นับเป็นก้าวที่น่าประหลาดใจไม่น้อยแต่ก็สมเหตุสมผลเมื่อ IBM ออกมาอธิบายว่า ด้วยความต้องการของลูกค้าที่ใช้งาน IBM Blockchain Services อยู่กว่า 500 รายนั้นต้องการใช้งาน Blockchain ได้บน Platform อื่นด้วย ทาง IBM จึงเปิดให้ IBM Blockchain Platform ทำงานได้บน Multi-Cloud พร้อมรองรับการทำงานบน AWS ได้ก่อนเป็นอันดับแรกภายใต้ชื่อ IBM Blockchain Platform for AWS และรองรับการทำงานบน On-Premises ได้ด้วย IBM Blockchain Platform for IBM Cloud Private
Credit: ShutterStock.com
การเปิดให้สามารถติดตั้งใช้งาน IBM Blockchain Platform ซึ่งพัฒนาต่อยอดมาจาก Hyperledger Fabric ได้บนระบบที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นบน IBM Cloud, Cloud ของผู้ให้บริการรายอื่นๆ ซึ่งเริ่มต้นจาก AWS ไปจนถึงการติดตั้งใช้งานได้บน On-Premises Data Center นี้ ก็จะทำให้การใช้งาน Blockchain เป็นไปได้อย่า่งแพร่หลายมากยิ่งขึ้นและตอบโจทย์ภาคธุรกิจมากขึ้น ดังเช่น
สามารถเลือกเก็บข้อมูลเอาไว้ภายใน Data Center ของตนเอง หรือเอาไว้ภายในประเทศของตนเองเพื่อทำตามข้อกำหนดทางกฎหมายและ Compliance ได้
IBM Blockchain Platform for AWS นี้ถูกออกแบบมาให้สามารถติดตั้งใช้งาน Distributed Peer บน AWS ได้ อีกทั้งยังมีการพัฒนา Quick Start Template เพื่อให้ติดตั้งใช้งานบน AWS ได้อย่างง่ายดาย
นอกจากนี้ IBM ก็ยังเปิดตัว IBM Blockchain Platform for IBM Cloud Private เพื่อให้สามารถติดตั้งใช้งานภายใน On-Premises Data Center ของธุรกิจองค์กรต่างๆ ได้อีกด้วย
สำหรับในแง่ของการบริหารจัดการ IBM เองก็มีโซลูชัน IBM Multicloud Manager ซึ่งจะทำให้สามารถบริหารจัดการระบบต่างๆ ที่กระจายอยู่บน Cloud หลากหลาย ทั้ง IBM, AWS, Red Hat และ Microsoft
DevOps process เพื่อนำมาช่วยปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงาน ตั้งแต่การเก็บ requirement พัฒนา ทดสอบและติดตั้งโปรแกรม เพื่อให้ Application สามารถออกสู่ตลาดได้เร็วขึ้น
IBM Cloud Private มีทั้งหมด 3 Edition ด้วยกัน คือ
Community Edition เป็น edition เริ่มต้น สำหรับการทดลองใช้งาน (non-production use)
Cloud Native Edition เป็น edition เริ่มต้นสำหรับการสร้าง Application แบบใหม่ที่รองรับการทำงานบน cloud platform (cloud native application) โดยไม่ได้ยึดติดกับ cloud เจ้าใดเจ้าหนึ่ง รวมถึงสามารถขยายการทำงาน และโยกย้ายระบบได้อย่างรวดเร็ว สำหรับ edition นี้ได้มาพร้อมกับ IBM Microclimate สำหรับพัฒนา Application ในรูปแบบ Micro Service และ IBM Websphere Liberty สำหรับการ Deploy Application
