คลังเก็บป้ายกำกับ: ENTERPRISE_STORAGE

เจาะลึก Dell EMC PowerStore ระบบ Enterprise Storage ความสามารถรอบด้าน ตอบโจทย์หลากหลายรูปแบบ

การเลือกระบบ Enterprise Storage ที่ดีในทุกวันนี้ ก็คงหนีไม่พ้นการเลือกระบบที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถตอบสนองทุกๆข้อมูลและแอปพลิเคชั่นในยุคดิจิตัล รองรับการขยายโดยไม่มีผลกระทบ, มีฟังก์ชั่นครบครันช่วยให้คุ้มค่า เพิ่มประสิทธิภาพ และสามารถดูแลรักษาได้ง่าย

Dell EMC ในฐานะของผู้นำนวัตกรรมทางด้านระบบจัดเก็บข้อมูลสำหรับธุรกิจองค์กร ได้มองไกลยิ่งไปกว่านั้น ด้วยการออกแบบระบบ Dell EMC PowerStore ให้มีความยืดหยุ่น สามารถใช้งานได้เป็นทั้ง Unified Storage หรือ HCI พร้อมใส่ความสามารถมากมายเข้ามาอย่างครบถ้วน เพื่อให้ธุรกิจองค์กรนำไปประยุกต์ใช้งานได้ตามต้องการ เป็นระบบ Storage ที่ตอบโจทย์ได้อย่างหลากหลาย

ในบทความนี้เราจะพาทุกท่านไปรู้จักกับ Dell EMC PowerStore กันแบบเจาะลึกครับ

Dell EMC PowerStore: All Flash Data Storage ความเร็วสูงในแบบ Software-Defined

Credit: Dell Technologies

Dell EMC PowerStore นี้ถูกออกแบบขึ้นมาในฐานะของ Midrange Storage แต่ก็เต็มไปด้วยความสามารถในระดับ Enterprise ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากกับ Business Application สำคัญๆ ใช้ได้ดีเยี่ยมกับการจัดเก็บข้อมูลที่หลากหลาย มีปริมาณมากๆ ประสิทธิภาพเป็นเลิศสำหรับงาน Analytics, IoT, OLTP และงานพัฒนา AI ต่างๆ

จุดเด่นของ Dell EMC PowerStore ที่เหนือกว่าระบบ Storage รุ่นก่อนหน้าของ Dell EMC นั้นก็คือการรวมข้อดีของ Storage หลายๆ รุ่นเอาไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการทำงานแบบ All Flash ทั้งในระดับของ Hardware และ Software เหมือน XtremIO, การเพิ่มขยายและบริหารจัดการได้ง่ายเหมือน SC Series ไปจนถึงการรองรับ Workload ได้หลากหลายเหมือน Unity XT และยังเพิ่มทางเลือกในการใช้งานระบบให้เป็นแบบ HCI ได้ กรณีนี้ทำให้องค์กรสามารถลด Storage Footprint ลงไปได้อย่างมหาศาลในการลงทุนระบบ Storage เป็น Dell EMC PowerStore

นอกจากนี้โซลูชันต่อไปนี้สามารถนำไปตอบโจทย์การใช้งานทั่วไปได้อย่างหลากหลาย อีกทั้งยังสามารถตอบโจทย์การใช้งานเฉพาะทางได้เป็นอย่างดี เช่น

  • การสร้าง Metro Cluster ด้วยการใช้ Dell EMC PowerStore Metro Node ทำให้สามารถออกแบบระบบ Metro Active/Active Cluster ได้อย่างง่ายดาย
  • การสร้าง Big Data Cluster ด้วย Microsoft SQL Server 2019 บน Dell EMC PowerStore ทำให้สามารถเชื่อมต่อใช้งานข้อมูลได้หลากหลายช่องทาง และเพิ่มขยายได้อย่างง่ายดาย
  • การสร้าง Hybrid / Multi-Cloud Data Center ด้วยการทำงานร่วมกับ VMware VCF เพื่อให้ Data Center มีความยืดหยุ่นสูงสุด
Credit: Dell Technologies

ความสามารถโดดเด่น ด้วยเทคโนโลยีล่าสุดที่น่าสนใจของ Dell EMC PowerStore มีดังต่อไปนี้

ประสิทธิภาพสูงด้วย NVMe, SCM และหน่วยประมวลผล Intel® Xeon® Scalable Processors

Dell EMC PowerStore สามารถทำงานในรูปแบบ End-to-End NVMe ทำให้มีประสิทธิภาพอย่างเต็มเปี่ยมในการเข้าถึงข้อมูล NVMe SSD และสามารถเลือกใช้ Dual-Port Intel Optane Storage Class Memory ในการเพิ่มความเร็วขั้นกว่าถึงระดับสูงสุด ทำให้ performanceดีกว่าเดิม โดยมี IOPS ที่สูงขึ้นถึง 7 เท่า และมี Latency ลดลงถึง 3 เท่าเมื่อเทียบกับระบบ Storage รุ่นก่อนหน้า

นอกจากนี้ด้วยหน่วยประมวผล Intel Xeon Scalable Processor ช่วยให้ Dell EMC PowerStore มีขีดความสามารถที่ดีขึ้น ในการรองรับฟังกชั่นงานได้หลากหลาย สามารถอัปเกรดเพิ่มเติมความสามารถใหม่ๆ ในอนาคตได้ และยังทำให้ระบบมีพลังประมวลผลที่สูงพอ สำหรับให้บริการ Hypervisor และใช้งาน Container หรือ VM ได้โดยตรงอีกด้วย

เพิ่มขยายได้อย่างอิสระทั้งแบบ Scale Up และ Scale Out รวมถึงยังทำ Metro Cluster แบบ Active/Active ได้

ในแง่ของการเพิ่มขยายระบบนั้น Dell EMC PowerStore ก็มีทางเลือกให้ทั้งการเพิ่มพื้นที่จัดเก็บข้อมูลในแบบ Scale Up บนอุปกรณ์ชุดเดิมที่มีอยู่ได้สูงสุดถึง 1PB Raw Capacity / 2.8PB Effective Capacity หรือจะเพิ่มทั้งประสิทธิภาพและพื้นที่จัดเก็บข้อมูลไปพร้อมๆ กันในแบบ Scale Out ได้สูงสุดถึง 4 appliance รวม 8 โหนดต่อ cluster ซึ่งแต่ละคู่ของโหนดในแต่ละ appliance ทำงานแบบ Active/Active

สำหรับธุรกิจที่ต้องการระบบเพื่อรองรับระบบงานสำคัญขององค์กรอย่างเช่น Mission Critical Application หรือสถาบันการเงิน Dell EMC PowerStore ก็มีออปชันสำหรับ PowerStore Metro Node ที่จะเป็นอุปกรณ์เสริมเพื่อเชื่อม Dell EMC PowerStore ที่อยู่ใน Data Center คนละแห่งและห่างไกลกัน ให้สามารถทำงานร่วมกันแบบ Active/Active ที่สามารถทำการเขียนและอ่านข้อมูลได้ทั้งสองฝั่งพร้อมๆ กัน ตอบโจทย์ระบบที่ต้องการ Recovery Point Objective (RPO) และ Recover Time Objectives (RTO) ที่ต่ำที่สุดถึงระดับศูนย์

Credit: Dell Technologies

ประหยัดพื้นที่ด้วย Inline Data Reduction ที่อัตราส่วน 4:1

Dell EMC PowerStore จะมีการเปิดใช้งาน Data Deduplication และ Data Compression เอาไว้อยู่ตลอดเวลา โดยใช้ความสามารถจาก Intel QuickAssist (Hardware Acceleration) สำหรับการลดพื้นที่จัดเก็บข้อมูลลง ทำให้โซลูชันนี้สามารถรับประกันการลดพื้นที่จัดเก็บข้อมูลได้อัตราส่วนถึง 4:1 โดยไม่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานของระบบแต่อย่างใด

จัดการได้ทั้งแบบ Automation และ Autonomous ในหนึ่งเดียว

ในการบริหารจัดการระบบแบบ Automation นั้น Dell EMC PowerStore สามารถรองรับได้ทั้งการผสานระบบทำงานร่วมกับ VMware, การใช้ vRO Plugin, การทำงานร่วมกับ Kubernetes ผ่าน CSI Driver และการใช้ Ansible ในการบริหารจัดการแบบ Infrastructure-as-Code

นอกจากนี้ Dell EMC ยังมีการนำเทคโนโลยี Machine Learning มาช่วยทั้งในส่วนของการตั้งค่าและการทำ Performance Tuning เพื่อลดเวลาที่ผู้ดูแลระบบต้องใช้ในการบริหารจัดการระบบลง อีกทั้งยังมี Dell EMC CloudIQ ที่จะคอยรวบรวมข้อมูลและทำนายแนวโน้มการเกิดปัญหาของระบบ เพื่อให้ผู้ดูแลระบบทำการป้องกันปัญหาได้ในแบบเชิงรุก ลดการเกิด Downtime ที่ไม่คาดฝันของระบบลงได้

เลือกใช้งานได้ทั้งแบบ Unified All Flash Storage และ HCI

ถือเป็นอีกไฮไลท์เด่นของ Dell EMC PowerStore เลยก็ว่าได้ กับการออกแบบระบบให้มี 2 รุ่น ที่เป็นได้ทั้ง Unified Storage และ HCI ดังนี้

Dell EMC PowerStore T Series: ระบบ Unified All Flash Storage รองรับการเชื่อมต่อเข้าถึงข้อมูลได้หลากหลายรูปแบบ

Dell EMC PowerStore T Series นี้จะทำการติดตั้งระบบปฏิบัติการ PowerStoreOS ลงไปยัง Hardware โดยตรง ทำให้ระบบทำหน้าที่เป็น Unified Storage ที่สามารถให้บริการ Storage ได้ผ่านทาง Protocol ที่หลากหลาย เช่น iSCSI, NVMe-FC, FC, vVols, SMB และ NFS สำหรับใช้งานเป็น Enterprise Storage หลักขององค์กรได้ทันทีอย่างเต็มประสิทธิภาพ ด้วยการนำ Hardware ทั้งหมดของระบบมาให้บริการ Storage นั่นเอง

Dell EMC PowerStore X Series: ระบบ All Flash HCI ที่รองรับทั้ง Container และ Virtual Machine ด้วย VMware

Dell EMC PowerStore X Series นี้จะไม่ได้ติดตั้งระบบปฏิบัติการ PowerStoreOS ลงไปโดยตรง แต่จะมีการติดตั้ง VMware ESXi ลงไปก่อนเพื่อทำหน้าที่เป็น Hypervisor แล้วจึงค่อยติดตั้ง PowerStoreOS ลงไปบน Hypervisor ดังกล่าวอีกทีหนึ่ง เพื่อให้ผู้ดูแลระบบสามารถแบ่งสรรทรัพยากรบน Dell EMC PowerStore X เพื่อไปรัน VM ในขณะที่ยังคงให้บริการ Block Storage ตามปกติได้อีกด้วย ซึ่งความสามารถดังกล่าวนี้ถูกเรียกว่า AppsON

ทั้งสองรุ่นนี้ทำให้แต่ละองค์กรสามารถเลือกกลยุทธ์ในการลงทุนระบบ Enterprise Storage ที่เหมาะสมกับตนเองได้ ซึ่งความเป็นไปได้เหล่านี้เกิดจากการที่สถาปัตยกรรมระบบของ Dell EMC PowerStore นี้เป็นแบบ Software-Defined อย่างเต็มตัวด้วยการออกแบบแบบ Microservices ทำให้สามารถนำไปติดตั้งใช้งานได้ทั้งบน Hardware และ Hypervisor นั่นเอง

 

Credit: Dell Technologies

ด้วยการเลือกใช้ Hardware ประสิทธิภาพสูงอย่าง Intel® Xeon® Scalable Processors 2-4 ชุด ควบคู่ไปกับหน่วยความจำปริมาณมากตั้งแต่ 384GB – 2.56TB นี้ก็ทำให้ Dell EMC PowerStore มีทรัพยากรที่เหลือเฟือ สามารถแบ่งบางส่วนมาให้ Hypervisor ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตอบโจทย์ Hybrid Multi-Cloud ได้ในตัว

ด้วยระบบที่มีสถาปัตยกรรมเดียวแต่สามารถเป็นได้ทั้ง Unified Storage และ HCI นี้ ทำให้ Dell EMC PowerStore สามารถถูกนำไปใช้งานได้หลากหลายทั้งภายใน Data Center และ Edge รวมถึงยังมีบริการ Dell EMC Cloud Storage Services สามารถเชื่อมโยงข้อมูลขึ้นไปยังบริการ Cloud ชั้นนำที่ต้องการได้ ทำให้การออกแบบระบบ Hybrid / Multi-Cloud นั้นสามารถทำได้อย่างยืดหยุ่น

