คลังเก็บป้ายกำกับ: PREDICTIVE_ANALYTICS

ก้าวนำธุรกิจการผลิตและโลกแห่งการแข่งขันด้วยข้อมูล ด้วยระบบวิเคราะห์ข้อมูลและการคาดการณ์ของตลาด จาก SAS

สำหรับธุรกิจโรงงานและการผลิตซึ่งถือเป็นอุตสาหกรรมใหญ่ของประเทศไทยนั้น การวิเคราะห์ข้อมูลในการทำงานส่วนต่างๆ ภายในโรงงานเพื่อให้สามารถทำงานได้แม่นยำ ถือเป็นอีกหนึ่งหนทางที่จะช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดค่าใช้จ่ายลงได้อย่างเห็นผล

SAS ในฐานะของผู้นำด้านเทคโนโลยีการวิเคราะห์ข้อมูลสำหรับธุรกิจองค์กร ได้แนะนำให้ธุรกิจโรงงานและการผลิตนั้นปรับโมเดลการดำเนินงานไปสู่รูปแบบของ Demand Driven Supply Chain ด้วยการนำเทคโนโลยีการวิเคราะห์ข้อมูลชั้นสูงและการทำนายแนวโน้มมาใช้ เพื่อทำนายความต้องการของตลาด และนำมาสู่การผลิตตามข้อมูลแนวโน้มที่วิเคราะห์ได้ ทำให้เกิดประสิทธิภาพในการผลิตสูงสุด และเกิดของเสียน้อยที่สุดไปในเวลาเดียวกัน

ปัญหาของการผลิตในแบบ Supply Driven Supply Chain

SAS นั้นมีลูกค้าในกลุ่มธุรกิจโรงงานและการผลิตทั่วโลกมากกว่า 2,800 ราย โดยกว่า 75% ของธุรกิจโรงงานและการผลิตและ 99% ของธุรกิจ CPG, อวกาศ และการแพทย์ใน Fortune 500 นั้นก็ได้เลือกใช้ SAS ในการวิเคราะห์ข้อมูล ทำให้ SAS นั้นมีประสบการณ์กับการวิเคราะห์ข้อมูลในธุรกิจกลุ่มนี้เป็นอย่างดี

Credit: SAS

SAS ระบุว่าส่วนใหญ่นั้นธุรกิจโรงงานและการผลิตมักดำเนินธุรกิจในรูปแบบ Supply Driven Supply Chain กันเป็นพื้นฐาน โดยอาศัยการทำ Lean Manufacturing เพื่อผลิตสินค้าให้ได้มีอย่างมีประสิทธิภาพด้วยกระบวนการที่มีความคุ้มค่าสูงสุดเพื่อลดต้นทุนการผลิตเป็นหลัก และนำสินค้าออกไปจำหน่ายผ่านตัวแทนจำหน่ายหรือช่องทางต่างๆ โดยหวังว่าการผลิตสินค้าที่เป็นที่ต้องการโดยพื้นฐานของตลาดเป็นจำนวนมากนี้ได้อย่างต่อเนื่องจะทำให้ธุรกิจเติบโต

Credit: SAS

อย่างไรก็ดี เมื่อธุรกิจมีความซับซ้อนสูงขึ้น มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย และผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดนั้นก็มีความต้องการในรูปแบบที่แตกต่างกัน มีสถานะหรือตำแหน่งในตลาดที่แตกต่างกัน รวมไปถึงยังมีสภาพแวดล้อมภายในตลาดและการแข่งขันที่แตกต่างกัน ส่งผลให้การวางแผนการผลิตนั้นก็เริ่มมีความซับซ้อนสูงขึ้นตามไปด้วย

ด้วยเหตุนี้ สำหรับธุรกิจโรงงานและการผลิตที่มีเป้าหมายในการเติบโตให้ได้อย่างมั่นคงและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกสู่ตลาดให้ได้อย่างต่อเนื่องนั้น การผลิตในแบบ Supply Driven Supply Chain นี้จึงถือว่าไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป การมุ่งเป้าไปที่การผลิตให้ได้ด้วยประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่สูงสุดเพียงอย่างเดียวนั้นไม่พอ แต่การเข้าใจในฝั่งของความต้องการหรือ Demand และตลาดหรือ Market นั้นจึงเป็นอีกก้าวสำคัญของธุรกิจในอุตสาหกรรมนี้

เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตด้วย Demand Driven Supply Chain พร้อมต่อยอดสู่ภาพ Market Driven

แนวคิด Demand Driven Supply Chain นั้นได้กลายเป็นที่นิยมในธุรกิจโรงงานและการผลิตในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ภายใต้แนวคิดการผลิตในแบบ Data Driven ที่ใช้ข้อมูลเป็นตัวนำเพื่อให้ธุรกิจสามารถทำการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยปริมาณและราคาที่ตอบโจทย์ต่อความต้องการของตัวแทนจำหน่ายและลูกค้ามากยิ่งขึ้น

Credit: SAS

เหมือนดังชื่อเรียก แนวคิดนี้อาศัยข้อมูลจากฝั่งความต้องการมาใช้ในการวิเคราะห์เพื่อให้ธุรกิจโรงงานและการผลิตสามารถกำหนดได้ว่าควรจะผลิตสินค้าชนิดใดเป็นจำนวนมากน้อยเพียงใด เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการ โดยเกิดของเสียน้อยที่สุด ทำให้ในภาพรวมแล้วการผลิตนั้นเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งตรงจุดนี้เอง ที่ทำให้ธุรกิจโรงงานและการผลิตต้องเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการจัดเก็บข้อมูลเพื่อนำมาใช้ในการวิเคราะห์เชิงสถิติและการวิเคราะห์เชิงทำนายหรือ Forecasting ให้ได้อย่างแม่นยำ

การปรับธุรกิจสู่รูปแบบ Demand Driven นี้ไม่เพียงแต่จะตอบโจทย์ของตัวแทนจำหน่ายแต่ละรายได้อย่างเหมาะสมในแต่ละช่วงเวลามากขึ้นเท่านั้น แต่การรวบรวมข้อมูลเพื่อนำมาวิเคราะห์นี้ หากมีข้อมูลที่เหมาะสมในปริมาณที่มากพอ ก็จะทำให้ธุรกิจนั้นสามารถก้าวไปสู่ Market Driven ที่เข้าใจความต้องการของตลาดมากขึ้น และสามารถผลิตสินค้าใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าปลายทางได้จริงๆ และช่วยเร่งยอดขายทั้งในการขายสินค้าแบบ Direct to Customer (D2C) และการขายผ่านตัวแทนจำหน่ายไปได้พร้อมๆ กัน

หากอ้างอิงจากรายงาน Business Case for Demand Planning ของ Gartner นั้น การดำเนินธุรกิจในแบบ Demand Driven นี้จะช่วยให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นดังนี้

  • ทำให้มีสินค้าวางจำหน่ายได้อยู่ตลอดโดยไม่ขาดช่วงมากขึ้น 20-30%
  • ลดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการจัดเก็บสินค้าลง 15-30%
  • ลดโอกาสที่สินค้าจะหมดอายุหรือตกรุ่นไม่สามารถขายได้ลง 10-15%
  • เพิ่มรายได้และกำไรของธุรกิจ 1-3%

5 ขั้นตอนแนะนำสู่การผลิตแบบ Demand Driven Supply Chain ด้วยโซลูชันจาก SAS

เพื่อตอบสนองต่อโจทย์ของธุรกิจโรงงานและการผลิตในการก้าวสู่ภาพของ Demand Driven และ Market Driven ทาง SAS จึงได้ทำการผสานเทคโนโลยีการวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจด้วยแนวคิดเชิงสถิติเข้ากับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI เพื่อให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลปริมาณมหาศาลที่มีความซับซ้อนสูงได้อย่างแม่นยำ รองรับการสร้างโมเดลในการคำนวณรูปแบบต่างๆ ได้อย่างหลากหลายพร้อมทดสอบความถูกต้องในการทำงาน

SAS นั้นได้มีการลงทุนไปกับการพัฒนาเทคโนโลยี AI ให้สามารถนำมาใช้งานได้จริงสำหรับธุรกิจองค์กรมากกว่า  1,000 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐหรือราวๆ 30,000 ล้านบาท ครอคลุมทั้งการทำ Computer Vision, Natural Language Processing, Machine Learning, Deep Learning พร้อมทั้งพัฒนาในส่วนของการฝึกอบรมทักษะบุคคลากร และการสร้างทีมบริการด้าน AI เข้ามาช่วยตอบโจทย์เหล่านี้โดยเฉพาะ

ในการช่วยให้ธุรกิจโรงงานและการผลิตก้าวสู่ภาพของ Demand Driven และ Market Driven ได้นั้น SAS ระบุว่าขั้นตอนในการวิเคราะห์ข้อมูลที่จำเป็นนั้นจะมีด้วยกัน 5 ขั้นตอน ได้แก่