Enterprise Edition เหมาะสำหรับการใช้งานร่วมกับ Application ที่มีอยู่แล้วบน Data Center ให้สามารถทำงานร่วมกับ Cloud service ได้ (cloud-enabled application) สำหรับ Edition นี้จะมาพร้อมกับ IBM Websphere Application Server Network Deployment, IBM MQ Advanced และ IBM API Connect สำหรับการ Deploy Application ที่มีขนาดใหญ่มากขึ้น รวมถึงการรองรับการขยายตัวของ Application และการเชื่อมต่อเพื่อการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันระหว่าง Application (Application integration)
ทีมงาน TechTalkThai มีโอกาสได้มาร่วมงานสัมมนา Accelerated AI and Data Science with Cloud Agility ซึ่งจัดขึ้นโดยทางทีมงาน IBM Thailand สำหรับอัปเดตเทคโนโลยีทางด้าน Information Architecture และเปิดตัวโซลูชันล่าสุด IBM Cloud Private for Data เพื่อให้องค์กรสามารถตอบรับต่อการทำ Big Data และ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งอัปเดตแนวโน้มทางด้านธุรกิจที่เริ่มมีการแข่งขันในรูปแบบที่เปลี่ยนไป ซึ่งทางทีมงาน TechTalkThai ก็ขอสรุปเนื้อหาต่างๆ เอาไว้สำหรับผู้อ่านทุกท่านดังนี้ครับ
Digital Transformation เปลี่ยนจากการแข่งขันกับธุรกิจ Startup มาสู่การแข่งขันในระดับธุรกิจองค์กรด้วยกันเอง
IBM ได้ระบุว่าการพูดถึง Disruption กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวขึ้นเรื่อยๆ หลายองค์กรต้องปรับตัว หลายๆ องค์กรมีคำถามว่าสิ่งที่ธุรกิจของตนเองทำอยู่นั้นดีหรือยัง และจะนำเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่าง AI มาใช้งานได้อย่างไร
มากกว่า 50% ของหุ่นยนต์ในอุตสาหกรรมจะมีการใช้งาน AI เป็นเบื้องหลัง
บทบาทของ AI ในอนาคตก็คือการที่ AI จะได้เรียนรู้ในสิ่งที่มนุษย์ต้องการจะนำ AI มาช่วยงาน เพื่อให้บุคลากรภายในธุรกิจองค์กรต่างๆ สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ดังนั้นบทบาทหลักของเหล่าธุรกิจองค์กรในปัจจุบันนี้จึงแบ่งออกเป็นการมองหาบทบาทของ AI ที่จะมาช่วยเสริมธุรกิจขององค์กรได้ และการเสริมทักษะของบุคลากรให้สามารถใช้งาน AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และในการก้าวไปสู่ปลายทางดังกล่าว องค์กรก็ต้องเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจขอบเขตของเทคโนโลยีให้ดีเสียก่อนว่า AI ทำอะได้ได้มากน้อยแค่ไหน และธุรกิจของเรามีข้อมูลอะไรอยู่บ้างสำหรับพร้อมใช้งาน
ปัจจุบัน IBM ในประเทศไทยเองก็ได้มีบทบาทในการเข้าไปให้คำแนะนำแก่เหล่าธุรกิจองค์กรทั้งเอกชนและภาครัฐในโครงการด้านระบบ Big Data และทาง IBM เองก็ได้เริ่มเห็นถึงแนวโน้มที่เหล่าองค์กรต่างๆ เริ่มมองไกลไปถึงการนำ AI มาใช้ในการช่วยวิเคราะห์ข้อมูลให้มีความเป็นอัตโนมัติมากยิ่งขึ้น และตอบโจทย์ภาคธุรกิจได้ดียิ่งขึ้นไปพร้อมๆ กัน พร้อมกับทิ้งคำกล่าวที่ชวนคิดเอาไว้ว่า “Big Data without AI is a Big Headache.”
