คลังเก็บป้ายกำกับ: PARTNER

[Guest Post] ออเร้นจ์ บิสิเนส เซอร์วิสเซ็สและฟอร์ติเน็ตผนึกกำลังสร้างแพลทฟอร์มแซสซี เปิดบริการเครือข่ายคลาวด์เนทีฟที่ปลอดภัย ไร้รอยต่อ ปรับขนาดได้ เพื่อยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้งานให้สูงมากขึ้น

  • ให้ผู้ใช้งานที่สำนักงานและจากทางไกลใช้ระบบคลาวด์ได้เต็มประสิทธิภาพ
  • ให้องค์กรทุกประเภทสามารถจัดการด้านความปลอดภัยได้แข็งแกร่งขึ้น คล่องตัวมากขึ้น
  • SASE เพิ่มคุณค่าของบริการเอสดีแวนให้กับลูกค้าที่ใช้บริการในปัจจุบัน

ออเร้นจ์ บิสิเนส เซอร์วิสเซ็ส (Orange Business Services) ผู้ให้บริการดิจิทัลบนเครือข่ายคลาวด์เนทีฟระดับโลก และฟอร์ติเน็ต Fortinet® ผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์แบบอัตโนมัติและครบวงจรจับมือผสานรวมเทคโนโลยีเครือข่ายที่ขับเคลื่อนด้วยคุณสมบัติด้านความปลอดภัยของฟอร์ติเน็ตเข้ากับโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ระดับผู้ให้บริการโทรคมนาคมของออเร้นจ์ เพื่อสร้างแพลทฟอร์มแซสซี (Secure Access Service Edge: SASE)  นับเป็นการตอกย้ำถึงเทรนด์การหลอมรวมของเครือข่ายเข้ากับการรักษาความปลอดภัยครั้งใหญ่ ซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้สูงมากขึ้นไม่ว่าผู้ใช้งานจะอยู่ที่ใด  นอกจากนี้ แพลทฟอร์มแซสซีที่มีการผสานรวมและทำงานได้อย่างอัตโนมัติในตัวนี้ช่วยการอัปเดตของบริการเป็นแบบเรียลไทม์และยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้ที่ยอดเยี่ยม จึงโดดเด่นไม่เหมือนบริการแซสซีอื่นๆ ในตลาด 

การเร่งปฏิรูปด้านดิจิทัล ความจำเป็นที่ต้องทำงานได้จากทุกที่ และความต้องการในการเชื่อมโยงเข้าสู่ระบบคลาวด์ที่มีมากขึ้นได้ส่งผลถึงวิธีการสร้างโครงข่ายและการรักษาความปลอดภัย ทั้งนี้ แพลทฟอร์มแซสซีได้หลอมรวมเครือข่ายและการรักษาความปลอดภัยให้เป็นหนึ่งในระบบคลาวด์  แซสซียังรองรับวิธีการทำงานจากที่ใดก็ได้ (Work-from-anywhere) ในยุคปัจจุบันที่ต้องการการเข้าถึงการใช้งานและการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของทุกคนและทุกอย่างที่คล่องตัวและปลอดภัยโดยใช้แอปพลิเคชันบนระบบคลาวด์ ยิ่งไปกว่านั้น แซสซีช่วยขยายศักยภาพด้านความปลอดภัยให้สูงมากขึ้น อาทิ องค์กรทุกประเภทสามารถเลือกใช้งานเครือข่ายแบบความเชื่อเป็นศูนย์ (Zero-Trust Network Access) และบริการไฟร์วอลล์ (Firewall-as-a-service) จากสถานที่ใดก็ได้ เป็นต้น

ให้ประสบการณ์ผู้ใช้งานที่เหนือชั้นกว่า

ความร่วมมือของสองยักษ์ใหญ่ในครั้งนี้เป็นการขยายการสนับสนุนระหว่างกัน และเป็นการยกระดับบริการ Flexible SD-WAN ของออเร้นจ์โดยใช้ Secure SD-WAN จากฟอร์ติเน็ต อันเป็นบริการพื้นฐานสำคัญในการก้าวใช้งานระบบคลาวด์เนทีฟตามความต้องการของลูกค้า เพื่อสร้างความคล่องตัวทางธุรกิจและความยืดหยุ่นให้มากขึ้น องค์กรใช้โซลูชันแซสซีครอบคลุมตั้งแต่ต้นทางจนปลายทางที่สามารถควบคุมได้ทั่วโลกนี้ ปิดช่องว่างระหว่างผู้ใช้และแอปพลิเคชันต่างๆ เป็นบริการประเภท Managed service อันปลอดภัยบนโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ (Orange telco cloud infrastructure) ของออเร้นจ์  ได้รับการสนับสนุนดูแลโดยทีมผู้เชี่ยวชาญและใช้ศักยภาพด้านการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ของหน่วยงาน Orange Cyberdefense

คุณจอห์น แมดดิสัน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด และรองประธานอาวุโสฝ่ายผลิตภัณฑ์แห่งฟอร์ติเน็ตอธิบายว่า “การเร่งปฏิรูปด้านดิจิทัลและการปรับเปลี่ยนในโครงข่ายต่างๆ เพื่อรองรับ ‘การทำงานจากทุกที่’ ที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลกนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดการหลอมรวมของเครือข่ายและการรักษาความปลอดภัยแบบไฮบริด เพื่อสร้างเครือข่ายแบบความเชื่อเป็นศูนย์ที่ส่วนเอด์จ ทั้งนี้ ฟอร์ติเน็ตมีความสัมพันธ์กับออเร้นจ์อันดีมายาวนาน เรามีความยินดีที่จะผสานรวมเทคโนโลยีเครือข่ายที่ขับเคลื่อนด้วยความปลอดภัย (Security-Driven Networking Technology) ของเราเข้ากับโครงสร้างพื้นฐานของออเร้นจ์ในก้าวต่อไป เพื่อให้บริการโซลูชันเครือข่ายและความปลอดภัยอันหลอมรวม โดดเด่นในคุณสมบัติด้านการมองเห็น ความสามารถในการจัดการ ความยืดหยุ่น และการยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้ขั้นสูง ซึ่งยากที่จะมีผู้ใดเทียบทันได้”  

