คลังเก็บป้ายกำกับ: SALES

Gartner คาดการณ์ยอดส่งมอบ PC ในปีนี้ปรับตัวลดลง 9.5%

Gartner คาดการณ์ยอดส่งมอบ PC ในปีนี้ปรับตัวลดลง 9.5%

Gartner ได้คาดการณ์ส่งมอบ PC ทั่วโลกในปีนี้จะปรับตัวลดลง 9.5% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว อยู่ที่ 310 ล้านเครื่อง แบ่งเป็นยอดส่งมอบ PC ระดับ Consumer ที่ปรับตัวลดลง 13.5% ส่วนยอดส่งมอบ PC สำหรับองค์กรที่ปรับตัวลดลง 7.2% ในทวีปยุโรปตะวันออกกลางและแอฟริกานั้นเป็นภูมิภาคที่มีการปรับตัวลดลงสูงสุด โดยมียอดส่งมอบลดลง 14% ซึ่งการปรับตัวลดลงนั้นสืบเนื่องมาจากหลายปัจจัยที่เกิดขึ้นตลอดทั้งปี เช่น ความต้องการ PC ที่ลดลง, ความขัดแย้งของรัสเซียและยูเครน, ราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น และการล็อกดาวน์ของจีน

ไม่เพียงแค่ตลาด PC เท่านั้นที่ยอดส่งมอบลดลง แต่ตลาดแท็บเล็ตและสมาร์ทโฟนก็มีการปรับตัวลดลงเช่นเดียวกัน โดยยอดส่งมอบรวมจะปรับตัวลดลง 7.1% ในปีนี้ จำนวนรวม 1,456 พันล้านเครื่อง ซึ่งในจีนจะมีจำนวนสมาร์ทโฟนลดลงถึง 18.3%

ที่มา: https://www.theregister.com/2022/06/30/gartner_shipments/

from:https://www.techtalkthai.com/gartner-forecasts-pc-shipment-declines-9-5-percents-in-2022/

HP รายงานผลประกอบการ ยอดขาย PC เติบโตอย่างต่อเนื่อง

HP Inc. รายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุด ยอดขาย PC มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

HP Inc. รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกปีนี้ของบริษัท พบว่ามีรายได้กว่า 1.7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เติบโตประมาณ 9% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยมีกำไรประมาณ 1.08 พันล้านเหรียญสหรัฐ ผลิตภัณฑ์หลายกลุ่มของบริษัทก็มีการเติบโตมากกว่า 10% เช่น อุปกรณ์ Gaming, อุปกรณ์ต่อพ่วง, Workforce solution, Consumer Subscription และ Industrial Graphic

ยอดขาย PC และ Notebook นั้นยังคงเป็นสัดส่วนใหญ่ โดยมีรายได้กว่า 1.22 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นการเติบโต 15% จากปีที่แล้ว โดยเหนือกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้

ที่มา: https://siliconangle.com/2022/02/28/hp-beats-earnings-revenue-targets-amid-relentless-pc-sales-boom/

from:https://www.techtalkthai.com/hp-inc-reports-first-quater-2022-earning-pc-sales-growth/

ธุรกิจขนาดเล็กจะยังคงเชื่อมโยงและเติบโตในยุค New Normal ได้อย่างไร

ในประเทศไทยนั้นได้เริ่มมีการผ่อนคลายในกฎระเบียบต่างๆ รวมทั้ง อาจมีการเปิดรับนักท่องเที่ยวกลับเข้ามาอีกเมื่อมีความพร้อมในอนาคต แต่ภัยโรคระบาดในครั้งนี้ก็ได้เปลี่ยนวิธีคิด, วิธีการเดินทาง และวิธีการจับจ่ายใช้สอยของลูกค้า สำหรับธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (SME) นั้นก็ไม่อาจคาดหวังให้โลกเราหมุนกลับไปและดำเนินธุรกิจเหมือนดังที่เป็นในอดีตได้อีกแล้ว ดังนั้น การทำ Digital Transformation จึงเป็นหนทางที่จะช่วยให้ธุรกิจสามารถก้าวเดินต่อไปได้

เลือกที่จะปรับตัว แทนที่จะถูกทิ้งเอาไว้ข้างหลัง

ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีปริมาณของธุรกิจด้านการเดินทาง, การท่องเที่ยว และการนำเข้าส่งออกเป็นจำนวนมาก ซึ่งภาครัฐเองก็เล็งเห็นว่าธุรกิจเหล่านี้คือหัวใจสำคัญของระบบเศรษฐกิจ แต่จากการสำรวจของ United Nations Industrial Development Organization (UNIDO) ก็พบว่าธุรกิจขนาดเล็กเหล่านี้ต่างก็ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากภัยโรคระบาดด้วยกันทั้งสิ้น ในขณะที่ผลสำรวจของ NXPO ก็ระบุว่าเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางในประเทศไทยนั้นมีรายได้ลดลงถึง 50% ท่ามกลางวิกฤตโรคระบาดในครั้งนี้ และถ้าหากนโยบายปิดเมืองนั้นยังคงดำเนินต่อไป งานวิจัยของ UNIDO ก็ระบุว่ากว่าครึ่งของธุรกิจขนาดเล็กในประเทศไทยนั้นจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงยิ่งกว่านี้

แล้วอะไรคือปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจ SME นั้นได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากภัยโรคระบาดในครั้งนี้?