  1. Data Preparation & Hierachical Series Creation การจัดเตรียมข้อมูลด้านการขายในอดีตที่ผ่านมาเพื่อให้พร้อมต่อการนำไปวิเคราะห์ โดยการรวมข้อมูลในระดับรายเดือน
  2. Analytical Clustering การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อทำการแบ่งหมวดหมู่ของสินค้าที่มีรูปแบบในการขายที่คล้ายคลึงกัน
  3. Hierarchical Forecasting & Model Selection การสร้าง Forecasting Model สำหรับใช้ในการทำนายแนวโน้มให้มีความแม่นยำตามหมวดหมู่ของผลิตภัณฑ์ที่ได้ทำการแบ่งเอาไว้ก่อนหน้า
  4. Iterative Forecast ทำการวิเคราะห์แนวโน้มรายไตรมาส และนำข้อมูลที่ได้มาเพิ่มเติมในแต่ละไตรมาสมาเสริมความแม่นยำให้กับโมเดลที่ใช้
  5. Accuracy Evaluation การประเมินความแม่นยำในการทำนาย โดยเมื่อจบขั้นตอนนี้แล้วจะเกิดการย้อนไปทำตั้งแต่ขั้นตอนแรกใหม่ซ้ำ เพื่อปรับปรุงให้การวิเคราะห์ข้อมูลมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ

SAS เคยทำการทดลอง 5 ขั้นตอนนี้กับลูกค้ารายหนึ่ง ด้วยการใช้ข้อมูลการขายย้อนหลัง 3 ปี และพบว่า SAS สามารถทำนายข้อมูลได้แม่นยำกว่าวิธีการเดิมๆ ที่ธุรกิจเคยใช้ในภาพรวม 14-22% โดยเวลาที่ใช้ในการประมวลผลเพื่อทำนายแต่ละครั้งนั้นอยู่ที่เพียงประมาณ 3 นาทีเท่านั้น

สำหรับธุรกิจองค์กรที่ต้องการค่อยๆ ปรับตัวสู่ Demand Driven และ Market Driven ให้ได้อย่างเต็มตัวนั้น SAS แนะนำว่า Roadmap ของธุรกิจนั้นควรดำเนินไปภายใต้ 5 ชั้นตอนใหญ่ๆ ดังนี้

ระยะสั้น

  • Statistical Forecast ปรับธุรกิจให้มีข้อมูลเพียงพอสำหรับการวิเคราะห์ และทำการวิเคราะห์เชิงสถิติเบื้องต้นให้ได้แบบอัตโนมัติอย่างต่อเนื่องเพื่อให้มีข้อมูลพื้นฐานสำหรับใช้ในการตัดสินใจเชิงธุรกิจเสียก่อน
  • Supply Chain Data Repository ปรับกระบวนการทำงานของธุรกิจให้เกิดการบันทึกจัดเก็บข้อมูล Supply Chain ทั้งขาเข้าและขาออก รวมถึงข้อมูลการซื้อขายให้เป็นไปได้โดยอัตโนมัติ มีความถูกต้องแม่นยำ และพร้อมให้นำข้อมูลส่วนนี้ไปใช้ในการวิเคราะห์ได้ทั้งสำหรับ Business Analyst และ Data Scientist

ระยะกลาง

  • Process Analysis ทำการวิเคราะห์ข้อมูลที่มีอยู่เพื่อสร้างคุณค่าใหม่ๆ ให้กับธุรกิจ จัดลำดับความสำคัญของสิ่งที่ควรวิเคราะห์ ทำความเข้าใจว่าสิ่งที่สร้างคุณค่าให้กับแต่ละกระบวนการคืออะไร และสร้าง Business Dashboard ในแบบ Interactive ที่มีการอัปเดตข้อมูลโดยอัตโนมัติเพื่อให้ติดตาม KPI สำคัญใน Supply Chain ได้ทั้งหมด
  • Integrated Forecasting นำผลวิเคราะห์เชิงทำนายมาใช้ชี้นำธุรกิจ เพื่อทำนายถึงการวางแผน Demand ในอนาคต และนำไปสู่การวางแผนส่วนต่างๆ ของ Supply Chain ตาม Demand ที่ถูกทำนายนี้ รวมถึงเริ่มมีการนำข้อมูลจากปัจจัยภายนอกเข้ามารวบรวมและใช้ในการวิเคราะห์เพื่อเพิ่มความแม่นยำให้มากขึ้น

ระยะยาว

  • E2E Supply Chain Platform ก้าวสู่การทำงานแบบ Data Driven อย่างเต็มตัวทั้ง Supply Chain โดยมี Demand Driven และ Market Driven เป็นตัวนำ ทำให้สามารถปรับปรุงคลังสินค้า, กระบวนการผลิต, การสั่งวัตถุดิบ และการขนส่งได้อย่างมประสิทธิภาพครบทั้งวงจร

การก้าวสู่ภาพนี้ได้ SAS เรียกภาพนี้ว่า Demand Intelligence ซึ่งจะเป็นขั้นตอนที่ธุรกิจสามารถทำนาย Demand ได้อย่างแม่นยำ และนำไปสู่การวางแผนการผลิตโดยมีของเสียเกิดขึ้นน้อยและพร้อมปรับตัวสู่อนาคตที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างยืดหยุ่น, การผลิตสินค้าใหม่ๆ ให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดได้อย่างเหมาะสม, การวางแผนร่วมกันด้วยข้อมูลจากหลายฝ่ายได้อย่างเป็นระบบ, การจัดการคลังสินค้าเพื่อรองรับช่องทางจัดจำหน่ายต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม และการมีข้อมูลที่เพียงพอในการวิเคราะห์ข้อมูลและปรับปรุงกระบวนการได้อย่างต่อเนื่อง

โซลูชันของ SAS นั้นมีเทคโนโลยีที่สามารถตอบโจทย์เหล่านี้ของธุรกิจองค์กรได้อย่างครบวงจร โดยสามารถรองรับการจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลได้หลากหลายรูปแบบ สามารถนำไปปรับใช้กับภาคธุรกิจได้อย่างยืดหยุ่น อีกทั้งยังสามารถติดตั้งใช้งานภายในระบบ IT Infrastructure ได้หลายแนวทาง ไม่ว่าจะเป็น On-Premises, Hybrid Cloud, Public Cloud และ SAS Cloud ทำให้ธุรกิจสามารถนำเทคโนโลยีของ SAS ไปใช้งานได้ตามต้องการ พร้อมรองรับการเพิ่มขึ้นของข้อมูลในอนาคตได้อย่างอิสระ และทำให้ธุรกิจสามารถสร้างคุณค่าจากข้อมูลได้อย่างเต็มศักยภาพ

Credit: SAS

 

ทำไมถึงควรเลือก SAS และ Intel

  • รองรับชุดข้อมูลขนาดใหญ่ โดยไม่มีผลกระทบต่อประสิทธิภาพ
  • รองรับข้อมูลทุกประเภทจากทุกแหล่งที่มา และไม่มีข้อจำกัดด้านปริมาณหรือจำนวน
  • สามารถใช้งาน Library และโครงสร้างที่มีมากมาย เพื่อรองรับและพัฒนาการวิเคราะห์ขั้นสูง งาน IoT งาน AI และงานด้าน Machine Learning
  • ทำงานวิเคราะห์คู่ขนานเสร็จเร็วขึ้น 2 เท่า บนแอปพลิเคชัน SAS 9.4 ที่ใช้โปรเซสเซอร์ Intel® Xeon® Platinum 8180 และเทคโนโลยี Intel® Optane™

โดย Intel® Optane™ DC Persistent Memory Modules (DCPMM) สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจในการเพิ่มประสิทธิภาพการวิเคราะห์ โดยมีการทดสอบประสิทธิภาพของ SAS Visual Data Mining และ Machine Learning (ตามภาพด้านล่าง) ซึ่งแสดงให้เห็นว่า DCPMM มีผลลัพธ์ที่น่าพอใจ เมื่อพิจารณาประสิทธิภาพจากขนาดปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นและสามารถใช้งานได้ถึงขีดความสามารถ โดยทำงานได้เร็วขึ้นตั้งแต่ 4x ถึง 60x เมื่อ Ram ของระบบทำงานเกิน ดังนั้น DCPMM จึงสามารถรองรับการทำงานที่ใช้ประสิทธิภาพมากกว่า DRAM ด้วยค่าใช้จ่ายที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งจะช่วยรองรับการลงทุนของคุณในอนาคตสำหรับชุดข้อมูลขนาดใหญ่ขึ้น

ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ sas.com/intel

ลงทะเบียนเข้าร่วม Webinar “การพยากรณ์ด้วยหลักทางสถิติและการเรียนรู้ด้วยเครื่องโดยการใช้ SAS Demand Forecasting” ได้ทันที

สำหรับผู้ที่สนใจเรียนรู้เทคโนโลยีสำหรับการวิเคราะห์เชิงทำนายเพื่อใช้งานในภาคธุรกิจองค์กร สามารถเข้าร่วม SAS Webinar ในหัวข้อ “การพยากรณ์ด้วยหลักทางสถิติและการเรียนรู้ด้วยเครื่องโดยการใช้ SAS Demand Forecasting” ในวันที่ 2 มีนาคม 2021 ได้ทันทีที่ https://zoom.us/webinar/register/WN_AxCo7ZRBSWKpksODOm1XyQ

