คลังเก็บป้ายกำกับ: HPE_SYNERGY

ก้าวสู่การใช้ Kubernetes ในธุรกิจอย่างมั่นใจ ด้วยโซลูชัน HPE Ezmeral Container Platform พร้อมระบบประมวลผลที่หลากหลายจาก HPE

Kubernetes ได้กลายเป็นส่วนประกอบสำคัญที่ธุรกิจองค์กรจะขาดไม่ได้อีกต่อไปในการก้าวสู่โลกยุค Cloud-Native แต่ในระยะยาวนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า ธุรกิจองค์กรจะยังคงต้องมีทั้ง Cloud-Native Application และ Non-Cloud-Native Application ใช้งานควบคู่กันต่อไปเพื่อให้ธุรกิจยังคงดำเนินต่อไปได้

HPE ในฐานะของผู้นำด้านระบบประมวลผลสำหรับธุรกิจองค์กร พร้อมนำเสนอทางเลือกในการตอบโจทย์นี้ด้วย HPE Ezmeral Container Platform ที่ตอบโจทย์ได้ทั้งระบบ Cloud-Native และ Non-Cloud-Native รองรับการใช้งานได้ทั้งบน Cloud จนถึง Edge ช่วยให้ธุรกิจองค์กรสามารถดำเนินกลยุทธ์ทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมได้อย่างมั่นใจ บน HPE Infrastructure ที่หลากหลายเหมาะสมต่อการใช้งานแต่ละรูปแบบ

HPE Ezmeral Container Platform ใช้งาน Kubernetes ด้วยความสามารถที่ตอบโจทย์ธุรกิจองค์กร รองรับ Workload ได้หลากหลาย

HPE Ezmeral Container Platform คือโซลูชันระบบ Enterprise-Grade Kubernetes ที่รองรับทั้งการใช้งาน Microservices, Cloud-Native Application และ Monolithic Non-Cloud-Native Application ได้ในหนึ่งเดียว

นอกเหนือจากการรองรับการทำ DevOps และการให้บริการระบบ Application ต่างๆ ได้อย่างยืดหยุ่นเหมือนระบบ Kubernetes ทั่วๆ ไปแล้ว HPE Ezmeral Container Platform ยังได้เสริมนวัตกรรมจาก BlueData ที่ HPE ได้เข้าซื้อกิจการมาพัฒนาต่อยอดกลายเป็น HPE Ezmeral ML Ops และ HPE Ezmeral Data Fabric เพื่อรองรับ MLOps และ DataOps บน Kubernetes ได้อย่างเต็มตัว ตอบโจทย์งาน Big Data Analytics และ AI ได้เป็นอย่างดี

HPE Ezmeral Container Platform มีคุณสมบัติที่โดดเด่นดังนี้

  • ช่วยให้ทำงานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการส่งมอบประสบการณ์แบบเดียวกับ Cloud ให้กับธุรกิจองค์กร
  • ลดความเสี่ยงและค่าใช้จ่ายให้กับองค์กร ด้วยการเสริมความสามารถด้าน Security สำหรับธุรกิจองค์กรให้กับ Kubernetes พร้อมควบคุมประสิทธิภาพและความมั่นคงทนทานได้
  • ช่วยให้ผู้ใช้งานทำงานได้ง่ายขึ้น ด้วยการปรับให้การบริหารจัดการและเข้าถึงบริการต่างๆ ของ Kubernetes นั้นง่ายดายยิ่งกว่าเดิม
  • เร่งสร้างนวัตกรรมได้อย่างรวดเร็ว ด้วยระบบริหารจัดการจากศูนย์กลางที่ช่วยให้สามารถสร้างและติดตั้งใช้งาน Application ใหม่ๆ ได้ในทุกที่ ไม่ว่าจะอยู่ภายใน Data Center, Cloud หรือ Edge ก็ตาม

Gartner ระบุว่าภายในปี 2022 นั้น 75% ของธุรกิจองค์กรจะมีการใช้งาน Containerized Application ภายในระบบ Production เติบโตจากปัจจุบันที่มีเพียง 30% เท่านั้นอย่างรวดเร็ว

วางระบบให้ยืดหยุ่น ด้วยการผสานแนวคิด Software as a service โดยรองรับติดตั้งบน Platform ของ HPE ได้ทุกระบบ

สำหรับธุรกิจองค์กรที่ต้องการวางระบบภายใน Data Center ให้มีความยืดหยุ่นสูงสุดเพื่อให้สามารถปรับเปลี่ยนระบบให้รองรับกับ Workload ที่หลากหลายและอาจไม่คาดฝันในอนาคต พร้อมทั้งใช้งาน Kubernetes ได้อย่างเต็มศักยภาพ HPE Platform คือทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับการใช้งานร่วมกับ HPE Ezmeral มากที่สุดในกรณีนี้

HPE Platfrom คือโซลูชัน Composable Infrastructure ที่เปิดให้ผู้ดูแลระบบ IT สามารถเลือกปรับเปลี่ยนส่วนประกอบภายใน Physical Server และสามารถติดตั้งได้ภายใน Virtual Machine แต่ละชุดได้จากการควบคุมผ่าน Software ที่ศูนย์กลาง ทำให้สามารถกำหนดค่าเพื่อสร้าง Server ที่มีคุณสมบัติที่ตอบโจทย์ต่อ Workload เฉพาะทางที่ต้องการใช้งานบน HPE Ezmeral Container Platform ได้เป็นอย่างดี

ในขณะเดียวกันการเชื่อมข้อมูล (Persistent volume) นั้นก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย ด้วยความสามารถของ HPE Ezmeral Data Fabric ซึ่งช่วยให้บริการ Persistent Storage ที่เพิ่มขยายได้แบบ Scale-Out และสามารถทำงานร่วมกับ HPE Data Platform ได้ ทำให้ไม่ว่าในส่วนของระบบ Compute จะปรับเปลี่ยนไปอย่างไร ข้อมูลสำคัญที่ต้องใช้งานนั้นก็จะยังคงพร้อมให้บริการอยู่เสมอ

เน้นความง่ายดาย คุ้มค่า แต่ยังมั่นคงปลอดภัย เลือกใช้ HPE ProLiant DL

ในการรองรับ HPE Ezmeral Container Platform นั้น HPE ProLiant DL Server เองก็ยังถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดีสำหรับธุรกิจที่อาจไม่ได้มีระบบใหญ่มากนัก หรือมองหา Hardware ที่เหมาะสมสำหรับนำไปใช้งานใน Edge หรือรองรับการทำ DevOps ในแบบ Bare Metal เพื่อให้ระบบสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

แน่นอนว่าจุดเด่นสำคัญของ HPE ProLiant DL Server อย่างเช่นความมั่นคงปลอดภัยที่ถูกออกแบบมาตั้งแต่ในระดับของ Software, Hardware และ Supply Chain นั้น ก็จะช่วยให้การใช้งาน HPE Ezmeral Container Platform เป็นไปได้อย่างมั่นใจ ปกป้องระบบให้มั่นคงปลอดภัยจากภัยคุกคามได้แม้ระบบจะติดตั้งใช้งานอยู่ที่ Edge ก็ตาม

เปลี่ยนการลงทุนสู่ Container-as-a-Service ด้วย HPE GreenLake for Containers

สำหรับธุรกิจองค์กรที่มีกลยุทธ์ทางด้านการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง และต้องการความยืดหยุ่นในการลงทุน HPE GreenLake for Containers คือทางเลือกที่จะทำให้ธุรกิจองค์กรสามารถใช้ HPE Ezmeral Container Platform โดยคิดค่าใช้จ่ายตามการใช้งานจริงได้ ไม่ต้องลงทุนจัดซื้อระบบ Hardware และ Software ด้วยตนเองทั้งหมดตั้งแต่แรก

การใช้ HPE GreenLake for Containers จะช่วยให้ธุรกิจองค์กรมีระบบ Container ที่มีความสามารถและรูปแบบการใช้งานที่เทียบเคียงได้กับบริการ Cloud ด้วยการมีทรัพยากรประมวลผลและระบบจัดเก็บข้อมูลประสิทธิภาพสูงจาก HPE ให้ใช้งานภายในองค์กรได้อย่างอิสระ แต่คิดค่าใช้จ่ายตามการใช้งานจริง และเพิ่มขยายได้ตามต้องการ

สำหรับผู้ที่สนใจ HPE Ezmeral หรือโซลูชัน Server จาก HPE และอยากขอคำปรึกษา, ออกแบบระบบ หรือขอใบเสนอราคา สามารถติดต่อทีมงาน Metro Connect ได้ทันทีที่ Email: MKTMCC@metroconnect.co.th หรือโทร 02-0894508 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ของ Metro Connect ได้ทันทีที่ https://www.metroconnect.co.th/

from:https://www.techtalkthai.com/hpe-ezmeral-container-platform-for-enterprise-kubernetes-from-hpe-by-metro-connect/

TechTalk Webinar: Transform IT Operations to Speed Innovation with Composable Infrastructure โดย Hewlett Packard Enterprise (HPE)

TechTalkThai ขอเรียนเชิญ CIO, CTO, COO, IT Manager, ผู้จัดการในส่วนต่างๆ ของธุรกิจ, ผู้ดูแลระบบ IT, DevOps Engineer, Software Developer และผู้ที่สนใจทุกท่าน เข้าร่วมฟัง TechTalk Webinar ในหัวข้อเรื่อง “Transform IT Operations to Speed Innovation with Composable Infrastructure จาก Hewlett Packard Enterprise (HPE)” เพื่อร่วมรับฟังอัพเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่จะช่วยเปลี่ยน On Premise Infrastructure ให้มีความยืดหยุ่นคล่องตัวบริหารจัดการได้ง่ายๆ ให้ประสบการณ์เสมือนใช้บริการ Cloud ใน วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม 2020 เวลา 14.00 – 15.30 น. โดยมีรายละเอียด กำหนดการ และวิธีการลงทะเบียนเข้าร่วมงานฟรีดังนี้

รายละเอียดการบรรยาย

หัวข้อ: Transform IT Operations to Speed Innovation with Composable Infrastructure โดย Hewlett Packard Enterprise (HPE)
ผู้บรรยาย: คุณชัยรัตน์ โล้วโสภณกุล, Product Manager, HPE Thailand และคุณบดินทร์ วางอภัย, Senior Consultant, HPE Thailand
วันเวลา: วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม 2020 เวลา 14.00 – 15.30 น.
ช่องทางการบรรยาย: Online Web Conference
ภาษา: ไทย

การประยุกต์ใช้ Hybrid Cloud ในองค์กร ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติของการทำ IT transformation สำหรับธุรกิจในสถานะปัจจุบัน การใช้งานระบบ On Premise และ On Cloud ทุกวันนี้ยังมีความต่างค่อนข้างสูง ในส่วนของประสบการณ์การใช้งานทั้งสองส่วน ทาง Hewlett Packard Enterprise (HPE) ขอแนะนำ HPE Synergy ซึ่งเป็น Infrastructure ที่ถูกออกแบบใหม่ ในกลุ่มของ Composable Infrastructure ทำให้คุณบริหารจัดการ On Premise Infrastructure ได้ง่าย รวดเร็ว เสมือนการใช้บริการบน Cloud ช่วยให้องค์กรธุรกิจสามารถบริหารจัดการ Physical Infrastructure ในศูนย์ข้อมูลของท่านได้ง่ายๆ เหมือนบริหารจัดการ Virtual Machine (VM) สามารถ Provisioning และปรับเปลี่ยนทรัพยากร CPU, Memory, Network และ Storage ได้ง่ายๆสอดคล้องกับความต้องการที่เปลี่ยนไปได้อย่างรวดเร็ว และเกิดความคุ้มค่าสูงสุด

