การก้าวสู่ Multi-Cloud นั้นถือเป็นวาระสำคัญสำหรับธุรกิจองค์กร เพื่อปรับ IT Infrastructure ให้มีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น รองรับกับ Workload รูปแบบใหม่ๆ ได้อย่างคล่องตัว และเร่งให้การทำ Digital Transformation มีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม Dell Technologies พร้อมเป็นกำลังสำคัญให้กับภารกิจสำคัญนี้ของธุรกิจองค์กร ด้วยโซลูชัน Dell Integrated System for Microsoft Azure Stack HCI ที่จะช่วยพาธุรกิจไปสู่สถาปัตยกรรม Multi-Cloud ได้อย่างง่ายดาย ที่ตอบโจทย์ได้ทั้งในเชิงประสิทธิภาพและความมั่นคงปลอดภัย พร้อมความสามารถในการบริหารจัดการอย่างครบวงจร และการทำงานร่วมกับ Microsoft Azure ได้แบบ Native พร้อมการคิดค่าใช้จ่ายตามการใช้งานจริง ทำให้ Dell Integrated System for Microsoft Azure Stack HCI สามารถส่งมอบประสบการณ์การใช้งาน Microsoft Azure ให้กับธุรกิจองค์กรได้จากภายใน Data Center ของตัวเอง
ความสามารถและจุดเด่นของ Dell Integrated System for Microsoft Azure Stack HCI
รองรับ Microsoft SQL Server และโซลูชันอื่นๆ จาก Microsoft ได้เป็นอย่างดี ด้วยการใช้ Technology Stack จาก Microsoft ทั้งหมด พร้อมระบบ Storage ประสิทธิภาพสูงบน Dell PowerEdge Server ทำให้สามารถเลือกใช้งานเครื่องรุ่นที่รองรับ Workload ที่ต้องการได้อย่างเหมาะสม
ก้าวสู่โลกของ Container, Kubernetes และ Multi-Cloud ด้วย Azure Kubernetes Service (AKS) บน Microsoft Azure Stack HCI ที่พร้อมทำงานร่วมกับ Microsoft Azure ได้ทันที ทำให้การทำ DevOps ภายในองค์กร และการ Deploy Containerized Application กลายเป็นเรื่องที่ง่ายดาย
Microsoft Azure Stack HCI นั้นคือหนึ่งในโซลูชันของ Microsoft Azure ที่จะนำความสามารถของระบบ Cloud ชั้นนำจาก Microsoft มาสู่ Data Center และ Edge ของธุรกิจองค์กรได้
ในสภาพเศรษฐกิจที่ต้องบอกว่ายังเอาแน่เอานอนไม่ได้ การสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน โดยการนำเทคโนโลยีมาช่วยขับเคลื่อนนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญและต้องพิจารณาในรายละเอียดให้ครอบคลุม วิธีที่ดีที่สุดสำหรับทุกคนก็คือพยายามลดค่าใช้จ่ายลงให้ได้มากที่สุด เราจะทำอย่างไรให้การลงทุนทุกบาททุกสตางค์ของเราคุ้มค่า เราเชื่อว่าทุกวันนี้ใครก็อยากจ่ายน้อยแต่ได้มากกันทั้งนั้น สำหรับผู้ใช้งาน Microsoft วันนี้เราขอนำเสนอทางเลือกที่หลากหลายจาก Microsoft ที่จะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถประหยัดต้นทุนการทำงานได้มากขึ้น ประกอบด้วย Microsoft 365 Business Premium และแผน Bring Your Own License (BYOL) ของ Microsoft SQL Server และ VMware รวมถึงความคุ้มค่าจาก Power Platform จะเป็นอย่างไรกันบ้างนั้นมาติดตามกันได้เลยครับ
ความปลอดภัยที่ครบ จบในตัว
