คลังเก็บป้ายกำกับ: DATA_ENCRYPTION

เตรียมระบบความมั่นคงปลอดภัยให้พร้อมรองรับ PDPA ด้วย One Stop ICT จาก CSL และโซลูชันจาก Fortinet

จากที่รัฐบาลมีมติให้เลื่อนการเริ่มบังคับใช้ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPA (Personal Data Protection Act) ในประเทศไทยออกไปอีก 1 ปีจากเดิมที่จะเริ่มใช้ในวันที่ 27 พฤษภาคม 2020 เป็น วันที่ 27 พฤษภาคม 2021 เพื่อให้องค์กรธุรกิจได้มีเวลามากขึ้นในการจัดเตรียมระบบรักษาความมั่นคงปลอดภัยของระบบ ICT ให้มีความพร้อม เพื่อการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของทั้งลูกค้าและพนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

จึงนับเป็นโอกาสที่แต่ละองค์กรจะได้ทบทวนความพร้อมของระบบรักษาความมั่นคงปลอดภัยในระบบ ICT ของตนอีกครั้ง รวมทั้งระบบการจัดเก็บข้อมูล และใช้ข้อมูลในรูปแบบต่างๆ หากเกิดการละเมิดข้อมูล จะถูกดำเนินการรับผิดทางแพ่งซึ่งองค์กรธุรกิจจะต้องชดใช้ค่าเสียหายทดแทนเพิ่มขึ้นอีกสูงสุดไม่เกิน 2 เท่า ของค่าเสียหายที่แท้จริง

CSL พร้อมช่วยองค์กรรองรับ PDPA ด้วยโซลูชันที่ครบถ้วนจาก Fortinet

CSL เป็นพาร์ตเนอร์กับ Fortinet มาอย่างยาวนาน ให้บริการโซลูชันด้านความมั่นคงปลอดภัยที่หลากหลาย และได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าระดับองค์กรเป็นอย่างมาก สามารถสร้างยอดขายสูงสุดจนได้รับรางวัล Fortinet Platinum of the Year 2018 พิสูจน์ถึงความมั่นใจจากลูกค้าระดับองค์กรธุรกิจในประเทศไทยที่มีต่อ CSL ในการนำโซลูชันด้านความมั่นคงปลอดภัยจาก Fortinet ไปใช้งานในระบบ ICT ของตนได้เป็นอย่างดี

สำหรับโซลูชันด้านความมั่นคงปลอดภัยที่รองรับ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPA นั้น CSL และ Fortinet ก็มีความพร้อมที่ให้บริการโซลูชันต่างๆ เพื่อปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าและพนักงานได้อย่างครบถ้วนและมีประสิทธิภาพ สามารถแบ่งออกเป็น 5 ส่วนสำคัญ ดังนี้

1. โซลูชันป้องกันการสูญหายของข้อมูล (Data Loss Prevention)

ในการปกป้องข้อมูลไม่ให้เกิดความเสียหายหรือสูญหาย Fortinet มีโซลูชันในรูปแบบ Built-in DLP (Data Loss Prevention) ประกอบด้วยคุณสมบัติการทำงานต่างๆ ดังนี้

