คลังเก็บป้ายกำกับ: 2-IN-1_NOTEBOOK

รีวิว ASUS Vivobook 13 Slate OLED โน๊ตบุ๊กจอ 13.3″ แบบ 3-in-1 มีปากกา ถอดคีย์บอร์ด-ขาตั้งได้ บางเฉียบเบาสุด 790 กรัม

ASUS Vivobook 13 Slate OLED (T3300) ที่นับว่าเป็นโน๊ตบุ๊คขนาดหน้าจอ OLED 13.3″ หน้าจอสวยงามสดใสและดีกว่าหลายๆ รุ่นที่ราคาใกล้ๆ กัน แน่นอนว่ารองรับการทัชสกรีนได้เต็มรูปแบบ ที่มีความบางเบาพกพาสะดวก ทำงานแบบ 3-in-1 ทรงแท็บเล็ตที่สามารถถอดคีย์บอร์ดและขาตั้งแยกออกมาได้ โดยมาพร้อมชิปประมวลผล Intel Pentium Silver N6000 ซึ่งนอกเหนือจากความบางเบาแล้ว ยังมาพร้อมระบบความปลอดภัยมากมาย รวมไปถึงแข็งแรงทนทานด้วยวัสดุอะลูมิเนียมทั้งตัวเครื่อง กับความบางที่ 7.9 – 8 มิลลิเมตร และเบาเพียง 790 กรัมเท่านั้น 

ASUS Vivobook 13 Slate OLED

Advertisementavw

สเปกภายในของ ASUS Vivobook 13 Slate OLED ที่ทีมงานได้รับมารีวิว จะมาพร้อมกับชิปประมวลผล Intel Pentium Silver N6000 ทำงานแบบ Fanless ไม่ต้องมีพัดลมระบายความร้อนแบบยุคก่อนๆ ขับเคลื่อนด้วยแรมขนาด 8GB และที่เก็บข้อมูลความเร็วสูง SSD ความจุ 256GB พร้อมระบบปฏิบัติการ Windows 11 Home ส่วนการประกันให้ถึง 2 ปี ส่งเคลมได้กว่า 57 ประเทศทั่วโลก และในปีแรกมีประกันอุบัติเหตุ เรียกได้ว่าเหมาะไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย ในรูปแบบการใช้งานทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นดูหนัง ฟังเพลง งานเอกสาร หรือวาดรูปจดบันทึกผ่านทาง ASUS Pen 2.0 ที่ล้ำกว่ารุ่นก่อนๆ

VDO Review 

Coming Soon

NBS Verdict

ประสบการณ์ใช้งานที่ได้จาก ASUS Vivobook 13 Slate OLED เครื่องนี้ทำออกมาได้ประทับใจดี สำหรับการใช้งานพื้นฐาน เช่นงานเอกสาร ดูหนังฟังเพลง จัดการไฟล์ เล่นอินเตอร์เน็ต ดู Facebook, Youtube, Netflix เหมาะที่จะนำไปใช้งานในชีวิตประจำวัน ด้วยการดีไซน์ที่เรียบง่ายใช้งานได้จริงและยังให้สเปกพอเพียง อีกทั้งงานประกอบก็มีความแน่นหนาจากการใช้วัสดุคุณภาพสูงอย่างอะลูมิเนียมเกือบตลอดทั้งตัวเครื่อง โดยมีความบางเพียง 7.9 – 8 มิลลิเมตร และมีความเบาเพียง 790 กรัม และ 1.4 กิโลกรัมเมื่อประกอบทุกอย่างด้วยกัน ในราคาเพียง 2x,xxx บาทเท่านั้น ได้ฟีเจอร์ครบครัน และแน่นอนมี Windows 11 Home มาพร้อมใช้งานด้วย

ASUS Vivobook 13 Slate OLED

สเปกก็ถือว่าดีเหมาะกับการใช้งานทั่วไปด้วยชิปประมวลผล Intel Pentium Silver N6000 ทำงานแบบไร้พัดลม ทำให้ร้อนน้อยไม่มีเสียงรบกวน แรมก็เป็นมาตรฐาน LPDDR4x ขนาด 4GB – 8GB การเข้าถึงข้อมูลได้ไวด้วยที่เก็บข้อมูลแบบ SSD M.2 ความเร็วสูงที่ความจุ 256GB (รุ่น 128GB เป็น eMMC) หน้าจอ 13.3″ ขอบจอบางเฉียบ ความละเอียด Full HD พาเนล OLED ที่สวยงาม รองรับการทัชกรีนได้ดีเยี่ยม รวมถึงยังได้ติดตั้งลำโพง 4 ตัว ระบบเสียง Dolby Atmos คุณภาพดี และมีสแกนลายนิ้วมือ Windows Hello ทำให้สะดวกและปลอดภัย โดยความน่าสนใจก็คือแบตเตอรี่สามารถใช้งานได้ยาวนานเกือบ 8 ชั่วโมงด้วยกัน

ASUS Vivobook 13 Slate OLED

ASUS Vivobook 13 Slate OLED ได้เทคโนโลยีเชื่อมต่อไร้สาย Wi-Fi 6 AX + Bluetooth 5.2 ทำให้ ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ และการเล่นอินเตอร์เน็ต การสตรีมข้อมูล รวมถึงการดาวน์โหลดไฟล์ต่างๆ ทำได้ดี แต่อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่า ASUS รุ่นนี้ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อใช้งานหนักๆ ฉะนั้นแล้ว น่าจะเหมาะเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องที่ 2 ไว้พกพาไปทำงานข้างนอก หรือคนที่ต้องการโน๊ตบุ๊คไว้ใช้งานพื้นฐานเท่านั้น เจาะตลาดนักเรียนนักศึกษา รวมไปถึงคนวัยทำงานที่ยังหนุ่มสาวเป็นหลัก สมกับเป็นโน๊ตบุ๊คแบบ 3-in-1 รุ่นใหม่สายทำงานและไลฟ์สไตล์ ใช้งานได้หลากหลายโหมด

ASUS Vivobook 13 Slate OLED

อีกทั้งยังตอกย้ำความคุ้มค่าด้วยซอฟต์แวร์เอกสารที่ติดตั้งมาให้ทันทีอย่าง Office Home & Student 2021 ทำให้มี Word / Excel / Power Point ใช้งานได้ทันที ไม่ต้องไปหาซื้อแยกแล้ว ส่วนของสังเกตเป็นเรื่องของพอร์ตการเชื่อมต่อที่เป็นข้อกำจัดอยู่แล้ว ด้วยสไตล์ของตัวเครื่องที่เน้นความบางความบามากๆ ซึ่งมีเพียง USB 3.2 Type-C จำนวน 2 พอร์ตด้วยกัน ซึ่งเป็นไปได้แนะนำว่าให้ซื้อ USB-C Hub ติดไว้หน่อยก็ดี รวมไปการที่ขาตั้งถอดนั้นต้องระมัดระวังในการกางหรือจับถือจริงๆ เพราะเราอาจจะเผลอไปดันมันหลุดได้ แล้วก็อาจจะตกหล่นเสียหาย ปิดท้ายส่วนตัวก็แนะนำว่าซื้อรุ่นสเปกแรม 8GB และ SSD 256GB จะเป็นตัวมที่จบกว่า 

จุดเด่น ASUS Vivobook 13 Slate OLED

  • มีดีไซน์ที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์และมีความหรูหราเกินราคา เบาเพียง 0.790 -1.42 กิโลกรัม
  • วัสดุทำจากอลูมิเนียมและขาตั้งเป็นพลาสติกที่มีความแข็งแรง งานประกอบดูแน่นหนา
  • หน้าจอ 13.3″ ขอบจอที่บางเฉียบลง ให้มิติที่เล็กกระชับ จับถือไปมาสะดวก 
  • ได้หน้าจอพาเนล OLED ให้สีสันสวยงามสมจริงกว่า IPS ในทุกๆ ด้าน
  • รองรับการทัชสกรีนทั้งนิ้วมือและ ASUS Pen 2.0 ที่ใช้งานได้ดรขึ้น
  • น้ำหนักเบาพกพาสะดวกเหมาะสำหรับคนที่ชอบนำไปใช้งานนอกสถานที่บ่อยๆ
  • สเปกโดยรวมให้ประสิทธิภาพการทำงานที่พอเพียงสำหรับทั่วไป
  • มีสแกนลายนิ้วมือ ผ่านทาง Windows Hello ด้วย
  • ติดตั้งการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต Wi-Fi 6 AX Bluetooth 5.2
  • ติดตั้ง USB 3.2 Type-C มาให้ 2 พอร์ต ที่ชาร์จและต่อจอแยกได้ 
  • เมื่อใช้งานเต็มประสิทธิภาพ ตัวเครื่องไม่ร้อนมารบกวน จากการที่เป็นชิปประหยัดพลังงานพิเศษ
  • แบตเตอรี่อยู่ได้นานสามารถใช้งานติดต่อกันได้สูงสุดประมาณ 8 ชั่วโมง
  • อแดปเตอร์มีขนาดที่เล็กและเบามากๆ เป็นแบบ USB-C ใช้งานได้หลากหลาย
  • ได้ Office Home & Student 2021 ทำให้มี Word / Excel / Power Point ใช้งานได้ทันที
  • ประกัน 2 ปี พร้อมประกันอุบัติเหตุใน 1 ปีแรก
  • ราคาคุ้มค่าสุดๆ เพียง 2x,xxx บาท

ข้อสังเกต ASUS Vivobook 13 Slate OLED

  • พอร์ตการเชื่อมต่อน้อย ควรหา USB-C Hub ติดตัวเอาไว้ด้วย 
  • เน้นใช้งานทั่วไปเป็นหลัก หรือเป็นเครื่องที่สอง ใช้งานนอกสถานที่
  • การที่ขาตั้งแม่เหล็กสามารถถอดได้ ต้องระวังในการหลุดออกจากตัวเครื่องด้วย

Specification

ASUS Vivobook 13 Slate OLED เลือกใช้สเปกฮาร์ดแวร์ภายในเป็นชิปประมวลผลที่เน้นการประหยัดพลังงานและปลดปล่อยความร้อนออกมาน้อย อย่าง Intel Pentium Silver N6000 สถาปัตยกรรม Jasper Lake เทคโนโลยีการผลิต 10 นาโนเมตร ทำงานแบบ 4 คอร์ 4 เธร์ด ด้วยความเร็วนาฬิกาที่ 1.10 – 3.30 GHz (L3 Cache ขนาด 4 MB) มีค่าที่ TDP อยู่ที่ 4.8 – 6 W เท่านั้น ประสิทธิภาพเทียบเคียงกับ Core i3 เพียงพอต่อการใช้งาน ส่วนการ์ดจอเป็น Intel UHD Graphic 615 ให้กำลังในการประมวลผลกราฟิกที่พอเพียงในการใช้งานทั่วไป แรมให้มาขนาด 4GB LPDDR4x แบบฝังบอร์ด ส่วนที่เก็บข้อมูล SSD M.2 NVMe PCIe ความจุ 256GB ที่ให้ความลื่นไหลในทุกๆ การใช้งาน