หากเปรียบเทียบกับองค์กรขนาดใหญ่ ธุรกิจ SME นั้นจะมีกระแสเงินสดที่น้อยกว่า, มีลูกค่าที่น้อยกว่า และยังมีผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีที่น้อยกว่า ในรายงานของ Ernst & Young นั้นระบุว่า 54.9% ของธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นกำลังอยู่ในระยะแรกเริ่มของการเปิดรับต่อนวัตกรรมเชิงดิจิทัลเท่านั้น ทำให้เมื่อลูกค้ายกเลิกแผนการเดินทางและมุ่งไปสู่การซื้อสินค้าออนไลน์แทน ธุรกิจ SME ก็ยังคงขาดช่องทางในการเข้าถึงลูกค้าหลักของตนเอง อีกทั้งเมื่อพนักงานทำงานจากที่บ้าน ประสิทธิผลในการทำงานนั้นก็ลดลง เนื่องจากธุรกิจ SME หลายแห่งยังคงขาดเทคโนโลยีที่เหมาะสมสำหรับการสื่อสารทำงานร่วมกันจากระยะไกล

การปรับธุรกิจสู่การเป็นธุรกิจดิจิทัลนั้นคือก้าวที่สำคัญ

“พฤติกรรมการซื้อสินค้าและความคาดหวังของลูกค้านั้นกำลังเปลี่ยนไป” คุณ Chris Yo ผู้ดำรงตำแหน่ง Regional Vice President of SMB in Asia แห่ง Salesforce กล่าว “ในการที่จะเข้าถึงลูกค้าได้นั้น ธุรกิจจะต้องมีการทำpersonalised customer journeysผ่านทางช่องทางดิจิทัลที่ตอบโจทย์ให้กับลูกค้าา” ธุรกิจ SME ต้องมีปารกปรับตัวให้ตอบรับต่อความต้องการใหม่ของลูกค้า เพื่อให้ธุรกิจยังคงเดินหน้าและเติบโตต่อไปได้ในอนาคต

เพื่อช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงลูกค้าแบบดิจิทัลได้ Salesforce ได้นำเสนอ 3 แนวทางด้วยกัน ดังนี้

1. สร้างความมั่นคง

เมื่อธุรกิจเริ่มกลับมาเปิดทำการอีกครั้ง ภาวะการเป็นผู้นำจะช่วยสร้างขวัญกำลังใจแก่พนักงานและผนึกรวมบริษัทให้เป็นหนึ่งเดียว การให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสุขภาพและความปลอดภัยแก่พนักงานด้วยการนำเครื่องมือดิจิทัลมาเสริมให้พนักงานสามารถทำงานได้จากระยะไกล พร้อมทั้งสามารถตรวจสอบกระบวนการทำงานได้จากที่ต่างๆ นั้นถือเป็นก้าวแรกที่ต้องเริ่มเสริมให้กับธุรกิจ ในขณะที่การเข้าถึงลูกค้าก็สำคัญไม่แพ้กัน ธุรกิจจึงควรพิจารณาถึงการตั้งระบบ Virtual Contact Center หรือระบบ Self-Service Portal เพื่อSupportลูกค้าของตนเอง

ระบบ Customer Relationship Management (CRM) ช่วยให้ธุรกิจของคุณปรับตัวตามทุกๆขั้นตอนของ Customer Life Cycle ระบบ CRM Salesforce Customer 360 สามารถนำเสนอข้อมูลที่ครบถ้วนของลูกค้า ทำให้คุณรับทราบถึงความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้าแบบ Real-time

2. เปิดให้พนักงานกลับมาทำงานได้อีกครั้ง

สำหรับการเปิดการทำงานอีกครั้ง พนักงานนั้นต้องมีเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพและมีกระบวนการทำงานที่ชัดเจน Work.com มีกระบวนการทำงานและแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดให้พร้อมนำไปใช้ได้ได้ทันทีเพื่อให้ธุรกิจสามารถกลับมาเปิดดำเนินการได้อีกครั้งอย่างปลอดภัย อีกทั้งระบบ CRM ก็ยังสามารถช่วยให้พนักงานทำการเข้าถึงข้อมูลได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าจะทำงานจากระยะ ใกล้ หรือ ไกลแค่ไหนก็ตาม

ในขั้นตอนนี้ คุณสามารถใช้องค์ความรู้แบบ Data-Driven จากระบบ CRM เพื่อสร้างเส้นทางการเดินทางสำหรับลูกค้าแต่ละคนบนช่องทางดิจิทัลได้

3. การสร้างการเติบโต

ในขั้นตอนนี้ เครื่องมือดิจิทัลจะถูกใช้งานควบคู่ไปกับวิธีการเข้าถึงลูกค้าแบบดั้งเดิม ดังนั้นธุรกิจจะต้องมีการจัดเก็บข้อมูลแบบรวมศูนย์ไม่ว่าจะติดต่อสื่อสารกับลูกค้าผ่านช่องทางใดก็ตาม ระบบ CRM ที่มีความสามารถสมบูรณ์นั้นจะช่วยให้พนักงานยังคงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และตัดสินใจได้อย่างแม่นยำจากข้อมูลที่ครบถ้วน

สำหรับธุรกิจ การเดินหน้าเพื่อทำให้ธุรกิจมั่นคง การกลับมาเปิดทำงานใหม่ และเติบโตได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย Salesforce จึงได้ทำการเปิดตัวหลากหลายโครงการเพื่อช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางสามารถทำการวิเคราะห์และก้าวต่อไปยังอนาคตแบบ Next Normal ได้ และเพื่อให้ธุรกิจสามารถเริ่มต้นการทำ Digital Transformation ได้ Salesforce ก็ได้นำเสนอ Salesforce Essentials Trial ซึ่งเป็นโอกาสดีสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางที่จะสามารถให้บริการลูกค้าได้ตลอดเวลา, สร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นกับลูกค้า และสามารถสื่อสารให้ข้อมูลกับลูกค้าได้อยู่เสมอ

นอกจากนี้ ธุรกิจก็ยังคงสามารถรับชม The Small Business Virtual Experience Webinar Series แบบย้อนหลังและใช้งาน Small Business Growth Kit ได้ตามต้องการ ทรัพยากรทั้งสองนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแนะแนวทางให้กับธุรกิจ SME ถึงการใช้งาน CRM อย่างได้ผลในช่วงเวลาที่ท้าทายนี้

กรณีศึกษา: Roojai.com สามารถเติบโตท่ามกลางวิกฤตโรคระบาดได้อย่างไร

Roojai.com มีการเติบโตถึง 250% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความท้าทายจาก COVID-19 พวกเขาทำได้อย่างไร?