  • FortiGate โซลูชันไฟร์วอลล์ ทำหน้าที่เป็นกำแพงปกป้องภัยคุกคามที่พยายามเจาะเข้ามาในระบบเพื่อขโมยข้อมูลอันมีค่าขององค์กร รวมถึงข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า โดย CSL มีทีมวิศวกรที่เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์เรื่อง FortiGate Firewall จึงสามารถให้คำแนะนำและปรึกษาสำหรับองค์กรทุกขนาดได้เป็นอย่างดี พร้อมบริการ ICT Managed Services สำหรับไฟร์วอลล์ จึงสามารถเป็นผู้ช่วยที่ดีมากขึ้นอีกขั้นในการดูแลและให้บริการแก่ลูกค้าหลังการเริ่มใช้งานระบบ
  • FortiProxy มีการทำงานในรูปแบบของ URL & DNS Filtering เพื่อป้องกันและควบคุมไม่ให้พนักงานเข้าไปยังเว็บไซต์ที่มีความเสี่ยงในการนำมัลแวร์จากภายนอกเข้ามาสู่ระบบเครือข่ายภายในองค์กร พร้อมระบบ Advance Threat Protection ที่ช่วยป้องกันภัยคุกคามอีกรูปแบบหนึ่ง และเพิ่มการพิสูจน์ตัวตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงช่วยปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าได้เป็นอย่างดี
  • FortiWeb ทำหน้าที่เป็น Web Security Gateway วางตำแหน่งอยู่ด้านหน้าเซิร์ฟเวอร์ โดยสามารถที่จะตรวจสอบว่าข้อมูลที่นำออกไปเป็นข้อมูลส่วนบุคคลหรือไม่ และผู้ที่ใช้งานข้อมูลเป็นผู้ที่มีสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลหรือไม่ เพื่อป้องกันภัยคุกคามในส่วนของเว็บเซิร์ฟเวอร์ให้กับองค์กร ทั้งการใช้งานภายในองค์กร และการให้บริการในรูปแบบสาธารณะ ช่วยป้องกันการโจมตีทั้งในรูปแบบ SQL Injection, Cross-Site scripting และป้องกันการขโมยข้อมูลผ่าน Web Applications
  • FortiMail อีเมลเป็นอีกส่วนสำคัญที่ทำให้ข้อมูลรั่วไหลออกไปสู่ภายนอกได้ FortiMail ทำหน้าที่กรองและป้องกันอีเมลที่มีความอันตราย ไม่ว่าจะเป็นอีเมลในรูปแบบ ฟิชชิ่ง สแปมเมล ไวรัสเมล พร้อมการทำงานในแบบ SMTP Relay เพื่อให้ระบบอีเมลภายในองค์กรมีความมั่นคงปลอดภัยจากภัยคุกคาม อีกทั้งยังสามารถช่วยปกป้ององค์กรจากการโจมตีในรูปแบบ Ransomware ที่แฝงมาพร้อมกับอีเมลได้อย่างดีเยี่ยม

สำหรับองค์กรที่มีการใช้เซิร์ฟเวอร์ในรูปแบบระบบคลาวด์ มีความจำเป็นอย่างมากเช่นกันสำหรับการปกป้องข้อมูล Fortinet ได้พัฒนาคุณสมบัติ Built-in DLP for Cloud อันประกอบด้วย FortiGate Cloud, FortiMail Cloud, FortiWeb Cloud และ FortiCASB ขึ้นมาเพื่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยให้กับการใช้งานเซิร์ฟเวอร์บนระบบคลาวด์โดยเฉพาะ

นอกจากนี้ หากใช้งานผ่านผู้ให้บริการคลาวด์สาธารณะ อย่างเช่น Amazon AWS, Microsoft Azure, Oracle Cloud Infrastructure หรือ Alibaba Cloud ทาง Fortinet ก็ได้พัฒนา Built-in DLP for Public Cloud ที่จะช่วยปกป้องข้อมูลในการใช้งานผ่านระบบคลาวด์ให้แก่องค์กรได้เป็นอย่างดีด้วยเช่นเดียวกัน

2. การควบคุมการเข้าถึง (Access Control)

เป็นอีกส่วนของระบบความมั่นคงปลอดภัยที่มีความสำคัญ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ที่ไม่ได้รับสิทธิ์สามารถเข้าถึงและใช้งานข้อมูลได้โดยไม่ได้รับอนุญาต จึงจำเป็นจะต้องมีระบบควบคุมการเข้าถึงข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ

  • FortiToken เป็นโซลูชันป้องกันการขโมยรหัสผ่าน รองรับการยืนยันแบบ 2-Factor Authentication (2FA) ทั้งในรูปแบบ OTP (One Time Password) และ Soft Token โดยการยืนยันตัวตนขั้นที่สอง ก่อนเข้าถึงการใช้งานข้อมูลจะมีการยืนยันผ่านโทรศัพท์มือถือของผู้ที่ได้รับสิทธิ์คนนั้นๆ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ยืนยันเข้าระบบด้วยการป้อนชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านเพื่อยืนยันตัวตนในขั้นแรกเรียบร้อยแล้ว จึงช่วยรักษาความมั่นคงปลอดภัยจากการขโมยรหัสผ่านเพื่อเข้าสู่ระบบ ICT หรือใช้ข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาตได้เป็นอย่างดี

3. โซลูชันความมั่นคงของข้อมูล (Data Integrity)