คุณแอน-มารี ธิโอเลท์ รองประธานฝ่าย Global Solutions ของออเร้นจ์ บิสิเนส เซอร์วิสเซ็สกล่าวว่า “ความร่วมมือเชิงนวัตกรรมนี้เป็นการสานความมุ่งมั่นสร้างวิวัฒนาการด้านเครือข่ายคลาวด์ของเรา ด้วยการผสานรวมเทคโนโลยีเครือข่ายที่ขับเคลื่อนด้วยคุณสมบัติด้านความปลอดภัยของฟอร์ติเน็ตเข้ากับโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ของเราจะช่วยให้ลูกค้าของเราสามารถใช้งานสภาพแวดล้อมของคลาวด์ได้อย่างง่ายดายซึ่งเป็นสิ่งที่ธุรกิจทั่วโลกให้ความสำคัญ ณ ออเร้นจ์ บิสิเนส เซอร์วิสเซ็ส เรามุ่งมั่นอำนวยความสะดวก จัดหาเทคโนโลยีที่ช่วยขับเคลื่อนนวัตกรรมและการเติบโตของธุรกิจให้แก่ลูกค้าของเราได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย”

 

 

 

 

from:https://www.techtalkthai.com/guest-post-fortinet-orange-business-services-partner/

ง่ายไปอีก Walmart จับมือ PayPal ให้บริการถอนและเติมเงินในร้าน

PayPal ไม่ได้จำกัดช่องทางให้บริการเฉพาะการซื้อสินค้าออนไลน์เท่านั้น แต่กำลังขยายมายังออฟไลน์อย่างเป็นรูปธรรม โดย Walmart ระบุว่าจะร่วมมือกับ PayPal ให้บริการในร้านสาขา เพื่อให้ผู้ใช้แอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือสามารถใช้จ่ายได้สะดวกขึ้น

Walmart และ PayPal ประกาศความร่วมมือเพื่อให้ผู้ใช้แอปพลิเคชัน PayPal บนสมาร์ทโฟนสามารถเบิกถอนและฝากเงินสดเข้าบัญชี PayPal ได้ที่ร้านค้า Walmart นับเป็นครั้งแรกที่ผู้ใช้ PayPal สามารถทำธุรกรรมทั้ง 2 ส่วนนี้ได้ในพื้นที่ร้านค้าดั้งเดิมอย่าง Walmart

จ่ายเงินสะดวกขึ้น

ทั้งคู่ระบุในแถลงการณ์ว่า ภายใต้ข้อตกลงนี้ Walmart จะคิดค่าธรรมเนียม 3 เหรียญหรือประมาณ 100 บาท สำหรับบริการ “cash-in” และ “cash-out” หรือการถอนและเติมเงิน จุดนี้ผู้ใช้บริการ PayPal Cash Mastercard จะสามารถตรวจหรือใช้จ่ายเงินจากยอดคงเหลือได้ที่จุดบริการในร้าน Walmart โดยการใช้บริการจากตู้เอทีเอ็มและเครื่องรับฝากเงินสดใน Walmart ก็จะถูกคิดค่าบริการอัตราเดียวกัน

เบื้องต้น บริการเติมเงิน PayPal (cash-in) นั้น เปิดให้บริการแล้วที่ร้าน Walmart ทั่วสหรัฐฯ ขณะที่บริการถอนเงินจาก PayPal (cash-out) มีกำหนดเปิดตัวใน Walmart ทุกสาขาภายในตุลาคมนี้

ความเคลื่อนไหวนี้ของ PayPal ถูกมองว่าเป็นการขยายธุรกิจบนโมเดล “Online to offline” ซึ่งจะช่วยให้ PayPal มีช่องทางรองรับผู้ใช้ในสหรัฐฯที่หลากหลายกว่าเดิม ประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นนั้นไม่ได้เกิดในแง่ของผู้ใช้ PayPal ฝ่ายเดียว แต่เกิดกับผู้ใช้ Walmart ด้วย การเป็นพันธมิตรครั้งนี้จึงเชื่อว่าจะเป็นจุดเริ่มต้น สู่การขยายผลในโมเดล O2O อื่นเพิ่มเติมอีกในอนาคต

ที่มา: MM

 
Source: thumbsup

from:https://thumbsup.in.th/2018/10/walmart-paypal-partner-offline/

Ticon เร่งเดินหน้าธุรกิจเต็มตัวหวังตอบโจทย์อุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยี

หากเอ่ยถึงชื่อ “Ticon” ถือว่าเป็นผู้นำการให้บริการสมาร์ทแพลตฟอร์มด้านอสังหาริมทรัพย์ เพื่อการอุตสาหกรรม ตอบความต้องการของลูกค้าในโลกอุตสาหกรรม 4.0 ที่เตรียมเดินหน้าขยายธุรกิจในกลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์และสมาร์ทโซลูชั่น เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่และธุรกิจยุคปรับตัวที่กำลังมองหาเครื่องมือดิจิทัลขั้นสูง

นายโสภณ ราชรักษา ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) เล่าว่า การนำสมาร์ทโซลูชั่นมาผสานเข้าสู่แพลตฟอร์มธุรกิจทำให้บริษัทมีโอกาสเติบโตอย่างมาก ถือว่าเป็นการขยายธุรกิจตามแผนโรดแมป 3 ปี ที่จะขับเคลื่อนองค์กรในทุกมิติ

สำหรับการประกาศวิสัยทัศน์ใหม่ครั้งล่าสุด เพื่อก้าวสู่การเป็น “ผู้นำการให้บริการสมาร์ทแพลตฟอร์มด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรม” หรือ “The leading provider of smart industrial platform” โดยเน้นการนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาพัฒนาและต่อยอดธุรกิจเพื่อให้เกิดมูลค่าและประสิทธิภาพให้ธุรกิจ

เน้นไปที่ 3 กลุ่มเดิม

สำหรับการเดินหน้าให้บริการ ยังคงเป็น 3 กลุ่มธุรกิจที่บริษัทคุ้นเคย ได้แก่

  • กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรม (Industrial Property)
  • กลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์ (Data Centre)
  • กลุ่มสมาร์ทโซลูชั่น (Smart Solution)

ซึ่งจะดำเนินงานควบคู่ไปกับแนวทางการจับมือกับพันธมิตรชั้นนำที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อผนึกศักยภาพและนำมาเสริมธุรกิจให้แข็งแกร่ง

สำหรับแนวทางในการนำเทคโนโลยีมาเสริมศักยภาพให้ทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจ มีดังนี้

