คลังเก็บป้ายกำกับ: INET_CLOUD

เรื่องราวของ SCG กับเส้นทางในการเปลี่ยนระบบ IT จาก CapEx สู่ OpEx อย่างเต็มรูปแบบด้วย VMware ร่วมกับ INET

เมื่อพูดถึง SCG แล้ว คงไม่มีใครปฎิเสธว่าไม่รู้จักแบรนด์ยักษ์ใหญ่ที่อยู่คู่เมืองไทยมาช้านานอย่าง SCG แต่น้อยคน และน้อยครั้ง ที่เราจะมีโอกาสได้พูดคุยกันถึงเรื่อง IT ของบริษัทชั้นนำของประเทศแบบนี้ ที่เชื่อว่าไม่ธรรมดาแน่นอน ด้วยความที่มีพนักงาน และกลุ่มธุรกิจที่หลากหลาย กระจายอยู่ทั่วประเทศ ทำอย่างไรจึงจะใช้ระบบ IT สร้างการเติบโตให้กับธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง นี่คือโจทย์ที่น่าสนใจ และชวนขบคิดไม่น้อย

ในครั้งนี้ทีมงาน TechTalkThai มีโอกาสได้เข้าไปพูดคุยกับคุณสุรพล สิทธินันทน์ ผู้ดำรงตำแหน่ง Senior Manager ทางด้าน Cloud & Infrastructure Services ในสำนักงาน Corporate IT&BCM ที่เป็นผู้วางนโยบายด้านระบบ IT Infrastructure, Data Center และ Cloud ทั้งหมดให้กับ SCG และบริษัทในเครือ ถึงประเด็นเรื่องของการปรับรูปแบบการลงทุนในระบบ IT ของ SCG ทั้งหมดให้กลายเป็นรูปแบบ OpEx หรือคิดค่าใช้จ่ายตามจริงหมดแล้ว และเส้นทางนี้เองก็มีบทเรียนต่างๆ ให้ได้นำมาศึกษากันมากมาย ทางทีมงาน TechTalkThai จึงขอนำสรุปเรื่องราวที่ได้พูดคุยกับคุณสุรพลรวมถึงทีมงาน INET ซึ่งเป็น VMware Cloud Provider รายหนึ่งในประเทศไทยเอาไว้ให้ผู้อ่านทุกท่านได้อ่านกันดังนี้ครับ

ธุรกิจใหญ่ระดับ SCG ต้องเลือกการวางผังองค์กรแบบกระจายกำลังหน่วยงาน IT โดยมี IT ส่วนกลางคอยช่วยจัดการโครงสร้างพื้นฐานกลาง

ในการพูดคุยครั้งนี้ คุณสุรพลได้เริ่มต้นจากการเล่าถึงภาพการทำงานของฝ่าย IT ใน SCG ที่ใช้กลยุทธ์แบบกระจายกำลังคน โดยแต่ละบริษัทลูกหรือแต่ละหน่วยงานเองนั้นก็มีทีม IT ของตนเองเพื่อให้การทำงานต่างๆ เป็นไปได้อย่างคล่องตัว และแต่ละทีมเองก็จะได้เรียนรู้เทคโนโลยีเฉพาะด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับตนเอง เพื่อให้การให้บริการ IT ภายในบริษัทลูกหรือธุรกิจต่างๆ เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในขณะเดียวกัน SCG เองก็มีทีม Corporate IT หรือเรียกกันง่ายๆ ว่าทีม IT กลาง ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ประมาณ 40 คน ทำหน้าที่ดูแลรักษาระบบ IT ส่วนกลางสำหรับเหล่าผู้ใช้งานทั่วทั้ง SCG และบริษัทลูกในเครือต่างๆ รวมกันมากกว่า 20,000 รายทั่วไทย ซึ่งเน้นการปฎิบัติงานไปที่การดูแลภาพรวมของเทคโนโลยีและความคุ้มค่าทั้งหมด โดยหากพิจารณาแล้วว่าระบบใดหากมีหน่วยงานกลางจัดทำขึ้นมาให้ทุกบริษัทลูกหรือหน่วยงานต่างๆ ได้ใช้งานร่วมกันแล้วคุ้มค่าหรือมีประสิทธิภาพมากกว่า ทาง Corporate IT ก็จะจัดการสร้าง Platform นั้นๆ ขึ้นมาให้

ตัวอย่างขอบเขตงานที่เห็นได้ชัดของ IT กลาง ก็คือการกำหนดกลยุทธและนโยบายด้านไอที การดูแลระบบเครือข่ายที่เป็น Core Network, การดูแลระบบ Data Center, การดูแลผู้ให้บริการไอทีรายหลัก และการจัดการกับ License การใช้งาน Software พื้นฐานในการทำงานทั้งหมด เป็นต้น

การปรับจาก CapEx สู่ OpEx เริ่มต้นจากวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร

คุณสุรพลได้เล่าต่อถึงวิสัยทัศน์ของเหล่าผู้บริหารใน SCG ที่ต้องการปรับรูปแบบการลงทุนในเทคโนโลยีต่างๆ จาก CapEx ที่เป็นรูปแบบของการซื้อเทคโนโลยีต่างๆ มาแล้วมีทีมงานของตนเองคอยดูแล ไปสู่การเป็น OpEx หรือการเช่าใช้จ่ายและคิดค่าใช้จ่ายตามการใช้งานจริงโดยมีทีมงานจากภายนอกมาช่วยดูแลได้นับสิบปีแล้ว

ปัจจัยหลักที่ทำให้ผู้บริหารของ SCG เลือกที่จะหันมาใช้ OpEx นี้ ก็ด้วยประเด็นทางด้านการเงินที่แนวทางนี้จะช่วยให้การวางแผนทางด้านการลงทุนในสิ่งต่างๆ นั้นเกิดขึ้นได้อย่างคล่องตัวโดยที่ไม่ต้องลงเงินก้อนใหญ่ลงไปก่อน อีกทั้งยังง่ายต่อการวางแผนด้านทรัพยากรบุคคลด้วย

เปลี่ยน Server Infrastructure ที่ใช้งาน ให้เสมือนมีบริการ Cloud ภายในองค์กร

SCG ได้มีการใช้บริการ Managed Service มาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้วกับผู้ให้บริการ IT Outsourcing หลักรายเดิมตั้งแต่ปี 2001 ก่อนที่คำว่า Managed Services นี้จะเป็นที่แพร่หลายในประเทศไทย รวมถึงได้มีการใช้บริการ Server Virtualization แบบ Pay per Use หรือ OpEx มาตั้งแต่ปี 2004 กับระบบงานหลักเช่น SAP และ Critical Application บางระบบ อย่างไรก็ตาม ภาพรวมของ OpEx ในยุคเริ่มต้นนั้นยังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง ทำให้ยังมีอีกหลายๆ ระบบงานยังไม่สามารถปรับเปลี่ยนมาใช้งานบนเทคโนโลยีดังกล่าวได้เต็มที่

ในปี 2013 ทางผู้บริหารของ Corp IT มีแนวความคิดเรื่องการใช้ Private Cloud เต็มรูปแบบกับระบบงานต่างๆ ให้ทั่วถึงนอกเหนือจากที่กล่าวข้างต้น ซึ่งจากการสำรวจพบว่ามีความต้องการใช้ Server ของหน่วยงาน IT ต่างๆ ในแต่ละกลุ่มธุรกิจอีกจำนวนมาก และโจทย์ข้อที่สองจากผู้บริหารคือ ต้องอยู่ในรูปแบบ Pay Per Use (หรือ OpEx) ครบวงจรทั้งในส่วนของ Virtual Server รวมถึง Operating System License ซึ่งในสมัยนั้นยังเป็นเรื่องใหม่ โจทย์ข้อสามคือ ต้องมี Specification ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Processing Power, Disk IOPS, Anti-Virus ที่ไม่หน่วงประสิทธิภาพของ Virtual Server โจทย์ข้อที่สี่คือต้องรวมบริการ Managed Services เข้าไปด้วย เช่น Back Up, Restore, Patching, Monitoring และโจทย์ข้อสุดท้ายคือราคาต้องจูงใจให้หน่วยงาน IT ต่างๆ ใน SCG อยากนำเอา Application Project ทั้งที่มีอยู่เดิมบน Physical Server หรือโครงการใหม่ๆ มาใช้งานบนระบบ Private Cloud นี้

Credit: ShutterStock.com

INET ผนึกกำลังทีม VMware ภายใต้ VMware Cloud Provider Program ให้บริการ Managed Cloud Services แก่ SCG พร้อมบริการที่ยืดหยุ่นเหนือระดับกว่าบริการ Cloud ทั่วไป

INET ในฐานะของผู้ที่ให้บริการด้าน IT รายใหญ่ของไทย ก็ได้ผนึกกำลังกับทีม VMware ที่ดูแลส่วนของ VMware Cloud Provider Program ในประเทศไทย เป็นหนึ่งในทีมที่ได้เข้าไปนำเสนอบริการ Managed Cloud Services แก่ SCG ในครั้งนี้ด้วย โดยการจับมือเข้าไปกับ VMware เพื่อนำ VMware vSphere ไปให้บริการเป็นระบบ Private Cloud ให้กับ SCG บน Hardware Cisco FlexPod และ NetApp Storage

ทีมงานผู้เชี่ยวชาญของ INET ที่มาประจำที่ SCG

คุณสุรพลเล่าว่า INET ใช้เวลาเพียงแค่ 2 สัปดาห์ในการวิเคราะห์ออกแบบระบบและคำนวณค่าใช้จ่ายเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของ SCG และก็ใช้เวลาเพียงแค่ไม่ถึงสามเดือนในการนำระบบมาติดตั้ง ทดสอบ และ Go Live จน SCG สามารถก้าวสู่การลงทุนระบบ IT แบบ OpEx ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ทาง SCG นั้นประทับใจความเร็วในการทำงานของทีมงาน INET เป็นอย่างมาก

เรียกได้ว่าเสมือน INET ยก Hardware Software และทีมงาน Support มาตั้ง Public Cloud ให้บริการภายใน Data Center ของ SCG เลยก็ไม่ผิดนัก ในขณะที่ทีมงานของ INET นั้นก็คอยช่วยเหลือด้านการให้ข้อมูลและการจัดการกับค่าใช้จ่ายด้าน OS และ Database License ที่คิดค่าใช้จ่ายตามการใช้งานจริงให้ตอบโจทย์ความต้องการของ SCG