HPE Synergy ยังถูกออกแบบให้รองรับ Workload ได้ทุกประเภทตั้งแต่ Enterprise Mission Critical Workload หรือจะเป็นงาน Virtualization รวมไปถึง Workload ประเภทใหม่อย่างเช่น Container และ Software-Defined Infrastructure บน Physical Infrastructure ชุดเดียวกันได้อย่างมีประสิทธิภาพคุ้มค่า ลดค่าใช้จ่ายในส่วนของ Software และยังช่วยให้คุณสามารถปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป รองรับการทำ Automation อย่างเต็มรูปแบบ Infrastructure as a Code ที่สามารถโปรแกรมรองรับกาiทำ DevOps ด้วย Unified API ให้คุณสามารถบริหารจัดการ Infrastructure ตั้งแต่ Day 0 / Day 1 / Day 2 Operation ในการลงทุนที่ดีกว่า แต่ได้ประสิทธิภาพ และความคล่องตัว คุ้มค่าสูงสุด

Webinar ครั้งนี้จะนำเสนอเป็นภาษาไทยโดยทีมงาน HPE ที่พร้อมตอบทุกคำถามที่เกี่ยวข้อง

ลงทะเบียนเข้าร่วม TechTalk Webinar ได้ฟรี

ผู้ที่สนใจสามารถกรอกแบบฟอร์มเพื่อเข้าร่วม TechTalk Webinar ในหัวข้อนี้ได้ฟรีๆ ทันทีที่ https://zoom.us/webinar/register/WN_2NTViENGQFmDMi9nOst8TQ โดยทีมงานขอความกรุณากรอกข้อมูลชื่อบริษัทด้วยชื่อเต็มของหน่วยงานหรือองค์กร เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนในการจัดการกับข้อมูลการลงทะเบียน

from:https://www.techtalkthai.com/techtalk-webinar-transform-it-operations-to-speed-innovation-with-composable-infrastructure-by-hpe/

รู้จักกับ HPE Synergy หัวใจสำคัญสู่การทำ Data Center Automation อย่างเต็มตัวสำหรับธุรกิจองค์กร

ปัจจุบันนี้ทุกๆ คนคงจะรู้จักกับเทคโนโลยี Hyperconverged Infrastructure กันเป็นอย่างดี แต่ในอนาคตเทคโนโลยีที่จะเข้ามาทดแทนและเติมเต็มอย่าง Composable Infrastructure นั้นก็ยังถือเป็นเรื่องใหม่สำหรับหลายๆ คน บทความนี้เราจะแนะนำเทคโนโลยี Composable Infrastructure และ HPE Synergy ให้ทุกท่านได้รู้จักกันครับ

Composable Infrastructure ผสานจุดแข็งของระบบ Traditional Infrastructure แต่ถูกออกแบบใหม่ให้ทรัพยากรของ Infrastructure ไม่ว่าจะเป็น Compute, Storage และ Fabric ให้มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับเปลี่ยน Configurationได้ง่าย ควบคุมด้วย Software-defined Management ช่วยลดความยุ่งยาก ทำให้ Physical Infrastructure สามารถบริหารจัดการได้ง่ายเหมือนบริหารจัดการ VM และรวดเร็วเหมือนขอใช้บริการจาก Cloud รองรับ Workload ได้ทุกประเภท ทั้งแบบ Bare Metal, Virtualization หรือ Workload ใหม่ๆอย่าง Container ได้อย่างง่ายดาย รองรับการทำ Automation ร่วมกับ Solution ต่างๆ อาทิเช่น VMware vSphere, vSAN, VCF หรือ Red Hat OpenShift ให้คุณสามารถ Scale up หรือ Scale down ในส่วน Infrastructure Resources ได้สอดคล้องกับงานของคุณ ช่วย Transform เป็น Infrastructure as a Code

Credit: HPE

แนวคิดของ Composable Infrastructure นี้เป็นแนวคิดที่พัฒนาเพื่อเป็นเทคโนโลยีในยุคถัดไปเพื่อให้รองรับ Workload ได้ทุกประเภท แตกต่างจากจาก Hyperconverged Infrastructure หรือ HCI ที่ผสานรวมเอา Compute, Storage, Network เข้าด้วยกันด้วยการใช้ Virtualization เป็นเทคโนโลยีหลัก

ถึงแม้ HCI นั้นจะเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการยอมรับในตลาดและเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ในการใช้งานจริงนั้น HCI เองก็มักจะมีประเด็นปัญหาด้านการใช้ทรัพยากรให้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ จากการที่การประมวลผลทั้งหมดต้องทำงานผ่าน Hypervisor และการเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดนั้นต้องผ่าน Software-Defined Storage นั่นเอง อีกทั้ง HCI เองก็มักมีข้อจำกัดด้านการเพิ่มขยายระบบ ที่มักมีเงื่อนไขต่างๆ หรือต้องมีการจัดซื้อ Hardware ในส่วนที่ยังไม่ต้องใช้งานล่วงหน้ามาก่อน อีกทั้งหากต้องการขยายระบบขนาดใหญ่มาก HCI ก็อาจไม่ตอบโจทย์ได้

แนวคิดของ Composable Infrastructure จึงถูกออกแบบให้แก้ไขปัญหาของ HCI ด้วยการรองรับการใช้งานได้ทั้งแบบ Bare Metal และ Virtualization ไปพร้อมๆ รวมถึง Container กันในระบบเดียว โดยเชื่อมรวม Hardware ทั้งในส่วนของ Compute, Storage, Network เข้าด้วยกันผ่าน Fabric และบริหารจัดการได้แบบ Automation เพื่อให้ผู้ดูแลระบบ Data Center สามารถทำการ Provision เครื่อง Server ขึ้นมาเองได้ตามต้องการ

การใช้ Composable Infrastructure นี้จึงทำให้ธุรกิจองค์กรมีทางเลือกในการใช้งาน Hardware ของตนเองได้อย่างอิสระ และไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายด้าน License ของ Hypervisor เสมอไป ส่งผลให้การเลือกใช้งานเทคโนโลยีอย่างเช่น Container นั้นสามารถใช้งานบน Bare Metal Server ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ในขณะที่บางระบบ Application ที่เหมาะสมกับ Virtualization ก็สามารถติดตั้งใช้งานบน Hypervisor ได้ และในอนาคตหากต้องการปรับเปลี่ยนทรัพยากรสำหรับแต่ละระบบ ก็สามารถนำทรัพยากรมาคืนส่วนกลางและจัดสรรใหม่ได้ตามต้องการอยู่ตลอด

HPE Synergy: โซลูชัน Composable Infrastructure สำหรับ Data Center แห่งอนาคต

Credit: HPE

HPE นั้นถือเป็นหนึ่งในผู้ผลิตรายแรกๆ ที่นำเสนอเทคโนโลยี Composable Infrastructure สู่ตลาดธุรกิจองค์กรตั้งแต่ปี 2016 ด้วยวัตถุประสงค์ที่จะนำเสนอ Software-Defined Data Center ที่แท้จริงที่ Software จะสามารถบริหารจัดการได้ถึงระดับการจัดสรร Hardware เพื่อให้ธุรกิจองค์กรนั้นมีทางเลือกในการบริหารจัดการ Data Center ที่ง่ายดายยิ่งขึ้นกว่าในอดีตเป็นอย่างมาก โดยความสามารถที่โดดเด่นของ HPE Synergy มีดังต่อไปนี้

Provision Server ได้ถึงระดับ Physical ตอบโจทย์ทุก Workload ในหนึ่งเดียว

ภายใน HPE Synergy นี้มีส่วนประกอบหลักๆ ได้แก่

  • HPE Synergy 12000 Frame เป็นโครงหลักของระบบ HPE Synergy สำหรับติดตั้ง Hardware ต่างๆ พร้อมระบบบริหารจัดการภายใน และเชื่อมต่อกับ Frame ชุดอื่นๆ เพื่อทำการ Scale-Out และบริหารจัดการร่วมกันจากศูนย์กลางได้
  • HPE Synergy Compose โซลูชันที่ผสานนำเครื่องมือในการบริหารจัดการและการทำ Automation ที่หลากหลายเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อให้ผู้ดูแลระบบสามารถทำการบริหารจัดการและดูแลรักษาการทำงานของระบบได้จากศูนย์กลาง
  • HPE Synergy Image Streamer ระบบสำหรับ Deploy และ Update OS และ Application Image ไปยัง Server ที่ทำการ Provision ขึ้นมาจากการจัดสรรทรัพยากรภายในโดยอัตโนมัติอย่างรวดเร็ว
  • HPE Synergy D3940 Storage Module ระบบ Direct Attached Storage (DAS) สำหรับนำไปจัดสรรและเชื่อมต่อเข้ากับ Compute Resource ภายใน HPE Synergy เพื่อรองรับ Workload ในรูปแบบต่างๆ ได้ตามต้องการ
  • HPE Synergy Fabric ระบบ Multi-Fabric สำหรับรับส่งข้อมูลภายใน HPE Synergy Frame สูงถึง 100GbE ต่อ Compute ทำให้ช่วยลดค่าใช้จ่ายในส่วน Top-of-Rack (TOR) Switch เพื่อเชื่อมต่อระหว่างเครื่องแม่ข่ายที่อยู่ใน Synergy Frame

เมื่อนำส่วนประกอบทั้งหมดเหล่านี้มาทำงานด้วยกัน ผู้ดูแลระบบก็จะสามารถทำการจัดสรร Compute, Storage, Network ให้กับ Physical Server ภายใน HPE Synergy และทำการติดตั้งหรืออัปเดตระบบปฏิบัติการหรือ Application ต่างๆ ได้แบบอัตโนมัติ ลดภาระในการดูแลรักษา Server ลงไปมากทีเดียว เสมือนการจัดการ VM

ทั้งนี้หากในอนาคตนั้นมีการเพิ่มขยายระบบ HPE Synergy ที่รองรับการเชื่อมต่อ Fabric ในหลาย Frame เข้าถึงกันได้ ก็สามารถเพิ่มขยายระบบได้แบบ Scale-Out โดยไม่ต้องทิ้ง Hardware เดิม และยังคงสามารถบริหารจัดการร่วมกันจากศูนย์กลางได้อย่างง่ายดาย

รวดเร็วและง่ายดาย ด้วยการทำ Automation ในระดับ Software-Defined ใช้งานด้วยประสบการณ์เดียวกับ Cloud