ผู้ให้บริการประกันภัยรถยนต์ได้เริ่มต้นวางแผนในการให้บริการสนับสนุนลูกค้าตลอด 24/7 เมื่อวิกฤตโรคระบาดเริ่มต้น และเมื่อไวรัสได้แพร่กระจาย พวกเขาก็เร่งดำเนินแผนให้รวดเร็วยิ่งขึ้น เริ่มต้นจากการย้ายพนัคกงานจากการทำงานภายในออฟฟิศไปสู่การทำงานจากระยะไกลในเวลาน้อยกว่า 2 วัน และด้วยระบบ Call Center และกระบวนการเคลมประกันที่ถูกบริหารจัดการอยู่ภายในระบบ Salesforce CRM ที่สามารถถูกเข้าถึงได้อย่างง่ายดายจากที่บ้าน Roojai.com ก็สามารถให้บริการลูกค้าด้วยคุณภาพของบริการที่ดี โดยมีสายโทรศัพท์กว่า 98% ที่ถูกรับภายในเวลาเพียง 20 วินาทีด้วยการใช้ Service Cloud อีกทั้งพวกเขาก็ยังสามารถค้นหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ด้านประกันภัยในระหว่างที่มีการเปิดเมืองได้

ปัจจุบันนี้ เมื่อพวกเขาก้าวสู่การทำงานในยุค New Normal ได้อย่างเต็มตัวแล้ว พวกเขาก็ยังคงรักษานโยบายการทำ Social Distancing อยู่โดยการสื่อสารกับลูกค้าผ่านบริการเคลมทางวิดีโอที่มี Salesforce และ SightCall จาก AppExchange อยู่เบื้องหลัง

รับชม Salesforce Live: Asia Roojai.com On-Demand Video ได้ที่นี่

Digital Transformation: ช่วงเวลาที่เหมาะสมคือตอนนี้

ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องยากสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางในการปรับตัว แต่ธุรกิจเหล่านี้ก็มีความว่องไวที่สูงกว่า การที่ธุรกิจขนาดเล็กจะทำการเปลี่ยนแปลง, เริ่มดำเนินการ และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ขึ้นมานั้นเป็นเรื่องที่ง่ายดายกว่ามาก

“ไม่ว่าจะเป็นการทำงานจากที่บ้านสำหรับพนักงาน หรือการเปลี่ยนแปลงธุรกิจที่ต้องทำงานโดยยึดอาคารสถานที่เป็นหลักมาสู่รูปแบบดิจิทัลแทนนั้น ต่างก็มีเทคโนโลยีเป็นส่วนสำคัญต่อความสามารถในการอยู่รอดของสังคมท่ามกลางช่วงเวลานี้” คุณ Yio กล่าว “สำหรับธุรกิจในทุกอุตสาหกรรม ความสำคัญของการเข้าถึงลูกค้าผ่านช่องทางดิจิทัลได้ถูกยกระดับความสำคัญให้สูงขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการทำ Digital Transformation ก็คือยามนี้นั่นเอง”

Salesforce คือผู้นำระดับโลกในระบบผสานรวมทางด้าน Customer Relationship Management ซึ่งจะทำให้ทุกแผนกมีข้อมูลกลางที่สามารถใช้งานร่วมกันได้สำหรับผู้ใช้งานทุกคน เพื่อส่งมอบประสบการณ์สำหรับลูกค้าแต่ละรายได้ตรงตามความคาดหวัง

อ่านบล็อกของ Salesforce เพิ่มเติมสำหรับรายละเอียดต่างๆที่มีให้สำหรับธุรกิจ

from:https://www.techtalkthai.com/how-small-businesses-can-stay-connected-and-grow-in-the-new-normal/

รายได้โฆษณา Google กลับมาคืนฟอร์มแล้วจ้า

หุ้น Alphabet พุ่งกระฉูดเมื่อมีการประกาศว่ายอดขายโฆษณาออนไลน์ของ Google ส่งสัญญาณกลับมาคืนฟอร์มฮอตแรงอีกครั้ง ส่งให้บริษัทแม่อย่าง Alphabet รายงานไตรมาส 2 ของปีแบบสุดแข็งแกร่ง แซงหน้าคำพยากรณ์ของทุกสำนักแบบขาดลอย

Alphabet ย้ำว่าธุรกิจโฆษณาออนไลน์ของ Google เติบโตจนทำให้มีรายรับรวม 38,900 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.2 ล้านล้านบาท) ทำได้ดีกว่าที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้ว่ารายรับรวมของเจ้าพ่อเสิร์ชเอนจิ้นจะอยู่ที่ 38,100 ล้านเหรียญ โดยกำไรต่อหุ้นแบบยังไม่หักค่าเสื่อมอยู่ที่ 14.21 เหรียญ นำโด่งจากที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะทำได้ 11.30 เหรียญ

หากเจาะลึกที่การเติบโตของธุรกิจโฆษณาของ Google จะพบว่าตัวเลขเพิ่มขึ้นมากกว่า 19% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา อัตราเติบโตของ Google เคยอยู่ที่ 17% เมื่อช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ อย่างไรก็ตาม อัตราการเติบโตทั้งหมดลดลงจากการเติบโต 26% ที่ Google เคยรายงานในช่วง 2 ไตรมาสต้นปี 2561

ยังไม่ท็อปฟอร์ม

ถึงจะไม่สูงเท่าเดิม แต่ตัวเลข 19% นี้แสดงถึงการปรับปรุงที่ชัดเจน และอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้นักลงทุนรู้สึกดีและเชื่อมั่นในหุ้น Google ส่งให้หุ้น Alphabet มีราคาขายเพิ่มขึ้น 7% ในการซื้อขายนอกเวลาทำการ ทั้งที่ตัว Alphabet เองมียอดรายได้ที่ไม่สวยงามเท่าที่ควร

ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ Alphabet บันทึกรายได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2555 ซึ่งทำให้นักลงทุนจำนวนมากหวั่นใจจนทำให้หุ้นลดลงมากกว่า 10% ในช่วง 3 เดือนถัดมา แต่ผลประกอบการล่าสุดของไตรมาสนี้อาจบอกล่วงหน้าว่า Google กำลังคืนฟอร์ม แม้ว่านักลงทุนจะยังไม่หมดห่วงเรื่องการถูกคณะกรรมการ Federal Trade Commission ตรวจสอบ Google ด้วยข้อหาผูกขาดธุรกิจโฆษณาออนไลน์

แม้จะทำเงินได้ดี Google และ Alphabet ยังมีภาระเรื่องค่าปรับสูงมาก ล่าสุดคือค่าปรับ 1,700 ล้านเหรียญจากสหภาพยุโรปเมื่อไตรมาสที่แล้ว เวลานั้นสหภาพยุโรปตัดสินว่า Google ได้ใช้กลยุทธ์การแข่งขันอย่างไม่เป็นธรรมในพื้นที่โฆษณาอินเทอร์แอคทีฟในยุโรป ซึ่ง Alphabet ยืนยันว่าจะมีการอุทธรณ์แบบถึงที่สุดต่อไป

ที่มา: : FastCompany

from:https://www.thumbsup.in.th/2019/08/revenue-advertising-google-comeback/

รายได้โฆษณา Google กลับมาคืนฟอร์มแล้วจ้า

หุ้น Alphabet พุ่งกระฉูดเมื่อมีการประกาศว่ายอดขายโฆษณาออนไลน์ของ Google ส่งสัญญาณกลับมาคืนฟอร์มฮอตแรงอีกครั้ง ส่งให้บริษัทแม่อย่าง Alphabet รายงานไตรมาส 2 ของปีแบบสุดแข็งแกร่ง แซงหน้าคำพยากรณ์ของทุกสำนักแบบขาดลอย

Alphabet ย้ำว่าธุรกิจโฆษณาออนไลน์ของ Google เติบโตจนทำให้มีรายรับรวม 38,900 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.2 ล้านล้านบาท) ทำได้ดีกว่าที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้ว่ารายรับรวมของเจ้าพ่อเสิร์ชเอนจิ้นจะอยู่ที่ 38,100 ล้านเหรียญ โดยกำไรต่อหุ้นแบบยังไม่หักค่าเสื่อมอยู่ที่ 14.21 เหรียญ นำโด่งจากที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะทำได้ 11.30 เหรียญ

หากเจาะลึกที่การเติบโตของธุรกิจโฆษณาของ Google จะพบว่าตัวเลขเพิ่มขึ้นมากกว่า 19% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา อัตราเติบโตของ Google เคยอยู่ที่ 17% เมื่อช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ อย่างไรก็ตาม อัตราการเติบโตทั้งหมดลดลงจากการเติบโต 26% ที่ Google เคยรายงานในช่วง 2 ไตรมาสต้นปี 2561

ยังไม่ท็อปฟอร์ม

ถึงจะไม่สูงเท่าเดิม แต่ตัวเลข 19% นี้แสดงถึงการปรับปรุงที่ชัดเจน และอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้นักลงทุนรู้สึกดีและเชื่อมั่นในหุ้น Google ส่งให้หุ้น Alphabet มีราคาขายเพิ่มขึ้น 7% ในการซื้อขายนอกเวลาทำการ ทั้งที่ตัว Alphabet เองมียอดรายได้ที่ไม่สวยงามเท่าที่ควร

ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ Alphabet บันทึกรายได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2555 ซึ่งทำให้นักลงทุนจำนวนมากหวั่นใจจนทำให้หุ้นลดลงมากกว่า 10% ในช่วง 3 เดือนถัดมา แต่ผลประกอบการล่าสุดของไตรมาสนี้อาจบอกล่วงหน้าว่า Google กำลังคืนฟอร์ม แม้ว่านักลงทุนจะยังไม่หมดห่วงเรื่องการถูกคณะกรรมการ Federal Trade Commission ตรวจสอบ Google ด้วยข้อหาผูกขาดธุรกิจโฆษณาออนไลน์

แม้จะทำเงินได้ดี Google และ Alphabet ยังมีภาระเรื่องค่าปรับสูงมาก ล่าสุดคือค่าปรับ 1,700 ล้านเหรียญจากสหภาพยุโรปเมื่อไตรมาสที่แล้ว เวลานั้นสหภาพยุโรปตัดสินว่า Google ได้ใช้กลยุทธ์การแข่งขันอย่างไม่เป็นธรรมในพื้นที่โฆษณาอินเทอร์แอคทีฟในยุโรป ซึ่ง Alphabet ยืนยันว่าจะมีการอุทธรณ์แบบถึงที่สุดต่อไป

ที่มา: : FastCompany

from:https://www.thumbsup.in.th/revenue-advertising-google-comeback

วิธีทำให้ Awareness วกกลับมาเป็นยอดขาย

ทักษะด้านความคิดสร้างสรรค์ หรือ Skill Creative เป็นอีกหนึ่งทักษะที่นักการตลาดควรมี เพราะการแข่งขันในตอนนี้ต่างดุเดือด ฟาดฟันไปด้วยความเจ๋งมากมาย และความน่าสนใจนี้ถึงจะดึดดูดให้มียอดการรับรู้หรือ Awareness สูงๆ ได้

แต่เมื่อนักการตลาดที่เติมทักษะด้านครีเอทีฟเข้าไปแล้วดันลืมทักษะที่สำคัญสำหรับการคิดแคมเปญ คือ การทำอย่างไรให้ยอดการรับรู้สามารถย้อนกลับมาเป็นยอดขายให้ได้ เพราะการตลาดไม่ได้มีอยู่แค่บนโลกออนไลน์เท่านั้น

วันนี้เราจึงเอาเทคนิคที่ทำให้ยอด awareness สามารถวกกลับมาเป็นยอดขายได้ มาฝากกันค่ะ

 

