คลังเก็บป้ายกำกับ: Uncategorized

ไทยรัฐออนไลน์ เปิดตัว Virtual Boardgame “หยิบคำ ทำข่าว” ผลผลิตจาก Hackathon ตอกย้ำภาพลักษณ์ Media Tech Company

ไทยรัฐ สลัดภาพสื่อยุคเก่า มุ่งสู่การเป็น Media Tech Company เต็มตัว ส่งบอร์ดเกมใหม่ ผลผลิตจากการจัด Hackathon ออกใช้งานจริง ชวนผู้ใช้เว็บไซต์ร่วมสวมบทนักข่าว สร้างสรรค์พาดหัวข่าวสุดปั่น พร้อมให้เพื่อนสวมบทนักสืบทายใจว่าพาดหัวไหนเป็นของเรา วางเป้าหมายพัฒนาประสบการณ์ผู้ใช้งานเว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์สู่การเป็นมากกว่าเว็บไซต์ข่าว แต่ยังสามารถเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในทุกวันของชีวิตคนไทย

จากผลผลิตของ Thairath Hackathon 2021 ซึ่งประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี ได้ผู้ชนะ คือ ทีม PAPA ซึ่งเป็นการรวมตัวของสมาชิกจากคณะแพทศาสตร์ และ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประกอบไปด้วย พิชชาภา รุ่งอารยะ, หยาดทิพย์ เนื่องจำนงค์, อัครพล ธนวัฒนาเจริญ และกัณติกา วิชญเมธากุล สร้างสรรค์ไอเดียภายใต้คอนเซปต์ ‘คนรุ่นใหม่ ความผูกพัน ไทยรัฐ’ ออกมาเป็นบอร์ดเกมที่มีกิมมิกน่ารักๆ คือ ตัวละครในเกมที่มาจากนักข่าว และไอเทมในเกมที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการทำข่าว เช่น หมึกระเบิด พร้อมพัฒนาให้สามารถเล่นได้ทุกที่ ทุกเวลา ฝึกทักษะ ไม่ว่าจะเป็น การเชื่อมโยง ความคิดสร้างสรรค์ การสื่อสาร สร้างความสัมพันธ์อันดีให้ผู้เล่น ให้ความสำคัญกับการมีปฎิสัมพันธ์ของกลุ่มเป้าหมาย Gen Y และ Z จนออกมาเป็น Virtual Boardgame “หยิบคำ ทำข่าว” ที่ให้ผู้เล่นได้รวมกลุ่ม 3-6 คน เพื่อผลัดกันเป็น โฮสต์ในการแต่งพาดหัวข่าวสุดปั่นในหมวดต่างๆ แล้วให้ผู้เล่นคนอื่นทายว่าใครเป็นผู้แต่งพาดหัวข่าวนั้น ใครหลอกเก่งหรือใครเดาเก่งที่สุดจะเป็นผู้ที่ได้รับคะแนน และเป็นผู้ชนะในเกมนั้น โดยสามารถเล่นได้สนุกในกลุ่มเพื่อน ไม่ว่าจะเป็นโอกาสการรวมตัวช่วงหลังเลิกเรียน เลิกงาน การรวมตัวกันปาร์ตี้ หรือแม้กระทั่งการเล่นเพื่อความสนุกสนานภายในครอบครัว 

คุณธนวลัย วัชรพล เจ้าหน้าที่บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท เทรนด์​ วีจี 3 จำกัด (ไทยรัฐออนไลน์) ผู้อยู่เบื้องหลังการผลักดันโปรเจ็คนี้ให้ออกสู่ตลาดจริง กล่าวว่า “จาก Core Value ของความเป็นไทยรัฐ คือการเป็นแบรนด์ข่าวที่อยู่คู่กับคนไทยมานานกว่า 60 ปี ตั้งแต่ยุคหนังสือพิมพ์ และมีการปรับตัวอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ในวันนี้เป็นอีกก้าวสำคัญของไทยรัฐออนไลน์ ในการเป็นมากกว่าแบรนด์ที่นำเสนอคอนเทนต์ข่าว แต่ยังมุ่งสู่การเป็นแบรนด์ข่าวที่ยึดผู้อ่านเป็นศูนย์กลาง (Consumer Centric) สร้างการมีส่วนร่วมในการใช้งานเว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ มากกว่าการรับข่าวสารทางเดียวแบบเดิม พร้อมต่อยอดการนำ Data ที่ได้รับมาใช้พัฒนาปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้งาน (User Experience) ให้ตอบโจทย์อย่างตรงจุดมากขึ้น ตามยุทธศาสตร์การเป็น Media Tech Company ของไทยรัฐกรุ๊ป

นอกจากนี้ยังเป็นการสนับสนุนไอเดียของคนไทย ผู้เข้าแข่งขัน Thairath Hackathon ให้เกิดขึ้นจริงไม่จบอยู่เพียงการนำเสนอเท่านั้น โดยหลังจากนี้ ไทยรัฐออนไลน์ยังคงมุ่งมั่นในการสนับสนุนและส่งเสริมคนไทยให้มีองค์ความรู้ และมีส่วนร่วมในการคิดค้นนวัตกรรมด้านสื่อใหม่ๆ ซึ่งในปีนี้ ยังเตรียมเปิดตัวกิจกรรม Thairath Hackathon 2023 ที่จะเข้มข้นขึ้น ทั้งการจัดกิจกรรม คัดเลือกเหล่าเมนเทอร์ และโจทย์การแข่งขัน สามารถรอติดตามรายละเอียดได้ทุกช่องทางของไทยรัฐซึ่งจะเกิดขึ้นในปีนี้อย่างแน่นอน”

ทั้งนี้ การเปิดตัว Virtual Boardgame ของไทยรัฐออนไลน์ในครั้งนี้ถือเป็นมิติใหม่ของวงการสื่อในประเทศไทย ที่มีการปรับกลยุทธ์เพื่อรักษาฐานผู้ใช้งานเดิม และเพิ่มเติมผู้ใช้งานใหม่ ตอบโจทย์การสร้างฐาน Membership เพื่อนำมาพัฒนาต่อยอดข้อมูลในการสร้างสรรค์ Customized User Experience ให้ตรงใจผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้นในอนาคต 

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้ามาเล่น Virtual Boardgame “หยิบคำ ทำข่าว“ ที่ได้ใช้ทั้งไหวพริบ พร้อมได้รับความสนุกสนานได้ที่ https://game.thairath.co.th/newscreator และสามารถรอติดตามข่าวสารการรับสมัครของ Thairath Hackathon 2023 ได้ทางเว็บไซต์ของไทยรัฐออนไลน์ที่ www.thairath.co.th หรือโซเชียลมีเดีย Thairath Online ทุกช่องทาง

 

 

from:https://www.thumbsup.in.th/thairath-virtual-boardgame?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=thairath-virtual-boardgame

Advertisement

เสริมแกร่งความมั่นคงปลอดภัยในที่ทำงานด้วยบริการไอทีฉลาดล้ำกว่าเคย

บทความโดย คุณธเนศ อังคศิริสรรพ ผู้จัดการทั่วไป ประจำภูมิภาคอินโดจีน เลอโนโว

ด้วยรูปแบบการทำงานแบบไฮบริดและยืดหยุ่นในองค์กรหลายแห่ง บริษัทหลายแห่งต่างกำลังพยายามตอบสนองต่อความคาดหวังและลำดับความสำคัญของพนักงาน ฝั่งทีมไอทีเองก็ต้องรักษามาตรฐานการให้บริการจากทางไกลในระดับสูงเพื่อสนับสนุนให้พนักงานยังคงสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง การทำให้พนักงานมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลนั้น บริษัทจะต้องสร้างระบบไอทีที่แข็งแกร่งทนทานยิ่งขึ้นพร้อมกับคงไว้ซึ่งแนวทางใหม่ในการทำงาน 

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายคือ สภาพแวดล้อมการทำงานแบบไฮบริดในทุกวันนี้ทำให้การจัดการจากระยะไกลนั้นซับซ้อนยุ่งยาก ระบบการจัดการทรัพยากรรุ่นเก่ายิ่งทำให้ผู้ดูแลระบบไอทีจัดการงานและภัยคุกคามเชิงรุกได้ยากกว่าเดิม ข่าวดีคือ เทคโนโลยีพัฒนาขึ้นพร้อมกับบริการด้านไอทีที่เข้ามารองรับด้วย โดยการนำกลยุทธ์บริการไอทีอันชาญฉลาดขึ้นมาใช้เพื่อช่วยทีมไอทีของคุณเปลี่ยนจากการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเชิงตั้งรับไปสู่การวางแผนและการจัดการงานเชิงรุกนั้น ควรดำเนินการตามแนวทาง 3 วิธี ดังนี้

1. เสริมความมั่นคงปลอดภัยเชิงรุกด้วยการแก้ปัญหาก่อนเกิดการละเมิดข้อมูล

ความมั่นคงปลอดภัยจัดเป็นความท้าทายที่ใช้เวลาจัดการนานสูงสุดเป็นอันดับ 1 สำหรับแผนกไอที และจะยังคงเป็นเรื่องที่ทีมไอทีคำนึงถึงเป็นอันดับต้น เนื่องจากการโจมตีทางไซเบอร์และการละเมิดข้อมูลยังคงเป็นภัยสำหรับธุรกิจทุกขนาด จากผลสำรวจโดย Lenovo พบว่า CIO 66% ซึ่งเป็นสัดส่วนที่มากที่สุดในผลสำรวจนี้ ระบุว่า ความเป็นส่วนตัว/ความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล และความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์/แรนซัมแวร์เป็นความท้าทายสำคัญของการทำงาน หนึ่งในคำถามที่มักถูกถามบ่อยเมื่อบริษัทสั่งซื้อฮาร์ดแวร์ใหม่สำหรับพนักงานที่ทำงานจากทางไกลคือ “จำเป็นต้องทำอะไรบ้างเพื่อรักษาความมั่นคงปลอดภัยและจัดการกับฮาร์ดแวร์เหล่านั้น”

ความจริงคือความซับซ้อนของอุปกรณ์ปลายทาง (Endpoint) เป็นความเสี่ยงที่รุนแรง เมื่อพนักงานหันมาทำงานแบบไฮบริดกันมากขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาด จึงกลับกลายเป็นเรื่องท้าทายอย่างยิ่งสำหรับเหล่าผู้ดูแลระบบไอทีที่จะติดตามและรักษาความมั่นคงปลอดภัยของทุกอุปกรณ์และแอปพลิเคชันที่เคยใช้ในที่ทำงานหรือจากทางไกลมายังเครือข่ายขององค์กร

