คลังเก็บป้ายกำกับ: DISASTER-RECOVERY-AS-A-SERVICE

VMware เผยแผนเข้าซื้อกิจการ Datrium เสริมบริการ Disaster Recovery-as-a-Service เติมเต็ม Hybrid Cloud

VMware ได้ออกมาเผยถึงแผนการเข้าซื้อกิจการของ Datrium ผู้พัฒนาโซลูชัน Disaster Recovery-as-a-Service หรือ DRaaS เพื่อเสริมภาพของการทำ Hybrid Cloud ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

Credit: Datrium

โซลูชันของ Datrium สามารถช่วยให้ธุรกิจองค์กรสามารถสร้าง Hybrid Cloud เชื่อมต่อโซลูชันของ VMware ภายใน Data Center ขององค์กรขึ้นไปยัง VMware Cloud on AWS ได้อย่างง่ายดาย และยังสามารถลดพื้นที่ที่ใช้ในการจัดเก็บข้อมูลของ VM Snapshot บน S3 ลงได้ถึง 10 เท่า รวมถึงยังทำ On-Demand Provisioning บน Cloud ได้อีกด้วย

Datrium ได้พัฒนาเทคโนโลยีของตนเองให้สามารถใช้งานได้กับโซลูชันของ VMware ทั้งบนระบบ On-Premises และ Cloud ดังนั้นธุรกิจองค์กรจึงมักเลือกใช้ Datrium ในการทำ Cloud DR สำหรับระบบที่ใช้ VMware vSphere เป็นหลัก โดยยังคงใช้เครื่องมือในการบริหารจัดการที่คุ้นเคยอยู่เดิมได้ทั้งหมด

การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้จะทำให้ VMware สามารถขยายบริการ VMware Site Recovery DRaaS ให้มีค่าใช้จ่ายที่คุ้มค่ายิ่งขึ้นกว่าเดิมได้ โดยทีมงานของ Datrium จะถูกรวมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของทีม VMware พร้อมสิทธิบัตรด้าน Cloud Storage และ DR Service ทั้งหมดด้วย โดย VMware จะยังคงให้บริการเดิมต่อเนื่องสำหรับลูกค้าของ Datrium และผลักดันภาพของ Hybrid Cloud ให้เติบโตยิ่งกว่าเดิม

การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ไม่เปิดเผยมูลค่า และผู้ที่สนใจสามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ของ Datrium ได้ที่ https://www.datrium.com/

ที่มา: https://www.storagereview.com/news/vmware-to-acquire-datrium

from:https://www.techtalkthai.com/vmware-to-acquire-datrium/

True IDC ยกบริการ True IDC VMC Professional Services เสริมบริการ VMware Cloud on AWS พลิกโฉมธุรกิจ Hybrid Cloud

หลังจากที่ True IDC ได้ผนึกกำลังกับ VMware เปิดตัวให้บริการ VMware Cloud on AWS บริษัทแรกของไทยในงาน VMware Thailand Cloud Expo 2019 ที่ผ่านมา วันนี้ True IDC ผู้นำการให้บริการ Data Center และระบบ Cloud แบบเสรีของไทย ได้ชูบริการเสริม True IDC VMC Professional Services เติมเต็มบริการ VMware Cloud on AWS พร้อมสนับสนุนองค์กรทั่วไทยก้าวเข้าสู่การใช้ Hybrid Cloud ที่จะช่วยลดความยุ่งยากในการย้าย Workload ขึ้นสู่ Cloud และต่อยอดการทำ Application Modernization เพื่อพลิกโฉมธุรกิจ กระจายบริการสู่ทั่วโลกได้อย่างไร้ขอบเขต

ทำความเข้าใจ ทำไมต้องใช้ VMWare Cloud บน AWS

1. เพิ่มอิสระและความคล่องตัวให้ Data Center และระบบ Cloud

เทคโนโลยี VMware Cloud on AWS ทำให้องค์กรเหล่านั้นสามารถต่อยอดระบบเดิมของ VMware  ไม่ว่าจะเป็นความรู้ การใช้งาน และ Software License ที่เกี่ยวข้อง ขึ้นสู่ Public Cloud ของ AWS ได้อย่างง่ายดาย ช่วยให้สามารถขยาย Data Center หรือใช้งาน Infrastructure ที่สามารถปรับขนาดของระบบเพื่อตอบสนองความต้องการที่เกิดขึ้นชั่วคราวหรือในระยะยาวได้

VMware Cloud on AWS ได้นำเทคโนโลยี Software-defined Data Center (SDDC) ของ VMware ไปใช้บน AWS Cloud ช่วยให้องค์กรสามารถใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ ในสภาพแวดล้อมแบบ On-premises และ Public Cloud ได้อย่างอิสระ พร้อมปรับปริมาณการใช้งานได้อย่างยืดหยุ่นและลดอุปสรรคในการโยกย้าย Workload ของแอปพลิเคชันไปไว้บน Cloud จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่ IT Infrastructure และเปิดโอกาสใหม่ๆ แก่ธุรกิจจากการใช้ประโยชน์จากการใช้งาน Hybrid Cloud ได้

2. Hybrid Cloud ที่ไม่ซับซ้อน บน AWS Cloud ที่เชื่อถือได้

องค์กรสามารถใช้ประโยชน์จากเครื่องมือพื้นฐานของ VMware ไม่ว่าจะเป็น vSphere, vSAN, NSX และ vCenter Server บน AWS Cloud ได้ทันที ทั้งการทำ Provisioning, ตั้งค่า Storage หรือกำหนด Lifecycle Policies ในลักษณะเดียวกับที่ใช้ VMware อยู่ในปัจจุบัน ส่งผลให้องค์กรสามารถย้าย Workload ระหว่าง On-premises และ AWS Cloud ได้โดยไม่จำเป็นต้องแก้ไขสถาปัตยกรรมของแอปพลิเคชัน ซื้อฮาร์ดแวร์ใหม่ หรือปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานใดๆ โดย VMware Cloud on AWS จะทำหน้าที่เตรียม Infrastructure ทั้งหมดให้โดยอัตโนมัติ พร้อมปรับสภาพแวดล้อมของระบบทั้งบน On-premises และ AWS Cloud ให้สอดคล้องกันอย่างสมบูรณ์

VMware Cloud on AWS ใช้ประโยชน์จาก AWS ในการให้บริการ Public Cloud ที่มีความเสถียรและมั่นคงปลอดภัย การันตีด้วยมาตรฐานสากล เช่น CSA STAR, ISO 9001, ISO 27001, ISO 27017, ISO 27018 และ PCI DSS ทั้งยังมีศูนย์ให้บริการกระจายอยู่ทั่วโลก รองรับการขยาย Data Center และกระจายบริการขององค์กรไปยังภูมิภาคอื่นๆ ที่สำคัญคือ VMware Cloud on AWS ยังช่วยให้สามารถเชื่อมต่อแอปพลิเคชันขององค์กรเข้าด้วยกันกับบริการอันหลากหลายของ AWS เพื่อต่อยอดสู่การทำ Application Modernization ได้ในราคาที่ถูกว่าและมี Latency ต่ำ

เติมเต็มบริการ VMware Cloud on AWS ด้วย True IDC VMC Professional Services

True IDC เป็นผู้ให้บริการเพียงรายเดียวในประเทศไทยที่ได้รับการแต่งตั้งเป็น Advanced Consulting Partner จากทาง Amazon Web Services โดยผ่านการรับรองทั้งทางด้าน Solution Provider, Public Section Partner (Government and Education), Storage Partner Solutions, Marketplace Reseller, Authorized Training Reseller และ Well-Architected Partner รวมไปถึงมีทีมวิศวกรเชิงเทคนิคที่ได้รับใบรับรองหลายรายการ เช่น Solutions Architect Professional, DevOps Engineer Professional แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษา ออกแบบ และพัฒนาโซลูชันบน AWS เพื่อให้บรรลุตามเป้าประสงค์เชิงธุรกิจของลูกค้าได้ในทุกอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานรัฐและสถาบันการศึกษา รวมถึงยังได้รับการแต่งตั้งเป็น VMware Cloud Platform Partner (VCPP) ที่พร้อมให้บริการโซลูชัน VMware ทั้งแบบ On-premises และ Cloud อีกด้วย 

จากการรับรองที่ทาง True IDC ได้รับมานั้น ส่งผลให้ True IDC VMC Professional Services มีทีมผู้เชี่ยวชาญที่สามารถให้คำปรึกษา ออกแบบ และ ติดตั้งระบบได้อย่างถูกต้องเหมาะสม มีความปลอดภัยและมีสอดคล้องกับระบบของทั้ง VMware และ AWS พร้อมด้วยบริการ Cloud Managed Service ที่ช่วยดูแลระบบของลูกค้าให้พร้อมใช้งาน ลดภาระ และความยุ่งยากซับซ้อน ตอบโจทย์การขยายธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว คล่องตัว มีประสิทธิภาพนำหน้าคู่แข่ง

นอกจากนี้ True IDC ยังมีบริการ True IDC Direct Connect ที่ช่วยลด Latency ด้วยการเชื่อมต่อ Data Center ของลูกค้าเข้ากับ บริการ VMware Cloud บน AWS โดยตรง ช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงแอปพลิเคชัน และบริการต่าง ๆ บนระบบ VMware Cloud on AWS ได้อย่างรวดเร็ว รวมถึง True IDC Billing Platform ที่เป็นบริการ Single Billing Platform สำหรับให้ลูกค้าบริหารจัดการค่าใช้จ่ายของทั้ง VMware Cloud และ AWS ได้ด้วยตนเองภายในแพลตฟอร์มเดียว พร้อมออกบิลสรุปค่าใช้จ่ายทั้งหมดโดย True IDC เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าองค์กร ตอบโจทย์การชำระค่าบริการ Cloud พร้อมภาษีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

ขยาย Data Center และย้ายแอปพลิเคชันเพื่อต่อยอดทำ Application Modernization

ด้วยการออกแบบร่วมกันระหว่าง VMware และ AWS ทำให้แอปพลิเคชันที่ติดตั้งใช้งานในสภาวะแวดล้อมดังกล่าวจะได้รับประโยชน์จากทั้ง VMware และ AWS อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานที่สอดคล้องกันระหว่าง Data Center และระบบ Cloud, การโยกย้ายแอปพลิเคชันไปยังระบบ Cloud ได้อย่างรวดเร็วและประหยัดค่าใช้จ่าย หรือการเข้าถึงบริการที่หลากหลายของ AWS ได้มีประสิทธิภาพ ตัวอย่างการใช้งานที่น่าสนใจ ได้แก่