แนบส่วนลด

เทคนิคนี้คือการเพิ่มการตัดใจซื้อให้ลูกค้า ณ จุดขาย เป็นเทคนิคที่มีมานานแต่ตอนนี้หลายแบรนด์ก็ได้เลิกทำกันไปแล้ว เพราะมุ่งมาที่ออนไลน์อย่างเดียว แต่อย่าลืมนะคะ ว่าการตลาดตอนนี้ไม่ใช่แค่ออนไลน์แต่คือการผสมผสานระหว่างออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน

ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจเครื่องสำอางค์ ที่ยังต้องแพ็คขายสินค้าแบบควบคู่ เพื่อดึงดูดใจให้ลูกค้าอยากซื้อ เช่น การจัดโปรโมชั่นซื้อ 1 แถม 1 เป็นการแนบส่วนลดติดไปกับตัวสินค้าเอง จะเป็นจุดที่ช่วยเพิ่มการตัดสินใจซื้อได้เร็วขึ้น

อย่างกรณีของ Eucerin ที่แนบส่วนลดไปกับสินค้าที่จัดโปรโมชั่น หากลูกค้านำส่วนลดส่วนนี้ ไปลดกับสินค้าชิ้นใหญ่ (ที่ไม่ได้จัดโปรโมชั่น) ก็ทำให้เราขายสินค้าได้สองชิ้นพร้อมๆ กัน โดยลดสินค้าไปเพียงชิ้นเดียว เรียกว่าเป็นโอกาสเพิ่ม Sales Volume อีกช่องทางหนึ่ง

 

สติกเกอร์แคมเปญ

การส่งชิงโชคผ่าน Line@ กำลังเป็นที่นิยมมากสำหรับการทำแคมเปญในปัจจุบัน เพราะทำให้เราส่ง Promotion ให้ลูกค้าตลอดเวลา​โดยไม่มีต้นทุนที่สูงมากนัก  อีกช่องทางที่ช่วยได้คือการประกาศเเคมเปญผ่านตัวสินค้าเอง

แต่วิธีนี้ไม่ค่อยมีแบรนด์ไหนใช้แล้ว ซึ่งบอกเลยค่ะว่าได้ผลมากๆ โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าประเภท Consumer Product ที่สินค้ามีวางขายทั่วประเทศ

อย่างไรก็ตาม การจะลงเงินไปกับ Ads อย่างเดียว ก็เป็นการหวังพึ่งแพลตฟอร์มมากเกินไป หรือลองอีกวิธีคือการแปะสติกเกอร์แคมเปญที่ตัวสินค้าเลย ก็สามารถช่วยกระตุ้นยอดขายที่หน้าร้านให้ดีขึ้นได้

 

สร้าง Viral Video

Viral Video เป็นสิ่งที่ช่วยโปรโมทสินค้าได้เป็นอย่างดี เพราะ Video บน Facebook จะช่วยให้ได้ Reach ที่ดีมากกว่า Post Photo เพียงอย่างเดียว แต่แน่นอนว่าการโพสต์เพียงอย่างเดียวคงไม่พอ

นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้สลับกลับมาเป็นยอดขายได้ คือการแชร์ Viral Video เพื่อมาแลกเป็นส่วนลดหรือ Voucher ที่หน้าร้าน เรียกว่าเป็นการทำตลาดแบบออมนิแชนแนลได้ คือ ช่วยให้เกิดยอดขายจากทั้งช่องทาง ออนไลน์และออฟไลน์เพิ่มขึ้น เมื่อลูกค้าสนใจรับของฟรีจากหน้าร้านแล้ว ก็อาจเพิ่มโอกาสในการซื้อสินค้าตัวอื่นเพิ่มขึ้นที่หน้าร้านด้วย

 

อย่างที่บอกไปว่า วิธีที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเทคนิคเล็กๆ ที่ช่วยให้เราเปลี่ยนจากการสร้าง Awareness เฉยๆ กลับมาเป็นยอดขายนะคะ หากใครมีเทคนิคดีๆ ที่จะช่วยเพิ่มโอกาสทางการขายสินค้าได้สูงขึ้น สามารถมาแชร์กันได้ที่คอมเมนต์ด้านล่างนี้เลยนะคะ

 

 
Source: thumbsup

from:https://thumbsup.in.th/2019/04/awareness-sales-value/

พาเดินงาน Big Bonus Day “Summer Splash” ลดสูงสุด 90% ผ่อน 0% ทุกชิ้น

Big Bonus Day Summer Splash Cover

ช่วงนี้วันสงกรานต์หลายคนอาจมีแผนต้องใช้เงินจำนวนมาก หรือแม้กระทั่งบางคนที่อยู่ กทม. ไม่มีแผนเดินทางไปไหนก็จะเดินทางสะดวกหน่อยเพราะรถไม่ติด ในวันนี้เราจะขอแนะนำ พาเดินงาน Big Bonus Day “Summer Splash” ลดสูงสุด 90% ผ่อน 0% ทุกชิ้น ตั้งแต่วันที่ 10 -23 เมษายน 2561 เวลา 10.00 – 21.00 น. 14 วันเท่านั้น! รับรองว่าไม่ได้ลดน้อยไปกว่า Mobile Expo หรือ Commart Next Gen เลยทีเดียว

Big Bonus Day “Summer Splash”
Big Bonus Day “Summer Splash”

Big Bonus Day “Summer Splash”

ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับงาน Big Bonus Day “Summer Splash” กันก่อนว่ามันคืองาน “ลดราคา” ดังนั้นหากคุณไม่ชอบของถูก (มีด้วยหรอ ?) ก็แนะนำให้ไปซื้อตามหน้าร้านปกติ แต่สำหรับคนชอบของถูกในงานนี้ก็มีทั้งของใหม่แกะกล่องและของลดราคา ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้