แม้เป็นงานที่ยากเย็น แต่สิ่งหนึ่งที่ทีมไอทีสามารถพร้อมตั้งรับได้ทันทีคือการปกป้องอุปกรณ์ปลายทาง (Endpoint protection) และการมีเครื่องมือการจัดการที่อาศัยการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเกิดใหม่อย่าง AI และระบบเรียนรู้ (Machine learning) ในการตรวจจับ ป้องกันโดยอัตโนมัติ และแม้แต่รักษาตัวเองจากการโจมตีแบบ Zero-day (Zero-day attack) ก่อนเกิดเหตุ อุปกรณ์และบริการต่าง ๆ รวมถึงโซลูชันซอฟต์แวร์อันชาญฉลาดขึ้นที่สามารถวินิจฉัยปัญหาไอทีด้วยตัวเองและเตรียมการล่วงหน้าได้นั้น ยังสามารถช่วยธุรกิจขนาดเล็กที่โดยปกติแล้วไม่มีทีมสนับสนุนด้าน IT ที่แข็งแกร่ง ระบบรักษาความมั่นคงปลอดภัยในตัวบนห่วงโซอุปทานเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงด้านความมั่นคงปลอดภัยก่อนเกิดเหตุ จึงควรศึกษาการใช้บริการไอทีและซอฟต์แวร์แบบผสมผสานกันที่เสริมความมั่นคงปลอดภัยบนทุกอุปกรณ์ ตั้งแต่เริ่มผลิตผ่านห่วงโซ่อุปทานไปจนถึงผู้ใช้ปลายทาง ตลอดจนสิ้นอายุการใช้งานเมื่อถึงเวลาเปลี่ยนอุปกรณ์นั้น

การปกป้องอุปกรณ์ปลายทางและเครื่องมือการจัดการที่ทันสมัยในทุกวันนี้สามารถกำหนดให้จำกัดการเชื่อมต่อได้ตามพื้นที่ (Geo fencing) เพื่อปิดการใช้งานอุปกรณ์ที่ออกไปนอกพื้นที่ที่กำหนด ล็อกอุปกรณ์ด้วยการเข้ารหัสที่มั่นคงปลอดภัย หรือแม้แต่ลบข้อมูลฮาร์ดไดรฟ์ที่ถูกโจมตีจากระยะไกล

2. อัปเดตการบำรุงรักษาเชิงป้องกันโดยอัตโนมัติ เพื่อลดภาระพนักงานและรักษาความมั่นคงปลอดภัย

ด้วยข้อมูลที่มาจากอุปกรณ์เชื่อมต่อบนเครือข่ายมากขึ้นและการใช้เทคโนโลยีเกิดใหม่อย่าง AI และระบบเรียนรู้ ทำให้ทีมผู้ดูแลระบบไอทีสามารถเริ่มคาดการณ์ความล้มเหลวของฮาร์ดแวร์ได้ล่วงหน้า ปิดช่องโหว่ความมั่นคงปลอดภัยบนซอฟต์แวร์รุ่นเก่า พร้อมตรวจจับและรับมือกับการโจมตีมัลแวร์

เครื่องมือการจัดการอุปกรณ์ปลายทางขั้นสูงมีการใช้งานอย่างแพร่หลายมากขึ้นเพื่อสนับสนุนการทำงานของทีมผู้ดูแลระบบไอทีในการจัดการชุดอุปกรณ์ และลดแรงงานคนด้วยการอัปเดตอุปกรณ์โดยอัตโนมัติ ปัจจุบันนี้ชุดอุปกรณ์ต่าง ๆ สามารถอัปเดตได้เพียงแค่กดปุ่มโดยแทบไม่ต้องคอยเฝ้าสังเกตการณ์ ช่วยให้ทีมไอทีมีเวลาผันตัวออกจากงานปฏิบัติการประจำซ้ำเดิม แล้วหันไปทุ่มเทความสนใจส่วนใหญ่กับแนวคิดริเริ่มเชิงกลยุทธ์อื่น ๆ ได้มากขึ้นเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจไปข้างหน้า

3. เลือกบริการที่เสริมการทำงานของพนักงานไอทีให้ชาญฉลาดขึ้น ไม่ใช่หนักขึ้น

ปัจจุบันพนักงานไม่พึงพอใจกับการเข้าถึงแบบรวมศูนย์แบบเดิม ๆ เฉกเช่นที่เคยเข้าถึงทีมไอทีในสำนักงานได้อีกต่อไป ฝั่งทีมไอทีเองก็ไม่ได้รับประโยชน์จากประสิทธิภาพการทำงานหน้างานเหมือนแต่ก่อน พนักงานฝ่ายสนับสนุนก็ต้องทำงานอย่างหนักในการจัดการงานจากทางไกลควบคู่กับการปรับใช้แนวทางการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลรูปแบบใหม่ การมีทรัพยากรไอทีพร้อมใช้งานเพื่อแก้ไขปัญหาและสนับสนุนทีมผู้ดูแลระบบหลักให้มากขึ้นนั้นจึงนับว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งในการป้องกันภาวะหมดไฟของพนักงาน

ดังนั้น จึงควรพิจารณาจ้างฝ่ายสนับสนุนด้านไอทีจากภายนอกและเลือกใช้บริการจัดการ (Managed services) เพื่อเพิ่มการใช้ทรัพยากรขององค์กรกับกิจกรรมที่เสริมคุณค่า เช่น การออกแบบเทคโนโลยีภายในองค์กรให้พร้อมรองรับอนาคต การรับมือภัยคุกคามด้านความมั่นคงปลอดภัยเชิงรุก และการขับเคลื่อนธุรกิจให้เดินหน้า ซึ่ง Lenovo TruScale พร้อมส่งมอบโซลูชันในรูปแบบ As-a-service ตั้งแต่อุปกรณ์พกพาจนถึงคลาวด์ ด้วยโมเดลธุรกิจที่ปรับขยายได้และยืดหยุ่นให้พร้อมรองรับองค์กรทุกขนาด และด้วยบริการอย่าง High Performance Computing (HPC) as-a-service ธุรกิจต่าง ๆ ก็สามารถใช้ทรัพยากรการประมวลผลเพื่อตอบสนองความต้องการตามปริมาณงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและเปิดโอกาสให้พนักงานมีเวลาไปปฏิบัติงานที่สำคัญกว่า

ปัญหาด้านเทคนิคของพนักงานไม่เพียงแต่ได้รับการแก้ไขอย่างรวดเร็วขึ้นด้วยการมีโครงสร้างการสนับสนุนทางเทคนิคที่เสริมเข้ามา แต่การจ้างบุคลากรภายนอกมาจัดการงานที่ต้องใช้เวลาอย่างมาก อย่างการติดตั้งและการขึ้นระบบนั้น ยังเสริมประสบการณ์ของผู้ใช้ทางไกลด้วย เมื่อทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญบริการไอทีจากภายนอกแล้ว บริษัทก็ได้รับการบริการซ่อมแซมอุปกรณ์ได้อย่างรวดเร็วตามข้อตกลงการให้บริการ และสามารถคาดการณ์ค่าใช้จ่ายได้ล่วงหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องสร้างความมั่นคงปลอดภัยให้บริการและฮาร์ดแวร์ผ่านสัญญาข้อตกลงบริการ Device-as-a-Service (DaaS)

บทเรียนสำคัญ

ด้วยกลยุทธ์บริการด้านไอทีที่ครอบคลุมนี้เอง ทีมไอทีในองค์กรก็สามารถสร้างความมั่นคงปลอดภัยให้การดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น บริการไอทีจากการจ้างภายนอกในทุกวันนี้มีการขยายขอบเขตออกไปนอกเหนือจากเพียงแค่การจัดการงานซ่อมแซมและการสนับสนุนเชิงเทคนิค การร่วมเป็นพันธมิตรกับผู้ให้บริการด้านไอทีสามารถสร้างผลประโยชน์ได้อย่างแท้จริงในการช่วยแก้ปัญหาได้เร็วกว่าเดิมและสร้างโครงสร้างพื้นฐานจำเป็นที่รองรับการพลิกโฉมสู่ดิจิทัล (Digital Transformation) ขององค์กรคุณ

from:https://www.techtalkthai.com/shaping-stronger-workplace-security-with-smarter-it-services/

วิศวะมหิดล เชิญร่วมเวิร์คชอป ขึ้นรูปในฝันด้วยตัวคุณเอง “3D-Printer For Beginners and Medical Application” สมัครฟรี ตั้งแต่ วันนี้ – 30 มี.ค.2566 [Guest Post]

วิศวะมหิดล ขอเชิญนักศึกษา สาขาวิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี หรือสาขาทางการแพทย์ที่มีพื้นฐานคอมพิวเตอร์ เข้าร่วมอบรมเชิงปฏิบัติการ ในหัวข้อ “3D-Printer For Beginners and Medical Application” สมัครฟรี ตั้งแต่ วันนี้ – 30 มี.ค.2566

 

เทคโนโลยี 3D Printing เปิดทางแห่งโอกาสสร้างนวัตกรรม และการผลิตยุคใหม่ โดยการเติมเนื้อวัสดุทีละชั้น ออกมาเป็นวัสดุที่ต้องการ ปัจจุบันพัฒนาไปสู่การสร้างบ้านสำเร็จรูป อวัยวะเทียม อะไหล่ จรวดสุดล้ำ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้นำวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐานโลก ABET สหรัฐอเมริกา กำหนดจัดอบรมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง  “3D-Printer for Beginners and Medical Applicationขึ้นรูปชิ้นงาน 3 มิติ ในฝันด้วยตัวคุณเอง พร้อมเรียนรู้การใช้งาน วิธีการพิมพ์เครื่องพิมพ์ 3 มิติ ภายใต้โครงการ Reinventing University: Mahidol Medical Robotics Platform ในวันที่ 1 เมษายน 2566 เวลา 08.30 – 12.00 น. โดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ ดร. เชน ตรีรัตนกุลชัย อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมชีวการแพทย์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ณ Innogineer Studio คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ถนนพุทธมณฑลสาย 4

ขอเชิญนักศึกษา สาขาวิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี หรือสาขาทางการแพทย์ที่มีพื้นฐานคอมพิวเตอร์ เข้าร่วมอบรมเชิงปฏิบัติการได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

สมัครด่วน วันนี้ – 30 มี.ค. 2566 รับจำนวนจำกัด ลงทะเบียนล่วงหน้าได้ที่ https://bit.ly/3yIWgtr
สอบถามเพิ่มเติม โทร. 094-064-5715 คุณสิริกร ศรีม่วง และ 087-337-9608 คุณยศธร ตั้งธนะวัฒน์

from:https://www.techtalkthai.com/mahidol-3d-printer-for-beginners-and-medical-application-guest-post/

AIS Business เดินหน้าปี 2023 พร้อมเป็นพันธมิตรดิจิทัลของทุกองค์กรไทย พลิกโฉมธุรกิจให้ “เติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน”

ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาอาจถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความยากลำบากสำหรับทุกองค์กรธุรกิจ มีเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นทั้งเรื่องของสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ความไม่แน่นอนในเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ จนกระทบมาถึงเรื่องเงินเฟ้อและเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ที่อาจจะเกิดขึ้นทั่วโลกในปีนี้ ทุกองค์กรธุรกิจจึงจำเป็นจะต้องเร่งปรับตัวเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่กำลังเป็นไปในอนาคตอันใกล้