1. ขยาย Data Center

VMware Cloud on AWS ช่วยให้องค์กรสามารถขยาย Data Center จาก On-premises ขึ้นสู่ AWS Cloud และกระจายไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกได้อย่างง่ายดาย โดยใช้เครื่องมือและการจัดการทั้งหมดจาก VMware ลดความซับซ้อนในการดำเนินการ ความเสี่ยง และค่าใช้จ่ายให้อยู่ในระดับต่ำ ช่วยให้สามารถตั้งค่า SDDC-based Cluster ทั้งหมดได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง แทนที่จะใช้เวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์

2. ย้ายแอปพลิเคชันขึ้นสู่ Cloud

การใช้พื้นฐานเทคโนโลยีของ VMware ช่วยให้องค์กรสามารถโยกย้าย Workload ของแอปพลิเคชันไปมาระหว่าง On-premises และ AWS Cloud ได้อย่างอิสระและมั่นคงปลอดภัย โดยไม่ต้องปรับแก้หรือสร้างสถาปัตยกรรมขึ้นใหม่ ที่สำคัญคือสามารถรักษาชุดนโยบายให้สอดคล้องกันระหว่างทั้งสองระบบได้ ซึ่งนอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงในการโยกย้ายแอปพลิเคชันไปยัง Hybrid Cloud แล้ว ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องลงอีกด้วย

3. พัฒนาและทดสอบแอปพลิเคชันเพื่อต่อยอดทำ Application Modernization

VMware Cloud on AWS ให้สภาพแวดล้อมที่สอดคล้องกันในการพัฒนาแอปพลิเคชันใหม่ๆ โดยสามารถใช้ประโยชน์จากเครื่องมือในการพัฒนาของ VMware และการผนวก RESTful API ของ vSphere เข้าด้วยกันกับชุดบริการที่หลากหลายของ AWS ไม่ว่าจะเป็น AWS Lambda, Amazon SQS, Amazon S3, Elastic Load Balancing, Amazon RDS, Amazon DynamoDB, Amazon Kinesis หรือ Amazon Redshift เพื่อต่อยอดไปสู่การทำ Application Modernization ได้

4. Disaster Recovery as a Service ประสิทธิภาพสูง

เพิ่มประสิทธิภาพแก่ Disaster Recovery as a Service โดยให้การปกป้องที่เหมาะสมสำหรับ Workload ขนาดใหญ่ที่ใช้พื้นที่จัดเก็บในปริมาณมาก ควบคู่ไปกับการลดค่าใช้จ่ายและความยุ่งยากซับซ้อน รองรับการทำงานอย่างต่อเนื่องของแอปพลิเคชันที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อธุรกิจ ทำให้มั่นใจว่าบริการต่างๆ จะยังคงพร้อมใช้งานแม้จะมีเหตุภัยพิบัติเกิดขึ้น

ผู้ที่สนใจบริการ True IDC VMC Professional Services และ VMware Cloud on AWS ของ True IDC สามารถติดต่อเพื่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือเยี่ยมชมสถานที่จริงได้ที่ sales@trueidc.co.th หรือ โทร 02-980-6611

from:https://www.techtalkthai.com/true-idc-vmc-professional-services-for-vmware-cloud-on-aws/

ก้าวสู่ Hybrid Cloud อย่างมั่นใจ ด้วยบริการ VMware Cloud on AWS จาก CSL

CSL ผู้ให้บริการ Data Center, ระบบ Cloud และ ICT Services แบบครบวงจร เปิดให้บริการ VMware Cloud on AWS สร้างทางเลือกใหม่ให้แก่องค์กรที่ต้องการปรับไปใช้ Hybrid Cloud พร้อมขยาย Data Center และโยกย้าย Workload ขึ้น Cloud ได้อย่างรวดเร็ว ตอบโจทย์ความต้องการของระบบ IT ในยุคดิจิทัลที่ต้องการความยืดหยุ่นและความคล่องตัวสูง

ก้าวเข้าสู่ Hybrid Cloud ด้วย VMware Cloud on AWS

กล่าวได้ว่าในยุคดิจิทัลนี้ เทคโนโลยี Virtualization และ Cloud Computing กลายเป็นพื้นฐานของระบบ IT Infrastructure โดยเฉพาะอย่างยิ่ง VMware และ AWS ต่างได้รับความนิยมสูงสุด หลายองค์กรมีการใช้งานและคุ้นเคยเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม การก้าวออกจากการใช้งานแบบ On-premises และ Cloud ไปสู่ Hybrid Cloud ให้ได้อย่างเต็มตัวนั้นยังถือเป็นเรื่องยาก เนื่องจากเทคโนโลยีหลักที่หลายองค์กรเลือกใช้งานภายใน On-premises Data Center นั้นยังไม่พร้อมที่จะทำงานร่วมกับ Public Cloud ของค่ายต่างๆ ได้อย่างดีนัก

ด้วยเหตุนี้ CSL จึงได้นำเสนอโซลูชันที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างระบบ On-premises และระบบ Cloud เข้าด้วยกัน คือ VMware Cloud on AWS ซึ่งเป็นการนำเทคโนโลยีของ VMware ที่ทุกองค์กรคุ้นเคยไปให้บริการบน AWS Cloud พร้อมเสริมด้วยบริการอันหลากหลายของ AWS เพื่อให้องค์กรต่างๆ ที่ใช้ระบบ VMware อยู่แล้วสามารถเชื่อมต่อ ใช้งาน และโยกย้าย Workload ภายใน On-premises Data Center ขึ้นไปบน VMware Cloud on AWS ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย สร้างทางเลือกในการก้าวไปสู่การพัฒนาระบบ Hybrid Cloud ที่เรียบง่ายและไม่ซับซ้อนขึ้น

Hybrid Cloud ที่ไม่ซับซ้อน ขับเคลื่อนด้วย AWS Cloud

VMware Cloud on AWS เป็นการนำเทคโนโลยี Software-defined Data Center (SDDC) ของ VMware ไปใช้บน AWS Cloud ซึ่งช่วยให้องค์กรสามารถใช้เครื่องมือพื้นฐานของ VMware ได้แก่ vSphere, vSAN, NSX และ vCenter Server บน AWS Cloud ได้แบบเดียวกับที่ใช้ VMware อยู่ในปัจจุบัน โดยไม่จำเป็นต้อซื้อฮาร์ดแวร์ใหม่ เขียนแอปพลิเคชันอีกครั้ง หรือปรับเปลี่ยนการดำเนินการใดๆ ซึ่งบริการดังกล่าวจะจัดเตรียม Infrastructure ทั้งหมดให้โดยอัตโนมัติ พร้อมทั้งปรับสภาพแวดล้อมของระบบ VMware บน AWS Cloud และ On-premises Data Center ให้เข้ากันได้อย่างสมบูรณ์ ลดอุปสรรคในการโยกย้ายหรือขยาย Workload ไปยังระบบ Cloud เพิ่มประสิทธิภาพให้แก่ IT Infrastrucure และเปิดโอกาสใหม่ๆ แก่ธุรกิจจากการใช้ประโยชน์จากการใช้งานแบบ Hybrid Cloud อีกด้วย

นอกจาก VMware Cloud on AWS จะให้บริการบน AWS Cloud ที่มีความเสถียรและความมั่นคงปลอดภัยสูงตามมาตรฐานสากลอย่าง PCI DSS, CSA STAR และ ISO/IEC 27001:2013 แล้ว การดำเนินงานหลังบ้านต่างๆ เช่น การอัปเดตแพตช์และซอฟต์แวร์จะรับผิดชอบโดย VMware อีกด้วย ที่สำคัญคือ สามารถผสานการทำงานของบริการต่างๆ บน AWS เข้าด้วยกัน VMware Cloud ได้ในราคาที่ถูกกว่าและมี Latency ต่ำกว่า เนื่องจากเป็นการเชื่อมต่อภายในระบบ Cloud โดยตรง

ขยาย Data Center/ย้าย Workload/เชื่อมต่อกับ AWS ได้เพียงปลายนิ้ว

VMware Cloud on AWS เหมาะสำหรับองค์กรธุรกิจที่กำลังต้องการย้าย Workload ของระบบ VMware จาก On-premises ขึ้นสู่ Public Cloud หรือต้องการขยายฐาน Data Center ออกไป รวมไปถึงเพิ่มความทันสมัยให้แก่โซลูชัน Disaster Recovery โดยมี Use Cases ที่น่าสนใจ ดังนี้

1. ย้าย Workload ขึ้น Cloud

การใช้พื้นฐานเทคโนโลยีของ VMware เหมือนกันช่วยให้การย้าย Workload จาก On-premises ขึ้นสู่ระบบ Cloud ทำได้ง่ายและรวดเร็ว โดยไม่ต้องแก้ไขหรือปรับโครงสร้างของ Workload ใหม่ รวมไปถึงการย้าย Workload กลับลงมาก็ทำได้โดยทันทีเช่นกัน ช่วยให้องค์กรมี IT Infrastructure ที่พร้อมปรับขนาดของระบบได้อย่างยืดหยุ่น เพื่อตอบสนองความต้องการระยะสั้นหรือที่เกิดขึ้นชั่วคราวได้

2. เชื่อมต่อกับ AWS ได้โดยตรง ต่อยอดบริการใหม่ๆ

การมี Workload บน Cloud ช่วยให้เชื่อมต่อกับบริการต่างๆ ของ AWS เช่น AWS Lambda, Amazon SQS, Amazon S3, Elastic Load Balancing, Amazon RDS, Amazon DynamoDB, Amazon Kinesis, Amazon Redshift ได้แบบ Native เพื่อต่อยอดนวัตกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การจัดเก็บข้อมูล, การวิเคราะห์และประมวลผล, Internet of Things และอื่นๆ ได้อีกด้วย

3. ขยาย Data Center

องค์กรสามารถขยาย Data Center ขึ้นสู่ AWS Cloud และกระจายไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก ขจัดปัญหาเรื่องการสั่งซื้อและบำรุงรักษาอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ด้วยตนเอง ลดภาระของฝ่าย IT ทั้งยังช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งมอบบริการออกสู่ตลาด และช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงบริการได้อย่างรวดเร็ว ยกระดับประสบการณ์ใช้งานให้ลูกค้าพึงพอใจมากยิ่งขึ้น

4. Disaster Recovery as a Service

เมื่อการย้าย Workload ไปมาระหว่าง On-premises และระบบ Cloud ทำได้ง่าย ย่อมทำให้องค์กรสามารถสำรองข้อมูลขึ้นสู่ Cloud หรือสร้างระบบ Disaster Recovery as a Service ได้ง่ายเช่นกัน ซึ่งอาจใช้เครื่องมือของ VMware เองหรือ 3rd Parties อื่นๆ เช่น Veeam ก็ได้ ทำให้มั่นใจว่าข้อมูลสำคัญขององค์กรจะไม่สูญหาย และบริการต่างๆ จะยังคงพร้อมให้บริการลูกค้าแม้จะมีเหตุภัยพิบัติเกิดขึ้น