Credit: HPE

ความง่ายดายในการใช้งานและการเพิ่มขยายระบบนั้นถือเป็นหัวใจของ HPE Synergy เลยทีเดียว โดย HPE Synergy นี้ถูกออกแบบให้การ Provision Server นั้นมีความง่ายดายในระดับเดียวกับการใช้ Cloud ที่ผู้ใช้งานเพียงแค่เลือกทรัพยากรด้าน Compute, Storage และ Network ตามต้องการ พร้อมเลือกติดตั้ง OS หรือ Application เพียงเท่านี้ระบบของ HPE Synergy ก็จะจัดการทุกอย่างให้แบบอัตโนมัติ พร้อมใช้งานในระยะเวลาไม่กี่นาที

HPE ได้ทำการเปรียบเทียบว่าหากใช้ HPE Synergy ในการรองรับระบบ Application ของธุรกิจองค์กร เทียบกับ Rack Server ทั่วๆ ไปแล้ว HPE Synergy จะช่วยลดเวลาที่ต้องใช้ในการจัดการกับ IT Infrastructure ลงได้ถึงประมาณ 17-18 เท่าเลยทีเดียว

ทั้งนี้ด้วยการทำงานของ HPE Synergy ที่เลือกได้ว่าจะใช้ Virtualization หรือไม่ก็ได้ ก็ทำให้การ Provision Server มีทางเลือกที่หลากหลายมากขึ้น อีกทั้งด้วย HPE Synergy Image Streamer ก็ทำให้การจัดการกับ Image สำหรับใช้ในการ Deploy หรือ Update นั้นสามารถทำได้ด้วยตนเอง ไม่มีข้อจำกัดอย่างที่เคยเผชิญบนระบบ Cloud

ผสานระบบ DevOps และ Cloud ได้ถึงระดับ Hardware

Credit: HPE

อีกคุณสมบัติหนึ่งที่สำคัญมากของ HPE Synergy นี้ก็คือการที่ระบบถูกออกแบบให้ทำงานแบบ Programmable ได้ 100% ทำให้สามารถสร้าง Template ขึ้นมารองรับการบริหารจัดการทรัพยากรภายใน HPE Synergy แบบอัตโนมัติได้อย่างครอบคลุม อีกทั้งยังมี API สำหรับเชื่อมต่อกับ Open Source Software ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Ansible, Chef, Docker, Puppet หรือ OpenStack ทำให้การทำ DevOps นั้นมีทางเลือกในการใช้งานเทคโนโลยีได้หลากหลายสำหรับ Infrastructure-as-Code

นอกจากนี้ HPE Synergy เอง ก็ยังสามารถทำงานร่วมกับโซลูชันอื่นๆ สำหรับธุรกิจองค์กรได้เป็นอย่างดี ทั้ง VMware, Microsoft, Micro Focus, Red Hat, SUSE, EATON, ServiceNow, ABB, Schneider, F5 และอื่นๆ อีกมากมาย ทำให้การผสานรวมระบบเพื่อทำ Automation สำหรับการตอบโจทย์ระบบ Private Cloud ภายในองค์กรนั้นเป็นไปได้อย่างง่ายดายด้วย HPE OneView

คุ้มค่ากว่า หากประเมินในระยะยาว

สำหรับระบบ Data Center ขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อนและต้องการความยืดหยุ่นในการทำงาน HPE Synergy สามารถตอบโจทย์ทั้งหมดเหล่านี้ได้ด้วยค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าโซลูชันอื่นๆ 6-9% จากการนำความสามารถด้าน Automation เข้ามาใช้เพื่อช่วยลดภาระของเจ้าหน้าที่ฝ่าย IT และลดเวลาในการทำงานลง

จุดหนึ่งที่ HPE Synergy จะเข้ามาช่วยลดค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างมากนั้น ก็คือการทำให้ธุรกิจองค์กรมี Data Center ที่สามารถดูแลรักษาได้ง่าย รองรับได้หลากหลาย Workload บน Infrastructure เดียว ช่วยให้ธุรกิจองค์กร ปรับการลงทุนให้สอดคล้องกับเทคโนโลยี ลดค่าใช้จ่ายบางส่วนในการ Virtualization ทำให้ในระยะยาวค่าใช้จ่ายทางด้าน Hypervisor นั้นจะลดลงอย่างมหาศาล อีกทั้ง Application สมัยใหม่ที่มักใช้ Bare Metal Hardware ก็สามารถนำมาใช้งานบน HPE Synergy โดยไม่ต้องลงทุนซื้อ Hardware แยก หรือสามารถปรับเปลี่ยน Resource ให้สอดคล้องได้กับ Workload ได้ง่ายๆและรวดเร็ว อีกทั้งยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในส่วนของ Top-of-Rack Switch ได้อย่างเห็นได้ชัด

เริ่มต้นใช้งาน HPE Synergy ได้ทันที ด้วยโปรโมชันราคาพิเศษจาก Metro Connect เริ่มต้นเพียง 1.865 ล้านบาท

เพื่อให้ธุรกิจองค์กรสามารถเริ่มต้นใช้งาน Composable Infrastructure ได้อย่างง่ายดาย ทาง HPE จึงได้ร่วมกับ Metro Connect จัดโปรโมชันราคาพิเศษที่รวมเอา HPE Synergy ที่ออกแบบมาให้เป็น vSAN Ready รองรับการติดตั้ง VMware vSAN เพิ่มเติมได้ทันทีหากต้องการ ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.865 ล้านบาท โดยภายในโปรโมชันจะครอบคลุมถึง Hardware ดังต่อไปนี้

  • 1x HPE Synergy 12000 Frame
    • 2x HPE Synergy Composer 2
    • 2x HPE Virtual Connect 100Gb F32 Module
  • 3x HPE SY480 Gen10 Compute Module
    • 2x XEON 4210 (2.2GHz/10-Core)
    • 64GB RAM
    • 1x 800GB WI 12G SAS Enterprise 10k SSF
    • 4x 1.8TB 10k SAS SFF
    • 2x 25Gb Dual Port Converged Network Adapter
  • 1x D3940 12Gb SAS Drive Enclosure (up to 40 SFF)

ในชุดโปรโมชันนี้ HPE Synergy จะยังคงเหลือพื้นที่สำหรับติดตั้ง Server ภายในเพิ่มเติมได้อีกถึง 7 เครื่อง เพื่อรองรับการเพิ่มขยายในอนาคตได้

สนใจโซลูชันของ HPE ติดต่อ Metro Connect

สำหรับผู้ที่สนใจโซลูชันใดๆ ของ HPE สามารถติดต่อทีมงาน Metro Connect เพื่อขอรายละเอียดเพิ่มเติม, ทดสอบระบบ หรือขอใบเสนอราคาได้ทันทีที่ทีมการตลาด anutrwan@metroconnect.co.th หรือโทร 02-089-4508

from:https://www.techtalkthai.com/hpe-synergy-for-data-center-automation-with-composable-infrastructure-by-metro-connect/

HPE ประกาศรองรับ HPE ProLiant, Apollo, Synergy บน HPE InfoSight แล้ว ใช้ AI ดูแล Server ได้ทันที

ในงาน HPE Discover 2018 ทาง HPE ได้ออกมาประกาศถึงการเสริมความสามารถให้กับ HPE InfoSight ระบบ AI สำหรับตรวจสอบและทำนายปัญหาภายใน Data Center ว่าสามารถทำงานร่วมกับ HPE ProLiant, HPE Apollo และ HPE Synergy ได้แล้ว

 

Credit: HPE

 

เดิมที HPE InfoSight นี้เป็นเทคโนโลยีของ Nimble Storage ที่ HPE ซื้อกิจการเข้ามา ซึ่งทาง HPE ก็ได้เสริมความสามารถให้ HPE InfoSight นี้สามารถช่วยดูแลและทำนายการทำงานของระบบ Storage จาก HPE เพิ่มเติมเข้าไปได้แล้วก่อนหน้านี้ ซึ่งในการประกาศครั้งนี้ HPE ก็ได้ประกาศรองรับให้ HPE InfoSight สามารถดูแล Server เพิ่มเติมได้ด้วย

ที่ผ่านมา HPE InfoSight สามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาระบบลงไปได้มากถึง 79% และช่วยจัดการแก้ไขปัญหาที่ถูกเปิด Ticket มาได้โดยใช้เวลาน้อยลงถึง 85% โดยสามารถทำนายปัญหาที่อาจเกิดล่วงหน้าได้ 86% เลยทีเดียว นอกจากนี้ HPE InfoSight ยังสามารถทำงานร่วมกับ HPE OneView เพื่อช่วยให้การดูแลรักษาและแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายใน Data Center เป็นไปได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้นอีกด้วย

การใช้ HPE InfoSight จัดการกับ Server ของ HPE นี้จะเปิดให้ใช้งานได้ภายในเดือนมกราคมปี 2019 ที่จะถึงนี้ ผู้ที่สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.hpe.com/info/infosight ทันที

 

ที่มา: https://news.hpe.com/hpe-delivers-cloud-based-ai-driven-operations-for-hpe-proliant-apollo-and-synergy-servers/

from:https://www.techtalkthai.com/hpe-infosight-now-supports-hpe-servers/

เปิดตัว HPE Composable Cloud เปลี่ยน Server และ HCI เป็น Cloud พร้อมก้าวสู่ Hybrid/Multi-Cloud ได้ทันที

ในงาน HPE Discover 2018 ทาง HPE ได้ออกมาเผยถึงทิศทางใหม่ของผลิตภัณฑ์กลุ่ม Server และ HCI ภายใต้แนวคิด Composable Cloud และ Composable Fabric ดังนี้

 

Credit: HPE

 

โซลูชันแรกคือ HPE Composable Cloud for ProLiant DL Servers โดยนำ Software หลากหลายมาช่วยในการบริหารจัดการและควบคุมการใช้ทรัพยากรของ Server รวมถึงทำ Automation ทั้งในส่วนของ Compute, Storage, Network ทั้งหมด ตั้งแต่การใช้ HPE InfoSight ทำ Predictive Analytics และปรับปรุงการใช้งานระบบให้มีคุณภาพมากขึ้น, ระบบ Intelligent Storage ช่วยเรื่องการจัดกเก็บข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ, Composable Fabric สำหรับทำ Automated Networking เชื่อมต่อระบบต่างๆ เข้าด้วยกัน, HPE OneView สำหรับบริหารจัดการและทำ Workflow Automation, HPE OneSphere สำหรับควบคุม Public Cloud และ Private Cloud ไปจนถึงการทำ Compliance และการให้บริการ VM ด้วย VMware และให้บริการ Container ด้วย Red Hat OpenShift

ถัดมาคือ HPE Composable Cloud for Synergy ที่ได้มีการปรับปรุงให้รองรับงานได้ทั้ง SAP, Oracle, Cloud-Native Application และ DevOps ในหนึ่งเดียว โดยเพิ่มขยายส่วนต่างๆ ในระบบได้แบบ Modular และลดเวลาที่ใช้ในการบริหารจัดการ Lifecycle ของงานภายใน Data Centner ลงได้ถึง 97% พร้อมบริการเสริมจาก HPE Pointnext ในการให้คำแนะนำและดูแลรักษาระบบ, HPE GreenLake สำหรับเช่าใช้ระบบแบบ Consumption-based และ HPE Financial Services บริการด้านการเงินจาก HPE