 

สนใจติดต่อ SAS ได้ทันที

สำหรับผู้ที่สนใจด้านการทำ Data Analytics, Business Analytics, Prediction, Forecasting สามารถติดต่อทีมงาน SAS ได้ทันทีที่ Email thl.marketing@sas.com หรือโทร +66 020 091 6812   หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ของ SAS ได้ทันทีที่ https://www.sas.com/th_th/home.html

from:https://www.techtalkthai.com/transform-your-business-to-demaind-driven-supply-chain-with-sas-demand-forecasting/

พลิกโฉมอุตสาหกรรมการผลิตด้วยระบบเฝ้าระวัง Storage และเครือข่าย IoT จาก CSL

วิกฤต COVID-19 ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ นอกจากจะทำให้ทุกธุรกิจทั่วไทย เปลี่ยนแปลงไปสู่วิถีใหม่ (New Normal) ยังรวมไปถึงอุตสาหกรรมการผลิต (Manufacturing) จึงจำเป็นต้องปรับตัวให้พึ่งพาระบบดิจิทัล (Digital Transformation) ที่ช่วยตอบโจทย์เรื่องการทำงานได้จากทุกที่ รวมถึงการควบคุมการผลิตให้เกิดความต่อเนื่องและประสิทธิภาพ เพื่อเป็น Digital Factory แน่นอนว่าระบบดิจิทัลจะมีประสิทธิภาพได้นั้นต้องทำงานบนโครงสร้างพื้นฐาน (IT Infrastructure) ด้วยเช่นกัน

CSL ผู้ให้บริการ Data Center ระบบ Cloud และ ICT Services แบบครบวงจร จึงได้นำเสนอโซลูชันเพื่อพัฒนา IT Infrastructure ของกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อเฝ้าระวังระบบต่างๆ แบบเรียลไทม์ ช่วยให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นระบบจัดเก็บข้อมูล (Storage) หรือระบบ IoT เพื่อนำข้อมูลมาใช้สำหรับวางแผนการผลิตได้อย่างทันท่วงที ลดภาระของผู้ดูแลระบบ และให้องค์กรมีความสามารถในการสร้างการเติบโตได้ในทุกสถานการณ์ ซึ่งเป็นวิธีการทำงานใหม่ของอุตสาหกรรมการผลิตในยุคนี้

IT Infrastructure ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของกระบวนการผลิต

ปฏิเสธไม่ได้ว่า IT Infrastructure ทั้ง Network และ System ต่างเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ระบบการผลิตสามารถดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง ไม่หยุดชะงัก อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี Machine Learning ก็เริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเรียนรู้เพื่อวิเคราะห์และคาดการณ์สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ช่วยให้สามารถปรับปรุงสายการผลิตให้มีประสิทธิภาพและสอดคล้องต่อความต้องการ ณ เวลานั้นๆ ได้อย่างทันท่วงที ความสามารถของ Machine Learning ที่ช่วยเฝ้าระวังสถานะการทำงานของ Servers, Storages และ Network แบบรวมศูนย์ พร้อมแจ้งเตือนให้ผู้ดูแลระบบทราบ ก็ช่วยให้สามารถตรวจพบและดำเนินการแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว หลีกเลี่ยงความสูญเสียและลด Downtime เมื่อเกิดเหตุขัดข้องที่ไม่คาดฝันได้

CSL ผนึกกำลัง Dell และ Ruckus ตอบโจทย์ Digital Transformation กลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตในยุค New normal

CSL ผู้ให้บริการ Data Center, ระบบ Cloud และ ICT Services แบบครบวงจร พร้อมสนับสนุนนวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศให้แก่ทุกธุรกิจในประเทศไทยเพื่อทำ Digital Transformation ไม่ว่าจะเป็น Conferencing & Collaboration, Wi-Fi, Data, Workspace Management, Security, End-user Devices, Internet of Things, Cloud Services และ Platform for End-user Computing โดยมีทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำปรึกษาตั้งแต่การวิเคราะห์ความต้องการเชิงธุรกิจ ออกแบบ ติดตั้ง ปรับแต่งการใช้งานให้เหมาะกับสภาพแวดล้อมขององค์กร ไปจนถึงการสนับสนุนหลังการขาย CSL Managed Service เพื่อให้มั่นใจว่าลูกค้าสามารถพลิกโฉมธุรกิจสู่ยุคดิจิทัลและพร้อมแข่งขันในตลาด

ธุรกิจอุตสาหกรรมการผลิตในปัจจุบันมีการนำอุปกรณ์ Internet of Things (IoT) เข้ามาใช้เพื่อตรวจสอบและเก็บข้อมูลสภาพแวดล้อม รวมไปถึงมีระบบ Storage ที่คอยจัดเก็บและรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ก่อนนำไปวิเคราะห์ต่อยอดเพื่อใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสายการผลิต CSL นำเสนอระบบ Cloud-based Storage Analytics และระบบผสาน Cloud Wi-Fi และ IoT จาก Dell Technologies และ Ruckus เพื่อให้ผู้ดูแลระบบสามารถติดตามสถานะระบบ Storage และเครือข่ายไร้สาย ระบบ IoT และ ได้จากศูนย์กลางจากที่ไหนก็ได้ เพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการบริหารจัดการและเฝ้าระวังระบบ IT Infrastructure

ยกระดับระบบการจัดเก็บ (Storage) ด้วยการเฝ้าระวัง ติดตาม และวิเคราะห์ เพื่อประเมินเหตุการณ์ล่วงหน้า รับมือปัญหาได้ทันท่วงทีและทำงานได้ต่อเนื่อง

CSL ขอนำเสนอ CloudIQ เป็น Cloud-based Storage Analytics ที่ใช้เทคโนโลยี Machine Learning ในการเฝ้าระวังและติดตามสถานะการทำงานของระบบ Storage แบบเชิงรุก (Proactive) โดยรวมรวบข้อมูลสถานะของ Storage ทั้งหมดขององค์กรมาแสดงบนหน้า Dashboard เดียว ช่วยให้ผู้ดูแลระบบมองเห็นภาพรวมและเข้าใจการทำงานของ Storage ได้ง่าย ทั้งยังสามารถตรวจจับเหตุผิดปกติและประเมินเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ช่วยให้การวิเคราะห์สถานการณ์และแก้ปัญหาทำได้อย่างรวดเร็ว

คุณสมบัติเด่นของ CloudIQ ประกอบด้วย

  • Proactive Health Score: ติดตามและตรวจสอบสถานะการทำงานของ Storage ผ่านปัจจัยต่างๆ เช่น การทำงานของอุปกรณ์ (แหล่งจ่ายไฟ, พัดลม, ดิสก์), ความสอดคล้องของการตั้งค่าและการใช้งานจริง, ความจุเพียงพอต่อการใช้งาน, ประสิทธิภาพการทำงาน และการปกป้องข้อมูล โดยแสดงผลลัพธ์ในรูปแบบคะแนน ช่วยให้ผู้ดูแลระบบทำการประเมินแบบเชิงรุกได้ว่า อุปกรณ์ใดที่เริ่มหรือกำลังมีปัญหาอยู่ โดยไม่ต้องรอให้ผู้ใช้มาแจ้ง
  • Predictive Analytics: ประเมินเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นบนระบบ Storage ในอนาคต โดย Machine Learning จะทำการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ และแจ้งถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ช่วยให้ผู้ดูแลระบบทราบถึงสถานการณ์ความเสี่ยงและลงมือแก้ไขเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดขึ้น รวมไปถึงคาดการณ์พื้นที่จัดเก็บข้อมูลที่จำเป็นต้องใช้งานสำหรับทำ Capacity Planning
  • Anomaly Detection: ตรวจจับพฤติกรรมและเหตุการณ์ที่ผิดปกติ พร้อมค้นหาต้นตอของปัญหา ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถดำเนินการแก้ไขได้อย่างรวดเร็วและตรงจุด ลด Downtime ที่อาจเกิดขึ้น และเพิ่มความต่อเนื่องในการใช้งานระบบ Storage

CloudIQ ให้บริการในรูปของแอปพลิเคชันแบบ Cloud-native สามารถใช้งานได้ทันทีผ่าน Web Browser หรือ Mobile App โดยไม่จำเป็นต้องติดตั้งฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์ใดๆ เพิ่มเติม รองรับการทำงานร่วมกับผลิตภัณฑ์ Dell EMC Storage โดยไม่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของการทำงาน สามารถจัดเก็บ Log ได้นานถึง 2 ปี ลูกค้าของ Dell Technologies สามารถใช้งานได้ฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

เครือข่าย Wi-Fi และ IOT ตอบโจทย์ให้ระบบในโรงงานทำงานได้ต่อเนื่อง พร้อมจัดเก็บข้อมูลได้ไม่สะดุด