  • FortiClient ทำหน้าที่ป้องกันในส่วนของอุปกรณ์ Endpoint จากมัลแวร์ที่พยายามหาช่องโหว่ของระบบรักษาความมั่นคงปลอดภัย และปิดช่องโหว่ไม่ให้มัลแวร์สามารถขโมยข้อมูลออกไปได้ สามารถป้องกัน Ransomware ที่บุกโจมตีผ่านทางอุปกรณ์ต่างๆ ในระบบ โดยจะมีการตรวจสอบ Packet ข้อมูลหรือซอฟต์แวร์ที่ดาวน์โหลดมาสำหรับการติดตั้งใช้งานผ่านระบบคลาวด์ของ Fortinet ก่อนที่จะมีการติดตั้งลงในอุปกรณ์นั้นๆ ของผู้ใช้งานต่อไป รวมถึงมีระบบตรวจสอบฝังตัวอยู่ในเครื่องเซิร์ฟเวอร์ที่สามารถกำหนดนโยบายในการตรวจสอบว่ามีการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้กำหนดไว้ในช่วงเวลาไหน มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลหรือไม่ ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงข้อมูล เป็นการกระทำโดยผู้ที่มีสิทธิ์ถูกต้องตามนโยบายที่ได้กำหนดไว้หรือไม่

4. โซลูชันตรวจสอบและป้องกันการละเมิดข้อมูล (Breach Detection and Prevention)

เป็นพื้นฐานด้านระบบความมั่นคงปลอดภัยด้าน ICT ส่วนสำคัญส่วนแรกที่ควรเริ่มต้นสำหรับการวางระบบ โดยเบื้องต้นจะต้องมีการตรวจสอบหาช่องโหว่ของเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้งานอยู่เสียก่อน

สำหรับการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล หรือ Breach Prevention จะประกอบด้วย Next Generation Firewall, Web Application Firewall, Endpoint Security, Email Security ที่มีอยู่ใน Built-in DLP ของ Fortinet อยู่แล้ว

ส่วนการตรวจสอบและเฝ้าระวัง หรือ Breach Detection ทาง Fortinet ได้พัฒนาคุณสมบัติ FortiSIEM (SIEM: Security Information and Event Management) ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่มีอยู่ใน SOC (Security Operations Center) ของ Fortinet อยู่แล้ว เพื่อตรวจสอบและแจ้งเตือน หากมีการใช้งาน แก้ไข เปลี่ยนแปลงข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า นอกเหนือจากนโยบายที่ได้กำหนดไว้ ก็จะมีการแจ้งไปยังผู้ควบคุมการใช้งานข้อมูลได้ทราบอย่างทันท่วงที

5. โซลูชันเข้ารหัสข้อมูล (Data Encryption)

การเข้ารหัสข้อมูลจะช่วยให้แม้ว่ามีการละเมิดจนสามารถนำข้อมูลออกไปจากระบบได้ แต่จะไม่สามารถเปิดดูข้อมูลได้ เนื่องจากว่าข้อมูลได้มีการเข้ารหัสไว้นั่นเอง โดยการเข้ารหัสข้อมูลในส่วนที่จำเป็นต่อการใช้งานเพื่อปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลสำหรับองค์กรจะเป็นการเข้ารหัสในแบบ Address Encryption ซึ่งเป็นการเข้ารหัสข้อมูลที่ถูกเก็บไว้ในเครื่องเซิร์ฟเวอร์หรือในอุปกรณ์ของผู้ใช้งานเป็นสำคัญ โดยมีการเข้ารหัสข้อมูล 3 แบบ คือ

  • Drive Encryption เป็นการเข้ารหัสในระดับไดรฟ์ แม้ว่าจะมีการนำไดรฟ์ที่มีการเข้ารหัสไปเปิดในเครื่อง PC อื่นๆ ก็จะไม่สามารถเปิดใช้งานข้อมูลได้ โดยส่วนนี้ หากว่าองค์กรมีระบบรักษาความมั่นคงปลอดภัยให้กับศูนย์ข้อมูลที่ดี ก็ไม่จำเป็นต้องเข้ารหัสในรูปแบบนี้ก็ได้
  • File Encryption เป็นการเข้ารหัสให้กับไฟล์ที่มีการเก็บไว้ในโฟลเดอร์ที่ใช้งานร่วมกันในเครื่องเซิร์ฟเวอร์ ถ้าไม่ใช่ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เปิดใช้งาน ก็จะไม่สามารถเปิดไฟล์ได้ เป็นส่วนที่องค์กรธุรกิจในส่วนของผู้ควบคุมการใข้งานข้อมูลส่วนบุคคลควรให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก
  • Database Encryption เป็นการเข้ารหัสให้กับฐานข้อมูล เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาตเปิดใช้งานฐานข้อมูลได้ หากองค์กรมีระบบรักษาความมั่นคงปลอดภัยของศูนย์ข้อมูลที่ดี ก็ไม่จำเป็นเข้ารหัสในส่วนนี้ก็ได้เช่นกัน