หน้าจอขนาด 13.3″ ดีไซน์ขอบจอบาง บนความละเอียดมาตรฐาน 1920 x 1080 พิกเซล ซึ่งเป็นแบบหน้าจอด้าน พาเนลเป็น OLED คุณภาพโดยรวมดีกว่า IPS แน่นอน ทั้งสีสันความสว่างและค่าสี ซึ่งรองรับการใช้งานแบบทัชกรีนเต็มรูปแบบ นอกจากนี้ยังมีการเชื่อมต่อที่ครบถ้วนตามสไตล์ของตัวเครื่องสุดบางเบาอย่าง USB 3.2 Type-C, micro-SD Card Reader และ Bluetooth 5.2 ติดตั้ง Windows 11 Home ใช้งานได้ทันที ที่สำคัญยังติดตั้ง Office Home & Student 2021 ติดเครื่องไปใช้งานยาวๆ ได้เลย สนนราคาเครื่องนี้เพียง 2x,xxx บาท ประกัน 2 ปี ปีแรกจะมีประกันอุบัติเหตุมาให้ด้วย (Perfect Warranty) 

ASUS Vivobook 13 Slate OLED ราคา xx,xxx บาท (ดูสเปคทั้งหมดคลิ้ก)

  • CPU : Intel Pentium Silver N6000 (4C/4T : 1.10 – 3.30GHz)
  • GPU : Intel UHD 615 Graphics
  • RAM : 4GB LPDDR4x 4266 MHz 
  • DISPLAY: 13.3″ Full HD OLED + Touch Screen
  • STORAGE : eMMC 128GB
  • OS : Windows 11 Home
  • Software : Office Home and Student 2021 
  • Warranty : 2 Years  Carry-in + 1 Year Perfect Warranty 

ASUS Vivobook 13 Slate OLED ราคา xx,xxx บาท (ดูสเปคทั้งหมดคลิ้ก)

  • CPU : Intel Pentium Silver N6000 (4C/4T : 1.10 – 3.30GHz)
  • GPU : Intel UHD 615 Graphics
  • RAM : 8GB LPDDR4x 4266 MHz 
  • DISPLAY: 14″ Full HD OLED + Touch Screen
  • STORAGE : SSD M.2 NVMe PCIe 256GB
  • OS : Windows 11 Home
  • Software : Office Home and Student 2021 
  • Warranty : 2 Years  Carry-in + 1 Year Perfect Warranty

ASUS Vivobook 13 Slate OLED Review 4

Hardware / Design

ASUS Vivobook 13 Slate OLED มาในรูปลักษณ์ที่มีความบางเบามากกว่า 2-in-1 Notebook ทั่วไป ซึ่งมีความบางของตัวเครื่องอยู่ที่ 7.9 – 8 มิลลิเมตร และเบาไม่ถึงหนึ่งกิโลกรัมเพียง 0.8 กิโลกรัม รวมถึงมีลักษณะการใช้งานในสไตล์ของ Microsoft Surface ที่ทำเป็นแบบแท็ปเล็ตและมีขาตั้งด้านหลัง พร้อมคีย์บอร์ดมาให้ รวมถึงเพิ่มสไตลัสมาในตัว แต่โดดเด่นกว่าที่ขอตั้งสามารถถอดเก็บได้ พร้อมความหรูหราที่ดูเรียบง่าย โดยผลิตขึ้นมาจากวัสดุอะลูมิเนียมเป็นองค์ประกอบในส่วนของตัวเครื่อง ส่วนฐานตั้งหน้าจอเป็นพลาสติก และชุดคีย์บอร์ดเป็นเคสแบบซอฟต์ทัชในตัว อีกทั้งมีทั้งมีที่เก็บปากกาแบบแม่เหล็กมาด้วย 

ASUS Vivobook 13 Slate OLED Review 24

โดยขาหน้าจอของ ASUS Vivobook 13 Slate OLED นั้น แม้จะถอดไปมาด้วย ซึ่งเชื่อมต่อผ่านทางแม่เหล็กที่มั่นคงในระดับหนึ่ง ให้ความแข็งแรงและทนทานต่อการใช้งานจริงๆ แต่เราเองก็ต้องระมัดระวังด้วยเพราะว่ามันถอดหรือหลุดได้ โดยสามารถที่จะทำการตั้งหน้าจอให้ทำมุมได้มากสุดถึง 170 องศา โดยการตั้งหน้าจอที่มุม 170 องศานี้เหมาะสมเป็นอย่างมากกับการใช้งานด้วยสไตลัส ASUS Pen 2.0 ในการทำงานต่างๆ โดยกรณีใช้เป็นแท็บเล็ตก็ได้ด้วยการถอดขาตั้งออก หรือต่อกับคีย์บอร์ดเป็นโน๊ตบุ๊คก็ดี รวมไปถึงจะถอดคีย์บอร์ดแล้วปรับเป็นแนวตั้งก็สามารถทำได้ อย่างที่รุ่นอื่นๆ ไม่สามารถทำได้มาก่อน

ASUS Vivobook 13 Slate OLED Review 27

สำหรับที่ชาร์จของ ASUS Vivobook 13 Slate OLED นั้นจะมีขนาดเล็กพอเหมาะเนื่องจากว่าสเปกภายในไม่ค่อนกินพลังงานเท่าไหร่ จะเห็นได้ว่าพอร์ทที่ใช้สำหรับการชาร์จนั้นจะเป็น USB-C ซึ่งจัดว่าเป็นพอร์ตที่เหมาะสมเรียกได้ว่าเป็นแท็บเล็ตที่ตอบโจทย์รูปแบบการใช้งานอย่างครบครัน เต็มเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพในแบบโน๊ตบุ๊คและความสะดวกสบายอีกขั้นในแบบแท็บเล็ตที่ออกแบบมาเพื่อคนทำงานหรือนักศึกษาที่ต้องการความคล่องตัว เก่งทั้งเรื่องงานและความบันเทิงในเครื่องๆ เดียว อย่างที่ทั่วไป Notebook ทั่วไปไม่สามารถทำได้ 

ASUS Vivobook 13 Slate OLED Review 44

สำหรับโลโก้บนตัวเครื่องของ ASUS Vivobook 13 Slate OLED ติดตั้งอยู่มุมด้านหลังของตัวเครื่อง ที่เป็นแบบยิงเลเซอร์ลงไปให้ความสวยงามและพรีเมียมดูดีเกินราคา รวมไปถึงด้านหลังยังมีการติดตั้งสติ๊กเกอร์ต่างๆ อาทิ Intel Pentium Silver /  Office Home and Student / Perfect Warranty นอกเหนือจากนี้ยังติดตั้งกล้องหลัง 13 ล้านพิกเซล ดีไซน์ตรงนั้นเป็นเสาอากาศที่สวยงามลงตัว และบริเวณตัวเครื่องขอบบนยังมีปุ่ม Power + Fingerprint เพื่อรองรับการใช้งาน Windows กับการ Login เข้าใช้งาน เพื่อความปลอดภัยที่มากกว่าการพิมพ์รหัสแบบเดิมๆ ส่วนปุ่มความดัง + – จะติดอยู่ที่ขอบตัวเครื่องด้านข้างทางซ้ายมือ 

ASUS Vivobook 13 Slate OLED Review 54

หลังจากที่ ASUS Vivobook ในหลายๆ รุ่นได้รับการตอบรับอย่าง การมาของ ASUS Vivobook 13 Slate OLED ก็มาตอบย้ำ ล่าสุดนี้กับการเป็นโน๊ตบุ๊คแบบ Detachable 3-in-1 สำหรับใช้งานทั่วไปที่เหนือชั้นกว่าที่เคยมีมาในหลายๆ ด้าน โดยสเปคนั้นเรียกได้ว่าต้องถูกใจผู้ใช้งานในระดับทั่วไปพื้นฐานอย่างแน่นอน ที่สำคัญตัวเครื่องมาพร้อมกับดีไซน์ยุคใหม่มีความบางและเบา ที่สำคัญตัวชุดคีย์บอร์ดเป็นแม่เหล็กสามารถถอดไปมาได้สะดวก ให้ทนทานและทำความสะอาดได้ง่าย ดีไซน์ก็สวยงาม โดยรวมแล้วตอบโจทย์ของคนยุคใหม่ ที่ปรับรูปแบบการทำงานได้หลากหลาย 

ASUS Vivobook 13 Slate OLED Review 81
ASUS Vivobook 13 Slate OLED Review 82
ASUS Vivobook 13 Slate OLED Review 76
ASUS Vivobook 13 Slate OLED Review 84
ASUS Vivobook 13 Slate OLED Review 59
ASUS Vivobook 13 Slate OLED Review 58
ASUS Vivobook 13 Slate OLED Review 36
ASUS Vivobook 13 Slate OLED Review 34
ASUS Vivobook 13 Slate OLED Review 32

Keyboard / Touchpad

ความโดดเด่นสุดๆ ของ ASUS Vivobook 13 Slate OLED แม้รูปทรงดูเป็นแท็บเล็ตระบบปฏิบัติการ Windows 11 มากกว่าการเป็นโน๊ตบุ๊คปกติ ซึ่งมีความคล่องตัวที่สูง ไม่ว่าเพื่อความบันเทิงหรือการทำงานก็ตอบสนองได้เป็นอย่างดี อีกทั้งถ้าเชื่อมต่อผ่านชุดคีย์บอร์ดที่ดีเยี่ยม ก็เป็นรูปแบบการทำงานโน๊ตบุ๊ค ได้ไม่แพ้ที่เป็นส่วนของโน๊ตบุ๊คจริงๆ เลย เรียกได้ว่าเป็นแท็บเล็ตที่แปลงร่างเป็นโน๊ตบุ๊คที่สมบูรณ์รุ่นนึงในตลาดทีเดียว ทั้งจากความแน่หนาจากการประกอบกับเครื่อง ตัวปุ่มคีย์บอร์ดเองก็เด้งรับกับนิ้วเป็นอย่างดี โดยมีระยะกดที่ 1.4 มิลลิเมตร ซึ่งให้สัมผัสที่ดีกว่าพวก Detachable Notebook ทั่วไปหลายๆ รุ่น 

ASUS Vivobook 13 Slate OLED Review 70

ส่วนประสบการณ์ใช้งานชุดคีย์บอร์ดก็มีความน่าสนใจกว่าเดิม ด้วยวัสดุภายนอกที่เป็นหนังเทียมทำให้ทนทานและทำความสะอาดได้ง่ายกว่ารุ่นก่อน ส่วนความรู้สึกในการพิมพ์ค่อนข้างดีจากแป้นคีย์บอร์ดที่มีความนุ่มนวลแต่ตอบสนองได้อย่างถูกใจ เรียกได้ว่าดีกว่าแป้นคีย์บอร์ดโน๊ตบุ๊คปกติทั่วไป รวมไปถึงในส่วนของทัชแพดมีขนาดใหญ่กว่า พร้อมให้สัมผัสได้ถึงการควบคุมที่แม่นยำทันใจ แม้ว่าอาจจะยังไม่สุดยอดซักทีเดียว แต่ก็เหนือกว่าทัชแพดของโน๊ตบุ๊คหลายๆ รุ่นแล้ว จากการที่ดีไซน์การออกแบบที่คิดและปรับปรุงตลอดมาของทาง ASUS นั่นเอง