นอกเหนือจากการให้บริการ Provision VM และการจัดการเบื้องต้นทั่วๆ ไปแล้ว ทาง INET เองก็ยังรองรับการนำ Hardware สำรองเข้ามาเสริมในระบบเพื่อให้การอัปเกรดระบบเกิดขึ้นได้โดยไม่มี Downtime ด้วย อีกทั้งหากทาง SCG มีความต้องการระบบที่มีความเฉพาะทางใดๆ เช่น ต้องการระบบที่มี IOPS สูงเป็นพิเศษ ทางทีมงาน INET ก็พร้อมที่จะทดสอบระบบว่าระบบที่จะนำมาให้บริการนั้นสามารถตอบโจทย์ความต้องการนั้นๆ ได้

อีกประเด็นสำคัญหนึ่งก็คือระบบ Billing ที่ทำให้ธุรกิจลูกหรือ IT ในหน่วยงานต่างๆ นั้นสามารถจ่ายเงินตรงกับ INET ได้เลยไม่ต้องผ่าน IT กลางของ SCG เป็นการช่วยลดภาระเรื่องการจัดทำเอกสารภายใน

อีกหนึ่งข้อดีก็คือ การมีทีมงานจาก INET คอยสนับสนุนเมื่อจะนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาลองใช้งาน ตลอดจนความยืดหยุ่นในการให้บริการ ซึ่งการสนับสนุนจากทีมงานที่ใกล้ชิดนี้ เป็นสิ่งที่ผู้ให้บริการ Cloud รายอื่นเทียบได้ยาก

ทั้งนี้การที่ INET เป็นหนึ่งใน VMware Cloud Provider ในประเทศไทยนั้น ก็ทำให้ทาง SCG สามารถทดลองใช้งานและเข้าถึง Software หรือ Solution ต่างๆ จากทาง VMware ได้อย่างต่อเนื่อง

Growth คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้การปรับไปใช้ OpEx ประสบผลสำเร็จ

ปัจจัยสำคัญในความสำเร็จนี้ในมุมของคุณสุรพลก็คือสิ่งที่เรียกว่า Growth

Growth นี้ก็คือการที่ระบบหรือโครงการใดๆ นั้นได้รับการยอมรับและมีการใช้งานจริงมากขึ้นเรื่อยๆ เป็น Momentum ต่อเนื่องกันไป และในโครงการครั้งนี้เองก็เช่นกันที่โจทย์ของทีม Corporate IT นั้นคือการสร้าง แรงจูงใจให้ IT ของบริษัทลูกหรือหน่วยงานต่างๆ นั้นหันมาใช้บริการนี้กันมากขึ้นสำหรับโครงการระบบงาน IT ใหม่ๆ หรือทดแทนอุปกรณ์ Physical Server เดิมที่หมดอายุ

โจทย์นี้เองที่ทำให้หน่วยงาน IT และทีมงาน INET ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่การวิเคราะห์ว่าระบบในรูปแบบใดนั้นที่ถ้าหากย้ายมาอยู่บน Managed Cloud Services แล้วจะได้ประโยชน์กันทั้ง 2 ฝ่าย หรือระบบใหม่ในโครงการใดๆ นั้นบ้างที่หากนำมาติดตั้งใช้งานอยู่บน Managed Cloud Services นี้แล้วจะคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น

ในช่วงแรกเริ่มนั้น ระบบ Cloud Services ของ INET ที่ติดตั้งอยู่ภายใน SCG นั้นเริ่มต้นจากการใช้งาน Virtual Machine หรือ VM เพียงแค่ 20 ชุด ติดตั้งบน Blade Server 4 เครื่อง และใช้ Storage ชุดแรกที่ความจุเพียง 16TB เท่านั้น แต่ปัจจุบันนี้ระบบมีการรองรับการใช้งาน VM แล้วประมาณ 400 ชุด มี Blade Server ติดตั้งอยู่ 23 ใบ และมี Storage ขนาดใหญ่ถึง 214TB เรียกได้ว่าเติบโตเร็ว 10-20 เท่าในระยะเวลาเพียงแค่ 6 ปีเท่านั้น

คุมการจัดการ Multi-IT Outsourcing ช่วยให้การทำงานเป็นระบบชัดเจน และเกิดความร่วมไม้ร่วมมือที่ดี

คุณสุรพลเล่าถึงอีกหนึ่งในความท้าทายของการเปลี่ยนแปลงนี้ก็คือการจัดการทีมงานผู้ให้บริการไอทีจากภายนอกหลายทีมให้ต้องมาทำงานร่วมกัน อย่างมีประสิทธิภาพและทีมเวิร์คที่ดี การบริหารจัดการให้ทุกทีมงาน Multi-IT Outsourcing สามารถทำงานร่วมกันและช่วยกันแก้ไขปัญหาให้ได้นั้นถือเป็นอีกจุดที่จะชี้เป็นชี้ตายให้กับโครงการได้เลย

SCG ได้การนำระบบ ITSM Platform และมาตรฐาน ITIL เข้ามากำหนดทิศทาง, ขอบเขต และข้อบังคับของบริการให้ได้มาตรฐาน มีข้อมูลบันทึกย้อนหลังสำหรับใช้สนับสนุนการชี้วัดและการตัดสินใจ เมื่อการให้บริการของผู้ให้บริการหลายรายถูกกำหนดให้ใช้ระบบ ITSM Platform เดียวกัน ทำให้เกิดการทำงานที่มีความร่วมมือกันอย่างมีมีประสิทธิภาพ

ขยายกรอบจากระบบ IT Infrastructure ภายในองค์กร สู่การให้บริการ IT ที่หลากหลาย และเป็นศูนย์กลางในการเข้าถึงและใช้งานบริการ Cloud

INET ไม่ได้แค่เพียงให้บริการ Private Cloud Services แต่ปัจจุบันยังมีการต่อยอดเรื่องของ Innovation ใหม่ๆ ตัวอย่างเช่น Robotic Process Automation (RPA) หรือ Database as a service ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมสูงในทุกวันนี้เอง ทาง INET ก็เริ่มนำมาให้บริการแบบ Pay per use แล้ว

นอกเหนือจากการใช้งานระบบ Private Cloud On-Premises ปัจจุบันทาง Corporate IT ก็เริ่มที่จะนำบริการ Public Cloud รายต่างๆ มาให้บริการภายใน SCG ด้วยแล้วเพื่อให้รองรับต่อความต้องการของระบบ Application สมัยใหม่ที่สามารถพัฒนาและใช้งานได้อย่างรวดเร็วด้วยการอาศัยความสามารถเฉพาะทางที่มีให้บริการบน Public Cloud

ทั้งนี้ การที่ SCG เลือกใช้เทคโนโลยีของ VMware จาก INET นั้น ก็ทำให้การต่อยอดบริการเสริมต่างๆ เป็นไปได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นการรองรับการทำ Disaster Recovery หรือ DR ที่สามารถทำได้ง่ายมากสำหรับ VM, การนำ VMware NSX มาใช้เพื่อช่วยเสริมความมั่นคงปลอดภัยให้กับระบบเก่าๆ ที่ไม่สามารถอัปเกรดขึ้นมาเป็นระบบใหม่ ลดความเสี่ยงที่ระบบจะถูกโจมตีลงได้โดยไม่ต้องวุ่นวายกับ Firewall, การทดสอบระบบ Virtual Desktop เพื่อนำมาเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการให้บริการระบบ Desktop ไปจนถึงการมองหาโซลูชันใหม่ๆ จาก VMware มาทดลองเพื่อรองรับเรื่อง Multi-Cloud ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เป็นต้น

ในขณะเดียวกัน ทาง SCG เองก็มีมุมมองต่อการลงทุนสร้าง Data Center เปลี่ยนไปเป็นการเช่าใช้งาน Data Center-as-a-Service แทนด้วย โดยปัจจุบันนี้ทาง SCG เองก็ได้มีการเช่าใช้งานบริการดังกล่าวจาก INET ผ่านทาง INET-IDC3 ซึ่งเป็น Data Center ล่าสุดของ INET ในจังหวัดสระบุรีที่ อีกทั้งยังมีทีมงานมืออาชีพคอยดูแลรักษาระบบให้ตลอดเวลา

INET สมาชิกหนึ่งในโครงการ VMware Cloud Provider Program พร้อมนำเทคโนโลยีของ VMware มาให้บริการในรูปแบบของ Cloud แล้วในไทย

การเปลี่ยนแปลงจากการลงทุนระบบ IT ในรูปแบบของ CapEx มาสู่การเป็น OpEx ในครั้งนี้จะเป็นจริงไม่ได้เลยหาก INET นั้นไม่ได้ร่วมเป็นสมาชิกภายใต้โครงการ VMware Cloud Provider Program หรือ VCPP

การที่ INET เป็นสมาชิกหนึ่งในโครงการ VCPP ภายในประเทศไทยนั้น หมายถึงการที่ทีมงานของ INET ได้ผ่านการรับรองอย่างเป็นทางการถึงศักยภาพของทีมงานในการนำเทคโนโลยีและโซลูชันต่างๆ จาก VMware มาให้บริการได้อย่างมีคุณภาพตามมาตรฐานที่ VMware กำหนด ซึ่งก็ทำให้ INET นั้นสามารถนำโซลูชันจาก VMware มาให้บริการโดยคิดค่าใช้จ่ายตามการใช้งานจริงได้ด้วย และส่งผลให้ธุรกิจองค์กรนั้นมีทางเลือกในการใช้งาน VMware ที่หลากหลายมากขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นการเช่าใช้ในรูปแบบของ Public Cloud หรือการใช้บริการในรูปแบบของ Managed Cloud Services ก็ตาม

ติดต่อทีมงาน INET ได้ทันที

สำหรับธุรกิจองค์กรใดที่กำลังมองหาผู้ให้บริการ Cloud, บริการ Cloud แบบ Managed Services ติดตั้งใช้งานภายในองค์กรแต่คิดค่าใช้จ่ายตามจริง หรือโซลูชันใดๆ ทางด้าน IT สามารถติดต่อทีมงาน INET ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกที่เข้าร่วมโครงการ VMware Cloud Provider Program หรือ VCPP ได้ทันทีที่ info@inet.co.th หรือโทร 02-257-7000 และสามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ของ INET ได้ที่ https://inet.co.th/