โซลูชันด้านความมั่นคงปลอดภัยทั้ง 5 รูปแบบ ของ Fortinet สามารถตอบสนองความต้องการด้าน ICT ที่ช่วยให้องค์กรสามารถนำไปใช้งานเพื่อปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าและพนักงานได้อย่างครบถ้วนและมีประสิทธิภาพ และได้รับการยอมรับจากองค์กรธุรกิจชั้นนำทั้งในระดับประเทศและระดับโลกเป็นอย่างดีตลอดมา โดย CSLและ Fortinet พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือในการให้คำปรึกษาแก่องค์กรธุรกิจทุกขนาด สำหรับการพัฒนาระบบรักษาความมั่นคงปลอดภัยด้าน ICT ขององค์กรให้สามารถปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าให้มีความมั่นคงปลอดภัยจากภัยคุกคามทุกรูปแบบได้เป็นอย่างดี

CSL พร้อมให้คำปรึกษาโซลูชันด้าน ICT เพื่อรองรับ PDPA ที่เหมาะสมกับทุกองค์กรธุรกิจ

แม้การบังคับใช้ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPA ในประเทศไทย จะถูกเลื่อนไปอีกถึง 1 ปี คือจะเริ่มบังคับใช้ในวัน 27 พฤษภาคม 2021 ทำให้องค์กรธุรกิจมีเวลาในการเตรียมความพร้อมเพื่อให้ระบบขององค์กรสามารถรองรับ และสอดคล้องกับระเบียบข้อบังคับของ พ.ร.บ.ฯ แต่ทุกการเริ่มต้นเตรียมความพร้อมควรต้องเริ่มต้นกับพาร์ตเนอร์ด้านเทคโนโลยีที่มีประสบการณ์ และสามารถให้บริการได้ครบถ้วน

SL มีโซลูชันที่ครบถ้วน พร้อมด้วยทีมวิศวกรที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์โซลูชันด้าน ICT ให้กับองค์กรธุรกิจมาอย่างยาวนาน CSL จึงมีความพร้อมในการให้คำปรึกษา ออกแบบ จัดหาโซลูชันด้านความมั่นคงปลอดภัยที่เหมาะสมกับความต้องการและงบประมาณสำหรับองค์กรธุรกิจทุกขนาด พร้อมบริการหลังการขาย รวมถึงการบริการในรูปแบบ Managed Services ที่ช่วยแบ่งเบาภาระด้านบุคคลากรและค่าใช้จ่ายด้าน ICT โดยรวมให้กับองค์กรธุรกิจได้เป็นอย่างดีอีกรูปแบบหนึ่งด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ CSL พร้อมให้บริการแก่ลูกค้าผ่านหมายเลขโทรศัพท์ 1370 ในการให้คำปรึกษาและช่วยแก้ปัญหาแก่ลูกค้าได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ

“Enhance Agility of New Normal with CSL Digital Transformation Solutions”

ปรึกษาและวางแผนพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อรองรับการทำงานและต่อยอดธุรกิจกับ CSL โทร 0-2263-8185 หรืออีเมล presales@csl.co.th

from:https://www.techtalkthai.com/prepare-for-pdpa-with-fortinet-solutions-and-one-stop-ict-by-csl/

[Video Webinar] แนะนำ 6 เทคโนโลยีการปกป้องข้อมูลให้สอดคล้องกับ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

สำหรับผู้ที่ไม่ได้เข้าชมการบรรยาย TechTalk Webinar เรื่อง “แนะนำ 6 เทคโนโลยีการปกป้องข้อมูลให้สอดคล้องกับ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล” พร้อมเจาะลึกความต้องการของ พ.ร.บ.ฯ ฉบับดังกล่าว และทำความรู้จักเทคโนโลยีแต่ละประเภทที่องค์กรสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการเหล่านั้น ที่เพิ่งจัดไปเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา หรือต้องการรับชมการบรรยายซ้ำอีกครั้ง สามารถเข้าชมวิดีโอบันทึกย้อนหลังได้ที่บทความนี้ครับ

ผู้บรรยาย: คุณภูสิทธิ์ ชีนะกนิษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่าย Security Services จาก UIH

พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (Personal Data Protection Act: PDPA) จะเริ่มมีผลบังคับใช้กับทุกหน่วยงานและทุกผู้ประกอบการในวันที่ 27 พฤษภาคม 2020 ที่จะถึงนี้ ในช่วงปี 2019 องค์กรและบริษัทส่วนใหญ่เริ่มตระหนักและเตรียมวางแผนกลยุทธ์เพื่อดำเนินการให้สอดคล้องกับ พ.ร.บ.ฯ ฉบับดังกล่าวแล้ว แต่ยังคงมีอีกหลายองค์กรที่ลังเลว่าจะเลือกใช้เทคโนโลยีหรือโซลูชันใดมาใช้เป็นมาตรการควบคุมเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของ พ.ร.บ.ฯ ดี

ด้วยเหตุนี้ UIH จึงได้รวบรวม 6 เทคโนโลยีสำคัญที่องค์กรควรนำมาประยุกต์ใช้กับระบบ IT ของตนเพื่อให้เกิดการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลตามความต้องการของ พ.ร.บ.ฯ ซึ่งจะมาแชร์ให้ทุกท่านได้ทราบใน Webinar นี้ โดยภายใน Webinar ท่านจะได้พบกับ

  • สรุปสาระสำคัญและความต้องการของ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562
  • กรอบการทำงานและการวางกลยุทธ์สำหรับปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล
  • ความท้าทายของการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลตาม พ.ร.บ.ฯ
  • แนะนำเทคโนโลยีและโซลูชันที่ตอบโจทย์ความต้องการของ พ.ร.บ.ฯ
  • ถามตอบประเด็นเกี่ยวกับ พ.ร.บ.ฯ กับผู้เชี่ยวชาญจาก UIH

from:https://www.techtalkthai.com/https-www-techtalkthai-com-video-webinar-6-data-protection-technologies-for-pdpa-by-uih/

Google พัฒนา AI ที่คิดค้นวิธีการเข้ารหัสด้วยตัวเองได้สำเร็จ

Martín Abadi และ David Andersen นักวิจัยจาก Google Brain ได้ออกมาตีพิมพ์งานวิจัยเกี่ยวกับการใช้ Artificial Intelligence (AI) ในการสร้างวิธีการเข้ารหัสการสื่อสารให้ปลอดภัยด้วยตัวเองได้สำเร็จ

google_brain_ai_encyrption

แนวคิดของงานวิจัยนี้คือการทำให้ AI ของ Alice และ Bob สามารถสื่อสารกันได้และมีการเข้ารหัสด้วย Key ที่ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีอยู่ ในขณะที่ Eve ซึ่งเป็น AI ของผู้ดักฟังนั้นจะพยายามทำการถอดรหัสโดยที่ไม่มี Key ใดๆ เลย

หลังจากผ่านการทดลองไป 15,000 รอบ ในที่สุด AI ของ Alice ก็สามารถประยุกต์นำ Key ที่มีอยู่มาใช้ในการเข้ารหัสได้ด้วยวิธีการง่ายๆ ที่ Eve ไม่สามารถดักฟังได้สำเร็จ และ AI ของ Bob ก็ประสบความสำเร็จในการถอดรหัสเช่นกัน โดย Eve นั้นสามารถถอดรหัสได้เพียงแค่ 8 Bit จากข้อมูล 16 Bit ในข้อความที่ Alice กับ Bob ส่งหากันเท่านั้น ทำให้ไม่สามารถแปลผลข้อความเหล่านั้นได้แต่อย่างใด

งานวิจัยฉบับเต็มสามารถอ่านได้ที่ https://arxiv.org/abs/1610.06918 เลยนะครับ

ที่มา: http://futurism.com/a-new-kind-of-ai-googles-deep-learning-neural-nets-have-learned-encryption/

from:https://www.techtalkthai.com/google-develops-ai-that-creates-encryption-algorithm-by-itself/

WhatsApp ออกอัพเดต เปิด End-to-End Encryption ในการสื่อสารให้โดยอัตโนมัติ แก่ผู้ใช้งานนับพันล้านคน

เพื่อให้ผู้ใช้งานยังคงเชื่อมั่นในความเป็นส่วนตัวในการสื่อสาร WhatsApp ได้ออกอัพเดตล่าสุดที่ทำ End-to-End Encryption ให้กับผู้ใช้งานนับพันล้านคนทั่วโลกให้โดยอัตโนมัติ โดยทั้งการแชท, การโทร, ภาพ และวิดีโอที่ส่งผ่านระบบของ WhatsApp ในห้อง 2-10 คนจะถูกเข้ารหัสโดยอัตโนมัติทั้งหมดทั้งบน iOS, Android, Windows Phone และ Nokia รุ่นเก่าๆ