องค์กรคงคุ้นเคยกับการซื้อ License ของ Microsoft 365 กันมาเป็นอย่างดีแล้ว โดยมีการแบ่งแผนการใช้งานออกเป็นหลายระดับทั้งระดับส่วนบุคคล(Personal) สิทธิพิเศษสำหรับนักเรียน หรือการใช้งานในครอบครัว แต่ในระดับธุรกิจ Microsoft 365 จะมีการแบ่งตามขนาดธุรกิจเป็น 2 ระดับใหญ่คือ Business Plan สำหรับธุรกิจขนาดเล็กถึงกลาง(SME) และขนาดใหญ่(Enterprise) ซึ่งอย่างหลังนี้แอปจะเป็นมีความสามารถขั้นสูงระดับองค์กรอย่างแท้จริง ตอบโจทย์ความซับซ้อนของธุรกิจทั้งเรื่องฟังก์ชันและจำนวนพนักงาน
credit : Microsoft
ในบทความนี้เราจะโฟกัสเฉพาะแผน Business ซึ่งรองรับผู้ใช้งานได้สูงสุด 300 ท่าน ก่อนอื่นเลยมาวิเคราะห์กันก่อนว่าในเมื่อ Business มีหลายทางเลือกแล้วเหตุใดจึงต้องขยับไปใช้แผนสูงสุด จากภาพประกอบด้านบนจะเห็นได้ว่า Business Basic อาจจะยังไม่โดนใจสำหรับผู้ใช้งานที่คุ้นกับการใช้โปรแกรมที่ติดตั้งในเครื่องมากกว่า ดังนั้นทางเลือกต่อมาก็คือแผน Standard จึงน่าเป็นจุดตั้งต้นที่น่าดึงดูดให้หลายองค์กร แต่รู้หรือไม่ว่าความต่างด้านราคาเพียงไม่กี่เหรียญฯระหว่าง Premium นี้กลับช่วยลดต้นทุนได้มหาศาล เนื่องจากรวบรวมเครื่องมือด้านความมั่นคงปลอดภัยมาให้อย่างครบครันทำให้ไม่ต้องหาซื้อโซลูชันอื่นเข้ามาอีก ไม่ว่าจะเป็น Antivirus หรือซอฟต์แวร์ในการบริหารจัดการอุปกรณ์ให้ซ้ำซ้อน ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่แค่จะช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายเท่านั้น เพราะยังช่วยให้แผนกไอทีของคุณทำงานได้ง่ายขึ้น สามารถบริหารจัดการเรื่องต่างๆ โดยใช้แพลตฟอร์มเดียว แถมยังไม่ต้องปวดหัวกับการต่อ Subscription จากหลายผู้ให้บริการอีกด้วย โดยฟีเจอร์ด้าน Security ที่ท่านจะได้รับมีดังนี้
1.) Microsoft Intune
โซลูชัน Microsoft Intune ถือเป็นหัวใจของ Business Premium เลยก็ว่าได้ โดยให้ความสามารถในเรื่องของ Mobile Device Management(MDM) และ Mobile Application Management (MAM) ซึ่งโซลูชันให้บริการในลักษณะของ Cloud-based นั่นหมายความว่าไม่จำเป็นต้องจัดตั้งเซิร์ฟเวอร์ควบคุมขึ้นมา นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ที่จะได้รับอีกมากมายเช่น
Microsoft Defender for Office 365 หรือชื่อเดิมคือ Microsoft Office 365 ATP ได้มอบความสามารถที่ช่วยขจัดพื้นผิวการโจมตีมักที่เกิดขึ้นได้บ่อยเช่น อีเมลและไฟล์เอกสารที่ซ่อนมัลแวร์เข้ามาภายในองค์กร ซึ่งถือเป็นแนวหน้าของการรับมือกับภัยคุกคามเลยก็ว่าได้ หากเจาะลึกภายในของโซลูชันมีฟีเจอร์โดดเด่นดังนี้
เราทราบกันดีถึงความสามารถของ Active Directory ที่ใช้กันมานาน แต่เมื่อการทำงานเข้าสู่ยุคของคลาวด์ Azure AD จึงถือกำเนิดขึ้นเพื่อรองรับการทำงานสมัยใหม่ ทั้งนี้เมื่อประกอบความสามารถเข้ากับ Intune องค์กรจะสามารถรองรับการ Join Domain เพื่อบริหารจัดการอุปกรณ์ Mobile ได้ นอกจากนี้ Azure AD ยังรองรับระบบอื่นที่นอกเหนือจาก Windows ด้วย อย่างไรก็ดีสิ่งที่ลูกค้า Microsoft 365 Business Premium จะได้รับคือ Azure AD Premium ที่มีความสามารถเหนือกว่าเดิมเช่น