 1 ตัวแล้ว

 

ที่มา: AIRVIDA, CES

from:https://droidsans.com/airvida-t1-true-wireless-earbuds-x-air-purifier/

Samsung เปิดตัว Ready Care ระบบความปลอดภัยบนรถยนต์ ป้องกันหลับใน ลดความเครียดขณะขับขี่

Samsung จับมือกับแบรนด์เครื่องเสียงในอ้อมอกอย่าง HARMAN เปิดตัว 2 เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดในงาน CES 2023 โดยมีทั้ง Ready Care ที่จะช่วยให้การขับขี่รถยนต์ปลอดภัยมากยิ่งขึ้นผ่านการใช้เซนเซอร์ตรวจจับสภาพร่างกาย และอารมณ์ในขณะขับขี่ และเทคโนโลยี Ready Tune ที่เข้ามาช่วยในเรื่องของระบบเสียงบนรถยนต์

Ready Care

Ready Care เป็นเทคโนโลยีบนรถยนต์เพื่อลดความเสี่ยงและสร้างสุขภาวะที่ดีขณะขับรถ ระบบทำงานโดยใช้ กล้องอินฟราเรด และเซนเซอร์บนรถยนต์ รวมถึงเซนเซอร์สุขภาพบนนาฬิกาสมาร์ทวอทช์อย่าง Galaxy Watch ทำงานร่วมกับ AI เพื่อตรวจจับวัดระดับความง่วง และการสูญเสียสมาธิในขณะขับรถ หากระบบตรวจจับว่าผู้ใช้งานเกิดง่วงขณะขับรถ ระบบก็จะปรับระดับเสียงเพลง ปรับแสงไฟในรถยนต์ รวมถึงเครื่องปรับอากาศให้ผู้ขับขี่รู้สึกตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา

Stress Free Routing

ระบบที่ว่านี้ยังสามารถตรวจจับความเครียดของผู้ขับขี่ผ่านนาฬิกาอัจฉริยะ Galaxy Watch หากผู้ขับขี่มีค่าความเครียดสูง ระบบจะเปิดใช้งานฟีเจอร์เส้นทางผ่อนคลาย (Stress-Free Routing) โดยอัตโนมัติ ซึ่งฟีเจอร์ที่ว่านี้จะแนะนำเส้นทางที่รถติดน้อยที่สุด มีสภาพอากาศที่ดีที่สุด เพื่อทำให้ระดับความเครียดของผู้ขับขี่ลดลง ถึงแม้จะต้องขับรถไกลกว่าเส้นทางเดิมก็ตาม

Relax Mode

นอกจากนี้แล้วยังมี Relaxing Mode ที่ทำงานร่วมกับระบบบ้านอัจฉริยะ SmartThings เมื่อผู้ใช้งานขับรถใกล้ถึงบ้านแล้ว ระบบจะควบคุมระบบไฟส่องสว่างภายในบ้าน, ระบบปรับอากาศ รวมถึงทีวี ให้เข้ากับสภาวะอารมณ์ และระดับความง่วงโดยอัตโนมัติ เพื่อทำให้ผู้ขับขี่รู้สึกผ่อนคลายเมื่อถึงบ้านนั่นเอง

Ready Tune

แน่นอนว่าเมื่อ Samsung จับมือกับ Harman ทั้งที จะระบบเสียงดี ๆ ไปไม่ได้ โดย Ready Tune เป็นซอฟต์แวร์บนรถยนต์ที่สามารถอัปเกรดระบบเสียงเดิม ๆ บนรถยนต์ ให้กลายเป็นระบบเสียงระดับเทพ ให้ประสบการณ์การฟังเพลงแบบเหนือระดับจาก HARMAN จะใช้งานก็ง่าย ๆ แค่กดปุ่มบนหน้าจอเพียงเท่านั้น นอกจากนี้ยังมี Live Mode ที่ให้ประสบการณ์เหมือนฟังดนตรีสดในสเตเดียมใหญ่ และ Talk Mode ที่จะเร่งระดับเสียงพูดเมื่อฟังพอดแคสต์, หนังสือเสียง หรือจะเพิ่มเสียงสนทนาก็ทำได้

Samsung Ready Care และ Ready Tune เรียกได้ว่าเป็นเทคโนโลยีการขับขี่ที่น่าสนใจ และอยากให้เกิดขึ้นจริงในอนาคตมาก ๆ เพราะนอกจากจะปลอดภัยต่อตัวผู้ขับขี่แล้ว ยังปลอดภัยต่อผู้ใช้รถ ใช้ถนน ที่เสี่ยงจากอุบัติเหตุหลับในด้วย

 

ที่มา: SamMobile, Samsung Press

 

from:https://droidsans.com/samsung-announced-new-vehicle-tech-ready-care-ready-tune/

Microsoft บอกใบ้เกี่ยวกับ Windows 12 ในงาน CES 2023

ผู้บริหารของ Microsoft ได้บอกใบ้เกี่ยวกับ Windows เวอร์ชันถัดไปที่ขับเคลื่อนด้วย AI ในระหว่างการแถลงของ AMD ในงาน CES 2023
 