Credit: ShutterStock.com
Credit: ShutterStock.com

ด้วยการเข้ารหัสแบบ End-to-End นี้ แม้แต่พนักงานของ WhatsApp เองก็ไม่สามารถเปิดอ่านข้อมูลที่ถูกส่งผ่านระบบเครือข่ายของ WhatsApp เองได้ ทำให้ WhatsApp ไม่สามารถตอบรับคำร้องของศาลในการเปิดเผยข้อมูลการสื่อสารของผู้ใช้งานได้อีกต่อไป เป็นการประกาศจุดยืนต่อต้านการละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานอย่างชัดเจน

ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่าการต่อสู้เพื่อความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน กับการบังคับใช้กระบวนการทางศาลนี้จะจบลงอย่างไร

ที่มา: http://www.wired.com/2016/04/forget-apple-vs-fbi-whatsapp-just-switched-encryption-billion-people/

from:https://www.techtalkthai.com/whatsapp-provided-end-to-end-encryption-to-billion-of-users/

[PR] ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ เปิดตัว HITACHI ALL-FLASH ARRAY รุ่นใหม่ HFS A SERIES ที่สุดของความจุ สมรรถนะ และทรงประสิทธิภาพในวงการ

ตอกย้ำวิสัยทัศน์ด้านแฟลชสำหรับแอพลิเคชั่นต่าง ๆ ด้วย Hitachi Flash Storage ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ครอบคลุมมากที่สุด จากการวิจัยและพัฒนาด้านแฟลชแห่งอนาคตมานานกว่า 15 ปี มั่นใจสมรรถนะ ความจุ และประสิทธิภาพสูงสุดในวงการ มั่นใจพลิกโฉมวงการ flash storage แน่นอน

hitachi-data-system-flash-storage

ดร. มารุต มณีสถิตย์ กรรมการผู้จัดการประจำประเทศไทย และพม่า บริษัท ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ พีทีอี ลิมิเต็ด หรือ HDS กล่าวว่า จากการที่องค์กรมีการใช้แอพพลิเคชั่นใหม่ ๆ เพื่อธุรกิจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้องค์กรจำเป็นต้องมีศูนย์ข้อมูลที่มีความพร้อมให้กับผู้ใช้งานในด้านความเร็ว การเข้าถึงข้อมูล และการทำงานโดยอัตโนมัติ ซึ่งทางเดียวที่จะตอบสนองความต้องการเหล่านี้ได้ คือการนำเอาหลักการของการใช้ซอฟต์แวร์ที่ช่วยกำหนดการทำงาน ( software-defined approach ) มาใช้กับระบบโครงสร้างพื้นฐานและเพิ่มประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยีแฟลช ดังนั้นเพื่อเป็นการช่วยให้ลูกค้าบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ทางฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ล่าสุดในกลุ่มแฟลชนั่นคือ Hitachi Flash Storage ( HFS ) A series ของ all-flash arrays

Hitachi Flash Storage A series หรือ HFS A นี้มีความโดดเด่นในเรื่องต้นทุนรวมของการเป็นเจ้าของ หรือ Total cost of ownership ( TCO ) ที่คุ้มค่า ความหนาแน่นของความจุที่เหนือกว่า สมรรถนะที่วางใจได้ และช่วยประหยัดพลังงาน โดยใช้พื้นที่ใน Datacenter เพียงเล็กน้อย ถือเป็นอุปกรณ์ appliance ที่ใช้งานง่าย มีการรวมเทคโนโลยี data optimization เข้าไว้ด้วย ทำให้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเพิ่มสมรรถนะการให้บริการ ในสภาพแวดล้อมที่ต้องการความรวดเร็ว เพื่อตอบสนองความต้องการจากหลาย ๆ ฝ่ายในองค์กร โดยระบบสามารถแบ่งปันสมรรถนะได้อย่างมีประสิทธิภาพให้กับกลุ่มแอพพลิเคชั่นที่หลากหลาย ด้วยซอฟต์แวร์ quality of service ( QoS )