ASUS Vivobook 13 Slate OLED Review 71
ASUS Vivobook 13 Slate OLED Review 74
ASUS Vivobook 13 Slate OLED Review 72

Screen / Speaker

ในส่วนของหน้าจอแสดงผลของ ASUS Vivobook 13 Slate OLED ที่ต้องบอกว่ามีความสวยงามสมจริงแบบสุดๆ ด้วย Corning Gorilla Glass กระจกที่แข็งแรงทนทาน ทนรอยขีดขวน บนขนาดหน้าจอ 13.3″ ซึ่งจัดว่ามีขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป ที่ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล ทำให้มีความเรียบเนียนตากว่าหน้าจอโน๊ตบุ๊คทั่วไป กับสัดส่วนมาตรฐานที่ 16:9 โดยเหมาะกับการทำงานและความบันเทิงแน่นอนที่สุด ได้ขอบจอที่บางเฉียบตามสไตล์ NanoEdge Display อีกทั้งหน้าจอทัชกรีนก็รองรับ 10 จุดพร้อมกัน ทำให้เราใช้งานได้สะดวกยิ่งขึ้น รวมไปถึงยังรองรับปากกาสไตลัส ASUS Pen 2.0 ด้วย 

ASUS Vivobook 13 Slate OLED Review 66

หน้าจอยังได้รับรองตามมาตรฐาน PANTONE Validated สำหรับความเป็นที่สุดในเรื่องความแม่นยำของสี รวมไปถึงแสดงสีดำได้ลึกตามาตรฐาน Display HDR True Black 500 ซึ่งให้ประสบการณ์การใช้งานที่น่าประทับใจมาก เรียกได้ว่าเป็นหน้าจอ 2-in-1 Notebook ที่ให้ประสบการณ์ที่ดีที่สุดรุ่นหนึ่ง อีกทั้งแม้ขอบหน้าจอจะบางแต่ก็ยังติดตั้ง Webcam ที่ความละเอียดสูงที่ 5 ล้านพิกเซล และไมโครโฟนแบบคู่มาปกติที่ขอบด้านบน ได้เทคโนโลยีตัดเสียงรบกวนขั้นสูง (AI Noise Cancelation) สำหรับการทำงานระยะไกลและการประชุมวีดีโอ โดยแยกเสียงรบกวนที่ไม่ต้องการออกจากเสียงพูดซึ่งสามารถกรองและแยกเสียงรบกวนรอบข้าง ดีที่สุด

ASUS Vivobook 13 Slate OLED Review 55
ASUS Vivobook 13 Slate OLED Review 67
ASUS Vivobook 13 Slate OLED Review 68

การทดสอบประสิทธิภาพหน้าจอ OLED ด้วยอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ Spyder 5 Elite ให้ขอบเขตความกว้างของสีสันเทียบเท่ากับมาตรฐาน sRGB ที่ 89% / Adobe RGB 69% / DCI-P3 ที่ 69% เรียกได้ว่าให้ประสิทธิภาพเรื่องของสีสันได้ดีน่าประทับใจ ภาพนี้จะแสดงเป็นตารางที่จะบ่งบอกถึงค่าความสว่างต่อคอนทราสต์ที่ได้ อย่างแรกที่เห็นก็คือความสว่างหน้าจอสูงสุดอยู่ที่ 550nti ซึ่งจัดได้ว่าอยู่ในเกณฑ์สูงกว่ามาตรฐานความสว่างของหน้าจอในโน๊ตบุ๊คราคาระดับนี้ ตอบสนองการใช้งานในทุกสภาวะแสง ซึ่งถ้าเทียบกับหน้าจอ IPS หรือ TN แบบเดิมๆ ก็ได้ทั้งค่าสีที่กว้างกว่าและความสว่างที่มากกว่า 2 เท่า

s4 2

ต่อกันที่วัดความสว่างของหน้าจอตามตำแหน่งต่างๆ โดยแบ่งเป็น 9 ช่อง เทียบจากช่องกลางที่ปกติแล้วจะให้ความสว่างที่มากที่สุด ที่จะเห็นได้ว่าช่องมุมซ้ายบนเป็น 0% ก็คือแสดงความสว่างได้เต็มที่ 550 nit แต่สำหรับช่องหลายช่องจะมีแสงสว่างที่ลดลงระดับ 1 – 3 % ที่ถือว่าน้อยมาก ในการทดสอบก็เพื่อให้เราใช้งานอย่างระมัดระวังสำหรับคนที่บังเอิญจำเป็นต้องใช้งานภาพถ่าย หรืองานกราฟิกอื่นๆ และค่า Delta-E อยู่ที่ 3 ปิดท้ายด้วยคะแนน 4.0 เมื่อทดสอบด้านการแสดงผลต่างๆ ทั้งหมดแล้ว สามารถทำได้ดีระดับสตูดิโอ หรือว่าถ้าเป็นการใช้งานพื้นฐานก็เหลือเฟือมากๆ

s1 2
s2 1
s3 2

ตัวลำโพงเป็นแบบสเตอริโอเลือกแบบ 4 ตัวให้เสียงที่ดีกว่ารุ่นบางเบาทั่วไปในระดับหนึ่ง ด้วย Smart Amp Technology พร้อมด้วยระบบเสียง Dolby Atmos ที่ถึงแม้จะมีความบางความเบาของตัวเครื่องอย่างที่สุด แต่ก็ได้คุณภาพทั้งเสียงเบสที่มีน้ำหนัก ไม่ใช่ใส่แต่เสียงกลาง เสียงแหลมออกมาอย่างเดียว โดยตัวลำโพงจะอยู่บริเวณด้านข้างตัวเครื่องซ้ายและขวา ทำให้เสียงโดยรวมดังชัดเจน แยกรายละเอียดได้ซ้ายขวาได้ดี โดยรวมถือในส่วนของลำโพงถือว่าทำออกได้ดีทั้งในคุณภาพเสียงที่ได้และเสียงดังฟังชัดเพียงพอจะออกไปในนอกสถานที่ได้แบบสบายๆ

ASUS Vivobook 13 Slate OLED Review 65
ASUS Vivobook 13 Slate OLED Review 64
ASUS Vivobook 13 Slate OLED Review 43

Connector / Thin And Weight

พอร์ตการเชื่อมต่อตัวเครื่อง ASUS Vivobook 13 Slate OLED นี้จัดว่าเป็นแท็บเล็ตระบบปฏิบัติการ Windows 11 Home ที่มีข้อจำกัดตามสไตล์ของ Detachable Notebook แม้ว่าจะเป็นเครื่องที่มีการออกแบบมาให้เป็นเครื่องที่มีขนาดความบางและน้ำหนักเบาแต่เรื่องพอร์ตการเชื่อมต่อต่างๆ นั้น ก็มีมาให้มากพอทีเดียว ด้วยพอร์ต USB 3.2 Type-C จำนวน 2 พอร์ต รองรับการเชื่อมต่อที่หลากหลาย ทั้งโอนถ่ายข้อมูลความเร็ว 10Gbps / ต่อหน้าจอแยกผ่านมาตรฐาน DisplayPort / ชาร์จไฟผ่าน USB-PD (Power Delivery) า

ASUS Vivobook 13 Slate OLED Review 42

พอร์ตเชื่อมต่ออื่นๆ ก็จะมาพร้อมช่องต่อหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร และมี micro SD Card Reader เป็นมาตรฐานไว้อ่านข้อมูล ผ่านการ์ดจากมือถือ หรือเพิ่มความจุของตัวเครื่องก็สามารถทำได้ ซึ่งถ้าเราต้องการขยายการเชื่อมต่อของ ASUS Vivobook 13 Slate OLED แนะนำว่าให้ซื้อ USB-C Hub มาเพิ่มเติม เพื่อรองรับการพอร์ตทั้ง USB-C, USB-A, HDMI และ LAN ส่วนถ้าเราจะเชื่อมต่อกับเมาส์ จริงๆ แนะนำให้ใช้เป็นแบบไร้สาย Bluetooth จะดีกว่า จะได้ไม่ต้องมีสารระโยงระยางไปมาด้วย 

ASUS Vivobook 13 Slate OLED Review 37

ขนาดของตัวเครื่องจัดว่าเบามากๆ ส่วนสายชาร์จขนาด 65W แบบ USB-C เมื่อเทียบกับขนาดของทั่วไปถือได้ว่ามีมิติที่เล็กกว่าพอสมควร ส่วนน้ำหนักตัวเครื่องเปล่านั้น อยู่ที่ 790 กรัมเท่านั้น และเมื่อรวมกับตัวคีย์บอร์ดแบบแยกพร้อม ASUS Pen 2.0 เข้าไปด้วย ก็จะมีหนักราวๆ 1.42 กิโลกรัมเท่านั้น และถ้ารวมกระเป๋าและอแดปเตอร์ก็จัดว่ามีน้ำหนักที่มีความเบาอยู่ ที่ 1.76 กิโลกรัม แน่นอนว่าตอบสนองในเรื่องของการพกพาไปนอกสถานที่ได้อย่างเต็มรูปแบบ สมกับเป็น 3-in-1 Notebook รูปทรง Detachable Noteboook ได้น่าพอใจ

ASUS Vivobook 13 Slate OLED Review 85
ASUS Vivobook 13 Slate OLED Review 8
ASUS Vivobook 13 Slate OLED Review 9
ASUS Vivobook 13 Slate OLED Review 14
ASUS Vivobook 13 Slate OLED Review 13
ASUS Vivobook 13 Slate OLED Review 12

ASUS Pen 2.0

ปากกาสไตลัสรุ่นใหม่ล่าสุด ที่มีชื่อว่า ASUS Pen 2.0 ของ ASUS Vivobook 13 Slate OLED โดยตัวสไตลัสจะมีความสามารถคล้ายๆ กับปากกาสไตลัสรุ่นอื่นๆ ที่ใช้กับอุปกรณ์ 2-in-1 Notebook หรือแท็บเล็ต Windows โดยจะมาพร้อมกับความสามารถในการใช้งานที่รองรับแรงกด 4,096 ระดับ หรือ 3 – 350 กรัม ทำให้ในการใช้งาน เสมือนว่าใช้ปากกาหรือดินสดในการจดหรือวาดจริงๆ โดยมีปุ่มบนตัวสไตลัสจำนวน 2 ปุ่มทางด้านข้าง (Mouse right-click + Erase button) และทางด้านบนก็เป็นปุ่มกด Function button ที่เราสามารถใช้เลื่อนสไลด์ในการใช้งาน Power Point ได้ทันที