การทำงานแบบ Hybrid ทรัพยากรทั้งคลาวด์และ On-premise หรือเครื่องมือบริหารจัดการขั้นสูงของแอดมินอย่าง Dynamic Group, Self-service Group Management, Microsoft Identity Manager และ Cloud Write-back เป็นต้น นอกจากนี้ยังสร้างความเป็น Conditional Access อย่างแท้จริงด้วยการรองรับทางเลือกของ MFA อย่าง SMS, Microsoft Authenticator, Software Token, Windows Hello for Business, Hardware Token, FIDO2 พร้อมความสามารถในด้านการจัดการ Policy ที่เข้มข้น
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่มาพร้อมกับ Microsoft 365 Business Premium ที่ท่านจะได้รับอย่างเข้มข้น ครบเครื่องไม่ว่าจะเป็นมุมของ Email, Office, Mobile Management, Cloud และโซลูชันด้าน Identity อย่าง Azure AD Premium แต่ท่านยังได้รับความสามารถของ Data loss Prevention และ Azure Information Protection ที่จะควบคุมการใช้งานข้อมูลอีกด้วย มาถึงตรงนี้คงเห็นแล้วใช่ไหมครับว่าความต่างของราคาราว 10 เหรียญสหรัฐฯต่อเดือนคุ้มค่าขนาดไหน เทียบกับความยากในการซื้อโซลูชันอื่นเข้ามาให้ได้เท่ากัน เพราะเรื่องความปลอดภัยนั้นประเมินค่าไม่ได้…
หากคุณมี License SQL Server หรือ VMWare อยู่แล้ว ย้ายขึ้นคลาวด์ประหยัดได้ทันที
Bring Your Own Microsoft SQL Server to Azure Cloud
Microsoft เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ SQL Server ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าหากเกิดปัญหาขึ้นผู้ที่จะช่วยเหลือองค์กรได้ดีที่สุดก็คือ Microsoft เอง โดยเฉพาะหากนำ SQL Server ขึ้นสู่ระบบคลาวด์องค์กรจะได้ประโยชนอีกหลายเด้งเลยทีเดียว ประการแรก คือได้ความยืดหยุ่นของคลาวด์ที่จ่ายได้ตามจริง ทำให้ปรับเพิ่มลดทรัพยากรได้ตามต้องการ ประการที่สอง คือมีเครื่องมือด้านความมั่นคงปลอดภัยพร้อมตอบโจทย์ด้านความมั่นคงปลอดภัยอย่างเต็มรูปแบบ ประการที่สาม บริหารจัดการได้ง่าย ยิ่งในรูปแบบของ PaaS ลูกค้ามีหน้าที่เพียงแค่ใช้งานและจัดการงานของตนเท่านั้น อีกทั้งหากต้องการฟีเจอร์ด้านข้อมูลขั้นสูงเช่น Data Mesh, Analytics หรือ Machine Learning ก็สามารถเชื่อมต่อข้อมูลจาก SQL Database พร้อมใช้งานได้ทันที
ด้วยข้อมูลที่กล่าวมาจึงดึงดูดให้หลายองค์กรสนใจที่จะย้าย SQL Server (เริ่มต้นที่เวอร์ชัน 2012 หรือสูงกว่า) ของตนสู่ Microsoft Azure แต่ที่ผ่านมาอาจจะยังลังเลเพราะมีข้อจำกัดว่าต้องใช้ VM หรือ PaaS ที่มาพร้อมค่าใช้จ่ายของ License แต่เรื่องนี้เป็นอดีตไปแล้วเพราะล่าสุดด้วยข้อเสนอใหม่ผู้ใช้งานเดิมที่มี License ของ SQL Server จะสามารถย้ายมาใช้งานบน Azure ได้แบบไร้รอยต่อ ไม่ว่าจะเป็น VM ที่ติดตั้ง SQL Server หรือ PaaS ซึ่งท่านจะได้รับข้อดีข้างต้นทั้ง 3 ประการที่กล่าวมา แต่ถ้าลูกค้าที่มี SQL Server License พร้อมกับ SA Software Assurance ท่านจะสามารถนำ License มาใช้บน Azure ได้พร้อมกับ VM ในดาต้าเซ็นเตอร์ของท่านเองสูงสุดถึง 180 วัน!