เกี่ยวกับ VMware Cloud Provider Program (VCPP)

โครงการ VCPP นี้คือโครงการที่ได้ผสานรวมเอาบริการ VMware Software-as-a-Service เข้ากับเหล่าผู้ให้ริการ VMware Service Provider Partners ทั่วโลก เพื่อให้ธุรกิจองค์กรต่างๆ สามารถใช้งานบริการ Cloud ที่มีเทคโนโลยีของ VMware เป็นเบื้องหลังได้ผ่านทางผู้ให้บริการที่มีมาตรฐาน

ปัจจุบันในประเทศไทยมีผู้ให้บริการด้าน IT ที่ได้เข้าร่วมโครงการ VCPP มากกว่า 20 รายแล้ว ดังนั้นธุรกิจไทยจึงสามารถเลือกใช้งานบริการ Cloud ภายในประเทศที่ให้บริการเทคโนโลยีของ VMware และเชื่อมต่อระบบ Data Center ภายในธุรกิจองค์กรเข้ากับบริการ Cloud เหล่านี้สู่ภาพของ Hybrid Cloud หรือทำ Disaster Recovery ได้ทันที โดยมีทีมงานคนไทยคอยให้บริการแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้อย่างใกล้ชิด

ผู้ที่สนใจใช้บริการ VMware ในรูปแบบของการคิดค่าใช้จ่ายตามจริง สามารถติดต่อทีมงานของ VMware ประจำประเทศไทยได้ที่คุณปลา 081-913-3347 หรืออีเมล์ kemwat@vmware.com หรือสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ VCPP ได้ที่ https://www.vmware.com/partners/service-provider.html และสามารถตรวจสอบสถานะของบริษัทต่างๆ ที่เป็น VCPP ได้ที่ https://cloud.vmware.com/providers/

from:https://www.techtalkthai.com/scg-transformation-project-to-opex-server-infrastructure-with-inet-and-vmware-cloud-provider-program-vcpp/

เชิญร่วมสัมมนาฟรี Growing Your Business with AS/400 on INET Cloud 7 มิถุนายน 2018

INET-UNIX Cloud ขอเรียนเชิญท่านเข้ารา่วมงานสัมมนาฟรี Growing Your Business with AS/400 on INET Cloud เพื่อให้สามารถเข้าใจถึงการบริหารจัดการระบบปฏิบัติการ AS/400 ในรูปแบบของ Cloud Service และสร้างความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจ วันที่ 7 มิถุนายน 2018 โดยมีรายละเอียดและวิธีการลงทะเบียนเข้าร่วมงานฟรีดังนี้

 

Growing Your Business with AS/400 on INET Cloud

 

วันที่ 7 มิถุนายน 2018
เวลา 11.30 – 16.00
สถานที่ State Room 1-2, 8th Floor, The Westin Grande Sukhumvit, Bangkok

 

กำหนดการ

11.30 Register
12.00 Lunch
13.00 Welcome Speech
13.15 Software Replication Data on AS/400 and Replication Data with Virtual Tape Library
14.00 Quick Step to Build AS/400 Infrastructure for Growing Your Business with INET Cloud
14.45 Coffee Break
15.00 AS/400 Demo on INET Cloud
15.45 Q&A / Closing

 

ลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ฟรีๆ ทันที

ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานนี้ได้ฟรีๆ ทันทีที่ https://inet.co.th/regis-ibm-as400/?ad=ttt

from:https://www.techtalkthai.com/growing-your-business-with-as-400-on-inet-cloud-with-metro-connect-and-ibm-seminar-invitation/

ARS Chemical ธุรกิจกำจัดแมลงยอดขายพันล้าน กับประสบการณ์ดูแลระบบ IT ด้วยพนักงานเพียงแค่ 6 คน

 

 

ทางทีมงาน TechTalkThai มีโอกาสได้สัมภาษณ์คุณกุลชาติ สกุลจิตจินดา ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งบริษัท ARS Chemical (Thailand) ที่มาถ่ายทอดประสบการณ์การดูแลระบบ IT ให้กับธุรกิจด้านการกำจัดแมลงที่มียอดขายกว่าพันล้าน แต่มีพนักงานแผนก IT เพียงแค่ 6 คน ดูแลระบบ IT ทั้งหมดสำหรับออฟฟิศ 7 สาขาและโรงงานอีก 2 แห่งในไทย ซึ่งก็มีแง่มุมน่าสนใจไม่น้อยมาแบ่งปันให้กับผู้ที่ทำงานในสาย IT กันดังนี้ครับ

 

 

รู้จัก ARS Chemical (Thailand) ธุรกิจที่มีชื่อเสียงด้านการกำจัดแมลงคู่สังคมไทยมากว่า 30 ปี

คุณกุลชาติได้เริ่มต้นเล่าถึงภาพรวมของธุรกิจ ARS Chemical ให้เราได้รู้จักกันก่อนว่าเป็นบริษัทที่เปิดตัวในไทยมาตั้งแต่ปี 1980 จนปัจจุบันมีอายุมากกว่า 30 ปีแล้ว โดยปัจจุบันได้ดำเนินธุรกิจแบบครบวงจรที่เป็นทั้งผู้ผลิต, ผู้นำเข้า, ผู้จัดจำหน่าย และผู้ส่งออกสินค้าด้วยกัน 4 ประเภท ดังนี้

 

Credit: ARS

 

  • อาท – สินค้ากลุ่มกำจัดแมลงในบ้านเรือน
  • เดลี่เฟรช – ผลิตภัณฑ์น้ำหอมปรับอากาศ
  • อาทเพ็ท – ผลิตภัณฑ์ดูแลสัตว์เลี้ยง
  • มอนดามิน – ผลิตภัณฑ์น้ำยาบ้วนปาก

นอกจาก 4 ธุรกิจดังกล่าวนี้แล้ว ARS เองก็ยังมีธุรกิจบริการด้านการกำจัดแมลงตามอาคาร เพื่อรองรับความต้องการของภาคธุรกิจอีกด้วย

สำหรับในประเทศไทย นอกจาก ARS สาขาหลักแล้ว ก็ยังมีสาขาย่อยกระจายอยู่ 6 จังหวัดทั่วประเทศเพื่อกระจายสินค้าในภูมิภาคต่างๆ อย่างทั่วถึง และยังมีโรงงานอีก 2 แห่งที่มีศักยภาพในการผลิตสินค้าในระดับ Premium เจาะกลุ่มตลาดส่งออกที่่ต้องการมาตรฐานการผลิตและการรับรองในระดับสูงโดยเฉพาะ ทั้งหมดนี้เองที่ทำให้ ARS มียอดขายต่อปีสูงถึงหลักพันล้านบาท

หากใครนึกไม่ออกว่าผลิตภัณฑ์ของ ARS มีอะไรบ้าง ลองดูโฆษณาได้ดังนี้เลยครับ

 

อาท โนแมท เครื่องไฟฟ้าไล่ยุง

 

อาทควัน โฆษณาเก่าที่เพลงติดหูมาก

 

น้ำหอมปรับอากาศเดลี่เฟรช

 

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ARS Chemical (Thailand) ได้ที่ http://www.ars.co.th

 

9 สาขาทั่วไทย มีพนักงานทั้งหมด 600 คน เป็นผู้ใช้งานระบบ IT 300 คน และมีเจ้าหน้าที่ฝ่าย IT เพียงแค่ 6 คน

หลังจากจบการแนะนำบริษัทกันคร่าวๆ แล้ว คุณกุลชาติก็ได้เริ่มเข้าถึงประเด็นท้าทายของฝ่าย IT ที่หลายๆ บริษัทน่าจะประสบปัญหาที่คล้ายคลึงกัน คือมีทีมงาน IT ขนาดเล็กเพื่อดูแลธุรกิจขนาดใหญ่และต้องสนับสนุนผู้ใช้งานจำนวนมาก คุณกุลชาติได้แจกแจกโครงสร้างของฝ่าย IT ภายใน ARS ที่มีกันอยู่เพียง 6 คนให้เราได้เห็นภาพกันดังนี้

  • 1 คน รับผิดชอบด้าน IT Support
  • 1 คน รับผิดชอบระบบ Sales & Distribution เพื่อให้เซลส์ทั่วประเทศสามารถเข้าถึงข้อมูลการขายและคลังสินค้าได้ผ่าน Tablet
  • 3 คน รับหน้าที่เป็น Developer พัฒนาส่วนเสริมและปรับแต่ง SAP ที่มีการใช้งานอยู่
  • ส่วนงานด้าน Network และ Security นั้นถือว่าเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกคน

ทั้งนี้ทาง ARS ในอดีตนั้นก็ไม่เคยมีการใช้งานบริการ IT Outsource ใดๆ เลย ยกเว้นส่วนที่เกี่ยวกับระบบ SAP เพราะเป็นส่วนงานที่สำคัญและมีรายละเอียดค่อนข้างเยอะ เรียกได้ว่างานของฝ่าย IT ในอดีตนั้นถือว่าหนักไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะต้องคอยแก้ไขปัญหาด้วยตัวเองแทบทั้งหมดที่เกิดขึ้น

 

บทเรียนจากปัญหาต่างๆ ทำให้พบว่าการลงทุนสร้าง Data Center ด้วยตัวเองนั้นไม่ใช่ทางออกอีกต่อไป

อย่างไรก็ดีงานหนักนั้นก็ไม่ใช่ประเด็นหลักที่ทำให้ ARS ต้องมองหาทางเลือกใหม่ๆ แต่ประสบการณ์ในการผ่านวิกฤติต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นภายในบริษัทต่างหากที่ทำให้ทีมงาน ARS ต้องหันกลับมามองระบบ IT ที่มีอยู่ในแง่มุมใหม่ๆ กัน

 

 

คุณกุลชาติได้เล่าถึงภัยพิบัติ 3 ครั้งใหญ่ๆ ที่เคยเกิดขึ้นกับระบบ IT ของ ARS ดังนี้

 