ASUS Vivobook 13 Slate OLED

และที่สำคัญสไตลัสนี้ยังรองรับการเปลี่ยนขนาดหัวเพื่อความเหมาะสมตามการใช้งานจริง อย่าง 2H, H, HB, B ไม่ว่าจะเป็นใช้จดงานเขียนหนังสือ วาดการ์ตูนก็สามารถทำได้สบายๆ ส่วนการชาร์จไฟก็สามารถทำได้ดีกว่ารุ่นก่อนๆ เพราะมีแบตเตอรี่ในตัว ด้วยการชาร์จผ่านทางพอร์ต USB-C ที่ตัวปากกา วิธีการก็ง่ายๆ ด้วยการดึงด้ามออกมา เราก็จะเห็นพอร์ต USB-C แล้ว ซึ่งเราจะชาร์จด้วยอแดปเตอร์ตัวเครื่องเลยหรือ Power Bank อื่นๆ ก็สามารถทำได้ ซึ่งการชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่เพียง 30 นาที สามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 140 ชั่วโมงทีเดียว

ASUS Vivobook 13 Slate OLED Review 21
ASUS Vivobook 13 Slate OLED Review 19
ASUS Vivobook 13 Slate OLED Review 20
ASUS Vivobook 13 Slate OLED Review 16
ASUS Vivobook 13 Slate OLED Review 17
ASUS Vivobook 13 Slate OLED Review 15

Performance / Software

ASUS Vivobook 13 Slate OLED เครื่องรีวิวนี้มาพร้อมกับชิปประมวลผลจาก Intel Pentium Silver N6000 ซึ่งเป็นชิปประมวลผลใช้พลังงานไฟต่ำมาก มีความเร็วในการประมวลผลอยู่ที่ 1.10 – 3.30 GHz เพื่อประหยัดพลังงาน เป็นซีพียูแบบ 4 Core 4 Threads สถาปัตยกรรม Jasper Lake เทคโนโลยีการผลิตที่ 10 นาโนเมตร มีค่า TDP 4.8 – 6 Watt ที่เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป มาพร้อมแรมขนาด 8GB LPDDR4x Bus 4266MHz แบบฝังบอร์ดมาเลย ที่สามารถขับเคลื่อนระบบปฏิบัติการ Windows 11 Home ลิขสิทธิ์ที่มีมาให้แบบสบายๆ

c1 3.   c2 3

กราฟิกการ์ดเป็นแบบออนบอร์ดอย่าง Intel UHD Graphics 615 ที่ให้พลังในการประมวลผลที่ดีในระดับหนึ่ง อย่างในเรื่องของกราฟิก 2 มิตินั้นก็รองรับได้อย่างสบายๆ หรือถ้าเป็น 3  มิติก็ต้องบอกว่ารองรับการทำงานได้ในระดับเบื้องต้นเท่านั้น แต่ก็รองรับการทำงานกับหน้าจอความละเอียดสูง Full HD ได้แบบไม่มีปัญหา เว้นแต่เอาไปเล่นเกม 3 มิติให้ยุคปัจจุบัน อันนี้ไม่แนะนำ

g2 3

สำหรับโปรแกรมทดสอบ CINEBENCH 15 / 20 ที่เน้นในเรื่องของพลังชิปประมวลผล คะแนนก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจตามมาตรฐานของ Intel Pentium Silver N6000 เปรียบเทียบกับชิปประมวลผล Intel Core i3 ก็ทำได้ดีเทียบเคียงกัน ในส่วนของตัวกราฟิกการ์ดเองก็มีประสิทธิภาพตอบโจทย์ในส่วนของงานทั่วไปเท่านั้น

cine15 1.   cine20 1

ตัวเก็บข้อมูลของเครื่องที่เลือกใช้เป็น SSD แบบ M.2 NVMe ที่เป็นความเร็ว ให้ความจุ 256GB ก็ทำคะแนนออกมาได้อย่างรวดเร็วเป็นที่น่าพอใจ กับความเร็วระดับ Read: 2381 MB/s – Write: 965 MB/s ยิ่งเมื่อนำไปใช้เทียบกับฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุนปกติ HDD แล้วละก็จะเห็นถึงประสิทธิภาพทั้งในด้านการทดสอบและในด้านการใช้งานจริงที่แตกต่างกันอย่างเห็นเห็นได้ชัด เรียกได้ว่าเกณฑ์ความเร็วที่ทำได้อยู่ในระดับกลางๆ 

ssd 7

การทดสอบประสิทธิภาพกับโปรแกรม PCMark 10 Advance ซึ่งสามารถทำคะแนนการทดสอบรวมได้มากถึง 2720 คะแนน ถือได้ว่าในส่วนของการใช้งานทั่วไปโดยรวมนั้นสอบผ่านแบบสบายๆ ทั้งในส่วนของการเล่นเว็บไซต์ งานเอกสาร งานตกแต่งรูปภาพ ส่วนถ้าเอาไปใช้งานหนักๆ เช่นงานประมวลผล ตัดต่อวีดีโอ โปรเซสไฟล์ภาพความละเอียดสูง รวมไปถึงเล่นเกม 3 มิติ อันนี้ไม่แนะนำ เพราะสเปกไม่ได้ออกแบบมาให้ใช้งานแบบนั้นแต่อย่างใด แต่ถ้าใช้งานทั่วไป ลื่นๆ สบายๆ ไม่ต้องกังวลเลย

PCMark 10

ASUS Vivobook 13 Slate OLED เองก็ยังมีในส่วนของซอต์ฟแวร์ที่จะเป็นตัวช่วยในการใช้งานของเราอีกด้วยอย่าง MyASUS เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด (เปิดเครื่องมาเจอเลย) ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสเปกภายใน หรือเช็คสถานะการทำงานส่วนต่างๆ ของเครื่อง รวมไปถึงยังสามารถปรับโหมดพัดลม ตรวจเช็คสถานะเครื่องกับข้อมูลแคชต่างๆ ก็ทำการลบทิ้งได้ตรงนี้เลย หรือเช็คอัพเดทซอฟ์ตแวร์และไดร์เวอร์ต่างๆ ของเครื่องก็สามารถทำผ่านตรงนี้ได้เช่นกัน รวมไปถึงโหมดพัดลมและโปรไฟล์สีการแสดงผลอีกด้วย

my

Battery / Heat / Noise

แบตเตอรี่ของ ASUS Vivobook 13 Slate OLED เป็นแบบฝังไว้ในเครื่องเหมือนกับโน๊ตบุ๊คหลายรุ่น สามารถทำงานต่อเนื่องยาวนานได้เกือบๆ 8 ชั่วโมง ต่อเนื่องในการใช้งานแบบปกติ (ดูภาพยนตร์และเล่นอินเตอร์เน็ต เชื่อมต่อ Wi-Fi ตลอดเวลา) และคาดว่าจะทำได้นานยิ่งกว่านั้นปรับเปลี่ยนตามการใช้งานของแต่ละคน ซึ่งอาจจะขึ้นอยู่กับหลายๆ ตัวแปร แต่ก็ถือว่าใช้งานแบตเตอรี่ได้ยาวนานพอที่จะนำไปใช้งานตามร้านกาแฟ นอกสถานที่ ออฟฟิศ มหาวิทยาลัยได้ทั้งวันแล้ว มีฟีเจอร์ Fast Changing ทำให้แบตเตอรี่สามารถชาร์จในระดับ 50% ในเวลาเพียงแค่ 30 นาทีเท่านั้น

batt 2

อุณหภูมิปกติของเครื่องจะอยู่ที่ 30 – 40 องศาเซลเซียส แต่พอรีดประสิทธิภาพเต็มที่จะเห็นว่าเครื่องจะร้อนที่สุดเพียง 80 องศาเซลเซียสเท่านั้น นับว่าระบบระบายความร้อนของเครื่องนี้ทำออกมาได้ดี โดยสามารถจัดการระบบระบายความร้อนออกมาอย่างน่าประทับใจ ซึ่งนั่นน่าจะเป็นเพราะชุดระบายความร้อนจาก ASUS ที่ดี และชิปประมวลผล Intel รุ่นพิเศษแบบ Fanless ที่มีเทคโนโลยีการผลิตที่ดีเยี่ยม ยังไงตรงนี้ก็เป็นเรื่องของระบบการประหยัดพลังงานของชิปประมวลผลด้วย

temp

Conclusion / Award

ASUS Vivobook 13 Slate OLED เหมาะกับคนที่ต้องการโน๊ตบุ๊คซักเครื่อง รองรับการใช้งานพื้นฐานที่หลากหลาย สเปกไม่แรงมาก อย่างนักเรียนนักศึกษาหรือคนทำงานพนักงานออฟฟิศ ที่เน้นใช้งานทั่วไปให้ประสิทธิภาพพอตัว แต่พกพาไปที่นู้นที่นั่นบ่อยๆ ซึ่งรองรับการทำงานได้ยาวนานกว่าโน๊ตบุ๊คปกติ ทำให้เราสามารถพกพาไปใช้งานนอกสถานที่ได้อย่างสบายๆ จัดว่าเป็นโน๊ตบุ๊คที่เน้นการพกพาไว้ใช้งานตามร้านกาแฟเสียมากกว่า ส่วนถ้าใครอยากได้ประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้นก็อาจจะมองดูเป็น ASUS VivoBook 14 / 15 สเปก Core i  ไว้น่าจะเหมาะกว่า หรือแบบพับหน้าจอได้ก็ดูเป็น ASUS VivoBook Filp ไปเลย ส่วนถ้าเล่นเกมก็ดูเป็น TUF Gaming ดีกว่า

ASUS Vivobook 13 Slate OLED Review 44

สรุปปิดท้ายว่ากันตรงๆ สำหรับ ASUS Vivobook 13 Slate OLED เป็นโน๊ตบุ๊ตที่ค่อนข้างครบเครื่องในงบประมาณสองหมื่นบาท โดยมี Windows 11 Home พร้อมมีโปรแกรม Office Home & Student 2021 ใช้งานติดเครื่องยาวๆ ส่วนประกันเป็นประกัน 2 ปี + ประกันอุบัติเหตุ 1 ปีตามมาตรฐานของ ASUS ทั้งทำงานและความบันเทิงดีขึ้น โดยแบตเตอรี่ยังสามารถใช้งานได้ยาวนาน ดีไซน์สวยด้วยหน้าจอ OLED ซึ่งน่าจะเป็น Detachable Notebook หรือ 2-in-1 Notebook ในกลุ่มเดียวกัน ได้หน้าจอที่ดีที่สุดแล้ว อีกทั้งวัสดุตัวเครื่องโดยรวมเป็นโลหะอลูมิเนียมและพลาสติกเกรดดี ให้ความพรีเมียมดูดีเกินราคา และเด่นที่สุดก็คือการ ถอดขาตั้งไปมาได้ หรือปรับเป็นแนวตั้งก็ได้ 