CSL เปิดให้บริการ VMware Cloud on AWS สร้างความเป็นไปได้อย่างไร้ขอบเขต

CSL เป็นผู้ให้บริการ Data Center, ระบบ Cloud และ ICT Services แบบ One-stop Shop ทั้งยังเป็น Authorized Channel Reseller หรือผู้จัดจำหน่ายบริการของ AWS อย่างเป็นทางการในประเทศไทย รวมไปถึงได้รับการคัดเลือกให้เป็น Partner ทางด้านโซลูชัน VMware Cloud on AWS จาก VMware จึงพร้อมช่วยเหลือองค์กรให้พร้อมใช้งาน Hybrid Cloud ผ่าน VMware Cloud on AWS อย่างครบวงจร ตั้งแต่การประเมิน TCO (Total Cost of Ownership), การแปลงระบบ IT Infrastructure ไปใช้ระบบ Virtualization ของ VMware, การโยกระบบ VMware ขึ้นสู่ Cloud ของ AWS ไปจนถึงการเชื่อมต่อระบบ VMware กับบริการต่างๆ ของทั้ง AWS และ 3rd Parties ชั้นนำอย่าง Veeam, Palo Alto Networks และ Fortinet เพื่อต่อยอดหรือสร้างบริการใหม่ๆ อย่างไร้ขอบเขต

นอกจากนี้ CSL ยังมีบริการ Express Connect สำหรับเชื่อมต่อ Data Center ของลูกค้าไปยัง AWS และ Cloud Providers ชื่อดังอื่นๆ โดยตรง เพื่อลด Latency และค่าใช้จ่ายในการใช้บริการระบบ Cloud ลง ที่สำคัญคือ CSL สามารถช่วยวางแผนการชำระเงินและค้นหาแพ็กเกจการใช้งาน VMware Cloud และ AWS ที่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด เพื่อให้ลูกค้าสามารถใช้บริการได้อย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพสูงสุด รวมไปถึงสามารถออกใบกำกับภาษีในประเทศไทยซึ่งช่วยขจัดปัญหาด้านการชำระภาษีอย่างถูกต้องตามกฎหมายในอนาคตอีกด้วย

ผู้ที่สนใจใช้บริการ VMware Cloud on AWS สามารถติดต่อทีมงาน CSL ได้ที่อีเมล presales@csl.co.th หรือโทร 02-263-8185 หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://dccloud.csloxinfo.com/th/services/vmware-on-aws/

from:https://www.techtalkthai.com/build-hybrid-cloud-using-vmware-cloud-on-aws-by-csl/

5 เหตุผลทำไม Disaster Recovery as a Service ของ CS LOXINFO ถึงเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่ง

ประเทศไทยกำลังเดินหน้าเข้าสู่ยุคธุรกิจดิจิทัล หลายองค์กรทั้งเล็กและใหญ่ต่างเริ่มนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาพลิกโฉมธุรกิจมากยิ่งขึ้น ระบบ IT ถูกนำเข้ามาใช้งานอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนการปฏิบัติงานเชิงธุรกิจ การนำเสนอบริการรูปแบบใหม่ หรือการเพิ่มประสบการณ์ในการให้บริการอันแสนยอดเยี่ยมแก่ลูกค้า

เมื่อระบบ IT เข้ามามีบทบาทในการดำเนินธุรกิจมากขึ้น การทำให้ระบบ IT สามารถให้บริการได้อย่างต่อเนื่องจึงกลายเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจดิจิทัล ถ้าระบบ IT เกิดหยุดชะงัก ไม่ว่าจะเกิดจากเหตุสุดวิสัยอย่างอุปกรณ์มีปัญหาหรือระบบไฟฟ้าขัดข้อง, เหตุภัยพิบัติ เช่น ไฟไหม้ น้ำท่วม เหตุจลาจล หรือภัยคุกคามไซเบอร์ อาจก่อให้เกิดการสูญเสียรายได้ ความน่าเชื่อถือ และภาพลักษณ์ขององค์กรได้

ด้วยเหตุนี้ CS LOXINFO ผู้ให้บริการ ICT Solutions และระบบ Cloud ชั้นนำของไทย จึงให้บริการ Disaster Recovery as a Service (DRaaS) ซึ่งเป็นศูนย์สำรองระบบ IT บน Cloud แบบครบวงจร ช่วยให้องค์กรสามารถดำเนินธุรกิจต่อได้แม้ระบบ IT จะมีปัญหา ซึ่งบริการ DRaaS ของ CS LOXINFO มีจุดเด่นดังนี้

1. ปรับแต่งระบบ Disaster Recovery ตามความต้องการของลูกค้า

CS LOXINFO มีทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษาด้านการสร้างระบบ Disaster Recovery (DR) แบบครบวงจร ตั้งแต่การวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้า การคัดเลือกระบบ IT หลักที่สำคัญที่ควรทำ DR และระบบ IT รองที่ไม่ค่อยสำคัญเพื่อทำ Backup การออกแบบ ติดตั้ง และปรับแต่งระบบ DR ให้สอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจ เพื่อส่งมอบระบบให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าและประหยัดค่าใช้จ่ายมากที่สุด นอกจากนี้ยังมีการเฝ้าระวังและดูแลระบบ DR ของลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมง รวมไปถึงแจ้งเตือนลูกค้าเมื่อมีความผิดปกติเกิดขึ้นกับระบบ DR

2. ทดสอบระบบ Disaster Recovery ประจำปีฟรี

เพื่อให้มั่นใจว่าระบบ DR จะพร้อมใช้งานเมื่อมีเหตุภัยพิบัติหรือสถานการณ์ผิดปกติเกิดขึ้น รวมไปถึงเป็นการปฏิบัติตามข้อกำหนดของมาตรฐานต่างๆ เช่น ISO/IEC 27001:2013 และ ISO 22301:2012 CS LOXINFO ว่าด้วยการทดสอบระบบสำรองอย่างสม่ำเสมอ CS LOXINFO จึงเปิดให้ลูกค้าสามารถทดสอบระบบ DR ประจำปีได้ฟรี โดยไม่คิดค่าบริการใดๆ เพิ่มเติม

3. ระบบ Cloud แบบครบวงจร 2 แห่งให้เลือกใช้บริการ DRaaS

CS LOXINFO มี Cloud 2 แห่งตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ ได้แก่ CW Tower (รัชดาภิเษก) และ The Cloud (เกษตรนวมินทร์) ซึ่งลูกค้าสามารถเลือกใช้บริการ DRaaS บน Cloud แห่งก็ได้ หรือในกรณีที่ระบบ IT หลักตั้งอยู่ใน Data Center หรือ Cloud ของ CS LOXINFO อยู่แล้ว ก็สามารถใช้ Cloud อีกแห่งหนึ่งเป็นศูนย์สำรองได้ทันที โดย Cloud ทั้ง 2 แห่งนี้จะเชื่อมต่อกันผ่านโครงข่าย Fiber Optics ของ CS LOXINFO ที่มีความรวดเร็วและความมั่นคงปลอดภัยสูง

การสร้างระบบ DR ด้วยตนเองทำให้องค์กรต้องรับภาระค่าใช้จ่ายทั้งในส่วนของการลงทุนและการดูแลรักษาระบบในราคาที่สูง ทั้งยังขยายระบบในอนาคตได้ยาก DRaaS เป็นบริการบนระบบ Cloud ซึ่งช่วยขจัดค่าใช้จ่ายในการลงทุนและลดภาระในการดูแลระบบ DR ของฝ่าย IT ให้เหลือน้อยที่สุด โดยคิดค่าบริการเป็นแบบรายเดือนตามปริมาณ CPU, Memory และ Storage ที่ใช้งาน ที่สำคัญคือ ด้วยคุณสมบัติของระบบ Cloud ทำให้รองรับการขยายระบบ IT ได้ง่ายในอนาคต

4. สนับสนุนด้วยเทคโนโลยี Disaster Recovery คุณภาพสูงจาก VEEAM

CS LOXINFO เลือกใช้เทคโนโลยีารสำรองระบบ IT จาก VEEAM ซึ่งเป็นหนึ่งในโซลูชัน Disaster Recovery ที่องค์กรทั่วโลกต่างให้การยอมรับ ช่วยให้ลูกค้าสามารถสำรองระบบ IT ระหว่าง Data Center และ DR Site ได้สะดวกรวดเร็ว รวมไปถึงเมื่อมีเหตุผิดปกติเกิดขึ้น ลูกค้าสามารถย้ายไปใช้ระบบ DR ได้ภายในเวลาไม่กี่นาที ** นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถติดตามผลการสำรองระบบ IT ในแต่ละวันและสถานะของระบบ DR ได้ด้วยตนเองอีกด้วย

** ขึ้นอยู่กับการออกแบบและตั้งค่าระบบ DR โดยกรณีที่ดีที่สุดสามารถย้ายไปใช้งานระบบ DR ได้ภายในเวลา 15 นาที

5. การันตีคุณภาพและความมั่นคงปลอดภัยด้วยมาตรฐานสากลระดับโลก

ในฐานะผู้นำทางด้านการให้บริการ Data Center และระบบ Cloud บริษัท CS LOXINFO พร้อมรับประกันความเชื่อมั่นด้านคุณภาพและความมั่นคงปลอดภัยในการให้บริการ โดยยึดมาตรฐาน IT สำคัญระดับสากลถึง 4 รายการ ได้แก่

  • ISO/IEC 20000-1:2011: มาตรฐานการบริหารจัดการการให้บริการทางด้าน IT
  • ISO/IEC 27001:2013: มาตรฐานการบริหารจัดการด้านความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ
  • ISO 22301:2012: มาตรฐานการบริหารจัดการความต่อเนื่องทางธุรกิจ
  • CSA-STAR: มาตรฐานการรับประกันด้านความมั่นคงปลอดภัยของผู้ให้บริการระบบ Cloud

นอกจากทั้ง 4 มาตรฐานทางด้าน IT แล้ว CS LOXINFO ยังได้รับมาตรฐาน ISO 9001 ซึ่งเป็นมาตรฐานระบบบริหารจัดการคุณภาพ ทำให้ผู้ใช้บริการมั่นใจได้ว่า บริการทั้งหมดของ CS LOXINFO มีคุณภาพ มั่นคงปลอดภัย โปร่งใส และพร้อมให้บริการอย่างต่อเนื่องไม่หยุดชะงัก

ผู้ที่สนใจใช้บริการ Disaster Recovery as a Service โดย CS LOXINFO สามารถติดต่อทีมงานเพื่อขอทราบรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่อีเมล presales@csloxinfo.net หรือโทร 02-263-8185

from:https://www.techtalkthai.com/5-reasons-why-cs-loxinfo-draas-is-the-first-choice/