Credit : Microsoft
Bring Your Own VMware License to Azure Cloud
Microsoft Azure มีโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้ออำนวยให้ธุรกิจสามารถเติบโตไปได้อย่างมั่นคง มีความสเถียรสูงและวางแผนค่าใช้จ่ายได้ทุกระยะ ประกอบกับมีบริการขั้นสูงที่สร้างประโยชน์ต่อยอดให้ธุรกิจได้มากมายทั้ง AI/ML, Analytics, Data Governance โดยเฉพาะเครื่องมือด้าน Security ที่มีให้ครบครันไม่ต้องลงทุนเพิ่ม อย่างไรก็ดี VMware เป็นผู้เล่นชั้นนำในตลาด Virtualize ซึ่งมีลูกค้าอยู่มากมาย ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่จะผลักดันให้องค์กรเปลี่ยนพฤติกรรมและทักษะความคุ้นเคยที่สั่งสมมานานเพื่อหันมาใช้เครื่องมือใหม่คงทำได้ยาก ซึ่ง Microsoft ตระหนักเรื่องนี้ดีจึงได้ร่วมมือกับ VMware สร้างบริการ Azure VMware Solution เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าเหล่านี้
ไอเดียของ Azure VMware Solution ก็คือโครงสร้างพื้นฐานของ Microsoft เพียงแต่ว่าใช้ซอฟต์แวร์สแต็กจาก VMware เช่น vSphere, NSX-T Data Center, vSAN และ HCX ซึ่งได้รับการการันตีโดย VMware เรียบร้อยแล้ว จึงให้ความมั่นใจได้ว่าผู้ใช้งานจะสามารถใช้โซลูชันเดียวกันของ VMware แต่อาศัยโครงสร้างพื้นฐานของ Azure เพื่อเสริมศักยภาพในการให้บริการธุรกิจได้ โดยในมุมของไอทีผู้ดูแลก็ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้เครื่องมือใหม่นั่นเอง
*ล่าสุด Microsoft ได้เปิดให้ผู้สนใจทุกท่านที่มี License ของ VMware vRealize สามารถนำมาใช้งานบริการ Azure VMware Solution ต่อได้ ซึ่งท่านสามารถขอรับคำปรึกษาและความช่วยเหลือในการเปลี่ยนผ่านและดูแล จากทีมงาน Microsoft และพาร์ทเนอร์ที่ดูแล Azure ได้ที่นี่ครับ
Credit : Microsoft
เพิ่มศักยภาพให้ทุกคนในองค์กรด้วย Microsoft Power Platform
เบลนเดต้า (Blendata) บริษัทDeep Tech ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มบริหารจัดการBig Data อัจฉริยะ เผยBlendata ได้ลงนามความร่วมมือ (MOU) กับ Get On Technology ผู้เชี่ยวชาญและผู้นำด้านIT Transformation ในระดับองค์กร ตัวแทนจำหน่ายDell Technologies ในประเทศไทย ตั้งเป้าหมายพัฒนาบริการ เครื่องมือ และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับBig Data ให้ครอบคลุมครบวงจรและทรงประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ผ่านการผสานความสามารถของซอฟต์แวร์ด้านBig Data จากBlendata และฮาร์ดแวร์ จากDell Technologies พร้อมบริการจากทีมงานผู้เชี่ยวชาญ หนุนองค์กรธุรกิจทั้งภาครัฐและเอกชนนำBig Data ไปใช้งานให้เกิดประโยชน์สูงสุด ยกระดับศักยภาพองค์กร พร้อมแข่งขันในทุกสังเวียนธุรกิจ
นายณัฐนภัส รชตะวิวรรธน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท เบลนเดต้า จำกัด เปิดเผยว่า หากย้อนไปเมื่อหลายปีก่อน Big Data คือคำยอดฮิตที่ถูกพูดถึงเป็นอย่างมาก ในระยะแรกองค์กรส่วนใหญ่ได้นำไปใช้ในแง่ของการจัดเก็บข้อมูลเป็นหลัก โดยไม่ได้มีการนำข้อมูลที่จัดเก็บไว้ไปต่อยอดในด้านอื่น ๆ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับปัจจุบัน Big Data ไม่ได้เป็นแค่เทรนด์และไม่ใช่แค่เทคโนโลยีที่มีหน้าที่เพียงการจัดเก็บข้อมูลอีกต่อไป แต่กลายเป็นเทคโนโลยีสำคัญที่ทุกองค์กรจำเป็นต้องนำไปปรับใช้ในการวิเคราะห์หาข้อมูลเชิงลึกที่เป็นประโยชน์ (Big data analytics) ออกมาในรูปแบบ Use case ที่วัดผลและจับต้องได้มากขึ้น อีกทั้ง Blendata ยังมองเห็นช่องว่างของตลาด Big Data ในปัจจุบัน ที่ยังขาดบริการและเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์แบบ End-to-end ส่งผลให้เมื่อต้องการทำโปรเจค Big Data ที่มีการทำงานร่วมกันระหว่าง Infrastructure, Software และ Hardware นั้น องค์กรจะต้องทำการจัดซื้อเครื่องมือทั้งหมดจากผู้ให้บริการหลายแห่ง ซึ่งทำให้เกิดความซับซ้อนและข้อจำกัดในการใช้งาน
จากที่มาดังกล่าว เพื่อตอบโจทย์ความต้องการขององค์กรและธุรกิจ Blendata ซึ่งเป็นบริษัทซอฟต์แวร์และ Deep Tech ผู้พัฒนาเทคโนโลยีด้าน Big Data สัญชาติไทย จึงได้ผนึกกำลังครั้งสำคัญกับพันธมิตรที่มีความแข็งแกร่งในด้าน Infrastructure และเป็นผู้นำด้าน IT Transformation อย่าง บริษัท เก็ต ออน เทคโนโลยี จำกัด หรือ Get On ตัวแทนจำหน่าย Dell Technologies ในประเทศไทย เพื่อเสริมศักยภาพการทำ Big data analytics ให้แข็งแกร่งขึ้น ด้วยการผสานการทำงานระหว่างซอฟต์แวร์จาก Blendata และฮาร์ดแวร์จาก Dell Technologies โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาการให้บริการและเครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับ Big Data ที่ตอบโจทย์ธุรกิจแบบครบวงจร และเพื่อให้ลูกค้าสามารถทำโปรเจค Big data ได้สำเร็จรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตลอดจนได้รับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญด้วยบริการที่มีคุณภาพ” นายณัฐนภัสกล่าว
ด้าน นายวุฒิชัย ปุณยกนก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เก็ต ออน เทคโนโลยี กล่าวว่า จากประสบการณ์การทำงานร่วมกับตัวแทนจำหน่ายและลูกค้าในหลากหลายอุตสาหกรรม พบว่าองค์กรในประเทศไทยมีความต้องการในการทำ Big data analytics มากขึ้นและต้องการตัวเลือกทางเทคโนโลยีที่หลากหลาย โดย Get On ในฐานะตัวแทนจำหน่าย Dell Technologies ซึ่งมีอุปกรณ์ด้าน Infrastructure ที่มีความพร้อมและมีโซลูชันครบวงจร โดยสามารถนำเสนอทั้งในส่วนของ Compute, Network รวมถึง Storage โดยมีความหลากหลายและเหมาะสมกับงานที่องค์กรต้องการ ตัวอย่างเช่น Power Scale ซึ่งเหมาะกับการเก็บข้อมูลประเภท Unstructured เพื่อทำ Data analytics เป็นต้น และ Dell ยังมีเครื่องมือที่ชื่อว่า CloudIQ ที่เข้ามาช่วยในการทำ Monitoring, Troubleshoot อุปกรณ์ที่เป็นของ Dell จากศูนย์กลางได้ ทำให้ลูกค้าสามารถบริหารจัดการอุปกรณ์ที่เป็น Dell ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม Get On มองหาซอฟต์แวร์เข้ามาช่วยเพิ่มความสามารถด้าน Infrastructure ของ Dell Technologies จึงได้ร่วมมือกับ Blendata ซึ่งเป็น Local Partner ที่มีแพลตฟอร์มด้าน Big Data ประสิทธิภาพสูงและทันสมัย พร้อมกับมีทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ไม่ว่าจะเป็น Data Scientist, Data Engineer และ Data Analyst ถือเป็นการนำจุดแข็งของทั้งสองบริษัทเข้ามาช่วยยกระดับโซลูชันด้าน Big Data ให้ครอบคลุมครบวงจร เพื่อช่วยองค์กรในการเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจและเป็นหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนองค์กรแบบเก่าให้เป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล” นายวุฒิชัยกล่าว