ASUS Vivobook 13 Slate OLED Review 22

Award

โดยในครั้งนี้จะเป็นการเปรียบเทียบการให้รางวัลกับเครื่องในกลุ่มของ 2-in-1 Notebook ขนาดหน้าจอ 13.3 นิ้วด้วยกัน ซึ่ง ASUS Vivobook 13 Slate OLED ก็ได้รางวัลต่างๆ ดังนี้

Best Design

นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของ ASUS Vivobook 13 Slate OLED ในเรื่องของดีไซน์การออกแบบที่ไม่เหมือนใคร รวมถึงมีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัว ด้วยการที่ตัวเครื่องมีความบางและน้ำหนักเบาเป็นพิเศษ ที่เชื่อได้เลยว่าทาง ASUS ได้ใส่ใจในส่วนของรายละเอียดนี้เป็นอย่างมาก ประกอบกับวัสดุหลักในการผลิตยังใช้เป็นอะลูมิเนียมที่ให้ในเรื่องของความแข็งแรงทนทาน และยังบ่องบอกได้ถึงความสวยงามหรูหราอีกด้วย รวมไปถึงหน้าจอยังเป็น OLED ที่แสดงภาพได้พรีเมียม และโดดเด่นด้วยการปรับการใช้งานที่หลากหลายจากขาตั้งที่ถอดเก็บได้ ฉะนั้นในเรื่องของรางวัล Best Design ก็ถือว่าเหมาะสม

NBS award 7 Design

Best Value

ถึงแม้รุ่นนี้จะไม่ใช่โน๊ตบุ๊คที่มีสเปคแรง แต่ถือว่าเป็น 2-in-1 Notebook (หรือ 3-in-1) ที่คุ้มค่าที่สุดรุ่นหนึ่ง ด้วยราคาขาย xx,xxx บาท ที่มาพร้อมสเปคอย่าง Intel Pentium Silver N6000 รวมถึงมีแรม 4GB – 8GB LPDDR4x ที่เพียงพอต่อการใช้งาน และที่เก็บข้อมูลสูงสุดเป็นแบบ SSD M.2 NVMe ความจุ 256GB พร้อมได่ Windows 11 Home และโปรแกรม Office ใช้งานทันที พร้อมดีไซน์แบบฉบับโน๊ตบุ๊คปรับโหมดเป็นแท็บเล็ตได้ มีปากกา เหมาะกับการใช้งานทั่วไปเน้นพกพาแบบสุดๆ เรียกได้ว่าหาได้ยากสำหรับโน๊ตบุ๊คแบบนี้ ที่สำคัญประกันยังมีระยะถึง 2 ปี และประกันอุบัติเหตุในปีแรก เราจึงมอบรางวัล Best Value ไปให้เลยอย่างไม่ต้องสงสัย

award new value

Best Mobility

สำหรับตัวเครื่อง ASUS Vivobook 13 Slate OLED ที่มีความบางเพียง 0.8 มิลลิเมตร และมีความหนักเพียง 790 กรัม หรือถ้าประกอบเป็น Detachable Notebook ใส่คีย์บอร์ดก็เบาเพียง 1.42 กิโลกรัมเท่านั้น จัดได้ว่าเป็นโน๊ตบุ๊คที่ปรับโหมดได้ที่มีน้ำหนักเบามากๆ แน่นอนว่าจะไม่เป็นภาระในการนำออกไปใช้งานนอกสถานที่ และความบางของตัวเครื่องก็ยังมีความบางเฉียบ เหนือกว่าโน๊ตบุ๊คในกลุ่มขนาดหน้าจอ 13.3″ ด้วยกันในหลายๆ ตัว และสำหรับระยะเวลาในการใช้งานแบตเตอรี่ก็ถือได้ว่ามีความน่าประทับใจที่สูงสุดเกือบๆ 8 ชั่วโมง การชาร์จก็เป็น USB-C ที่สะดวกสบาย จึงได้รางวัลในส่วนนี้ไปไม่ยากนัก

NBS award 4 Mobility

 

 

 

from:https://notebookspec.com/web/635640-review-asus-vivobook-13-slate-oled

แนะนำ 2-in-1 Notebook น่าซื้อ ปี 2020 หน้าจอทัชสกรีนมีปากกาพร้อมใช้งาน สเปก Intel Core i Gen 10 เริ่ม 1x,xxx – 4x,xxx บาท

แนะนำ 2-in-1 Notebook น่าซื้อช่วงหลังกลางปี 2020 สเปก Intel Core i Gen 10 ในช่วงราคาเริ่มต้นที่ 1x,xxx บาท จนไปถึง 4x,xxx บาท โดยรองรับการใช้งานได้หลากหลาย อย่างพับหน้าจอได้ 360 องศา มีโหมดต่างๆ รวมไปถึงมีปากการองรับการขีดเขียนแม่นยำ สูงสุด 4096 ระดับ ที่ให้ความบางเบา พกพาสะดวก หรือบางรุ่นก็ประสิทธิภาพสูง รองรับการใช้งานทั่วไป การใช้งานพื้นฐานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ดูหนัง ฟังเพลง ทำงานเอกสาร เล่นอินเตอร์เน็ต ก็ทำได้อย่างลื่นไหลทั้งหมด

สเปกภายในจะได้เป็นชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10 อย่าง Core i3 / i5 / i7 ทั้งสถาปัตยกรรม Ice Lake และ Comet Lake ที่เน้นแรงประหยัดพลังงาน พร้อมให้ประสิทธิภาพประมวลผลได้หลากหลาย ส่วนการ์ดจอมีทั้งเป็นแบบออนชิปของ Intel ที่รองรับการทำงานทั่วไปเป็นหลัก และการ์ดจอแยกอย่าง NVIDIA GeForce MX250 หน่วยความจำแรมจะได้เป็นขนาด 4GB – 8GB – 16GB พร้อมด้วยที่เก็บข้อมูลมาตรฐานเป็น SSD M.2 ความจุ 256GB – 512GB – 1TB ที่สำคัญทุกรุ่นจะได้ Windows 10 มาพร้อมใช้งานทันทีด้วย

น้ำหนักประมาณ 1.3 – 1.6 กิโลกรัม เน้นเรื่องของแบตเตอรี่ที่ยาวนาน โดยใช้งานได้ประมาณ 8 ชั่วโมงขึ้นไป กรณีที่ไม่ต่ออแดปเตอร์ สำหรับความละเอียดหน้าจอทุกรุ่นจะเป็นมาตรฐาน Full HD 1920 x 1080 พิกเซล พาเนลได้เป็น IPS คุณภาพดี ให้ประสบการณ์ใช้งานที่ดีเยียม ทั้งสีสันสดใส มุมมองที่กว้าง บางรุ่นได้ฟีเจอร์สแกนลายนิ้วมือเพื่อเข้าใช้งาน Windows 10 ได้สะดวกรวดเร็วปลอดภัยอีกด้วย หรือบางรุ่นก็ยังมีฟีเจอร์พิเศษอีกด้วย อาทิ จอที่สอง หรือ Thunderbolt 3 และ Wi-Fi 6

เหมาะกับคนที่ต้องการ Notebook ใช้งานหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นักศึกษา ที่ต้องการหน้าจอทัชสกรีน พร้อมมีปากกาไว้ขีดเขียน รองรับการทำงานด้านกราฟิกหรือวาดภาพ จดบันทึก ส่วนการรองรับใช้งานเอกสาร ใช้งานอินเตอร์เน็ตออนไลน์ ส่งอีเมล รวมไปถึงดูหนังฟังเพลง เป็นมาตรฐานที่ต้องทำได้ดี โดยได้รูปแบบประกันดีที่สุดเป็นมาตรฐาน 2 – 3 ปี On-site Servcie ซ่อมฟรีถึงบ้าน ซึ่งจะมีรุ่นอะไรบ้างนั้น ไปชมกันต่อเลย

ASUS VivoBook Flip 14 ราคา 15,900 – 16,900 บาท

ASUS VivoBook Flip 14 เป็น 2-in-1 Notebook ปี 2020 รุ่นใหม่ล่าสุด บาง 17.6 มิลลิเมตร น้ำหนักเพียง 1.5 กิโลกรัม ดีไซน์หรูหรากะทัดรัด หน้าจอ 14″ มาพร้อมชิปประมวลผล Intel อย่าง Core i3-8145U หรือ Core i3-10110U ส่วนสเปกอื่นๆ ก็มาพร้อมกับหน่วยความจำแรมขนาด 4GB และแหล่งเก็บข้อมูล SSD M.2 ความจุ 256GB – 512GB พร้อมกับ Windows 10 แท้ในตัว ซึ่งมีราคาวางจำหน่ายอยู่ที่ 15,900 – 16,900 บาท รองรับการพกพาไปใช้งานนอกสถานที่ได้อย่างสบายๆ ในราคาไม่แพง

ตัวเครื่องบางเพียง 17.6 มม. บางกว่าเก่าถึง 11% และเบาเพียง 1.6 กิโลกรัม มาพร้อมกับความเรียบหรูแต่คุ้มค่า เป็นโน้ตบุ๊คที่บางที่ราคาถูกที่สุดจากทาง ASUS ที่ได้บานพับ 360 องศา หน้าจอสัมผัส Full HD พาเนล TN ขอบบาง 6.15 มิลลิเมตร ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล NanoEdge ที่บางเฉียบเป็นพิเศษ ทำให้ ASUS VivoBook Flip 14 เหมาะกับจอภาพ Full HD ขนาด 14″ ในตัวเครื่องขนาด 13.3″ โดยมีอัตราส่วนจอภาพมากถึง 82% ของตัวเครื่องเพื่อการรับชมที่สมจริง รองรับการใช้งานหลากหลายโหมดได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยังมีอุปกรณ์เสริมอย่าง ASUS Active Pen 

การเชื่อมต่อก็มีมาอย่างครบถ้วน ทั้ง HDMI, 2 x USB 2.0 Type-A, 1 x USB 3.1 Type-A, USB 3.1 Type-C, Kensington Lock, 2-in-1 SD และ Headset 3.5mm พร้อมยังรองรับมาตรฐานการเชื่อมต่อไร้สายอย่าง Bluetooth 4.1 และ Wi-Fi มาตรฐานใหม่ 802.11a/b/g/n/ac ระบบปฏิบัติการ Windows 10 แท้ในตัว มาพร้อมกับเซ็นเซอร์ Fingerprint สแกนลายนิ้วมือเพื่อการถอดรหัสเข้าสู่ระบบที่รวดเร็วและง่ายดายโดยผ่านคุณสมบัติของ Windows Hello