องค์กรควรเริ่มโครงการ AI และ Big Data จากโจทย์ขนาดเล็กๆ ก่อนเพื่อให้ธุรกิจมีความรู้ความเข้าใจในเทคโนโลยี และเริ่มเห็นผลลัพธ์จากการนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างได้ผล เพื่อให้ในอนาคตการลงทุนในโครงการด้าน AI และ Big Data ต่อไปนั้นมีทิศทางที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นและเลือกใช้เทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสมมากยิ่งขึ้นต่อไป
มีเพียง 20% ของโครงการ Data Science ในธุรกิจองค์กรเท่านั้นที่ประสบความสำเร็จ
ทาง IBM ได้นำเสนอถึง 4 ลำดับขั้นตอนพื้นฐานของโครงการ Data Science เอาไว้ดังนี้
Gather All Data รวบรวมข้อมูล
Prepare Data แปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปที่พร้อมใช้งานได้
IBM ได้นำเสนอแนวโน้มอีกว่ามีเพียง 20% ขององค์กรเท่านั้นที่นำ AI ไปใช้งานจริงได้ประสบความสำเร็จ ทั้งนี้ก็เป็นเพราะขั้นตอนในการสร้าง Information Architecture หรือ IA ที่เหมาะสมและรองรับต่อการทำ AI ได้ดีนั้นถือเป็นหัวใจสำคัญ เพราะ AI จะไม่สามารถขับเคลื่อนธุรกิจองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพเลย หากระบบการจัดการข้อมูลขององค์กรนั้นยังคงเป็นคอขวดของธุรกิจอยู่
IBM ได้สรุปถึง 2 ปัจจัยหลักที่ทำให้โครงการด้าน Data Science และ AI ดำเนินไปได้อย่างเชื่องช้าหรือไม่ประสบความสำเร็จ ดังนี้
ไม่รู้ว่า AI เก่งตรงไหน ทำให้ไม่สามารถขึ้นโครงการที่ใช้ AI เพื่อตอบโจทย์ได้อย่างรวดเร็ว
ระบบจัดการข้อมูลไม่มีประสิทธิภาพ Data Scientist ไม่สามารถทำงานได้
ขาดวัฒนธรรมองค์กรที่ดีในการทำงานร่วมกันระหว่างแผนกเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ไปจนถึงการไม่เชื่อมั่นในเทคโนโลยี AI
Hybrid Data Lake Architecture การเลือกใช้เทคโนโลยีสำหรับจัดเก็บข้อมูลให้เหมาะสม ก็เป็นอีกหัวใจที่สำคัญ
อีกหนึ่งประเด็นน่าสนใจที่ IBM พูดถึงก็คือการที่ข้อมูลที่อยู่ในองค์กรนั้นมีรูปแบบที่หลากหลาย และการนำไปใช้งานก็มีความแตกต่างกัน ดังนั้นการเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมต่อสองปัจจัยนี้ก็จะเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มโอกาสสำเร็จของการทำโครงการด้าน Data Science และ AI และประเด็นนี้ก็ไม่ได้มีสูตรสำเร็จที่ตายตัว เพราะแต่ละธุรกิจองค์กรนั้นก็มีความแตกต่างกัน
IBM ได้นำเสนอแนวคิดของ Hybrid Data Lake Architecture ที่นำเทคโนโลยี Data Virtualization เข้ามาช่วยเพื่อให้สามารถใช้งานเทคโนโลยีได้อย่างหลากหลายในการจัดเก็บและจัดการเข้าถึงข้อมูลรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาเทคโนโลยี Open Source Software ที่มีบทบาทเป็นอย่างมากในวงการนี้ และปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีให้เหมาะสมต่อความต้องการใหม่ๆ ในการนำข้อมูลไปใช้งาน
แน่นอนว่าอีกปัจจัยที่สำคัญก็คือการเสริมสร้างทักษะให้กับเหล่าผู้ดูแลระบบ IT และผู้ดูแลข้อมูล เพราะแทบทุกเทคโนโลยีถือเป็นเทคโนโลยีใหม่สำหรับเหล่าองค์กรทั้งสิ้น และการมีองค์ความรู้ในเชิงลึกเกี่ยวกัเทคโนโลยีเหล่านี้เองก็จะช่วยให้องค์กรสามารถเลือกใช้งานเทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสม
IBM ได้เล่าถึงโซลูชัน IBM ICP4Data ที่ IBM ได้เปลี่ยนสถาปัตยกรรมภายในให้เป็นแบบ Microservices ทั้งหมดในการบริหารจัดการข้อมูลบน Private Cloud และ Public Cloud เพื่อให้เหล่าองค์กรมีความยืดหยุ่นในการเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับข้อมูล และเพิ่มขยายประสิทธิภาพเฉพาะส่วนได้ตามต้องการ อีกทั้งยังครอบคลุมไปถึงการตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานและการแก้ไขปัญหาทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย
Service Discovery and Load Balancing สามารถจัดการตั้งค่าการเชื่อมต่อและการทำงานทดแทนในแต่ละ Microservices ได้ด้วนตนเอง
Automated Rollout and Rollback สามารถทำการแก้ไขเปลี่ยนแปลงส่วนต่างๆ ของระบบให้เป็นโค้ดชุดใหม่ได้ และทำการเปลี่ยนระบบกลับหากพบว่ามีปัญหาได้