ในยุค Industry 4.0 อุปกรณ์ IoT ถูกนำเข้ามาใช้เพื่อสนับสนุนสายการผลิตเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้การเชื่อมต่อและ Bandwidth มีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล การก้าวไปสู่การเป็น Digital Factory จึงต้องมีเครือข่าย Wired และ Wireless ที่ทันสมัย ที่พร้อมรองรับการใช้งานอุปกรณ์ IoT เหล่านี้ ที่สำคัญคืออุปกรณ์ต้องสามารถใช้งานภายใต้สภาพแวดล้อมของโรงงานที่อาจเต็มไปด้วยฝุ่นละออง ความชื้นสูง หรืออุณหภูมิที่มนุษย์ยากจะอยู่อาศัยได้

เฝ้าระวังและตรวจสอบสถานะ Wi-Fi และ IoT พร้อมบริหารจัดการจากศูนย์กลาง ด้วย Ruckus IoT Suite

CSL ร่วมกับ Ruckus ผู้ให้บริการเครือข่าย Wired และ Wireless อัจฉริยะที่พร้อมให้บริการ Access Point มาตรฐาน Wi-Fi 6 (802.11ax) ซึ่งมีอัตราการรับส่งข้อมูลรวมสูงสุดถึง 6 Gbps พร้อมพอร์ตเชื่อมต่อกับ Switch แบบ Multigigabit สามารถบริหารจัดการทั้งเครือข่าย Wired และ Wireless ได้จากศูนย์กลางผ่านระบบ Cloud ทั้งยังสามารถเฝ้าระวังและตรวจสอบสถานะการทำงานของ  Access Point/Switch รวมไปถึงการเชื่อมต่อของอุปกรณ์ได้บนหน้า Dashboard เดียว ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถติดตามระบบเครือข่ายจากที่ไหนก็ได้ นอกจากนี้ยังมีระบบ Network Analytics ที่ใช้เทคโนโลยี AI/ML ในการตรวจสอบและวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้นบนระบบเครือข่ายแบบเชิงรุก (Proactive) อีกด้วย

Ruckus IoT Suite เป็นการผสานรวมการเชื่อมต่อ Wi-Fi และ IoT ไว้ภายใต้ระบบบริหารจัดการ (Controller) เดียวกัน ในขณะที่ Access Point เองก็พร้อมรองรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ IoT ผ่านโปรโตคอลที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เช่น BLE, LoRa หรือ Zigbee ทำให้ผู้ดูแลระบบสามารถควบคุมอุปกรณ์ IoT ผ่านทางระบบของ Ruckus และบน Network Infrastructure เดิมได้ทันที รวมศูนย์การจัดการ Wired, Wireless และ IoT ทั้งหมดไว้ภายใต้แพลตฟอร์มเดียว สามารถใช้งานร่วมกับระบบล็อกประตูอัตโนมัติ กล้อง CCTV และอุปกรณ์ IoT จากแบรนด์ชั้นนำหลากหลายแบรนด์

อุตสาหกรรมการผลิตที่สนใจโซลูชันระบบเฝ้าระวัง Storage และเครือข่าย IOT สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ผ่านทางอีเมล csl-presales@ais.co.th หรือโทร 02-263-8185

CSL พร้อมให้คำปรึกษาโซลูชันด้านที่เหมาะสมกับทุกองค์กรธุรกิจ

CSL มีโซลูชันที่ครบถ้วน พร้อมด้วยทีมวิศวกรที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์โซลูชันด้าน ICT ให้กับองค์กรธุรกิจมาอย่างยาวนาน CSL จึงมีความพร้อมในการให้คำปรึกษา ออกแบบ จัดหาโซลูชันด้านความมั่นคงปลอดภัยที่เหมาะสมกับความต้องการและงบประมาณสำหรับองค์กรธุรกิจทุกขนาด พร้อมบริการหลังการขาย รวมถึงการบริการในรูปแบบ Managed Services ที่ช่วยแบ่งเบาภาระด้านบุคคลากรและค่าใช้จ่ายด้าน ICT โดยรวมให้กับองค์กรธุรกิจได้เป็นอย่างดีอีกรูปแบบหนึ่งด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ CSL พร้อมให้บริการแก่ลูกค้าผ่านหมายเลขโทรศัพท์ 1370 ในการให้คำปรึกษาและช่วยแก้ปัญหาแก่ลูกค้าได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ

from:https://www.techtalkthai.com/transform-your-factories-with-storage-monitoring-and-iot-solutions-by-csl/

King Telecom Public Company Limited มอบหมาย ISS Consulting ปรับปรุงระบบ SAP พร้อมเสริมเทคโนโลยี Cloud Analytics

การเติบโตของธุรกิจนั้นย่อมส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในองค์กร และระบบ IT ที่คอยสนับสนุนธุรกิจเหล่านั้นเองก็ต้องถูกปรับปรุงอยู่เสมอเพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการทางธุรกิจได้อย่างทันท่วงที ในครั้งนี้ King Telecom เองก็ต้องทำการปรับปรุงระบบบริหารจัดการโครงการซึ่งมีความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจเป็นอย่างมาก และต้องการมองหาเครื่องมือที่จะช่วยให้การตัดสินใจทางกลยุทธ์ขององค์กรเป็นไปได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้นไปด้วย ทำให้ในครั้งนี้ King Telecom ได้ตัดสินใจที่จะปรับปรุงระบบ SAP ที่ใช้งานอยู่ขนานใหญ่ ให้ตอบรับต่อความต้องการทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน

 

รู้จัก King Telecom ผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีอย่างครบวงจร

King Telecom เป็นบริษัทหนึ่งในเครือของ King Corporation ที่ดำเนินธุรกิจหลักทางด้านวิศวกรรมโทรคมนาคมและเทคโนโลยีเป็นหลัก รวมถึงยังมีการบริการให้คำปรึกษาและแก้ไขปัญหาระบบงานสื่อสารโทรคมนาคมอย่างครบวงจรให้แก่กลุ่มธุรกิจองค์กรเอกชนและภาครัฐทั่วประเทศไทย โดยบริการของ King Telecom จะครอบคลุมบริการต่างๆ ดังต่อไปนี้

  • งานสำรวจออกแบบและติดตั้งสถานี ติดตั้งเสาอากาศ (Site Preparation for Base Station) สำหรับโทรศัพท์เคลื่อนที่ วิทยุ
  • งานสำรวจออกแบบสร้างข่ายสาย (Outside Plant) ทั้งสายใยแก้วนำแสง (Optical Fiber)
  • งานติดตั้งอุปกรณ์โทรคมนาคมและระบบชุมสาย (Telecom Equipment / System Installation)
  • งานบำรุงรักษาสถานีฐาน และ โครงข่ายสายเคเบิล (Base Station and Optical Fiber Maintenance)
  • งานบริการทางด้านการสื่อสารโทรคมนาคมอย่างครบวงจร (System Integration)
  • งานที่ปรึกษาและแก้ปัญหาระบบงานสื่อสารโทรคมนาคม

จะเห็นได้ว่างานส่วนใหญ่ของ King Telecom นั้นมักจะเป็นงานในลักษณะโครงการที่มีมูลค่าสูง และในแต่ละงานจะต้องมีหน่วยงานหรือองค์กรต่างๆ มาเกี่ยวข้องจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้การบริหารจัดการโครงการจึงถือเป็นหัวใจสำคัญหนึ่งที่จะทำให้ทาง King Telecom สามารถส่งมอบโครงการได้อย่างมีคุณภาพ และสามารถใช้ทรัพยากรต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพในระหว่างการดำเนินงาน

 

ปรับปรุงระบบ SAP PS Module ตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงของธุรกิจให้ดีขึ้น

การบริหารจัดการโครงการนั้นถือเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่จะทำให้องค์กรขนาดใหญ่สามารถแข่งขันได้ดี ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีผลกำไรในการดำเนินธุรกิจสูงขึ้นอย่างชัดเจน หากสามารถบริหารจัดการโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทาง King Telecom จึงเลือกปรับปรุง SAP Project System (PS) Module ให้สามารถตอบโจทย์การทำงานและเป็นเทคโนโลยีหลักในการบริหารจัดการโครงการขนาดเล็กใหญ่ภายในองค์กรทั้งหมด

อย่างไรก็ดี การออกแบบระบบ IT สำหรับสนับสนุนการบริหารจัดการโครงการนั้นก็ถือเป็นงานที่ยากพอควร เพราะเมื่อธุรกิจขององค์กรเติบโต มีผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ เสริมเข้ามา หรือการเปิดตลาดใหม่และนำเสนอโซลูชั่นใหม่ๆ ให้แก่ลูกค้า ระบบบริหารจัดการโครงการเดิมที่เคยใช้งานอยู่นั้นก็อาจไม่เพียงพอที่จะตอบโจทย์อีกต่อไป ทำให้ทาง King Telecom นั้นตัดสินใจทำการปรับปรุงระบบ SAP PS Module นี้ให้ตรงกับความต้องการมากขึ้น โดยมีการจัดเก็บรวบรวมและแสดงผลข้อมูลใหม่ๆ ได้อย่างหลากหลายและยืดหยุ่นต่อการทำงานมากยิ่งขึ้นในครั้งนี้

 