อีกหนึ่งโซลูชันก็คือ HPE SimpliVity with Composable Fabric ที่ได้เพิ่มการทำ Network Automation เข้าไปในระบบ HCI ด้วย ทำให้การเพิ่มขยายระบบสามารถทำได้อย่างง่ายดายยิ่งกว่าเดิม และบริหารจัดการทั้ง Compute, Storage, Network ได้จากหน้าจอเดียวกัน ตอบโจทย์การทำ DevOps ได้ดียิ่งขึ้น

สุดท้าย HPE OneSphere บริการ Cloud Management ของ HPE ที่รองรับทั้ง Public Cloud และ Private Cloud ได้ทั้งในแบบ VM และ Container จะถูกเพิ่มความสามารถในการทำ Bare-Metal-as-a-Service เข้าไปด้วยร่วมกับ HPE OneView ทำให้การใช้งาน Server Hardware จาก HPE ทุกรูปแบบนั้นถูกเปลี่ยนไปเป็น Cloud ด้วยการทำ Automation ได้ทั้งหมด แต่บริการ HPE OneSphere นี้ยังรองรับการใช้งานได้เฉพาะที่สหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร และไอร์แลนด์เท่านั้น ส่วนประเทศอื่นๆ จะค่อยๆ รองรับบริการนี้เพิ่มเติมในอนาคต

 

ที่มา: https://news.hpe.com/hewlett-packard-enterprise-extends-composable-strategy-with-new-capabilities-to-accelerate-customer-innovation/

from:https://www.techtalkthai.com/hpe-composable-cloud-is-announced/

ARS Chemical ธุรกิจกำจัดแมลงยอดขายพันล้าน กับประสบการณ์ดูแลระบบ IT ด้วยพนักงานเพียงแค่ 6 คน

 

 

ทางทีมงาน TechTalkThai มีโอกาสได้สัมภาษณ์คุณกุลชาติ สกุลจิตจินดา ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งบริษัท ARS Chemical (Thailand) ที่มาถ่ายทอดประสบการณ์การดูแลระบบ IT ให้กับธุรกิจด้านการกำจัดแมลงที่มียอดขายกว่าพันล้าน แต่มีพนักงานแผนก IT เพียงแค่ 6 คน ดูแลระบบ IT ทั้งหมดสำหรับออฟฟิศ 7 สาขาและโรงงานอีก 2 แห่งในไทย ซึ่งก็มีแง่มุมน่าสนใจไม่น้อยมาแบ่งปันให้กับผู้ที่ทำงานในสาย IT กันดังนี้ครับ

 

 

รู้จัก ARS Chemical (Thailand) ธุรกิจที่มีชื่อเสียงด้านการกำจัดแมลงคู่สังคมไทยมากว่า 30 ปี

คุณกุลชาติได้เริ่มต้นเล่าถึงภาพรวมของธุรกิจ ARS Chemical ให้เราได้รู้จักกันก่อนว่าเป็นบริษัทที่เปิดตัวในไทยมาตั้งแต่ปี 1980 จนปัจจุบันมีอายุมากกว่า 30 ปีแล้ว โดยปัจจุบันได้ดำเนินธุรกิจแบบครบวงจรที่เป็นทั้งผู้ผลิต, ผู้นำเข้า, ผู้จัดจำหน่าย และผู้ส่งออกสินค้าด้วยกัน 4 ประเภท ดังนี้

 

Credit: ARS

 

  • อาท – สินค้ากลุ่มกำจัดแมลงในบ้านเรือน
  • เดลี่เฟรช – ผลิตภัณฑ์น้ำหอมปรับอากาศ
  • อาทเพ็ท – ผลิตภัณฑ์ดูแลสัตว์เลี้ยง
  • มอนดามิน – ผลิตภัณฑ์น้ำยาบ้วนปาก

นอกจาก 4 ธุรกิจดังกล่าวนี้แล้ว ARS เองก็ยังมีธุรกิจบริการด้านการกำจัดแมลงตามอาคาร เพื่อรองรับความต้องการของภาคธุรกิจอีกด้วย

สำหรับในประเทศไทย นอกจาก ARS สาขาหลักแล้ว ก็ยังมีสาขาย่อยกระจายอยู่ 6 จังหวัดทั่วประเทศเพื่อกระจายสินค้าในภูมิภาคต่างๆ อย่างทั่วถึง และยังมีโรงงานอีก 2 แห่งที่มีศักยภาพในการผลิตสินค้าในระดับ Premium เจาะกลุ่มตลาดส่งออกที่่ต้องการมาตรฐานการผลิตและการรับรองในระดับสูงโดยเฉพาะ ทั้งหมดนี้เองที่ทำให้ ARS มียอดขายต่อปีสูงถึงหลักพันล้านบาท

หากใครนึกไม่ออกว่าผลิตภัณฑ์ของ ARS มีอะไรบ้าง ลองดูโฆษณาได้ดังนี้เลยครับ

 

อาท โนแมท เครื่องไฟฟ้าไล่ยุง

 

อาทควัน โฆษณาเก่าที่เพลงติดหูมาก

 

น้ำหอมปรับอากาศเดลี่เฟรช

 

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ARS Chemical (Thailand) ได้ที่ http://www.ars.co.th

 

9 สาขาทั่วไทย มีพนักงานทั้งหมด 600 คน เป็นผู้ใช้งานระบบ IT 300 คน และมีเจ้าหน้าที่ฝ่าย IT เพียงแค่ 6 คน

หลังจากจบการแนะนำบริษัทกันคร่าวๆ แล้ว คุณกุลชาติก็ได้เริ่มเข้าถึงประเด็นท้าทายของฝ่าย IT ที่หลายๆ บริษัทน่าจะประสบปัญหาที่คล้ายคลึงกัน คือมีทีมงาน IT ขนาดเล็กเพื่อดูแลธุรกิจขนาดใหญ่และต้องสนับสนุนผู้ใช้งานจำนวนมาก คุณกุลชาติได้แจกแจกโครงสร้างของฝ่าย IT ภายใน ARS ที่มีกันอยู่เพียง 6 คนให้เราได้เห็นภาพกันดังนี้

  • 1 คน รับผิดชอบด้าน IT Support
  • 1 คน รับผิดชอบระบบ Sales & Distribution เพื่อให้เซลส์ทั่วประเทศสามารถเข้าถึงข้อมูลการขายและคลังสินค้าได้ผ่าน Tablet
  • 3 คน รับหน้าที่เป็น Developer พัฒนาส่วนเสริมและปรับแต่ง SAP ที่มีการใช้งานอยู่
  • ส่วนงานด้าน Network และ Security นั้นถือว่าเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกคน

ทั้งนี้ทาง ARS ในอดีตนั้นก็ไม่เคยมีการใช้งานบริการ IT Outsource ใดๆ เลย ยกเว้นส่วนที่เกี่ยวกับระบบ SAP เพราะเป็นส่วนงานที่สำคัญและมีรายละเอียดค่อนข้างเยอะ เรียกได้ว่างานของฝ่าย IT ในอดีตนั้นถือว่าหนักไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะต้องคอยแก้ไขปัญหาด้วยตัวเองแทบทั้งหมดที่เกิดขึ้น

 

บทเรียนจากปัญหาต่างๆ ทำให้พบว่าการลงทุนสร้าง Data Center ด้วยตัวเองนั้นไม่ใช่ทางออกอีกต่อไป

อย่างไรก็ดีงานหนักนั้นก็ไม่ใช่ประเด็นหลักที่ทำให้ ARS ต้องมองหาทางเลือกใหม่ๆ แต่ประสบการณ์ในการผ่านวิกฤติต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นภายในบริษัทต่างหากที่ทำให้ทีมงาน ARS ต้องหันกลับมามองระบบ IT ที่มีอยู่ในแง่มุมใหม่ๆ กัน

 

 

คุณกุลชาติได้เล่าถึงภัยพิบัติ 3 ครั้งใหญ่ๆ ที่เคยเกิดขึ้นกับระบบ IT ของ ARS ดังนี้

 

1. เกิดเพลิงไหม้ในห้อง Data Center

ในอดีตนั้น ARS เคยเกิดเหตุเพลิงไหม้เล็กๆ ภายในห้อง Data Center ที่ได้ลุกลามกลายเป็นเรื่องใหญ่โตทันทีเมื่อระบบดับเพลิงเกิดทำงานอัตโนมัติขึ้นมา ซึ่งถึงแม้อุปกรณ์ Server และข้อมูลนั้นจะไม่ได้รับผลกระทบ แต่ตัวห้องเองนั้นก็เจิ่งนองไปด้วยน้ำ ทำให้งานใหญ่นั้นตกอยู่ที่การกู้คืนห้อง Data Center ให้กลับมาอยู่ในสภาพที่ใช้งานได้นั่นเอง

การกู้คืนห้อง Data Center ในครั้งนี้เสียเวลาค่อนข้างมาก และเหตุเพลิงไหม้ในครั้งนี้ก็ได้ทำให้ ARS ได้รับบทเรียนเรื่องการลงทุนเทคโนโลยีต่างๆ ในห้อง Data Center ให้ดีมีมาตรฐานมากขึ้น รวมถึงมีการเปลี่ยนระบบดับเพลิงที่ใช้งานทั้งหมด และทำให้ ARS ได้ตัดสินใจลงทุนในระบบ Disaster Recovery (DR) จากสาขาแม่ไปยังโรงงานเพิ่มเติม เพื่อเพื่อความทนทานให้กับระบบสำคัญของธุรกิจ ลดความเสี่ยงที่ระบบและข้อมูลจะเสียหายอีกในอนาคต

 

2. เหตุผู้ชุมนุมปิดถนนสีลมและสาทร

ในเหตุการณ์ทางด้านการเมืองครั้งใหญ่ที่มีเหล่าผู้ชุมนุมออกมาปิดถนน ทาง ARS ที่สาขาหลักตั้งอยู่บนถนนสาทรเองก็ได้รับผลกระทบจนพนักงานไม่สามารถเข้ามาทำงานได้ ถึงแม้จะโชคดีที่ไม่มีการตัดระบบไฟฟ้าของอาคาร ทำให้ระบบ IT ทั้งหมดยังคงทำงานอยู่ได้ แต่หากเกิดปัญหาอะไรในระหว่างช่วงที่มีผู้ชุมนุมปิดถนนขึ้นมานี้ ทีมงานก็จะไม่สามารถเข้าไปแก้ไขปัญหาใดๆ ได้เลย

เหตุการณ์นี้เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ตอกย้ำถึงความสำคัญของระบบสำรอง และความสำคัญของระบบ Remote Access ที่่จะยังคงทำให้พนักงานทุกคนสามารถทำงานกันได้จากทุกที่ทุกเวลา ให้ธุรกิจไม่หยุดชะงัก

 

3. เกิดเหตุอุทกภัย น้ำท่วมโรงงาน

โรงงานของ ARS นั้นเคยประสบอุทกภัย น้ำท่วมทั้งโรงงาน และโชคร้ายที่โรงงานแห่งนั้นเป็นโรงงานที่ ARS ได้เลือกใช้เป็นสาขาสำรองสำหรับระบบ DR พอดี ทำให้เกิดความเสียหายกับระบบ DR และทำให้ ARS ได้บทเรียนว่าการเลือกสาขาสำหรับทำ DR นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และความเสี่ยงก็เป็นสิ่งที่จัดการยากมากทีเดียว