สำหรับ ASUS VivoBook Flip 14 รุ่นที่ต่อยอด ASUS VivoBook Flip รุ่นก่อนๆ มาดีไซน์โดยรวมถือว่าคล้ายเดิม ในตระกูลของ 2-in-1 Notebook มีสไตล์นี้มาพร้อมกับกรอบโลหะสุดอลังการ ด้วยสีน้ำเงิน Galaxy Blue บานพับโลหะที่พับได้รอบถึง 360 องศาของ VivoBook Flip 14 ที่ออกแบบมาเพื่อความทนทาน ได้รับการทดสอบการเปิดและปิดอย่างทรหดกว่า 20,000 ครั้ง เพื่อให้ได้ความทนทานสูงสุด โดยเหมาะมากๆ สำหรับคนทำงานนักเรียนนักศึกษาที่เน้นใช้งานทั่วไปแต่ลื่นไหล และใช้งานได้หลากหลาย

HP Pavilion x360 14 ราคา 20,900 – 23,900 บาท

HP Pavilion x360 14 ปี 2020 นั้นถือเป็น 2-in-1 Notebook ที่ได้ความบางเบาหรูหรา ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ล่าสุดได้สเปก Core i Gen 10 ในราคาคุ้มค่าเหมือนเดิม มาพร้อมดีไซน์ใหม่ที่สวยงามลงตัว อีกทั้งยังแถมปากกา Stylus ใช้วาดรูปมาให้ในกล่องอีกด้วย ซึ่งบอกเลยว่าเป็น 2-in-1 Notebook ที่คาดว่าจะขายดีเช่นเดิม จากดีไซน์ที่สวยงามหรูหรา พกพาสะดวก พร้อมสเปกและฟีเจอร์ที่เกินราคา

ในราคาเริ่มต้นเพียง 20,900 บาท สเปกจะเป็น Core i3-10310U + GeForce MX130 + RAM 8GB + SSD 512GB สำหรับชิปประมวลผล Intel Core i5-10210U + NVIDIA GeForce MX130 + RAM 8GB + SSD 512GB จะมีราคาอยู่ที่ 23,900 บาท ที่ในส่วนชิปประมวลผล Core i3 / i5 นี้เป็นสถาปัตยกรรม Comet Lake ใหม่ล่าสุดที่การผลิต 14 นาโนเมตร ส่วนหน้าจอเป็นแบบจอกระจกสัมผัส 14″ รองรับสัมผัสมัลติทัชและปากกา Stylus รองรับแรงกดได้หลายระดับ พาเนลจอเป็น IPS ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล พร้อมกับ Windows 10 ประกัน 2 ปี On-Site

ทางด้านพอร์ตที่ติดตั้งมีมาให้จะใช้ถือว่าครบครันเลยทีเดียวไม่ว่าจะเป็น USB 3.1 Type-A จำนวน 2 ช่อง, USB 3.1 Type-C จำนวน 1 ช่อง, SD Card Reader, HDMI สำหรับต่อหน้าจอเสริม และรูหูฟังกับไมค์แบบคอมโบ ซึ่งแน่นอนว่ารองรับการเชื่อมต่อไร้สายด้วย Wi-Fi 802.11a/b/g/n/ac (1×1) กับ Bluetooth 4.2

HP Pavilion x360 14 เป็น 2-in-1 Notebook บางเบาหน้าจอ 14 ปรับได้หลากหลายโหมด โดยเลือกใช้เป็นพาเนล IPS คุณภาพดี ที่มาพร้อมกับความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล รองรับมัลติทัชกรีน และปากกา HP Active Pen รองรับแรงกดได้หลายระดับ ทำให้ใช้งานกับระบบปฏิบัติการ Windows 10 ได้อย่างเต็มรูปแบบ พร้อมการขีดเขียนที่สมจริง ด้วยน้ำหนักตัวเครื่องเพียง 1.58 กิโลกรัม และบางเพียง 20 มิลลิเมตร ทำให้การพกพาทำได้โดยง่าย

HP Pavilion x360 14 มาพร้อมกับดีไซน์การออกแบบใหม่ ขอบจอบางเฉียบ ซึ่งจัดได้ว่าเป็นโน้ตบุ๊คยุคปัจจุบันที่มาพร้อมสีสันที่สวยงามลงตัวอย่าง Cloud Blue โดยฝาหลังจะเป็นน้ำเงินอ่อนส่วนตัวเครื่องภายในจะเป็นเทาเข้มที่ดุดัน เชื่อได้ว่ายังโดนใจวัยรุ่นเพราะมีความโดดเด่นสะดุดตาเป็นพิเศษ มีหน้าตาออกไปทางเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยความหรูหราด้วยการเล่นกับการออกแบบที่มีความโค้งเว้ามีมิติในหลายๆ ส่วน

Lenovo Yoga C640 ราคา 28,900 – 32,900 บาท

Lenovo YOGA C640 เป็น 2-in-1 Notebook ดีไซน์หรูหรากะทัดรัด หน้าจอ 13.3″ มาพร้อมขุมพลังชิปประมวลผล Intel Core i5-10210U / Core i7-10510U ที่เป็น Core i Gen 10 สถาปัตยกรรม Comet Lake ใหม่ล่าสุดที่การผลิต 14 นาโนเมตร ส่วนสเปกอื่นๆ ก็มาพร้อมกับหน่วยความจำแรมขนาด 8GB – 16GB และแหล่งเก็บข้อมูล SSD M.2 NVMe ความจุ 512GB พร้อมกับ Windows 10 แท้ในตัว ซึ่งมีราคาวางจำหน่ายอยู่ที่ 28,990 – 32,990 บาท ประกันเป็นระยะเวลา 2 ปี ตามมาตรฐาน Lenovo แบบ On-site Service

ตัวเครื่องบางเพียง 16.95 มม. บางกว่าเก่าถึง 11% และเบาเพียง 1.25 กิโลกรัม มาพร้อมกับความเรียบหรูระดับพรีเมี่ยม เป็นโน้ตบุ๊คที่บางที่สุดรุ่นนึงจากทาง Lenovo บานพับ 360 องศา  หน้าจอสัมผัส Full HD พาเนล IPS ขอบบาง ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล รองรับการใช้งานหลากหลายโหมดได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยังมีอุปกรณ์เสริมอย่าง Lenovo Active Pen ที่มีเทคโนโลยี Palm-Rejection ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติขณะเขียนเหมือนการเขียนปากกาบนกระดาษ ให้เสียงนุ่มจากลำโพงคุณภาพพร้อมมีเทคโนโลยี Dolby Atmos ให้เสียงที่ดี

พอร์ตเชื่อมต่อก็มาพร้อมพอร์ตจำเป็นค่อนข้างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น USB 3.1 Type-A ที่เป็นมาตรฐาน จำนวน 2 พอร์ต ส่วนอีกพอร์ตจะเป็น USB Type-C 3.1ส่วนช่องเสียบหูฟัง 3.5 ม.ม. และ HDMI ยังมีมาให้ นอกจากนี้ยังมี Finger Print สำหรับใช้งานร่วมกับฟังก์ชัน Windows Hello ของ Windows 10 เพื่อล็อกอินโดยใช้การสแกนนิ้วอีกด้วย

สำหรับ Lenovo YOGA C640 ดีไซน์โดยรวมถือว่าปรับปรุงจากรุ่นก่อนๆ ในตระกูลของ 2-in-1 Notebook เพิ่มเติมคือมีใหม่ ตัวตัวเครื่องบางลง น้ำหนักเบาลง ตัวเครื่องสีดำเทา โดยมีชื่อว่า Iron Grey ซึ่งต้องยอมรับงานประกอบตัวเครื่องดีมากๆ ด้วยพื้นผิวเป็นแบบซอฟต์ทัชสีดำสัมผัสพรีเมียม ทำให้ตัวเครื่องดูเนี้ยบหรูสวยงาม แต่ก็ยังให้ความทนทานไปพร้อมๆ กัน การออกแบบโดยรวมให้ดูทันสมัยและเรียบง่าย โลโก้ Lenovo จะมีอยู่ 2 จุดเท่านั้น คือ มุมบนฝาหลังด้านซ้าย และมุมใต้หน้าจอด้านซ้ายเท่านั้น

อีกหนึ่งจุดเด่นของ Lenovo YOGA C640  เป็น 2-in-1 Notebook ที่ทรงประสิทธิภาพในการทำงานทั่วไปเน้นการพกพา เพราะมีน้ำหนักตัวที่เบามากๆ แถมตัวเครื่องยังบางสุดๆ โดยสามารถถือได้ด้วยมือเดียวอย่างสบายๆ ด้วยน้ำหนักเพียง 1.25 กิโลกรัมเท่านั้น มาพร้อมความบางเพียง 16.95 มิลลิเมตรเท่านั้น บอกได้เลยว่าบางสุดๆ แบบที่หารุ่นเปรียบเทียบได้ยาก

Dell Inspiron 14 5491 2-in-1 ราคา 28,900 – 31,900 บาท

Dell Inspiron 14 5491 2-in-1 เป็น 2-in-1 Notebook ที่จัดได้ว่ามีความครบครันในการใช้งานหลายๆ ด้าน ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งานทั้งในกลุ่มที่เป็นผู้ใช้งานทั่วๆ ไปหรือผู้ที่รักความบันเทิงทั้งในส่วนของเกมและมัลติมีเดีย ด้วยฟีเจอร์มีสแกนลายนิ้ว Fingerprint และสเปคภายในที่ครบครัน ตัวเครื่องบางเบาลงไปอีกจากรุ่นก่อน แต่ก็ยังได้ชิปประมวลผล Core i Gen 10 U สถาปัตยกรรม Comet Lake ที่เทคโนโลยีการผลิตที่ 14 นาโนเมตร และการ์ดจอแยก​ NVIDIA GeForce MX230 อีกทั้งได้แรมขนาด 8GB พร้อม SSD M.2 NVMe ความจุ 512GB ใช้งานทันที

สเปกของ Dell Inspiron 14 5490 2-in-1 จะถูกแบ่งด้วยกันเป็น 2 รุ่นหลักๆ คือ Core i5-10210U / Core i7-10510U ซึ่งด้านประสิทธิภาพด้วยอย่างการใช้ชิปประมวลผลเป็นชิปประหยัดพลังงานพิเศษ แบบ 4 คอร์ 8 เทรด ซึ่งแน่นอนว่าให้ทั้งความแรงและใช้งานได้ยาวนาน เป็นสถาปัตยกรรม Intel Core i Gen 10 (Comet Lake) รุ่นล่าสุด ที่เป็นเทคโนโลยีการผลิตที่ 14 นาโนเมตร

ส่วนสเปกอื่นๆ เหมือนกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นโดยมาพร้อมขนาดหน้าจอ 14″ ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล พาเนลคุณภาพดีอย่าง IPS ซึ่งให้สีสันที่สวยสมจริง รองรับทัชสกรีน มีปากกาในชุดจัดจำหน่าย แรมก็ติดตั้งมาให้ขนาด 8GB DDR4 ซึ่งพอเพียงกับการใช้งานแน่นอน ในส่วนของกราฟิกการ์ดก็เป็น NVIDIA GeForce MX230 2GB GDDR5 ที่ให้ประสิทธิภาพการทำงานรองรับ 3 มิติได้ดี เล่นเกมออนไลน์พอได้ สำหรับฮาร์ดดิสก์เป็นแบบ SSD M.2 NVMe ความจุ 512GB ที่สำคัญยังเป็นมาตรฐานการเชื่อมต่อ Wireless AC และ Bluetooth 5.0 ด้วย อีกทั้งยังมีน้ำหนักเพียง 1.65 กิโลกรัมเท่านั้น