NTT Communications สรุปเทรนด์ IT และบริการในปี 2018 เตรียมให้บริการ AI ที่รองรับภาษาไทย

ในงานแถลงข่าวของ NTT Communications ทางคุณ Manabu Kahara ประธานบริษัทแห่ง NTT Communications (Thailand) ได้มาสรุปแนวโน้มของเทคโนโลยีไทย และบริการใหม่ๆ จาก NTT Communications ที่จะนำเสนอในอนาคต พร้อมการเปิดเผยว่าจะมีการให้บริการ AI ที่ตอบสนองด้วยภาษาไทยได้ ทางทีมงาน TechTalkThai จึงขอสรุปเนื้อหาให้ทุกท่านได้อ่านกันดังต่อไปนี้ครับ

 

ไทยยังถือเป็นประเทศที่น่าลงทุนในภาพรวมธุรกิจ หากพิจารณาจาก GDP เป็นหลัก

คุณ Manabu Kahara ได้เริ่มด้วยการนำตัวเลข GDP ของไทยมาใช้เล่าถึงความน่าสนใจของประเทศไทย ที่ในอดีตนับแต่ปี 1980 มานั้นไทยเคยมี GDP ติดลบเพียงแค่ 3 ปีเท่านั้น อีกทั้งหากเทียบ GDP ต่อหัวของประชากรในกรุงเทพมหานครกับประชากรในแถบอมเริกาเหนือแล้ว ก็ยังถือว่าสูงกว่ามาก แต่ตัวเลขนี้เองก็มีประเด็นที่ต้องให้ความสนใจ เพราะหากเทียบ GDP ของประชากรในกรุงเทพมหานครกับภูมิภาคอื่นๆ ในไทยแล้ว ความเหลื่อมล้ำก็ยังมีสูงมากเป็นตัวเลขหลายเท่าเลยทีเดียว

ตัวเลขเหล่านี้ได้ชี้ให้เห็นว่าไทยจะต้องเริ่มปรับตัวไปสู่การเป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมซึ่งใช้แรงงานเป็นหลัก ไปสู่การเป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมที่ใช้ความรู้และเทคโนโลยีเป็นหลักในการดำเนินธุรกิจแทน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำดังกล่าวลง

อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจก็คือปริมาณประชากรในไทยที่จะมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2025 ที่คาดว่าจะมีประชากร 66.3 ล้านคน ลดเหลือเพียง 63.8 ล้านคนในปี 2040 และในขณะเดียวกันไทยเองก็กำลังมุ่งเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุ ที่ในปี 2040 นั้นจะเหลือวัยทำงานที่อายุ 15-99 ปีเพียงแค่ 35.1 ล้านคนเท่านั้น ส่วนตัวอย่างประเทศที่มีสัดส่วนประชากรอายุน้อยเยอะอยู่นั้นก็คือเวียดนามและอินโดนีเซีย ซึ่งต่างก็เป็นประเทศที่มีประชากรจำนวนมากกว่าไทยทั้งสิ้น

ญี่ปุ่นเองที่ได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแล้ว คนวัยหนุ่มสาวแต่ละคนต้องสนับสนุนคนแก่มากถึง 2 คนด้วยกัน ซึ่งคุณ Manabu Kahara ก็ได้ออกมาเตือนว่าหากไทยไม่ทำอะไรก็อาจพบปัญหาเดียวกันได้อนาคต ดังนั้นสิ่งที่ต้องเร่งทำในตอนนี้ก็คือการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้ประชากรแต่ละคนสามารถทำงานได้มากขึ้น, มีประสิทธิภาพมากขึ้น และสร้างสิ่งที่มีคุณค่ามากขึ้นออกมาสู่ตลาดให้ได้นั่นเอง

 

NTT Communications พร้อมผลักดันธุรกิจไทยให้ดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการทำ Digital Transformation และบริการ Outsourcing

คุณ Manabu Kahara มองว่าการทำ Digital Transformation จะเป็นหนทางที่ทำให้เหล่าธุรกิจสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วยการนำเทคโนโลยีและข้อมูลเข้ามาช่วย ในขณะที่บริการ Outsourcing ก็จะทำให้เหล่าธุรกิจสามารถใช้

ขยาย Data Center และเครือข่าย เชื่อมธุรกิจใน 6 ประเทศลุ่มน้ำโขงเข้าด้วยกัน

ไทยนั้นจะกลายเป็นฐานบริการ Data Center แก่ 6 ประเทศในแถบลุ่มน้ำโขง โดยปัจจุบันก็เริ่มมีลูกค้าจากประเทศเพื่อนบ้านมาใช้บริการ Bangkok 1 DC และ Bangkok 2 DC แล้ว ส่วนการเชื่อมต่อเครือข่ายนั้นก็ได้ถูกขยายออกไปนอกเหนือจากไทยให้ครอบคลุมทั้งเมียนมาร์, กัมพูชา และลาวด้วย โดยปัจจุบัน NTT Communications ได้มีบริการดังต่อไปนี้แล้ว

  • ให้บริการดูแลลูกค้ามากกว่า 1,000 ราย
  • ให้บริการเครือข่ายด้วยการเชื่อมต่อมากกว่า 5,000 การเชื่อมต่อ
  • ให้บริการ Data Center รวมกันมากกว่า 500 Rack
  • เชื่อมต่อระบบให้เกิดภาพของ Hybrid Cloud, Private Cloud และ Public Cloud ได้ตามต้องการ
  • มี 6 โซลูชันที่จะให้บริการ ได้แก่ Hybrid Cloud, DC/DR, WorkStyle (Mobile Work), Security, CATIA VDI และ SAP

ส่วนปี 2018 นี้ก็จะเริ่มขยาย Ecosystem ด้วยการจับมือกับ Partner ใหม่ๆ และนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้เสริมธุรกิจในลุ่มน้ำโขง เช่น Artificial Intelligence (AI), Robotics Process Automation (RPA) เข้ามาเสริมประสิทธิภาพการทำงานของเหล่าธุรกิจต่างๆ ให้มากขึ้น

 

ภาพรวมบริการจาก NTT Communications สำหรับปี 2018

คุณ Masatoshi Tsuboi ผู้ดำรงตำแหน่ง Vice President/COO of Sales Consulting, Product & Service, Data Center Department ได้ออกมาเล่าถึงรายละเอียดของบริการต่างๆ จากทาง NTT Communications ดังนี้

 

บริการ Managed Service ครอบคลุมทุกความต้องการ

NTT Communications ได้เริ่มให้บริการ Managed Services ในไทยและเหล่าประเทศแถบลุ่มน้ำ
โขงกว่า 30 บริการแล้ว โดยมีบริการหลากหลายที่ครอบคลุมทั้งระบบเครือข่าย, Security, Management และ Data Center

 

แบ่งกลยุทธ์การให้บริการออกเป็น 2 กลุ่มหลักๆ

ด้วยบริการจำนวนมากนี้ ทาง NTT Communications ได้แบ่งระดับของบริการเหล่านี้จะแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม ได้แก่

  • ICT Infrastructure Services เช่น Data Center, ISP, International Network และอื่นๆ
  • Overlay Services เช่น Cloud, SD-WAN, UCaaS, AI และอื่นๆ

 

ส่วนโซลูชันทางธุรกิจที่ NTT Communications จะทำการนำเสนอนั้นจะแบ่งออกเป็น 6 กลุ่ม ได้แก่

  • DC DR เป็นบริการ Data Center และ Disaster Recovery สำหรับธุรกิจองค์กร
  • Hybrid Cloud ปัจจุบันลูกค้าองค์กรกำลังพยายามใช้ Public Cloud และ Private Cloud ร่วมกันให้คุ้มค่า จึงเกิดบริการนี้ขึ้นมาตอบโจทย์
  • Workstyle Renovation เปลี่ยนแปลงการทำงานให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นด้วยการนำเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาช่วยในการทำงานและการสื่อสารให้มีประสิทธิภาพขึ้น
  • 3D VDI ให้บริการ 3D CAD ผ่าน VDI บน Private Cloud ให้ธุรกิจโรงงานและการผลิตสามารถทำการออกแบบได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำลง และเข้าถึงได้จากทุกที่ทุกเวลา
  • SAP บริการ Cloud สำหรับระบบ ERP และ BI ให้แก่เหล่าธุรกิจ โดยใช้เทคโนโลยีของ SAP เป็นหลัก
  • Security มีบริการ Managed Security Service เพื่อช่วยให้สามารถปกป้องระบบและข้อมูลสำคัญขององค์กรได้อย่างปลอดภัยยิ่งขึ้น

 

ส่วนบริการหลักๆ ที่อยากจะผลักดันในปี 2018 มีดังนี้

 

1. Bangkok2 Datacenter หรือ Nexcenter

เป็น Data Center ที่ใหญ่ที่สุดในไทย รองรับ 1,400 ตู้ Rack ได้ด้วยพลังงานระดับ 9.5MW และมีความทนทานระดับสูงที่สามารถรองรับบริการทางด้านการเงินได้ พร้อมรองรับการทำหน้าที่เป็นออฟฟิศสำรองในการทำ BCP และตั้งอยู่ในพื้นที่ที่น้ำท่วมไม่ถึง

 

2. Cloud (Public, Private, Hybrid)

ปัจจุบัน NTT Communications มีบริการ Cloud ใน Data Center 14 แห่งกระจายอยู่ 11 ประเทศ และยังพร้อมให้เบริการ Private Cloud แก่เหล่าลูกค้าองค์กร พร้อมทั้งเชื่อมต่อเครือข่ายและระบบบริหารจัดการเพื่อสร้าง Hybrid Cloud ให้แก่เหล่าธุรกิจองค์กรในประเทศไทยได้

 

3. Multi Cloud Connect by Software Defined Technology

สำหรับเหล่าองค์กรที่มีการใช้บริการ Cloud จากผู้บริการรายใหญ่ทั้ง AWS, MS Azure, Oracle Cloud, IBM Cloud, Google Cloud Platform หรืออื่นๆ ทาง NTT ก็มีบริการเครือข่ายที่จะเชื่อมต่อบริการ Cloud ต่างๆ เข้าด้วยกัน รวมถึงเชื่อมมายังบริการ Cloud ของ NTT Communications เองได้ ทำให้การย้ายระบบข้าม Cloud นั้นเป็นไปได้จริง ตอบโจทย์กลยุทธ์ Multi-Cloud ขององค์กร

 

4. SD-WAN

NTT Communications จะให้บริการ SD-WAN เพื่อให้ธุรกิจที่มีหลายสาขาและใช้บริการ Cloud สามารถทำการเชื่อมต่อเครือข่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน และเชื่อมต่อระบบเครือข่ายระหว่างกันได้อย่างคุ้มค่าและปลอดภัย โดยที่มี Latency ต่ำ ด้วยการใช้ VeloCloud ในการให้บริการ