ทั้ง 3 เหตุการณ์นี้ทำให้ทีมงานฝ่าย IT ของ ARS เริ่มมองหาทางเลือกอื่นๆ นอกจากการลงทุนสร้าง Data Center เองที่นอกจากจะมีค่าใช้จ่ายสูงแล้ว ก็ยังมีความเสี่ยงและปัญหาต่างๆ ให้ต้องจัดการดูแลรักษาอีกมากมาย และแน่นอนว่าในช่วงเวลานั้น Cloud ก็เป็นเทคโนโลยีที่กำลังมาแรงพอดี ทำให้ทีมงาน ARS นั้นสนใจที่จะลองศึกษาและทำความเข้าใจกับ Cloud ไม่น้อยเลย

 

เมื่อเห็นความคุ้มค่าชัดเจน ผู้บริหารก็อนุมัติให้มุ่งสู่ Cloud

คุณกุลชาติเล่าต่อว่าในช่วงแรกๆ นั้นทีมงาน ARS เองก็เริ่มลองศึกษาเทคโนโลยี Cloud และไปเข้าร่วมงานสัมมนาต่างๆ เพื่อติดตามทิศทางของเทคโนโลยี Cloud ในประเทศไทย ซึ่งในสมัยนั้นก็ยังมีข้อกังขาเกี่ยวกับด้าน Bandwidth ที่ต้องใช้เชื่อมต่อไปยัง Cloud และ Security ของระบบ Cloud กันอยู่ จนกระทั่งมีโอกาสได้มาฟังงานสัมมนาที่จัดร่วมกันโดย INET และ SAP ทำให้เริ่มเห็นภาพมากขึ้นว่าการนำ Core Business Application ขึ้นไปยัง Cloud นั้นจะส่งผลดีและความคุ้มค่าให้กับธุรกิจได้อย่างไรบ้าง

ก่อนหน้านั้น ARS มีการใช้ SAP ในธุรกิจอยู่แล้วมาเกือบ 2 ปี และพบว่าในแต่ละครั้งที่ Server ภายในระบบ SAP มีปัญหา ก็ต้องเรียกทีมงานที่ดูแล Hardware และระบบปฏิบัติการเข้ามาแก้ไขปัญหา ซึ่งในแต่ละครั้งก็มีความวุ่นวายไม่น้อยเลย ทำให้ทาง ARS เองสบโอกาสว่าอยากจะลองเปลี่ยนไปใช้ Cloud เพื่อรองรับระบบ SAP แทนเพื่อลดความวุ่นวายตรงนี้ลง

 

“จะนำเทคโนโลยีอะไรมาใช้ เราต้องแสดงให้ผู้บริหารเข้าใจถึงความคุ้มค่าให้ได้”

 

ในขั้นตอนนี้คุณกุลชาติเน้นว่าสิ่งสำคัญที่คนทำงานแผนก IT ต้องทำให้ได้นั้นคือการเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายและความคุ้มค่าในการเลือกลงทุนในเทคโนโลยีต่างๆ และนำเสนอให้ผู้บริหารได้เข้าใจถึงข้อดีข้อเสีย และสามารถรับฟังคำแนะนำจากฝ่าย IT ในการลงทุนได้ เพราะระบบ IT และข้อมูลนั้นก็เปรียบเสมือนหัวใจของธุรกิจ การเลือกลงทุนในแต่ละครั้งจึงต้องมีทั้งความสมเหตุสมผล ความคุ้มค่า และเห็นประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับธุรกิจได้อย่างชัดเจน

ARS ได้เปรียบเทียบค่าใช้จ่ายในการ MA ระบบ Server ภายใน Data Center กับค่าใช้จ่ายในการเช่าใช้บริการ Cloud จาก INET และพบว่าทั้งสองทางเลือกนั้นมีค่าใช้จ่ายที่ใกล้เคียงกัน แต่การเช่าใช้ Cloud นั้นจะได้รับบริการในการดูแลรักษาระบบจาก INET แบบ 24×7 แถมมาด้วย ซึ่งนั่นก็คือการมีเจ้าหน้าที่คอยจัดการปัญหาให้กับระบบ SAP ของบริษัทอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งยังทำให้พนักงานในฝ่าย IT ของ ARS เองที่มีกันอยู่ 6 คนเท่านั้นสามารถมุ่งเน้นไปที่การรับผิดชอบงานของตนเองที่มีอยู่เดิมได้ ไม่ต้องไปพะวงกับการแก้ไขปัญหาภายใน Data Center อีก ทำให้การเช่าใช้ Cloud นั้นมีความคุ้มค่าที่เหนือกว่าการลงทุนใน Data Center เองอย่างชัดเจน และทำให้บอร์ดบริหารอนุมัติให้เริ่มนำ Cloud มาใช้ได้

ในส่วนนี้ผู้ให้บริการ Cloud เองก็ถือว่าต้องเข้ามามีบทบาทในการช่วยให้ข้อมูลเพื่อให้ผู้บริหารสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้นด้วย ซึ่งคุณกุลชาติก็ได้เล่าเสริมว่าทีมเซลส์ของ INET ได้ช่วยทำการบ้านในส่วนนี้มาอย่างละเอียด ทำให้การนำเสนอข้อมูลแก่ผู้บริหารลุล่วงไปได้ด้วยดีในครั้งนั้น

 

ทดสอบ Cloud ของ INET จนมั่นใจในทีมบริการ ก่อนย้าย SAP ขึ้นไปเป็นระบบ Production บน Cloud

อย่างไรก็ดี การเปรียบเทียบราคาเฉยๆ นั้นก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ทีมงาน IT ของ ARS มั่นใจได้ว่าบริการ Cloud นั้นจะช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่ ARS พบอยู่ได้จริง และยังไม่มั่นใจในบริการที่จะได้รับด้วยว่าทีมสนับสนุนหลังการขายนั้นจะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นต่างๆ ได้ด้วยคุณภาพระดับใด ทำให้ทาง ARS พูดคุยกับ INET เพื่อขอทดสอบระบบจริงก่อน

การทดสอบที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นถือว่าเข้มข้นมาก ซึ่งก็ทำให้ทีมงาน ARS ได้เข้าใจถึงศักยภาพของทีมงาน INET ในการสนับสนุนและให้บริการแก่ลูกค้าที่เช่าใช้ Cloud โดยทาง ARS ได้นำระบบ SAP บางส่วนขึ้นไปทำงานบน INET Cloud ก่อน และเมื่อพบกับปัญหาทั้งในระหว่างย้ายระบบหรือพบปัญหาในระหว่างการใช้งานจริง ก็ทำการติดต่อแจ้งให้ทีมงาน INET ช่วยตรวจสอบและแก้ไขปัญหา ซึ่งความเป็นมืออาชีพในการแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุดและรวดเร็ว รวมถึงการประสานงานติดต่อพูดคุยให้เข้าใจสถานการณ์กันอยู่ตลอดเสมือนเป็นทีมงานเดียวกัน ก็ทำให้ทีมบริการของ INET สามารถชนะใจทีมงาน ARS ได้เป็นอย่างดี

หลังจากได้ทดสอบกันจนวางใจในฝีมือของทีมงาน INET แล้ว คุณกุลชาติก็เล่าต่อว่าทาง ARS ได้ตัดสินใจย้ายระบบ SAP ทั้งหมดออกจาก Data Center ขึ้นไปบน INET Cloud ทำให้ภายใน Data Center ของ ARS นั้นเหลือแต่ส่วนของระบบเครือข่ายและ IT Infrastructure ที่จำเป็นเท่านั้น แต่ไม่มี Server สำหรับ SAP เหลืออยู่อีกแล้ว พร้อมทั้งเช่าใช้สัญญาณ Internet จาก INET เพื่อเชื่อมต่อทุกๆ สาขาเข้ากับ Data Center ของ INET ทำให้ทุกคนสามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง

 

 

อีกจุดหนึ่งที่คุณกุลชาติได้พูดถึงข้อดีของ INET Cloud ก็คือการที่มีระบบสำรองข้อมูลให้พร้อมใช้งานได้ทันที รวมถึงยังมีเทคโนโลยี Snapshot บน Cloud ที่ทำให้การปกป้องข้อมูลสามารถทำได้สะดวกง่ายดายยิ่งขึ้น และด้วยการที่ INET เองก็มี Data Center กระจายอยู่หลายแห่ง เชื่อมต่อกันด้วยระบบเครือข่ายความเร็วสูง การทำ DR เพิ่มเติมก็ไม่ใช่เรื่องยากที่ต้องมีค่าใช้จ่ายมากมายเหมือนการลงทุน Data Center เองอีกต่อไป และยังทำให้ ARS สามารถคลายกังวลในประเด็นเรื่อง Ransomware ที่เป็นข่าวใหญ่โตหลายครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้

คุณกุลชาติได้เล่าถึงประสบการณ์จริงว่าที่ผ่านมายังไม่เคยพบปัญหาว่า INET Cloud ล่มในระบบ SAP ที่เป็น Production เลย อาจจะมีบ้างที่ผู้ใช้งานรายงานมาว่าระบบช้า ซึ่งเมื่อทีมงาน IT ของ ARS แจ้งไปยัง INET การแก้ไขปัญหาก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทันใจ และเมื่อระบบ SAP เองมีปัญหา ทางทีมงาน INET ก็สามารถช่วยเหลือในส่วนของ SAP Basis ได้ทั้งหมด ทำให้ ARS แทบจะหมดห่วงเรื่องการดูแลรักษาระบบ SAP ไปเลย

 

Cloud ที่ทำให้ระบบมี Downtime ต่ำลง ช่วยให้ ARS สามารถประหยัคค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างมาก

คุณกุลชาติขยายความเพิ่มเติมต่อว่าหลังจากที่ย้ายไปใช้ Cloud แล้ว นอกจากจะประหยัดค่าใช้จ่ายในแง่ของการดูแลรักษาระบบแล้ว Cloud ที่ช่วยให้ระบบ Application เสถียรทนทานยิ่งขึ้นนั้นก็ทำให้ธุรกิจสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายลงไปได้เป็นอย่างมากอีกด้วย

 

Credit: ARS

 

ธุรกิจของ ARS นั้นมีด้วยกันหลากหลายส่วน และการที่ระบบ SAP ไม่สามารถใช้งานได้นั้นก็จะทำให้การทำงานล่าช้า และต้องเสียค่าปรับให้กับลูกค่าของตนหากไม่สามารถส่งสินค้าได้ตามเวลาที่กำหนด ซึ่งก่อนที่จะย้ายไปใช้ Cloud นั้นทางทีมงาน IT ของ ARS เองก็ต้องคอยแก้ปัญหาเร่งด่วนนี้ด้วยความกดดันอยู่เสมอ เพราะเมื่อระบบ IT ล่มจนทำให้งานล่าช้า ค่าปรับที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้งก็อาจทำให้กำไรในการขายแต่ละงานนั้นหดหายลงไปได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว

แต่หลังจากย้ายมาใช้ INET Cloud แล้วระบบมีความเสถียรสูงขึ้นด้วยการสนับสนุนของทีมงาน INET นั้น ก็ทำให้ประเด็นปัญหาเหล่านี้จบลงไป ARS นั้นไม่ต้องเผชิญกับการจ่ายค่าปรับอันเป็นเหตุที่เกิดมาจากระบบ IT ล่มหรือ SAP มีปัญหาอีกเลย