อัปเกรดและเพิ่มขยายได้อย่างยืดหยุ่น คุ้มค่าในระยะยาว

คุณสมบัติในการเป็น Software-Defined ของ Dell EMC PowerStore นี้ ทำให้การอัปเดตระบบทั้งหมดสามารถเกิดขึ้นได้ในระดับ Software ซึ่งล่าสุดในการเปิดตัว PowerStoreOS 2.0 ก็ทำให้ระบบเดิมที่มีอยู่นั้นมีประสิทธิภาพสูงขึ้นกว่าเดิมถึง 25% ทำให้องค์กรไม่ต้องลงทุนอะไรเพิ่มเติม แต่ได้ระบบที่มีประสิทธิภาพและความสามารถเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง

ในแง่ของการเพิ่มขยายระบบ Dell EMC มีโครงการ Anytime Upgrade สามารถอัปเกรดได้ทั้ง Controller เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ หรือจะเพิ่มขยายแบบ Scale Out ในราคาพิเศษก็ได้ อีกทั้งยังมี Dell Technologies On Demand ที่ทำให้การลงทุนนั้นมีความยืดหยุ่น เลือกลงทุนได้ทั้งในแบบ as you grow, as you use หรือ as a service ให้ตอบโจทย์ต่อ CFO

ผู้ที่สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Dell EMC PowerStore ได้ที่ https://www.delltechnologies.com/en-th/storage/powerstore-storage-appliance.htm

สนใจติดต่อ Dell Technologies ได้ทันที

ผู้ที่สนใจบริการ Dell EMC PowerStore หรือโซลูชันด้านระบบ Storage และ Backup สามารถติดต่อทีมงาน Dell Technologies ได้ทันทีที่อีเมล DellTechnologies@kkudos.com หรือโทร 090-949-0823 (วศิน)

from:https://www.techtalkthai.com/deep-dive-dell-emc-powerstore-enterprise-software-defined-storage/

การเลือก Enterprise Storage ที่ดีสำหรับปี 2021 ควรเลือกอย่างไร? โดย Computer Union

ปี 2021 นี้คงเป็นอีกปีที่หลายๆ ธุรกิจองค์กรต้องเริ่มมองหาระบบ IT Infrastructure ใหม่ภายใน Data Center เพื่อเตรียมรับมือต่อการทำงานในอนาคต ที่นอกจากธุรกิจองค์กรจะต้องเปิดให้พนักงานและผู้บริหารทำงานได้จากทุกที่ทุกเวลาแล้ว

การทำ Digitization เปลี่ยนทุกกระบวนการในธุรกิจมาสู่ดิจิทัลเองก็ถือเป็นอีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน เพื่อให้รองรับต่อความต้องการเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบจัดเก็บข้อมูลที่มีความรวดเร็ว มั่นคงทนทาน มั่นคงปลอดภัย และใช้งานได้ง่ายนั้นถือเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ทุกบริการทางด้าน IT ไม่สะดุดติดขัด

และในบทความนี้ Computer Union ก็จะมาสรุปถึงคุณสมบัติที่ดีที่ระบบ Enterprise Storage ต้องมีในปี 2021 และแนะนำโซลูชัน IBM FlashSystem 5200 รุ่นใหม่ล่าสุด ที่จะมาช่วยตอบโจทย์ให้กับธุรกิจองค์กรได้อย่างคุ้มค่าสูงสุด

3 ความสามารถที่ระบบ Enterprise Storage ในยุค 2021 ต้องมี

การทำหน้าที่เป็นเพียงแค่อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลนั้นไม่เพียงพอสำหรับระบบ Enterprise Storage อีกต่อไปแล้ว แต่ความสามารถอื่นๆ ที่จะช่วยปกป้องข้อมูล, เพิ่มความคุ้มค่าในการใช้งาน และการรองรับ Workload ที่หลากหลายนั้นได้กลายมาเป็นปัจจัยที่สำคัญไม่แพ้กันในการคัดเลือกโซลูชัน Storage ที่เหมาะสมที่สุดในการใช้งานทุกวันนี้ไปแล้ว โดยคุณสมบัติ 3 ประการหลักๆ ดังต่อไปนี้ คือสิ่งที่ทุกธุรกิจองค์กรควรต้องพิจารณาเมื่อจะจัดซื้ออุปกรณ์ Storage สมัยใหม่

1. ช่วยให้การพัฒนา และการดูแลรักษาระบบ Application ง่ายดายยิ่งขึ้น

ด้วยสถาปัตยกรรมของระบบ Application ที่เปลี่ยนไปมีความซับซ้อนสูงยิ่งขึ้นกว่าในอดีต ระบบ Enterprise Storage ที่ดีจึงควรมีความสามารถที่จะช่วยให้การรองรับ Application สมัยใหม่นั้นเป็นไปได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้นกว่าเดิม ดังนี้

  • รองรับการใช้งานแบบ Hybrid Cloud ได้อย่างเต็มตัว โดยไม่ว่าธุรกิจองค์กรจะเลือกใช้งานบริการ Cloud ใด ประสบการณ์ในการบริหารจัดการ Storage บน Cloud นั้นๆ กับระบบที่ติดตั้งใช้งานในองค์กรก็ควรต้องเป็นรูปแบบเดียวกัน เพื่อให้ง่ายต่อการบริหารจัดการ และการย้ายข้อมูลได้อย่างสะดวก
  • สามารถทำงานร่วมกับระบบที่ฝ่าย DevOps ใช้ได้อย่างสมบูรณ์ ช่วยให้ไม่ว่าการพัฒนาระบบ Application จะเกิดขึ้นที่ใด การ Deploy ระบบเพื่อใช้งานจริงก็ต้องเกิดขึ้นได้ และสามารถช่วยปกป้องข้อมูลของระบบ DevOps เหล่านั้นได้อยู่เสมอ
  • รองรับ Workload ได้ทั้งแบบ Physical, Virtualized และ Container เพื่อให้ระบบเดียวสามารถรองรับงานได้หลากหลาย ใช้งานได้คุ้มค่าไม่ว่าองค์กรจะมีกลยุทธ์ในการเพิ่มขยายระบบในรูปแบบใดก็ตาม

2. ช่วยให้ระบบ IT Infrastructure มีความคุ้มค่าสูงยิ่งขึ้น ด้วยประสิทธิภาพที่ดี และการลงทุนที่ยืดหยุ่น

ระบบ Enterprise Storage สมัยใหม่นี้มักมีความสามารถที่หลากหลายเพื่อช่วยให้การใช้งานนั้นเป็นไปได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และช่วยเพิ่มความคุ้มค่าในการใช้งานระยะยาวมาให้ในตัว ดังนั้นการเลือกระบบ Enterprise Storage ที่มีความสามารถที่เหมาะสมก็จะช่วยให้การดำเนินกลยุทธ์ด้านระบบ IT และ Digital Transformation นั้นราบรื่นตามไปด้วย

  • รองรับมาตรฐานสมัยใหม่เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการทำงานสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการรองรับ NVMe ได้แบบครบวงจรตั้งแต่ Disk ไปจนถึงการเชื่อมต่อกับ Server, การรองรับ Storage-Class Memory (SCM) หรือการรองรับเทคโนโลยี RDMA ในรูปแบบต่างๆ โดยตัว Flash ที่ใช้งานนั้นก็ควรมีการออกแบบเทคโนโลยีที่เหมาะสม เพื่อให้ดึงประสิทธิภาพของ Flash ออกมาใช้งานได้อย่างคุ้มค่าสูงสุด
  • มีเทคโนโลยี Data Reduction ระดับสูงเพื่อช่วยให้การจัดเก็บข้อมูลเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีการใช้งานระบบ AI เพื่อช่วยให้การเพิ่มความคุ้มค่าในการใช้งานระบบ Storage เช่นการบริหารจัดการการทำ Tiering หรือการแนะนำด้านการปรับปรุงประสิทธิภาพ
  • มีความสามารถที่จะช่วยเพิ่มความมั่นคงทนทานให้กับข้อมูลที่เหนือกว่าเพียงแค่การทำ RAID ทั่วๆ ไป เช่น Snapshot, Disaster Recovery และการทำ Replication ได้หลายสาขา เพื่อให้ธุรกิจองค์กรมีทางเลือกในการปกป้องข้อมูลหรือระบบงานสำคัญ ต่อยอดสู่การทำ Business Continuity ได้โดยที่ค่าใช้จ่ายไม่บานปลาย
  • เลือกลงทุนในแบบที่คิดค่าใช้จ่ายตามการใช้งานจริงได้ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งจากการลงทุนจัดซื้อระบบแบบปกติ เพื่อให้ธุรกิจองค์กรมีทางเลือกในการลงทุนที่ยืดหยุ่นสำหรับโครงการ Digital Transformation ใหม่ๆ ที่มีแนวโน้มจะต้องขยายระบบอย่างต่อเนื่อง หรือการลงทุนระบบในหลายสาขาพร้อมๆ กันได้อย่างเหมาะสม

3. ช่วยให้การดูแลรักษาระบบ IT Infrastructure ใช้เวลาน้อยลง เพิ่มศักยภาพให้กับทีมผู้ดูแลระบบ IT

อีกหนึ่งสิ่งที่ระบบ Enterprise Storage นั้นได้พัฒนามาอย่างรวดเร็วในช่วงระยะหลังนี้ก็คือเรื่องของความง่ายดายในการใช้งาน ซึ่งถือเป็นประเด็นสำคัญทีเดียว เพราะเดิมทีระบบ Storage นั้นมักใช้งานยาก มีความซับซ้อนสูง แต่ก็เป็นระบบที่มีความสำคัญและห้ามเกิดความผิดพลาดในการบริหารจัดการ ดังนั้นการเลือกระบบ Storage ที่ใช้งานได้ง่าย ก็จะช่วยลดภาระของฝ่าย IT ในการดูแลรักษาและบริหารจัดการระบบลงไปได้มากทีเดียว

  • สามารถตรวจสอบและบริหารจัดการการทำงานของระบบ Storage ทั้งแบบ On-Premises และบน Cloud ได้จากศูนย์กลาง และหากสามารถบริหารจัดการอุปกรณ์ Storage หลายยี่ห้อร่วมกันได้ก็จะยิ่งเป็นประโยชน์มากขึ้นสำหรับธุรกิจองค์กรที่มีขนาดใหญ่ หรือมีระบบที่หลากหลาย
  • มีระบบ Predictive Analytics ช่วยในการดูแลรักษาระบบ Storage เพื่อทำนายแนวโน้มล่วงหน้าว่าระบบกำลังจะมีปัญหาหรือมีทรัพยากรไม่พอและแจ้งเตือนได้ ทำให้องค์กรสามารถจัดการกับประเด็นเหล่านั้นก่อนที่จะเกิดปัญหา และลด Downtime ของระบบได้เป็นอย่างดี
  • มีเทคโนโลยีในการเข้ารหัสข้อมูลได้ และมีเทคโนโลยีปกป้องจากภัยคุกคามและการโจมตี เพื่อช่วยลดความเสี่ยงด้านความมั่นคงปลอดภัย หรือกรณีข้อมูลสูญหายจาก Ransomware
  • มีเครื่องมือในการทำ Data Migration หรือ Data Movement เพื่อให้การย้ายข้อมูลหรือระบบงานต่างๆ บน Hybrid Cloud เป็นไปได้อย่างง่ายดาย

จะเห็นได้ว่าหากระบบ Enterprise Storage ที่เลือกใช้งานมีคุณสมบัติเหล่านี้อย่างครบถ้วน การใช้งานจริงนั้นก็จะทำให้ธุรกิจองค์กรมีความคุ้มค่า ลดความเสี่ยงลงได้ และมีความยืดหยุ่นเปิดรับต่อการใช้งานเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมใหม่ๆ ได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน

IBM FlashSystem 5200 รุ่นล่าสุด ตอบทุกโจทย์ความต้องการ Enterprise Storage ได้ในหนึ่งเดียว

IBM FlashSystem 5200

IBM FlashSystem 5200 คือโซลูชันระบบ Enterprise Storage ในระดับ Entry ที่มีความสามารถอย่างครบถ้วนในการตอบทุกโจทย์ความต้องการของระบบ Storage สำหรับธุรกิจองค์กร ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นดังนี้