  1. สินค้าใหม่ลดราคา (แบบไม่มีเหตุผล)
  2. สินค้าตัวทดสอบ
  3. สินค้าตกรุ่น

สำหรับคนที่ชอบความคุ้มค่า ในงานนี้ถือว่าตอบโจทย์เพราะลดราคาไปสูงสุดถึง 90% ประหยัดตังค์ได้หลายพันไปจนถึงหลักหมื่นก็มี โดยเป็นที่รู้กันว่าสินค้า Apple ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยลดราคากันเท่าไหร่ (ยกเว้นสาเหตุตามข้างต้น) ซึ่งก็มีหลายชิ้นมากตามสต๊อกของ Banana เพียงแต่เข้าเอามาจัดในห้างให้เดินทางสะดวกกัน

สินค้าก็มีเยอะแยะมากมายตั้งแต่เคสหรืออุปกรณ์เสริม ตั้งแต่รุ่นเก่าไปจนถึงรุ่นปัจจุบัน iPhone, iPad, Mac หรือแม้กระทั่ง Smartphone และ Notebook ที่ไม่เกี่ยวข้องกับ Apple เลยก็มีเช่นเดียวกัน แล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าสินค้าจะหมดเพราะมันเยอะมากกกก ชนิดที่ว่าผู้จัดงานต้องจองสถานที่แล้วจัดงานถึง 14 วันกันเลยทีเดียว

Apc 0045

Apc 0046

เริ่มต้นที่ iPhone ก็มีตั้งแต่รุ่นเก่าไปจนถึงรุ่นใหม่ งานนี้มีเอามาทุกสีเพราะว่าร้าน Banana ค่อนข้างใหญ่และมีสาขาทั่วประเทศ ตัวโชว์เลยมีค่อนข้างเยอะ (ถึงจะเป็นตัวโชว์แต่บางชิ้นยังใหม่กริ๊บ Accessories ยังไม่ได้แกะใช้เลยด้วย) ไปจนถึงของใหม่ที่ค้างสต๊อกเก็บไว้อามาลดราคากัน

Apc 0050

Apc 0051

Apc 0052

iPad Pro 10.5″ รุ่นใหม่ก็มากับเขาด้วย งานนี้มีทั้งรุ่น Wi-Fi และ Wi-Fi + Cellular มีหลากหลายความจุและหลากสีมาก ชนิดที่ว่าอธิบายให้หมดก็คงไม่ไหว (ขี้เกียจพิมพ์) ยังไงลองมาดูและจับตัวจริงดีที่สุดครับ

Apc 0055

Apc 0057

Apc 0058

Apc 0059

Apc 0060

ลองมาดู Apple Watch กันบ้างอันนี้ค่อนข้างเห็นใจคนขาย เพราะมันแตกย่อยออกหลายรุ่นและหลายโมเดลเหลือเกิน ทำให้ของค้างสต๊อกก็มีเหลือเยอะเหมือนกัน และเพราะมีรุ่นใหม่เปิดตัวทุกปีเลยต้องเคลียร์ของเก่ากัน แต่สำหรับผู้บริโภคอย่างเราคือข่าวดี เพราะว่า Apple Watch เป็นเรื่องยากที่จะตกรุ่น (ต่างจากสมาร์ทโฟน) ส่วนคุณสมบัติรุ่นใหม่อาจแตกต่างกันเล็กน้อยเท่านั้น

Apc 0061

Apc 0062

Apc 0063

Apc 0065

มาถึงขวัญใจคนทำงานกันบ้างอย่าง MacBook ก็มีเอามาลดราคาเหมือนกัน มีตั้งแต่รุ่นเก่าไปจนถึงตัวโชว์ที่ตั้งภายในร้าน ดูเหมือนจะน่ากลัวแต่ความจริงคือสภาพดีมาก พนักงานรักษาและดูแลกันอย่างดีแทบไม่เคยย้ายเครื่องออกจากร้าน เผลอ ๆ ราคาถูกกว่าเครื่องมือสองที่ขายกันในเน็ตอีก

Apc 0071

Apc 0072

Apc 0073

Apc 0074

Apc 0076

Apc 0077

นอกนั้นก็จะเป็นพวกอุปกรณ์เสริมรุ่นเก่าที่ลดกันเยอะมากกกกก (กอไก่หลายตัว) ลดชนิดที่ว่าคนที่ซื้อราคาเต็มมาเห็นเข้าอาจเคืองได้ และที่สำคัญคือหลายอุปกรณ์สามารถใช้กับรุ่นใหม่ได้อีกต่างหาก (อ่าว … ยังไง) แล้วก็ไม่ต้องกลัวของปลอมเพราะในงานนี้มีแต่ของแท้เท่านั้นครับ

Apc 0103
Apc 0031
Apc 0032
Apc 0033
Apc 0034
Apc 0035
Apc 0037
Apc 0038
Apc 0039
Apc 0040
Apc 0041
Apc 0030
Apc 0044
Apc 0045
Apc 0046
Apc 0048
Apc 0050
Apc 0051
Apc 0052
Apc 0055
Apc 0057
Apc 0058
Apc 0059
Apc 0060
Apc 0061
Apc 0062
Apc 0063
Apc 0065
Apc 0066
Apc 0068
Apc 0069
Apc 0070
Apc 0071
Apc 0072
Apc 0073
Apc 0074
Apc 0076
Apc 0077
Apc 0079
Apc 0082
Apc 0083
Apc 0085
Apc 0086
Apc 0087
Apc 0088
Apc 0089
Apc 0091
Apc 0092
Apc 0093
Apc 0094
Apc 0095
Apc 0096
Apc 0098
Apc 0099
Apc 0100
Apc 0101
Apc 0102

สินค้าอื่น

ก็ไม่เพียงแค่สินค้าและอุปกรณ์ Apple แต่ไหน ๆ ก็จัดงานแล้วดังนั้นจึงมาพร้อมกับ Smartphone และ Notebook อีกหลากหลายแบรนด์ให้เลือกกัน งานนี้โปร่งใส่สุด ๆ มีการแจ้งชัดเจนว่ารุ่นไหนประกันเหลือกี่เดือน และเงื่อนไขสินค้าเป็นอย่างไร เอาเป็นว่าใครสนใจก็ลองมาเดินดูกันนะครับ

มือถือเก่าหรือโน้ตบุ๊คเก่าก็รับซื้อ เอามาที่งาน แล้วแลกเป็นส่วนลดใช้ในงานได้เลย!