เสริมการตัดสินใจในระดับบริหารให้รวดเร็วแม่นยำ ด้วย SAP Analytics Cloud

เมื่อธุรกิจเริ่มเติบโตและมีความซับซ้อนสูงขึ้น การวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจก็กลายเป็นงานที่ยากขึ้นเป็นเงาตามตัว ทาง King Telecom จึงต้องการที่จะเอาชนะความท้าทายนี้ให้ได้ด้วยการนำเทคโนโลยี SAP Analytics Cloud (เดิมชื่อ SAP BusinessObjects Cloud) มาใช้เพื่อทำการวิเคราะห์ข้อมูลทางธุรกิจให้ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำมากยิ่งขึ้น

Credit: SAP

 

จุดเด่นของ SAP Analytics Cloud นี้คือการที่ได้รวมเอา 3 เทคโนโลยีหลักสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจเอาไว้ด้วยกันภายในระบบเดียว ทำให้สามารถตอบโจทย์การวิเคราะห์ข้อมูลและตัดสินใจของระดับบริหารได้อย่างครบวงจร ดังนี้

  • Business Intelligence (BI) กลุ่มผู้บริหารสามารถทำการวิเคราะห์ข้อมูลได้ในแบบ Self-service ด้วยการเลือกข้อมูลที่จะนำมาวิเคราะห์, วิธีการวิเคราะห์และเปรียบเทียบข้อมูล และวิธีการที่ใช้ในการแสดงผลข้อมูลทั้งหมดเองได้ โดยไม่ต้องมีความรู้ทางด้านการพัฒนาโปรแกรมหรือการเข้าถึงข้อมูลด้วยตนเอง
  • Predictive Analytics ไม่เพียงแต่การวิเคราะห์ข้อมูลที่เกิดขึ้นในอดีตและปัจจุบันเท่านั้น SAP Analytics Cloud นี้ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี Machine Learning ที่จะช่วยทำการทำนายแนวโน้มต่างๆ ที่น่าจะเกิดขึ้นในอนาคตได้จากข้อมูลธุรกิจที่มีอยู่ในระบบ ทำให้การตัดสินใจของกลุ่มผู้บริหารนั้นอ้างอิงกับหลักสถิติและการคำนวณมากขึ้น โดยไม่ต้องอาศัย Data Scientist ภายในองค์กร
  • Planning การวางแผนทางธุรกิจโดยอาศัยข้อมูลนั้นสามารถทำได้อย่างเบ็ดเสร็จบน SAP Analytics Cloud ทันที ด้วยความสามารถในการสื่อสารร่วมกันระหว่างกลุ่มผู้บริหารภายในหน้าจอวิเคราะห์ข้อมูลนี้ ทำให้ผู้บริหารสามารถทำการวิเคราะห์ข้อมูลร่วมกันได้ และปรับแต่งการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อให้มองเห็นภาพการวิเคราะห์และตัดสินใจได้ตรงกันมากยิ่งขึ้น

ด้วยความสามารถเหล่านี้ก็ทำให้กลุ่มผู้บริหารของ King Telecom สามารถทำการปรับแต่งรายงานทางธุรกิจต่างๆ ที่ตนเองสนใจ และเจาะลึกในประเด็นต่างๆ ได้ตามต้องการอย่างทันท่วงที รวมถึงยังสามารถปรับเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อข้อมูลในรูปแบบต่างๆ ได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องมีการพัฒนาระบบรายงานอย่างแต่ก่อน ซึ่งมักมีปัญหาเรื่องความล่าช้า อีกต่อไป

สำหรับผู้ที่สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ SAP Analytics Cloud สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ https://www.sap.com/products/cloud-analytics.html ทันที

 

King Telecom มั่นใจ ให้ ISS Consulting เป็นที่ปรึกษาและติดตั้งใช้งานครบวงจร

ในโครงการนี้ถือเป็นอีกหนึ่งโครงการที่ต้องอาศัยผู้ที่มีประสบการณ์กับระบบของ SAP อย่างเชี่ยวชาญเข้ามาช่วย เนื่องจาก SAP PS Module ที่ทาง King Telecom ใช้งานอยู่นั้นทำงานอยู่บน SAP ECC 6.0 ในขณะที่ระบบ SAP Analytics Cloud นั้นเป็นเทคโนโลยีที่อยู่บน SAP Cloud การปรับแต่งระบบเดิมที่ใช้งานอยู่ และการเชื่อมต่อข้อมูลจากระบบปัจจุบันนี้เข้ากับบริการ Cloud ของ SAP นั้นจึงจำเป็นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง และ ISS Consulting ก็เป็นบริษัทที่ได้รับความไว้วางใจจาก King Telecom ในครั้งนี้

ด้วยประสบการณ์อันยาวนานของ ISS Consulting (Thailand) ที่มีกับระบบ SAP มาหลากหลายรุ่น อีกทั้งยังได้รับการแต่งตั้งให้เป็น SAP Partner ในระดับ Platinum และเคยผ่านการปรับแต่งระบบ SAP ให้ตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจองค์กร รวมถึงยังมีความรู้และประสบการณ์ในการให้คำปรึกษาเชิงธุรกิจ ก็ทำให้การเลือกใช้บริการ ISS Consulting โดย King Telecom ในครั้งนี้สามารถตอบโจทย์ได้อย่างครบครันทั้งในด้านธุรกิจและเทคโนโลยี ที่จะกลายมาเป็นหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจในอนาคตของ King Telecom ต่อไป

เยี่ยมชมเว็บไซต์ของ King Telecom Public Company Limited ได้ที่ http://www.king-telecom.com

 

 

เกี่ยวกับ ISS Consulting (Thailand) Ltd.

บริษัท ไอเอสเอสคอนซัลติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ผู้เชี่ยวชาญในด้านการออกแบบ พัฒนา และติดตั้งระบบ IT รวมถึงระบบ E-Commerce แบบครบวงจรให้แก่องค์กรขนาดเล็กไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ และเป็นผู้นำด้านการบริการดูแลระบบ SAP (Application Management Services) ในประเทศไทย ที่มีความชำนาญอย่างสูงและมี มีประสบการณ์ มามากกว่า 18 ปี

ปัจจุบัน บริษัท ไอเอสเอสคอนซัลติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ได้รับการแต่งตั้งจาก SAP ให้เป็นพาร์ทเนอร์ระดับ Platinum ที่มุ่งเน้นนำเสนอโซลูชั่นที่เป็นประโยชน์กับองค์กรธุรกิจ หลากหลาย ดังนี้

  • SAP Business All In One (SAP A1) เป็นระบบที่ SAP ออกแบบมาเพื่อให้เหมาะกับธุรกิจขนาดกลางและขนาดใหญ่ ให้เป็นระบบ Enterprise Business Solution รองรับความซับซ้อนของธุรกิจเต็มรูปแบบที่เน้นความรวดเร็ว
  • SAP S/4 HANA โซลูชั่น ERP business suite ด้วยการใช้ประโยชน์จาก ดาต้า โมเดล ที่ไม่ซับซ้อน และประสบการณ์การใช้งานอันเหนือชั้นของ SAP Fiori ช่วยให้ผู้ใช้งานลดความซับซ้อนในการทำงาน และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้มากขึ้น
  • SAP Hybris Cloud for Customer ซอฟต์แวร์เพื่อการค้าขายและบริการ ครบวงจรทั้งแบบ B2C และ B2B
  • SAP SuccessFactors ระบบการจัดการทรัพยากรบุคคล ครอบคลุมทั้งการจ้างงาน เงินเดือนพนักงาน ช่วยให้การสรรหาพนักงานมาเติมช่องว่างในแผนกต่างๆ ทำได้ง่าย และรวดเร็วขึ้น
  • SAP Analytics Cloud ระบบวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจบน Cloud พร้อมเทคโนโลยี Machine Learning
  • SAP ARIBA ระบบเพื่อการจัดซื้อ บริษัทสามารถควบคุมการจัดซื้อได้ตั้งแต่ต้นจนจบ คุมค่าใช้จ่าย และลดขั้นตอนความซับซ้อนของการจัดซื้อ
  • SAP ByDesign เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดต่อยอดจาก SAP HANA รองรับโมบายล์และคลาวด์ เพื่อช่วยให้ธุรกิจปรับตัวเข้ากับสภาพตลาดที่มีการแข่งขันและเปลี่ยนแปลงสูงได้อย่างทันท่วงที
  • SAP Process Orchestration (PO) ระบบบริหารจัดการกระบวนการการทำงานให้เป็นไปได้แบบอัตโนมัติและโต้ตอบกับผู้ใช้งานได้ง่าย
  • Business Planning and Consolidation (BPC) ระบบบริหารจัดการงบประมาณการลงทุน, การวางแผนธุรกิจ และการจัดการด้านการเงิน
  • Extended Warehouse Management (EWM) ระบบบริหารจัดการคลังสินค้าเชิงลึก
  • SAP Business One (SAP B1) ระบบ ERP โซลูชั่นราคาประหยัดที่จะช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กที่กำลังเติบโตสามารถบริหารจัดการกระบวนการปฏิบัติงานได้อย่างครอบคลุม