1. เกิดเพลิงไหม้ในห้อง Data Center

ในอดีตนั้น ARS เคยเกิดเหตุเพลิงไหม้เล็กๆ ภายในห้อง Data Center ที่ได้ลุกลามกลายเป็นเรื่องใหญ่โตทันทีเมื่อระบบดับเพลิงเกิดทำงานอัตโนมัติขึ้นมา ซึ่งถึงแม้อุปกรณ์ Server และข้อมูลนั้นจะไม่ได้รับผลกระทบ แต่ตัวห้องเองนั้นก็เจิ่งนองไปด้วยน้ำ ทำให้งานใหญ่นั้นตกอยู่ที่การกู้คืนห้อง Data Center ให้กลับมาอยู่ในสภาพที่ใช้งานได้นั่นเอง

การกู้คืนห้อง Data Center ในครั้งนี้เสียเวลาค่อนข้างมาก และเหตุเพลิงไหม้ในครั้งนี้ก็ได้ทำให้ ARS ได้รับบทเรียนเรื่องการลงทุนเทคโนโลยีต่างๆ ในห้อง Data Center ให้ดีมีมาตรฐานมากขึ้น รวมถึงมีการเปลี่ยนระบบดับเพลิงที่ใช้งานทั้งหมด และทำให้ ARS ได้ตัดสินใจลงทุนในระบบ Disaster Recovery (DR) จากสาขาแม่ไปยังโรงงานเพิ่มเติม เพื่อเพื่อความทนทานให้กับระบบสำคัญของธุรกิจ ลดความเสี่ยงที่ระบบและข้อมูลจะเสียหายอีกในอนาคต

 

2. เหตุผู้ชุมนุมปิดถนนสีลมและสาทร

ในเหตุการณ์ทางด้านการเมืองครั้งใหญ่ที่มีเหล่าผู้ชุมนุมออกมาปิดถนน ทาง ARS ที่สาขาหลักตั้งอยู่บนถนนสาทรเองก็ได้รับผลกระทบจนพนักงานไม่สามารถเข้ามาทำงานได้ ถึงแม้จะโชคดีที่ไม่มีการตัดระบบไฟฟ้าของอาคาร ทำให้ระบบ IT ทั้งหมดยังคงทำงานอยู่ได้ แต่หากเกิดปัญหาอะไรในระหว่างช่วงที่มีผู้ชุมนุมปิดถนนขึ้นมานี้ ทีมงานก็จะไม่สามารถเข้าไปแก้ไขปัญหาใดๆ ได้เลย

เหตุการณ์นี้เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ตอกย้ำถึงความสำคัญของระบบสำรอง และความสำคัญของระบบ Remote Access ที่่จะยังคงทำให้พนักงานทุกคนสามารถทำงานกันได้จากทุกที่ทุกเวลา ให้ธุรกิจไม่หยุดชะงัก

 

3. เกิดเหตุอุทกภัย น้ำท่วมโรงงาน

โรงงานของ ARS นั้นเคยประสบอุทกภัย น้ำท่วมทั้งโรงงาน และโชคร้ายที่โรงงานแห่งนั้นเป็นโรงงานที่ ARS ได้เลือกใช้เป็นสาขาสำรองสำหรับระบบ DR พอดี ทำให้เกิดความเสียหายกับระบบ DR และทำให้ ARS ได้บทเรียนว่าการเลือกสาขาสำหรับทำ DR นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และความเสี่ยงก็เป็นสิ่งที่จัดการยากมากทีเดียว

ทั้ง 3 เหตุการณ์นี้ทำให้ทีมงานฝ่าย IT ของ ARS เริ่มมองหาทางเลือกอื่นๆ นอกจากการลงทุนสร้าง Data Center เองที่นอกจากจะมีค่าใช้จ่ายสูงแล้ว ก็ยังมีความเสี่ยงและปัญหาต่างๆ ให้ต้องจัดการดูแลรักษาอีกมากมาย และแน่นอนว่าในช่วงเวลานั้น Cloud ก็เป็นเทคโนโลยีที่กำลังมาแรงพอดี ทำให้ทีมงาน ARS นั้นสนใจที่จะลองศึกษาและทำความเข้าใจกับ Cloud ไม่น้อยเลย

 

เมื่อเห็นความคุ้มค่าชัดเจน ผู้บริหารก็อนุมัติให้มุ่งสู่ Cloud

คุณกุลชาติเล่าต่อว่าในช่วงแรกๆ นั้นทีมงาน ARS เองก็เริ่มลองศึกษาเทคโนโลยี Cloud และไปเข้าร่วมงานสัมมนาต่างๆ เพื่อติดตามทิศทางของเทคโนโลยี Cloud ในประเทศไทย ซึ่งในสมัยนั้นก็ยังมีข้อกังขาเกี่ยวกับด้าน Bandwidth ที่ต้องใช้เชื่อมต่อไปยัง Cloud และ Security ของระบบ Cloud กันอยู่ จนกระทั่งมีโอกาสได้มาฟังงานสัมมนาที่จัดร่วมกันโดย INET และ SAP ทำให้เริ่มเห็นภาพมากขึ้นว่าการนำ Core Business Application ขึ้นไปยัง Cloud นั้นจะส่งผลดีและความคุ้มค่าให้กับธุรกิจได้อย่างไรบ้าง

ก่อนหน้านั้น ARS มีการใช้ SAP ในธุรกิจอยู่แล้วมาเกือบ 2 ปี และพบว่าในแต่ละครั้งที่ Server ภายในระบบ SAP มีปัญหา ก็ต้องเรียกทีมงานที่ดูแล Hardware และระบบปฏิบัติการเข้ามาแก้ไขปัญหา ซึ่งในแต่ละครั้งก็มีความวุ่นวายไม่น้อยเลย ทำให้ทาง ARS เองสบโอกาสว่าอยากจะลองเปลี่ยนไปใช้ Cloud เพื่อรองรับระบบ SAP แทนเพื่อลดความวุ่นวายตรงนี้ลง

 

“จะนำเทคโนโลยีอะไรมาใช้ เราต้องแสดงให้ผู้บริหารเข้าใจถึงความคุ้มค่าให้ได้”

 

ในขั้นตอนนี้คุณกุลชาติเน้นว่าสิ่งสำคัญที่คนทำงานแผนก IT ต้องทำให้ได้นั้นคือการเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายและความคุ้มค่าในการเลือกลงทุนในเทคโนโลยีต่างๆ และนำเสนอให้ผู้บริหารได้เข้าใจถึงข้อดีข้อเสีย และสามารถรับฟังคำแนะนำจากฝ่าย IT ในการลงทุนได้ เพราะระบบ IT และข้อมูลนั้นก็เปรียบเสมือนหัวใจของธุรกิจ การเลือกลงทุนในแต่ละครั้งจึงต้องมีทั้งความสมเหตุสมผล ความคุ้มค่า และเห็นประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับธุรกิจได้อย่างชัดเจน

ARS ได้เปรียบเทียบค่าใช้จ่ายในการ MA ระบบ Server ภายใน Data Center กับค่าใช้จ่ายในการเช่าใช้บริการ Cloud จาก INET และพบว่าทั้งสองทางเลือกนั้นมีค่าใช้จ่ายที่ใกล้เคียงกัน แต่การเช่าใช้ Cloud นั้นจะได้รับบริการในการดูแลรักษาระบบจาก INET แบบ 24×7 แถมมาด้วย ซึ่งนั่นก็คือการมีเจ้าหน้าที่คอยจัดการปัญหาให้กับระบบ SAP ของบริษัทอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งยังทำให้พนักงานในฝ่าย IT ของ ARS เองที่มีกันอยู่ 6 คนเท่านั้นสามารถมุ่งเน้นไปที่การรับผิดชอบงานของตนเองที่มีอยู่เดิมได้ ไม่ต้องไปพะวงกับการแก้ไขปัญหาภายใน Data Center อีก ทำให้การเช่าใช้ Cloud นั้นมีความคุ้มค่าที่เหนือกว่าการลงทุนใน Data Center เองอย่างชัดเจน และทำให้บอร์ดบริหารอนุมัติให้เริ่มนำ Cloud มาใช้ได้

ในส่วนนี้ผู้ให้บริการ Cloud เองก็ถือว่าต้องเข้ามามีบทบาทในการช่วยให้ข้อมูลเพื่อให้ผู้บริหารสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้นด้วย ซึ่งคุณกุลชาติก็ได้เล่าเสริมว่าทีมเซลส์ของ INET ได้ช่วยทำการบ้านในส่วนนี้มาอย่างละเอียด ทำให้การนำเสนอข้อมูลแก่ผู้บริหารลุล่วงไปได้ด้วยดีในครั้งนั้น

 

ทดสอบ Cloud ของ INET จนมั่นใจในทีมบริการ ก่อนย้าย SAP ขึ้นไปเป็นระบบ Production บน Cloud

อย่างไรก็ดี การเปรียบเทียบราคาเฉยๆ นั้นก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ทีมงาน IT ของ ARS มั่นใจได้ว่าบริการ Cloud นั้นจะช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่ ARS พบอยู่ได้จริง และยังไม่มั่นใจในบริการที่จะได้รับด้วยว่าทีมสนับสนุนหลังการขายนั้นจะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นต่างๆ ได้ด้วยคุณภาพระดับใด ทำให้ทาง ARS พูดคุยกับ INET เพื่อขอทดสอบระบบจริงก่อน

การทดสอบที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นถือว่าเข้มข้นมาก ซึ่งก็ทำให้ทีมงาน ARS ได้เข้าใจถึงศักยภาพของทีมงาน INET ในการสนับสนุนและให้บริการแก่ลูกค้าที่เช่าใช้ Cloud โดยทาง ARS ได้นำระบบ SAP บางส่วนขึ้นไปทำงานบน INET Cloud ก่อน และเมื่อพบกับปัญหาทั้งในระหว่างย้ายระบบหรือพบปัญหาในระหว่างการใช้งานจริง ก็ทำการติดต่อแจ้งให้ทีมงาน INET ช่วยตรวจสอบและแก้ไขปัญหา ซึ่งความเป็นมืออาชีพในการแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุดและรวดเร็ว รวมถึงการประสานงานติดต่อพูดคุยให้เข้าใจสถานการณ์กันอยู่ตลอดเสมือนเป็นทีมงานเดียวกัน ก็ทำให้ทีมบริการของ INET สามารถชนะใจทีมงาน ARS ได้เป็นอย่างดี