AIS Business ในฐานะ Digital Service Provider ชั้นนำของไทย ที่มีโครงสร้างพื้นฐานและระบบนิเวศธุรกิจดิจิทัล (Digital Business Ecosystem) ได้เปิดวิสัยทัศน์ปี 2023 เดินหน้าสู่การเป็นพาร์ตเนอร์ พันธมิตรของทุกองค์กรอย่างเต็มรูปแบบ ด้วยแนวคิด “เติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน” เพื่อทำให้ทุกองค์กรสามารถดำเนินธุรกิจท่ามกลางความไม่แน่นอนและความท้าทายต่อไปได้อย่างยั่งยืน แล้ว AIS Business มีแผนที่จะก้าวต่อไปอย่างไรบ้าง แนวคิดอะไรที่องค์กรธุรกิจสามารถเชื่อมโยงหรือนำไปประยุกต์ใช้ได้ ติดตามได้ในบทความนี้

AIS Transformation จาก Digital Service Provider สู่การเป็น Cognitive TechCo

ตั้งแต่สมัยอดีตกาล AIS ได้มีบทบาทสำคัญต่อประเทศในฐานะผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคม (Telecom Service Provider) ชั้นนำที่ให้บริการโครงข่ายกับผู้ใช้อย่างแข็งแกร่งมาจวบจนถึงวันนี้ และด้วยแนวคิดที่ไม่ยอมหยุดนิ่งอยู่กับที่ของ AIS ด้วยความพยายามพลิกโฉมดิสรัป (Disrupt) องค์กรตัวเองอย่างต่อเนื่องจนนำพาองค์กรฝ่าฟันอุปสรรคหรือวิกฤตการณ์ใด ๆ มาแล้วมากมาย ทำให้ทุกวันนี้ AIS ได้กลายมาเป็นผู้ให้บริการดิจิทัล (Digital Service Provider) อย่างเต็มรูปแบบได้สำเร็จ และได้รับความไว้วางใจจากองค์กรชั้นนำระดับประเทศสูงสุดในปีที่ผ่านมาเป็นที่เรียบร้อย

สำหรับปี 2023 และอนาคตอันใกล้ ทาง AIS ก็กำลังเดินก้าวถัดไปที่จะทรานส์ฟอร์มองค์กรใหม่อีกครั้ง ในฐานะ “องค์กรโทรคมนาคมอัจฉริยะ” หรือ “Cognitive TechCo” ที่จะมีความชาญฉลาดในการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีต่าง ๆ อย่างเช่น AI, Data Analytics หรือ Automation มาสนับสนุนประยุกต์ในบริการและโซลูชัน เพื่อให้การทำงานในทุกอุตสาหกรรมนั้นมีความฉลาดมากขึ้นและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งวิสัยทัศน์นี้ได้ฉายภาพมายังฝั่งของ AIS Business ด้วยเช่นกันผ่าน 5 กลยุทธ์ของ AIS Business ที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่องเรื่อยมา ประกอบกับเรื่องความเชื่อในการจับมือเดินไปด้วยกันเป็น Digital Business Ecosystem มากกว่าการเดินทำธุรกิจอย่างโดดเดี่ยว คือจุดสำคัญที่ทำให้องค์กรสามารถเติบโตมาได้จนถึงทุกวันนี้ 

AIS Business ปี 2022 ช่วยเร่งการพัฒนาดิจิทัลให้ธุรกิจไทยอย่างต่อเนื่อง

ในปีที่ผ่านมาอาจยังเรียกได้ว่าสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 นั้นยังคงส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจอยู่พอสมควร หากแต่สถานการณ์ก็ยังดูดีกว่าปีก่อน ๆ ซึ่งตัวเลขที่ทาง AIS Business เปิดเผยออกมานั้น สะท้อนให้เห็นว่าภาคธุรกิจยังคงนำเทคโนโลยีดิจิทัลสนับสนุนให้องค์กรเดินหน้าต่อไป โดยมีการปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเติบโตขึ้นในระดับ 2 หลัก (Double Digits) ซึ่งตัวเลขที่โดดเด่นอย่างมาก คือจำนวนองค์กรที่มีการปรับใช้เทคโนโลยี Cloud จากทาง AIS Business ในปีที่แล้วนั้นมีจำนวนมากถึง 3 พันรายหรือเพิ่มขึ้นสูงขึ้นกว่า 200% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า (Year Over Year : YoY) และจำนวนการเชื่อมต่อ 5G เพื่อธุรกิจ ถึง 2 แสนอุปกรณ์ หรือเพิ่มขึ้นกว่า 40% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าเช่นกัน

อีกด้านหนึ่ง AIS Business ก็ยังคงสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง จนทำให้มีพาร์ตเนอร์มากกว่า 200 องค์กรแล้วในปัจจุบัน ทั้งระดับประเทศที่เป็นภาครัฐและเอกชนในหลากหลายอุตสาหกรรม  พร้อมทั้งได้รับรางวัลเป็น Partner of the Year จากพันธมิตรเทคโนโลยีระดับโลก นี่คือตัวบ่งชี้อย่างชัดเจนถึงขีดความสามารถที่ทำให้ AIS Business เป็นผู้ให้บริการดิจิทัลที่สนับสนุนภาคธุรกิจให้สามารถเร่งการทรานสฟอร์มได้อย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

พันธกิจส่งเสริมธุรกิจไทยให้เดินหน้าอย่างยั่งยืนผ่าน 3 แนวคิด “เติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน”

สำหรับก้าวถัดไปหลังจากนี้ของ AIS Business ดูเหมือนจะไม่ได้เลือกใช้แนวทางให้องค์กรเติบโตแบบก้าวกระโดดเพียงลำพังเท่านั้น หากแต่จะเป็นการเติบโตที่สามารถเดินหน้าพร้อมพันธมิตรทุกธุรกิจต่อไปได้อย่างยั่งยืน (Sustainability) ด้วย ตามที่ AIS Business ได้ประกาศแนวคิด “เติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน” ซึ่งถือว่าเป็นคำพูดที่สะท้อน 3 สิ่งที่ AIS Business จะผลักดันให้มากขึ้นในปีนี้ได้อย่างนุ่มนวลแต่ครบถ้วน โดย 3 สิ่งที่ว่านั้น ได้แก่

Growing เร่งภาคธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง

ด้วยสถานการณ์แพร่ระบาด COVID-19 ที่กำลังคลี่คลายลงเรื่อย ๆ องค์กรในทุกภาคอุตสาหกรรมเริ่มตั้งหลักได้ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ปีนี้จึงเชื่อว่าภาคธุรกิจจะสามารถฟื้นคืนกลับสู่สภาวะปกติและจะกลับมาเร่งการเติบโตต่อไปได้แล้ว ดังนั้น AIS Business ร่วมกับพันธมิตรที่มีโซลูชันและนวัตกรรมอันหลากหลายจึงมีความพร้อมที่จะช่วยสนับสนุนให้ทุกองค์กรธุรกิจเร่งการเติบโตหลังจากนี้ได้อย่างต่อเนื่องและมั่นคง 

ไม่ว่าจะเป็นโซลูชันที่ช่วยเสริมความยืดหยุ่นและความฉลาดให้กับองค์กร อย่างเช่น 5G NEXTGen Platform, Cloud X Ecosystem, Data Analytics as a Service หรือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานในแต่ละอุตสาหกรรม อาทิ Smart Manufacturing, IoT ฯลฯ โซลูชันทั้งหลายเหล่านี้ของ AIS Business นั้นมีความพร้อมที่จะเสริมให้ทุกองค์กรมีความคล่องตัว (Agility) ขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยข้อมูล (Data-Driven) และเสริมประสิทธิภาพให้มีผลิตผล (Productivity) ที่ดีขึ้น ทั้งหมดเพื่อทำให้ธุรกิจเร่งเดินหน้าเติบโตต่อไปได้อย่างรวดเร็ว เปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์โลกได้อย่างทันท่วงที

Trusted เสริมความอุ่นใจในโครงสร้างพื้นฐาน

การทรานส์ฟอร์มธุรกิจใด ๆ เรื่องโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล (Digital Infrastructure) คือส่วนสำคัญอย่างมากที่จะส่งผลต่อความสำเร็จในการพลิกโฉมธุรกิจให้ทันกับความเปลี่ยนแปลง ซึ่งไม่ว่าองค์กรจะมีโจทย์ปัญหาหรือข้อจำกัดอะไรก็ตาม ในระบบนิเวศของ AIS Business นั้นมี Digital Infrastructure และนวัตกรรมต่าง ๆ ที่พร้อมให้เลือกใช้งานได้อย่างมั่นใจในทุกจุด 

ตั้งแต่เรื่องของโครงข่าย (Network) สัญญาณ 5G ไปจนถึงระบบ Cloud ในระดับ Private Cloud, Edge Computing, Local Cloud และ Hyperscaler รวมถึงการทำ Cybersecurity ในทุกระดับ ทาง AIS Business พร้อมพาร์ตเนอร์มีโซลูชันที่สามารถสนับสนุนทุกความต้องการ เช่น Network Slicing, Software Defined Network, 5G Fixed Wireless Access (FWA), Multi-access EDGE Computing (MEC), Sovereign Cloud หรือ Cloud X, Cyber Secure ทุกโซลูชันนั้นพร้อมสนับสนุนให้ทุกองค์กรทรานส์ฟอร์มพลิกโฉมได้อย่างมั่นใจได้ในทุกจุดที่ต้องเชื่อมต่อกัน เพื่อทำให้โครงสร้างพื้นฐานขององค์กรมีทั้งเรื่องประสิทธิภาพ ความยืดหยุ่น และความมั่นคงปลอดภัย อุ่นใจได้ทุกที่ทุกเวลา

Sustainability ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน

หลายคนมักจะนึกถึงเรื่อง Sustainability คือเรื่องของสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก แต่แท้จริงแล้วยังมีเรื่องอื่น ๆ ที่ต้องพิจารณาด้วย ดังเช่นแนวคิด ESG ที่ประกอบไปด้วยสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และธรรมาภิบาล (Governance) ซึ่งจะเห็นได้ว่า Sustainability นั้นไม่ได้มีแค่เรื่องสิ่งแวดล้อมเพียงเท่านั้นอย่างเดียว ยังมีเรื่องของสังคม ความเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำ ความปลอดภัยของพนักงาน หรือการกำกับดูแลกิจการให้มีความโปร่งใสและเป็นธรรม ฯลฯ อีกมากมาย 