 

5. AI

จะเริ่มต้นจากบริการ AI Reception ที่รองรับทั้งภาษาไทย, อังกฤษ และญี่ปุ่น เพื่อทำการพูดคุยและโต้ตอบกับลูกค้าได้อย่างชาญฉลาดและแม่นยำด้วยการนำ Machine Learning และ Deep Learning มาใช้วิเคราะห์ทั้งข้อความแชทและเสียงพูดสนทนา รวมถึงมีระบบ Face Recognition สำหรับจดจำใบหน้าของลูกค้าได้ด้วย

ส่วนในอนาคตก็จะมีโซลูชันอื่นๆ ต่อยอดเพิ่มเติมได้ แต่ประเด็นสำคัญคือการรองรับภาษาไทยได้ก็จะทำให้การต่อยอดเกิดขึ้นได้อีกมหาศาลในอนาคต

 

6. IoT, Wearable Devices

NTT Communications ได้ร่วมงานกับ Toray เพื่อพัฒนา hitoe เสื้อที่มีการติดตั้งอุปกรณ์ IoT สำหรับตรวจค่าสัญญาณหัวใจ ส่งไปยังอุปกรณ์อื่นๆ ต่อ เพื่อตอบโจทย์ด้าน Healthcare เป็นหลัก และเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ได้รับความสนใจค่อนข้างมากจากหน่วยงานต่างๆ ในเมืองไทย

 

NTT Communications เตรียมผลักดันบริการ DRaaS และ DaaS ในไทย

ด้วยเหตุการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นบ่อยในไทย รวมถึงภัยคุกคามใหม่ๆ ที่ทำลายข้อมูลสำคัญขององค์กรอย่างเช่น Ransomware ทาง NTT Communications จึงตัดสินใจนำเสนอบริการ DRaaS เพิ่มเติม ให้ธุรกิจต่างๆ สามารถมีสาขาสำรองและสำรองข้อมูลได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องลงทุนสร้าง Data Center ใหม่เอง พร้อมให้บริการ BCP ให้องค์กรย้ายมาทำงานชั่วคราวในพื้นที่ของ Data Center ได้เลย โดยมีบริการระบบเครือข่ายเสริมให้เชื่อมกับ Data Center หลักขององค์กรก็ได้ด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้บริการ DC DR เองก็จะเป็นอีกทางเลือกให้องค์กรไม่ต้องสร้าง Data Center เองเลย แต่ใช้ Data Center ทั้งสองแห่งของ NTT Communications เพื่อรองรับระบบ Production และ DR ได้เลย พร้อม SLA ในระดับ 99.99% สำหรับเกือบทุกบริการ

อีกบริการหนึ่งที่ถูกหยิบมาพูดถึงเป็นพิเศษคือ Desktop as a Service ที่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในองค์กรสำหรับการบริหารจัดการและแก้ไขปัญหาระบบ Dekstop และ Notebook ภายในองค์กร ด้วยการนำ Virtual Desktop Infrastructure (VDI) เข้ามาให้บริการในรูปแบบของ Cloud ให้องค์กรเลือกใช้งานได้ตามต้องการ และบริหารจัดการได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องลงทุนระบบ VDI ด้วยตนเองซึ่งมักมีราคาสูง

 

ก็จบเพียงเท่านี้สำหรับการแถลงข่าวในครั้งนี้ครับ

from:https://www.techtalkthai.com/ntt-communications-2018-it-trends-and-thai-ai-service/

แนะนำ Azure AD และ Azure Site Recovery สำหรับองค์กรในยุค Cloud First

เทคโนโลยีระบบ Cloud ไม่ว่าจะเป็น Private, Public หรือ Hybrid Cloud ต่างเริ่มถูกนำมาใช้งานภายในองค์กรมากขึ้น ด้วยความยืดหยุ่นในการใช้งาน สามารถเข้าถึงบริการจากที่ไหนก็ได้ การลดภาระของผู้ดูแลระบบในการอัปเดตซอฟต์แวร์และแพตช์ด้านความมั่นคงปลอดภัยต่างๆ และที่สำคัญคือการลดต้นทุนการใช้อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ ทำให้หลายองค์กรเริ่มวางกลยุทธ์การลงทุนระบบ IT ด้วยนโยบาย Cloud First แทน

เพื่อสนับสนุนการใช้ระบบ Cloud โดยเฉพาะอย่างยิ่งแอปพลิเคชันประเภท SaaS เช่น Office 365 ที่มีการใช้งานอย่างกว้างขวาง VST ECS (Thailand) (หรือเดิมชื่อ The Value Systems) จึงได้แนะนำ Azure Active Directory ซึ่งเป็นโซลูชันการบริหารจัดการตัวตนและการเข้าถึงสำหรับระบบ Cloud โดยเฉพาะ เพื่อให้สามารถพนักงานในองค์กรสามารถใช้ SaaS ได้อย่างไร้รอยต่อและมั่นคงปลอดภัย รวมไปถึงโซลูชัน Azure Site Recovery เพื่อให้บริการ DRaaS สำหรับเพิ่มความต่อเนื่องในการให้บริการเมื่อเกิดเหตุภัยพิบัติในราคาที่ถูกกว่าการตั้งศูนย์สำรองปกติ

ทำ SSO และควบคุมการเข้าถึง SaaS ด้วย Azure Active Directory

Azure Active Directory หรือ Azure AD เป็นบริการ Identity & Access Management สำหรับควบคุมการเข้าถึงระบบ Cloud ซึ่งช่วยให้องค์กรสามารถทำ Single Sign-on ระหว่างระบบใน Data Center และระบบ Cloud ได้อย่างไร้รอยต่อ นั่นหมายความว่า หลังจากที่พนักงานในองค์กรทำการพิสูจน์ตัวตนเข้าสู่ระบบผ่าน AD ใน Data Center แล้ว จะสามารถเข้าใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ บนระบบ Cloud ไม่ว่าจะเป็น Office 365, Dynamic CRM Online, SalesForce.com หรือ Dropbox ได้ทันที โดยไม่ต้องพิสูจน์ตัวตนซ้ำอีกครั้ง

คุณสมบัติเด่นของ Azure AD ได้แก่

  • รองรับการพิสูจน์ตัวตนแบบ Multi-factor Authentication เสริมความแข็งแกร่งในการตรวจสอบผู้ใช้งานก่อนเข้าถึงแอปพลิเคชัน
  • Self-service Password Management และ Self Service Group Management สำหรับให้ผู้ใช้สามารถรีเซ็ตรหัสผ่านและบริหารจัดการกลุ่มของตนได้ด้วยตัวเอง
  • รองรับการทำงานร่วมกับ Cloud Applications ที่พัฒนาขึ้นมาเอง เพื่อให้จัดการเรื่อง SSO และสิทธิ์ในการใช้งานได้ผ่านทาง SAML 2.0, WS-* Protocol, OpenID และ OAuth
  • ให้บริการภายใต้โครงข่ายมาตรฐานสูงของ Microsoft โดยรองรับ SLA ที่ 99.9%

Azure AD มีแผนการใช้งานให้เลือกให้ 4 แบบ คือ Free, Basic, Premium 1 และ Premium 2 สำหรับผู้ใช้ Office 365 หรือ Microsoft Azure จะสามารถเรียกใช้ Azure AD แบบ Free ได้ทันที โดยรองรับฟีเจอร์พื้นฐาน ได้แก่ Directory Objects, User/Group Management, User-based Provisioning, Device Registration, SSO, Self-service Password Change, Connect, Reporting ในขณะที่แบบ Basic จะมีการเพิ่มฟีเจอร์ Group-based access management/provisioning, Self-Service Password Reset for cloud users, Application Proxy และ SLA เข้ามา และสุดท้ายแบบ Premium จะรองรับการทำงานทุกฟีเจอร์ สามารถดูรายการฟีเจอร์ทั้งหมดพร้อมเปรียบเทียบแต่ละแบบได้ที่ https://azure.microsoft.com/en-us/pricing/details/active-directory/

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม: https://azure.microsoft.com/en-us/services/active-directory/

ตั้งศูนย์สำรองอย่างรวดเร็วในราคาประหยัดด้วย Azure Site Recovery

Azure Site Recovery เป็นบริการ Disaster Recovery as a Service หรือศูนย์สำรองบนระบบ Cloud ซึ่งช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถสำรองข้อมูล Virtual Machine จาก Data Center ไปยัง Microsoft Azure และกู้คืนระบบเมื่อเกิดภัยพิบัติได้ทันที โดยที่ผู้ใช้บริการไม่ต้องลงทุนด้านอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกอื่นๆ เช่น ระบบไฟฟ้า ระบบปรับอากาศ และการบำรุงรักษาสถานที่แต่อย่างใด Azure Site Recovery นี้รองรับการสำรองข้อมูลของทั้ง Microsoft Hyper-V, VMware และ Physical Server รูปแบบอื่นๆ

จุดเด่นสำคัญของ Azure Site Recovery คือ ระบบสำรองบน Microsoft Azure ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows หรือรันซอฟต์แวรของ Microsoft สามารถใช้งานได้ฟรี โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายด้าน License ของซอฟต์แวร์ ซึ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการจัดตั้งศูนย์สำรองลงได้มหาศาล ที่สำคัญคือการันตีด้วย SLA ระดับ 99.9%

สนใจรายละเอียดเพิ่มเติม ศึกษาต่อได้ที่นี่: https://azure.microsoft.com/en-us/services/site-recovery/

VST ECS ผู้เชี่ยวชาญด้านการติดตั้ง Azure AD และ Azure Site Recovery

VST ECS (Thailand) (หรือเดิมชื่อ The Value Systems) เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์และบริการของ Microsoft อย่างเป็นทางการในประเทศไทย วิศวกรและทีมงานขายผ่านการอบรมและได้ใบรับรองของ Microsoft หลายรายการ ไม่ว่าจะเป็น MCSE Cloud Platform and Infrastructure, MCSA Windows Server 2012/2016 และ MCSA Office 365 ทีมงานมีประสบการณ์ในการติดตั้ง Azure AD และ Azure Site Recovery ในอุตสาหกรรมต่างๆ มานานหลายปี ทำให้เข้าใจถึงธุรกิจและความต้องการของลูกค้า และพร้อมแนะแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด (Best Practices) เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างครบถ้วน