นอกจากนี้ในส่วนของกล้องด้านหน้ารองรับการใช้งาน VDO Call และ Fingerprint ที่ใช้งานร่วมกับ Windows Hello รวมถึงติดตั้งระบบปฏิบัติการ Windows 10 แท้ สำหรับคอมพิวเตอร์แบรนด์ Dell ได้รับความน่าเชื่อถือมาอย่างยาวนานและเป็นที่นิยมในการใช้งานกับองค์กรและภาคธุรกิจอย่างมากมาย ทั้งมาตรฐานการบริการ Dell Premium Support และ On-site Service “บริการซ่อมตรงถึงที่ ทุกที่ ในอีก 1 วันทำการ” ถึง 2 ปีด้วยกัน รวมไปถึงมีบริการอื่นๆ อย่าง Call Center ตลอด 24 ชั่วโมง 7 วันทำการอีกด้วย

ASUS ZenBook Flip 14 ราคา 29,900 – 35,900 บาท

ASUS ZenBook Flip 14 UX463FL นับว่าเป็น 2-in-1 Notebook ที่จัดเต็มไปด้วยสเปกและฟีเจอร์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นชิปประมวลผล Intel Core i5-10210U การ์ดจอเป็น NVIDIA GeForce MX250 ที่แรงพิเล่นเกมออนไลน์ 3 มิติได้ลื่นไหล เหนือชั้นด้วยหน้าจอระดับมืออาชีพขนาดหน้าจอ 14″ IPS Full HD TouchScreen พร้อมดีไซน์ดูหรูหราสวยงาม ที่สำคัญได้มี ScreenPad 2.0 กับหน้าจอที่สอง ต่อยอดมาจากปีก่อน ติดตั้งแทนที่ทัชแพดแบบเดิมๆ เป็นหน้าจอที่สองโดยเป็นโน้ตบุ๊ครุ่นใหม่สายทำงานและไลฟ์สไตล์ แน่นอนว่าหน้าจอหลักพับได้ 360 องศา มีปากกา ASUS Active Pen มาด้วย

สเปกภายในอื่นๆ ASUS ZenBook Flip 14 UX463FL ที่น่าสนใจได้รับการติดตั้งแรมมาขนาด 8GB พร้อมด้วย SSD ความจุ 512GB ให้ประสิทธิภาพการทำงานรองรับ 3 มิติได้ดี เล่นเกมออนไลน์ได้สบายๆ รวมไปถึงลำโพงยังเป็น Harman/Kardon เสียงดีชัดเจน อีกทั้งติดตั้ง IR 3D Camera ระบบไบโอเมตริกซ์ทำงานร่วมกับ Windows Hello แน่นอนว่ามี Windows 10 แท้ ประกัน 2 ปีตามมาตรฐาน ASUS (ปีแรกมีประกันอุบัติเหตุ) นับว่าถูกคุ้มมากๆ เมื่อเทียบกับฟีเจอร์ที่ได้ ส่งผลให้เป็นสุดยอดโน้ตบุ๊คยุคใหม่เลยก็ว่าได้ กับราคา 29,900 – 35,900 บาท

ดีไซน์โดยรวมของ ASUS ZenBook Flip 15 UX563FD นั้นจะดูเล็กกว่าและบางกว่าโน้ตบุ๊ครุ่นอื่นๆ อยู่พอสมควร ได้สีสันที่โดดเด่นไม่ซ้ำใครอย่าง Gun Metal Grey โดยมีน้ำหนักเบาเพียง 1.9 กิโลกรัม พร้อมความบางเฉียบ และเนื่องด้วยมีขอบจอที่ค่อนข้างบางตามสไตล์ NanoEdge ทำให้ตัวเครื่องดูเล็ก กะทัดรัด เหมาะกับการพกพาสะดวกสบาย แม้จะไม่ได้เบาที่สุดๆ แต่ได้ฟีเจอร์จัดเต็มแบบไร้คู่แข่ง เพราะในตลาดตอนนี้แนวคิด 2 หน้าจอแบบนี้มีเพียง ASUS เท่านั้น ในรุ่นนี้ได้เป็น ScreenPad 2.0 ขนาด 5.65″

บานพับ ErgoLift 360° แบบ 2 แกน ซึ่งเวลาที่กางออกมาใช้งานในรูปแบบโน๊ตบุ๊คจะทำให้คีย์บอร์ดทำมุม 2 องศากับฐานตั้ง พร้อมกางจอที่ 135 องศา จากการที่มีบานพับแบบพิเศษช่วยยกตัวเครื่องสูงขึ้นจากพื้น โดยขอบตัวเครื่องด้านหลังจะมียางรองพร้อมทำหน้าที่เป็นฐานรองด้านหลัง ที่หากเรากางหน้าจอมากกว่านั้นก็จะรองรับการใช้งาน Multi-Mode อื่นๆ เรียกได้ว่าฟีเจอร์นี้ไม่เคยมีใครทำมาก่อนบน 2-in-1 Notebook พร้อมดีไซน์ที่ดูสวยวามหรูหรา พร้อมกันนั้นยังการเชื่อมต่อไร้สายเป็น Wi-Fi 6 AX สุดล้ำด้วย

Dell Inspiron 13 7391 ราคา 34,990 – 44,990 บาท

Dell Inspiron 13 7391 จัดว่าเป็นหนึ่งใน 2-in-1 Notebook รุ่นใหม่ล่าสุด ได้สเปกชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10 ซึ่งเป็นโน้ตบุ๊ครุ่นใหม่ปลายปี 2019 หน้าจอ 13.3″ ขอบจอบางเฉียบ ความละเอียด Full HD / Ultra HD รองรับการทัชสกรีนและปากกา พร้อมมีช่องเก็บตรงบานพับในตัว ที่ดูหรูหรา มาพร้อมกับขนาดตัวเครื่องที่บางเบาเล็กกระทัดรัด ขอบจอก็บางเฉียบ แรมขนาด 8GB / 16GB DDR4 พร้อม SSD M.2 NVMe ความจุ 512GB สำหรับความละเอียดหน้าจอก็เป็นพาเนล WVA ให้ภาพคมชัดสวยงามสมจริง พร้อมใช้งานด้วย Windows 10 และมีซอฟต์แวร์ต่างๆ มากมาย

ดีไซน์การออกแบบโดยรวมของ Dell Inspiron 13 7391 นั้นจะดูเล็กกว่าโน้ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 13.3″ ในแบบยุคก่อนๆ เนื่องด้วยตัวเครื่องดูเล็ก กะทัดรัด เหมาะกับการพกพา แต่ทั้งนี้ถึงแม้ว่าตัวเครื่องจะเล็ก ทำให้มีความโดดเด่นมากๆ ที่สำคัญขอบจอยังบางเฉียบ เรียกได้ว่าถอดแบบมาจากรุ่นพี่อย่าง Dell XPS 13 ที่เป็นรุ่นพี่ได้เป็นอย่างดี ทำให้ห้ดูทันสมัยและเรียบง่าย ที่มุมตัวเครื่องจะทำให้เป็นแบบโค้งมน แต่ว่าไม่ได้มนมากจนเกินไป ที่สำคัญ 2-in-1 Notebook มีการดีไซน์ที่เก็บปากกาล้ำๆ โดยติดตั้งอยู่ที่บานพับ ซึ่งอาศัยแม่เหล็กในการเก็บอีกที ในส่วนของกล้องด้านหน้ารองรับการใช้งาน VDO Call และ Fingerprint ที่ใช้งานร่วมกับ Windows Hello

จุดเด่นของ Dell Inspiron 13 7391 ที่เป็นโน้ตบุ๊คที่ใส่ใจในรายละเอียดก็คือ มีน้ำหนักตัวที่เบามากๆ แถมตัวเครื่องยังบางสุดๆ โดยสามารถถือได้ด้วยมือเดียวอย่างสบายๆ ด้วยน้ำหนักเพียง 1.4 กิโลกรัมเท่านั้น ส่วนความบางเครื่องก็เพียง 13.66 -15.90 มิลลิเมตร บอกได้เลยว่าจะหาโน้ตบุ๊คแบบนี้จากแบรนด์อื่นๆ ก็ยากซักหน่อย  ที่สำคัญอีกเรื่องก็คือบานพับก็เป็นอะลูมิเนียมที่แข็งแรงทนทานไม่ต่างจากตัวเครื่อง คอยทำหน้าที่หมุนหน้าจอได้ถึง 360 องศา ไว้ใช้ Multi Mode ทำให้ใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ

มาพร้อมดีไซน์ที่เรียบๆ แต่แฝงความหรูหรา ที่สำคัญคือติดตั้งพอร์ต Thunderbolt 3 มาให้พร้อมใช้งานด้วย สนนราคา Dell Inspiron 13 7391 อยู่ที่ 44,990 บาท กับรุ่น Core i7-10510U ได้จอ Ultra HD / 39,990 บาท จอ Full HD ส่วนถ้าเป็นรุ่น Core i5-10210U ได้จอ Full HD จะอยู่ที่ 34,990 บาท สำหรับคอมพิวเตอร์แบรนด์ Dell ได้รับความน่าเชื่อถือมาอย่างยาวนานและเป็นที่นิยมในการใช้งานกับองค์กรและภาคธุรกิจอย่างมากมาย ทั้งมาตรฐานการบริการ Dell Premium Support และ On-site Service “บริการซ่อมตรงถึงที่ ทุกที่ ในอีก 1 วันทำการ” ถึง 2 ปีด้วยกัน

Acer Spin 5 SP513 ราคา 29,900 – 39,900 บาท

Acer Spin 5 รุ่นใหม่ล่าสุด จัดว่าเป็น 2-in-1 Notebook ที่ใช้สเปกเป็นชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10 ทั้ง i5 / i7 สถาปัตยกรรม Ice Lake (10 นาโนเมตร) ที่ได้การ์ดจอออนชิปเป็น Iris Plus Graphic อย่าง G4 / G7 โดดเด่นด้วยการมีหน้าจอขนาด 13.5″ พาเนล IPS เกรดสูง เป็นสัดส่วน 3:2 ความละเอียด 2K (2256 x 1504 พิกเซล) ​เน้นใช้งานพื้นที่ที่มากกว่า รองรับการใช้งานปากกา Acer Active Wacom AES Stylus ที่สำคัญคือมีที่เก็บปากกาในตัวเครื่องเลย แน่นอนว่ามาพร้อมกับเทคโนโลยี Wi-Fi 6 AX และ Thunderbolt 3 ที่แรงและดีที่สุด