หลังจากได้ทดสอบกันจนวางใจในฝีมือของทีมงาน INET แล้ว คุณกุลชาติก็เล่าต่อว่าทาง ARS ได้ตัดสินใจย้ายระบบ SAP ทั้งหมดออกจาก Data Center ขึ้นไปบน INET Cloud ทำให้ภายใน Data Center ของ ARS นั้นเหลือแต่ส่วนของระบบเครือข่ายและ IT Infrastructure ที่จำเป็นเท่านั้น แต่ไม่มี Server สำหรับ SAP เหลืออยู่อีกแล้ว พร้อมทั้งเช่าใช้สัญญาณ Internet จาก INET เพื่อเชื่อมต่อทุกๆ สาขาเข้ากับ Data Center ของ INET ทำให้ทุกคนสามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง

 

 

อีกจุดหนึ่งที่คุณกุลชาติได้พูดถึงข้อดีของ INET Cloud ก็คือการที่มีระบบสำรองข้อมูลให้พร้อมใช้งานได้ทันที รวมถึงยังมีเทคโนโลยี Snapshot บน Cloud ที่ทำให้การปกป้องข้อมูลสามารถทำได้สะดวกง่ายดายยิ่งขึ้น และด้วยการที่ INET เองก็มี Data Center กระจายอยู่หลายแห่ง เชื่อมต่อกันด้วยระบบเครือข่ายความเร็วสูง การทำ DR เพิ่มเติมก็ไม่ใช่เรื่องยากที่ต้องมีค่าใช้จ่ายมากมายเหมือนการลงทุน Data Center เองอีกต่อไป และยังทำให้ ARS สามารถคลายกังวลในประเด็นเรื่อง Ransomware ที่เป็นข่าวใหญ่โตหลายครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้

คุณกุลชาติได้เล่าถึงประสบการณ์จริงว่าที่ผ่านมายังไม่เคยพบปัญหาว่า INET Cloud ล่มในระบบ SAP ที่เป็น Production เลย อาจจะมีบ้างที่ผู้ใช้งานรายงานมาว่าระบบช้า ซึ่งเมื่อทีมงาน IT ของ ARS แจ้งไปยัง INET การแก้ไขปัญหาก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทันใจ และเมื่อระบบ SAP เองมีปัญหา ทางทีมงาน INET ก็สามารถช่วยเหลือในส่วนของ SAP Basis ได้ทั้งหมด ทำให้ ARS แทบจะหมดห่วงเรื่องการดูแลรักษาระบบ SAP ไปเลย

 

Cloud ที่ทำให้ระบบมี Downtime ต่ำลง ช่วยให้ ARS สามารถประหยัคค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างมาก

คุณกุลชาติขยายความเพิ่มเติมต่อว่าหลังจากที่ย้ายไปใช้ Cloud แล้ว นอกจากจะประหยัดค่าใช้จ่ายในแง่ของการดูแลรักษาระบบแล้ว Cloud ที่ช่วยให้ระบบ Application เสถียรทนทานยิ่งขึ้นนั้นก็ทำให้ธุรกิจสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายลงไปได้เป็นอย่างมากอีกด้วย

 

Credit: ARS

 

ธุรกิจของ ARS นั้นมีด้วยกันหลากหลายส่วน และการที่ระบบ SAP ไม่สามารถใช้งานได้นั้นก็จะทำให้การทำงานล่าช้า และต้องเสียค่าปรับให้กับลูกค่าของตนหากไม่สามารถส่งสินค้าได้ตามเวลาที่กำหนด ซึ่งก่อนที่จะย้ายไปใช้ Cloud นั้นทางทีมงาน IT ของ ARS เองก็ต้องคอยแก้ปัญหาเร่งด่วนนี้ด้วยความกดดันอยู่เสมอ เพราะเมื่อระบบ IT ล่มจนทำให้งานล่าช้า ค่าปรับที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้งก็อาจทำให้กำไรในการขายแต่ละงานนั้นหดหายลงไปได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว

แต่หลังจากย้ายมาใช้ INET Cloud แล้วระบบมีความเสถียรสูงขึ้นด้วยการสนับสนุนของทีมงาน INET นั้น ก็ทำให้ประเด็นปัญหาเหล่านี้จบลงไป ARS นั้นไม่ต้องเผชิญกับการจ่ายค่าปรับอันเป็นเหตุที่เกิดมาจากระบบ IT ล่มหรือ SAP มีปัญหาอีกเลย

 

ทนทานและประสิทธิภาพสูงด้วยระบบ Cloud ที่มี IT Infrastructure จาก HPE เป็นหลัก

โดยปกติแล้วการเช่าใช้ Cloud นั้น ผู้เช่าใช้มักไม่มีโอกาสได้รู้ว่า Hardware ที่นำมาให้บริการตนเองนั้นคือระบบใด ซึ่งทาง INET ก็ได้ชูจุดนี้ว่าบริการ INET Cloud นั้นเลือกใช้ Hardware ในระดับองค์กรเป็นหลัก โดยทางระบบ Cloud ที่ให้บริการ SAP ของ ARS นั้นก็ได้เลือกใช้ Server และ Storage จาก HPE เพื่อให้บริการในครั้งนี้ ซึ่งระบบนี้ก็สามารถรองรับ SAP ได้เป็นอย่างดี และมีความทนทานกับความมั่นคงปลอดภัยในระดับที่ยอมรับได้จากองค์กร โดยประกอบไปด้วยระบบต่างๆ ดังนี้

  • HPE Server หลากหลายรุ่น พร้อม CPU Intel Xeon สำหรับรองรับงานประมวลผลใน Data Center โดยเฉพาะ
    • HPE ProLiant Server สำหรับให้บริการ Enterprise Cloud
    • HPE Synergy สำหรับให้บริการ  SAP Hana Node และ Bare Metal Service
    • HPE Simplivity Hyper-Converged สำหรับให้บริการระบบ Private Cloud
  • HPE 3PAR Storage สำหรับทำหน้าที่เป็นระบบ Storage ให้กับบริการภายใน Cloud ตอบโจทย์ทั้งประสิทธิภาพ, การดูแลรักษาข้อมูล และความทนทานในการทำงาน

HPE เองนั้นถือเป็นผู้ผลิต Hardware ที่ได้รั บการยอมรับจากเหล่าผู้ให้บริการ Cloud ทั่วโลกเป็นอย่างสูง และมีส่วนแบ่งตลาดในอันดับต้นๆ อีกทั้งด้วยความที่ Hardware ของ HPE นั้นถูกพัฒนาขึ้นมาด้วยมาตรฐานที่ดี และออกแบบมาให้ตอบโจทย์การใช้งานได้ถึงในระดับองค์กรแต่แรกอยู่แล้ว หากไปสำรวจเหล่าผู้ให้บริการ Cloud ที่เน้นตลาดองค์กรที่ต้องการทั้งความทนทานและความปลอดภัย ก็มักจะพบเห็น Hardware จาก HPE ถูกเลือกใช้อยู่เสมอ และ INET เองก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย

 

Credit: INET

 

บริการ INET HPE Cloud นี้เป็นบริการ Cloud แบบครบวงจรที่เกิดจากความร่วมมือด้านการบริการในระดับมืออาชีพจาก INET ผสานเข้ากับโซลูชันทางด้าน Server และ Storage จาก HPE ออกแบบมาเป็นบริการ Cloud หลากหลายสำหรับตอบโจทย์การใช้งานขององค์กรได้หลากหลาย รวมถึงยังมีโซลูชันที่โดดเด่นเหนือกว่าบริการ Cloud อื่นๆ อย่างเช่นบริการ Desktop-as-a-Service ให้เช่าใช้บริการ VDI บน Cloud ได้ รวมถึงยังมีบริการ HANA-as-a-Service เพื่อให้องค์กรสามารถเช่าใช้ SAP HANA เพื่อรองรับระบบ ERP ได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องลงทุน Hardware ด้วยตนเอง พร้อมทั้งยังมีทีมงานมากประสบการณ์ด้าน SAP จาก INET คอยดูแลให้อีกด้วย

Data Center ของ INET นั้นได้รับมาตรฐานหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ISO/IEC 20000‑1:2011 (Cloud Service Management), ISO/IEC 27001:2013 และ CSA‑STAR Certification จึงมั่นใจได้ทั้งในแง่ของความทนทานและความปลอดภัย พร้อมทีมงานสนับสนุนการใช้งานและแก้ไขปัญหาต่างๆ ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน รองรับการใช้งานในระดับองค์กรได้โดยไม่ต้องกังวล

ผู้ที่สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ INET HPE Cloud สามารถศึกษาข้อมูลได้ที่ https://inet.co.th/hpecloud/

 

เทคโนโลยีที่ทำให้ธุรกิจและชีวิตดีขึ้น ย่อมเป็นที่ต้องการของตลาด และบทบาทของแผนก IT ในองค์กรที่จะต้องเปลี่ยนไปเพราะ Cloud

 

“เทคโนโลยี ถ้าแพงแล้วดี ลูกค้าก็จ่าย”

 

มาถึงกับช่วงสุดท้ายของการพูดคุย ที่คุณกุลชาติได้ให้ข้อคิดจากประสบการณ์ของตนในวงการ IT หลายสิบปีจนได้ขึ้นสู่การเป็นผู้จัดการอาวุโสฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศแห่ง ARS ว่า สำหรับธุรกิจขนาดใหญ่มูลค่าสูงที่มีแผนก IT ขนาดไม่ใหญ่นั้น การเลือกใช้ Cloud และ Outsource ร่วมกันนั้นจะเป็นทางเลือกที่คุ้มค่ามากในระยะยาว และจะทำให้แผนก IT ภายในองค์กรเปลี่ยนไปทำงานเชิงบริหารและกลยุทธ์ทางด้าน IT แทนได้ เพราะมีเวลาเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองเยอะมาก ส่งผลให้มีเวลาสามารถไปศึกษาเทคโนโลยีใหม่ๆ และเลือกใช้แต่สิ่งที่ดีและเหมาะสมที่สุดสำหรับองค์กรได้อยู่ตลอด

ทั้งนี้การทำงานร่วมกับผู้ใช้งานทั่วๆ ไปและการคิดเผื่อแบบเอาใจเขามาใส่ใจเรานั้นก็ยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับคนในแผนก IT ตัวอย่างเช่นการจัดการปัญหา Ransomware ในบริษัทที่ผู้ใช้งานทั่วไปหลงเชื่อการหลอกลงและการโจมตีในรูปแบบที่ซับซ้อนหลากหลายนั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากคน IT ไม่เข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้งานทั่วไป การทำความเข้าใจในประเด็นเหล่านี้และออกแบบระบบการทำงานให้เหมาะสมเพื่อแก้ไขปัญหา โดยที่ผู้ใช้งานไม่ต้องมาสับสนกับเรื่องราวของเทคโนโลยีมากนักก็เป็นหัวใจสำคัญ