  1. กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรม (Industrial Property) เดินหน้านำระบบออโตเมชั่น (Automation)  เทคโนโลยีสมัยใหม่ และโครงสร้างพื้นฐานทางด้านเทคโนโลยี มาพัฒนาพื้นที่ให้บริการให้สามารถรองรับกลุ่มอุตสาหกรรม New S-Curve ในยุค 4.0 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมเพิ่มมูลค่าสินค้าและบริการ ก้าวสู่การเป็นผู้ให้บริการคลังสินค้าและโรงงานอัจฉริยะ (Smart Logistics and Smart Factory) ทั้งยังอยู่ในรูปแบบของการพัฒนาโครงการอย่างยั่งยืน มุ่งสู่การเป็นอุตสาหกรรมสีเขียว
  2. กลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์ (Data Centre) หลังจากได้ประกาศจับมือกับ “เอสทีที จีดีซี” (STT GDC) บริษัทชั้นนำด้านการให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์จากสิงคโปร์ เพื่อรุกธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ในประเทศไทย ล่าสุดเตรียมแผนเดินหน้านำเทคโนโลยี ความรู้ ความเชี่ยวชาญของทั้งสององค์กรมาใช้พัฒนาดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่แห่งแรกบนพื้นที่ยุทธศาสตร์ใจกลางกรุงเทพฯ ตั้งเป้าเป็นดาต้าเซ็นเตอร์ที่ทันสมัย และปลอดภัย มาตรฐานระดับสากล รองรับความต้องการของผู้ประกอบการขนาดใหญ่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
  3. กลุ่มสมาร์ทโซลูชั่น (Smart Solution) การผนึกพันธมิตร จัสท์โค (JustCo) ผู้ให้บริการโคเวิร์กกิ้งสเปซ (Co-working space) ระดับพรีเมี่ยมอันดับหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในสัดส่วนการลงทุน ไทคอน 51% จัสท์โค 49% ซึ่งจัสท์โคมีความเชี่ยวชาญ ทั้งด้านการวิเคราะห์ข้อมูล เทคโนโลยีเกี่ยวกับสถานที่ทำงาน และการบริหารจัดการกลุ่มลูกค้าสมาชิก ซึ่งจะช่วยสนับสนุนเป้าหมายของไทคอนในการนำเสนอโซลูชั่นที่ครบวงจรมากยิ่งขึ้นให้กับลูกค้า

อย่างไรก็ตาม การมีพาร์ทเนอร์ที่เหมาะสมนั้น จะช่วยให้บริษัทมีโอกาสในการขยายธุรกิจได้อย่างแข็งแรงข้ึน รวมทั้งการนำฐานลูกค้าเดิม เทคโนโลยีและแพลตฟอร์มที่มีมาพัฒนาบริการที่ตอบสนองความต้องการลูกค้า ทางด้านของการลงทุน บริษัทได้ลงทุนด้วยเม็ดเงินกว่า 10,000 ล้านบาท ในการพัฒนาคลังสินค้าขนาด 1 แสนตารางเมตร เพื่อต่อยอดในการพัฒนาอาคารด้วยเทคโนโลยี รวมทั้งเตรียมลงทุนพัฒนาด้านดาต้าเซ็นเตอร์เพิ่มเติม

 

 

 

 

 

 
Source: thumbsup

from:https://thumbsup.in.th/2018/07/ticon-partner-technology/

SPH กอดคอ StarHub ขยายอายุพันธมิตร content และการตลาด

อีกความเคลื่อนไหวน่าสนใจของวงการสื่อสิงคโปร์ เมื่อโอเปอเรเตอร์อย่าง StarHub และ Singapore Press Holdings ประกาศข้อตกลงใหม่ เพื่อร่วมมือกันด้านการโฆษณา เนื้อหา และบริการด้านการตลาดแบบต่อเนื่อง หลังจากที่สัญญาหมดอายุลงไปก่อนหน้านี้

Tan Tong Hai ซีอีโอ StarHub และ CEO ของ SPH อย่าง Ng Yat Chung จับมือกันแน่นในการแถลงข่าวครั้งนี้ โดยทั้งคู่ประกาศว่าทั้ง 2 บริษัทจะต่ออายุการเป็นพันธมิตรด้านบริการข้อมูล การโฆษณา และการตลาด หลังจากเสร็จสิ้นการทำงานร่วมกันใน 2 ปีแรก

การต่ออายุสัญญาแสดงว่าทั้ง 2 ฝ่ายพอใจกับการขยายธุรกิจในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยทั้งคู่เห็นด้วยกับการรวมแหล่งข้อมูลในการขายโฆษณา การสร้างเนื้อหา และการกระจายเนื้อหา รวมถึงการวิเคราะห์ข้อมูลและการตลาดระหว่างกัน เหมือนที่ระบุในสัญญาฉบับเดิมเมื่อมีนาคม 2016

ผลของสัญญา ทีมขายของ SPH จะเชื่อมโยงกับเนื้อหาและแพลตฟอร์มการจัดจำหน่ายของ StarHub ทั้งคู่จะเสนอแพคเกจโฆษณาและการสร้างแบรนด์แบบครบวงจรแก่ธุรกิจทั้งสื่อสิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ ดิจิตัล อุปกรณ์มือถือและสื่อนอกอาคาร โดยสัญญาฉบับใหม่จะรวมถึงการเป็นหุ้นส่วนในการบุกตลาดธุรกิจสุขภาพ ธุรกิจค้าปลีก และการศึกษา

รายงานระบุอีกว่า SPH และ StarHub ยังจะพยายามทำงานร่วมกันในการนำเสนอที่เกี่ยวข้องกับระบบ Internet of things และระบบการค้าปลีกอัจฉริยะ รวมถึงการพัฒนาด้านเทคโนโลยีอื่น ทั้งคู่ยืนยันว่าการต่อสัญญาครั้งใหม่จะสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่สำหรับทั้ง 2 แบรนด์ โดยสัญญาใหม่ครั้งนี้ไม่เพียงจะเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นในการให้บริการเนื้อหา แต่ยังจะเป็นประสบการณ์ที่เหนือกว่าแก่ลูกค้าด้วย