บริการของ VST ECS (Thailand) ครอบคลุมตั้งแต่การเก็บรวบรวมความต้องการ ออกแบบ ติดตั้ง ปรับแต่งการตั้งค่าให้ดีที่สุด และซัพพอร์ตตลอดเวลาแบบ 7/24 นอกจากนี้ยังช่วยจัดการเรื่องแผนค่าใช้จ่ายขององค์กรเมื่อจำเป็นต้องชำระเงินเป็นแบบ Subscription รายเดือน ซึ่งช่วยให้องค์กรที่จำเป็นต้องจัดสรรงบประมาณล่วงหน้า เช่น หน่วยงานรัฐ หรือสถานศึกษา สามารถวางแผนใช้บริการ Azure AD และ Azure Site Recovery ได้อย่างต่อเนื่อง

Credit: ShutterStock.com

สั่งซื้อ Azure AD และ Azure Site Recovery ผ่าน VST ECS (Thailand) ในราคาพิเศษ

VST ECS (Thailand) พร้อมนำเสนอโซลูชัน Azure AD และ Azure Site Recovery ในราคาพิเศษ คุ้มค่าในการลงทุนและเป็นการจ่ายเงินตามการใช้งานจริง นอกจากนี้ VST ECS (Thailand) ยังมีทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษาในการออกแบบและติดตั้ง Azure AD และ Azure Site Recovery ตามแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดอีกด้วย เพื่อให้มั่นใจว่าองค์กรสามารถใช้งานโซลูชันทั้งสองได้ตรงกับความต้องการทางธุรกิจ

ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่อีเมล es-cloud@vstecs.co.th หรือโทร 090-1975489

from:https://www.techtalkthai.com/azure-ad-and-azure-site-recovery-for-cloud-first-era/

Veeam แจกฟรี E-Book เรื่อง DRaaS for Dummies สอนพื้นฐานการทำ Disaster Recovery ไปยัง Cloud

สำหรับเหล่าผู้ดูแลระบบที่กำลังพิจารณาระบบ Disaster Recovery (DR) อยู่ ทาง Veeam ได้ออกมาแจกฟรี E-Book เรื่อง DRaaS for Dummies เพื่อให้เหล่าผู้ดูแลระบบได้ศึกษาการทำ Disaster Recovery ไปสู่ Cloud ว่ามีประเด็นใดต้องพิจารณาเพิ่มเติมบ้าง เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่มีความคุ้มค่าสูงกว่า เมื่อเทียบกับการลงทุนสร้าง Data Center เอง

 

ภายใน E-Book ฉบับนี้จะประกอบไปด้วยเนื้อหาทั้งสิ้น 5 บท ความยาว 53 หน้า ครอบคลุมทั้งการปูพื้นฐานด้านเทคโนโลยีและข้อควรคำนึงในเชิงเทคนิคและเชิงธุรกิจ ดังต่อไปนี้

  • บทที่ 1 ทำความเข้าใจกับ Disaster Recovery as a Service (DRaaS) ว่าโดยเบื้องต้นนั้นการทำ DR มีคำศัพท์อะไรที่ต้องรู้จักบ้าง และเมื่อเปลี่ยนมาเป็น DRaaS แล้วจะมีคำศัพท์อะไรเพิ่มเติมขึ้นมาบ้าง พร้อมปูพื้นฐานความแตกต่างตั้งแต่เรื่องของ Backup และ Replication
  • บทที่ 2 แนวทางการกำหนด Requirement สำหรับโครงการประเภท DR ทั้งสำหรับระบบที่มีขนาดเล็กและขนาดใหญ่, การเลือกใช้ Cloud ประเภทต่างๆ และการจัดการด้าน Security และ Compliance รวมถึงการจัดการกับระบบเครือข่าย
  • บทที่ 3 การติดตั้งระบบ DRaaS บทนี้จะครอบคลุมเนื้อหาในส่วนของการเลือก Service Provider, การวางแผนโครงการ, การจัดการทรัพยากร และการให้บริการ DRaaS ภายในองค์กรด้วยกันเอง
  • บทที่ 4 งานที่ต้องทำเพิ่มสำหรับระบบ DRaaS ที่จะเจาะลึกถึงขั้นตอนที่เหล่าผู้ดูแลระบบจำเป็นต้องทำเพิ่มเมื่อมีการใช้งานระบบ DRaaS เช่น การตรวจสอบ Network Traffic, การทำ Failover, การทำ Failback, การทดสอบระบบ DR และการวางแผนสร้าง Exit Strategy
  • บทที่ 5 10 ประโยชน์ที่ธุรกิจจะได้รับจากระบบ DRaaS เป็นการสรุป 10 ข้อดีของการทำ DRaaS ในแง่มุมต่างๆ

ผู้ที่สนใจสามารถกรอกแบบฟอร์มเพื่อโหลด E-Book ในหัวข้อ DRaaS for Dummies นี้ได้ทันทีที่ https://go.techtalkthai.com/2017/11/veeam-free-e-book-on-draas-for-dummies/

from:https://www.techtalkthai.com/veeam-free-e-book-on-draas-dummies/

INET จับมือกับ Oracle เปิดตัว INET SPARC on Cloud พร้อมให้ทดลองใช้ฟรี

   

บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ INET ร่วมกับ Oracle ประเทศไทยประกาศเปิดตัว INET SPARC on Cloud พร้อมให้บริการแพลตฟอร์ม Oracle SPARC และระบบปฏิบัติการ Solaris บนระบบ Cloud ในประเทศไทย ตอบโจทย์ผู้ใช้ซอฟต์แวร์ Oracle เช่น ระบบฐานข้อมูล ที่ต้องการเปลี่ยนไปใช้ระบบ Cloud สมรรถนะสูง หรือวางระบบ Disaster Recovery-as-a-Service

SPARC IaaS แห่งแรกในประเทศไทย

ซอฟต์แวร์ของ Oracle เช่น Oracle Database เป็นพื้นฐานของระบบสำคัญ เช่น แอพพลิเคชันระดับ Mission Critical ขององค์กร ซึ่งส่วนใหญ่นิยมใช้ระบบปฏิบัติการ Solaris เนื่องจากจุดเด่นด้านความเสถียรและความต่อเนื่องในการให้บริการ ประกอบกับการพัฒนาแบบ Agile ซึ่งมีการเพิ่มคุณสมบัติใหม่ๆ เข้าไปอย่างต่อเนื่อง

เมื่อเข้าสู่ยุค Digital หลายองค์กรเริ่มสนใจนำระบบ Cloud เข้ามาใช้ แต่ผู้ให้บริการระบบ Cloud ในไทยส่วนใหญ่มักให้บริการแพลตฟอร์ม Intel x86 ซึ่งเหมาะสำหรับการใช้งานแอพพลิเคชันทั่วไป องค์กรที่ต้องการใช้ระบบปฏิบัติการ Solaris หรือแพลตฟอร์ม Oracle SPARC จำเป็นต้องซื้อเซิร์ฟเวอร์ แล้วนำมา Co-Location ที่ Data Center ของผู้ให้บริการ และยังต้องดูแลรักษาเซิร์ฟเวอร์ด้วยตนเองอีกด้วย ทำให้สิ้นเปลือง CapEx และ OpEx เป็นอย่างมาก

INET เล็งเห็นถึงปัญหาดังกล่าว จึงจับมือกับ Oracle เพื่อให้บริการ INET SPARC on Cloud ซึ่งเป็น SPARC IaaS รายแรกในประเทศไทยสำหรับสนับสนุนการใช้แอพพลิเคชันระดับ Mission Critical บนระบบ Cloud โดยเฉพาะ ตอบรับกระแสการส่งผ่านเทคโนโลยีจาก Data Center ไปสู่ระบบ Cloud ซึ่งใช้ต้นทุนต่ำกว่า บำรุงรักษาง่ายกว่า และขยายระบบได้อย่างไร้ขีดจำกัด

ออกแบบมาสำหรับ DRaaS และการใช้ซอฟต์แวร์ของ Oracle โดยเฉพาะ

INET SPARC on Cloud เป็นโครงข่ายพื้นฐานที่สนับสนุนโดยระบบฮาร์ดแวร์เซิร์ฟเวอร์ของ Oracle รุ่นล่าสุดที่ผ่านการออกแบบเชิงวิศวกรรมมาเป็นอย่างดี อัดแน่นด้วยคุณสมบัติต่างๆ สำหรับเพิ่มประสิทธิภาพและความมั่นคงปลอดภัยของการใช้ซอฟต์แวร์ Oracle ให้ถึงขีดสุด

คุณสมบัติสำคัญของระบบปฏิบัติการ Solaris และซอฟต์แวร์ Oracle คือ “Binary Compatibility” ซึ่งช่วยให้สามารถติดตั้ง Solaris เวอร์ชันเก่าบนฮาร์ดแวร์รุ่นล่าสุดของ Oracle ได้อย่างไร้ปัญหา รวมไปถึงแอพพลิเคชันต่างๆ ที่พัฒนาบน Solaris เวอร์ชันเก่า ก็สามารถนำมาใช้บน Solaris เวอร์ชันใหม่และฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ได้ด้วยเช่นกัน ผลลัพธ์คือลูกค้าสามารถส่งผ่านระบบของ Oracle ทั้งหมดจาก Data Center มาไว้ที่ระบบ Cloud ของ INET หรือใช้เป็น DR Site ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย

สำหรับผู้ใช้ซอฟต์แวร์ Oracle บนแพลตฟอร์ม UNIX หรือฮาร์ดแวร์สถาปัตยกรรม Intel x86 การเปลี่ยนมาใช้ SPARC IaaS นอกจากจะช่วยเพิ่มความต่อเนื่องในการทำงาน (Availability) และสามารถขยายระบบในอนาคตได้ง่ายแล้ว ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ซอฟต์แวร์ Oracle ขึ้นอีกหลายเท่าตัว ต้องขอบคุณคุณสมบัติ “Software in Silicon” ซึ่งเป็นการนำฟังก์ชันที่ใช้งานบ่อยบนซอฟต์แวร์ มาทำงานบนระดับ CPU แทน ที่สำคัญที่สุดคือ การใช้ซอฟต์แวร์ Oracle บนฮาร์ดแวร์ของ Oracle จะช่วยลดค่า License ลงได้มากถึง 50% ส่งผลให้ลูกค้าสามารถนำงบค่า License ส่วนที่เหลือมาดำเนินโครงการ DR Site ได้ เรียกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกถึง 3 ตัว

ระบบ Cloud ในประเทศ พร้อมผู้เชี่ยวชาญให้บริการแบบ 7/24

จุดเด่นสำคัญของบริการ INET SPARC on Cloud เมื่อเทียบกับผู้ให้บริการ Public Cloud ต่างประเทศ เช่น Amazon Web Services หรือ Microsoft Azure คือ INET มี Data Center อยู่ในประเทศไทยถึง 3 แห่ง ทำให้มั่นใจได้ว่าลูกค้าสามารถเข้าถึงบริการบนระบบ Cloud ได้อย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง โดยไม่ต้องกังวลว่าข้อมูลจะรั่วไหลออกนอกประเทศ ที่สำคัญคือ มีวิศวกรผู้เชี่ยวชาญทางด้าน Oracle SPARC และ Solaris โดยเฉพาะ ซึ่งพร้อมให้คำปรึกษาและให้การสนับสนุนแบบ 7/24 นอกจากนี้ INET ยังจับมือกับพาร์ทเนอร์หลายรายพร้อมให้บริการโซลูชันของ Oracle แบบครบวงจร ช่วยลดภาระของฝ่าย IT และลูกค้าสามารถโฟกัสกับการดำเนินธุรกิจของตนได้อย่างไร้กังวล