เยี่ยมชมเว็บไซต์ของ ISS Consulting (Thailand) ได้ที่ http://www.issconsulting.co.th

from:https://www.techtalkthai.com/king-telecom-and-iss-consulting-upgrading-existing-sap-with-cloud-analytics/

Oracle เสริม 4 ความสามารถใน IoT Cloud: AI, Machine Learning, Digital Twin และ Digital Thread

Oracle ได้ออกมาประกาศการอัปเดตครั้งใหญ่ของบริการ Oracle Internet of Things (IoT) Cloud ด้วยการเพิ่มความสามารถใหม่ๆ เข้าไปด้วยกัน 4 ประการ เพื่อตอบโจทย์ธุรกิจองค์กรโดยเฉพาะ ดังนี้

Credit: Oracle

 

Digital Twin for Supply Chain Management

การรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลของทรัพย์สินในแบบ Physical หรือ Physical Asset ให้หลากหลายแง่มุม เพื่อให้สามารถนำข้อมูลเหล่านั้นมาทำการวิเคราะห์และ Simulate ได้ ทำให้การทำธุรกิจโดยอาศัยข้อมูลเป็นไปได้มากยิ่งขึ้น ช่วยเพิ่มความคุ้มค่าในการดำเนินการ, ลด Downtime ที่อาจเกิดกับเครื่องจักรหรือกระบวนการ และเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานสินทรัพย์ต่างๆ ได้อย่างเต็มที่มากยิ่งขึ้น

 

Digital Thread for Supply Chain Management

Framework สำหรับเชื่อมต่อกระบวนการต่างๆ ทางธุรกิจให้ทำการสร้างและส่งข้อมูลเข้าไปยังระบบ Supply Chain Management (SCM) หรือ Enterprise Resource Planning (ERP) โดยอัตโนมัติ ทำให้ระบบ IoT ได้รับข้อมูลทั้งหมดในแบบ Real-time และทำให้การบริหารจัดการการผลิตสามารถทำได้ด้วยข้อมูลแบบครบวงจรอย่างแท้จริง

 

AI & Machine Learning

Oracle ได้เพิ่มความสามารถของ Artificial Intelligence (AI) และ Machine Learning (ML) เข้ามายัง Oracle IoT Cloud เพื่อให้องค์กรต่างๆ สามารถทำการต่อยอดการนำข้อมูลไปใช้งานต่างๆ ได้ง่ายขึ้น เช่น การทำ Anomaly Detection ตรวจจับการทำงานผิดปกติที่เกิดขึ้น, การทำ Predictive Analytics วิเคราะห์ว่าเครื่องจักรจะมีปัญหาหรือไม่ได้ล่วงหน้า, การแนะนำสิ่งที่ควรทำ และอื่นๆ โดยสามารถนำไปใช้งานได้ในทุกแง่มุมของธุรกิจทันที

 

นอกจากนี้ Oracle ยังได้ออกมาเปิดตัวโซลูชันสำหรับเจาะจงภาคอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยี IoT ด้วยกันอีก 3 ระบบ ได้แก่

  • Digital Field Service ระบบสำหรับทำการดูแลรักษาและแก้ไขปัญหาหน้างาน โดยรวมเอาระบบ Intelligent Remote Monitoring, Failure Prediction, Over-the-Air Repair และ Dynamic Technician Dispatch เอาไว้รดว้ยกัน และยังรองรับการทำ Augmented Reality (AR) มาใช้แนะนำการซ่อมแซมอุปกรณ์ต่างๆ ได้ด้วย
  • Smart Connected Factory โซลูชันสำหรับการตรวจสอบปัญหา, วิเคราะห์ต้นตอของปัญหา และแนะนำวิธีการแก้ไขปัญหาในโรงงานโดยเฉพาะ และยังรองรับการนำ Virtual Reality (VR) มาใช้ในการตรวจสอบการทำงานของโรงงานในแต่ละชั้น และใช้ฝึกอบรมพนักงานได้ด้วย
  • Digital Fleet Management โซลูชันสำหรับติดตามการรับส่งสินค้า, การบริหารจัดการความเสี่ยง และการผสานข้อมูลการขนส่งจากหลายผู้ให้บริการเข้าด้วยกันได้แบบ Real-time

 

ผู้ที่สนใจสามารถทำการทดลองใช้ Oracle Cloud ได้ฟรีๆ ทันทีที่ https://cloud.oracle.com/tryit?intcmp=ocom-ft

 

ที่มา: https://www.oracle.com/corporate/pressrelease/oracle-expands-iot-cloud-portfolio-083117.html

from:https://www.techtalkthai.com/oracle-adds-4-features-in-oracle-iot-cloud-ai-machine-learning-digital-twin-and-digital-thread/

IDC ยกให้ Splunk เป็นระบบ IT Operations Analytics และ Log Management ที่เติบโตเร็วเป็นอันดับ 1

IDC ได้ออกมาจัดอันดับให้ Splunk นั้นเป็นเป็นบริษัทผู้พัฒนาเทคโนโลยี IT Operations Analytics (ITOA) และ IT Event and Log Management ที่เติบโตเร็วที่สุดในโลกเป็นอันดับ 1

Credit: Splunk

 

ด้วยความสามารถในการประมวลผล Big Data ที่เกิดขึ้นมาจากระบบ IT Infrastructure ทั้งจากภายในและภายนอกองค์กรของ Splunk เพื่อนำมาสร้าง Index และบริหารจัดการข้อมูลเหล่านั้นได้หลากหลายวิธีการ ไม่ว่าจะเป็นการจัดกลุ่ม, การค้นหา และการแสดงผลจากข้อมูลที่รวบรวมมาจากหลายแหล่ง ทำให้เหล่าองค์กรสามารถสร้างกราฟแสดงข้อมูลต่างๆ แบบ Real-time ได้ตามต้องการ อีกทั้งยังมี Template สำหรับนำไปประยุกต์ใช้งานได้หลากหลายทั้งในเชิงของ IT Operations และ Application Performance Management (APM) เปลี่ยนกระบวนการการทำงานของฝ่าย IT ที่เป็นงานเชิงรับให้กลายเป็นงานเชิงรุกด้วยการใช้ Predictive Analytics ทำนายแนวโน้มการเกิดปัญหาต่างๆ ได้ล่วงหน้า ให้สามารถป้องกันปัญหาเหล่านั้นได้อย่างทันท่วงที และลด Downtime ของระบบลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การจัดอันดับในครั้งนี้อ้างอิงจากส่วนแบ่งตลาดทั่วโลกของปี 2016 และครั้งนี้ก็นับเป็นครั้งที่ 3 แล้วที่ Splunk ได้เป็นอันดับ 1 ในหมวดของ ITOA เอาชนะคู่แข่งอย่าง IBM, Microsoft, VMware, HPE, CA Technologies และ BMC มาได้ด้วยส่วนแบ่งตลาดที่สูงถึง 32.2% เติบโตจากปีก่อนหน้าถึง 45.2% ในขณะที่การครองอันดับ 1 ในหมวดของ IT Event and Log Management ครั้งนี้ก็มีส่วนแบ่งตลาดมากถึง 21.2% และการเติบโตที่ 45.2%

ผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมจากรายงานของ IDC ได้ที่ https://www.splunk.com/en_us/form/worldwide-it-event-and-log-management-software-market-shares-2016.html ทันที

 

ทดสอบใช้งาน Software และ Download Free Whitepaper

สำหรับผู้ที่สนใจต้องการทดสอบ Software ต่างๆ จาก STelligence หรือศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจาก Whitepaper สามารถโหลดได้จาก URL ดังต่อไปนี้

 

ติดต่อ STelligence ได้ทันที

stelligence_logo

ร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางด้านระบบ Data Analytics หรือสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ทดสอบระบบ Solution Network Monitoring หรือระบบ Data Center Monitoring, ระบบ Network Operation Center (NOC), ระบบ Security Operation Center (SOC), ระบบ SIEM ได้ทาง

  • ติดต่อบริษัท STelligence ได้ที่ info@stelligence.com
  • ติดต่อคุณธเนศ ฝ่ายขาย โทร 089-444-2443 หรือโทร 02-938-7475
  • สามารถกด Like เพื่อรับข่าวสารข้อมูลอัพเดต และ Use case ที่น่าสนใจมากมาย : www.facebook.com/stelligence

 

ที่มา: https://www.splunk.com/en_us/newsroom/press-releases/2017/splunk-ranked-no-1-in-fastest-growing-it-markets.html?linkId=41091165

from:https://www.techtalkthai.com/idc-says-splunk-is-the-no-one-of-operations-analytics-and-it-event-and-log-management-provider/

เรียนเชิญร่วมงาน Workshop อัปเดทเทคโนโลยีในการบริหารข้อมูลและ Big Data เพื่อเตรียมพร้อม Thailand 4.0 กับ ISS Consulting Thailand

ISS Consulting (Thailand) Ltd. ร่วมกับ SAP Thailand จัดงาน Workshop เพื่ออัปเดทเทคโนโลยีล่าสุดในการรับมือกับข้อมูลที่มีมากมายมหาศาล จากระบบไอทีและ Big Data มาวิเคราะห์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน Day-to-Day operation และสามารถสามารถตัดสินใจทางธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว

Workshop นี้เหมาะสำหรับ ผู้บริหารองค์กร ผู้บริหารด้านการเงิน, ผู้บริหารด้านการตลาด และ ผู้บริหารด้าน IT ที่ต้องการปรับปรุงประสิทธิภาพในการใช้งานข้อมูลในองค์กร เพื่อให้ผู้บริหารและพนักงาน สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ต้องใช้ในงานประจำวัน ได้ง่าย รวดเร็ว ทั้งจากคอมพิวเตอร์และ mobile devices และมี insight ที่เป็นประโยชน์ต่องงานของตัวเอง

นอกจากนี้ Workshop ยังครอบคลุมเทคโนโลยี Predictive Analytics ที่จะช่วยศักยภาพการแข่งขันขององค์กร  ที่จะช่วยเพิ่ม ROI ของ marketing campaign, ความสามารถที่จะ forecast การผลิตสินค้าให้ใกล้เคียงกับความต้องการในแต่ละ seasonality,  ช่วยรักษาฐานลูกค้าเดิมได้ดีขึ้น ( customer loyalty ) และอื่นๆอีกมาก โดยสามารถตรวจสอบ Agenda ของงานได้ที่ https://www.techtalkthai.com/wp-content/uploads/2017/08/EDM_8-Sep-17.pdf

โดยจัดขึ้นในวันศุกร์ที่ 8 กันยายน 2560  ตั้งแต่เวลา 9.00 – 13.30 น.  ณ โรงแรม Le Meridien ถนนสุรวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพฯ
ท่านลูกค้าสามารถลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมงานโดย ส่ง e-mail สำรองที่นั่งได้ที่  porntip.meerakul@issconsulting.net  หรือ โทร. 02-237-0553 Ext. 102 โทรสาร. 02-237-0554 โดยขอความกรุณาส่งรายละเอียด ชื่อ ตำแหน่ง และหมายเลขโทรศัพท์เป็นภาษาอังกฤษ มาพร้อมกัน ด้วยการกรอกแบบฟอร์มลงทะเบียนที่ https://www.techtalkthai.com/wp-content/uploads/2017/08/registration-form-08.09.17.doc และแนบกลับมาให้เรียบร้อย

ปล. 1.ขอสงวนสิทธิ์ 1 บริษัท ไม่เกิน 2 ท่านนะคะปิดรับลงทะเบียนภายในวันที่ 5 กันยายน 2560

from:https://www.techtalkthai.com/iss-consulting-invitation-to-big-data-workshop-2017-09-08/

“บรา” ยุคใหม่ ใช้ IoT, Cloud และ AI ช่วยตรวจสอบมะเร็งเต้านม

Rob Royea, CEO จาก Cyrcadia Health Asia ออกมาเปิดเผยถึง “บรา” แบบใหม่สำหรับหญิงสาวในยุคดิจิล ซึ่งผสานรวมความสามารถของระบบ Internet of Things, Cloud และ Articial Intelligence เข้าด้วยกัน สำหรับช่วยตรวจหามะเร็งเต้านม

Royea ระบุว่า ปัจจุบันนี้ ประมาณ 1 ใน 8 ของผู้หญิงสหรัฐฯ ต้องเผชิญหน้ากับโรคมะเร็งเต้านม การค้นพบมะเร็งได้ตั้งแต่ระยะเร่ิมต้นสามารถช่วยเหลือชีวิตหญิงสาวได้เป็นจำนวนมา และช่วยให้แพทย์สามารถรักษาได้ง่ายยิ่งขึ้น Royea จึงพัฒนาอุปกรณ์ IoT ชนิดใหม่ขึ้นมา เรียกว่า “iTBra” ซึ่งใช้ระบบ Cloud และ AI ในการช่วยตรวจจับมะเร็งเต้านมตั้งแต่ระยะแรกๆ

iTBra เป็นอุปกรณ์ IoT ที่ถูกสวมอยู่ข้างในชุดชั้นในสตรีสำหรับใช้ตรวจจับมะเร็งเต้านม โดยภายในจะติดตั้งเซ็นเซอร์ที่ช่วยตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของกระบวนการเผาผลาญผ่านทางการประเมินการเปลี่ยนแปลงความร้อนของร่างกาย จากนั้นเซ็นเซอร์จะนำข้อมูลที่รวบรวมได้ส่งไปยังห้องแล็บ ซึ่งทีมงานของ Royea จะใช้ AI หรือ Predictive Analytics บนระบบ Cloud เพื่อทำการวินิจฉัย ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จะถูกส่งกลับไปหญิงสาวคนนั้น แพทย์ที่ดูแล หรือบริษัทประกัน หญิงสาวสามารถดูผลลัพธ์ด้วยตัวเองอย่างง่ายๆ คือ “คุณสุขภาพปกติดี” หรือ “คุณต้องไปพบแพทย์”

Royea ระบุว่า จนถึงตอนนี้ เขาได้กระจายตัวอย่างไปยังคลีนิคต่างๆ เพื่อให้ทดลองใช้แล้ว ก่อนหน้านี้ iTBra ต้องใช้เวลาถึง 48 ชั่วโมงในการตรวจสอบผลลัพธ์ แต่ตอนนี้ลดลงเหลือเพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น ในขณะที่ความแม่นยำก็เพิ่มขึ้นจาก 74% ไปเป็นมากกว่า 80% คาดว่าสิ้นปีนี้ iTBra จะถูกพัฒนาให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่พร้อมวางขายในท้องตลาดของภูมิภาคเอเชีย ส่วนในสหรัฐฯ iTBra ผ่านการตรวจสอบ FDA Class 2 แล้ว และกำลังยื่นเรื่องเพื่อขอประเมิน FDA Class 1 แล้วเตรียมวางจำหน่ายทั่วภูมิภาค

ที่มา: https://newsroom.cisco.com/feature-content?type=webcontent&articleId=1847444

from:https://www.techtalkthai.com/itbra-wearables-help-detect-breast-cancer/

AWS เผย ใช้ Machine Learning ทำนายว่าต้องลงทุนขยาย Data Center อย่างไร

Andy Jassy ผู้ดำรงตำแหน่ง CEO แห่ง Amazon Web Services (AWS) ได้ออกมาเปิดเผยแนวทางของ AWS ในการจัดการ Data Center ของ AWS เอง ว่ามีการใช้ Machine Learning เข้ามาทำนายว่า Cloud Data Center แห่งใดจะต้องลงทุนในทรัพยากรด้านใดเพิ่มเติมบ้าง เพื่อให้ AWS สามารถลงทุนล่วงหน้า รับรองต่อการเติบโตได้อย่างทันท่วงที

 

ถึงแม้จะไม่ได้มีการเปิดเผยอย่างชัดเจนว่าทาง AWS นำข้อมูลใดมาใช้ในการทำ Machine Learning เพื่อทำนายแนวโน้มการเติบโตเหล่านี้บ้าง แต่ก็ยังมีการเผยว่าหนึ่งในข้อมูลที่สำคัญนั้นก็คือข้อมูลจากฝ่ายขาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขายแก่ธุรกิจองค์กรที่มักใช้เวลานาน แต่ก็เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่อาจทำให้ Data Center ของ AWS นั้น Spike ได้หากโครงการเหล่านั้นถูกเริ่มต้นในเวลาเร็วกว่าที่คาด ดังนั้นการทำนายล่วงหน้าจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจของ AWS ดำเนินต่อไปได้

ด้วยการนำ Machine Learning มาใช้วิเคราะห์อย่างต่อเนื่อง ทำให้ AWS สามารถทะยอยเพิ่ม Server เข้าไปใน Data Center ที่เปิดให้บริการทั่วโลกในทุกๆ วัน จนปัจจุบันนี้ธุรกิจของ Amazon เองก็มีขนาดถึง 7,000 ล้านเหรียญหรือราวๆ 245,000 ล้านบาทแล้ว

อย่างไรก็ดี AWS เองนั้นไม่ใช่ผู้ให้บริการ Cloud รายเดียวที่มีการนำ Machine Learning มาใช้ เพราะทาง Google เองก็เคยออกมาเปิดเผยเมื่อปี 2014 ว่ามีการใช้ Machine Learning เพื่อใช้พลังงานภายใน Data Center แต่ละแห่งให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยเช่นกัน ส่วนผู้ผลิตเทคโนโลยีฝั่งองค์กรนั้นก็มีการนำเทคโนโลยีลักษณะนี้มาใช้ในการทำ Capacity Management ภายใน Data Center ขององค์กรอยู่บ้างแล้ว

 

ที่มา: http://www.datacenterknowledge.com/archives/2017/05/19/report-ai-tells-aws-many-servers-buy/

from:https://www.techtalkthai.com/aws-uses-machine-learning-to-predict-data-center-growth/

[PR] แซสคว้าตำแหน่งผู้นำด้านโซลูชันการวิเคราะห์เชิงพยากรณ์ และการนำความรู้ไปต่อยอดหรือที่รู้จักกันในระบบโซลูชั่นที่เรียกว่า Machine Leaning