ที่มา: Campaignasia

 
Source: thumbsup

from:http://thumbsup.in.th/2018/01/singapore-content-marketing-partnership/

Mastercard จับมือ London&Partner ส่งแอปพลิเคชันแนะนำแหล่งท่องเที่ยวในลอนดอน

ใกล้จะถึงช่วงสิ้นปี หากเป็นประเทศตะวันตกนี่อาจเป็นมหกรรมแห่งการช้อปปิ้งครั้งใหญ่ แต่สำหรับประเทศในซีกโลกตะวันออกโดยเฉพาะประเทศไทย อาจต้องเรียกว่าเป็นเทศกาลแห่งการเดินทางท่องเที่ยวน่าจะเหมาะสมมากกว่า ซึ่งจากพฤติกรรมของผู้บริโภคดังกล่าวนี้ ทำให้เราเริ่มเห็นหลายแบรนด์มีการจับมือเป็นพันธมิตรหาช่องทางยั่วใจนักเดินทางกันแล้ว หนึ่งในนั้นคือ Mastercard ที่จับมือกับ London & Partner ให้บริการโซลูชันเพื่อการวางแผนการท่องเที่ยวกรุงลอนดอนผ่านแอปพลิเคชัน The Visit London Official City Guide App ที่บอกว่าสามารถเปิดแผนที่เที่ยวได้แม้ไม่มีสัญญาณเน็ต

โดยความพิเศษของ The Visit London Official City Guide App คือการเสนอข้อมูลการท่องเที่ยวแบบ Personalised  เพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งาน และมีข้อมูลการท่องเที่ยวแบบเรียลไทม์ (real-time data) ที่ช่วยให้นักท่องเที่ยวสามารถเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ ภายในกรุงลอนดอนได้อย่างราบรื่น  ซึ่ง Mastercard ก็ไม่ลืมที่จะพ่วงบริการ Masterpass  กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์สำหรับเก็บข้อมูลบัตรเครดิต ฯลฯ ของผู้ใช้งานไว้ด้วย นัยว่าเพื่อความสะดวกในการใช้งานให้นักท่องเที่ยว ซื้อตั๋วเข้าเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ได้เลยทันทีนั่นเอง

รูปแบบความร่วมมือในลักษณะนี้ยังสามารถมาประยุกต์ใช้กับการท่องเที่ยวไทยได้เช่นกัน เพราะจากผลการสำรวจความพึงพอใจล่าสุดตีพิมพ์ลงในคู่มือแนะนำการท่องเที่ยวกรุงลอนดอน (the Mayor of London’s tourism vision for London) พบว่าความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวจะเพิ่มมากขึ้น หากสามารถเข้าถึงข้อมูลการท่องเที่ยวต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ง่ายขึ้น และสามารถวางแผนเข้าเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญได้ล่วงหน้า ในทางกลับกัน เจ้าหน้าที่ที่ดูแลสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่งก็จะสามารถคาดการณ์จำนวนของผู้เข้าเยี่ยมชมในแต่ละวันได้ ทำให้สามารถเตรียมแผนรับมือ หรือบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวได้ดีขึ้นด้วยเช่นกัน

นอกจากนั้น เรายังสามารถใช้แอปพลิเคชันเป็นแหล่งให้ข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดเข้าชม รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ (ที่ต้องการจะโปรโมต) ได้อีกด้วย

ที่มา: London & Partner, Mastercard

 
Source: thumbsup

from:http://thumbsup.in.th/2017/11/mastercard-london-partner/

เปิดตัว “LINE TAXI” กับความท้าทายในการนำพาแท็กซี่ไทยสู่ยุค 4.0

LINE เปิดตัวเป็น Official Partner รายแรกของเครือข่ายสหกรณ์แท็กซี่เขตกรุงเทพมหานคร โดยมีพิธีลงนามเซ็นสัญญาพัฒนาบริการ “LINE TAXI” อย่างเป็นทางการในวันนี้ ตั้งเป้ายกระดับมาตรฐานการให้บริการ และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนขับแท็กซี่ให้ดีขึ้น คาดพร้อมใช้งานได้ภายในปีนี้แน่นอน

เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งก้าวที่น่าติดตามทีเดียวสำหรับ LINE ประเทศไทย กับการหันมามองปัญหาใหญ่ที่คนกรุงเทพฯ ต่างส่ายหน้า ผู้มีอำนาจต่างส่ายหัว แล้วก็เดินจากกันไป ไม่มีใครลงมาแก้ปัญหาอย่างจริงจัง กับปัญหา “แท็กซี่ไทย” ที่ทุกวันนี้มีภาพลักษณ์ติดลบในหมู่ผู้บริโภค

โดยการเข้ามาเป็น Official Partner กับเครือข่ายสหกรณ์แท็กซี่เขตกรุงเทพมหานครของ LINE ในครั้งนี้ คุณอริยะ พนมยงค์ กรรมการผู้จัดการ LINE ประเทศไทยเผยว่า มาเพื่อแก้ปัญหาที่มีอยู่เดิมของวงการแท็กซี่ไทยให้ดีขึ้น ทั้งในเรื่องการปฏิเสธผู้โดยสารที่ทำให้เกิดการกระทบกระทั่งไม่พอใจอยู่บ่อยครั้ง และทำให้ต้องใช้เวลาในการเรียกรถนานขึ้น หรือปัญหาในด้านความปลอดภัยที่ผู้โดยสารเองก็อยากได้ความมั่นใจจากผู้ให้บริการ ไปจนถึงปัญหาของฝ่ายผู้ขับแท็กซี่เองที่ปัจจุบันพบกับการแข่งขันรอบด้าน ซึ่งคู่แข่งต่างมีพร้อมในเทคโนโลยีอันทันสมัย ในจุดนี้ LINE มองว่า การพัฒนาเทคโนโลยีให้เข้าถึงผู้ใช้งานกลุ่มคนขับแท็กซี่จะเป็นทางออกที่ดี และสามารถคลี่คลายปัญหาต่าง ๆ ในอดีตที่เคยมีมาได้