การันตีความมั่นคงปลอดภัยด้วย CSA-STAR และ ISO/IEC 27001:2013

INET ให้บริการภายใต้คอนเซ็ปต์ “Trusted Cloud” เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นด้านคุณภาพและความมั่นคงปลอดภัยในการใช้ SPARC IaaS โดยผ่านมาตรฐานสำคัญระดับสากลถึง 3 รายการ ได้แก่

  • ISO/IEC 20000-1:2011: มาตรฐานระบบบริหารจัดการการให้บริการทางด้าน IT
  • ISO/IEC 27001:2013: มาตรฐานระบบบริหารจัดการด้านความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ
  • CSA-STAR: มาตรฐานการรับประกันด้านความมั่นคงปลอดภัยของผู้ให้บริการระบบ Cloud (รายแรกของประเทศไทย)

ทำให้มั่นใจได้ว่า ระบบและข้อมูลสำคัญของลูกค้ามีความถูกต้อง ถูกปกปิดเป็นความลับ และพร้อมใช้บริการได้อย่างต่อเนื่อง รับประกันคุณภาพสูงด้วย Service Level Agreement (SLA) ระดับมาตรฐานสากล

“INET มีบริการย้ายระบบขึ้น SPARC Infrastructure Cloud โดยพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญ ให้ลูกค้าเลือกใช้งานได้ตามความเหมาะสม และด้วยราคาที่เสนอสำหรับลูกค้าไทย นับเป็นการบริการ Cloud ระดับ Enterprise-class ที่คุ้มค่า โดยจะทำการติดตั้งบน Data Center ของเราซึ่งผ่านมาตรฐาน ISO/IEC 27001:2013 ทั้งหมด และยังช่วยให้ลูกค้าของเราปฏิบัติตามกฎ Data Sovereignty อีกด้วย” — คุณมรกต กุลธรรมโยธิน กรรมการผู้จัดการของ INET กล่าว

พร้อมให้บริการ 4 Packages เริ่มต้นที่ 2 vCPU

INET SPARC on Cloud พร้อมให้บริการตั้งแต่บริษัทระดับ SME ไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ โดยแบ่ง Package การใช้งานออกเป็น 4 ระดับ คือ S, M, L และ XL ตามปริมาณทรัพยากรที่ใช้ ดังแสดงในรูปด้านล่าง ลูกค้าสามารถปรับเพิ่มลดทรัพยากรได้อย่างอิสระและเลือกได้ว่าจะชำระค่าบริการเป็นแบบรายเดือนหรือตามการใช้งานจริง ที่สำคัญคือ Package S เริ่มต้นที่ 2 vCPU เท่านั้น เมื่อเทียบกับการซื้อเซิร์ฟเวอร์ SPARC S7 ขนาดเล็กที่สุด 16 Cores หรือ 128 vCPU แล้ว ถือว่าประหยัดเงินลงทุนเป็นอย่างมาก เหมาะสำหรับบริษัทขนาดเล็กและขนาดกลางที่มีงบประมาณจำกัด

ผู้ที่สนใจใช้บริการ INET SPARC on Cloud สามารถลงทะเบียนเพื่อขอทดลองใช้งานฟรีได้ที่ http://www.inet.co.th/sparc/

ปัจจุบัน มีลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชนหลายราย เช่น บริษัทในภาคอุตสาหกรรมการผลิตและสถาบันการศึกษา เริ่มใช้บริการ INET SPARC on Cloud แล้ว ผลตอบรับเป็นที่น่าพอใจทั้งด้านความเสถียรของระบบและความคุ้มค่า ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการได้ที่ INET Call Center โทร 02-257-7000 หรืออีเมล info@inet.co.th หรือดูรายละเอียดได้ที่ http://www.inet.co.th/sparc/

from:https://www.techtalkthai.com/inet-sparc-on-cloud/

เปรียบเทียบความแตกต่างของระบบ Disaster Recovery แบบ On-premises และ Cloud

ez-cloud_banner

การทำ Disaster Recovery จะยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้นสำหรับทุกองค์กรในทุกวันนี้ และความนิยมในการทำ Disaster Recovery บน Cloud เป็นบริการแบบ Disaster Recovery-as-a-Service หรือ DRaaS เองก็กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ทางทีมงาน EZ-Cloud ในฐานะของผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยี Disaster Recovery สำหรับองค์กรจึงขอสรุปความแตกต่างของการลงทุนทำระบบ Disaster Recovery แบบ On-premises เปรียบเทียบกับ Cloud ให้ทุกท่านได้อ่านกันอย่างง่ายดาย ดังนี้

ez-cloud_banner

ประเด็นทางด้านความลับของข้อมูลองค์กร

สำหรับข้อมูลที่เป็นความลับขององค์กร ซึ่งมีความละเอียดอ่อนสูงนั้น ก็เป็นปัจจัยหลักที่องค์กรส่วนใหญ่มักจะเลือกใช้ On-premises Data Center ในการทำ Disaster Recovery เพื่อเชื่อว่าข้อมูลเหล่านี้จะปลอดภัยยิ่งกว่าการฝากข้อมูลเหล่านี้เอาไว้บนระบบ Cloud

แต่ในความเป็นจริงแล้ว Cloud Data Center ที่ถูกออกแบบมาสำหรับการทำ Disaster Recovery โดยเฉพาะนั้น จะถูกออกแบบให้ไม่สามารถเข้าถึงได้จาก Public IP และต้องเชื่อมต่อกับ Data Center ขององค์กรผ่าน Private Link เท่านั้น ทำให้ช่องทางที่จะถูกโจมตีหรือขโมยข้อมูลออกไปได้นั้นมีน้อยมาก ในขณะที่ระบบจัดเก็บข้อมูลนั้นก็เป็นแบบ Multi-tenant ทำให้ข้อมูลและระบบงานของแต่ละองค์กรที่ถูกจัดเก็บอยู่ภายใน Cloud Data Center แห่งเดียวกันนั้นไม่สามารถเข้าถึงกันได้

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ Cloud Disaster Recovery กลายเป็นทางเลือกที่มีความสามารถในการปกป้องข้อมูลได้ทัดเทียมกับ On-premises Data Center แล้ว

 

ประเด็นทางด้านการรักษาความปลอดภัยของระบบงานในองค์กร

เรื่องของ Security เองก็เป็นประเด็นสำหรับสำหรับศูนย์ข้อมูลสำรอง ซึ่งโดยทั่วไปการลงทุนระบบ Disaster Recovery เองนั้นก็ต้องมีการลงทุนระบบรักษาความปลอดภัยสำรองเอาไว้ด้วยเช่นกัน เพื่อให้ระบบที่จะขึ้นในฝั่งของศูนย์ข้อมูลสำรองนั้นสามารถทำงานทดแทนศูนย์ข้อมูลหลักได้อย่างสมบูรณ์

เพื่อลดค่าใช้จ่ายลงในการลงทุน Disaster Recovery บน On-premises Data Center ทุกวันนี้จึงนิยมลงทุนระบบรักษาความปลอดภัยในแบบ Virtual Appliance เพื่อลดความซับซ้อนในการติดตั้งใช้งานและดูแลรักษาไปด้วยในตัว ซึ่งในแง่มุมนี้ระบบ Disaster Recovery บน Cloud นั้นก็สามารถรองรับได้ไม่ต่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบ Cloud ของ EZ-Cloud ที่ใช้ VMware เป็นเทคโนโลยีระบบ Hypervisor แบบเดียวกับที่องค์กรนิยมใช้งานอยู่แล้ว

ez-cloud-diagram

ประเด็นทางด้านความง่ายในการเพิ่มขยายพื้นที่จัดเก็บข้อมูล

ในการลงทุน On-premises Disaster Recovery Data Center นั้น องค์กรจำเป็นจะต้องมีการลงทุนระบบ Storage และ Storage Network ให้มีพื้นที่ความจุเผื่อเอาไว้สำหรับการทำ Backup ย้อนหลัง และการเผื่อเพิ่มเติมพื้นที่ในอนาคตโดยไม่ต้องมี Downtime ในขณะที่ระบบ Cloud Disaster Recovery นั้นจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับองค์กรได้ด้วยความสามารถในการเพิ่มขยายพื้นที่ความจุได้ทันทีที่ต้องการ ทำให้องค์กรสามารถลงทุนได้แบบ Pay as You Grow หรือการจ่ายตามปริมาณที่ใช้งานจริงอย่างแท้จริง

 

ประเด็นทางด้านบริการเสริมต่างๆ ในการกู้คืนระบบหรือข้อมูลจริง

นอกเหนือจากการลงทุนทางด้าน Facility ในระบบ On-premises Disaster Recovery แล้ว องค์กรเองก็ยังต้องมีการออกแบบหรือจ้างบุคลากรสำหรับการดำเนิน Operation ต่างๆ ที่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็นการดูแลรักษาระบบ, การตรจสอบการทำงานและการสำรองข้อมูลของระบบ, ทีมงานสำหรับกู้คืนระบบ และทีมงานสำหรับดูแลรักษาทางด้านความปลอดภัย

บริการ Disaster Recovery-as-a-Service โดยส่วนมากรวมถึงบริการของ EZ-Cloud ด้วยนั้น จะมีทีมงานที่คอยช่วยเหลือในการจัดการศูนย์ข้อมูลสำรองบน Cloud ให้ทั้งหมด ทำให้องค์กรไม่ต้องวุ่นวายในการดูแลรักษาระบบต่างๆ ด้วยตัวเอง และยังประหยัดค่าใช้จ่ายในการจ้างทีมงานเพิ่มเติมอีกด้วย

ez-cloud_inside_ez_cloud

จะเห็นได้ว่าทั้งการลงทุนระบบ Disaster Recovery แบบ On-premises และแบบ Cloud นั้นต่างก็มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันไป และเพื่อให้ง่ายต่อการตัดสินใจทาง EZ-Cloud จึงสรุปข้อดีของแต่ละทางเลือกเอาไว้ดังนี้

 