สิ่งนี้คืออีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ AIS ได้ยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจมาโดยตลอด ทั้งการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมด้วยการใช้พลังงานน้อยลง ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2), การลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ ด้วยโครงการ AIS e-Waste และการสร้างความตระหนักรู้ด้านดิจิทัลให้กับประชาชนด้วยโปรแกรม AIS Acadamy for Thai และ AIS Aunjai Cyber ที่ช่วยเหลือสังคมให้เข้ามีความเข้าใจการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างถูกต้อง มีประโยชน์ ปลอดภัยโดยเท่าเทียมมากขึ้น นอกจากนั้น AIS Business ยังนำโซลูชันสนับสนุนภาคธุรกิจและองค์กรอื่น ๆ ให้ดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืนเช่นกันผ่านการใช้งานโซลูชันต่างๆ อาทิ ระบบตรวจสอบคุณภาพอากาศ (Air Quality Monitoring) หรือระบบตรวจสอบน้ำเน่าเสีย (Wastewater Monitoring) รวมไปถึงการสร้างศูนย์ AIS 5G NEXTGen Center เพื่อขับเคลื่อนระบบนิเวศนวัตกรรมดิจิทัล (Digital Innovation Ecosystem) สร้างความร่วมมือใหม่ ๆ ร่วมหาข้อมูลเชิงลึก (Insight) และสร้างนวัตกรรมที่แก้ไขปัญหาได้ตรงความต้องการให้มากขึ้น ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ AIS Business จะผลักดันต่อไปเพื่อทำให้เกิดความยั่งยืนทางธุรกิจไปด้วยกันในทุกภาคส่วน

Partnership ร่วมมือไปด้วยกันในอุตสาหกรรมที่หลากหลายขึ้น

ความร่วมมือยังคงเป็นหัวใจสำคัญสำหรับ AIS Business เสมอมา และสิ่งนี้จะยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีนี้และต่อ ๆ ไป ซึ่งก่อนหน้าจะเห็นว่า AIS Business ได้สร้างความร่วมมือกับองค์กรมากมายในภาคอุตสาหกรรมการผลิต (Manufacturing) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดย 2 Use Case ที่ AIS Business ภาคภูมิใจนำเสนอคือ SCG และ Somboon Advance Technology ที่สามารถพลิกโฉมโรงงานเก่าให้กลายเป็นโรงงาน Smart Factory ได้สำเร็จ ด้วยการปรับใช้ 5G ร่วมกับเทคโนโลยี 3D Vision-Robot, AS/RS-Warehouse และหุ่นยนต์ขนส่งไร้คนขับ (Unmanned AGV) ทำให้สามารถปรับไลน์การผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ การจัดการคลังสินค้าให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นกว่าเดิมอย่างมหาศาล

หลังจากนี้ AIS Business จึงเตรียมการขยายขอบเขตความร่วมมือที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตไปยังอุตสาหกรรมอื่น ๆ ให้หลากหลายมากขึ้นกว่าเดิม อาทิ ค้าปลีก (Retail) ขนส่งและโลจิสติกส์ (Transportation & Logistics) หรือธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) เพราะ AIS Business เชื่อว่าการเชื่อมจุด (Connect the dots) ได้มากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ก็จะยิ่งทำให้ทุกองค์กรในระบบนิเวศสามารถสร้างโอกาสใหม่ ๆ ได้อย่างทวีคูณ และปีนี้เชื่อว่าทุกคนจะได้เห็นการเติบโตของ AIS Business และพันธมิตรไปอีกระดับขั้น ผ่านโซลูชันและนวัตกรรมใหม่ ๆ ในอุตสาหกรรมที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งทั้งหมดจะส่งผลให้ทุกองค์กรเติบโตไปพร้อม ๆ กันได้อย่างอุ่นใจและยั่งยืน

บทส่งท้าย

ด้วยแนวคิดที่ไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ Disrupt และพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งแนวคิดที่จะก้าวต่อไปด้วยการเติบโตอย่างมั่นใจและยั่งยืนร่วมกัน จึงสรุปออกมาเป็นประโยคสั้น ๆ ที่ว่า “เติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน” อันเป็นตัวชี้ให้เห็นถึงแนวทางในปี 2023 ของ AIS Business ที่จะเดินหน้าสู่การเป็นพันธมิตรของทุกองค์กรได้อย่างนุ่มนวลและยั่งยืน ที่ทุกองค์กรสามารถให้ความเชื่อใจ และร่วมเดินทางเติบโตไปด้วยกันได้อย่างแน่นอน

สำหรับผู้ที่ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโซลูชันต่าง ๆ ของ AIS Business และพาร์ตเนอร์เพื่อนำไปทรานส์ฟอร์มธุรกิจของท่านได้ในทุกรูปแบบ สามารถติดต่อทาง AIS Business ได้ในทุกช่องทาง

AIS Business พร้อมเป็นพันธมิตรดิจิทัล ที่มั่นใจได้ เพื่อพัฒนาธุรกิจและสังคมไทย

เติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน

“Your Trusted Smart Digital Partner”

ปรึกษาและวางแผนพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อรองรับการทำงานและต่อยอดธุรกิจได้ที่

Email: business@ais.co.th

Website: https://business.ais.co.th

from:https://www.techtalkthai.com/ais-business-direction-for-year-2023-ready-to-become-the-digital-partner-of-all-thai-organization/

เปิดตำนานแป้งเย็นตรางู 130 ปีที่อยู่คู่สังคมไทย จากนายแพทย์ฝรั่งสู่ผู้บริหารคนไทย

เปิดตำนานแป้งเย็นตรางู 130 ปีที่อยู่คู่สังคมไทย  จากนายแพทย์ฝรั่งสู่ผู้บริหารคนไทย 

อากาศร้อนแบบนี้อยากอาบน้ำวันละหลาย ๆ รอบ ยิ่งได้แป้งเย็น ๆ มาประตัวด้วยแล้วคงสดชื่นไม่น้อย 

แป้งเย็นที่จำหน่ายในประเทศไทยมีหลายยี่ห้อ แต่ยี่ห้อที่เป็นตำนานและอยู่คู่คนไทยมาตลอดระยะเวลา 130 ปี ผ่านหลายช่วงอายุคนอย่าง “แป้งเย็นตรางู” ที่มีกลิ่นหอมและรูปทรงขวดกระป๋องเหล็กสี่เหลี่ยม ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์นี้ สร้างความประทับอย่างยิ่งโดยเฉพาะผู้สูงอายุตามต่างจังหวัด 

ย้อนเส้นทางตำนานกว่าจะมา “แป้งเย็นตรางู” 

ความหมายของงูและลูกศร

เครื่องหมายการค้าของบริษัท เป็นรูปงูและมีลูกศรปักที่หัวงู มีความหมายว่า “งูเป็นอสรพิษ” เปรียบเสมือน โรคภัยไข้เจ็บ “ลูกศร” เปรียบเสมือน ยารักษาโรค สัญลักษณ์ “งูมีลูกศรปัก” จึงเป็นภาพสัญลักษณ์ของคุณภาพ มีอายุนานมาเป็นเวลากว่า 100 ปี หากมีเครื่องหมายนี้บนสินค้า แสดงว่าสินค้านั้นๆ มีคุณภาพดี

กำเนิดห้างขายยาอังกฤษ (ตรางู)

พ.ศ. 2435 ก่อตั้งขึ้น โดยนายแพทย์โทมัส เฮย์วาร์ด เฮย์ และ ดร.ปีเตอร์ กาแวน เปิดเป็นร้านขายยาที่ทันสมัย มีเภสัชกรประจำตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง โดยมีสัญลักษณ์รูป “งูถูกศรปัก” เป็นเครื่องหมายการค้า

ห้างขายยาอังกฤษ (ตรางู) สู่ยุคผู้บริหารคนไทย

พ.ศ. 2471 หมอล้วน ว่องวานิช ซื้อกิจการมาบริหารต่อ โดยเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าจากต่างประเทศ เช่น บูธส์, อลิซาเบธอาร์เดน, คริสเตียนดิออร์ พร้อมทั้งเริ่มคิดค้นพัฒนาสูตรสินค้าต่างๆ จนเป็นที่มาของผลิตภัณฑ์ “แป้งเย็น”

ต้นตำรับแป้งเย็นรายแรกในประเทศไทย

พ.ศ. 2475 ผลิตแป้งน้ำมโนรา ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นแป้งน้ำควินนา กลายเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของเครื่องสำอางในยุคนั้นที่มีทั้งความหอมและความเย็น

พ.ศ. 2484 หมอล้วน ว่องวานิช ได้พัฒนาสินค้าใหม่ คือ แป้งเด็กเซนลุกซ์ เพื่อสนองตลาดที่ต้องการผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสำหรับเด็ก

เปิดตำนาน แป้งตรางู

พ.ศ. 2490 เปิดตำนานแป้งตรางูต้นตำรับแป้งเย็นเจ้าแรกของโลก ครองใจผู้บริโภคมานาน โดยมีประวัติว่านายบิรสเบน ทนายความมาหาหมอเนื่องจาก เป็นผดผื่นคัน หมอให้คาราไมไปทาไม่หาย หมอล้วนจึงคิดสูตรแป้งเย็นโดยผสมแป้งและเพิ่มความเย็นไปใช้ ปรากฎว่าได้ผลดี ผดผื่นคันหาย และยัง สบายตัว สรรพคุณของแป้งเย็นตรางูจึงเป็นที่เลื่องลือกันปากต่อปาก จนได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เพื่อใช้บรรเทาอาการผดผื่นคันและทำให้รู้สึกเย็นสบายผิว ถือเป็นแป้งเย็นต้นตำรับยี่ห้อแรกที่ผลิตขึ้นโดยคนไทยที่ได้รับความนิยมอย่างสูง และยังส่งออกไปจำหน่ายต่างประเทศ

แป้งตรางูสู่เอกลักษณ์กระป๋องเหล็ก

พ.ศ. 2495 แป้งตรางูได้รับความนิยม หมอล้วนจึงคิดค้นวิธีเก็บความเย็นให้ได้นานยิ่งขึ้น และใช้งานได้ง่ายขึ้น นำมาสู่กระป๋องเหล็กอันเป็นเอกลักษณ์ ของแป้งตรางู ที่ยังคงรูปแบบที่คนไทยเห็นก็ต้องรู้จักมายาวนานถึง 60 ปี โดยในช่วงแรกนั้น กระป๋องจำเป็นต้องนำเข้ามาจากเมืองนอก จนกระทั่ง กระป๋องประสบภาวะขาดแคลน ประกอบกับประเทศไทยสามารถผลิตกระป๋องได้เอง จึงเปลี่ยนมาใช้กระป๋องที่ผลิตภายในประเทศไทยในภายหลัง

ขยายฐานการผลิตสู่โรงงานมาตรฐานสากล

พ.ศ. 2506 ก่อตั้งบริษัท แอล.พี.แสตนดาร์ด แลบบอราทอรี่ส์ จำกัด โรงงานผลิตเวชภัณฑ์ และเครื่องสำอาง เพื่อรองรับการขยายการผลิตสินค้าคุณภาพสูง ที่ได้มาตรฐานสากล ซึ่งได้รับหนังสือรับรองมาตรฐานการผลิต GMP จากกระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2532 จนถึงปัจจุบัน

สู่ผู้บริหารยุคใหม่

พ.ศ. 2528 คุณอนุรุธ ว่องวานิช เริ่มเข้ามาดูแลบริหารงาน ขยายตลาดสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง เช่น ผลิตภัณฑ์เด็กเซนลุกซ์, แชมพูเซนลุกซ์ สูตรเย็น, สบู่เย็นตรางู และวางตลาดผลิตภัณฑ์เด็กเซนลุกซ์ แป้ง สบู่ แชมพู โลชั่นเด็ก ครบไลน์สินค้า