จากความร่วมมือในครั้งนี้ Blendata และ Get On ได้เปิดตัวแพ็คเกจ Big Data Starter Kits พร้อมให้บริการใน 3 แพ็กเกจหลัก ขนาด S, M และ L สำหรับจำนวนผู้ใช้งานและ Workloads ที่แตกต่างกัน ช่วยให้กลุ่มธุรกิจทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในทุกอุตสาหกรรม ตั้งแต่ธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลาง จนถึงขนาดใหญ่ ที่มี First party data อยู่ในมือ สามารถทำ Big data analytics ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีบริการที่ครอบคลุมตั้งแต่การให้คำปรึกษา การออกแบบโซลูชัน แพลตฟอร์ม Big Data รวมทั้งทีมงานซัพพอร์ตในประเทศ ซึ่งช่วยลดความซับซ้อนจากการใช้เครื่องมือจากผู้ให้บริการหลายแห่ง ช่วยลดระยะเวลาในการวางรากฐานโปรเจค Big Data จาก 6 เดือนเหลือเพียง 2 เดือน และสามารถนำไปใช้กับ Use case ทางธุรกิจได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการทำ Centralized data, Business performance analysis, Operation monitoring & analysis, Customers 360, Next best offer, Real-time analytics, Root cause analysis, Anomaly detection และอื่น ๆ อีกมากมาย
การเติบโตของเทรนด์การใช้เทคโนโลยีและระบบ IT ของภาคธุรกิจองค์กร รวมถึงผู้ให้บริการ Cloud รายใหญ่ๆ ที่เริ่มลงทุนสร้าง Data Center ในไทยกันมากขึ้น ก็ทำให้การวางระบบ Network Infrastructure ทวีความสำคัญเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากในช่วงปีที่ผ่านมา
การบริหารจัดการสายภายใน Data Center ถือเป็นอีกโจทย์สำคัญสำหรับฝ่าย IT ของภาคธุรกิจองค์กร และธุรกิจด้านระบบ Data Center หรือ Cloud ซึ่งแนวโน้มในปัจจุบันที่ธุรกิจหลายแห่งกำลังพบอยู่ในทุกวันนี้ ก็คือการเติบโตอย่าวรวดเร็วของระบบ IT และ Network ในขณะที่พื้นที่ของ Data Center นั้นยังคงมีเท่าเดิม การใช้พื้นที่ภายใน Data Center ให้คุ้มค่าสูงสุดจึงกลายเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณา ในขณะที่ความง่ายดายในการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับสาย ก็จะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยลดความเสียหายจาก Downtime ที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันได้เช่นกัน
Panduit HD Flex Fiber Cabling System จึงถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์เหล่านี้โดยเฉพาะ ด้วยจุดเด่นดังต่อไปนี้
Side Trunk Cable Management เข้าถึงและจัดการสายได้จากบริเวณด้านข้างของตู้ ช่วยให้การเพิ่มสาย หรือการเปลี่ยนแปลงสายเดิมเป็นไปได้ง่ายดายยิ่งขึ้น
Front & Back Cassette Accessibility สามารถติดตั้ง Cassette ที่ต้องการได้ทั้งจากด้านหน้าและด้านหลัง รวมถึงมี Split Tray ให้เลือกใช้เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการออกแบบและการทำงาน รองรับการอัปเกรดความเร็วเครือข่ายจาก 10GbE ไปสู่ 40GbE/100GbE ได้ตามต้องการ
Fusion Advantec จึงได้จัดสัมมนา Webinar งาน “Driving and Securing Business Data to Cloud with SD-WAN” ในวันพุธที่ 5 ตุลาคม 2565 เวลา 10:00 – 12:00 น. เพื่อให้ท่านได้รับข้อมูลแบบครบถ้วนภายใน 3 ชั่วโมง
ภายในงานจะได้พบกับ Topics Hi-light ที่น่าสนใจ อาทิเช่น 1.We are Fusion Advantec as an expert I VMWare’s EUC solution 2.SASE and Use case 3.SASE and Solution and Mini Demo