กรุงเทพฯ –  เมษายน 2560 – แซสได้รับการยกย่องให้เป็นผู้นำจากรายงาน The Forrester Wave™: Predictive Analytics and Machine Learning Solutions, Q1 2017 โดยได้รับคะแนนสูงสุดในกลุ่มผู้จำหน่ายซอฟต์แวร์ 14 รายจากสามประเภทผลิตภัณฑ์ที่มีการประเมินผล ได้แก่ ข้อเสนอแนะ กลยุทธ์ธุรกิจ และบทบาทในตลาดซอฟต์แวรว์อนาไลติกส์

โดยรายงานฉับบใหม่นี้ได้ตอกย้ำให้เห็นถึงความสำเร็จของบริษัท แซส ซอฟท์แวร์ หลังจากเพิ่งได้รับการยกย่องเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมาว่าเป็นผู้นำเพียงรายเดียวในรายงาน The Forrester Wave™: Enterprise Insight Platform Suites, Q4 2016 ซึ่งในรายงานดังกล่าว  บริษัท ฟอร์เรสเตอร์ ได้ระบุว่า แซสเป็น “ผู้นำในกลุ่ม” ผู้จำหน่ายซอฟต์แวร์ที่ได้รับการประเมินว่า “มีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด ด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในการนำเสนอแพลตฟอร์มข้อมูลเชิงลึกที่สนับสนุนการตัดสินใจ”

ทั้งนี้ในรายงาน Predictive Analytics and Machine Learning Solutions ฉบับล่าสุดระบุว่า “แซสได้พลิกโฉมกลุ่มผลิตภัณฑ์ด้านวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Science) ของตน โดยสามารถผสานรวมกลุ่มผลิตภัณฑ์ด้านวิทยาศาสตร์ข้อมูลเข้าไว้ใน SAS Visual Suite (SAS Visual Analytics, SAS Visual Statistics, SAS Visual Data Mining และ Machine Learning) ซึ่งทำให้โซลูชันดังกล่าวพร้อมรองรับการดำเนินการด้านการจัดเตรียมข้อมูล ระบบเสมือนจริง การวิเคราะห์ข้อมูล การสร้างโมเดล และการปรับใช้โมเดล การผสานรวมเครื่องมือให้เป็นหนึ่งเดียวนี้ซึ่งจะช่วยยกระดับความสามารถด้านการใช้งานให้กับนักวิทยาศาสตร์ด้านข้อมูลที่ต้องการสร้างโมเดลในหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะโมเดลที่มีความซับซ้อนอย่างมาก

“สำหรับวิสัยทัศน์ของบริษัท แซส ที่มีต่อวิทยาศาสตร์ข้อมูลไม่ได้จำกัดเพียงเฉพาะการสร้างสรรค์นวัตกรรมในรูปของเครื่องมือเท่านั้น แต่ยังสามารถปรับให้เข้ากับวิธีการวิเคราะห์ใหม่ๆ ที่สร้างโอกาสให้กับองค์กรต่างๆ เช่น ข้อมูลสถิติ เศรษฐมิติ การเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุด การเรียนรู้ของเครื่องมือ การเรียนรู้เชิงลึก และการมีปฏิสัมพันธ์ด้านภาษาอย่างเป็นธรรมชาติ นอกจากนี้ บริษัท แซส ยังได้เปิดตัวบริการสนับสนุนสำหรับการใช้งานการวิเคราะห์ของแซสผ่านระบบ Python, Java และ Lua ซึ่งเป็นระบบที่รองรับสมุดบันทึก (Notebook) ด้านวิทยาศาสตร์ข้อมูลในรูปแบบโอเพ่นซอร์ส”

ก้าวไปสู่อนาคต

SAS® Viya™ เป็นแพลตฟอร์มการวิเคราะห์แบบเปิดที่พร้อมใช้งานบนระบบคลาวด์ และได้รับการพูดถึงอย่างชัดเจนในรายงาน The Forrester Wave™: Enterprise Insight Platform Suites, Q4 2016 ทั้งนี้ แอพพลิเคชั่น SAS Viya พร้อมให้การประมวลผลแบบกระจายที่รวดเร็วและรองรับการดำเนินงานด้านการจัดเตรียมข้อมูล ระบบเสมือนจริง การวิเคราะห์ และการบริหารจัดการโมเดลต่างๆ กลุ่มผลิตภัณฑ์นี้พร้อมรองรับผู้ใช้ในหลากหลายกลุ่ม ซึ่งรวมถึงผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจ นักวิเคราะห์ นักสถิติ นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล และผู้บริหาร โดยเป็นแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อสนับสนุนการทำงานร่วมกันระหว่างผู้ใช้ในแต่ละประเภทให้สามารถพัฒนาการวิเคราะห์ร่วมกันทั้งองค์กรได้อย่างเห็นผล

นายณัฐพล อภิลักษณ์โตยานันท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แซส ซอฟท์แวร์ (ไทยแลนด์) จำกัด

นายณัฐพล อภิลักษณ์โตยานันท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แซส ซอฟท์แวร์ (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า การวิเคราะห์จะยังคงได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องด้วยแพลตฟอร์ม SAS Viya  ซึ่งองค์กรต่างๆ กำลังต้องการการวิเคราะห์ที่มีประสิทธิภาพอย่างมากเพื่อช่วยในการสร้างสรรค์นวัตกรรม และสร้างความแตกต่างในการแข่งขัน และสำหรับบริษัท แซส ถือเป็นทางเลือกที่พร้อม ‘ผลักดัน’ ให้เกิดข้อมูลเชิงลึกด้านการวิเคราะห์และการตัดสินใจ และเรากำลังก้าวสู่การเป็นผู้นำในตลาดอย่างต่อเนื่องด้วย SAS Viya”

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเรียนรู้ของเครื่องจักรสามารถสร้างโมเดลการวิเคราะห์แบบอัตโนมัติได้อย่างไร สามารถอ่านได้ที่ Machine Learning: What it is and why it matters”

###

เกี่ยวกับบริษัท แซส

บริษัท แซส เป็นผู้นำในตลาดซอฟต์แวร์และบริการด้านการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงธุรกิจ (Business Analytics) ด้วยโซลูชั่นเชิงนวัตกรรมที่ให้ลูกค้าในรูปของ Integrated Framework และเทคโนโลยีสำหรับการรวบรวมข้อมูล  การวิเคราะห์ และการเข้าถึงข้อมูลช่วยให้ลูกค้าของแซส ที่มีมากกว่า 75,000 แห่งทั่วโลก สามารถตัดสินใจทางธุรกิจได้ดี และรวดเร็วยิ่งขึ้น และนับตั้งแต่ปี 2519 เป็นต้นมา แซส เดินหน้าอย่างมุ่งมั่นในการเป็น “พลังแห่งการรอบรู้” หรือ The Power to Know® สำหรับลูกค้าทั่วโลก

from:https://www.techtalkthai.com/sas-named-a-leader-in-predictive/

SAP เสริม Machine Learning และ Predictive Analytics สู่ระบบ Supply Chain Planning

SAP ได้ออกมาประกาศถึงความสามารถใหม่ๆ ที่เพิ่มเติมเข้ามาใน SAP Integrated Business Planning ที่จะช่วยให้การวางแผนสำหรับระบบ Supply Chain ทั้งหมดมีความแม่นยำสูงขึ้น ด้วยการนำ Machine Learning มาใช้งาน โดยสรุปแล้วมีการเพิ่มความสามารถใหม่ๆ เข้ามาดังนี้

 

  • ปรับปรุงการทำ ABC/XYZ Segmentation ให้ดีขึ้น โดยรองรับการจัดกลุ่มลูกค้าและผลิตภัณฑ์ได้ละเอียดขึ้น และทำนายแนวโน้มต่างๆ ในแต่ละกลุ่มได้ดีขึ้น
  • เพิ่มระบบ Machine Learning เข้ามายัง SAP Integrated Business Planning ผ่านทาง SAP Clea
  • ปรับปรุงอัลกอริธึมสสำหรับการวางแผนให้ดีขึ้นและเป็นอัตโนมัติมากขึ้น
  • Analytics App และ Dashboard App สามมรถปรับแต่งได้มากขึ้น และเรียกข้อมูลที่ต้องการขึ้นมาวิเคราะห์ได้ทันทีตามต้องการ
  • มีระบบ Supply Chain Network Visualization ใหม่ แสดงข้อมูลของเครือข่าย Supply Chain ในโลกจริงได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
  • เพิ่มการทำ Phase-in และ Phase-out Modeling ใน Product Lifecycle Management
  • มี Process Orchestration App ใหม่ ทำให้การทำ Automation และการติดตามการวางแผนต่างๆ ทำได้ดียิ่งขึ้น

ผู้ที่สนใจรายละเอียดฉบับเต็มเกี่ยวกับ SAP Integrated Business Planning สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.sap.com/product/scm/integrated-business-planning.html ทันที

 

ที่มา: http://news.sap.com/sap-introduces-machine-learning-and-predictive-analytics-to-cloud-based-integrated-business-planning-suite/

from:https://www.techtalkthai.com/sap-adds-machine-learning-and-predictive-analytics-to-sap-integrated-business-planning/