บริษัท อังกฤษตรางู (แอล.พี.) จำกัด

พ.ศ. 2540 ควบรวมกิจการด้านการจัดจำหน่ายและโรงงานผลิต ภายใต้ชื่อ บริษัท อังกฤษตรางู (แอล.พี.) จำกัด ทุนจดทะเบียน 60 ล้านบาท ดำเนิน ธุรกิจด้านการผลิต รับจ้างผลิต จัดจำหน่าย นำเข้า และส่งออก จากนั้นในปี 2542 บริษัทได้รับหนังสือรับรองระบบการบริหารจัดการด้านคุณภาพ ISO 9001 และระบบการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม ISO 14001 และเป็นบริษัทผลิตยาและเครื่องสำอางรายแรกในประเทศไทยที่ได้รับหนังสือรับรอง พร้อมกันทั้ง 2 ระบบ

ขยายธุรกิจเพื่อรองรับการเจริญเติบโต

พ.ศ. 2551 ซื้อกิจการ บริษัท ฟาร์มาคอสเม็ท จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สกินแคร์ภายใต้แบรนด์ “Tea Tree” และ “Scacare” เพื่อขยายประเภทธุรกิจให้สอดคล้องและครอบคลุมให้ครบวงจร เพื่อตอบสนองผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น

การรวมธุรกิจภายใต้ชื่อ British Dispensary Group

พ.ศ. 2555 รวมธุรกิจภายใต้ชื่อ BD Group ปัจจุบัน กลุ่มบริษัท อังกฤษตรางู ประกอบด้วย

  • บริษัท ห้างขายยาอังกฤษ (ตรางู) จำกัด
  • บริษัท อังกฤษตรางู (แอล.พี.) จำกัด
  • บริษัท บริทิช ดิสเพนซารี่ คอนซูมเมอร์ จำกัด (มหาชน)
  • บริษัท บริทิช ดิสเพนซารี่ เฮลท์แคร์ จำกัด
  • บริษัท อังกฤษตรางู (แอล.พี.) สาย 5 จำกัด

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าพบว่า บริษัท อังกฤษตรางู (แอล.พี.) จำกัด 120,000,000.00 บาท มีกำไร 39,108,228 บาท คิดเป็นร้อยละของการเปลี่ยนแปลงจากปี 2563 เท่ากับ 1,063% ซึ่งในปี 2563 บริษัทฯ ขาดทุน 4,061,018 บาท และในปี 2562 บริษัทขาดทุน 2,784,190 บาท 

ทั้งนี้ด้วยรูปทรงกระป๋องเหล็กสี่เหลี่ยมที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ ทำให้ลูกค้าจดจำในตัวผลิตภัณฑ์ เมื่อเห็นบนชั้นวางขายสินค้าก็สามารถรับรู้ได้ทันทีว่านี้คือ “แป้งเย็นตรางู” 

อ้างอิง แป้งเย็นตรางู  กรมพัฒนาธุรกิจการค้า

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post เปิดตำนานแป้งเย็นตรางู 130 ปีที่อยู่คู่สังคมไทย จากนายแพทย์ฝรั่งสู่ผู้บริหารคนไทย first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/open-the-legend-of-snake-brand-cooling-powder-130/

แลคตาซอย เปิดตัวรสช็อคโกแลตสูตรใหม่ อัดงบการตลาด 90 ล้านบาท เร่งสื่อสารแบรนด์ทุกมิติ

“แลคตาซอย” ทำตลาดแลคตาซอยรสช็อคโกแลตสูตรใหม่ สกัดจากเมล็ดถั่วเหลืองแท้เต็มเมล็ด ไม่ใช้ผงถั่วเหลือง ปรับสูตรให้มีความเข้มข้นของช็อคโกแลตให้ลงตัว เจาะกลุ่มผู้บริโภคเด็กและคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบช็อคโกแลต และต้องการเพิ่มโปรตีนให้กับร่างกาย วางงบการตลาด 90 ล้านบาท จัดทำภาพยนตร์โฆษณาเผยแพร่ผ่านสื่อออฟไลน์และออนไลน์ พร้อมกิจกรรมโรดโชว์ลงพื้นที่จัดชงชิมตามโรงเรียนต่าง ๆ ทั่วประเทศ

Lactasoy

นางสาวพรรวนา มหาทรัพย์ ผู้จัดการฝ่ายโฆษณาและการตลาดสัมพันธ์ บริษัท แลคตาซอย จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มนมถั่วเหลืองแลคตาซอย เปิดเผยว่า แลคตาซอยได้ทำตลาด นมถั่วเหลืองแลคตาซอยรสชาติช็อคโกแลต สูตรใหม่ สกัดจากเมล็ดถั่วเหลืองแท้เต็มเมล็ด ไม่ใช้ผงถั่วเหลือง เป็นการปรับสูตรให้มีความเข้มข้นของช็อคโกแลตให้ลงตัว มาพร้อมกับโปรตีนจากเมล็ดถั่วเหลืองธรรมชาติ เต็มคุณประโยชน์จากกรดอะมิโน 9 ชนิด โอเมก้า 3,6,9 และลดปริมาณน้ำตาลลง 26% เจาะกลุ่มผู้บริโภคที่ชอบทานช็อคโกแลต และต้องการเพิ่มโปรตีนให้กับร่างกาย โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและวัยรุ่นที่ต้องการพลังงานในการใช้ชีวิตประจำวัน

ทั้งนี้ บริษัทได้ใช้งบประมาณ 90 ล้านบาท สำหรับการทำแคมเปญโฆษณาและประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้ในกลุ่มผู้บริโภค ผ่านการจัดทำภาพยนตร์โฆษณาทั้งสื่อออฟไลน์และสื่อออนไลน์ แบ่งเป็น ภาพยนตร์โฆษณาโทรทัศน์จำนวน 1 ชุด ออนไลน์ 3 ชุด เน้นการสื่อสารผ่านกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีความสดใสและเป็นวัยที่ต้องใช้พลังงาน และต้องการเครื่องดื่มที่รสชาติอร่อยมีประโยชน์ต่อร่างกาย นอกจากนี้ ยังมีการจัดกิจกรรมและโปรโมชันส่งเสริมการขาย ทั้งในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ โดยจะเป็นกิจกรรมลงพื้นที่โรดโชว์จัดชงชิมตามโรงเรียนต่าง ๆ ทั่วประเทศ พร้อมการแจกสินค้าตัวอย่างในพื้นที่ชุมชนอย่างต่อเนื่องตลอดปีนี้

“แลคตาซอยมุ่งพัฒนาและปรับสูตรของสินค้า ให้มีความสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของบริษัท ฯ ที่ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคและมียอดขายเป็นอันดับต้น ๆ ได้แก่ รสออริจินัล (สูตรต้นตำรับ) คิดเป็นสัดส่วนการขายกว่า 80% โดยยังมีอีกหลากหลายรสชาติให้ผู้บริโภคได้เลือกดื่ม ไม่ว่าจะเป็น ไฮแคลเซียม งาดำ ไลท์ผสมคอลลาเจน กรีนที รวมถึงแลคตาซอยไม่หวาน ที่ยังคงได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคมาโดยตลอด และคาดว่าแลคตาซอยรสชาติช็อคโกแลตสูตรใหม่นี้ จะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคเช่นกัน” นางสาวพรรวนา กล่าว

อย่างไรก็ดี สำหรับแลคตาซอยรสช็อคโกแลตสูตรใหม่นี้ วางจำหน่ายใน 5 ขนาด ได้แก่ 125 มิลลิลิตร 200 มิลลิลิตร, 250 มิลลิลิตร, 500 มิลลิลิตร และ 1,000 มิลลิลิตร

from:https://www.thumbsup.in.th/lactasoy-new-chocolate?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=lactasoy-new-chocolate

เบทาโกร เปิด Smart Factory โรงงานอาหารสัตรว์หนองบุญมาก นครราชสีมา เต็มรูปแบบแห่งแรก

บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ BTG เปิดตัวโรงงานอาหารสัตว์เบทาโกร หนองบุญมาก นครราชสีมา โรงงานอัจฉริยะเต็มรูปแบบแห่งแรก เชื่อมต่อ IoT และระบบอัตโนมัติ เพิ่มกำลังการผลิตอาหารสัตว์กว่า 600,000 ตันต่อปี หรือเพิ่มขึ้น 18% ทำให้เบทาโกรมีกำลังการผลิตรวมแล้วกว่า 4 ล้านตันต่อปี

betagro

วสิษฐ แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ BTG เปิดเผยว่า “นโยบายของบริษัทฯ มีความมุ่งมั่นยกระดับระบบซัพพลายเชนของเบทาโกร ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ภายใต้แนวคิด ‘PROACTIVE SUSTAINABILITY’ เบทาโกรสร้างสรรค์นวัตกรรมแห่งความยั่งยืนให้เกิดขึ้นจริง โดยเดินหน้าลงทุนกว่า 1,400 ล้านบาท นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่มาขับเคลื่อนรากฐานการผลิตก้าวสู่โรงงานอัจฉริยะ (Smart Factory) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิตและการจัดการทรัพยากร ล่าสุดได้เปิดตัวโรงงานอาหารสัตว์เบทาโกร หนองบุญมาก นำร่องแห่งแรกที่เป็นโรงงานอัจฉริยะ (Smart Factory) เต็มรูปแบบ และจะเป็นโมเดลต้นแบบการขยายไปสู่โรงงานของเบทาโกรอื่น ๆ ต่อไป

betagro

โรงงานอาหารสัตว์เบทาโกร หนองบุญมาก นับว่าเป็นโรงงานขนาดใหญ่อันดับ 3 ของบริษัทฯ ผลิตอาหารสัตว์หลากหลายชนิด อาทิ สุกร ไก่ไข่ ไก่เนื้อ โดยนำเทคโนโลยี IoT (Internet of Things) และระบบอัตโนมัติมาใช้ภายในโรงงานซึ่งช่วยยกระดับคุณภาพการผลิตอาหารที่มีความแม่นยำ (Smart Production) ยิ่งขึ้น ปัจจุบันโรงงานอาหารสัตว์เบทาโกร หนองบุญมาก มีอัตราการเดินเครื่องอยู่ที่ 48% ของการผลิตรวม และจะผลิตเต็มกำลัง 100% ภายในสิันปีนี้ ส่งผลให้เบทาโกรมีกำลังการผลิตอาหารสัตว์เพิ่มขึ้นอีกกว่า 600,000 ตันต่อปี หรือเพิ่มขึ้น 18% รวมเป็นกว่า 4 ล้านตันต่อปี เพื่อรองรับตลาดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางและ สปป.ลาว อีกทั้งภายในโรงงานยังได้นำระบบบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์มาเพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ได้อย่างรวดเร็วตรงเวลา พร้อมช่วยวางแผนการทำงานที่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