 

ทนทานและประสิทธิภาพสูงด้วยระบบ Cloud ที่มี IT Infrastructure จาก HPE เป็นหลัก

โดยปกติแล้วการเช่าใช้ Cloud นั้น ผู้เช่าใช้มักไม่มีโอกาสได้รู้ว่า Hardware ที่นำมาให้บริการตนเองนั้นคือระบบใด ซึ่งทาง INET ก็ได้ชูจุดนี้ว่าบริการ INET Cloud นั้นเลือกใช้ Hardware ในระดับองค์กรเป็นหลัก โดยทางระบบ Cloud ที่ให้บริการ SAP ของ ARS นั้นก็ได้เลือกใช้ Server และ Storage จาก HPE เพื่อให้บริการในครั้งนี้ ซึ่งระบบนี้ก็สามารถรองรับ SAP ได้เป็นอย่างดี และมีความทนทานกับความมั่นคงปลอดภัยในระดับที่ยอมรับได้จากองค์กร โดยประกอบไปด้วยระบบต่างๆ ดังนี้

  • HPE Server หลากหลายรุ่น พร้อม CPU Intel Xeon สำหรับรองรับงานประมวลผลใน Data Center โดยเฉพาะ
    • HPE ProLiant Server สำหรับให้บริการ Enterprise Cloud
    • HPE Synergy สำหรับให้บริการ  SAP Hana Node และ Bare Metal Service
    • HPE Simplivity Hyper-Converged สำหรับให้บริการระบบ Private Cloud
  • HPE 3PAR Storage สำหรับทำหน้าที่เป็นระบบ Storage ให้กับบริการภายใน Cloud ตอบโจทย์ทั้งประสิทธิภาพ, การดูแลรักษาข้อมูล และความทนทานในการทำงาน

HPE เองนั้นถือเป็นผู้ผลิต Hardware ที่ได้รั บการยอมรับจากเหล่าผู้ให้บริการ Cloud ทั่วโลกเป็นอย่างสูง และมีส่วนแบ่งตลาดในอันดับต้นๆ อีกทั้งด้วยความที่ Hardware ของ HPE นั้นถูกพัฒนาขึ้นมาด้วยมาตรฐานที่ดี และออกแบบมาให้ตอบโจทย์การใช้งานได้ถึงในระดับองค์กรแต่แรกอยู่แล้ว หากไปสำรวจเหล่าผู้ให้บริการ Cloud ที่เน้นตลาดองค์กรที่ต้องการทั้งความทนทานและความปลอดภัย ก็มักจะพบเห็น Hardware จาก HPE ถูกเลือกใช้อยู่เสมอ และ INET เองก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย

 

Credit: INET

 

บริการ INET HPE Cloud นี้เป็นบริการ Cloud แบบครบวงจรที่เกิดจากความร่วมมือด้านการบริการในระดับมืออาชีพจาก INET ผสานเข้ากับโซลูชันทางด้าน Server และ Storage จาก HPE ออกแบบมาเป็นบริการ Cloud หลากหลายสำหรับตอบโจทย์การใช้งานขององค์กรได้หลากหลาย รวมถึงยังมีโซลูชันที่โดดเด่นเหนือกว่าบริการ Cloud อื่นๆ อย่างเช่นบริการ Desktop-as-a-Service ให้เช่าใช้บริการ VDI บน Cloud ได้ รวมถึงยังมีบริการ HANA-as-a-Service เพื่อให้องค์กรสามารถเช่าใช้ SAP HANA เพื่อรองรับระบบ ERP ได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องลงทุน Hardware ด้วยตนเอง พร้อมทั้งยังมีทีมงานมากประสบการณ์ด้าน SAP จาก INET คอยดูแลให้อีกด้วย

Data Center ของ INET นั้นได้รับมาตรฐานหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ISO/IEC 20000‑1:2011 (Cloud Service Management), ISO/IEC 27001:2013 และ CSA‑STAR Certification จึงมั่นใจได้ทั้งในแง่ของความทนทานและความปลอดภัย พร้อมทีมงานสนับสนุนการใช้งานและแก้ไขปัญหาต่างๆ ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน รองรับการใช้งานในระดับองค์กรได้โดยไม่ต้องกังวล

ผู้ที่สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ INET HPE Cloud สามารถศึกษาข้อมูลได้ที่ https://inet.co.th/hpecloud/

 

เทคโนโลยีที่ทำให้ธุรกิจและชีวิตดีขึ้น ย่อมเป็นที่ต้องการของตลาด และบทบาทของแผนก IT ในองค์กรที่จะต้องเปลี่ยนไปเพราะ Cloud

 

“เทคโนโลยี ถ้าแพงแล้วดี ลูกค้าก็จ่าย”

 

มาถึงกับช่วงสุดท้ายของการพูดคุย ที่คุณกุลชาติได้ให้ข้อคิดจากประสบการณ์ของตนในวงการ IT หลายสิบปีจนได้ขึ้นสู่การเป็นผู้จัดการอาวุโสฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศแห่ง ARS ว่า สำหรับธุรกิจขนาดใหญ่มูลค่าสูงที่มีแผนก IT ขนาดไม่ใหญ่นั้น การเลือกใช้ Cloud และ Outsource ร่วมกันนั้นจะเป็นทางเลือกที่คุ้มค่ามากในระยะยาว และจะทำให้แผนก IT ภายในองค์กรเปลี่ยนไปทำงานเชิงบริหารและกลยุทธ์ทางด้าน IT แทนได้ เพราะมีเวลาเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองเยอะมาก ส่งผลให้มีเวลาสามารถไปศึกษาเทคโนโลยีใหม่ๆ และเลือกใช้แต่สิ่งที่ดีและเหมาะสมที่สุดสำหรับองค์กรได้อยู่ตลอด

ทั้งนี้การทำงานร่วมกับผู้ใช้งานทั่วๆ ไปและการคิดเผื่อแบบเอาใจเขามาใส่ใจเรานั้นก็ยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับคนในแผนก IT ตัวอย่างเช่นการจัดการปัญหา Ransomware ในบริษัทที่ผู้ใช้งานทั่วไปหลงเชื่อการหลอกลงและการโจมตีในรูปแบบที่ซับซ้อนหลากหลายนั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากคน IT ไม่เข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้งานทั่วไป การทำความเข้าใจในประเด็นเหล่านี้และออกแบบระบบการทำงานให้เหมาะสมเพื่อแก้ไขปัญหา โดยที่ผู้ใช้งานไม่ต้องมาสับสนกับเรื่องราวของเทคโนโลยีมากนักก็เป็นหัวใจสำคัญ

อีกหนึ่งหน้าที่สำคัญสำหรับคน IT ในยามนี้คือการช่วยภาคธุรกิจในการเลือกเทคโนโลยีให้ดี การเลือกใช้เทคโนโลยีที่ถูกต้องและเหมาะสมนั้นจะทำให้ธุรกิจเติบโตไปได้อย่างมั่นคงและต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคปัจจุบันนี้ที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทจนกลายเป็นหัวใจของธุรกิจไปแล้ว

 

สนใจบริการ Cloud สำหรับองค์กร ติดต่อทีมงาน INET ได้ทันที

 

 

สำหรับผู้ที่สนใจในบริการ INET Cloud และอยากติดต่อเพื่อให้มานำเสนอเทคโนโลยี, เสนอราคา หรือทดลองใช้งานจริง สามารถติดต่อทีมงาน INET ได้ทันทีที่โทร 089-799-8234 Email inet-hpcloud@inet.co.th หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ของ INET HPE Cloud https://inet.co.th/hpecloud/

from:https://www.techtalkthai.com/ars-chemical-journey-to-the-cloud-by-hpe-and-inet/

HPE ร่วมกับ VMware พัฒนาฮาร์ดแวร์ระบบไฮบริดจ์คลาวด์แบบประกอบได้ดังใจ

ทาง Hewlett Packard Enterprise (HPE) จับมือร่วมกับ VMware ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแบบเลือกประกอบชิ้นส่วนได้อย่างยืดหยุ่น หรือ Composable โดยอิงตามแบบของ HPE Synergy และ VMware Cloud Foundation ถือเป็นแพลตฟอร์มประกอบรุ่นแรกที่ใช้ศูนย์ข้อมูลแบบจัดการด้วยซอฟต์แวร์ หรือ SDDC ของ VMware

ถือเป็นการประกาศเปิดตัวครั้งใหญ่ในงาน VMworld ที่ลาสเวกัสเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โซลูชั่นนี้ให้ความคาดหวังในการสร้างความเรียบง่ายอย่างเหลือเชื่อ ด้วยการติดตั้งเพียงคลิกเดียวสำหรับเวิร์กโหลดทั้งบนระบบปกติ และบนไพรเวทคลาวด์ รวมทั้งปรับเปลี่ยนการจัดสรรทรัพยากรโครงสร้างพื้นฐานได้ภายในไม่กี่นาที

ทางรองประธานกลุ่มผลิตภัณฑ์คลาวด์และ Software Defined ของ HPE ระบุว่า เทคโนโลยีนี้ออกมาเพื่อตอบสนองการแข่งขันบนโลกดิจิตอล ที่องค์กรต่างๆ ต้องการเทคโนโลยีที่ผลักดันการออกบริการใหม่ได้อย่างรวดเร็ว ความร่วมมือนี้ทำให้ได้ไพรเวทคลาวด์ที่ทำให้ลูกค้าเป็นเหมือนผู้ให้บริการภายใน ที่สามารถสนองความต้องการต่างๆ ได้ภายในหนึ่งคลิก

HPE Synergy เป็นโซลูชั่นฮาร์ดแวร์แบบออลอินวันที่เปิดตัวตั้งแต่ 2558 ซึ่งรวมเอาสตอเรจ, ส่วนประมวลผล, และอุปกรณ์เครือข่ายมาอยู่ภายในแชสซีเดียวกัน รวมทั้งให้ซอฟต์แวร์จัดการที่ตั้งค่าฮาร์ดแวร์ได้อย่างอัตโนมัติ เพื่อเป็นทรัพยากรกลางสำเร็จรูปหนึ่งเดียวที่จำเป็นสำหรับรันแอพพลิเคชั่นต่างๆ

ที่มา : http://www.datacenterknowledge.com/cloud/hpe-and-vmware-team-composable-infrastructure-hybrid-cloud

from:https://www.enterpriseitpro.net/archives/7842

HPE เปิดตัว Composable Platform สำหรับ VMware Cloud Foundation

ในงาน VMworld 2017 ทาง HPE ได้ออกมาประกาศเปิดตัวระบบ Composable Platform สำหรับ VMware Cloud Foundation โดยใช้ HPE Synergy เป็นเทคโนโลยีหลัก เพื่อรองรับได้ทั้ง Traditional Workload และ Private Cloud ได้ในระบบเดียวกัน

Credit: HPE

 