HFS A ประกอบด้วยบริการทางข้อมูล ซึ่งผู้ใช้งานสามารถเลือกใช้งานตามความต้องการได้ ทั้งในด้านของความจุ, การปกป้องข้อมูล และประสิทธิภาพที่ต้องการเพื่อตอบโจทย์งานที่หลากหลาย โดยจุดแข็งของซอฟต์แวร์การบริการ ได้แก่ การลดพื้นที่ซ้ำซ้อนของข้อมูลแบบ Inline deduplication, การบีบอัดของข้อมูล ( Compression ), เทคโนโลยี Thin Provisioning, การทำ Snapshots, การทำสำเนาข้อมูล และการเข้ารหัสข้อมูล ( data encryption ) ซึ่งผู้ใช้งานสามารถเลือกเปิดหรือปิดระบบ การลดพื้นที่ซ้ำซ้อนของข้อมูลได้ตามความต้องการให้กับแต่ละแอพพลิเคชั่น เพื่อประสิทธิภาพและสมรรถนะของการทำงาน รวมไปถึงผู้ใช้งานสามารถเห็นผลของการทำงานร่วมกันระหว่างการลดพื้นที่ซ้ำซ้อนของข้อมูลและการบีบอัดของข้อมูล ในอัตราส่วนถึง 5:1 นอกจากนี้ยังช่วยประหยัดพื้นที่ได้เพิ่มมากขึ้น ด้วยการกระจายความจุตามความต้องการด้วยเทคโนโลยี thin provisioning

โซลูชั่น HFS A มีทั้งหมด 3 รุ่น ซึ่งในแต่ละรุ่นจะมาพร้อมกับ Controller ประสิทธิภาพสูงจำนวน 2 ตัว รองรับการติดตั้ง Disk ชนิด SSD ได้ถึง 60 ลูก ภายใต้ Tray ขนาด 2U ที่ให้ความจุสูงสุด 384TB และให้อัตรา IOPs ระดับ 1 ล้าน IOPsทำให้ผู้ใช้งานสามารถรวมแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ ให้มาใช้งาน ร่วมกันได้ง่ายดายและรวดเร็ว ช่วยลดพื้นที่การติดตั้งภายในศูนย์ข้อมูล รวมไปถึงปัญหาในการจัดการต่าง ๆ HFS A เหมาะสำหรับลูกค้าที่ต้องการโซลูชั่นประสิทธิภาพสูงสำหรับการใช้งานเฉพาะทาง อย่างเช่น การทำระบบเดสก์ท็อปเสมือน ( VDI ), เซิฟเวอร์เสมือนเพื่อการวิเคราะห์แบบเรียลไทม์ และการทำงานด้านระบบฐานข้อมูล

นอกจากนี้ HFS A ยังช่วยปกป้องข้อมูลด้วยการทำ Snapshots แบบ copy-on-write และการทำ full clones ในแต่ละ logical volumes ทำให้สามารถทำสำเนาของข้อมูลจำนวนหลายชุดได้ ซอฟต์แวร์ควบคุม QoS สามารถตั้งค่าเพื่อกำหนด IOPS และ Bandwidth ให้แต่ละ logical volume เพื่อให้สมรรถนะการทำงานของแอพพลิเคชั่นคงที่

“HFS A series เป็นผลิตภัณฑ์ล่าสุดในกลุ่ม flash ที่มาพร้อมโซลูชั่นสำหรับการใช้งานที่หลากหลาย เช่นเดียวกับ all-flash Hitachi Virtual Storage Platform ( VSP ) F series ที่เพิ่งเปิดตัวไป และมีการพัฒนานำเอาความสามารถของกลุ่มผลิตภัณฑ์ Hitachi VSP G series มาไว้ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ Hitachi flash storage นี้ ทำให้ฮิตาชิฯ มีโซลูชั่นที่สามารถตอบสนองความต้องการสำหรับแอพพลิเคชั่นที่หลากหลายของลูกค้าได้อย่างครอบคลุมมากที่สุด และในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยีแฟลช ฮิตาชิฯ ได้ลงทุนอย่างมากในการวิจัยและพัฒนาด้าน flash แห่งอนาคตมานานกว่า 15 ปี จนสามารถนำเสนอนวัตกรรมใหม่ไปยังทั่วโลกด้วยจำนวนสิทธิบัตรด้านแฟลชกว่า 350 รายการ ซึ่งเป็นจำนวนที่มากกว่าผู้ค้าทุกรายในตลาด โดยสิทธิบัตรเหล่านี้ทำให้ผลิตภัณฑ์ของฮิตาชิฯ มีจุดเด่นในเรื่องประสิทธิภาพ ความน่าเชื่อถือ ความสามารถในการทำงาน และคุณภาพสูงสุดในตลาดแฟลช เราสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าในเทคโนโลยีแฟลชมาตั้งแต่ปี 2008 โดยประสบการณ์ส่งมอบความจุแฟลชมาแล้วกว่า 250 PB ทั่วโลก ในการใช้ all-flash เพื่อสนับสนุนแอพพลิเคชั่นสำคัญ ๆ ของธุรกิจ”