อีกหนึ่งหน้าที่สำคัญสำหรับคน IT ในยามนี้คือการช่วยภาคธุรกิจในการเลือกเทคโนโลยีให้ดี การเลือกใช้เทคโนโลยีที่ถูกต้องและเหมาะสมนั้นจะทำให้ธุรกิจเติบโตไปได้อย่างมั่นคงและต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคปัจจุบันนี้ที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทจนกลายเป็นหัวใจของธุรกิจไปแล้ว

 

สนใจบริการ Cloud สำหรับองค์กร ติดต่อทีมงาน INET ได้ทันที

 

 

สำหรับผู้ที่สนใจในบริการ INET Cloud และอยากติดต่อเพื่อให้มานำเสนอเทคโนโลยี, เสนอราคา หรือทดลองใช้งานจริง สามารถติดต่อทีมงาน INET ได้ทันทีที่โทร 089-799-8234 Email inet-hpcloud@inet.co.th หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ของ INET HPE Cloud https://inet.co.th/hpecloud/

from:https://www.techtalkthai.com/ars-chemical-journey-to-the-cloud-by-hpe-and-inet/

สัมภาษณ์คุณสุทัศน์ GM แห่ง Express Software Group ผู้พัฒนาระบบซอฟต์แวร์บัญชีชื่อดังของไทย กับการก้าวสู่ Cloud ในปัจจุบัน

ทางทีมงาน TechTalkThai มีโอกาสได้รับเชิญให้ไปสัมภาษณ์คุณสุทัศน์ สกุลนิวัฒน์ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งและ General Manager (GM) แห่งบริษัท เอ็กซ์เพรสซอฟท์แวร์กรุ๊ป จำกัด หรือที่สาย IT อย่างเราๆ รู้จักกันในชื่อซอฟต์แวร์บัญชี Express ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วไทย ซึ่งมีทั้งแง่คิดและมุมมองต่างๆ หลากหลายที่น่าสนใจสำหรับทั้งนักพัฒนาซอฟต์แวร์และเหล่าผู้ทำธุรกิจ Startup ไปจนถึงผู้ดูแลระบบด้วยเช่นกัน ขอเชิญทุกท่านอ่านสรุปบทสัมภาษณ์ดังนี้ได้เลยครับ

 

Express: ผู้บุกเบิกซอฟต์แวร์บัญชีสัญชาติไทย ตั้งแต่ยุคเริ่มต้นของวงการ IT ไทย

คุณสุทัศน์ สกุลนิวัฒน์ GM และผู้ร่วมก่อตั้งแห่ง Express Software Group

 

ชื่อของ Express นี้ถือเป็นหนึ่งใน Software ที่หลายๆ คนในวงการ IT, บัญชี และคนที่ทำธุรกิจขนาดเล็กจนถึงขนาดกลางของตัวเองจะต้องเคยได้ยินกันมาบ้าง ในฐานะของระบบซอฟต์แวร์บัญชีสัญชาติไทยที่อยู่คู่ธุรกิจไทยขนาดน้อยใหญ่มาแล้วเกินกว่า 20 ปี และมีลูกค้าภาคธุรกิจในไทยแล้วเกินกว่า 70,000 ราย เรียกได้ว่าเป็นธุรกิจซอฟต์แวร์ระดับตำนานเจ้าหนึ่งของไทยก็คงไม่ผิดนัก

คุณสุทัศน์ได้เล่าถึงภาพในอดีตแรกเริ่มก่อตั้งบริษัท Express Software Group ว่าในสมัยนั้นวงการ IT ในเมืองไทยเพิ่งเริ่มต้น และซอฟต์แวร์ระบบบัญชีแทบทั้งหมดในตลาดก็เป็นของผู้ผลิตชาวต่างชาติทั้งสิ้น ซึ่งนอกจากจะไม่ได้ถูกปรับแก้ให้ตรงกับความต้องการทางกฎหมายในไทยแล้ว การสนับสนุนให้บริการหรือเสริมความสามารถต่างๆ ก็เป็นไปอย่างเชื่องช้า ไม่สามารถตอบโจทย์ภาคธุรกิจในไทยได้ดีนัก ทำให้คุณสุทัศน์และเพื่อนๆ เกิดความคิดอยากจะพัฒนาระบบบัญชีสำหรับตอบโจทย์ธุรกิจในประเทศไทยโดยเฉพาะขึ้นมาเอง และเกิดเป็น Express ขึ้นมาในภายหลัง

แรกเริ่มนั้น Express นั้นถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้การทำบัญชีของธุรกิจไทยเป็นไปแบบรวมศูนย์ และสามารถติดตามข้อมูลการทำบัญชีทั้งหมดได้แบบ Real-time ต่างจากระบบบัญชีอื่นๆ สมัยก่อนที่ต้องมีการนำข้อมูล Batch จากหลายๆ แหล่งมารวบรวมแล้วค่อยๆ ประมวลผลวันละครั้ง ซึ่งในสมัยนั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องใหม่และเป็นแนวคิดที่ได้ผลดีมากในการทำธุรกิจ การมุ่งตอบโจทย์ด้านการทำบัญชีให้แผนกบัญชีของทุกๆ ธุรกิจทำงานได้ง่ายขึ้นอยู่ตลอดจึงกลายเป็นแนวทางสำคัญของการดำเนินธุรกิจของ Express ไป

Express ในเวอร์ชันแรกนั้นยังเป็น Software บนระบบ DOS (ที่ปัจจุบันก็ยังคงมีลูกค้าบางรายใช้งานอยู่) จนถัดมาถึงพัฒนาเป็น Application บน Microsoft Windows และสุดท้ายก็ก้าวเข้าสู่การเป็นบริการ Cloud เพื่อตอบทุกโจทย์ความต้องการทางการทำบัญชีในธุรกิจ และก็มีการพัฒนาโมดูลอื่นๆ นอกเหนือจากบัญชีเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างหลากหลาย แทบจะกลายเป็น ERP ขนาดย่อมๆ ในราคาเพียงหลักหมื่นสำหรับธุรกิจไทยไปแล้ว

 

ถึง Software จะเป็นผลิตภัณฑ์หลัก แต่สิ่งที่ทำให้ชนะคู่แข่งมาได้คือ “บริการ” และ “ความจริงใจ”

คุณสุทัศน์เล่าว่า หลังจากที่ Express ได้เริ่มเปิดตัวนั้น นอกจากความสามารถของ Software ที่พัฒนาขึ้นมาแล้ว ก็ยังมีหัวใจสำคัญอีกข้อที่ทำให้เอาชนะใจลูกค้าจนหันมาใช้ Express กันอย่างต่อเนื่องก็คือประเด็นของ “บริการ” และ “ความจริงใจ”

ในช่วงก่อนการขาย ทีมงาน Express นั้นจะอธิบายลูกค้าโดยละเอียดถึงทั้งสิ่งที่ Express ทำได้และทำไม่ได้ เพื่อให้ลูกค้าเข้าใจและยอมรับให้ได้ก่อนว่าในงบประมาณที่กำลังจะลงทุนไปนั้น ลูกค้าจะได้อะไรกลับไปบ้าง และจะไม่ได้อะไรกลับไปบ้าง เพื่อให้ลูกค้าทุกรายได้คิดอย่างถี่ถ้วนทุกครั้งก่อนตัดสินใจลงทุนซื้อ Express มาใช้งานภายในองค์กร และเมื่อความคาดหวังของลูกค้าตรงกับสิ่งที่ได้รับไปนั้น ความพึงพอใจก็ย่อมบังเกิดขึ้นมา กลายเป็นลูกค้าที่ใช้งาน Express ในระยะยาวไป ต่างจากการขายของคู่แข่งในสมัยก่อนที่เน้นการปิดการขายโดยไม่ได้สื่อสารความจริงให้ลูกค้าทราบ และต้องเผชิญกับความผิดหวังในภายหลัง และสุดท้ายก็ต้องล้มหายไปจากวงการ

และหลังจากที่ลูกค้าตัดสินใจใช้งาน Express แล้ว คุณสุทัศน์ก็ได้เล่าถึงการลงทุนหลักอีกส่วนหนึ่งของ Express เพื่อพัฒนาระบบและกระบวนการในการสนับสนุนการใช้งานของลูกค้า Express ทุกราย ด้วยระบบ Contact Center ที่สามารถรับการตอบปัญหาของลูกค้าได้ทั้งทาง Email และโทรศัพท์ตลอดระยะเวลา 8 ชั่วโมงทำงาน ซึ่งในแต่ละวันก็จะมีลูกค้าโทรเข้ามาสอบถามการใช้งานและปัญหาต่างๆ มากกว่าพันสายต่อวัน ทำให้ทาง Express ต้องมีพนักงานสำหรับคอยให้การสนับสนุนผู้ใช้งานพร้อมๆ กันทีละหลายสิบคน พร้อมทั้งยังมีการพัฒนา Software ขึ้นมาสำหรับช่วยในการสนับสนุนการทำงาน, การติดตามเคสการสนับสนุน, การบันทึกเสียงบทสนทนา และอื่นๆ อีกมากมายเพื่อให้การสนับสนุนการใช้งานทั้งหมดเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีข้อมูลเพียงพอสำหรับการปรับปรุงกระบวนการต่างๆ ในอนาคตด้วย

นอกจากนี้ Express ยังมีนโยบายในการคิดราคาที่เป็นธรรม ด้วยราคาการซื้อลิขสิทธิ์การใช้งานแบบขาดในหลักหมื่น และราคาการอัปเกรดในหลักพันเท่านั้น โดยไม่ได้มีการบังคับให้อัปเกรดหรือซื้อบริการสนับสนุนการใช้งานใดๆ เลย ส่วนการอัปเกรดเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้รองรับต่อข้อกำหนดของกฎหมายใหม่ๆ นั้นก็เป็นบริการฟรี ทำให้ธุรกิจหรือองค์กรต่างๆ ที่ใช้งาน Express นั้นเกิดความคุ้มค่าจริงๆ ทุกราย และเลือกได้เองว่าจะรับบริการใดจากทาง Express บ้าง