  • มีขนาดเพียง 1U Rackmount รองรับการติดตั้ง NVMe Flash ได้ 12 ชุด โดยสามารถเพิ่มขยายความจุผ่าน Expansion Enclosure ได้
  • มี Cache ขนาด 64GB – 512GB ต่อ Controller
  • สามารถทำ 4-way Cluster รวมกันได้ 4 Controller ด้วย Cache ขนาดสูงสุด 2.048TB
  • รองรับ Flash ได้หลากหลายรูปแบบ ได้แก่ FlashCore Model (FCM), Storage Class Memory (SCM) และ NVMe SSD ทั่วไป ตอบโจทย์ Workload ได้หลากหลาย
  • จัดเก็บข้อมูลได้อย่างคุ้มค่าด้วยเทคโนโลยี Data Reduction
  • รองรับการใช้งานแบบ Hybrid Cloud ด้วยการทำงานร่วมกับบริการ Cloud ชั้นนำและบริหารจัดการร่วมกันได้
  • มั่นคงทนทานในระดับ 99.9999% ด้วย IBM Spectrum Virtualize
  • สามารถทำงานร่วมกับ Storage อื่นๆ ได้มากกว่า 500 รุ่นจากผู้ผลิตหลายราย และทำการย้ายข้อมูลระหว่างกันได้อย่างอิสระ
  • รองรับการเชื่อมต่อใช้งานได้หลากหลาย ทั้ง NVMe/FC และ iSCSI Extension for RDMA
  • ทำงานร่วมกับ VMware, Red Hat OpenShift และ Kuberentes ได้
  • มี IBM Storage Insights ระบบ AI ที่จะช่วยตรวจสอบและแนะนำด้านการจัดการประสิทธิภาพและทรัพยากรของระบบ Storage
  • สามารถทำ Snapshot, Remote Replication, Cloud Migration และ 3-Site Replication ได้ในตัว
  • สามารถทำการเข้ารหัสข้อมูลได้

ในผลิตภัณฑ์ตระกูล IBM FlashSystem นี้ IBM FlashSystem 5200 ถือเป็นรุ่น Entry Storage ที่มีประสิทธิภาพสูง และมีความสามารถเทียบเท่า IBM FlashSystem รุ่นใหญ่ทั้งหมด เรียกได้ว่าเป็นรุ่นที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ธุรกิจที่ต้องการมองหาโซลูชันที่มีความคุ้มค่าสูงพร้อมรองรับการเพิ่มขยายในอนาคตได้โดยเฉพาะนั่นเอง ผู้ที่สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ IBM FlashSystem 5200 สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ibm.com/products/flashsystem-5200

IBM FlashSystem 5015 และ 5035 สำหรับธุรกิจองค์กรที่มองหา Storage ที่เน้นความคุ้มค่า แต่ยังคงมีความสามารถที่หลากหลาย

IBM FlashSystem 5015 และ 5035

สำหรับธุรกิจองค์กรที่อาจจะไม่ได้มีแผนที่จะต้องขยายระบบ Storage เพียงชุดเดียวมากนัก IBM ก็ยังมี IBM FlashSystem 5015 และ 5035 เข้ามาตอบโจทย์นี้ได้

IBM FlashSystem 5015 จะเป็น Entry Level Storage รุ่นเล็กสุดในตระกูล IBM FlashSystem 5000 ที่สามารถทำงานร่วมกับ VMware และ Red Hat OpenShift ได้, สามารถปกป้องข้อมูลด้วยการทำ Snapshot/DR/3-Site Replication ได้, สามารถทำ Cloud Migration ได้, มี AI ช่วยทำ Automated Tiering และมีเครื่องมือในการทำ Data Migration มาให้พร้อมใช้งาน

แต่สำหรับธุรกิจองค์กรที่มองหาการเพิ่มขยายและการตอบโจทย์ PDPA ได้ในตัว IBM FlashSystem 5035 ก็คือโซลูชันที่จะมาตอบโจทย์นี้ได้ โดยการรองรับทุกความสามารถที่ IBM FlashSystem 5015 ทำได้ และเพิ่มการทำ Data Reduction Pool, Scale-Out Clustering, HyperSwap HA และ Encryption เข้ามานั่นเอง

อย่างไรก็ดี หากธุรกิจต้องการระบบ Storage ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ก็อาจต้องพิจารณา IBM FlashSystem 5200/7200/9200/9200R ที่สามารถใช้ NVMe Flash, FC-NVMe, Storage Class Memory และ IBM FCM ได้แทน

ผู้ที่สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ IBM FlashSystem 5015 และ IBM FlashSystem 5035 สามารถศึกษาข้อมูลได้ที่ https://www.ibm.com/products/flashsystem-5000

สำหรับผู้ที่สนใจโซลูชันใดๆ ของ IBM สามารถติดต่อทีมงาน Computer Union เพื่อรับข้อมูลเพิ่มติมหรือขอคำปรึกษาได้ทันทีผ่านช่องทางดังนี้

Email : cu_mkt@cu.co.th
Tel : 02 311 6881 #7151, 7158

from:https://www.thumbsup.in.th/enterprise-storage-computer-union?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=enterprise-storage-computer-union

การเลือก Enterprise Storage ที่ดีสำหรับปี 2021 ควรเลือกอย่างไร? โดย Computer Union

ปี 2021 นี้คงเป็นอีกปีที่หลายๆ ธุรกิจองค์กรต้องเริ่มมองหาระบบ IT Infrastructure ใหม่ภายใน Data Center เพื่อเตรียมรับมือต่อการทำงานในอนาคต ที่นอกจากธุรกิจองค์กรจะต้องเปิดให้พนักงานและผู้บริหารทำงานได้จากทุกที่ทุกเวลาแล้ว การทำ Digitization เปลี่ยนทุกกระบวนการในธุรกิจมาสู่ดิจิทัลเองก็ถือเป็นอีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน

เพื่อให้รองรับต่อความต้องการเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบจัดเก็บข้อมูลที่มีความรวดเร็ว มั่นคงทนทาน มั่นคงปลอดภัย และใช้งานได้ง่ายนั้นถือเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ทุกบริการทางด้าน IT ไม่สะดุดติดขัด และในบทความนี้ Computer Union ก็จะมาสรุปถึงคุณสมบัติที่ดีที่ระบบ Enterprise Storage ต้องมีในปี 2021 และแนะนำโซลูชัน IBM FlashSystem 5200 รุ่นใหม่ล่าสุด ที่จะมาช่วยตอบโจทย์ให้กับธุรกิจองค์กรได้อย่างคุ้มค่าสูงสุด

3 ความสามารถที่ระบบ Enterprise Storage ในยุค 2021 ต้องมี

การทำหน้าที่เป็นเพียงแค่อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลนั้นไม่เพียงพอสำหรับระบบ Enterprise Storage อีกต่อไปแล้ว แต่ความสามารถอื่นๆ ที่จะช่วยปกป้องข้อมูล, เพิ่มความคุ้มค่าในการใช้งาน และการรองรับ Workload ที่หลากหลายนั้นได้กลายมาเป็นปัจจัยที่สำคัญไม่แพ้กันในการคัดเลือกโซลูชัน Storage ที่เหมาะสมที่สุดในการใช้งานทุกวันนี้ไปแล้ว โดยคุณสมบัติ 3 ประการหลักๆ ดังต่อไปนี้ คือสิ่งที่ทุกธุรกิจองค์กรควรต้องพิจารณาเมื่อจะจัดซื้ออุปกรณ์ Storage สมัยใหม่

1. ช่วยให้การพัฒนา และการดูแลรักษาระบบ Application ง่ายดายยิ่งขึ้น

ด้วยสถาปัตยกรรมของระบบ Application ที่เปลี่ยนไปมีความซับซ้อนสูงยิ่งขึ้นกว่าในอดีต ระบบ Enterprise Storage ที่ดีจึงควรมีความสามารถที่จะช่วยให้การรองรับ Application สมัยใหม่นั้นเป็นไปได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้นกว่าเดิม ดังนี้

  • รองรับการใช้งานแบบ Hybrid Cloud ได้อย่างเต็มตัว โดยไม่ว่าธุรกิจองค์กรจะเลือกใช้งานบริการ Cloud ใด ประสบการณ์ในการบริหารจัดการ Storage บน Cloud นั้นๆ กับระบบที่ติดตั้งใช้งานในองค์กรก็ควรต้องเป็นรูปแบบเดียวกัน เพื่อให้ง่ายต่อการบริหารจัดการ และการย้ายข้อมูลได้อย่างสะดวก
  • สามารถทำงานร่วมกับระบบที่ฝ่าย DevOps ใช้ได้อย่างสมบูรณ์ ช่วยให้ไม่ว่าการพัฒนาระบบ Application จะเกิดขึ้นที่ใด การ Deploy ระบบเพื่อใช้งานจริงก็ต้องเกิดขึ้นได้ และสามารถช่วยปกป้องข้อมูลของระบบ DevOps เหล่านั้นได้อยู่เสมอ
  • รองรับ Workload ได้ทั้งแบบ Physical, Virtualized และ Container เพื่อให้ระบบเดียวสามารถรองรับงานได้หลากหลาย ใช้งานได้คุ้มค่าไม่ว่าองค์กรจะมีกลยุทธ์ในการเพิ่มขยายระบบในรูปแบบใดก็ตาม

2. ช่วยให้ระบบ IT Infrastructure มีความคุ้มค่าสูงยิ่งขึ้น ด้วยประสิทธิภาพที่ดี และการลงทุนที่ยืดหยุ่น

ระบบ Enterprise Storage สมัยใหม่นี้มักมีความสามารถที่หลากหลายเพื่อช่วยให้การใช้งานนั้นเป็นไปได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และช่วยเพิ่มความคุ้มค่าในการใช้งานระยะยาวมาให้ในตัว ดังนั้นการเลือกระบบ Enterprise Storage ที่มีความสามารถที่เหมาะสมก็จะช่วยให้การดำเนินกลยุทธ์ด้านระบบ IT และ Digital Transformation นั้นราบรื่นตามไปด้วย

  • รองรับมาตรฐานสมัยใหม่เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการทำงานสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการรองรับ NVMe ได้แบบครบวงจรตั้งแต่ Disk ไปจนถึงการเชื่อมต่อกับ Server, การรองรับ Storage-Class Memory (SCM) หรือการรองรับเทคโนโลยี RDMA ในรูปแบบต่างๆ โดยตัว Flash ที่ใช้งานนั้นก็ควรมีการออกแบบเทคโนโลยีที่เหมาะสม เพื่อให้ดึงประสิทธิภาพของ Flash ออกมาใช้งานได้อย่างคุ้มค่าสูงสุด
  • มีเทคโนโลยี Data Reduction ระดับสูงเพื่อช่วยให้การจัดเก็บข้อมูลเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีการใช้งานระบบ AI เพื่อช่วยให้การเพิ่มความคุ้มค่าในการใช้งานระบบ Storage เช่นการบริหารจัดการการทำ Tiering หรือการแนะนำด้านการปรับปรุงประสิทธิภาพ
  • มีความสามารถที่จะช่วยเพิ่มความมั่นคงทนทานให้กับข้อมูลที่เหนือกว่าเพียงแค่การทำ RAID ทั่วๆ ไป เช่น Snapshot, Disaster Recovery และการทำ Replication ได้หลายสาขา เพื่อให้ธุรกิจองค์กรมีทางเลือกในการปกป้องข้อมูลหรือระบบงานสำคัญ ต่อยอดสู่การทำ Business Continuity ได้โดยที่ค่าใช้จ่ายไม่บานปลาย
  • เลือกลงทุนในแบบที่คิดค่าใช้จ่ายตามการใช้งานจริงได้ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งจากการลงทุนจัดซื้อระบบแบบปกติ เพื่อให้ธุรกิจองค์กรมีทางเลือกในการลงทุนที่ยืดหยุ่นสำหรับโครงการ Digital Transformation ใหม่ๆ ที่มีแนวโน้มจะต้องขยายระบบอย่างต่อเนื่อง หรือการลงทุนระบบในหลายสาขาพร้อมๆ กันได้อย่างเหมาะสม

3. ช่วยให้การดูแลรักษาระบบ IT Infrastructure ใช้เวลาน้อยลง เพิ่มศักยภาพให้กับทีมผู้ดูแลระบบ IT

อีกหนึ่งสิ่งที่ระบบ Enterprise Storage นั้นได้พัฒนามาอย่างรวดเร็วในช่วงระยะหลังนี้ก็คือเรื่องของความง่ายดายในการใช้งาน ซึ่งถือเป็นประเด็นสำคัญทีเดียว เพราะเดิมทีระบบ Storage นั้นมักใช้งานยาก มีความซับซ้อนสูง แต่ก็เป็นระบบที่มีความสำคัญและห้ามเกิดความผิดพลาดในการบริหารจัดการ ดังนั้นการเลือกระบบ Storage ที่ใช้งานได้ง่าย ก็จะช่วยลดภาระของฝ่าย IT ในการดูแลรักษาและบริหารจัดการระบบลงไปได้มากทีเดียว