“ทุกวันนี้เรามีผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต 44 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ที่เข้าใช้อินเทอร์เน็ตผ่านมือถือ แต่ตัวเลขนี้กำลังแสดงให้เห็นว่าอีกด้านหนึ่งก็คือโลกออฟไลน์ ก็ยังมีคนอีกกลุ่มใหญ่มาก ซึ่งคนเหล่านี้อาจเป็นกลุ่มร้านอาหาร กลุ่มผู้ให้บริการขนส่งสาธารณะ ฯลฯ ที่ไม่มีศักยภาพ หรือความรู้มากพอที่จะเข้ามาในโลกออนไลน์ แต่ด้วยพลังของเทคโนโลยี จะทำให้เราสามารถดึงลูกค้า Online ไปหาลูกค้ากลุ่มออฟไลน์ได้แล้ว และเทคโนโลยีนั้นก็คือ แอปพลิเคชัน LINE MAN” 

โดยก่อนหน้านี้ บริการของแอปพลิเคชัน LINE MAN นั้นมีอยู่ 4 บริการหลัก ได้แก่ บริการสั่งซื้ออาหาร (Food Delivery), บริการแมสเซนเจอร์ (Messenger), บริการสั่งของสะดวกซื้อ (Convenience Goods) และบริการจัดส่งพัสดุ (Postel) ซึ่งการมาถึงของ LINE TAXI จะเข้ามาเป็นบริการในลำดับที่ 5 ของ LINE MAN นั่นเอง

อย่างไรก็ดี การจะเข้ามาแก้ปัญหาบริการแท็กซี่ไทยนั้นไม่ง่าย ซึ่งจากการศึกษาของ LINE ประเทศไทยพบว่า ความต้องการจากฝั่งผู้บริโภคมี 3 ข้อหลัก ๆ คือ

 

  • อยากเรียกแท็กซี่แล้วไม่ต้องรอนาน ซึ่งสถานการณ์จริงนั้น บางชั่วโมงเร่งด่วนหรือช่วงที่ฝนตก การเรียกแท็กซี่สักคันทำได้อย่างยากลำบากมาก แม้จะใช้แอปพลิเคชันที่มีอยู่เดิมในท้องตลาดก็ยังต้องรอนานอยู่ดี 
  • อยากเรียกแท็กซี่แล้วแท็กซี่ไม่ปฏิเสธ 
  • อยากขึ้นแท็กซี่แล้วมั่นใจได้ว่าปลอดภัย 

ขณะที่ฝั่งผู้ขับแท็กซี่เองก็มีปัญหาสะสมอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการขับรถด้วยจำนวนชั่วโมงต่อวันที่ยาวนาน (บางรายอาจต้องขับถึงวันละ 12 ชั่วโมง) ขณะที่รายได้ของคนขับแท็กซี่ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มากพอจะทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ โดยอาจมีรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายเฉลี่ยประมาณ 400 บาทต่อวันเท่านั้น

นอกจากนั้น คุณอริยะเผยด้วยว่า ผู้ขับแท็กซี่ยังมีค่าใช้จ่ายในการเป็นผู้ขับแท็กซี่ที่ถูกต้องตามกฎหมายอยู่มากมาย เช่น ค่าใช้จ่ายในทำใบขับขี่สาธารณะ ค่าเช่ารถ หรือค่าผ่อนรถ ค่าตรวจสุขภาพ ฯลฯ

คุณอริยะ พนมยงค์

 

 

ในจุดนี้ LINE มองว่า การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยจะทำให้ปัญหาของทั้งสองฝั่งมาบรรจบกันที่ตรงกลางได้ และความแตกต่างของบริการใหม่อย่าง LINE TAXI กับผู้ให้บริการรายอื่น ๆ ก็คือ ฐานลูกค้าที่มีอยู่เดิมของทั้งสององค์กร เช่น LINE ก็มีฐานลูกค้ามากกว่า 40 ล้านคน และฝั่งเครือข่ายสหกรณ์แท็กซี่เขตกรุงเทพมหานครก็มีสมาชิกเครือข่ายไม่ต่ำกว่า 60,000 ราย จากจำนวนแท็กซี่ที่ให้บริการทั้งหมด 90,000 กว่าราย หรือคิดเป็น 67% ของจำนวนรถแท็กซี่ที่ให้บริการทั้งหมดในเขตกรุงเทพฯ 

แต่จุดเด่นสำคัญที่ทำให้คู่แข่งจุกไปตาม ๆ กันก็คือการที่ LINE TAXI สามารถประกาศได้ว่าเป็นบริการที่ถูกต้องตามกฎหมาย สอดคล้องกับนโยบายของกรมการขนส่งทางบก และทำให้ LINE มีบทบาทสำคัญในฐานะแบรนด์ที่นำพาอุตสาหกรรมแท็กซี่ไทยเข้าสู่ยุค Thailand 4.0 นั่นเอง

อย่างไรก็ดี สำหรับ Business Model และคุณสมบัติต่าง ๆ ที่จะมีให้ใช้งานใน LINE TAXI นั้นยังไม่มีข้อสรุปอย่างเป็นทางการ โดยคุณอริยะเผยแต่เพียงว่าอาจไม่แตกต่างกับผู้ให้บริการรายอื่นในท้องตลาดมากนัก เช่น ในส่วนของคุณสมบัติด้านความปลอดภัย ผู้โดยสารอาจสามารถแชร์ได้ว่าอยู่บนรถแท็กซี่คันไหน เป็นต้น (ในจุดนี้ต้องรอความชัดเจนในงานแถลงข่าวเปิดตัวอย่างเป็นทางการ)

คุณอริยะ พนมยงค์ กรรมการผู้จัดการ LINE ประเทศไทย (กลาง) และคุณวิฑูรย์ แนวพานิช (ขวา) ประธานเครือข่ายสหกรณ์แท็กซี่เขตกรุงเทพมหานครกล่าวให้สัมภาษณ์บนเวที

 

ความท้าทายต่อจากนี้ก็คือ การจะเชิญชวนอย่างไรให้สมาชิกของเครือข่ายสหกรณ์แท็กซี่ฯ เข้ามาลงทะเบียนใช้งานเทคโนโลยีนี้กันให้มาก ๆ เพื่อให้มีรถแท็กซี่ในระบบเพียงพอต่อการให้บริการผู้โดยสาร ซึ่งคุณวิฑูรย์ แนวพานิช ประธานเครือข่ายสหกรณ์แท็กซี่เขตกรุงเทพมหานครเผยว่า ตั้งเป้าไว้ที่ 20,000 – 30,000 คันในระยะเริ่มต้น