betagro

นอกจากนี้ภายในโรงงานยังได้นำเทคโนโลยีอันทันสมัยมายกระดับจัดการหลากหลายมิติ ได้แก่ ระบบการบริหารจัดการโรงงาน (Smart Dashboard) ระบบการเก็บตัวอย่างและตรวจสอบคุณภาพ (Smart Sampling) ระบบการจัดเก็บวัตถุดิบที่ควบคุมแบบอัตโนมัติ (Smart Silo) รวมถึงระบบการจัดเก็บและลำเลียงวัตถุดิบอัตโนมัติ (Smart Bulk) และการใช้หุ่นยนต์ในการบรรจุและลำเลียง (Auto packing & Robot) โดยการลงทุนโรงงานอาหารสัตว์เบทาโกร หนองบุญมาก จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอาหารสัตว์ที่มีคุณภาพและปลอดภัย ตลอดจนช่วยลดการสูญเสีย ซึ่งเป็นความเสี่ยงในการกระบวนผลิตและระบบขนส่ง ทั้งยังสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันอีกด้วย

betagro

เบทาโกร ยังให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน ด้วยการดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG (Environment, Social, Governance) ครอบคลุมด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล โดยโรงงานอัจฉริยะแห่งนี้ร่วมสร้างรากฐานสังคมเข้มแข็ง ด้วยการสร้างโอกาสให้กับเกษตรกรร่วมเติบโตไปด้วยกัน รวมถึงสร้างงานให้คนในชุมชน ยกระดับทักษะทางด้านเทคโนโลยีให้กับคนในพื้นที่ ทั้งยังส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานสะอาดเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ ระบบผลิตไอน้ำแบบประหยัดพลังงาน (Smart Boiler) จากเชื้อเพลิงชีวมวล (Bio-Mass Fuel) การใช้พลังงานทดแทนจากพลังงานแสงอาทิตย์  20% โดยติดตั้งโซลาร์ รูฟท็อป (Solar Rooftop) ขณะนี้มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 2.8 เมกะวัตต์ ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ราว 1,900 ตันต่อปี

betagro

แนวโน้มอุตสาหกรรมผลิตอาหารสัตว์ในปี 2566 มีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากข้อมูลของสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย คาดว่าจะเพิ่มเป็น 19.99 ล้านตัน หรือ 4.8% จากปี 2565 ซึ่งอยู่ที่ 19.08 ล้านตัน เนื่องจากมีความต้องการในการผลิตสุกร ไก่เนื้อ และไก่ไข่เพิ่มขึ้น สำหรับการก้าวสู่โรงงานอัจฉริยะด้วย IoT  ผสานกับระบบอัตโนมัติที่สมบูรณ์แบบในโรงงานอาหารสัตว์เบทาโกร หนองบุญมาก จ.นครราชสีมา จะเป็นห่วงโซ่คุณค่าต้นน้ำในด้านฐานการผลิตที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง และจะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเบทาโกรสู่การเป็น World-Class Branded Food Company ที่เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน” นายวสิษฐ กล่าว

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post เบทาโกร เปิด Smart Factory โรงงานอาหารสัตรว์หนองบุญมาก นครราชสีมา เต็มรูปแบบแห่งแรก first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/betagro-first-full-smart-factory/

Waymo ประกาศปลดพนักงาน 8% เหตุ Alphabet เร่งคุมค่าใช้จ่าย เศรษฐกิจยังซบเซาต่อเนื่อง

Waymo หน่วยธุรกิจพัฒนรถยนต์ไร้คนขับของ Alphabet บริษัทแม่ของ Google แจ้งอย่างเป็นทางการว่า บริษัทได้ปลดพนักงานราว 8% ของทั้งหมด เพื่อประคองธุรกิจให้เดินหน้าไปอย่างมีประสิทธิภาพ และไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว

Waymo's fully self-driving Chrysler Pacifica Hybrid minivan on public roads
รถยนต์ของ Waymo

พนักงาน 209 คน ของ Waymo ถูกปลด

สำหรับการปลดพนักงานของ Waymo จะมีพนักงาน 209 คนได้รับผลกระทบ ในรอบการปลดพนักงานเดือน ม.ค. 2023 และรวมรอบก่อนหน้าที่เพิ่งปลดไปไม่นานนี้ โดยการปลดพนักงานครั้งนี้ทาง Waymo ได้กล่าวย้ำว่า บริษัทกำลังมีทีมงานที่เหมาะสมกับการไปถึงเป้าหมายในอนาคต และไตร่ตรองมาอย่างดีเกี่ยวกับการปลดพนักงานครั้งดังกล่าว

การปลดพนักงานของ Waymo ถือเป็นอีกครั้งที่บริษัทเทคโนโลยีปลดพนักงาน เนื่องจากในช่วงโควิด-19 มีการคาดการณ์ว่าบริการดิจิทัลต่าง ๆ จะได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการจ้างงานในบริษัทเทคโนโลยีมากขึ้น แต่ปัจจุบันเศรษฐกิจกลับซบเซา และมีปัจจัยลบมากมาย จนหลายบริษัทต้องออกมาควบคุมต้นทุนด้วยการปลดคน

นอกจากนี้การที่ดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้นเพื่อต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ ทำให้บริษัทลงทุนต่าง ๆ เลือกไม่นำเงินมาลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีเพื่อสร้างการเติบโต แต่กลับถูกเอาไปใช้ลงทุนในสิ่งที่มีความแน่นอน และมีความเสี่ยงน้อยกว่าแทน ทำให้บริษัทเทคโนโลยีต้องดิ้นรนในการหาแหล่งเงินทุนเพื่อประคองธุรกิจ

ทั้งนี้ในเดือน ม.ค. 2023 ทาง Alphabet บริษัทแม่ของ Google แจ้งอย่างเป็นทางการว่า บริษัทได้ปลดพนักงานของกลุ่ม 12,000 คน หรือราว 6% หลังจากช่วง 2 ปีก่อนหน้านี้บริษัทจ้างพนักงานเพิ่มขึ้นจนมีมากกว่า 50,000 คน กลายเป็นหนึ่งในค่าใช้จ่ายที่สูงของบริษัท

สรุป

เทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับถือเป็นอนาคตของอุตสาหกรรม และปัจจุบัน Waymo เริ่มมีการให้บริการจริงในบางพื้นที่แล้ว แต่ด้วยจำนวนพนักงานที่มากเกินไปจนกลายเป็นต้นทุนที่สูง จึงไม่แปลกที่ Waymo และบริษัทเทคโนโลยีต่าง ๆ ต้องหาวิธีควบคุม และกลายเป็นการทยอยปลดพนักงานต่อเนื่องหลังจากจ้างงานจำนวนมาก และเจอกับเศรษฐกิจซบเซา

อ้างอิง // CNN

อ่านเพิ่มเติม

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post Waymo ประกาศปลดพนักงาน 8% เหตุ Alphabet เร่งคุมค่าใช้จ่าย เศรษฐกิจยังซบเซาต่อเนื่อง first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/waymo-latest-lay-off/

ทรานส์ฟอร์มองค์กร ขับเคลื่อนธุรกิจโลกดิจิทัลสู่ความเป็นเลิศ ด้วยระบบอัจฉริยะ กับ Atos x SAP [Guest Post]

ก้าวเข้าสู่ปี 2023 กับความท้าทายในทุกๆ มิติบนโลกธุรกิจ อันเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีดิจิทัลที่ใช้เพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจทั่วโลกหลังการฟื้นตัวจากโควิด-19  องค์กรทั่วโลกต่างเดินหน้าเปลี่ยนกลยุทธ์และปรับตัวเข้าสู่โลกดิจิทัล เพื่อรองรับการแข่งขันทางธุรกิจได้อย่างทันท่วงทีด้วยการจัดการข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและเพื่อเพิ่มมูลค่าให้แก่องค์กรในการก้าวล้ำคู่แข่ง ซึ่งหากองค์กรใดที่ปรับตัวได้ช้าหรือไม่ทันกับกระแสของธุรกิจในโลกดิจิทัลอาจตกขบวนและเสียเปรียบเพลี่ยงพล้ำให้แก่คู่แข่งด้านธุรกิจในตลาดที่มีการแข่งขันตลอดอย่างต่อเนื่องตลอดเวลานี้ได้ การทรานส์ฟอร์มองค์กรสู่องค์กรดิจิทัลจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกองค์กรทั้งขนาดใหญ่ กลาง หรือเล็ก ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือภาคเอกชน  ไม่อาจมองข้ามและหลีกเลี่ยงได้

ดังนั้นองค์กรที่มีความยืดหยุ่นสูงและรองรับการปรับเปลี่ยนได้อย่างเหมาะสมทุกสถานการณ์ สามารถจัดการข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ และยังมีระบบความปลอดภัยที่สามารถปกป้องข้อมูลสำคัญขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยให้องค์กรสามารถขับเคลื่อนไปได้แบบไม่มีสะดุด เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีและสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่พันธมิตรและลูกค้าได้นั้น จึงจำเป็นต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญที่สามารออกแบบและนำซอฟต์แวร์อัจฉริยะประสิทธิภาพสูงมาใช้ พร้อมทั้งมีการบริการแบบครบวงจรที่เชื่อถือได้ระดับโลก อย่าง Atos x SAP เข้ามาช่วย

Atos x SAP ช่วยเปลี่ยนแปลงธุรกิจยุคดิจิทัลด้วยระบบจากองค์กรอัจฉริยะเพื่อบรรลุสู่เป้าหมายสูงสุด ได้อย่างไร

Atos และ SAP คือ สององค์กรยักษ์ใหญ่ที่เป็นผู้นำด้านนวัตกรรม ERP ระดับโลกที่มีประสบการณ์และความร่วมมือมายาวนานกว่า 40 ปี ในการเพิ่มศักยภาพทางธุรกิจผ่านระบบไอทีบนดิจิทัลแพลตฟอร์มให้แก่องค์กรชั้นนำทั่วโลกมากมาย ความชำนาญและมุ่งเน้นพัฒนานวัตกรรมด้านคลาวด์คอมพิวติ้ง จึงทำให้เราเข้าใจในระบบงานของทุกอุตสาหกรรมอย่างลึกซึ้ง สามารถออกแบบและจัดการระบบข้อมูลองค์กรและโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัยให้องค์กรสามารถขับเคลื่อนและเปลี่ยนแปลงธุรกิจสู่องค์กรอัจฉริยะได้อย่างราบรื่นแบบไร้รอยต่อ

Atos ยังเป็น SAP Platinum Partner ซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์ระดับสูงสุดของ SAP เป็นผู้ให้บริการด้านการจัดการข้อมูลบนคลาวด์รายใหญ่ที่สุดและมีมูลค่าเพิ่มขึ้นในแต่ละปีของ SAP มีฐานลูกค้าที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง จนสามารถเป็นศูนย์ปฏิบัติการด้านบริการและจัดการข้อมูลของ SAP พร้อมให้บริการแบบ end-to-end แนะนำโซลูชั่นและแพ็คเกจ ผ่านจุดบริการของ Atos ได้ในจุดเดียว