 

พัฒนาบุคลากรด้านบัญชีให้มีความรู้ IT ง่ายกว่าการพัฒนาบุคลากรด้าน IT ให้รู้บัญชี

เนื่องจากกลุ่มลูกค้าหลักของ Express นั้่นคือฝ่ายบัญชีขององค์รกรและธุรกิจต่างๆ ไปจนถึงเจ้าของธุรกิจเองเลยโดยตรง คุณสุทัศน์จึงมองว่าผู้ที่จะคอยให้บริการลูกค้ากลุ่มนี้จึงควรจะเป็นคนในกลุ่มเดียวกัน ทำให้ Express นั้นวางกลยุทธ์ในการสนับสนุนลูกค้าด้วยการจ้างบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถทางด้านระบบบัญชีและกฎหมายบัญชีในเมืองไทย ให้มาเรียนรู้การใช้งาน Software ของ Express เพื่อคอยให้บริการลูกค้าโดยเฉพาะ ซึ่งมีจุดเด่นที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายบริการกลุ่มนี้สามารถให้คำตอบลูกค้าได้ทั้งในเชิงของบัญชี, กฎหมาย และการใช้งาน Software ได้ทั้งหมดภายในคนๆ เดียว และแนวทางนี้ก็ง่ายกว่าการจ้างบุคลากรที่มีความรู้ทางด้าน IT มาเรียนรู้ศาสตร์ทางด้านการทำบัญชีและกฎหมายเพิ่มเติมเป็นอย่างมาก

ความรู้ความสามารถในเชิงนี้ถือเป็น Know How ที่เข้มแข็งของ Express และเกิดการต่อยอดเหนือขึ้นไปยิ่งกว่าการสนับสนุนลูกค้า กลายไปเป็นการทำการตลาดแบบทางตรง ด้วยการจัดคอร์สอบรมการใช้งานซอฟต์แวร์ Express ให้แก่เหล่าบุคลากรทางด้านบัญชีของลูกค้าอย่างต่อเนื่องทุกสัปดาห์ ทำให้ฐานลูกค้าของ Express ขยายอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ผู้ใช้งานที่มารับการอบรมเองนี้ก็จะได้สามารถใช้งาน Express ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มความสามารถของบุคลากรคนนั้นๆ ไปด้วยในตัว

ด้วยเหตุนี้ Express จึงได้กลายเป็นหนึ่งใน Software มาตรฐานสำหรับการทำบัญชีในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน จนแม้กระทั่งหน่วยงานรัฐหรือมหาวิทยาลัยต่างๆ ก็ได้มีการสนับสนุนและทำงานร่วมกันในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการหารือด้านระบบบัญชีสำหรับผลักดันธุรกิจในไทยให้เติบโตไปอย่างยั่งยืน ไปจนถึงการที่สถาบันการศึกษาต่างๆ ได้ซื้อ Express ไปใช้ในการเรียนการสอนด้านการทำบัญชีแก่นักเรียนนักศึกษาอย่างกว้างขวาง

 

ก้าวสู่ Cloud ตอบโจทย์การทำธุรกิจได้จากทุกที่ทุกเวลา ด้วยการร่วมมือกับพันธมิตรในไทย

เมื่อมาถึงยุคของ Cloud นั้น ทาง Express ที่เป็นซอฟต์แวร์ระบบบัญชีแบบ Desktop-based บน Windows มาโดยตลอดก็เริ่มนำเทคโนโลยี Virtual Desktop Infrastructure หรือ VDI มาใช้เพื่อทำให้ระบบของ Express นั้นถูกเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านทาง Web Browser และ Mobile Application ทันทีโดยไม่ต้องมีการแก้ไขโค้ดใดๆ ทำให้ผู้ใช้งานของระบบ Express เองก็สามารถก้าวเข้าสู่ Cloud ได้ทันทีด้วยหน้าจอการใช้งานที่เหมือนเดิมทุกประการ ไม่ต่างจากการเปิดใช้งานบน Desktop ในที่ทำงานแต่อย่างใดเลย

Express ได้เข้าร่วมในโครงการ Thaidotcom Marketplace ซึ่งเป็นโครงการของ INET โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยยกระดับ Software ไทยให้สามารถเข้าสู่ยุคของการให้บริการแบบ Cloud บนระบบ IT Infrastructure ที่มีคุณภาพ, มั่นคงปลอดภัย รวมถึงส่งเสริมให้มีการใช้ Cloud ภายในประเทศไทย เพื่อตอบโจทย์ Digital 4.0 จนสามารถสร้างบริการ Express on Cloud ต่อยอดขึ้นมาจากบริการ Cloud Desktop พร้อมให้ใช้ได้อย่างประหยัดสำหรับลูกค้า Express เดิมได้อย่างรวดเร็ว

คุณสุทัศน์ได้เผยว่าสาเหตุที่เลือกจับมือเป็นพันธมิตรกับทาง INET และเข้าร่วมโครงการ Thaidotcom Marketplace ท่ามกลางข้อเสนอจากผู้ให้บริการ Cloud รายอื่นๆ อีกหลายเจ้านั้น ก็เป็นเพราะมีปรัชญาทิศทางในการดำเนินธุรกิจตรงกัน ในการขับเคลื่อนเพื่อส่งเสริมและสนับสนุน ธุรกิจพัฒนาซอฟต์แวร์ในไทย ที่ต้องการผลักดันอุตสาหกรรม Software ไทยที่มีร่วมกันกับเหล่าผู้ประกอบการไทยด้วยกันเอง และปัจจุบันถึงแม้จะให้บริการมายังไม่ถึง 1 ปี ทาง Express ก็มีลูกค้าที่ใช้บริการ Express on Cloud เกินกว่า 1 พันรายแล้วไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และคาดว่าจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ต่อไปในอนาคต

หลังจากนี้ ทาง Express เองก็จะพัฒนาระบบ Express on Cloud ต่อไปให้สามารถเชื่อมต่อกับระบบบริการอื่นๆ เช่น ระบบ Logistics, การเชื่อมต่อโดยตรงกับทางธนาคาร, เชื่อมต่อกับระบบ Payment จากผู้ให้บริการรายต่างๆ และอื่นๆ อีกมากมาย เป็นการขยายความสามารถของ Express on Cloud ให้เหนือยิ่งขึ้นไปกว่าเพียงแค่การเป็นระบบบัญชี ให้สามารถตอบโจทย์ของธุรกิจได้ครอบคลุมหลากหลาย และใช้งานได้สะดวกง่ายดายยิ่งกว่าเดิม

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Express on Cloud สามารถศึกษาได้ที่ http://www.esg.co.th/esg/f_download/Cloud_Package_Details.pdf และตรวจสอบราคาได้ที่ http://www.esg.co.th/esg/f_download/Price_Cloud_Std.pdf ทันที ส่วนผู้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการ Thaidotcom Marketplace สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.thaidotcommarketplace.com/ ทันทีครับ

 

Thailand 4.0: ไทยยังขาดการส่งเสริมความรู้การทำธุรกิจ และการปรับมุมมองของคนไทยให้กล้าใช้ผลิตภัณฑ์ไทย

คุณสุทัศน์ได้กล่าวทิ้งท้ายในเรื่องของ Thailand 4.0 ที่กำลังเป็นประเด็นร้อนของเมืองไทยในตอนนี้ ด้วยการให้ข้อคิดว่าจริงๆ สิ่งที่เหล่าผู้ประกอบการหน้าใหม่ยังขาดนั้นคือแนวคิดของการทำธุรกิจมากกว่าที่จะเป็นเรื่องของเทคโนโลยี คนรุ่นใหม่นั้นเรียนรู้เทคโนโลยีและแนวคิดใหม่ๆ ได้รวดเร็วอยู่แล้ว สิ่งที่หน่วยงานต่างๆ ในไทยควรช่วยกันส่งเสริมจึงกลายเป็นเรื่องของการทำธุรกิจเสียมากกว่า

นอกจากนี้อีกประเด็นสำคัญที่แม้แต่คุณสุทัศน์เองก็ต้องฝ่าฟันมาอย่างยากลำบาก ก็คือการที่คนไทยนั้นไม่กล้าใช้งานผลิตภัณฑ์ของคนไทยด้วยกันเอง และมักจะมองผลิตภัณฑ์ของคนไทยด้วยกันว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ด้อยคุณภาพ เทียบกับผลิตภัณฑ์จากต่างชาติไม่ได้ ซึ่งการส่งเสริมภาพลักษณ์เพื่อแก้ไขมุมมองนี้ก็เป็นสิ่งสำคัญ ในขณะที่เหล่าผู้ประกอบการไทยเองก็ต้องช่วยกันพัฒนาสินค้าและบริการให้มีคุณภาพจริง เพื่อผลดีต่อประเทศชาติของเราเองในระยะยาวไปด้วยเช่นกัน

 

ติดต่อ Express Software Group ได้โดยตรงทันที

ผู้ที่สนใจระบบบัญชี Express Software หรือเป็นลูกค้าอยู่แล้วแต่อยากก้าวไปใช้บริการ Express on Cloud เพิ่มเติม สามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ http://www.esg.co.th/ และ https://www.facebook.com/ESG.Express/ หรือติดต่อทีมงาน Express Software Group ได้ทันทีดังต่อไปนี้

  • ฝ่ายขาย: 02-217-3555, mkt@esg.co.th
  • ฝ่ายบริการลูกค้า: 02-217-3533 กด 2, support@esg.co.th
  • ฝ่ายบัญชี: 02-217-3555 กด 4

from:https://www.techtalkthai.com/interview-with-mr-sutat-gm-and-co-founder-of-express-software-group-about-the-future-in-the-cloud/

รวม Facebook Group แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์การใช้ Cloud สำหรับผู้ใช้งานชาวไทย

ช่วงนี้บริการ Cloud ต่างชาติเริ่มกลับมาได้รับความสนใจเป็นอย่างมากอีกครั้งหนึ่ง ทางทีมงาน TechTalkThai จึงขอถือโอกาสนี้รวบรวม Facebook Group สำหรับกลุ่มผู้ใช้งานบริการ Cloud และเทคโนโลยี Cloud ต่างๆ ให้ได้เข้าไปพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ หรือสอบถามปัญหาต่างๆ กันได้ง่ายๆ ดังนี้ครับ