Secret and Configuration Management สามารถจัดการกับกุญแจเข้ารหัสและการตั้งค่าของแต่ละ Container หรือ Service ที่ใช้งานได้
ใน Kubernetes นั้นเราจะทำการสร้าง Pod ขึ้นมาสำหรับแต่ละ Microservices เพื่อให้การ Deploy สามารถทำงานได้อย่างง่ายดาย และกำหนดปริมาณของ Container ที่ต้องการสร้างขึ้นมาทำงานได้อย่างยืดหยุ่น และลดความผิดพลาดในการติดตั้งระบบหรือเริ่มต้นใช้งานด้วยการนำแนวคิดของ Infrastructure-as-Code มาใช้ ซึ่งในระบบขนาดใหญ่เองก็จะประกอบด้วยหลาย Pod ที่ทำงานร่วมกันเพื่อเกิดเป็นภาพรวมของบริการหนึ่งๆ ขึ้นมา
IBM Cloud Private for Data: โซลูชันระบบ Private Cloud สำหรับการจัดการข้อมูล
Credit: IBM
จะเห็นได้ว่าการออกแบบระบบ Information Architecture ที่ดีนั้นจะต้องประกอบไปด้วยองค์กรประกอบต่างๆ มากมายรวมถึงต้องมีการใช้งานโครงการ Open Source Software ต่างๆ ที่หลากหลาย ทำให้การออกแบบ ติดตั้ง และดูแลรักษาระบบเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่าย และหลายๆ ครั้งก็กลายเป็นคอขวดที่ทำให้องค์กรไม่ประสบความสำเร็จในโครงการด้าน Big Data และ AI ซึ่ง IBM เองก็ต้องการตีโจทย์เหล่านี้เพื่อให้เหล่าองค์กรสามารถก้าวไปสู่ขั้นถัดไปในการทำ Digital Transformation ด้วยการนำข้อมูลมาใช้ในการทำธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพให้ได้
Credit: IBM
เพื่อให้เหล่าองค์กรมีระบบ Infrastructure สำหรับการจัดการข้อมูลที่เหมาะสมและก้าวไปสู่การใช้งาน AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพและรองรับการเติบโตในอนาคตได้เป็นอย่างดี รวมถึงยังสามารถบริหารจัดการได้อย่างง่ายดายด้วยหน้า GUI ที่สวยงาม ทาง IBM จึงได้ทำการพัฒนาโซลูชัน IBM Cloud Private for Data หรือ ICP for Data ขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์เหล่านี้โดยเฉพาะ ด้วยคุณสมบัติที่น่าสนใจดังนี้
สามารถทำงานร่วมกับ IBM Watson Studio, IBM Cognos on Cloud และ Framework ต่างๆ ของเทคโนโลยีในฝั่ง AI ได้ ทำให้องค์กรมีทางเลือกในการใช้งานเทคโนโลยีที่หลากหลาย ด้วยการนำโมเดลที่สร้างขึ้นมาไปใช้งานในระบบอื่นๆ ได้อย่างอิสระ
มีระบบบริหารจัดการข้อมูลและการประมวลผลด้าน AI ทำให้องค์กรสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จะเห็นได้ว่าโจทย์ส่วนใหญ่นั้นคือการนำ IBM Cloud Private for Data ไปใช้เป็นระบบโครงสร้างพื้นฐานให้กับระบบ Data Analytics ที่มีอยู่เดิม เพื่อต่อยอดทั้งในแง่ของการก้าวไปสู่ Hybrid Cloud, Multi-Cloud, AI ไปจนถึงการพัฒนา Application ทางด้าน Data เพื่อใช้งานภายในหรือให้บริการลูกค้าเป็นหลักนั่นเอง
Credit: IBM
ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อทีมงาน IBM Thailand ได้ทันที
สำหรับผู้ที่สนใจในโซลูชันทางด้าน Big Data หรือ AI และต้องการพูดคุยกับทีมงาน IBM Thailand สามารถติดต่อทีมงานได้ทันทีที่ pakornki@th.ibm.com
IBM ออกมาประกาศเปิืดตัว Mainframe รุ่นใหม่ที่เรียกว่า Skinny Mainframe ภายใต้ชื่อรุ่น IBM z14 ZR1 สำหรับใช้ทำ Public Cloud และ Private Cloud โดยเฉพาะ
Credit: IBM
จุดที่ต่างจาก Mainframe รุ่นอื่นๆ ของ IBM นั้นก็คือการที่ IBM z14 ZR1 เลือกใช้ตู้แร็ค 19 นิ้วตามมาตรฐาน ทำให้สามารถนำไปติดตั้งใช้งานภายใน Data Center ทั่วๆ ไปได้ง่ายขึ้น ในขณะที่จุดต่างระหว่าง Mainframe กับ Hardware ทั่วๆ ไปนั้น ทาง IBM ได้ชูประเด็นเรื่อง Security เป็นหลัก เพื่อให้ IBM z14 ZR1 นี้ถูกนำไปใช้สร้าง Public Cloud หรือ Private Cloud ที่รองรับ Mission Critical Application ซึ่งต้องการความมั่นคงปลอดภัยสูงและการเข้ารหัสข้อมูลให้มากที่สุด
นอกจากนี้ IBM z14 ZR1 นี้ยังรองรับ IBM Cloud Private เพื่อให้เหล่าองค์กรสามารถสร้างระบบ Cloud ด้วยเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกับ IBM Cloud สำหรับใช้งานภายในองค์กรและเชื่อมต่อกับ IBM Cloud ได้โดยง่ายอีกด้วย
ไอบีเอ็ม ประเทศไทย เชิญร่วมงานสัมมนา Power Your Future with AI Forum เพื่ออัพเดทเทคโนโลยีใหม่ๆ และช่วยองค์กรเตรียมความพร้อมด้าน AI อาทิ Power Systems, Storage Systems, Hybrid Data Management, Unified Governance, Cloud, Analytics และ Blockchain นอกจากนี้ภายในงานยังได้พบกับ