สำหรับปี 2023 ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของ Atos IT Solutions and Services Ltd. หรือ บริษัท อาโทส (ประเทศไทย) ในการเดินหน้าเพื่อพัฒนาและรักษามาตรฐานระดับสูงด้านการให้บริการแก่องค์กรต่างๆ ในประเทศไทย ภายใต้การบริหารของ คุณวรรณี ไชยปัญญา กรรมการผู้จัดการ ของบริษัท อาโทส (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นผู้บริหารหญิงคนแรกของบริษัท อาโทส (ประเทศไทย) และเป็นผู้หญิงคนเดียวในทีม Atos APAC ซึ่งคร่ำหวอดในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ วงการไอที รวมถึงที่ปรึกษาทางธุรกิจในประเทศไทยมานานกว่า 30 ปี โดยเฉพาะธุรกิจการให้บริการงานด้านไอทีแบบครบวงจร และเคยดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการและเป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทไอทีที่มีชื่อเสียงหลายแห่งในประเทศไทย

ด้วยความสามารถอันโดดเด่น ประสบการณ์ในการบริหารองค์กรขนาดใหญ่ ความเข้าใจในธุรกิจด้านไอทีอย่างลึกซึ้ง และวิสัยทัศน์ในการบริหารองค์กรที่ชัดเจน จึงทำให้ คุณวรรณี ไชยปัญญา สามารถนำองค์กรให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ปรับรูปแบบองค์กรได้อย่างทันท่วงที จนทำให้บริษัทสามารถเติบโตก้าวหน้าอย่างมั่นคง ประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงจนเป็นที่รู้จักในวงกว้าง นอกจากนี้ ที่ผ่านมายังได้สร้างความสัมพันธ์อันดีกับพาร์ทเนอร์ในธุรกิจหลากหลายประเภท ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดียิ่งในการร่วมงานกันในโอกาสต่างๆ อีกด้วย

ด้วยวิสัยทัศน์ที่ต้องการยกระดับการให้บริการด้านไอทีและช่วยนำองค์กรธุรกิจในประเทศไทยให้แข็งแกร่งสามารถแข่งขันได้ทัดเทียมในโลกยุคดิจิทัล บริษัท อาโทส (ประเทศไทย) จึงได้ร่วมมือกับพาร์ทเนอร์คนสำคัญซึ่งเป็นเบอร์หนึ่งของวงการ ERP อย่าง SAP ในการใส่เกียร์เดินหน้าอย่างเต็มตัวในการนำเสนอนวัตกรรมและโซลูชั่นส์ที่ทันสมัยจาก SAP เพื่อให้องค์กรต่างๆ สามารถ “ทรานส์ฟอร์มสู่องค์กรอัจฉริยะ” ได้แบบไร้รอยต่อ พร้อมทั้งมอบประสบการณ์ด้านการใช้งานบนดิจิทัลแพลตฟอร์มที่มีประสิทธิภาพสูง ปลอดภัย และมีความยืดหยุ่นสูงสามารถรองรับการทำงานได้ทุกอุตสาหกรรม โดยมีทีมงานจากบริษัท อาโทส (ประเทศไทย) ซึ่งมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการออกแบบ จัดทำและติดตั้งระบบโครงสร้างองค์กร พร้อมให้คำปรึกษา และให้บริการแบบครบวงจร ด้วยมาตรฐานระดับสากล

โซลูชั่นและบริการจาก Atos x SAP ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้แก่องค์กรได้อย่างไร

RISE with SAP เป็นบริการโซลูชั่นครบวงจรจาก SAP เพื่อการปฏิวัติรูปแบบธุรกิจสู่การเป็นองค์กรอัจฉริยะในทุกมิติ ที่ช่วยลดความซับซ้อนในการใช้งาน พร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องในอนาคต ช่วยปลดล็อกธุรกิจให้สามารถทำทรานส์ฟอร์มองค์กรเข้าสู่ระบบ Cloud ได้อย่างเต็มรูปแบบบนเครือข่ายความร่วมมือทางการค้ากับพาร์ทเนอร์ที่มีความชำนาญด้าน Cloud Solution ชั้นนำมากมายเพื่อความสะดวกและรวดเร็วในทุกขั้นตอน เพื่อการก้าวขึ้นเป็นผู้นำทางอุตสาหกรรมในธุรกิจยุคดิจิทัล ด้วยกระบวนการ

  • การออกแบบกระบวนการธุรกิจรูปแบบใหม่ ด้วยการทำ Business Process Intelligence จากการพัฒนาโมเดลธุรกิจและความเชี่ยวชาญด้านกระบวนการของ SAP ในหลากหลายอุตสาหกรรม จึงสามารถวิเคราะห์ประสิทธิภาพการขับเคลื่อนธุรกิจของตนได้อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนปรับแนวทางการทำงานให้ตอบสนองความต้องการทางธุรกิจได้อย่างตอบโจทย์และตรงเป้าหมาย เช่น โซลูชั่น Robotic Process Automation (RPA) และบริการ Artificial Intelligence (AI) อื่นๆ
  • การย้ายฐานข้อมูลทางเทคนิคอย่างไร้รอยต่อ ขับเคลื่อนการใช้นวัตกรรมในระบบ Cloud โดยร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ชั้นนำ และการสนับสนุนด้านการใช้งานจากทีมผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิค เพื่อช่วยให้สามารถย้ายข้อมูลได้อย่างไร้รอยต่อและมีประสิทธิภาพสูง โดยใช้โครงสร้างพื้นฐาน Cloud Data Center ของ SAP หรือ ศูนย์จัดเก็บข้อมูลระดับ Hyperscaler เอื้อต่อการใช้งานและขยายขีดความสามารถของการให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน
  • ก้าวสู่การเป็นองค์กรอัจฉริยะ โดยการนำโซลูชั่น SAP Business Technology Platform (BTP) มาพร้อม Semantic Layer ที่พร้อมเชื่อมประสานองค์กรให้เป็นหนึ่งเดียว เพื่อการปรับเปลี่ยนธุรกิจในทุกมิติอย่างไร้รอยต่อ โดยโซลูชั่นดังกล่าวช่วยดูแลฐานข้อมูลศูนย์กลาง ให้เป็นระเบียบและเอื้อให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลได้สะดวกขึ้น

SAP Business Technology Platform (BTP) เป็นแพลตฟอร์มที่คำนึงถึงความยืดหยุ่นและมีตัวเลือกหลากหลายรูปแบบที่ช่วยเร่งนวัตกรรมและปลดล็อกศักยภาพทางธุรกิจขององค์กร เพื่อให้นักพัฒนาระบบและผู้ใช้งานในองค์กรสามารถใช้งานข้อมูล เพิ่มส่วนขยาย และปรับแต่งแอปพลิเคชัน SAP หรือรวมและเชื่อมต่อภูมิทัศน์ทั้งหมดเข้าด้วยกัน ในด้านข้อมูลและการวิเคราะห์ ปัญญาประดิษฐ์ การพัฒนาแอปพลิเคชัน ด้วยระบบอัตโนมัติ บนแพลตฟอร์มคลาวด์แบบครบวงจร เพื่อให้ได้รับรู้ข้อมูลในทุกๆ ด้าน สามารถใช้ในการตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและถูกต้อง ทำให้ดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องไม่มีสะดุด โดย  

  • Personalize experiences for SAP Applications
    ปรับแต่งแอปพลิเคชันให้เป็นรูปแบบที่เหมาะกับองค์กร ด้วยการรวมนวัตกรรมเข้ากับแอปพลิเคชันจาก SAP และประมวลผลโดยใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์แบบอัตโนมัติ เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานที่สะดวกและครอบคลุม และเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ได้แบบเรียลไทม์
  • Innovate faster with business context
    ทำงานได้สะดวกและรวดเร็วด้วยเครื่องมือที่พัฒนาขึ้นรองรับทั้งแบบใช้โค้ดและไม่ใช้โค้ด เพื่อใช้และวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างแม่นยำและถูกต้อง โดยมีรูปแบบพร้อมกรณีศึกษาที่เหมาะสำหรับแต่ละธุรกิจในการจำลองตัวอย่าง
  • Run on a trusted, enterprise-grade platform
    ดำเนินการผ่านระบบคลาวด์ซึ่งบริหารจัดการโดยระบบ SAP ได้ สามารถปรับแต่งระบบการทำงานได้ไม่ต้องมีการบำรุงรักษา และยังทำงานร่วมกับระบบคลาวด์รายอื่นๆ ที่ใช้อยู่ได้อีกด้วย

Atos Cybersecurity นั้นเป็นผู้นำอันดับ 1 ในยุโรปและเป็นผู้นำระดับโลกด้าน Cybersecurity ที่มีทีมงานผู้เชี่ยวชาญกว่า 6,000 คน ด้วยเครือข่ายศูนย์การดูแลความปลอดภัย (SOCs) และมีพันธมิตรดูแลด้านความปลอดภัยทั่วโลก ให้บริการได้อย่างครบวงจร โดยมีบริการ ดังนี้

  • Big Data Analytics เชื่อมโยงข้อมูลร่วมกับระบบอัตโนมัติทั่วโลกเพื่อควบคุมความปลอดภัยเพื่อเพิ่มความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น
  • Atos Trusted Digital Identities การเข้าถึงทรัพยากรที่สำคัญได้อย่างปลอดภัยและสะดวกสบายได้หลากหลายอุปกรณ์ ด้วยระบบตรวจสอบที่รัดกุม
  • Industrial and IoT Security เสริมความปลอดภัยแก่ระบบ IOT ขององค์กรให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
  • Atos Digital Workplace Security ทำงานได้ทุกที่ทุกเวลา บนอุปกรณ์ที่หลากหลายด้วยความปลอดภัยสูงสุด
  • Data Protection and Governance ทำงานผ่านระบบ Cloud แบบ real time ดูแลรักษาความปลอดภัยของระบบ IoT & OT ปกป้องข้อมูลที่สำคัญขององค์กรไม่ให้รั่วไหลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • Hybrid Cloud Securityโอนย้ายข้อมูลผ่านระบบคลาวน์ได้อย่างปลอดภัย มีความยืดหยุ่นสูง เข้าถึงข้อมูลด้วยความสะดวกและความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
  • ควบคุม ดูแล และตรวจสอบระบบภายในองค์กรทั้ง on-premise และบนคลาวน์ ได้ 360° ด้วย Atos Managed Detection and Response (MDR) สามารถให้บริการอย่างเต็มรูปแบบ ในการตรวจจับ ตอบสนอง และป้องกันต่อภัยคุกคามทางไซเบอร์ด้วยความรวดเร็วย่างอัตโนมัติ