  • สามารถตรวจสอบและบริหารจัดการการทำงานของระบบ Storage ทั้งแบบ On-Premises และบน Cloud ได้จากศูนย์กลาง และหากสามารถบริหารจัดการอุปกรณ์ Storage หลายยี่ห้อร่วมกันได้ก็จะยิ่งเป็นประโยชน์มากขึ้นสำหรับธุรกิจองค์กรที่มีขนาดใหญ่ หรือมีระบบที่หลากหลาย
  • มีระบบ Predictive Analytics ช่วยในการดูแลรักษาระบบ Storage เพื่อทำนายแนวโน้มล่วงหน้าว่าระบบกำลังจะมีปัญหาหรือมีทรัพยากรไม่พอและแจ้งเตือนได้ ทำให้องค์กรสามารถจัดการกับประเด็นเหล่านั้นก่อนที่จะเกิดปัญหา และลด Downtime ของระบบได้เป็นอย่างดี
  • มีเทคโนโลยีในการเข้ารหัสข้อมูลได้ และมีเทคโนโลยีปกป้องจากภัยคุกคามและการโจมตี เพื่อช่วยลดความเสี่ยงด้านความมั่นคงปลอดภัย หรือกรณีข้อมูลสูญหายจาก Ransomware
  • มีเครื่องมือในการทำ Data Migration หรือ Data Movement เพื่อให้การย้ายข้อมูลหรือระบบงานต่างๆ บน Hybrid Cloud เป็นไปได้อย่างง่ายดาย

จะเห็นได้ว่าหากระบบ Enterprise Storage ที่เลือกใช้งานมีคุณสมบัติเหล่านี้อย่างครบถ้วน การใช้งานจริงนั้นก็จะทำให้ธุรกิจองค์กรมีความคุ้มค่า ลดความเสี่ยงลงได้ และมีความยืดหยุ่นเปิดรับต่อการใช้งานเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมใหม่ๆ ได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน

IBM FlashSystem 5200 รุ่นล่าสุด ตอบทุกโจทย์ความต้องการ Enterprise Storage ได้ในหนึ่งเดียว

credit : IBM

IBM FlashSystem 5200 คือโซลูชันระบบ Enterprise Storage ในระดับ Entry ที่มีความสามารถอย่างครบถ้วนในการตอบทุกโจทย์ความต้องการของระบบ Storage สำหรับธุรกิจองค์กร ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นดังนี้

  • มีขนาดเพียง 1U Rackmount รองรับการติดตั้ง NVMe Flash ได้ 12 ชุด โดยสามารถเพิ่มขยายความจุผ่าน Expansion Enclosure ได้
  • มี Cache ขนาด 64GB – 512GB ต่อ Controller
  • สามารถทำ 4-way Cluster รวมกันได้ 4 Controller ด้วย Cache ขนาดสูงสุด 2.048TB
  • รองรับ Flash ได้หลากหลายรูปแบบ ได้แก่ FlashCore Model (FCM), Storage Class Memory (SCM) และ NVMe SSD ทั่วไป ตอบโจทย์ Workload ได้หลากหลาย
  • จัดเก็บข้อมูลได้อย่างคุ้มค่าด้วยเทคโนโลยี Data Reduction
  • รองรับการใช้งานแบบ Hybrid Cloud ด้วยการทำงานร่วมกับบริการ Cloud ชั้นนำและบริหารจัดการร่วมกันได้
  • มั่นคงทนทานในระดับ 99.9999% ด้วย IBM Spectrum Virtualize
  • สามารถทำงานร่วมกับ Storage อื่นๆ ได้มากกว่า 500 รุ่นจากผู้ผลิตหลายราย และทำการย้ายข้อมูลระหว่างกันได้อย่างอิสระ
  • รองรับการเชื่อมต่อใช้งานได้หลากหลาย ทั้ง NVMe/FC และ iSCSI Extension for RDMA
  • ทำงานร่วมกับ VMware, Red Hat OpenShift และ Kuberentes ได้
  • มี IBM Storage Insights ระบบ AI ที่จะช่วยตรวจสอบและแนะนำด้านการจัดการประสิทธิภาพและทรัพยากรของระบบ Storage
  • สามารถทำ Snapshot, Remote Replication, Cloud Migration และ 3-Site Replication ได้ในตัว
  • สามารถทำการเข้ารหัสข้อมูลได้

ในผลิตภัณฑ์ตระกูล IBM FlashSystem นี้ IBM FlashSystem 5200 ถือเป็นรุ่น Entry Storage ที่มีประสิทธิภาพสูง และมีความสามารถเทียบเท่า IBM FlashSystem รุ่นใหญ่ทั้งหมด เรียกได้ว่าเป็นรุ่นที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ธุรกิจที่ต้องการมองหาโซลูชันที่มีความคุ้มค่าสูงพร้อมรองรับการเพิ่มขยายในอนาคตได้โดยเฉพาะนั่นเอง

ผู้ที่สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ IBM FlashSystem 5200 สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ibm.com/products/flashsystem-5200

IBM FlashSystem 5015 และ 5035 สำหรับธุรกิจองค์กรที่มองหา Storage ที่เน้นความคุ้มค่า แต่ยังคงมีความสามารถที่หลากหลาย

credit : IBM

สำหรับธุรกิจองค์กรที่อาจจะไม่ได้มีแผนที่จะต้องขยายระบบ Storage เพียงชุดเดียวมากนัก IBM ก็ยังมี IBM FlashSystem 5015 และ 5035 เข้ามาตอบโจทย์นี้ได้

IBM FlashSystem 5015 จะเป็น Entry Level Storage รุ่นเล็กสุดในตระกูล IBM FlashSystem 5000 ที่สามารถทำงานร่วมกับ VMware และ Red Hat OpenShift ได้, สามารถปกป้องข้อมูลด้วยการทำ Snapshot/DR/3-Site Replication ได้, สามารถทำ Cloud Migration ได้, มี AI ช่วยทำ Automated Tiering และมีเครื่องมือในการทำ Data Migration มาให้พร้อมใช้งาน

แต่สำหรับธุรกิจองค์กรที่มองหาการเพิ่มขยายและการตอบโจทย์ PDPA ได้ในตัว IBM FlashSystem 5035 ก็คือโซลูชันที่จะมาตอบโจทย์นี้ได้ โดยการรองรับทุกความสามารถที่ IBM FlashSystem 5015 ทำได้ และเพิ่มการทำ Data Reduction Pool, Scale-Out Clustering, HyperSwap HA และ Encryption เข้ามานั่นเอง

อย่างไรก็ดี หากธุรกิจต้องการระบบ Storage ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ก็อาจต้องพิจารณา IBM FlashSystem 5200/7200/9200/9200R ที่สามารถใช้ NVMe Flash, FC-NVMe, Storage Class Memory และ IBM FCM ได้แทน

ผู้ที่สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ IBM FlashSystem 5015 และ IBM FlashSystem 5035 สามารถศึกษาข้อมูลได้ที่ https://www.ibm.com/products/flashsystem-5000

สนใจโซลูชันจาก IBM ติดต่อทีมงาน Computer Union ได้ทันที

สำหรับผู้ที่สนใจโซลูชันใดๆ ของ IBM สามารถติดต่อทีมงาน Computer Union เพื่อรับข้อมูลเพิ่มติมหรือขอคำปรึกษาได้ทันทีผ่านช่องทางดังนี้

Email : cu_mkt@cu.co.th

Tel : 02 311 6881 #7151, 7158

ข้อมูลเพิ่มเติม power-hybrid-cloud (ibm.com)

from:https://www.techtalkthai.com/enterprise-storage-for-2021-by-computer-union/

อนาคตของ DBA กับ 4 กลยุทธ์บริหารจัดการฐานข้อมูลสู่ Agile Infrastructure ในธุรกิจองค์กร

เมื่อข้อมูลได้กลายเป็นสินทรัพย์สำคัญใหม่ของธุรกิจองค์กรท่ามกลางยุค Digital Transformation การบริหารจัดการและการใช้งานข้อมูลให้มีประสิทธิภาพได้อย่างสูงสุดนั้นก็กลายเป็นภารกิจสำคัญของ Database Adminsitrator หรือ DBA ทั่วโลก และยิ่งเมื่อภัยโรคระบาดได้มาเยือนทุกประเทศเมื่อปี 2020 ความกดดันของ DBA เองก็ยิ่งทวีคูณจากโจทย์ของธุรกิจที่ต้องการความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น ในขณะที่งบประมาณนั้นลดลง

ท่ามกลางสถานการณ์นี้ DBA ทั่วโลกจึงต้องปรับตัวเพื่อเตรียมรับกับอนาคตรูปแบบใหม่ ที่นอกจากข้อมูลจะมีปริมาณมหาศาลอย่างที่คาดไม่ถึงแล้ว การนำข้อมูลไปใช้งานเองก็จะมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น ในขณะที่ทุกฝ่ายในธุรกิจเองนั้นก็ต้องการการเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว และมั่นใจว่าข้อมูลจะไม่สูญหาย ในขณะที่การตอบรับต่อพรบ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลก็เป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้

Pure Storage ในฐานะของผู้พัฒนานวัตกรรมใหม่แห่งโลก Enterprise Storage และการบริหารจัดการข้อมูล ได้มีคำแนะนำถึง DBA ทั่วโลกเพื่อตอบโจทย์การใช้งานข้อมูลในอนาคตให้ได้ด้วยกัน 4 ประการ ดังนี้

1 ออกแบบระบบโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ Database ใหม่ ให้รองรับการทำงานและการเพิ่มขยายได้อย่างมั่นใจ

ไม่ว่าเทคโนโลยี Database ที่ใช้งานจะเป็นเทคโนโลยีใด แต่พื้นฐาน 5 ประการที่จะทำให้ระบบ Database เหล่านั้นทำงานได้ดีก็มีด้วยกันดังนี้

  • Performance ประสิทธิภาพการทำงานที่สูง รองรับ Workload ได้หลากหลายรูปแบบในระบบเดียว
  • Security มีความมั่นคงปลอดภัย ช่วยปกป้องข้อมูลได้อยู่ตลอดเวลาโดยไม่กระทบต่อประเด็นด้านประสิทธิภาพการทำงาน
  • Availability มั่นคงทนทาน มี Downtime ที่ต่ำ ลดโอกาสที่ระบบจะหยุดทำงานได้ทั้งจากความผิดพลาด, ความเสียหาย ไปจนถึงการอัปเกรดระบบทั้งในระดับของ Software และ Hardware
  • Manageability บริหารจัดการได้ง่าย ดูแลรักษาได้ง่าย
  • Storage จัดเก็บข้อมูลได้อย่างคุ้มค่า มีประสิทธิภาพ สามารถเพิ่มขยายได้ในระยะยาว

การที่ระบบโครงสร้างพื้นฐานทางด้าน IT สำหรับรองรับ Database มีคุณสมบัติเหล่านี้อย่างครบถ้วน จะทำให้ DBA นั้นมีความพร้อมในการรับมือต่อโจทย์ใหม่ๆ ทางธุรกิจได้อย่างยืดหยุ่น สามารถทำงานในเชิงรุกได้มากขึ้น ไม่ต้องเสียเวลากับการแก้ไขปัญหาในระบบอย่างในอดีตอีกต่อไป ดังนั้นการลงทุนวางระบบ IT Infrastructure ใหม่เพื่อให้รองรับคุณสมบัติเหล่านี้จึงถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญ

2 ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเครื่องมือในการจัดการข้อมูล และการจัดการแบบอัตโนมัติ

ในแง่ของการจัดการข้อมูล เครื่องมือในการช่วยทำสิ่งต่างๆ ให้ได้อย่างสะดวกรวดเร็วนั้นก็มีความสำคัญไม่แพ้กับระบบ IT Infrastructure ที่ดี เพราะเครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้ DBA ทำงานได้ง่าย, ลดเวลาที่ใช้ในการทำงาน และลดเวลาที่ DBA คนใหม่จะต้องใช้ในการเรียนรู้ ทำให้ในภาพรวมการจัดการกับข้อมูลนั้นจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ในขณะเดียวกัน การทำงานร่วมกันระหว่างหลายระบบให้ได้และการบริหารจัดการได้โดยอัตโนมัตินั้นก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะในระยะยาวเมื่อระบบมีขนาดใหญ่และมีความซับซ้อนมากขึ้น ความสามารถเหล่านี้จะช่วยให้ DBA ทำงานต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและมีความผิดพลาดเกิดขึ้นน้อย และในทุกๆ การขึ้นระบบใหม่ๆ การวางระบบให้ทำงานได้แบบ Automation แต่แรกเลยก็จะช่วยลดภาระของ DBA ในระยะยาวลงไปได้เป็นอย่างดี

3 เพิ่มความยืดหยุ่นในการทำงาน จัดการข้อมูลได้แบบ Hybrid Cloud และ Multi-Cloud

ธุรกิจองค์กรทุกแห่งได้เรียนรู้ถึงข้อดีของการใช้ Cloud และเริ่มเห็นภาพแล้วว่า Workload แบบใดที่ควรอยู่บนบริการ Cloud ใด และ Workload แบบใดที่ควรอยู่บนระบบ On-Premises ดังนั้น DBA เองก็ควรวางแผนเพื่อให้สามารถทำการบริหารจัดการและย้ายข้อมูลหรือ Workload ระหว่าง Cloud และ On-Premises ได้อย่างหลากหลาย เพื่อให้ธุรกิจองค์กรสามารถเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมและสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง

4 ปกป้องทุกข้อมูลให้มั่นคงปลอดภัยและตอบโจทย์ความเป็นส่วนตัว ไม่ว่าข้อมูลจะอยู่ที่ใด

ด้วยระบบ Database ที่มีความหลากหลายมากขึ้น การปกป้องข้อมูลของระบบ Database ในทุกๆ รูปแบบให้ได้นั้นก็ถือเป็นอีกโจทย์สำคัญ ในขณะที่การกู้คืนข้อมูลได้อย่างรวดเร็วก็สามารถช่วยให้ธุรกิจองค์กรนั้นลดโอกาสที่จะเกิดความเสียหายจากเหตุไม่คาดฝันลงได้

นอกจากนี้ ด้วยพรบ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่กำลังจะบังคับใช้ การปกป้องข้อมูลเหล่านี้ให้ยากต่อการรั่วไหลสู่ภายนอกก็เป็นอีกประเด็นสำคัญ และเทคโนโลยีพื้นฐานในการเข้ารหัสข้อมูลของระบบจัดเก็บข้อมูลที่ใช้กับ Database นั้นก็จะกลายเป็นสิ่งที่ต้องถูกเปิดใช้งานเป็นวงกว้าง การเลือกใช้ระบบที่สามารถเข้ารหัสข้อมูลได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของระบบนั้นจึงเป็นอีกปัจจัยที่ต้องพิจารณาให้ดี

Modern Data Experience สู่ประสบการณ์ในการบริหารจัดการและใช้งานข้อมูลแบบใหม่ กับ Pure Storage

Credit: Pure Storage

เพื่อช่วยให้ DBA ทั่วโลกสามารถปรับตัวสู่อนาคตได้อย่างง่ายดายและคุ้มค่า Pure Storage ได้นำเสนอแนวคิด Modern Data Experience เพื่อช่วยให้ธุรกิจองค์กรสามารถบริหารจัดการข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพและยืดหยุ่น ในขณะที่ประสบการณ์การเข้าถึงและใช้งานข้อมูลเองก็มีความง่ายดาย ตอบโจทย์ต่อการใช้งานจริงได้หลากหลายรูปแบบ ด้วยคุณสมบัติดังนี้

  1. Accelerate Application ด้วยการใช้ All Flash Storage ที่มีหลากหลายรูปแบบ เสริมประสิทธิภาพของระบบ Application และ Database ได้ทั้ง Tier-0, Tier-1, Tier-2 ไปจนถึงระบบ Backup และ DR ได้อย่างคุ้มค่า ช่วยให้ทุกขั้นตอนในการจัดการและเข้าถึงข้อมูลมีความเร็วสูงสุด เร่งสร้างคุณค่าใหม่ให้กับองค์กรด้วยข้อมูลได้อย่างเต็มที่ ลด Downtime ที่จะเกิดขึ้นกับในทุกระบบได้อย่างมั่นใจ
  2. Enable Multicloud ย้าย Workload และ Data ระหว่าง Cloud ได้อย่างอิสระ ด้วยระบบจัดเก็บข้อมูลที่สามารถบริหารจัดการได้ด้วยประสบการณ์เดียวกัน ทำให้ DBA สามารถจัดการข้อมูลบนทุก Cloud และ Data Center ได้อย่างง่ายดาย บริหารจัดการได้จากศูนย์กลาง พร้อมใช้จุดเด่นจากผู้ให้บริการ Cloud แต่ละรายได้อย่างเหมาะสม
  3. Modernize Data Protection ปกป้องข้อมูลด้วย All Flash Storage พร้อมความสามารถในการปกป้องข้อมูลในตัว ช่วยให้สามารถสำรองข้อมูลได้หลายรอบต่อวัน กู้คืนได้อย่างรวดเร็ว ลดโอกาสการสูญเสียข้อมูลและลด Downtime ของระบบลงได้อย่างมั่นใจ รองรับการป้องกันข้อมูลที่สำรองเอาไว้ไม่ให้ Ransomware เข้ารหัสหรือทำลายข้อมูลขององค์กรได้ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลในรูปแบบใดก็ตาม รวมถึงยังสามารถทำการเข้ารหัสข้อมูลเพื่อเสริมความมั่นคงปลอดภัยได้อีกด้วย
  4. Activate Analytics and AI เปิดให้ผู้ใช้งาน, Data Scientist และ Data Engineer สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ด้วยวิธีการที่หลากหลาย เหมาะสมต่อการใช้งานในรูปแบบต่างๆ ได้ในตัว ลดขั้นตอนการย้ายข้อมูลข้ามระบบลง ช่วยให้นำข้อมูลไปใช้งานได้อย่างคล่องตัวยิ่งขึ้น รองรับเทคโนโลยีการวิเคราะห์ข้อมูลรูปแบบใหม่ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง

Pure Storage มีโซลูชัน All Flash Storage ที่หลากหลาย ตอบโจทย์ได้ทุกความต้องการของธุรกิจองค์กรในการบริหารจัดการ, ใช้งาน และปกป้องข้อมูล พร้อมเทคโนโลยี AI ที่จะช่วยตรวจสอบดูแลรักษาระบบโดยอัตโนมัติ ช่วยให้การดูแลรักษาระบบ Storage นั้นง่ายดายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้ DBA สามารถมุ่งเน้นไปที่การวางนโยบายด้านการจัดการฐานข้อมูลได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องพะวงเรื่องของประสิทธิภาพ, ความยืดหยุ่น และความมั่นคงปลอดภัยอีกต่อไป

ติดต่อ Pure Storage ได้ทันที

สำหรับผู้ที่สนใจโซลูชันด้านระบบ Enterprise Storage และ Data Management สามารถติดต่อทีมงาน Pure Storage ได้ทันทีที่ Email asean@purestorage.com และสามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ https://www.purestorage.com/ หรือติดตามข่าวสารจากทีมงาน Pure Storage ได้ที่ https://www.facebook.com/PureStorageTH

from:https://www.techtalkthai.com/4-strategies-to-agile-infrastructure-for-dba-by-pure-storage/

ใช้งาน IBM FlashSystem อย่างคุ้มค่าด้วยโซลูชัน Moonwalk พร้อมบริการ MA ครบวงจรกับ SDC

ธุรกิจองค์กรที่มีแผนลงทุนใช้งานระบบ Enterprise Storage นั้นอาจมีความกังวลถึงความคุ้มค่าในระยะยาว เพราะนอกจากค่าใช้จ่ายในการลงทุนที่สูงแล้ว ระบบเองก็ยังมีพื้นที่จัดเก็บข้อมูลที่อาจไม่เพียงพอต่อการใช้งานต่อเนื่องหลายปี อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับระบบเองก็อาจสูงอย่างไม่น่าเชื่อ

แต่ปัญหานี้จะไม่เกิดขึ้นกับองค์กรของคุณถ้าหากคุณเลือกใช้โซลูชันจาก SDC ที่ได้คัดสรรทุกสิ่งที่ดีที่สุดและตอบโจทย์การจัดเก็บข้อมูลของธุรกิจองค์กรในระยะยาวเอาไว้อย่างครบถ้วน ด้วยการผสมผสานกันระหว่าง

  1. IBM FlashSystem 5030 ระบบ Hybrid Storage ประสิทธิภาพสูงและความสามารถยืดหยุ่นจาก IBM ที่พร้อมตอบโจทย์ทุกการใช้งานในธุรกิจองค์กร
  2. โซลูชัน Moonwalk เสริมความสามารถการทำ File Archiving ให้ IBM Flash System 5030  ของคุณ เพื่อให้ใช้ได้ประสิทธิภาพในการทำงานคุ้มค่าและสูงสุด โดยการนำข้อมูลที่ไม่ค่อยได้ใช้งานออกไปจัดเก็บบนระบบอื่นๆ แทนอัตโนมัติ
  3. บริการ Hardware Maintenance Agreement Service (MA) จาก SDC เป็นบริการหลังการขายโดยทีมงานคุณภาพที่เปี่ยมประสบการณ์ พร้อมบริการอะไหล่สำรองให้กับคุณทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง (จันทร์ – อาทิตย์)

IBM FlashSystem 5030 ระบบ Hybrid Storage มากความสามารถ พร้อมระบบ AI ช่วยบริหารจัดการ

IBM FlashSystem 5030 ถือเป็นระบบ Hybrid Storage รุ่นที่ได้รับความนิยมในธุรกิจทุกขนาด ตั้งแต่ธุรกิจขนาดเล็กที่มีวิสัยทัศน์ในการเติบโตด้วยข้อมูล ไปจนถึงธุรกิจองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการความสามารถในการบริหารจัดการข้อมูลอย่างเข้มข้น ด้วยราคาที่คุ้มค่า และความสามารถที่มีมาพร้อมให้ใช้งานได้อย่างหลากหลาย ดังนี้

  1. ประสิทธิภาพสูง ปรับแต่งได้ยืดหยุ่น ด้วยการเป็น Hybrid Storage ที่สามารถใช้งานได้ทั้งแบบ All Flash เพื่อเน้นประสิทธิภาพเป็นหลัก และแบบ Hybrid เพื่อเน้นความคุ้มค่าในการจัดเก็บข้อมูล พร้อมต่อยอดสู่การใช้งานแบบ Hybrid Multicloud ได้ในอนาคต
  2. บริหารจัดการได้อย่างง่ายดาย ด้วยหน้าจอการใช้งานที่ง่ายและทันสมัย พร้อม IBM Spectrum Insights ระบบ AI ที่จะมาเข้ามาช่วยตรวจสอบ ทำนาย และแจ้งเตือนกรณีที่เกิดปัญหาหรือแนวโน้มที่อาจทำให้เกิดปัญหาภายในระบบ ทำให้สามารถจัดการกับประเด็นเหล่านั้นได้โดยมี Downtime ที่น้อยที่สุด
  3. ปกป้องข้อมูลได้อย่างมั่นใจ ด้วยการทำ Snapshot สำรองข้อมูลในตัว, การทำ Replicate สำรองข้อมูลข้ามระบบที่รองรับสูงสุดถึง 3 สาขา และการปกป้องข้อมูลภายใน Disk แต่ละชุดด้วยเทคโนโลยีที่หลากหลาย
  4. จัดเก็บข้อมูลได้อย่างคุ้มค่า ด้วยการทำ Deduplication และ Compression ช่วยลดพื้นที่จัดเก็บข้อมูล, IBM EasyTier ทำ Storage Tiering ระหว่าง Disk หลากหลายชนิดร่วมกัน, IBM Spectrum Virtualized บริหารจัดการและนำพื้นที่จัดเก็บข้อมูลบน Storage หลายชุดมาใช้งานร่วมกันให้เกิดความคุ้มค่าสูงสุด และรองรับการเชื่อมต่อไปยัง Cloud Storage เพื่อจัดเก็บข้อมูลในราคาประหยัด
  5. เริ่มต้นใช้งานได้อย่างง่ายดายและประหยัดค่าใช้จ่าย ด้วยโปรโมชันจาก SDC ที่สามารถเริ่มต้นใช้งาน IBM FlashSystem 5030 ความจุ 9.6TB (Raw Capacity) พร้อมบริการติดตั้งและรับประกัน 3 ปี ได้ในราคาเพียงแค่ 429,000 บาทเท่านั้น

    ผู้ที่สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรโมชัน สามารถติดต่อได้ที่ Email : marketing@systems.co.th หรือโทร 0918898244

ผู้ที่สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ IBM FlashSystem 5030 ได้ที่ https://www.ibm.com/th-en/products/flashsystem-5000

จัดเก็บข้อมูลอย่างคุ้มค่าด้วยการทำ Data Archiving อย่างยืดหยุ่นด้วย Moonwalk

อีกหนึ่งความสามารถที่ SDC ได้เสริมเข้าไปในโซลูชันและโปรโมชันของ IBM FlashSystem 5030 นี้ ก็คือการนำโซลูชัน Moonwalk ซึ่งเป็นระบบ Data Management ชั้นนำสำหรับการทำ Data Archiving มาเสริมให้กับการทำงาน ทำให้สามารถบริหารจัดการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลบน IBM FlashSystem 5030 ได้อย่างคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น

Moonwalk นี้จะช่วยตรวจสอบการใช้งานไฟล์ต่างๆ ที่ถูกบันทึกอยู่บน IBM FlashSystem 5030 ให้อยู่ตลอดเวลา และทำการพิจารณาตามเงื่อนไขโดยอัตโนมัติว่าจะทำการ Archive ข้อมูลใดบ้าง และจัดการ Archive ด้วยการย้ายข้อมูลไปบันทึกบนระบบ Storage อื่นที่มีอยู่ ก่อนจะทำการสร้างลิงค์เชื่อมไปยังข้อมูลเหล่านั้น และลบข้อมูลเหล่านั้นออกจาก IBM FlashSystem 5030 ให้