Satya Sharma IBM Fellow and Chief Technology Officer, Cognitive Systems
Satya Sharma is an IBM Fellow and Chief Technology Officer, Cognitive Systems. In this role, he drives Power Systems Strategic Priorities and Roadmap to deliver client value and differentiate Power systems in the marketplace. He also drives the Power Stack technical roadmap by collaborating with ISVs.
Satya collaborates with clients extensively at the CIO/CTO level, at an architect level, and in a structured fashion as a Chairperson of Technical Collaboration Council (TCC) – a customer body designed for collaboration with clients to develop the Power Systems community and to provide extensive product feedback to IBM.
Satya has been associated with Power Systems Development since 1993 in different roles. Satya has been instrumental in driving Power Systems innovation in key technology areas:
Cognitive / AI / Machine Learning / Deep Learning Infrastructure
POWER8 / POWER9 Systems
Power expansion into Linux on Power
Open stack based Power Cloud and Virtualization Management
Scale-out and Scale-up systems
Virtualization: PowerVM and KVM on Power
For Satya’s 25+ years of contributions to the IBM Company, he was appointed as one of only 278 IBM Fellows (in IBM’s history), 98 of which are currently active employees within IBM’s global technical community of more than 200,000 people.
Satheesh Kumar Global Vice President, IBM Services Platform with Watson
Satheesh Kumar is currently the Global Vice President for IBM Services Platform with Watson. He leads offering management and development, driving value solutions to help clients with their digital transformation and journey to cloud. In his most recent role, Satheesh led IBM Cloud Development and Client Services for IBM Watson and the cloud platform. He was responsible for private cloud development and worldwide delivery to clients. He worked across offerings, architecture, development and delivery teams to deliver differentiated capabilities to serve client needs. Satheesh has led many initiatives across IBM to deliver products, services and solutions to clients, and has held roles in strategy, offerings, architecture, development and delivery.
Richard Wilkins Chief Technology Officer, ASEAN, IBM Corporation
Richard Wilkins as appointed as an IBM Distinguished Engineer in recognition of his extensive track record in leading technical challenging, first of a kind, IT Service Management projects. Richard has an extensive record as a senior technical leader in Asia/Pacific, and globally recognised as a vital resource for innovative IBM Cloud and Smarter Infrastructure solutions and deployments.
Richard is a member of the CTO office for IBM Client Adoption, Technical Enablement. He is providing leadership and mentoring by developing and then delivering IBM Cloud Business strategies across the globe. He will also be responsible for developing and fostering technical vitality across Asia Pacific Geography.
Richard joined IBM in 1989 as an Associate Customer Service Representative for End User Systems. He held various positions throughout his career with IBM, including founding member and leader architect of the Tivoli Asia Pacific Centre Of Excellence. He has more than twenty years of experience in enterprise systems and service management.