สรุปข้อดีของการทำ Disaster Recovery แบบ On-premises

  • องค์กรได้ลงทุนเองและดูแลรักษาระบบศูนย์ข้อมูลสำรองด้วยตัวเองทั้งหมด
  • สามารถออกแบบ Data Center ได้ตามระดับมาตรฐานที่ต้องการ
  • สามารถเลือกใช้เทคโนโลยีต่างๆ ในการทำ Disaster Recovery ได้อย่างอิสระ
  • สามารถเพิ่มเติมเทคโนโลยีในการรักษาความปลอดภัยแบบ Virtual และ Physical ได้อย่างอิสระ

 

สรุปข้อดีของการทำ Disaster Recovery แบบ Cloud

  • สามารถเริ่มต้นทำ Disaster Recovery ได้แทบจะทันทีอย่างรวดเร็ว
  • องค์กรสามารถเลือกผู้ให้บริการที่ให้บริการได้ตามมาตรฐานที่ต้องการ โดยไม่ต้องลงทุนสร้างเองหรือจ้างพนักงานเพิ่มเติมมาดูแลเอง
  • สามารถทดสอบเทคโนโลยีในการทำ Disaster Recovery ของผู้ให้บริการแต่ละรายได้ทันที ทำให้สามารถมั่นใจในการใช้งานได้
  • ยืดหยุ่นทางด้านค่าใช้จ่ายในการลงทุน และพร้อมต่อยอดไปเป็นระบบ Hybrid Cloud
  • สามารถเพิ่มเติมเทคโนโลยีในการรักษาความปลอดภัยแบบ Virtual ได้อย่างอิสระ

 

ez_cloud_logo

สำหรับผู้ที่สนใจใช้บริการ Cloud Disaster Recovery หรือ Disaster-Recovery-as-a-Service สามารถเข้าชมเว็บไซต์ของ EZ-CLOUD ได้ที่ https://www.ez-cloud.net/ ทันที หรือโทร (+66) 02-579-9452 ได้เช่นกัน

from:https://www.techtalkthai.com/on-premises-disaster-recovery-vs-cloud-disaster-recovery/

มาทำความรู้จัก UNITRENDS ALL-IN-ONE SOLUTION ที่จะพลิกโฉมวงการ BACKUP SOLUTION

 

unitrends_banner

Unitrends เป็นอีกหนึ่งในผู้ผลิตโซลูชั่นทางด้านการสำรองข้อมูล (Backup) และการสำเนาข้อมูล (Disaster Recovery/DR) ที่มีชื่ออยู่ใน Gartner’s Magic Quadrant for Enterprise Backup Software and Integrated Appliances ของปี 2015 ที่ผ่านมา และเริ่มเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย เพื่อให้องค์กรต่างๆ ในไทยได้มีทางเลือกเพิ่มเติมสำหรับเทคโนโลยี Data Center Backup ที่นับวันจะยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นสำหรับองค์กรต่างๆ

unitrends_01

Unitrends ALL-IN-ONE DATA PROTECTION

ถ้าพูดถึงเทคโนโลยีทางด้านการทำ Backup และ Disaster Recovery หลายๆ คนก็คงทราบพื้นฐานเรื่องเหล่านั้นกันดีอยู่แล้ว เพราะ Backup และ DR นั้นก็ถือเป็นเทคโนโลยีที่อยู่คู่กับวงการ Enterprise IT มาช้านาน ดังนั้นเราจึงขอข้ามมาทำความรู้จักกับ Unitrends กันก่อน ว่า Unitrends มีความสามารถที่แตกต่างจากซอฟท์แวร์แบ็คอัพตัวอื่นๆ อย่างไรกันบ้าง

unitrends_02

  • All-in-one Solution เป็นโซลูชั่นที่มีทั้ง Integrated Backup, Replication, Deduplication, Archive และ Instant Recovery ในโซลูชั่นเดียว ทำให้สามารถทำการสำรองข้อมูลได้อย่างครบวงจรจบภายในระบบเดียว
  • Heterogeneous Protection รองรับการแบ็คอัพทั้งสำหรับระบบที่เป็น Virtual และ Physical ซึ่งรวมถึงระบบปฏิบัติการ และซอฟท์แวร์รวมทั้งสิ้นกว่า 220 เวอร์ชั่น อีกทั้งยังรวมถึงการสำรองข้อมูลร่วมกับระบบ Storage ที่ใช้งานภายในองค์กร และยังรองรับการสำรองข้อมูล Docker Container ได้อีกด้วย
  • Flexible Virtual Protection รองรับการแบ็คอัพได้ทั้งในระดับ Host และ Guest ของระบบ Virtualization ไม่ว่าจะเป็น VMware vSphere, Microsoft Hyper-V, และ Citrix XenServer
  • Protects Large Scale Deployments รองรับการเชื่อมต่อเข้ากับ NAS, SAN เพื่อแบ็คอัพผ่าน NDMP
  • Cloud-Empowered and Third-party Cloud Integration รองรับทั้ง Unitrends Cloud และ Unitrends Disaster Recovery Services (DRaaS) หรือบริการ Cloud จากผู้ให้บริการรายอื่น เช่น AWS S3, Google Cloud Storage, Google Nearline และ Rackspace CloudFiles เป็นต้น
  • Adaptive Deduplication มีการนำ Deduplication ในระดับ Byte และการทำ Inline Deduplication มาทำงานร่วมกัน เพื่อเพิ่มความเร็วในการแบ็คอัพ เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บข้อมูล และเพิ่มความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลไปพร้อมๆ กัน
  • Radically Simple User Experience อินเตอร์เฟสแบบใหม่ ช่วยลดเวลาในการจัดการ และมี Dashboard แสดงผลแจ้งถึงปัญหา ความเสี่ยง และการจัดการต่างๆ ภายในหน้าเดียว
  • Recovery Assurance สามารถใช้งานร่วมกับ Unitrends ReliableDR เพื่อทำการทดสอบการกู้คืนแบบอัตโนมัติ โดยรองรับการทดสอบระบบ Microsoft Windows ที่ติดตั้งบน Physical, VMware และ Hyper-V เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายในการทำการทดสอบการกู้คืนในยามฉุกเฉิน
  • Unitrends Bridge รองรับการทำ Instant Recovery ได้ทั้งแบบ P2V และ V2V เพื่อให้สามารถกู้คืนข้อมูลของระบบที่ทำการสำรองเอาไว้บน Virtualization Platform ที่องค์กรมีการใช้งานอยู่ได้
  • Unified Bare Metal รองรับการกู้คืนแบบ Baremetal รองรับการกู้คืนระบบไปยัง Physical Server ที่มีอยู่ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเดิม หรือต่างเครื่องก็ตาม
  • WAN-optimized Replication รองรับการส่งข้อมูลไปยังอีกไซต์ผ่าน WAN โดยรวมเอาเทคโนโลยีทั้ง Deduplication, Deduplication Acceleration, การบีบอัด และการเข้ารหัสเพื่อเพิ่มความรวดเร็วและความปลอดภัยในการส่งข้อมูลในระดับ Byte
  • Includes Local Archiving รองรับการทำ Long Term Retention แบบ D2D2X ไม่ว่าจะเป็น NAS, SAN, Tape, Cloud
  • Free Hardware for Life มี Pledge Program ซึ่งจะมีอุปกรณ์เปลี่ยนให้ฟรีทุก 3ปี เมื่อมีการต่ออายุการรับประกันอย่างสม่ำเสมอ

unitrends_04

unitrends_05

รองรับการติดตั้งใช้งานหลากหลายรูปแบบ

Unitrends มีทางเลือกให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกติดตั้งได้หลายทางตาม Environment ที่ใช้งาน และตามความต้องการขององค์กรต่างๆ ได้อย่างยืดหยุ่น ดังนี้

  • Unitrends Recovery-Series เป็น Appliance ที่มีครบทุกความสามารถภายในอุปกรณ์เดียว ตอบโจทย์ได้ทุกความต้องการภายใน Appliance เพียงชุดเดียว
  • Unitrends Enterprise Backup™ เป็น Virtual Appliance ที่รองรับการทำงานได้ครบทุกความสามารถ และรองรับการติดตั้งได้บนหลาย Platform ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งบน Linux (RHEL, CentOS), VMware, Hyper-V หรือแม้แต่ Citrix ก็ตาม อีกทั้งยังมีให้เลือกใช้ได้หลาย Edition ตามความต้องการของผู้ใช้งาน

unitrends_03

หากสนใจสามารถติดต่อสอบถามหรือขอสมัครเป็นตัวแทนจำหน่ายได้ทันทีที่ SSS IT Business Solutions Limited โทรศัพท์ 02-118-0416 หรืออีเมล์ sales@sssibs.com หรือติดต่อ คุณธนาภรณ์ โทร. 089-927-1099

  • สามารถดาวน์โหลดเอกสารรายชื่อ Software ที่รองรับ ได้ที่นี่
  • สามารถดาวน์โหลดเอกสารรีวิว Software ได้ที่นี่
  • สามารถลงทะเบียนเพื่อใช้งาน Unitrends Free Edition ได้ที่นี่

 

เกี่ยวกับ Unitrends

unitrends_logo

Unitrends เป็นผู้พัฒนาโซลูชั่น Business Recovery ที่สามารถทำงานได้บนทุกระบบ IT ขององค์กรและได้รับรางวัลมาแล้วมากมาย โซลูชั่นของ Unitrends รองรับการใช้งานได้ทั้งบน Virtual, Physical และ Cloud ทำให้องค์กรทั่วโลกสามารถทำการปกป้องข้อมูลได้อย่างยืดหยุ่นตามความต้องการ ทั้งนี้เพื่อให้ตอบโจทย์ต้องความต้องการของ Data Center ระดับองค์กรในปัจจุบัน Unitrends จึงได้นำเสนอเทคโนโลยีในการปกป้องข้อมูลแบบ End-to-end และการกู้คืนข้อมูลอย่างรวดเร็วแบบ Instant Recovery สำหรับทั้งระบบที่เป็น Virtual และ Physical รวมถึงการทดสอบการทำ Disaster Recovery ด้วยเทคโนโลยี Virtualization โดยอัตโนมัติ

ด้วยการทำให้องค์กรสามารถลงทุนได้อย่างคุ้มค่าสูงสุดจากการนำเสนอโซลูชั่นที่มีค่า Total Cost of Ownership (TCO) ที่ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับคู่แข่งรายอื่นๆ อีกทั้งยังมีทีมให้บริการสนับสนุนการใช้งานสำหรับลูกค้ากลุ่มองค์กรทั่วโลก ทำให้ Unitrends ได้รับการให้คะแนนความพึงพอใจจากลูกค้าสูงถึง 98% รวมถึง Unitrends ยังมีพันธมิตรทางด้าน Technology Partner, Service Provider และ Reseller อยู่ทั่วโลกอีกด้วย

from:https://www.techtalkthai.com/sssibs-introduces-unitrends-all-in-one-data-center-backup-solution/