ในระหว่างการนำเสนอของ AMD ในงาน CES 2023 ผู้บริหารของ Microsoft โดย Panos Panay เผยถึงข้อมูล Windows เวอร์ชันถัดไปที่ขับเคลื่อนด้วย AI และอาจเปิดตัวในช่วงปลายทศวรรษนี้ (ปี 2029)
 
Panos Panay – Executive Vice President and Chief Product Officer ของ Microsoft เขาเป็นผู้นำด้านวิสัยทัศน์และกลยุทธ์สำหรับ Windows + Devices ซึ่งรวมถึงการพัฒนาและออกแบบ Windows, Education และ Modern Life ตลอดจนการพัฒนา การออกแบบ ห่วงโซ่อุปทาน และการผลิตฮาร์ดแวร์ทั้งหมดของ Microsoft และตั้งแต่ร่วมงานกับ Microsoft ในปี 2004 Panos Panay กลายเป็นที่รู้จักในฐานะผู้มีวิสัยทัศน์ที่สร้างสรรค์ในการผลิตผลิตภัณฑ์ เขาเชื่ออย่างแท้จริงว่าผลิตภัณฑ์เป็นภาพสะท้อนของผู้ที่สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และผู้ใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านั้น
 
Panos Panay ปรากฏตัวในฐานะตัวแทนของพันธมิตรที่สำคัญของ AMD และได้เปิดเผยข้อมูลสำหรับ Windows เวอร์ชันถัดไปในอนาคตจะมีการเปลี่ยนแปลงมากมายไปสู่การผสานรวม AI เชิงลึก จากข้อมูลของ Computer World ปัญญาประดิษฐ์บนเดสก์ท็อป (AI) ได้รับการพัฒนาจากผู้ช่วย Clippy และ Cortana ของ Microsoft เพื่อยกระดับความเหนือชั้นและยังร่วมมือกับ OpenAI เพื่อวาง Chatbot ที่ทรงพลังที่สุดอย่าง ChatGPT บนเครื่องมือค้นหา Bing
 
Microsoft ต้องการเครื่องมือ AI โดยเฉพาะที่ใช้พลังงานต่ำและประสิทธิภาพสูง ซึ่งแนวทางของ AMD สำหรับเทคโนโลยี AI นั่น ไม่ใช่การสร้างโปรเซสเซอร์ AI แยกส่วนออกมาทำงานอิสระหรือเชื่อมต่อกับ GPU แต่จะรวมเข้ากับ CPU แทน เป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดเพื่อทำให้เทคโนโลยีกลายเป็นหัวใจหลักของตลาด เพราะแล็ปท็อปส่วนใหญ่ไม่มี GPU แยก และจะไม่เพิ่มความซับซ้อนของอุปกรณ์ส่วนประกอบใหม่ให้กับส่วนประกอบหลักที่มีอยู่ โปรเซสเซอร์ AI จะกลายเป็นคุณสมบัติมาตรฐานของซีพียู AMD
 
จากคำแถลงของ Panos Panay ระบุว่า Windows 12 จะเป็นระบบปฏิบัติการที่ขับเคลื่อนด้วย AI พร้อมความสามารถในการสื่อสารด้วยเสียงที่ได้รับการปรับปรุงอย่างมากมาย (เหนือกว่าเครื่องมืออย่าง ChatGPT) และการเปลี่ยนแปลงเพื่อช่วยให้ผู้ใช้มีภาพและเสียงที่ดีขึ้นในการโทรผ่าน Zoom ผ่านเทคโนโลยี Deep Fake ที่จะช่วยให้ผู้ใช้ดูอ่อนกว่าวัย สวยขึ้น และมีส่วนร่วมมากขึ้น ความเป็นไปได้อีกอย่างคือ Cortana ได้รับการพัฒนาในรูปแบบ 3 มิติ โดยขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีเดียวกับ ChatGPT แต่ทรงพลังกว่า โดยสร้าง AI การสนทนาอัตโนมัติเต็มรูปแบบ ซึ่งทำงานได้ดีกว่าที่ Siri เคยมี
 
จากการคาดเดา AI บนระบบปฏิบัติการใหม่ของ Microsoft จะสร้างงานข้อความเต็มรูปแบบรวมกับ Office รวมถึงคุณสมบัติการสร้างกราฟิกเชิงศิลปะที่คล้ายกับเครื่องมือ GauGan
 
สำหรับแผนการเปิดตัวของ Windows 12 ที่คาดการณ์ว่าน่าจะอยู่ในช่วงปลายทศวรรษ (ปี 2029) ซึ่งดูแล้วอีกยาวไกลสำหรับระบบปฏิบัติการใหม่ที่มีการผสานรวมเข้ากับการทำงานของระบบ AI เชิงลึกเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพพีซีให้มีมิติที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามในอนาคตอันใกล้นี้ AMD จะเริ่มเปิดตัว CPU สำหรับเดสก์ท็อปเจเนอเรชันใหม่พร้อมการรองรับ AI ภายในปีนี้ ถือว่าเป็นการสอดรับกับคำแถลงของ Panos Panay ที่ได้กล่าวยั่วต่อมอยากรู้อยากเห็นภายในงาน CES 2023 ชัดเจนขึ้น
 

from:https://www.techtalkthai.com/microsoft-hints-about-windows-12-at-ces-2023/