ดร. มารุต มณีสถิตย์ กรรมการผู้จัดการประจำประเทศไทย และพม่า บริษัท ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ พีทีอี ลิมิเต็ด
ดร. มารุต มณีสถิตย์ กรรมการผู้จัดการประจำประเทศไทย และพม่า บริษัท ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ พีทีอี ลิมิเต็ด

“ในตลาดที่ปรับตัวอย่างรวดเร็วทำให้ภาคธุรกิจไม่สามารถเสียจังหวะ หรือสูญเสียความสามารถทางการแข่งขันได้ ดังนั้นองค์กรจึงจำเป็นต้องเลือกใช้โซลูชั่น flash ที่ครบวงจร ร่วมกับการใช้ซอฟต์แวร์ในการกำหนดการทำงาน สำหรับโครงสร้างพื้นฐานด้านการจัดเก็บข้อมูล ทำให้สามารถใช้โซลูชั่นให้เกิดประโยชน์สูงสุด สำหรับการใช้งานเฉพาะทาง พร้อมได้รับประสิทธิภาพของการจัดการร่วมกัน ของระบบการทำงาน และนโยบายสำหรับโครงสร้างพื้นฐานได้อย่างทั่วถึง ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ เชื่อมั่นว่าสมรรถนะ ความจุ และประสิทธิภาพสูงสุดของ HFS A จะทำให้โซลูชั่น HFS A รุ่นใหม่นี้ พลิกโฉมให้วงการ flash storage ได้อย่างแน่นอน” ดร. มารุตกล่าวทิ้งท้าย

 

เกี่ยวกับบริษัท ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์

บริษัท ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ เป็นบริษัทในเครือของกลุ่มบริษัท ฮิตาชิ จำกัด โดยเป็นบริษัทผู้นำเทคโนโลยีด้านการบริหารจัดการข้อมูล ที่จะช่วยขับเคลื่อนกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ และยังสร้างนวัตกรรมเพื่อสังคม โดยมุ่งหวังให้เกิดสังคมที่ปลอดภัย, สร้างสุขภาพที่ดี และมีความทันสมัย ผ่านการคิดค้นนวัตกรรมและสร้างมูลค่าที่แท้จริงจากฐานข้อมูลสารสนเทศขนาดใหญ่ ที่เรียกว่า Internet of Things ด้วยโซลูชั่นโครงสร้างพื้นฐานทางด้านไอทีแบบครบวงจร ได้แก่ สตอเรจ, เซิร์ฟเวอร์, ซอฟต์แวร์, การวิเคราะห์, การบริหารจัดการเนื้อหา, และคลาวด์คอมพิวติ้ง พร้อมการให้บริการทั้งก่อนและหลังการขายอย่างครบถ้วน ด้วยความเชี่ยวชาญของ ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ ที่บูรณาการทั้งเทคโนโลยีสารสนเทศและเทคโนโลยีปฏิบัติการที่ดีที่สุด จากบริษัทในเครือฮิตาชิฯ เพื่อส่งมอบนวัตกรรมข้อมูลเชิงลึกให้กับธุรกิจ และสังคม ให้สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลง และการเติบโตในอนาคตได้อย่างดีเยี่ยม สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมสามารถดูได้ที่ HDS.com

 

เกี่ยวกับบริษัท ฮิตาชิ จำกัด

บริษัท ฮิตาชิ จำกัด ( ชื่อในตลาดหุ้นโตเกียว: 6501 ) มีสำนักงานใหญ่ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เป็นบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำระดับโลก ด้วยจำนวนพนักงานทั่วโลกประมาณ 326,000 ราย โดยในปีงบประมาณ 2555 ( จนถึงวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2556 ) บริษัทฯ มียอดขายรวม 9,041 พันล้านเยน ( 96.1 พันล้านดอลลาร์ ) ทั้งนี้ บริษัทฮิตาชิให้ความสำคัญกับธุรกิจที่เน้นด้านนวัตกรรมเพื่อสังคมมากกว่าเดิม ซึ่งรวมถึงระบบโครงสร้างพื้นฐาน ระบบสารสนเทศและโทรคมนาคม ระบบไฟฟ้า ระบบเครื่องจักรก่อสร้าง วัสดุและอุปกรณ์ที่ครอบคลุมการทำงานระดับสูง ระบบยานยนต์และอื่น ๆ สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทฮิตาชิ สามารถเยี่ยมชมได้ที่เว็บไซต์ http://www.hitachi.com

from:https://www.techtalkthai.com/hitachi-data-system-unveil-all-flash-array-hfs-a-series/