แนวทางนี้จะทำให้บน IBM FlashSystem 5030 นั้นมีแต่การจัดเก็บข้อมูลสำคัญซึ่งถูกเข้าถึงบ่อยและใช้งานจริงเท่านั้น ในขณะที่ข้อมูลที่ไม่ค่อยถูกใช้งานหรือ Cold Data ก็จะถูกนำไปบันทึกจัดเก็บเอาไว้บนระบบอื่นซึ่งมีราคาถูกกว่า ทำให้ในภาพรวมแล้ว ธุรกิจองค์กรจึงสามารถใช้งาน IBM FlashSystem 5030 ได้อย่างคุ้มค่าเต็มประสิทธิภาพอย่างยาวนานมากขึ้น ไม่ต้องเสียพื้นที่จัดเก็บข้อมูลไปกับไฟล์ที่ไม่ค่อยได้ใช้งานนั่นเอง

 

มั่นใจใช้งานระบบได้ต่อเนื่อง ด้วยบริการ Hardware Maintenance Agreement Service (MA) จาก SDC

นอกเหนือไปจากประเด็นเรื่องของความคุ้มค่าแล้ว SDC ก็ยังใส่ใจในการใช้งานระบบได้อย่างต่อเนื่องยาวนานโดยไม่มี Downtime เพื่อให้ธุรกิจองค์กรสามารถใช้งาน IBM FlashSystem 5030 ได้อย่างมั่นใจ และไม่ต้องเสียทรัพยากรบุคคลสำคัญในฝ่าย IT มาดูแลรักษาระบบเอง ด้วยบริการ Hardware Maintenance Agreement Service (MA) จาก SDC

บริการ MA ของ SDC นี้ครอบคลุมถึงการที่มีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลแก้ไขปัญหาให้ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน รับประกัน Service Level Agreement (SLA) ได้ตามที่ตกลงกัน โดยทาง SDC จะมีการจัดเตรียมอุปกรณ์อะไหล่สำรองเพื่อให้พร้อมเปลี่ยนทดแทนอุปกรณ์ที่เสียหายอยู่ตลอด

จุดเด่นหนึ่งของบริการ MA ที่ทำให้แตกต่างจากผู้ให้บริการรายอื่นๆ ก็คือความยืดหยุ่นของ SDC ที่เปิดให้เลือกจ่ายเงินได้ตั้งแต่ระดับรายเดือน, ราย 4 เดือน หรือรายปี ทำให้ธุรกิจองค์กรสามารถวางแผนค่าใช้จ่ายให้เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนอย่างเช่นทุกวันนี้ได้

ผู้ที่สนใจหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ Email : marketing@systems.co.th หรือโทร 02-744-1600

สนใจติดต่อ SDC ได้ทันที

ผู้ที่สนใจโซลูชันของ IBM, บริการ Hardware Maintenance Agreement Service หรือเทคโนโลยีอื่นๆ ทางด้าน IT Infrastructure สามารถติดต่อทีมงาน SDC ได้ทันทีที่อีเมล์ marketing@systems.co.th หรือโทร 02-744-1600 หรือ line @sdc_executive และ เยี่ยมชมเว็บไซต์ของ SDC ได้ที่ http://www.systems.co.th/ma-service/special 

from:https://www.techtalkthai.com/ibm-flashsystem-with-moonwalk-and-ma-from-sdc/

5 เหตุผลที่ธุรกิจองค์กรควรเลือกใช้ IBM FlashSystem ตอบโจทย์การทำงานและการเติบโตในยุค New Normal

ในยุคการทำงานแบบ New Normal นี้ การลงทุนเลือกเทคโนโลยีใดๆ มาใช้งานนั้นก็ต้องผ่านการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเพื่อให้มั่นใจว่าธุรกิจองค์กรนั้นจะได้ลงทุนในสิ่งที่คุ้มค่าที่สุด และช่วยให้ธุรกิจยังคงเดินหน้าต่อไปได้ในภาวะที่เศรษฐกิจไม่มั่นคงแบบนี้

IBM FlashSystem ถือเป็นหนึ่งในระบบ Enterprise Storage ที่มีความคุ้มค่าสูงทั้งในแง่ของประสิทธิภาพ, ความคุ้มค่า, การดูแลรักษา และการต่อยอดในอนาคต ในบทความนี้ SDC จะพาทุกท่านไปรู้จักกับ 5 เหตุผลที่ธุรกิจองค์กรควรเลือกใช้ IBM FlashSystem กันดังนี้ครับ

1. ประสิทธิภาพสูง รองรับงานได้หลากหลาย เพิ่มขยายได้เมื่อธุรกิจเติบโต

เป็นที่รู้กันดีว่า All Flash Storage นั้นมีประสิทธิภาพที่สูงกว่า Hybrid Storage หรือ HDD Storage อย่างชัดเจน ถึงแม้ความจุจะน้อยกว่า แต่ในความเป็นจริงแล้วสำหรับธุรกิจองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการระบบ Storage เพื่อรองรับระบบ Virtualization เพื่อความยืดหยุ่นคล่องตัวใน Data Center หรือการทำ File Sharing ให้พนักงานสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น ความเร็วย่อมเป็นปัจจัยที่สำคัญกว่าอย่างเห็นได้ชัด และทำให้ All Flash Storage มีอายุการใช้งานที่นานกว่าเพราะเกิดคอขวดด้านประสิทธิภาพช้ากว่าระบบ Storage แบบอื่นๆ นั่นเอง

เพื่อช่วยให้การลงทุนในระบบ All Flash Storage มีความคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น IBM FlashSystem จึงมาพร้อมกับความสามารถในการทำ Data Reduction ลดพื้นที่ที่ต้องใช้ในการจัดเก็บข้อมูลลงด้วยเทคนิคที่หลากหลาย ทั้ง Deduplication, Compression และอื่นๆ อีกมากมาย ก็ทำให้การจัดเก็บข้อมูลภายใน IBM Flash System นี้สามารถรองรับความจุได้มากกว่า Raw Capacity ของอุปกรณ์ไปหลายเท่าตัวเลยทีเดียว ดังนั้นในบางกรณีที่มีข้อมูลมีความซ้ำซ้อนกันเยอะ เช่น ระบบ VM, VDI หรือ Incremental Backup IBM Flash System ก็อาจเก็บข้อมูลได้มากกว่า Hybrid Storage หรือ HDD Storage ได้

และสำหรับในระยะยาว All Flash Storage ก็สามารถเพิ่มขยายเพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจหรือปริมาณข้อมูลและระบบต่างๆ ที่ต้องสนับสนุนเพิ่มได้ ทั้งการเพิ่มขยายแบบ Scale-Up ที่เน้นการเพิ่มความจุเป็นหลัก และ Scale-Out ที่เพิ่มประสิทธิภาพและ Throughput รวมของระบบไปพร้อมกัน อีกทั้งการพัฒนา Flash Media เองก็ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในอนาคตก็จะมี Flash Media ใหม่ๆ ที่มีความจุสูงขึ้นมาให้เลือกอัปเกรดได้ภายในระบบที่ใช้งานอยู่ตลอด ไม่ต้องทิ้งอุปกรณ์เดิมที่ใช้งานไปซื้ออุปกรณ์ชุดใหม่มาทดแทนอย่างที่เคยเกิดขึ้นกับระบบ Storage ในอดีต

2. มี GUI ที่ใช้งานได้ง่าย ผู้ดูแลระบบ IT สามารถเรียนรู้ได้รวดเร็ว

ในแง่ของการดูแลรักษา IBM FlashSystem นี้ก็สามารถบริหารจัดการที่ใช้งานได้อย่างง่ายดายผ่าน Web-based GUI ช่วยลดความซับซ้อนในการจัดการกับการจัดเก็บและเข้าถึงข้อมูลภายใน Data Center ลงได้ โดยในการติดตั้งครั้งแรกนั้น ระบบก็จะมี Wizard มาให้เพื่อให้การกำหนดค่าตั้งต้นเป็นไปได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ซึ่งทาง IBM นั้นก็ได้มีการพัฒนาระบบ GUI มาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ใช้งานง่ายและตอบโจทย์ต่อความต้องการทางธุรกิจในการใช้งาน Storage รูปแบบใหม่ๆ มาเป็นเวลาหลายปีแล้ว

อีกจุดหนึ่งที่จะช่วยให้ชีวิตของผู้ดูแลระบบ IT ดีขึ้นอย่างชัดเจนนั้น ก็คือความสามารถของ IBM Spectrum Virtualize ซึ่งเป็นเทคโนโลยี Software-Defined Storage ที่มาพร้อมกับ IBM FlashSystem ซึ่งสามารถทำการบริหารจัดการระบบ Storage จากผู้ผลิตหลากหลายได้จากศูนย์กลาง และทำให้การบริหารจัดการข้อมูลในธุรกิจองค์กรนั้นเป็นไปได้อย่างยืดหยุ่นคุ้มค่าที่สุด ใช้พืันที่และประสิทธิภาพที่ยังคงมีเหลือจากระบบ Storage ทั้งหมดร่วมกันเพื่อรองรับ Workload ที่เหมาะสมได้ ซึ่งเป็นความสามารถเด่นที่ไม่อาจพบได้ในระบบ Storage อื่นๆ

3. มี AI คอยช่วยดูแลระบบ ตอบโจทย์การทำงานแบบ Work from Home ได้ดี

แน่นอนว่าในธุรกิจองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี ผู้ดูแลระบบ IT แต่ละคนนั้นย่อมมีภาระมากมายนอกเหนือจากการดูแลเพียงแค่ระบบ Storage เท่านั้น ดังนั้นเพื่อให้ธุรกิจยังคงเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง และลดความเสี่ยงที่ข้อมูลจะสูญหายหรือระบบงานสำคัญจะหยุดทำงาน IBM จึงได้พัฒนา IBM Storage Insights ขึ้นมาเสริม IBM FlashSystem เพื่อช่วยตรวจสอบและแจ้งเตือนความเสี่ยงหรือปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับระบบได้ด้วย AI ที่ IBM ทำการพัฒนาขึ้นมาจากข้อมูลของการใช้ IBM Storage ทั่วโลก ซึ่งเป็น AI ที่เรียนรู้ Pattern ของปัญหาต่างๆ มาแล้วเป็นอย่างดี ทำให้สามารถทำนายล่วงหน้าได้ว่าระบบของเรามีแนวโน้มที่จะมีปัญหาในประเด็นใดและควรป้องกันอย่างไร ทำให้ผู้ดูแลระบบสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และตอบสนองต่อประเด็นปัญหาต่างๆ ได้อย่างทันท่วงที ลด Downtime ของระบบลงได้อย่างชัดเจน

ในขณะเดียวกัน IBM Storage Insights นี้ก็ยังสามารถใช้งานได้จากทุกที่ทุกเวลา ผ่านทั้งอุปกรณ์ PC, Notebook, Smartphone และ Tablet ทำให้การดูแลรักษาระบบ Storage ภายในองค์กรเป็นไปได้อย่างง่ายดายในทุกสถานที่ ผู้ดูแลระบบสามารถทราบถึงการแจ้งเตือนปัญหาหรือแนวโน้มของปัญหาได้อยู่ตลอด สอดคล้องกับแนวทางการทำงานแบบ Work from Home ที่ผู้ดูแลระบบไม่ต้องเข้าไปตรวจสอบปัญหาหน้างานเสมอไป

4. มีความสามารถหลากหลาย รองรับการปกป้องข้อมูลสำคัญของธุรกิจองค์กรได้

ภายใน IBM FlashSystem นี้ยังมาพร้อมกับความสามารถต่างๆ อย่างหลากหลาย เพื่อให้ธุรกิจเลือกนำไปใช้ให้เหมาะสมกับความต้องการได้ เช่น

  • Easy Tier – สำหรับทำ Storage Tiering ร่วมกับระหว่าง Disk และ Storage หลายประเภทได้โดยอัตโนมัติ ทำให้เกิดความคุ้มค่าในการใช้งาน และระบบยังคงมีประสิทธิภาพและความจุที่เหมาะสมต่อการใช้งาน

  • Moonwalk Archiving – ช่วยให้การ Archive ข้อมูลไม่มีผลกระทบต่อประสิทธิภาพของระบบและประสบการณ์ของผู้ใช้งาน สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่องแม้กำลัง Archive ข้อมูลอยู่

  • Three-site Data Replication – ขั้นกว่าของการทำ Data Replication ซึ่ง IBM FlashSystem นี้ก็รองรับการทำ Data Replication รวมกันได้ระหว่างอุปกรณ์ Storage ใน 3 สาขา มั่นใจได้มากขึ้นใน Availability ของข้อมูล

  • Cloud Connect – รองรับการนำ Snapshot ไปเก็บไว้บน Cloud ด้วยความสามารถของ IBM Spectrum Virtulize ที่สามารถเชื่อมต่อได้ทั้ง Amazon Web Services (S3) และ  IBM Cloud