ใครรู้จักกลุ่มไหนเพิ่มเติมก็มาแนะนำกันได้ที่ info@techtalkthai.com เลยนะครับผม จะได้เพิ่มเติมเข้าไปในรายชื่อให้ครับ

สุดท้ายนี้ขอฝากเพจ Thai Cloud Providers สำหรับติดตามข่าวสารด้าน Cloud ทั่วไทยและทั่วโลกเอาไว้ด้วยนะครับที่ https://www.facebook.com/thaicloudproviders/

from:https://www.techtalkthai.com/facebook-groups-for-cloud-users-in-thailand/

แนะนำ INET Microsoft Cloud บริการ Cloud น้องใหม่จาก INET ลงทะเบียนทดสอบกันได้เลย

ปีนี้น่าจะเป็นปีที่ประเทศไทยมีบริการ Cloud จากผู้ให้บริการหลากหลายค่ายเกิดขึ้นเยอะมาก ทางทีมงาน TechTalkThai ก็จะพยายามหาบริการเท่าที่เห็นหรือรู้จักมาลองนำเสนอให้ได้รับไปพิจารณากันดูนะครับ เผื่อจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจได้ (ส่วนผู้ให้บริการ Cloud รายอื่นๆ ถ้าอยากให้ทีมงานรู้จัก รบกวนส่งเมล์มาแนะนำตัวที่ info@techtalkthai.com ได้เลยครับ) สำหรับรายแรกนี่เห็นใน Facebook มา เป็นบริการ INET Microsoft Cloud นั่นเองครับ

inet_microsoft_cloud_banner

INET นำเสนอบริการ Cloud ให้เลือกใช้งานได้ทั้งแบบ Infrastructure-as-a-Service (IaaS), Platform-as-a-Service (PaaS) และ Software-as-a-Service (SaaS) โดยใช้เทคโนโลยีของ Microsoft เป็นฐาน ได้รับมาตรฐาน ISO 20000-1, ISO 27001 และ CSA-STAR ทำให้มั่นใจได้ในความปลอดภัย พร้อม Service Level Agreement (SLA) ที่ระดับ 99.9%

Package ที่เปิดตัวมาตอนนีัยังไม่มีระบุราคาแต่อย่างใด แต่มีระบุเรื่องสเป็คของ Virtual Server ที่รองรับตั้งแต่ 1-4 Core vCPU, 2-8GB RAM, 50-500GB Disk พร้อม 1 IP Address ให้ร้องขอการทดสอบใช้งานได้ครับ

สำหรับผู้ที่สนใจรายละเอียดเพิ่มเติม หรือต้องการลงทะเบียนทดลองใช้งาน ก็เข้าไปดูที่ http://www.inet.co.th/mscloud/index.php ได้เลยนะครับ

from:https://www.techtalkthai.com/introduce-inet-microsoft-cloud-service/

[PR] ไอเน็ต ผู้ให้บริการ Cloud Service Provider ตัวจริง ด้วยมาตรฐาน Cloud Security Alliance ( CSA-STAR ) มั่นใจกระบวนการจัดการทางด้านความมั่นคงปลอดภัย

กรุงเทพฯ – 28 กันยายน 2558 บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด ( มหาชน ) หรือไอเน็ต ( INET ) ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานทางไอซีทีชั้นนำ ขับเคลื่อนความเหนือชั้นผู้ให้บริการ Cloud Service Provider อย่างเต็มรูปแบบ ด้วยการรับรองมาตรฐาน CSA-STAR รายแรกในไทย โดย บริษัท เอสจีเอส ( ประเทศไทย ) จำกัด ผู้เชี่ยวชาญในด้านการตรวจสอบ การทดสอบ และการรับรองระบบมาตรฐาน Cloud Security Alliance – Security, Trust & Assurance Registry ( CSA-STAR ) ซึ่งเป็นกระบวนการจัดการทางด้านความมั่นคงปลอดภัย สำหรับผู้ให้บริการ Cloud Service Provider พร้อมข่าวดีได้รับการส่งเสริมการลงทุนในกิจการคลาวด์จากบีโอไอเป็นรายแรกของประเทศ เสริมศักยภาพในการขยายธุรกิจคลาวด์ของไอเน็ตให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ตั้งเป้าเพิ่มบริการลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่และขนาดกลางอีก 30 เปอร์เซ็นต์

คุณมรกต กุลธรรมโยธิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด ( มหาชน ) กล่าวว่า “การที่ไอเน็ตได้รับการรับรองมาตรฐาน CSA-STAR รายแรกในไทย ซึ่งเป็นมาตรฐานความปลอดภัยทางสารสนเทศสำหรับระบบคลาวด์โดยเฉพาะ ซึ่งถือเป็นเครื่องหมายยืนยันความพร้อมศักยภาพการให้บริการของไอเน็ตในการก้าวขึ้นสู่ผู้ให้บริการ Cloud Service Provider อย่างเต็มรูปแบบ ปัจจุบันไอเน็ตมีฐานลูกค้าประมาณกว่า 450 ราย และคิดเป็น 40 เปอร์เซ็นต์เป็นลูกค้าที่ใช้บริการคลาวด์ของเรา โดยรูปแบบการให้บริการคลาวด์ของไอเน็ตมีหลากหลาย อาทิ INET Cloud คือ บริการโครงสร้างพื้นฐานในรูปแบบเสมือน ( Virtualization ), บริการ DRaaS ( Disaster Recovery as a Service ) จะเป็น Site สำรองบน Public Cloud และบริการ VDI ( Virtual Desktop Infrastructure ) บริการเครื่องคอมพิวเตอร์เสมือนที่สามารถทำงานออนไลน์ได้จากทุกที่ผ่านอุปกรณ์ BYOD เป็นต้น โดยปัจจุบันทิศทางความต้องการการใช้บริการคลาวด์ขององค์กรธุรกิจในวันนี้เป็นรูปแบบ as a service มากยิ่งขึ้น ลูกค้าสามารถเลีอกใช้บริการให้เหมาะสมกับความต้องการการใช้งานและในเวลาเดียวกันบริหารจัดการค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

“จากแนวโน้มการลงทุนทางด้านระบบไอที ลูกค้าต้องการใช้บริการคลาวด์เพิ่มมากขึ้น ด้วยความยืดหยุ่น สะดวกทั้งในแง่การใช้งานและการลงทุนที่คุ้มค่า รวมถึงความมั่นใจด้านระบบซีเคียวริตี้ ผู้ใช้บริการต้องการผู้ให้บริการที่น่าเชื่อถือเพื่อเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่ยั่งยืน นอกจากการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและนวัตกรรมแล้ว ไอเน็ตยังได้สร้างระบบนิเวศน์การให้บริการ ด้วยการสนับสนุนพันธมิตรที่เป็น SI หรือ Reseller ที่มีศักยภาพและแนวทางในการทำธุรกิจที่สอดคล้องไปกับเรา เพื่อขับเคลื่อนการให้บริการและการสร้างรายได้อย่างยั่งยืน เราสร้างวงจรการให้บริการที่สมดุลย์ เรามีกลยุทธ์ด้านการพัฒนาพันธมิตรของเราให้สามารถเป็นผู้ให้บริการและพัฒนาแอพพลิเคชั่นส์ เพื่อสร้างมูลค่าของการใช้ระบบคลาวด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลูกค้าของเราซึ่งวันนี้เป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่มองการใช้ประโยชน์ของคลาวด์ คอมพิวติ้งเป็นรูปแบบของยูทิลิตี้ ที่สามารถควบคุมการใช้งานและบริหารค่าใช้จ่ายได้อย่างดี และต้องการสร้างมูลค่าเพิ่มของการให้บริการ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่พันธมิตรของเราสามารถสร้างต่อยอดได้ ทำให้เขาเพิ่มคุณค่าและรายได้ให้กับตัวเอง”

คุณมรกตกล่าวเสริมว่า ไอเน็ตยังได้รับการส่งเสริมการลงทุนกิจการคลาวด์จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ ทำให้ได้สิทธิในการยกเว้นอากรขาเข้าในการนำเข้าอุปกรณ์คลาวด์จากต่างประเทศ รวมทั้งได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 8 ปี และนั่นหมายความว่าไอเน็ตสามารถลงทุนด้านการให้บริการให้แก่ลูกค้าได้เพิ่มมากขึ้น หนึ่งในนโยบายของเราคือ การนำเสนอบริการคุณภาพสูงด้วยราคาเป็นธรรม สำหรับลูกค้าที่ใช้บริการของเราอย่างต่อเนื่องคาดว่าค่าใช้จ่ายในบริการคลาวด์ที่ใช้ควรจะลดลงทุกปีอย่างน้อย 10 เปอร์เซ็นต์ เพื่อให้ลูกค้าลดค่าใช้จ่ายหรือนำไปขยายบริการคลาวด์เพิ่มเติม เพราะความต้องการทางธุรกิจด้านบริการโครงสร้างพื้นฐานนั้นต้องมีการเพิ่มขยายตลอดเวลาเพื่อเสริมให้ธุรกิจของลูกค้าให้มีความแข็งแกร่งทันต่อการแข่งขันโดยอาศัยเทคโนโลยีที่ทันสมัยเป็นเครื่องมือ

เกี่ยวกับ บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด ( มหาชน ) -INET

บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด ( มหาชน ) -INET ไอเน็ต ( INET ) ผู้ให้บริการ ICT Infrastructure as a Service Provider ด้วยประสบการณ์การให้บริการด้านไอซีทีโซลูชั่นมายาวนาน ประกอบกับเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด ( มหาชน ) ได้พัฒนาแนวทางการให้บริการเป็น ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีที ( ICT Infrastructure as a Service Provider ) เพื่อมุ่งมั่น คิดค้น พัฒนานวัตกรรม สินค้า บริการและแอพลิเคชั่นส์ต่าง ๆ รวมถึงให้คำปรึกษา ออกแบบ ติดตั้งระบบโครงข่าย เพื่อตอบสนองความต้องการทางธุรกิจของลูกค้าและสร้างความพึงพอใจอย่างต่อเนื่องด้วยมาตรฐานระดับสากล

from:https://www.techtalkthai.com/inet-cloud-service-provider-csa-star/