โดยคุณสมบัติของแท็กซี่ที่จะเข้าร่วมให้บริการกับ LINE TAXI ในระยะเริ่มต้นนั้น คุณวิฑูรย์ระบุว่า ต้องประกอบด้วยปัจจัยหลัก ๆ ได้แก่ รถที่นำมาให้บริการต้องอยู่ในสภาพดี และคนขับต้องเข้ารับการอบรมพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจก็คือ การมาถึงของ LINE TAXI นั้นอาจไม่ได้มาแล้วทำให้ปัญหาแท็กซี่ปฏิเสธผู้โดยสารหมดลงในทันทีทันใด แต่คุณอริยะชี้ว่าวิธีการแก้ปัญหาที่ LINE กำลังจะทำก็คือ การทำให้ระบบของ LINE TAXI มีคนขับในระบบให้มาก ๆ ยิ่งมีคนขับมาก โอกาสที่ลูกค้าจะถูกปฏิเสธก็ยิ่งมีน้อยลงนั่นเอง

“เราอยู่ในยุค Disruption ก็จริง แต่ผมคนหนึ่งที่เชื่อว่าเราไม่ต้อง Disruption ไปเสียทุกอย่างหรอก เราจับมือกันบ้างก็ได้” คุณอริยะกล่าวทิ้งท้าย

 
Source: thumbsup

from:http://thumbsup.in.th/2017/07/line-mou-official-partner-thai-bkk-taxi/

Amazon เมินไปรษณีย์ไทย ยันส่งสินค้าวันสงกรานต์

“Amazon” แพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่จากสหรัฐอเมริกาบุกไทยแล้ว โดยร่วมกับเอ็กซ์คลูซีฟพาร์ทเนอร์ “iPrice” ปล่อยภาพถ่าย Homepage และภาพสินค้าเป็นครั้งแรกในเมืองไทย

โดยการมาถึงของ Amazon ในครั้งนี้จะจัดขึ้นอย่างเป็นทางการผ่านงาน AWS Summit Bangkok ที่กรุงเทพมหานคร ในวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 ณ โรงแรม Shangri-La โดยจุดประสงค์การจัดงานคือการให้ความรู้แก่พาร์ทเนอร์ในการประกอบธุรกิจกับ Amazon ให้ประสบความสำเร็จและเป็นการอัปเดตข้อมูลใหม่ ๆ ให้กับพาร์ทเนอร์ในปัจจุบัน

ด้วยเหตุนี้บริษัท iPrice ซึ่งเป็นเอ็กซ์คลูซีฟพาร์ทเนอร์กับ Amazon จึงได้โอกาสเปิดตัวภาพถ่ายหน้าเว็บไซต์ของ Amazon Thailand เป็นครั้งแรกเพื่อต้อนรับเทศกาลสงกรานต์ที่จะมาถึง หนึ่งสิ่งที่เป็นจุดแข็งของ Amazon คือ Amazon Prime ที่ให้บริการส่งสินค้าภายในสองวันทำการ อีกทั้งยังให้บริการส่งสินค้าช่วงวันหยุดสงกรานต์อีกด้วย ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์เด็ดของ Amazon รับกระแสอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยเลยก็ว่าได้ 

สำหรับ iPrice เว็บค้นหาสินค้าออนไลน์ยักษ์ใหญ่ ซึ่งปัจจุบันเปิดให้บริการใน 7 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เผยว่าได้รับเลือกเป็นเอ็กซ์คลูซีฟพาร์ทเนอร์ของ Amazon เนื่องจากมีวิสัยทัศน์ที่ใกล้เคียงกัน กล่าวคือ ทั้งสองบริษัทต้องการพัฒนาตลาดอีคอมเมิร์ซให้มีความก้าวหน้าทัดเทียมประเทศในประเทศแถบตะวันตก ด้วยประสบการณ์กว่า 3 ปีในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ iPrice จึงสามารถสนับสนุนให้ยักษ์ใหญ่อย่าง Amazon สามารถตีตลาดได้ง่ายขึ้นด้วย insight และความเข้าใจในความแตกต่างของแต่ละประเทศ

ภาพสินค้าตัวอย่าง

อีกหนึ่งจุดเด่นของ Amazon คือบริการค้นหาสินค้า เนื่องจากมีการวางฟอร์แมตหน้าสินค้าให้เหมาะกับการใช้งานของผู้บริโภค ซึ่งง่ายต่อการค้นหาข้อมูล และการสั่งซื้อสินค้าไม่ซับซ้อน โดยหนึ่งในสินค้าที่ทาง Amazon คาดว่าจะเป็นสินค้าขายดีในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ได้แก่ ครีมกวนอิมที่ผู้บริโภคชาวไทยให้ความสนใจนำมาใช้เพื่อหลายจุดประสงค์ ในช่วงหน้าร้อนอย่างนี้ครีมกวนอิมจะช่วยให้ผิวพรรณผ่องใสพร้อมท้าแดดวันสงกรานต์อย่างแน่นอน

สำหรับคุณสมบัติที่ทำให้ Amazon อยู่เหนือคู่แข่งในตลาดได้แก่รีวิวจากผู้บริโภคซึ่งเป็นเครื่องมือการันตีถึงคุณภาพของสินค้าและบริการจาก Amazon โดยผู้บริโภคสามารถเข้าไปอ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ www.amazon.th/testimonials

 

 
Source: thumbsup

from:http://thumbsup.in.th/2017/04/amazon-iprice-songkran-day/

ดีแทค แอคเซอเลอเรท ผนึกพันธมิตรเมืองไทยประกันชีวิต สนับสนุนเทคโนโลยีสตาร์ทอัพ

นายสมโภชน์ จันทร์สมบูรณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายนวัตกรรมธุรกิจ ดีแทค แอคเซอเลอเรท (ที่ 4 จากขวา) ร่วมกับ นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) (ที่ 3 จากซ้าย) และนพ.คณพล ภูมิรัตนประพิณ ผู้ร่วมก่อตั้ง Health at Home (ขวาสุด) ประกาศเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์สำคัญทางด้านเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพ ร่วมคิดค้นพัฒนาสินค้าและบริการเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าเมืองไทยประกันชีวิต ประเดิมความร่วมมือในต้นปี จากการเปิด “Fuchsia” อินโนเวชั่น เซ็นเตอร์  พร้อมทั้งเลือก เฮลท์ แอท โฮม” (Health at Home) สตาร์ทอัพเฮลท์เทค ดูแลผู้สูงอายุที่บ้าน จากครอบครัวดีแทค แอคเซอเลอเรท มาร่วมพัฒนาต่อยอดบริการของเมืองไทยประกันชีวิต

นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า ปัจจุบันธุรกิจประกันชีวิตกำลังเดินหน้าเข้าสู่ยุคที่มี เจเนอเรชั่น (Generation)” ของคนที่หลากหลาย เพื่อเป็นการตอกย้ำนโยบาย ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centric)” และการมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในธุรกิจประกันชีวิต ล่าสุด เมืองไทยประกันชีวิต ได้จัดตั้ง  “Fuchsia” Innovation Centre มิติใหม่ของการสร้างนวัตกรรม ภายใต้แนวคิด คิดนอกกรอบ (Out of the Box)” ด้วยการปรับวัฒนธรรมองค์กรใหม่ โดยเราเน้นที่การสร้างแนวคิดนี้ให้เกิดขึ้นกับทุกคนไม่จํากัดอายุหรือหน่วยงานที่สังกัดอยู่ ให้ทุกคนในองค์กรได้มี ส่วนร่วมในการสร้างนวัตกรรมใหม่ เพราะคนที่รู้ดีที่สุดถึงความต้องการของลูกค้า คือคนที่มีโอกาสให้บริการลูกค้าโดยตรงและได้พูดคุยกับลูกค้านั่นเอง แต่ก็ต้องการมุมมองหรือไอเดียของกลุ่มคนในช่วงวัยต่างๆ มาผสมผสานกัน   โดยได้ร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจทั้ง Tech และ Non Tech  คิดค้นและพัฒนาเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์และบริการที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างเข้าถึงและเจาะจงมากที่สุด

นายสมโภชน์ จันทร์สมบูรณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายนวัตกรรมธุรกิจ ดีแทค แอคเซอเลอเรท บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็สคอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค กล่าวว่า ดีแทค แอคเซอเลอเรท มีความยินดีที่ได้ร่วมเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับเมืองไทยประกันชีวิต จากการประกาศแนวทางการดำเนินธุรกิจของเมืองไทยประกันชีวิตสำหรับปี 2560  ด้วยการปรับวัฒนธรรมองค์กรใหม่ ให้เข้าถึงความต้องการของลูกค้าโดยยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง พร้อมแนะนำพันธมิตรใหม่ทางธุรกิจ ทั้ง Tech และ Non Tech เพื่อสร้างนวัตกรรมภายใต้การ คิดนอกกรอบ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ ให้ตอบสนองความต้องการลูกค้าได้อย่างเข้าถึงและเจาะจง เพราะเมืองไทยประกันชีวิตมั่นใจในศักยภาพของดีแทค แอคเซอเลอเรท ที่เป็นโครงการบ่มเพาะสตาร์ทอัพอันดับ 1 ของไทย ที่มีสตาร์ทอัพในโครงการที่ดีที่สุด และมีการบริหารจัดการสตาร์ทอัพให้เติบโตประสบความสำเร็จในตลาดอย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญเรามีนวัตกรรมที่พร้อมจะช่วยต่อยอดไปถึงลูกค้าเมืองไทยประกันชีวิต โดยได้เริ่มนำบริการของสตาร์ทอัพ Health at Home มาเปิดทดลองให้บริการร่วมกับผลิตภัณฑ์และบริการของเมืองไทยประกันชีวิต เมื่อปลายปีที่ผ่านมาและกำลังจะมีความร่วมมือกับสตาร์ทอัพอื่นๆในครอบครัวดีแทค แอคเซอเลอเรท อีกหลายทีมในอนาคต รวมทั้งความร่วมมือกับดีแทค แอคเซอเลอเรท ในปีที่ 5 ซึ่งจะเปิดตัวในเร็วๆนี้

from:http://mobileocta.com/dtac-accelerate-partners-with-muang-thai-life-insurance-to-support-technology-startups/

Samsung จับมือ Imint บริษัทพัฒนาซอฟท์แวร์ด้านวิดีโอขั้นเทพที่ตรวจพบโค้ดใน Mate 9

เป็นข่าวส่งตรงมาจากสวีเดนเลยครับ กับการลงนามจับมือกันทางธุรกิจระหว่างบริษัท Samsung และ Imint (?) มาถึงตรงนี้หลายๆคนคงเกิดคำถามขึ้นมาว่า Imint คือบริษัทอะไรใช่ไหมครับ ^^สำหรับบริษัท Imint นั้นอันที่จริงแล้วเป็นการย่อคำของ “Imaging Intelligence” โดยบริษัทนี้เรียกได้ว่าเป็นขั้นเทพของการพัฒนาซอฟท์แวร์เกี่ยวกับการถ่ายวิดีโอเลยล่ะครับ

โดยผลงานทีเด็ดของบริษัทที่มีชื่อว่า ” Vidhance “ นั้น มีความสามารถหลักๆอยู่ 3 อย่างด้วยกันคือ

  • Video Stabilization – สามารถลดการสั่นไหวของภาพวิดีโอได้แบบเนียนกริบ
  • Auto Zoom – หลังจากเลือกวัตถุที่เคลื่อนไหว ตัวซอฟท์แวร์จะตามวัตถุนั้นๆและทำการซูมในระยะที่เหมาะสมให้โดยอัตโนมัติ
  • Auto Curate – เป็นอัลกอริธึ่มที่เข้ามาช่วยปรับแต่งวิดีโอให้โดยอัตโนมัติ คล้ายๆกับ Google Photos ที่จัดการรูปภาพให้เรา

แต่ทั้งนี้การจับมือกันระหว่าง Samsung และ Imint นั้น บอกเลยนะครับว่าในข้อตกลง Samsung ไม่ได้จะนำเอา Vidhance มาใช้กับสมาร์ทโฟนแต่อย่างใด ดังนั้นเราจะไม่ได้เห็นซอฟท์แวร์ตัวนี้ถูกใส่มาให้ใน Galaxy S8 อย่างแน่นอน คราวนี้ก็เลยเกิดคำถามขึ้นมาอีกว่าแล้ว Samsung จะเอา Vidhance ไปทำอะไรล่ะ …. ?