5. ราคาคุ้มค่า เหมาะแก่การลงทุนในยุค New Normal

เพื่อให้ธุรกิจองค์กรยังคงเดินหน้าต่อไปได้ท่ามกลางวิกฤตครั้งนี้ ทาง SDC และ IBM จึงได้จัดโปรโมชันพิเศษที่นำเสนอ IBM FlashSystem 5000 Series เริ่มต้นที่ความจุ Raw Capacity ระดับ 9.6TB ได้ในราคาเพียง 429,000 บาท รวมทั้งค่าใช้จ่ายด้านบริการในการติดตั้งและดูแลรักษาระบบยาวนานถึง 3 ปี

สนใจติดต่อ SDC ได้ทันที

ผู้ที่สนใจบริการ Hardware Maintenance Agreement Service หรือเทคโนโลยีอื่นๆ ทางด้าน IT Infrastructure สามารถติดต่อทีมงาน SDC ได้ทันทีที่อีเมล์ marketing@systems.co.th หรือโทร 0918898244 หรือ line : @sdc_excusive  และเยี่ยมชมเว็บไซต์ของ SDC ได้ที่ http://www.systems.co.th/ 

from:https://www.techtalkthai.com/5-reasons-to-choose-ibm-flashsystem-new-normal/

Infortrend ประกาศเปิดตัว Shared Media Storage สำหรับ Adobe Premier Pro, Apple Final Cut Pro และ DaVinci Resolve

Infortrend Technology ผู้นำด้านเทคโนโลยี Enterprise Storage ได้ออกมาประกาศเปิดตัวโซลูชัน Shared Media Storage ที่สามารถใช้งานร่วมกับ Software ชั้นนำอย่างเช่น Adobe Premiere Pro, Apple Final Cut Pro และ DaVinci Resolve เพื่อรองรับการตัดต่อวิดีโอคุณภาพสูงพร้อมกันได้ทั้งสำหรับออฟฟิศขนาดเล็กที่มีทีมงานตัดต่อวิดีโอ 10 คนหรือน้อยกว่า และองค์กรขนาดใหญ่ที่มีทีมงานตัดต่อวิดีโอเกินกว่า 10 คนขึ้นไป

Credit: Infortrend

สำหรับทีมงานตัดต่อวิดีโอที่มีขนาด 10 คนหรือน้อยกว่า ทาง Infortrend จะนำเสนอโซลูชัน Infortrend EonStor GS และ Infortrend EonStor GSe ระบบ Enterprise NAS Storage ที่รองรับได้ทั้ง CIFS/SMB, NFS และ AFP อีกทั้งยังสามารถทำงานร่วมกับ Video Editing Software หรือ Project Server Database ชั้นนำได้ โดยรองรับการตัดต่อวิดีโอพร้อมกันได้ตั้งแต่ 2 – 145 Stream พร้อมกันตามแต่ประเภทของไฟล์และการติดตั้ง SSD/HDD ภายในระบบ

Credit: Infortrend

ส่วนทีมงานตัดต่อวิดีโอที่มีขนาดมากกว่า 10 คนขึ้นไป ทาง Infortrend สามารถนำเสนอโซลูชัน Infortrend EonStor CS ระบบ Scale-Out Shared Storage System ที่สามารถเพิ่มขยายแบบ Scale-Out เพื่อเพิ่มทั้งพื้นที่จัดเก็บข้อมูลและประสิทธิภาพของระบบไปพร้อมๆ กันได้ โดยสามารถเพิ่มความเร็วในการเขียนอ่านข้อมูลได้เกินกว่า 100GB/s และมีความจุได้มากกว่า 100PB หรือ 100,000,000GB เลยทีเดียว

เกี่ยวกับ Throughwave Thailand

Throughwave Thailand เป็นตัวแทนจำหน่าย (Distributor) สำหรับผลิตภัณฑ์ Enterprise IT ครบวงจรทั้ง Server, Storage, Network และ Security พร้อมโซลูชัน VMware และ Microsoft ที่มีลูกค้าเป็นองค์กรชั้นนำระดับหลายหมื่นผู้ใช้งานมากมาย โดยทีมงาน Throughwave Thailand ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าจากทีมงาน Engineer มากประสบการณ์ ที่คอยสนับสนุนการใช้งานของลูกค้าตลอด 24×7 ร่วมกับ Partner ต่างๆ ทั่วประเทศไทยนั่นเอง

ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อทีมงาน Throughwave Thailand ได้ที่ 02-2100969 หรือ info@throughwave.co.th หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ https://www.throughwave.co.th

ที่มา: https://www.infortrend.com/global/news/20200211/432

from:https://www.techtalkthai.com/infortrend-announces-shared-media-storage-for-adobe-premier-pro-apple-final-cut-pro-and-davinci-resolve/

เทคโนโลยี All Flash Storage ได้เปลี่ยนวงการ Enterprise Storage ทั่วโลกไปอย่างไร

All Flash Storage ได้กลายมาเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีหลักที่เหล่าธุรกิจองค์กรเลือกใช้งานเมื่อต้องมีการลงทุนอัพเกรดระบบ Storage ที่มีอยู่เดิม หรือจัดซื้อระบบ Storage ใหม่เข้ามาเพิ่มเติมภายใน Data Center ซึ่งก็เรียกได้ว่ากระแสความนิยมของ All Flash Storage นี้ถือว่าเติบโตรวดเร็วเป็นอย่างมาก ในบทความนี้เราจะสรุปถึงประเด็นทางเทคนิคตั้งแต่ SSD ขึ้นมาจนถึง All Flash Storage และการประยุกต์ใช้งานจริงในธุรกิจระดับโลกหลากหลายจากข้อมูลของ Huawei พร้อมทั้งแนะนำ Huawei OceanStor Dorado ระบบ All Flash Storage ประสิทธิภาพสูงให้ทุกท่านได้รู้จักกันครับ

SSD เข้ามาแทนที่ HDD อย่างรวดเร็ว ด้วยจุดเด่นที่เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด

Credit: Huawei

หลังจากที่ SSD ได้ถูกพัฒนาขึ้นมา ในวงการ IT ก็มีการตอบรับต่อ SSD กันอย่างอย่างรวดเร็วด้วยประสิทธิภาพที่สูงกว่า HDD เป็นอย่างมาก อีกทั้งยังประหยัดไฟกว่า HDD ด้วย และเมื่อ SSD ค่อยๆ ถูกพัฒนาให้ตอบโจทย์ในการใช้งานจริงได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในแง่ของความทนทานในการเขียนข้อมูลที่ดีขึ้น และความจุที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ก็ทำให้ SSD เริ่มถูกนำมาใช้ในส่วนของ Data Center กันอย่างแพร่หลาย

Huawei ให้ตัวเลขคร่าวๆ เพื่อให้เห็นภาพกันมากขึ้นเอาไว้ว่า SSD นั้นมีประสิทธิภาพสูงกว่า HDD ประมาณ 100 เท่า, มีความทนทานสูงกว่า HDD อีก 3-5 เท่า และประหยัดไฟมากกว่า HDD ถึง 70% จึงไม่น่าแปลกใจนักกับความนิยมของ SSD ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ในขณะที่การใช้งาน HDD นั้นก็ถูกลดลงไปใช้ในกรณีของการจัดเก็บข้อมูลที่ไม่ต้องการประสิทธิภาพในการเข้าถึงข้อมูลที่สูงนักเป็นหลัก

Huawei OceanStor Dorado โซลูชัน All Flash Storage ประสิทธิภาพสูงที่ Huawei พัฒนาเองตั้งแต่ชิพจนถึง Software ทั้งหมด

Credit: Huawei

Huawei OceanStor Dorado เป็นระบบ All Flash Storage รุ่นเรือธงของ Huawei ที่ถูกออกแบบมารองรับการใช้งานภายในองค์กรโดยเฉพาะ ทำให้ Huawei นั้นต้องทำการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ ภายในระบบขึ้นมาเองทั้งส่วนของ Hardware และ Software เพื่อให้มั่นใจได้ว่าการทำงานร่วมกันของทั้งระบบจะเป็นไปได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่เพียงแค่การนำ Enterprise Storage แบบเดิมๆ มาติดตั้ง SSD เข้าไปเท่านั้น โดยจุดเด่นที่น่าสนใจของ Huawei OceanStor Dorado มีดังนี้

  • ประสิทธิภาพสูงสุดถึง 7,000,000 IOPS จากการทดสอบจากSPC-1 โดยเปิดความสามารถในการบีบอัดข้อมูลไปด้วยในระหว่างการทดสอบ
  • ในการทดสอบการทำงานแบบ Dual Controller ที่มีการอ่านเขียนข้อมูล 8K ที่อัตราส่วน 7:3 นั้น มีประสิทธิภาพสูงถึง 300,000 IOPS และมี Latency เพียง 1ms เท่านั้น
  • สามารถรองรับ SAP HANA ด้วย Latency เพียง 0.5ms ในการติดตั้งแบบอุปกรณ์ชุดเดียว และมี Latency เพียง 1ms ในการติดตั้งแบบ Active-Active Cluster
  • มีเทคโนโลยี FLASHLINK ที่เกิดจากการพัฒนาชิพสำหรับ SSD, Network, Compute เองทั้งหมด ให้ทำงานร่วมกับ NVMe SSD และ Software ของ Huawei OceanStor Dorado
  • มีความสามารถ HyperMetro ทำงานร่วมกันแบบ Active-Active ได้ระยะไกลกว่า 180 กิโลเมตรโดยไม่ต้องมีอุปกรณ์ Storage Gateway ใดๆ เพิ่มเติม ง่ายต่อการทำ DR
  • จากการทดสอบพบว่าสามารถทำ Data Reduction ได้ด้วยอัตราส่วนที่สูงสุดถึง 5:1 โดยการลดพื้นที่ข้อมูลนี้ไม่ทำให้ประสิทธิภาพของระบบลดลงแต่อย่างใด

Enterprise Storage ปรับตัว ก้าวข้ามจาก Hybrid Storage สู่ All Flash Storage อย่างก้าวกระโดดในปี 2017 – 2018

Credit: Huawei

ตลาด SSD ที่เติบโตอย่างรวดเร็วนี้ ทำให้เหล่าผู้ผลิตระบบ Enterprise Storage หันมาตอบรับ SSD กันอย่างต่อเนื่อง โดยมีทั้งผู้ที่พัฒนาเทคโนโลยีสำหรับนำ SSD มาใช้ใน Enterprise Storage โดยเฉพาะด้วยการคิดค้น Stack ใหม่ๆ ขึ้นมาใช้งาน ไปจนถึงผู้ที่ปรับจากระบบ Enterprise Storage ที่ใช้ HDD ไปสู่ SSD ในภายหลัง

แรกเริ่มนั้น SSD ได้เข้ามามีบทบาทใน Enterprise Storage ในฝั่งของ Hybrid Storage เป็นอย่างมาก เพราะในช่วงเริ่มต้นนั้น SSD ที่มีความทนทานสูงนั้นยังคงมีความจุไม่มากนักและมีราคาสูง การนำไปใช้ทำ Storage Tiering เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมของระบบจึงเป็นแนวทางการออกแบบที่นิยม แต่เมื่อ SSD ถูกพัฒนาไปมากขึ้น และผู้พัฒนา Enterprise Storage เองก็เริ่มคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ๆ มามากขึ้นทั้งการทำ Data Reduction และ Data Protection สำหรับ SSD โดยเฉพาะ ซึ่งทำให้การนำ SSD ล้วนๆ มาใช้สร้าง All- Flash Storage กลายเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในองค์กร ด้วยประสิทธิภาพที่สูง, การประหยัดพลังงาน และความคุ้มค่านั่นเอง

ส่วนแบ่งตลาดของ All Flash Storage ต่อ Hybrid Storage นั้นสูงขึ้นเรื่อยๆ สำหรับผู้ผลิตระบบ Enterprise Storage ทุกราย รวมถึง Huawei เองที่มีโซลูชันทางด้าน Enterprise Storage ก็ยังสัมผัสได้ถึงแนวโน้มนี้จากลูกค้าองค์กรที่มีอยู่ทั่วโลก จนในปี 2019 นี้ All Flash Storage ก็พร้อมจะก้าวสู่การเป็นระบบ Enterprise Storage หลักแทนที่ Hybrid Storage อย่างเต็มที่แล้ว ด้วยราคาที่ไม่แตกต่างกันมากนัก แต่คุณค่าที่ได้รับจาก All Flash Storage นั้นเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด

3 กรณีศึกษา การใช้งาน All Flash Storage ในธุรกิจระดับโลก และประโยชน์ที่เหนือกว่าในหลากหลายแง่มุม

Huawei ได้เล่าถึงกรณีศึกษาการใช้งานระบบ All Flash Storage ในธุรกิจองค์กรขนาดใหญ่ด้วยกัน 3 กรณี ดังนี้