นอกจากนี้ยังมีทางผู้จัดงานอย่าง Banana ยังได้เข้าใจคนไทยเป็นอย่างดี มีการดีลร่วมกับสถาบันทางการเงินและบัตรเครดิต ผ่อน 0% ทุกชิ้น ทั้งงาน นานสูงสุด 24 เดือน* ก็ไม่ต้องคิดมากแล้วครับสำหรับงานนี้ เสียแค่ค่ารถเดินทางมาเลือกซื้อรับชมกัน สรุปงานนี้มีกิจกรรมทั้งหมดดังนี้

  • สินค้า Clearance ลดสูงสุด 90%
  • สินค้าใหม่ ลดสูงสุด 60%
  • สินค้า Apple ประหยัดสูงสุด 50%
  • Notebook ลดสูงสุด 60%
  • Smartphone & Tablet ลดสูงสุด 60%
  • Buy Back โน๊ตบุ๊ค, สมาร์ทโฟนเก่า… เรารับซื้อแล้วใช้เป็นส่วนลดภายในงานได้เลย

หากใครสนใจลองไปดูกันได้ที่ เมกา บางนา ชั้น 1 ลาน Fashion Galleria ห้างนี้ของกินเยอะ และที่จอดรถกว้างขว้าง โดยงานจะเริ่มตั้งแต่ วันที่ 10 -23 เมษายน 2561 เวลา 10.00 – 21.00 น. รวมทั้งหมด 14 วัน

*เฉพาะบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ
**เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ติดตามโปรโมชั่นอัพเดททุกวันได้ที่ http://bit.ly/BBDiPhonemod

from:https://www.iphonemod.net/big-bonus-day-summer-splash.html

“ตอนนี้ยุ่งมาก เดี๋ยวว่างแล้วจะโทรกลับ” จิตวิทยาการขาย เพิ่มยอดด้วยการทำตัวยุ่งๆ

เคยเห็นร้านอาหารที่มีคนต่อแถวยาวๆ แล้วรู้สึกว่า “ร้านนี้ต้องอร่อย” บ้างหรือไม่? ในทางการขายก็เช่นเดียวกัน การทำให้ลูกค้าต้องอดทนรอสักนิด ช่วยเพิ่มยอดขายได้

“ตอนนี้ยุ่งมาก เดี๋ยวว่างแล้วจะโทรกลับ”

ไม่ว่าจะกำลังขายสินค้า มีคนมาสนในลงโฆษณา หรืออีกสารพัดสิ่ง หนึ่งในจิตวิทยาของการเพิ่มยอดขาย คือการทำตัวให้ดูยุ่ง ไม่สะดวกที่จะคุยตอนนี้

  • เปลี่ยนจากคำว่า “พนักงานของเราพร้อมอยู่แล้ว โทรติดต่อเข้ามาได้เลย” เป็น “ถ้าพนักงานของเรากำลังยุ่งอยู่ โปรดโทรหาอีกครั้ง”

หลักการนี้เข้าใจง่ายมาก ให้นึกถึงร้านอาหารที่มีคนต่อแถวรอเข้าคิวยาวไปจนถึงหน้าถนน ในเชิงจิตวิทยาหมายความว่า “ร้านนี้อร่อย” หรือพูดอีกอย่างคือ มีคนจำนวนมาก (เหมือนคุณ) กำลังสนใจสินค้าตัวนั้นๆ จึงไม่แปลกที่ร้านอาหารที่มีคนต่อแถวยาวๆ หรือคนมุงมากๆ จะกระตุ้นให้คุณรู้สึกมีความต้องการอาหาร/สินค้ามากขึ้น แม้ว่าจะต้องรอนานอีกสักหน่อยก็ตาม

Photo: Flickr.com by jf garbez

หาหลักฐานมาพิสูจน์ว่า “สินค้า” ได้รับความนิยม

ในระหว่างการใช้หลักการทำตัวยุ่งเพื่อเพิ่มยอดขาย สิ่งที่ต้องทำคือ สร้างหลักฐานขึ้นมาพิสูจน์ว่าสินค้าของคุณมี impact จริงๆ

  1. ใช้ผู้เชี่ยวชาญ เช่น ถ้าขายผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพก็ให้ใช้แพทย์เป็นผู้อธิบายสินค้าตัวนั้น
  2. ใช้คนดัง ดารา ข้อนี้เข้าใจไม่ยาก เพราะคนส่วนใหญ่ก็ต้องอยากใช้สินค้าที่เหล่าเซเล็บใช้อยู่แล้ว
  3. ใช้คนธรรมดาทั่วไป ให้เขียนถึงสินค้าของคุณว่าประทับใจแค่ไหนที่ได้ใช้งาน การรีวิวสินค้าที่มาจากปากของคนธรรมดาเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ได้ผลในยุคที่ “สื่อ” อยู่ในมือของทุกคน

ข้อควรระวัง

การทำตัวยุ่งในทางจิตวิทยาการขายอาจะส่งผลให้ยอดขายดีขึ้น แต่ระลึกไว้เสมอว่า หากคุณทำงานบริการไม่ควรใช้หลักการนี้เป็นอันขาด เพราะประสบการณ์ของลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญ หากตอบสนองช้าจะส่งผลลบต่อแบรนด์อย่างลึกซึ้งและยาวนาน

คำพูดประเภท “กรุณาถือสายรอสักครู่ ขณะนี้พนักงานของเรากำลังให้บริการลูกค้าท่านอื่นอยู่” สามารถใช้ได้ แต่ต้องใช้ด้วยความจริงใจที่จะช่วยแก้ปัญหา ไม่ทำให้ลูกค้าเสียเวลาเกินไปนัก เพราะส่งผลต่อประสบการณ์โดยตรง และอันที่จริง ในโลกยุคดิจิทัลถ้าทำงานบริการ เทคโนโลยีอย่าง ChatBot อาจมาแก้ปัญหาด้านนี้ได้ แต่ยังคงต้องพัฒนากันต่อไป