หรือ Samsung จะเปิดตัวกล้องใหม่ ? เป็นแนว Action Camera หรือจะเป็นกล้อง Gear 360 ? หรือไม่แน่อาจจะเอาไปใช้ในส่วนของโดรน ? ตรงนี้คงไม่มีใครให้คำตอบได้ครับนอกจากรอดูทีท่าของทาง Samsung ต่อไปในอนาคต ซึ่งจริงๆก็แอบเสียดายนะครับว่าทำไม Samsung ถึงไม่เอาซอฟท์แวร์ตัวนี้มาใช้ในสมาร์ทโฟน หรือจะเป็นเพราะ Imint ติดสัญญากับ Huawei ไปแล้ว

เพราะก่อนหน้านี้ได้มีคนตรวจพบโค้ดของ Vidhance ถูกนำไปใช้ใน Mate 9 Porsche Design ซึ่งยังมีรายงานเพิ่มเติมว่าอุปกรณ์ที่รัน EMUI 5.0 ต่างก็สามารถพบโค้ดของ Vidhance ปรากฎอยู่ในนั้นอีกด้วย

from:https://www.appdisqus.com/2017/01/26/samsung-signs-agreement-with-imint-for-video-stabilization-found-in-mate-9.html

McDonald เดินหน้าโมเดลพาร์ทเนอร์ในจีนปั๊มสาขา สู้ภาวะธุรกิจร้านอาหารแข่งเดือด

ร้านอาหารคืออีกธุรกิจที่แข่งขันกันอยู่ตลอด ทั้งแข่งแบบออกสินค้า หรือรสชาติใหม่ๆ บ้างก็แข่งกันด้วยราคา แต่ในจีนนั้นด้วยตลาดที่ใหญ่ จน McDonald ยักษ์ Fast Food แดนมะกัน ต้องออกโรงหาพาร์ทเนอร์มาช่วยทำตลาดเลยทีเดียว

ภาพ pixabay.com

ขายหุ้น 80% ให้กับกลุ่ม Consortium ในจีน

เว็บไซต์ Bloomberg รายงานว่า ภายในสัปดาห์นี้ McDonald จะประกาศเซ็นสัญญาเพื่อที่จะขายสิทธิ์ในการใช้แบรนด์ให้กับกลุ่ม Consortium ที่ประกอบด้วย Citic Group กับ Carlyle Group LP เพื่อให้กลุ่ม Consortium นี้บริหารงาน McDonald ในประเทศจีน และฮ่องกงมูลค่ากว่า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 71,500 ล้านบาท) เป็นเวลา 20 ปี โดยการขายสิทธิ์ครั้งนี้ กลุ่ม Consortium จะเข้ามาถือหุ้น 80% แบ่งเป็น Citic Group 52% และ Carlyle Group LP อีก 28% ส่วนที่เหลืออีก 20% จะถือโดย McDonald เช่นเดิม

ทั้งนี้ในเดือนมี.ค. 2559 McDonald ประกาศว่าอยู่ระหว่างหาพาร์ทเนอร์เพื่อเพิ่มสาขาอีก 1,500 แห่งในจีน, ฮ่องกง และเกาหลีใต้ภายใน 5 ปี จากเดิมที่มีสาขาทั้งหมด 2,800 แห่ง ทั้งหมดบริหารเอง แต่หลังจากนี้ไปทั้งหน้าร้านเดิม และร้านที่เปิดใหม่จะบริหารโดยพาร์ทเนอร์ที่สนใจเข้ามาทำธุรกิจถึง 95% ของสาขาในต่างประเทศทั้งหมด โดยในจีนนั้นไม่ได้มีแค่ Citic Group กับ Carlyle Group LP ที่สนใจเป็นพาร์ทเนอร์ เพราะมีทั้ง TPG Capital, Wumart Store, Bain Capital ที่จับมือกับ GreenTree (ยักษ์ใหญ่ธุรกิจโรงแรมในจีน) แต่งทั้งหมดก็พ่ายแพ้ต่อการเสนอราคาของ Consortium นี้

ตลาดจีน และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แข่งเดือด

Steve Easterbrook ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ McDonald บอกว่า การขยายตลาดออกไปต่างประเทศน่าจะดีที่สุด หลังจากตลาดสหรัฐอเมริกาที่เป็นตลาดใหญ่ที่สุดมีผู้เข้าร้านลดลงอย่างต่อเนื่อง 4 ปีซ้อน โดยจีน, เกาหลีใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คือเป้าหมายสำคัญที่จะเข้าไปขยายตลาด และการใช้รูปแบบพาร์ทเนอร์ในการขยายตลาดนั้นก็ยังช่วยให้การเพิ่มจำนวนสาขาทำได้เร็วขึ้น เพราะเดิมทีก็ลงทุน และบริหารสาขาเองมาโดยตลอด แต่ถึงอย่างไรในเอเชียก็ยังเป็นตลาดที่ยาก เพราะมีทั้ง Yum ที่ถือ KFC คู่แข่งตลอดกาล และ Ting Hsin International Group ที่ขยับตัวอยู่ตลอด

สำหรับในประเทศไทย McDonald บริหารงานโดย บริษัท แมคไทย จำกัด ดังนั้นสาขาทั้งหมดในประเทศไทย รวมถึงการว่าจ้างงานก็จะทำโดย McDonald ทั้งหมด ส่วนนโยบายหาพาร์ทเนอร์เข้ามาช่วยทำตลาดในประเทศไทยจะเข้ามาเร็วแค่ไหน ตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน เพราะการอ้างอิงข้างต้นของ Bloomberg นั้น มาจากแหล่งข่าวที่คลุกคลีในโลกธุรกิจของประเทศจีนมาเป็นเวลานาน ทำให้รู้ความเคลื่อนไหวต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว

สรุป

การหาพาร์ทเนอร์เพื่อมาช่วยทำธุรกิจ ถือเป็นอีกวิธีที่ทำให้การขยายตลาด เช่นจำนวนสาขา หรือได้แนวคิดแบบ Localize ทำได้ดีขึ้น เพราะทั้งเงินทุนที่เพิ่ม รวมถึงความเข้าใจในตลาด ดังนั้นอีกไม่นานเชื่อว่า McDonald ในประเทศไทยจะเดินหน้าหาพาร์ทเนอร์เช่นเดียวกับประเทศจีนแน่นอน เพื่อสร้างความแข็งแกร่งในตลาดต่อไป

อ้างอิง // McDonald’s Said to Sign Deal Monday on China Franchise Sale

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/mcdonald-find-partner-for-growth/