กรณีศึกษาแรกคือการใช้งานในธุรกิจองค์กรด้านพลังงานขนาดใหญ่ที่ฝรั่งเศส โดยธุรกิจดังกล่าวเองก็อยู่ใน 100 บริษัทแรกใน Fortune Global 500 ของปี 2018 และมีแผนที่จะลงทุนในระบบ Internet of Things ที่มี Sensor นับล้านรายการ และระบบจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ ซึ่งธุรกิจนี้เองก็มีปัญหาว่าระบบ Storage เดิมซึ่งมีประสิทธิภาพที่ระดับ 80,000 IOPS นั้นไม่สามารถตอบโจทย์ของระบบที่จะมีการพัฒนาในอีก 5 ปีถัดไปได้ อีกทั้งยังไม่อาจรองรับการวิเคราะห์ข้อมูลที่มีอยู่เดิมได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย

Huawei ได้นำเสนอ Huawei OceanStor Dorado ที่เป็นระบบ All Flash Storage ความจุ 50TB และทำงานแบบ Active-Active Cluster เพื่อรองรับการใช้งาน Oracle Database ให้กับธุรกิจนี้ด้วยประสิทธิภาพระดับ 220,000 IOPS ทำให้การวิเคราะห์ข้อมูลที่มีอยู่เดิมนั้นเร็วขึ้นถึง 2 เท่า และระบบมีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะรองรับบริการ IoT ขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพในอนาคต และยังมีความทนทานสูงจากการทำ Cluster ได้ ทำให้องค์กรแห่งนี้ตัดสินใจลงทุนใน Huawei OceanStor Dorado เพิ่มอย่างต่อเนื่อง

กรณีศึกษาที่สองคือธุรกิจเว็บไซต์ขนาดใหญ่ในญี่ปุ่นที่มีทั้งบริการ Portal และ Search Engine ซึ่งประสบกับปัญหาว่าในแต่ละวันมีข้อมูลใหม่ๆ ถูกสร้างมากถึง 200,000 ไฟล์ นับเป็นพื้นที่ 700GB ต่อวัน ทำให้ระบบ Disaster Recovery (DR) ที่มีอยู่นั้นต้องใช้เวลาในการกู้คืนระบบนานกว่า 12 ชั่วโมง และทำให้ธุรกิจเว็บไซต์แห่งนี้ต้องตกอยู่ในความเสี่ยงหากเกิด Downtime ขึ้นมาและต้องสลับไปใช้ระบบสำรองจริงๆ

Huawei OceanStor Dorado นั้นมีความสามารถในการทำ Cluster ข้ามสาขาระยะไกลได้แบบ Active-Active และนำมาใช้กับธุรกิจเว็บไซต์แห่งนี้ ทำให้การทำ DR ข้าม Data Center ที่ระยะทางกว่า 180 กิโลเมตรนั้นเป็นจริงขึ้นมาได้ โดยการสลับไปใช้ Storage สำรองในสาขา DR นั้นสามารถทำได้ในเวลาเพียงแค่ 5 วินาทีเท่านั้น ช่วยให้การกู้คืนระบบทั้งหมดแบบสมบูรณ์สามารถทำได้อย่างรวดเร็วในเวลาเพียง 30 นาที ลดจากเดิมที่ต้องใช้เวลาถึง 12 ชั่วโมงมามากทีเดียว

ส่วนกรณีศึกษาที่สามนั้นเป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่บราซิล ที่เดิมทีมีการจัดเก็บข้อมูลปริมาณมหาศาลและต้องการประสิทธิภาพระดับสูง จึงต้องลงทุนในระบบ Storage มากถึง 20 ชุดติดตั้งในตู้ Rack จำนวนหลายตู้ และประสบกับปัญหา 3 ประการ ดังนี้

  1. ปัญหาเรื่องพลังงานไฟฟ้าที่ไม่เสถียรในบราซิล ทำให้ต้องมีการดับไฟในบางพื้นที่ และส่งผลให้การดูแล Data Center ที่มีขนาดใหญ่นี้กลายเป็นโจทย์ที่ยากมากในแง่การจัดการพลังงาน
  2. ค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาระบบ Storage ขนาดใหญ่นั้นสูงมาก และกลายเป็นค่าใช้จ่ายรายปีที่ธนาคารแห่งนี้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
  3. CIO ของธนาคารเล็งเห็นว่าการรองรับระบบ IT ใหม่ๆ ในอนาคตนั้นต้องอาศัย Storage ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่านี้และต้องเพิ่มขยายได้ง่ายกว่านี้

ด้วยเหตุนี้ธนาคารแห่งนี้จึงตัดสินใจเลือกใช้ Huawei OceanStor Dorado จำนวน 10 ชุด เป็นการทดแทนและเพิ่มขยายระบบ Storage ที่มีอยู่เดิม ทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมของระบบสูงขึ้นจนสามารถรองรับบริการใหม่ๆ ที่ธนาคารจะลงทุนเพิ่มเติมในอนาคตได้, ลดการใช้พลังงานไปมากถึง 55% ทำให้สามารถจัดการกับระบบไฟฟ้าและพลังงานได้ง่ายขึ้น รวมถึงยังลดค่าใช้จ่ายในเบื้องต้นลงไปได้อีกถึง 23% จากเดิม ช่วยให้ธุรกิจของธนาคารเติบโตได้อย่างคล่องตัวยิ่งขึ้น

จะเห็นได้ว่า 3 กรณีศึกษานี้ การนำ All Flash Storage ไปใช้ทดแทนระบบ Storage แบบเดิมนั้นจะตอบโจทย์ทั้งในแง่ของประสิทธิภาพที่สูงขึ้นจนรองรับอนาคตได้, การประหยัดพลังงาน และความสามารถใหม่ๆ ที่ช่วยลดความซับซ้อนในการบริหารจัดการและออกแบบระบบ Storage ลงได้เป็นอย่างมากนั่นเอง

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Huawei OceanStor Dorado

ผู้ที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Huawei OceanStor Dorado V3 สามารถศึกษาข้อมูลและดาวน์โหลดเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้ทันทีที่ https://e.huawei.com/th/products/cloud-computing-dc/storage/All Flash-storage?utm_medium=display&utm_source=techtalk_th&utm_campaign=eebghq197501L&utm_content=banner รวมถึงสามารถทำการขอใบเสนอราคาและขอทดสอบอุปกรณ์ได้ทันทีที่ https://e.huawei.com/th/get-price-info

ติดต่อทีมงาน Huawei ประเทศไทยได้ทันที

ผู้ที่สนใจในเทคโนโลยี All Flash Storage และ Enterprise Storage จาก Huawei สามารถติดต่อทีมงาน Huawei ประเทศไทยได้ทันทีที่

Huawei Enterprise Business ; Marketing Contact Center
Mobile 095-878-7475 e-mail : enterprise_thailand@huawei.com
Follow us on : www.twitter.com/HuaweiEntTH
www.facebook.com/HuaweiEnterpriseThailand
Website : e.huawei.com/th

from:https://www.techtalkthai.com/how-all-flash-storage-change-enterprise-storage-market-by-huawei-oceanstor-dorado/

เชิญร่วมสัมมนาฟรี HPE Flash Forward 2018 อัปเดตทุกเทคโนโลยี Flash Storage 21 มิถุนายน 2018

สำหรับเหล่า IT Manager, Systems Engineer, Cloud Engineer และผู้ดูแลระบบ Data Center รวมถึง Systems Integrator ทาง HPE ขอเชิญทุกท่านร่วมงานสัมมนาฟรี HPE Flash Forward 2018 เพื่ออัปเดตทุกเทคโนโลยีล่าสุดด้าน Flash Storage จากทาง HPE โดยตรง วันที่ 21 มิถุนายน 2018 นี้ โดยมีรายละเอียด, กำหนดการ และวิธีการลงทะเบียนฟรีดังนี้

 

HPE Flash Forward

วันที่ 21 มิถุนายน 2018
เวลา 8.30 – 13.30 สำหรับลูกค้าองค์กร (End User), 13.00 – 17.00 สำหรับ SI Partner
สถานที่ 2 Fl., Lotus7 room, Centara Grand & Bangkok at CentralWorld (MAP)

ร่วมอัปเดตโซลูชัน Flash กับ HPE ที่จะเปลี่ยนให้ระบบ Enterprise Storage ภายในองค์กรให้ทำงานได้แบบ Predictive และ Cloud-Ready พร้อมประสิทธิภาพในระดับสูงรองรับทุก Application ได้ตามต้องการ

 

กำหนดการช่วงเช้าสำหรับลูกค้าองค์กร (End User)

08:30 – 09:00 Registration
09:00 – 09:15 Welcome to HPE Flash Forward 2018
09:15 – 10:00 HPE Storage Launch Announcements: Unveiled and Ready for the Fast Lane
10:00 – 10:15 Coffee Break
10:15 – 11:30 Accelerating Success in Business Transformation with HPE Storage
11:30 – 12:00 HPE and Veeam: The Preferred Data Availability Solution with Customers
12:00 – 13:30 Networking with Broadcom and Luncheon

 

ลงทะเบียนเข้าร่วมงานฟรีสำหรับลูกค้าองค์กร (End User)

ผู้ที่สนใจเข้าร่วมงานสัมมนาครั้งนี้สามารถลงทะเบียนได้ทันทีที่ http://www.readyregister.com/form/w/display/846

 

กำหนดการช่วงบ่ายสำหรับ SI Partner

13:00 – 13:30 Registration
13:30 – 13:45 Welcome to HPE Flash Forward 2018
13:45 – 14:30 HPE Storage Launch Announcements: Unveiled and Ready for the Fast Lane
14:30 – 14:45 Coffee Break
14:45 – 16:00 Accelerating Success in Partnerships with HPE Value Portfolio
16:00 – 16:30 HPE and Veeam: The Preferred Data Availability Solution with Customers
16:30 – 17:00 Networking with Broadcom and Light Cocktail

 

ลงทะเบียนเข้าร่วมงานฟรีสำหรับ SI Partner

ผู้ที่สนใจเข้าร่วมงานสัมมนาครั้งนี้สามารถลงทะเบียนได้ทันทีที่ http://www.readyregister.com/form/w/display/847

from:https://www.techtalkthai.com/hpe-flash-forward-2018-seminar-invitation/

IDC ชี้ตลาด Enterprise Storage เติบโตเพียง 2.9% NetApp เป็นผู้เล่นรายใหญ่เดียวที่เติบโต

International Data Corporation (IDC) ได้ออกมาเผยผลสำรวจ Worldwide Quarterly Enterprise Storage Systems ประจำไตรมาสที่ 2 ปี 2017 ถึงการเติบโตของตลาด Enterprise Storage ซึ่งมี NetApp เป็นผู้ผลิตรายใหญ่รายเดียวที่เติบโตขึ้นมาท่ามกลางการหดตัวของเหล่าผู้ผลิตรายอื่นๆ ดังนี้

Credit: IDC

 

  • ยอดขายตามปริมาณพื้นที่ความจุของระบบ Storage นั้นเติบโต 16.5% เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน รวมพื้นที่ทั้งสิ้น 65.3 Exabyte ตลาดใหญ่คือ Hyperscale Datacenter โดยผู้ผลิตรายย่อย
  • ยอดขายตามรายรับของระบบ Storage เติบโตเพียง 2.9% เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
  • ยอดขาย Server-based Storage หดตัวลง 13.4% เหลือยอดขาย 2,900 ล้านเหรียญ
  • ยอดขาย External Storage ยังคงเป็นตลาดใหญ่สุด แม้จะหดตัวลง 5.4% แต่ยังคงมียอดขาย 5,300 ล้านเหรียญ
  • อันดับของยอดขายระบบ Enterprise Storage รวมเป็นดังนี้
    • ยอดขายอันดับ 1 คือ HPE ที่มีรายรับ 2,170.3 ล้านเหรียญ ส่วนแบ่งตลาด 20.1% หดตัวลง 13.2%
    • ยอดขายอันดับ 2 คือ Dell EMC ที่มีรายรับ 1,993 ล้านเหรียญ ส่วนแบ่งตลาด 18.4% หดตัวลง 26.7%
    • ยอดขายอันดับ 3 คือ NetApp ที่มีรายรับ 694.6 ล้านเหรียญ ส่วนแบ่งตลาด 6.4% เป็นผู้ผลิตรายใหญ่รายเดียวที่เติบโตที่ 16.7%
  • หากนับเฉพาะยอดขายของ External Storage เท่านั้น Dell EMC จะมียอดขายอันดับ 1 ที่ส่วนแบ่ง 28.4% ในขณะที่ NetApp เป็นอันดับ 2 ด้วย 13% และ HPE เป็นอันดับ 3 ด้วย 11.6%

 

ที่มา: https://www.idc.com/getdoc.jsp?containerId=prUS42913717

from:https://www.techtalkthai.com/idc-says-2017-q2-enterprise-storage-market-grew-by-2-9-percent/