การผสานโซลุชันร่วมกันระหว่าง HPE Synergy และ VMware Cloud Foundation นี้จะช่วยให้การ Deploy ระบบเป็นไปได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย และรองรับทั้งการใช้ Bare Metal Server และ Virtualization สำหรับการตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายภายในระบบเดียว ทำให้องค์กรสามารถรองรับการเปลี่ยนไปใช้งาน IT Infrastructure ด้วยเทคโนโลยีต่างๆ ได้โดยไม่ต้องลงทุนทางด้าน Hardware ใหม่บ่อย เพิ่มความยืดหยุ่นในการเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้อย่างคล่องตัว

ทาง HPE ยังได้พัฒนา HPE OneView ให้สามารถทำงานร่วมกับ VMware vSphere และ VMware vRealize ได้ดีขึ้น อีกทั้งยังรองรับการทำ Virtualization ร่วมกับ SAN Storage และ VMware vSAN พร้อมๆ กัน

นอกจากนี้ HPE ยังเปิดทางเลือกให้องค์กรสามารถลงทุนกับโซลูชันนี้ได้ในรูปแบบ HPE Flexible Capacity ได้ ทำให้องค์กรเลือกลงทุนได้ในแบบ Consumption-based ที่มีค่าใช้จ่ายรายเดือนตามการใช้งานจริง คล้ายคลึงกับการเช่าใช้ Cloud แต่สามารถนำ Hardware และ Software ทั้งหมดมาติดตั้งใช้งานได้ภายในองค์กร

HPE จะออกมาประกาศความพร้อมในการจำหน่ายโซลูชันนี้อย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง

 

ที่มา: http://www.storagereview.com/hpe_announcing_first_composable_platform_for_vmware_cloud_foundation

from:https://www.techtalkthai.com/hpe-announces-composable-platform-for-vmware-cloud-foundation/

[PR] ฮิวเลตต์ แพคการ์ด เอ็นเตอร์ไพรส์ เปิดตัวเซิร์ฟเวอร์มาตรฐานอุตสาหกรรมที่ปลอดภัยที่สุดในโลก

นำเสนอนวัตกรรมใหม่ ได้แก่ ซิลิคอนชิปดีไซน์พิเศษ พร้อมทั้งโซลูชั่นต่างๆ เพื่อเพิ่มความคล่องตัว
และรูปแบบการชำระเงินที่หลากหลายตามแผนการดำเนินธุรกิจของลูกค้า

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – 10 สิงหาคม 2560  – ฮิวเลตต์ แพคการ์ด เอ็นเตอร์ไพรส์ (HPE) เปิดตัวเซิร์ฟเวอร์ตระกูล ProLiant รุ่นใหม่ที่มีมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดในโลก  โดย HPE เป็นผู้จัดจำหน่ายรายแรกที่นำความปลอดภัยแบบซิลิคอนมาใช้ในเซิร์ฟเวอร์มาตรฐานอุตสาหกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาการโจมตีเฟิร์มแวร์ซึ่งเป็นหนึ่งในภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดที่องค์กรต่างๆ และรัฐบาลต้องเผชิญในปัจจุบัน นอกจากมาตรฐานความปลอดภัยใหม่นี้ HPE ยังได้เพิ่มความสามารถใหม่ๆให้กับเซิร์ฟเวอร์ที่ควบคุมโดยซอฟต์แวร์ (Software-defined infrastructure) ซึ่งช่วยให้สามารถทำงานได้อย่างยืดหยุ่นมากกว่าเดิม รวมถึงเลือกใช้งานได้ตามงบประมาณและความต้องการ (economic flexibility)

และในปัจจุบันที่ทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นภาครัฐและภาคเอกชนกำลังให้ความสำคัญกับการป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่นับวันจะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นมาจากการที่แฮกเกอร์สามารถโจมตีด้วยวิธีการที่คาดไม่ถึง การละเมิดความปลอดภัยและช่องโหว่ที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่นั้นมาจากการโจมตีเฟิร์มแวร์ซ้ำแล้วซ้ำอีก จากงานวิจัยของ Information Systems Audit and Control Association (ISACA) เผยว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยในโลกไซเบอร์มากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ได้รายงานว่ามีเฟิร์มแวร์ที่ติดมัลแวร์อย่างน้อยหนึ่งครั้งในปี 2559 และ HPE เป็นบริษัทแรกที่พยายามแก้ปัญหาดังกล่าวด้วยการพัฒนาระบบความปลอดภัยในเซิร์ฟเวอร์จะปลอดภัยตั้งแต่ฐานรากระดับซิลิคอน (silicon root of trust) จากการสร้างจุดเชื่อมต่อระหว่างซิลิคอนของ HPE กับชิป HPE Integrated Lights Out (iLO) เพื่อให้แน่ใจว่าเซิร์ฟเวอร์จะไม่ถูกบุกรุกด้วยรหัสเฟิร์มแวร์ การผนวกเฟิร์มแวร์ที่มีความปลอดภัยโดยตรงในซิลิคอนของ HPE จะช่วยป้องกันการโจมตีของเฟิร์มแวร์ได้ดีที่สุด รวมถึงทำให้สามารถกู้คืนเฟิร์มแวร์ของเซิร์ฟเวอร์ได้อัตโนมัติ

เซิร์ฟเวอร์ที่ปลอดภัยตั้งแต่ฐานรากระดับซิลิคอน ของ HPE ถูกออกแบบโดยผนวกความปลอดภัยลงบนชิป iLO ด้วยการเข้ารหัส (immutable fingerprint) ในซิลิคอน ซึ่งจะอนุญาตให้บูทเครื่องเฉพาะเฟิร์มแวร์ที่มีค่ารหัสตรงกันเท่านั้น  HPE เป็นผู้จำหน่ายเพียงรายเดียวที่มีข้อได้เปรียบเนื่องจากสามารถควบคุมชิปซิลิคอนที่ผลิตขึ้นมาเองรวมถึงเฟิร์มแวร์ที่จำเป็นสำหรับเซิร์ฟเวอร์ การรักษาความปลอดภัยตั้งแต่ฐานรากระดับซิลิคอนคือการนำเทคโนโลยีการเข้ารหัส ผนวกเข้ากับการตรวจจับการละเมิดที่ล้ำสมัย เสริมด้วยระบบรักษาความปลอดภัย HPE supply chain และบริการประเมินและป้องกันความปลอดภัยจากทีมงานที่ปรึกษา HPE Pointnext 

นายแพทริก มัวร์เฮด ประธานและนักวิเคราะห์หลัก ของ Moor Insights & Strategy บริษัทที่ปรึกษาและวิเคราะห์ด้านเทคโนโลยี กล่าวว่า “การละเมิดความปลอดภัยในเฟิร์มแวร์นับเป็นหนึ่งในสิ่งที่ถูกตรวจจับยากที่สุดแต่เมื่อถูกละเมิดแล้วอาจเป็นอันตรายมากที่สุดต่อองค์กร ผู้บริหารระดัสูง มักมองข้ามเรื่องเฟิร์มแวร์เมื่อพูดเรื่องความปลอดภัยของดาต้าเซ็นเตอร์ ดังนั้นอาชญากรไซเบอร์จึงเน้นการโจมตีที่จุดนี้ แม้ว่าเซิร์ฟเวอร์จำนวนมากจะมีระบบรักษาความปลอดภัยในตัวฮาร์ดแวร์อยู่แล้ว แต่ HPE กำลังสร้างการรักษาความปลอดภัยของเฟิร์มแวร์ที่เชื่อมโยงกับซิลิคอนเพื่อช่วยลูกค้าในการป้องกันการโจมตีที่เป็นอันตรายเหล่านี้”

สร้างประสบการณ์ใหม่ในการประมวลผล

เพื่อมอบประสบการณ์ในการใช้งานระบบประมวลผลใหม่ HPE ไม่เพียงแค่พัฒนาเซิร์ฟเวอร์มาตรฐานอุตสาหกรรมที่ปลอดภัยที่สุดในโลก แต่ยังเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของเซิร์ฟเวอร์ที่ควบคุมโดยซอฟต์แวร์  ด้วยความสามารถใหม่เหล่านี้ที่ขับเคลื่อนเซิร์ฟเวอร์ของ HPE ตระกูล ProLiant รุ่นที่สิบ  (HPE ProLiant Gen 10) ทำให้ลูกค้าสามารถวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกทางธุรกิจในโลกไฮบริดไม่ว่าจะเป็นบนระบบไอทีแบบดั้งเดิม พับลิกคลาวด์ หรือไพรเวทคลาวด์ได้อย่างรวดเร็ว 

นายพลาศิลป์ วิชิวานิเวศน์  กรรมการผู้จัดการ  บริษัท ฮิวเลตต์ แพคการ์ด เอ็นเตอร์ไพรส์ ประเทศไทย   กล่าวว่า “ลูกค้าไม่ควรมองข้ามเรื่องความปลอดภัยทางไซเบอร์และความคล่องตัวในการทำงานบนเซิร์ฟเวอร์โดยซอฟต์แวร์ รวมถึงความยืดหยุ่นของการใช้งานคลาวด์ HPE พร้อมนำเสนอ HPE ProLiant Gen 10 เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสถึงความสามารถในการประมวลผลที่ดีที่สุด ด้วยระบบรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่ไม่เหมือนใคร รวมถึงวิธีการใหม่ ๆ ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกที่ทำได้อย่างรวดเร็ว และรูปแบบการชำระเงินที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถเลือกตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดกับองค์กรตนเอง”

ความยืดหยุ่นในการทำงานของเซิร์ฟเวอร์ที่ควบคุมโดยซอฟต์แวร์

ความสามารถในการประมวลผลใหม่ ทำให้ลูกค้าสามารถสร้างแอพพลิเคชั่นและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกทางธุรกิจผ่านเซิร์ฟเวอร์ที่ควบคุมโดยซอฟต์แวร์ได้ วันนี้ HPE ได้ประกาศปรับปรุงความสามารถต่างๆ ดังต่อไปนี้ ได้แก่:

สัมผัสความสามารถใหม่ๆ บนเซิร์ฟเวอร์ที่ควบคุมโดยซอฟต์แวร์:

  • HPE OneView 3.1 สนับสนุนแพลตฟอร์มเซิร์ฟเวอร์รุ่นที่ 10 อย่างครอบคลุม และจะทำให้ระบบการประมวลผล การจัดเก็บ และเครือข่าย เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ควบคุมได้โดยซอฟต์แวร์  HPE OneView รุ่น 3.1 ใหม่มีความสามารถในการจัดเก็บข้อมูลแบบ composable การจัดการเฟิร์มแวร์ที่ดีขึ้น สนับสนุนแพลตฟอร์มการประมวลผลของ HPE ได้หลากหลาย และสนับสนุนคู่ค้า composable ใหม่ๆเช่น Mesosphere DC/OS  โดย HPE และ Mesosphere เพิ่งประกาศการเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ซึ่งจะช่วยร่นระยะเวลาส่งมอบบริการให้เร็วขึ้น (time-to-value)
  • HPE Intelligent System Tuning มอบประสบการณ์ในการใช้งานแอพพลิเคชั่นแบบไดนามิกร่วมกับ Intel ในตระกูล Intel®Xeon® Scalable Processor ฟังก์ชันที่เป็นเอกลักษณ์นี้ สามารถช่วยปรับความถี่ (jitter smoothing) เพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผล (core boosting) และการปรับแต่งเซิร์ฟเวอร์ให้ตรงกับเวิร์กโหลด