อ้างอิง – INC

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/busy-trick-business-sell-growth/

อัปเดทล่าสุด สถิติเทศกาลช็อปปิ้งปลายปีชาวอเมริกัน

แม้สถิติเหล่านี้จะไม่ได้เป็นผลวิจัยจากกลุ่มตลาดไทย แต่ความจริงน่ารู้เรื่องเทศกาลช็อปปิ้งปลายปีของชาวอเมริกันในบทความนี้สามารถบอกใบ้สิ่งควรทำหลายอย่างกับแบรนด์ไทยที่ต้องการโกยเงินจากตลาดตะวันตก เพื่อไม่ให้ต้องสูญเสียโอกาสทองไปอย่างน่าเสียดาย

ทำไมเราถึงเรียกว่าโอกาสทอง คำตอบคือเพราะเทศกาลจับจ่ายปลายปีนั้นเป็นช่วงที่เงินสะพัดมหาศาลแบบไม่ต้องสงสัย เฉพาะปี 2017 การสำรวจพบว่ายอดจำหน่ายสินค้าช่วงวันหยุดหรือ Holiday sales ในสหรัฐฯจะมีมูลค่ามากกว่า 9.23 แสนล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนเพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

หนึ่งในความจริงน่าทึ่งซึ่งระบุใน infographic นี้คือผู้บริโภค 32% เริ่มช็อปสินค้ากันตั้งแต่ช่วงตุลาคม โดยราว 25% บอกว่าจะไม่หยุดช็อปจนกว่าจะถึงคริสต์มาสอีฟคือ 24 ธันวาคม เรียกว่าเริ่มเร็วจบช้าสำหรับการช็อปปิ้งปลายปี

การสำรวจยังพบว่า 47% ของกลุ่มตัวอย่างใช้ Facebook หาไอเดียซื้อของขวัญ ขณะที่ 44% ของกลุ่ม Generation Z ใช้ Instagram ตัดสินใจว่าจะซื้ออะไรดี เมื่อเทียบจากรายการสินค้าที่อยากได้ ดังนั้นหากกลุ่มเป้าหมายของคุณเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ จงเตรียมการให้ข้อมูลผ่านเครือข่ายสังคมให้ดี

สำหรับปีนี้ คาดกันว่ายอดซื้อสินค้าผ่านอุปกรณ์พกพาจะก้าวกระโดดเพิ่มมูลค่าขึ้นอีก จนคิดเป็น 38% ของยอดจำหน่ายสินค้า e-commerce รวมในช่วงเทศกาลปลายปี ความจริงข้อนี้สะท้อนว่าทางที่ดี นักการตลาดจงลงมือทำ mobile campaign เถิดจะเกิดผล

ยังมีข้อมูลน่าทึ่งอีกมากมาย รอให้คุณติดตามเพิ่มเติมจาก infographic นี้

ที่มา: PRDaily

 
Source: thumbsup

from:http://thumbsup.in.th/2017/10/holiday-sales/

“วิดีโอ” ช่วย Facebook ทำยอดขายโฆษณาพุ่งกระฉูด 9 พันล้านเหรียญ เพิ่มขึ้น 47%

ยอดจำหน่ายโฆษณา Facebook ทะยานแตะระดับ 9 พันล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสที่ผ่านมา นักวิเคราะห์ชี้ส่วนหนึ่งเป็นผลจากกระแสต้าน YouTube ภาพรวมคิดเป็นสัดส่วนยอดขายโฆษณาเพิ่มขึ้นกว่า 47%

เจ้าพ่อเครือข่ายสังคมประกาศตัวเลขผลประกอบการไตรมาสล่าสุดเมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยระบุว่าตัวเลขยอดขายรวมที่ทำได้ 9.2 พันล้านเหรียญสหรัฐนั้นเพิ่มขึ้นกว่า 47% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว บนยอดผู้ใช้งานมากกว่า 2 พันล้านคนต่อเดือน

Aaron Goldman ประธานฝ่ายการตลาดของบริษัท 4C ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทตัวแทนนักการตลาดเพื่อซื้อโฆษณารายใหญ่ของ Facebook ระบุว่าสถิติในไตรมาสนี้สะท้อนว่าจำนวนแบรนด์ที่โฆษณาผ่านวิดีโอบน Facebook นั้นมีการเปลี่ยนแปลงชัดเจน จุดนี้ Goldman เชื่อว่านักการตลาดส่วนใหญ่กำลังทดลองโฆษณาวิดีโอบน Facebook ในช่วงที่ YouTube ยังมีปัญหาเนื้อหาไม่เหมาะสม ทำให้ Facebook ได้รับอานิสงส์โดยตรงจากกระแสลบบน YouTube

วันนี้ Facebook พยายามเปิดกว้างให้รูปแบบการโฆษณามีหลากหลายตอบโจทย์นักการตลาดทุกระดับ ทั้งการทดสอบโฆษณาแบบใหม่อย่าง mid-roll ที่จะเล่นโฆษณาระหว่างที่ผู้ชมรับชมวิดีโอถ่ายทอดสดหรือ videos on demand อยู่

ปัจจุบัน Facebook มีผู้ใช้งานประจำ 1.3 พันล้านคนต่อวัน โดย 87% ของรายได้โฆษณาในไตรมาสที่ผ่านมาเกิดขึ้นบนอุปกรณ์พกพา นอกจากนี้ บริการในเครืออย่าง Instagram ยังมีผู้ใช้รายเดือนเพิ่มขึ้นเป็น 700 ล้านคนต่อเดือน พร้อมกับที่ Messenger มีผู้ใช้งานมากกว่า 1.2 พันล้านคน

ที่มา: AdAge

 
Source: thumbsup

from:http://thumbsup.in.th/2017/07/facebook-ad-sales/