พร้อมกันนี้บริษัท อาโทส (ประเทศไทย) ได้ยกระดับความแข็งแกร่งด้าน Cyber Security ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ด้วยการจับมือกับ บริษัท ไซเบอร์ อีลีท จำกัด ซึ่งเป็นพันธมิตรใหม่ที่เชี่ยวชาญด้าน Cyber Security โดยเฉพาะมาเป็นผู้ดำเนินการด้านการจัดจำหน่าย พร้อมทั้งให้คำแนะนำปรึกษาในการบริหารจัดการด้านความปลอดภัย เพื่อป้องกันภัยคุกคามทางธุรกิจบนโลกไซเบอร์อย่างเต็มรูปแบบอีกด้วย

บริษัท อาโทส (ประเทศไทย) ยังมี Digital Solutions และบริการต่างๆ อีกมากมาย ที่ตอบโจทย์หน่วยงานหรือองค์กรที่ต้องการปรับเปลี่ยนรูปแบบเข้าสู่ระบบดิจิทัลเพื่อเป็นองค์กรอัจฉริยะอย่างเต็มตัว ซึ่งเหมาะสมกับสภาวะของเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน นี่จึงเป็นกลไกการตลาดที่สำคัญที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่องค์กร เพื่อลดต้นทุน และการบริหารจัดการเวลาได้อย่างคุ้มค่า ทำให้องค์กรก้าวกระโดดได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ได้อย่างทันท่วงที

สนใจบริการ RISE with SAP และ Atos Services สามารถติดต่อได้ที่ คุณรตนพร สุริย์ อีเมล ratanaporn.suri@atos.net หรือ ส่งข้อมูลความสนใจผลิตภัณฑ์มาที่  https://forms.gle/WCiXH3ZdFJUf1gFx6

 

from:https://www.techtalkthai.com/atos-sap-guest-post/

มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เสริมรากฐานเทคโนโลยีและก้าวสู่ Smart University ด้วยบริการจากเอไอเอสบิสสิเนสและซิสโก้ [Guest Post]

ท่ามกลางภูมิประเทศอันสวยงามกว่า 5,000 ไร่ ในจังหวัดเชียงราย คือที่ตั้งของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง สถาบันอุดมศึกษาชั้นแนวหน้าของประเทศไทย ที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ อันพิสูจน์ได้จากการเป็นมหาวิทยาลัยไทยที่ได้รับอันดับสูงที่สุดจากการจัดลำดับ THE World University Rankings 2023 โดย Times Higher Education (THE) องค์กรจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลก

สิ่งเหล่านี้คงไม่สามารถเกิดขึ้นได้หาก มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงไม่มีพื้นฐานด้านวิชาการ การบริหารจัดการที่เป็นเลิศ และอีกสิ่งที่ขาดไม่ได้คือ พื้นฐานทางด้านเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูง มีความยืดหยุ่นพร้อมปรับตัวรับกับทุกความเปลี่ยนแปลง

“ เพื่อตอบสนองวิสัยทัศน์ การเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของอาเซียน ที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ และยุทธศาสตร์ดิจิทัล เพื่อก้าวสู่ Smart University  เราให้ความสำคัญกับการวางโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี ที่พร้อมต่อยอดสู่การศึกษาที่พัฒนาอย่างไม่สิ้นสุด “ รศ. ดร.ชยาพร วัฒนศิริ อธิการบดี มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กล่าว

รศ. ดร.ชยาพร วัฒนศิริ อธิการบดี มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

 

ระบบไอทีเพื่อตอบสนองยุทธศาสตร์ดิจิทัล

การจะเดินตามวิสัยทัศน์ที่วางไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ มหาวิทยาลัยต้องมีการพัฒนาด้านเทคโนโลยี โดยมีการกำหนดยุทธศาสตร์ดิจิทัล เพื่อการพัฒนาด้านต่าง ๆ ประกอบด้วย การรองรับการเติบโตของอนุภูมิภาคแม่น้ำโขง (GMS) และภาคเหนือตอนบน

การอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตแบบ Digital Life Style มอบประสบการณ์การเรียนการสอนที่ไม่มีขีดจำกัด สนองตอบต่อรูปแบบการเรียนรู้แบบ Blended Learning ที่รองรับการเรียนรู้แบบผสมผสาน และการให้บริการการแพทย์ด้วยเทคโนโลยี Telemedicine

รวมถึงการใช้บุคลากรที่มีจำกัดได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด สามารถให้การบริการที่รวดเร็วต่อความต้องการ พร้อมใช้งานได้ทันท่วงที รวมถึงปรับตัวเพื่อรับมือกับทุกความเปลี่ยนแปลง ท้ายสุดคือการป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์

นั่นทำให้ มหาวิทยาลัยจำเป็นต้องยกระดับการเรียนการสอนด้าน การดำเนินงาน และที่สำคัญคือโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี ถึงที่พร้อมทั้งประสิทธิภาพ ความสเถียร และมีความยืดหยุ่นสูง

การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีครั้งสำคัญ

นี่จึงเป็นที่มาของการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานระบบเครือข่ายทั้งแบบใช้สาย และไร้สาย รวมถึงเสริมประสิทธิภาพด้านการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ครั้งสำคัญ ด้วยการเลือกใช้โซลูชันจากซิสโก้ โดยมีเอไอเอสบิสสิเนส พันธมิตรด้านเทคโนโลยีที่มหาวิทยาลัยให้ความไว้วางใจ

เอไอเอสบิสสิเนส ช่วยวางแผน ออกแบบ จัดหา และติดตั้งโซลูชันต่าง ๆ ด้วยแนวคิด Intelligent Network ประกอบด้วย

1. Intelligent Connectivity โครงข่ายการเชื่อมต่ออัจฉริยะ

  • การขยายแบนวิดธ์ระบบเครือข่ายจาก 1 Gbps เป็น 10 Gbps ครอบคลุมทั้งการปรับปรุงเครือข่าย Fiber ทั่วมหาวิทยาลัย และอัปเกรดสวิตช์ทั้ง Core, Distributed และ Access เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่มีทั้งความเร็ว และความเสถียร
  • การอัปเกรดเครือข่ายไร้สายด้วยมาตรฐาน Wi-Fi 6 ด้วยอุปกรณ์แอคเซสพอยต์จากซิสโก้มากกว่า 2000 จุด โดยใช้อุปกรณ์มาตรฐานสูงอย่าง Cisco Catalyst 9800 Wireless Controller และ Catalyst 9120AX Access Point

ที่ไม่เพียงขยายพื้นที่การใช้งานมากขึ้น แต่ยังรองรับสื่อการเรียนการสอนสมัยใหม่ และ Blended Learning ซึ่งมีการใช้งานจากอุปกรณ์ต่าง ๆ มากขึ้น ทั้งโน๊ตบุ๊ก สมาร์ทโฟน และคอมพิวเตอร์แท๊ปเล็ต ที่จำเป็นต้องมีระบบเครือข่าย และอินเทอร์เน็ต ที่มีประสิทธิภาพ

2. Intelligent Security ระบบความปลอดภัยไซเบอร์อัจฉริยะ

การเสริมความปลอดภัยไซเบอร์ เพื่อรับมือกับภัยคุกคามทั้งในปัจจุบัน และอนาคต พร้อมปกป้องเครือข่าย รวมถึงผู้ใช้จากภัยไซเบอร์ทุกรูปแบบ ด้วย Cisco Firepower อุปกรณ์ Next Generation Firewall ที่สามารถให้บริการ Advanced Malware Protection (AMP) และ Next-generation IPS (NGIPS) เพิ่มเติมได้ในเครื่องเดียว

3. Intelligent Managed Service บริการช่วยจัดการอัจฉริยะ

สนับสนุนการดำเนินงานของมหาวิทยาลัยด้วยบริการ Managed Services ด้วยทีมงานผู้เชี่ยวชาญจากเอไอเอส เพื่อช่วยดูแลระบบไอทีต่าง ๆ ให้ทำงานอย่างราบรื่น รวมถึงช่วยแบ่งภาระของหน่วยงานหลักด้านไอทีอย่างศูนย์บริการเทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้สามารถทุ่มเทกับการพัฒนาบริการดิจิทัลต่างๆ ได้อย่างเต็มที่

ความเป็นมืออาชีพ และประสบการณ์ในการวางโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่

ด้วยประสบการณ์ในการออกแบบ ติดตั้งดิจิทัลโซลูชัน และทำงานอย่างใกล้ชิดกับสถาบันการศึกษา และองค์กรขนาดใหญ่มากมาย ทำให้เอไอเอสบิสสิเนสมีความเข้าใจความต้องการของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงเป็นอย่างดี จึงสามารถจัดหาโซลูชันที่สามารถตอบสนองต่อยุทธศาสตร์การพัฒนาด้านต่างๆ ของมหาวิทยาลัยได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

 

 

ขณะเดียวกันก็สามารถเลือกใช้อุปกรณ์ที่มีความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมการใช้งาน เพื่อเพิ่มความเสถียร และป้องกันความเสียหายแก่อุปกรณ์ดิจิทัล เช่น ภายใต้สภาพแวดล้อมการใช้งานที่เป็นพื้นที่ขนาดใหญ่กว่า 5,000 ไร่ มีทั้งภูเขา และป่าไม้ เอไอเอสบิสซิเนสจึงเลือกใช้สายไฟเบอร์ออปติกชนิดพิเศษที่สามารถป้องกันการกัดแทะจากกระรอก รวมถึงมีการป้องกันมด หรือแมลง เข้าไปสร้างความเสียหายแก่อุปกรณ์แอคเซสพอยต์  เป็นต้น

“ ในฐานะผู้นำด้านบริการดิจิทัลโซลูชัน เราทำงานอย่างใกล้ชิดกับมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ในการสร้าง Smart Education Solution ที่จะช่วยสนับสนุนวิสัยทัศน์ในการก้าวสู่ Smart University เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของนักศึกษา, บุคคลากรของมหาวิทยาลัย และรูปแบบการศึกษาในยุคใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ “ คุณพรสิทธิ์ ปาลิไลยก์ Solution Sales and Partner Management Manager, AIS กล่าว

คุณพรสิทธิ์ ปาลิไลยก์ Solution Sales and Partner Management Manager, AIS

พร้อมต่อยอดความก้าวหน้าอย่างไม่สิ้นสุด

ด้วยความพร้อมของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี ด้วยโซลูชันจากซิสโก้ และการให้บริการโดยเอไอเอสบิสสิเนส ทำให้มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง พร้อมรับมือกับทุกความท้าทาย และพัฒนาตามวิสัยทัศน์ที่มุ่งสู่การเป็น มหาวิทยาลัยชั้นนำของอาเซียนที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ  (A Leading University in ASEAN with International Recognition) ได้อย่างยั่งยืน

AIS Business พาร์ทเนอร์ที่ช่วยตอบโจทย์ทุกเรื่อง ICT & Digital ที่คุณมั่นใจ

“Your Trusted Smart Digital Partner”

ปรึกษาและวางแผนพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อรองรับการทำงานและต่อยอดธุรกิจได้ที่

Email : business@ais.co.th
Website : https://business.ais.co.th

 

 

 

 

from:https://www.techtalkthai.com/ais-business-cisco-mfu-smart-university-guest-post/