ประสบการณ์ใหม่ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพในการพัฒนาและการทำงาน:

  • HPE Synergy for Gen10 รวมถึง HPE Synergy 480 และ HPE Synergy 660 โมดูลในการประมวลผลเหล่านี้ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานสำหรับปริมาณเวิร์กโหลดที่มีการประมวลผลและข้อมูลมาก เช่นการสร้างโมเดลทางการเงิน นอกจากนี้ยังมีการเชื่อมต่ออีเธอร์เน็ต 25/50 กิกะไบต์และความสามารถในการจัดเก็บข้อมูลแบบ direct-attached storage (DAS) เพิ่มขึ้น 2.8 เท่า

ประสบการณ์ใหม่ในการจัดการเวิร์กโหลดให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อความรวดเร็วในการสร้างแอพพลิเคชั่นจากข้อมูล:

  • HPE Scalable Persistent Memory เป็นโซลูชั่นการจัดเก็บข้อมูลแบบบูรณาการที่ทำงานด้วยความเร็วระดับหน่วยความจำที่สามารถขยายการใช้งานได้ถึงระดับเทราไบต์ ที่เร็วที่สุดในตลาดและขยายการใช้งานได้ ทำให้การทำ application checkpoint เร็วขึ้นกว่าเดิมได้มากถึง 27เท่าและการกู้คืนฐานข้อมูลได้เร็วกว่าเดิมถึง 20 เท่า 

ควบคุมงบประมาณได้ โดยจ่ายเงินตามการใช้งานจริง

ลูกค้าต้องการทางเลือกในการจ่ายเงินว่าจะจ่ายค่าโซลูชั่นด้านไอทีเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (operating expense) หรือการลงทุน (capital expense) รายเดือน ดังนั้น HPE จึงนำเสนอรูปแบบการชำระเงินด้านไอทีตามการใช้งานจริง ซึ่งมอบผลลัพธ์ทางธุรกิจที่เป็นรูปธรรมที่ลูกค้าต้องการ ทำให้สามารถจัดการกระแสเงินสดได้ดีขึ้น ติดตั้งใช้งานได้เร็วขึ้น หรือประหยัดต้นทุนในการจัดการ HPE Flexible Capacity จะเปลี่ยนวิธีที่ลูกค้าใช้ไอทีให้สอดคล้องกับความต้องการทางธุรกิจที่แท้จริงโดยการจ่ายเฉพาะสิ่งที่ใช้และใช้งบเพิ่มเติมบางส่วนในการเพิ่มหรือลดขนาดการใช้งานได้ตามความต้องการ ทำให้ลูกค้าสามารถประหยัดเงินได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินมากกว่าการใช้งานจริง

เพื่อช่วยให้ลูกค้าปรับระบบไอทีให้เหมาะสมกับความต้องการทางธุรกิจ HPE พร้อมนำเสนอร 2 บริการใหม่:

  • บริการดูแลสมรรถนะขององค์กรโดย HPE (HPE Capacity Care Service) ทำให้บริษัทขนาดกลางสามารถควบคุมการใช้งานและบริหารสมรรถนะขององค์กรในการทำงาน เพื่อลดการจัดแบ่งทรัพยากรที่เกินจริงและเพิ่มระดับการใช้งาน
  • การประชุมเชิงปฏิบัติการด้านการลงทุนด้านไอที (IT Investment Strategy Workshops) ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยองค์กรต่างๆ พัฒนากลยุทธ์การลงทุนด้านไอทีด้วยรูปแบบการระดมทุนที่สอดคล้องกับแผนการลงทุนด้านไอที

สตอเรจและการบริการต่างๆ ของ HPE ได้เปิดตัวไปเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2560 ที่ผ่านมา

พร้อมสำหรับการขยายการใช้งาน ด้วยโซลูชั่นการประมวลผลประสิทธิภาพสูง

HPE ได้เปิดตัว โซลูชั่นประมวลผลสมรรถนะสูง (High Performance Computing – HPC)  สุดล้ำอย่าง HPE Apollo 6000 Gen10 ใหม่ ซึ่งจะช่วยประมวลผลงานต่างๆ ให้เป็นข้อมูลเชิงลึกได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยลดความเสี่ยงต่อการโจมตีบนโลกไซเบอร์ และควบคุมงบประมาณในการใช้งานได้ดียิ่งขึ้น

HPE Apollo 6000 Gen10 เป็นแพลตฟอร์ม HPC ขนาดใหญ่ล้ำสมัยสำหรับองค์กรธุรกิจมาพร้อมกับระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ HPC โดยได้รับการออกแบบใหม่เพื่อมอบประสิทธิภาพในการใช้งานได้มากกว่า 300 teraflopต่อแร็ค รวมถึงมีประสิทธิภาพในการขยายการใช้งานแร็คที่ดียิ่งขึ้น และประสิทธิภาพด้านราคาที่โดดเด่น HPE Apollo 6000 Gen10 เป็นระบบ HPC ที่มีความปลอดภัยมากที่สุดในโลกโดยใช้เทคโนโลยีด้านความปลอดภัยตั้งแต่ฐานรากระดับซิลิคอน (silicon root of trust) ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ สำหรับการป้องกันภัยคุกคามด้านความปลอดภัย ความสามารถใหม่ ๆ ในระบบนี้ ได้แก่ :

  • ความน่าเชื่อถือ ความสามารถในการเข้าถึงเพื่อใช้งาน การบริการ และความสามารถในการจัดการ ระดับชั้นนำในอุตสาหกรรม
  • ลดค่าความหน่วง (latency) และประสิทธิภาพของ IOPs ที่สูงขึ้น
  • ลดการใช้พลังงานและความต้องการในการทำความเย็น

บริษัทเคมีที่ชื่อ BASF เป็นหนึ่งในผู้ใช้ระบบ HPE Apollo 6000 Gen10 รายแรก ที่ได้ร่วมกันพัฒนาซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ และนำเทคโนโลยีของ HPE เข้ามาปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำวิจัยทางเคมี โดยถือเป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดที่ใช้ในการวิจัยทางเคมีในเชิงอุตสาหกรรม และช่วยให้บริษัท BASF สามารถลดเวลาในการจำลองและสร้างโมเดลทางคอมพิวเตอร์จากที่ต้องใช้เวลาหลายเดือนเหลือเพียงไม่กี่วัน ทำให้สามารถทำตลาดได้เร็วยิ่งขึ้น และลดต้นทุนได้เป็นอย่างยิ่ง

การวางจำหน่าย

เซิร์ฟเวอร์ HPE ProLiant Gen10 Server, HPE Synergy Compute Modules, HPE Converged System และ HPE Apollo 6000 Gen10 System รุ่นใหม่เริ่มวางจำหน่ายแล้ว

ข้อมูลเพิ่มเติม

###

เกี่ยวกับ ฮิวเลตต์ แพคการ์ด เอ็นเตอร์ไพรส์

ฮิวเลตต์ แพคการ์ด เอ็นเตอร์ไพรส์ เป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีชั้นนำของอุตสาหกรรมที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถขยายการดำเนินธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว ด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมมากที่สุดในอุตสาหกรรมซึ่งครอบคลุมคลาวด์ ศูนย์ข้อมูล และแอพพลิเคชั่นในที่ทำงาน เทคโนโลยีและบริการต่างๆ ของเราช่วยให้ลูกค้าทั่วโลกให้สามารถพัฒนาระบบไอทีที่มีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยมากขึ้น

from:https://www.techtalkthai.com/hpe-launches-new-safest-industrial-server/

เผย HPE ProLiant Gen10 Server จะมาพร้อมกับ Security ในตัว พร้อมรองรับ Software-defined Infrastructure ได้ดีกว่าเดิม

ในงาน HPE Discover ที่จัดขึ้นที่ Las Vegas ทาง HPE ได้ออกมาเปิดเผยถึงทิศทางของ HPE ProLiant Gen 10 Server ในฐานะของ Server ที่มีความปลอดภัยสูงสุด ด้วยการฝัง Silion-based Security ลงไปภายใน Server โดยตรง พร้อมยังรองรับการทำ Software-defined Infrastructure ได้มากขึ้นอีกด้วย

Credit: HPE

 

สิ่งที่ HPE จะเพิ่มเข้ามาแน่ๆ สิ่งหนึ่งใน Server รุ่นถัดไปนี้ คือการใช้ HPE Silicon ที่เชื่อมต่อกับ HPE Integrated Lights Out (iLO) เพื่อคอยตรวจสอบไม่ให้ Server เรียกใช้คำสั่งแปลกๆ จากการถูกโจมตีและฝัง Firmware แปลกปลอมเข้ามา และสามารถกู้คืน Firmware เป็นรุ่นที่ยังไม่ถูกโจมตีได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งการที่ HPE ทำการควบคุมการผลิตทั้ง HPE Silicon และ HPE iLO เองนี้ ก็ทำให้ทาง HPE มีความสามารถในการออกแบบระบบลักษณะนี้ได้

นอกจากนี้ HPE ยังได้เสริมความมั่นคงปลอดภัยด้วยการนำ Encryption และ Breach Detection เข้ามาใช้ร่วมกับ HPE Supply Chain Security และ HPE Pointnext Securtiy Assessment อีกด้วย

ส่วนทางด้าน Software-defined Infrastructure และฟีเจอร์อื่นๆ นั้น ทาง HPE มีประกาศมาดังนี้

  • HPE OneView 3.1 จะรองรับ HPE ProLiant Gen10 Server และจะรองรับการจัดการ Composable Storage, จัดการ Firmware ได้ดีขึ้น, รองรับ HPE Compute Platform ได้มากขึ้น, ทำงานร่วมกับ Mesosphere DC/OS ได้ดีขึ้น
  • HPE Intelligent System Tuning ทำการปรับแต่งการทำงานของ Server ร่วมกับ Intel Xeon Processor Scalable Family โดยทำการปรับ Modulate Frequency ด้วยการทำ Jitter Smoothing และจัดการปรับแต่ง Core Boosting ให้รองรับกับ Workload ที่ใช้งานได้อย่างยืดหยุ่น
  • HPE Synergy for Gen10 จะเปิดตัวออกมา 2 รุ่นได้แก่ HPE Synergy 480 และ HPE Synergy 660 ที่เชื่อมต่อเครือข่ายด้วย 25/50GbE และมี Storage ภายในความจุสูงขึ้น 2.8 เท่าจากเดิม
  • HPE Scalable Persistent Memory ระบบ Storage ใหม่ที่มีความเร็วเทียบเท่า Memory แต่มีความจุระดับ Terabyte ซึ่งทำงานได้เร็วกว่าเดิม 20-27 เท่า

สำหรับ HPE ProLiant Server Gen10 และอื่นๆ นี้จะวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการภายในปี 2017 นี้ ส่วนรายละเอียดเชิงลึกต้องรอ HPE ออกมาเปิดเผยอีกครั้งครับ

 

ที่มา: https://news.hpe.com/hpe-unveils-the-worlds-most-secure-industry-standard-servers/

from:https://www.techtalkthai.com/hpe-proliant-gen10-server-will-have-built-in-security-with-many-more-features/