Acer Spin 5 ได้หน้าจอเป็น 13.5″ ที่มีขนาดเล็กกระทัดรัด มีความละเอียดระดับ 2K คุณภาพสูงให้มุมมองที่กว้าง รองรับการทัชสกรีนด้วยนิ้ว 10 จุดพร้อมๆ กัน โดยมีน้ำหนักของตัวเครื่องเพียง 1.2 กิโลกรัม มาพร้อมกับ Windows Hello ติดตั้งเป็นแบบ Fingerprint แน่นอนว่าสเปกเป็นชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10 สถาปัตยกรรม Ice Lake อย่าง Core i5-1035G4 และ Core i7-1065G7 ส่วนของแรมเป็นขนาดสูงสุดที่ 16GB LPDDR4X และ SSD M.2 NVMe ได้ความจะเป็น 256GB – 1TB รองรับการชาร์จไฟแบบรวดเร็ว พร้อมแบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานกว่า 15 ชั่วโมงด้วย

รายละเอียดสเปกอื่นๆ ของ Acer Spin 5รุ่น ปี 2020 เทคโนโลยีการเชื่อมต่ออย่าง Wi-Fi 6 AX และ Thunderbolt 3 ที่ส่งข้อมูลได้เร็วแรงและปลอดภัยที่สุด ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ถูกมาใช้เป็นมาตรฐานใน Swift 3 / Swift 5 แล้ว ส่วนของระบบเสียงเป็น Acer TrueHarmony และ DTS พร้อมมีคีย์บอร์ดไฟส่องสว่าง มีปากกาที่เขียนได้เหมือนจริงที่สุดอย่าง Acer Active Wacom AES Stylus รองรับแรงกด 4,096 ระดับ

ดีไซน์การออกแบบโดยรวมของ Acer Spin 5 นั้นจะดูเล็กกว่าโน้ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 13.5″ ในแบบยุคก่อนๆ เนื่องด้วยตัวเครื่องดูเล็ก กะทัดรัด เหมาะกับการพกพา แต่ทั้งนี้ถึงแม้ว่าตัวเครื่องจะเล็ก ทำให้มีความโดดเด่นมากๆ ที่สำคัญขอบจอยังบางเฉียบ ทำให้ดูทันสมัยและเรียบง่าย ที่มุมตัวเครื่องจะทำให้เป็นแบบโค้งมน แต่ว่าไม่ได้มนมากจนเกินไป ที่สำคัญ 2-in-1 Notebook มีการดีไซน์ที่เก็บปากกาล้ำๆ ของ Acer Active Wacom AES Stylus โดยติดตั้งอยู่ที่ขอบตัวเครื่องด้านล่าง มีความบาง 15.24 มิลลิเมตร และเบาเพียง 1.22 กิโลกรัม

เรียกได้ว่าเรื่องของดีไซน์นั้นตอบโจทย์กับคนที่ต้องการโน้ตบุ๊คหน้าจอเล็กกระทัดรัดเครื่องเดียวจบแน่นอน ทำให้ไม่ว่าเราจะเอาไปทำงาน หรือเพื่อความบันเทิง ก็ตอบสนองไลฟ์สไตล์ได้หมด ด้วยสเปคภายในที่ครบครัน แม้ว่าตัวเครื่องจะบางเบาแล้ว โดดเด่นด้วยเมื่อเราเปิดฝาขึ้นมาขอบตัวเครื่องด้านหลังก็จะช่วยยกตัวเครื่องให้สูงยิ่งขึ้นด้วย ช่วยในการมองจอและการพิมพ์ที่ดียิ่งขึ้นอีกด้วย แตกต่างจาก 2-in-1 Notebook ในตลาดยิ่งกว่าจากการที่เป็นขนาด 13.5″ สัดส่วน 3:2 ที่ความละเอียด 2K (2256 x 1504 พิกเซล) ที่ให้พื้นที่ด้านยาวมากว่า

HP Spectre x360 13 ราคา 44,900 – 47,900 บาท

จัดว่าเป็นหนึ่งในสุดยอด 2-in-1 Notebook แห่งปี 2020 สำหรับ HP Spectre x360 รุ่นล่าสุดที่นับว่าเป็นโน้ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 13.3″ ที่มีความบางเบามากๆ โดยมาพร้อมชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10U (Ice Lake) ซึ่งนอกเหนือจากความบางเบาแล้ว ตัวเครื่องยังมีความหรูหราสุดๆ ด้วยสีสัน Poseidon Blue หรือในสีโทนดำเข้มอย่าง Dark Ash Silver ตกแต่งขอบโดยรอบด้วยสี Copper Luxe การออกแบบคำนึงถึงความสะดวกในการใช้งาน วัสดุอลูมิเนียมทั้งตัวเครื่องผ่านกระบวนการขึ้นรูป CNC ระดับสูง กับความบางที่ 14.7 มิลลิเมตร และเบาเพียง 1.3 กิโลกรัมเท่านั้น

สเปก Intel Core i Gen 10U มีอยู่หลักๆ คือ สเปก Core i5-1035G1 ราคา 44,990 บาท และ Core i7-1065G7 ราคา 47,990 บาท ที่เป็นชิปประมวลผลสถาปัตยกรรม Ice Lake เทคโนโลยีที่ 10 นาโนเมตร ที่เล็กและร้อนน้อยกว่าเดิม เพิ่มเติมด้วย AI มาช่วยการประมวลผลให้ดียิ่งขึ้น แน่นอนว่ารองรับทุกๆ การทำงานได้ดีขึ้น ทั้งดูหนังฟังเพลง ใช้งานเอกสาร ใช้งานอินเตอร์เน็ต หรือทำงานหนักๆ รวมไปถึงเล่นเกมออนไลน์ก็ยังพอได้ พร้อมประกัน 3 ปี On-site Service เรียกได้ว่าเหมาะมากๆ สำหรับคนที่กำลังมองหา Ultrabook พรีเมียมหรือ 2-in-1 Notebook ที่เจ๋งเหนือใคร !!

ได้หน้าจอแสดงผลขนาด 13.3″ ความละเอียด Full HD พาเนล IPS พร้อมได้มุมมองที่กว้างและสีสันสดใส รองรับการทัชสกรีนเต็มรูปแบบ โดยเป็นกระจก Corning Gorilla ให้ความทนทานอย่างที่สุด ตัวเครื่องติดตั้งกล้อง Webcam ความคมชัดระดับ HD และไมโครโฟนแบบ Dual Microphone ไว้สำหรับแชท และวิดีโอคอลได้อย่างคมชัดลื่นไหล ร้อมสแกนลายนิ้วมือ Fingerprint ไว้ใช้งานร่วมกับ Windows Hello เพื่อเข้าใช้งาน

พที่สำคัญยังมีพอร์ตเชื่อมต่ออย่าง Thunderbolt 3 ที่ออกแบบมาพิเศษ เข้ากับตัวเครื่องสุดบางมาให้ด้วย แน่นอนว่ารองรับการเชื่อมไร้สายอย่าง Intel Wi-Fi 6 AX 201 (2×2) และ Bluetooth 5 Combo ตัวเครื่องติดตั้งระบบปฏิบัติการ Windows 10 และซอฟต์แวร์เอกสิทธิ์ของ HP ที่สำคัญบันเดิลยังให้ปากกาสไตลัส HP Active Pen รุ่นล่าสุด รวมไปซอฟต์เคสหนังสุดหรูบันเดิล พร้อมด้วยอแดปเตอร์ตัวแปลงเป็น HDMI, USB Type-A, USB Type-C รวมไปพอร์ตชาร์จไฟก็โดนจับไปรวมกับ Thunderbolt 3 ด้วย

from:https://notebookspec.com/introducing-2-in-1-notebook-to-buy-in-2020-touch-screen-pen-ready-for-intel-core-i-gen-10/527509/

แนะนำ 2-in-1 Notebook ปี 2020 ของดีมีปากการาคาได้ สเปก Core i / Ryzen เริ่ม 15,000 – 25,000 บาท

แนะนำ 2-in-1 Notebook ปี 2020 ของดีมีปากการาคาได้ ในช่วงราคาประมาณตั้งแต่ 15,000 บาท จนไปถึงไม่เกิน 25,000 บาท โดยรองรับการใช้งานได้หลากหลาย ได้หน้าจอทัชสกรีนขนาด 13.3″ – 14″ พับได้ 360 องศา มีโหมดต่างๆ รวมไปถึงมีปากการองรับแรงกดได้หลายระดับ ทำให้ขีดเขียนหรือวาดรูปได้สมจริง ดีไซน์ให้ความบางเบา พกพาสะดวก แบตเตอรี่ยาวนาน สนับสนุนการใช้งานทั่วไป การใช้งานพื้นฐานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ดูหนัง ฟังเพลง ทำงานเอกสาร เล่นอินเตอร์เน็ต ก็ทำได้อย่างลื่นไหลทั้งหมด

สเปกภายในจะได้เป็นชิปประมวลผล Intel Core i อย่าง Core i3 / i5 / i7 หรือ AMD Ryzen 5 / 7 ที่เน้นแรงประหยัดพลังงาน พร้อมให้ประสิทธิภาพประมวลผลได้หลากหลาย ส่วนการ์ดจอมีทั้งเป็นแบบออนชิปของ Intel / AMD ที่รองรับการทำงานทั่วไปเป็นหลัก และการ์ดจอแยกระดับเริ่มต้น หน่วยความจำแรมจะได้เป็นขนาด 4GB – 8GB พร้อมด้วยที่เก็บข้อมูลมาตรฐานเป็น SSD ความจุ 256GB – 512GB ที่สำคัญทุกรุ่นจะได้ Windows 10 มาพร้อมใช้งานทันทีด้วย

น้ำหนักประมาณ 1.3 – 1.6 กิโลกรัม เน้นเรื่องของแบตเตอรี่ที่ยาวนาน โดยใช้งานได้ประมาณ 8 ชั่วโมงกรณีที่ไม่ต่ออแดปเตอร์ สำหรับความละเอียดหน้าจอทุกรุ่นจะเป็นมาตรฐาน Full HD 1920 x 1080 พิกเซล พาเนลได้เป็น IPS คุณภาพดี ให้ประสบการณ์ใช้งานที่ดีเยียม ทั้งสีสันสดใส มุมมองที่กว้าง บางรุ่นได้ฟีเจอร์สแกนลายนิ้วมือเพื่อเข้าใช้งาน Windows 10 ได้สะดวกรวดเร็วปลอดภัยอีกด้วย

เหมาะกับคนที่ต้องการ Notebook ใช้งานหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นักศึกษา ที่ต้องการหน้าจอทัชสกรีน พร้อมมีปากกาไว้ขีดเขียน รองรับการทำงานด้านกราฟิกหรือวาดภาพ จดบันทึก ส่วนการรองรับใช้งานเอกสาร ใช้งานอินเตอร์เน็ตออนไลน์ ส่งอีเมล รวมไปถึงดูหนังฟังเพลง เป็นมาตรฐานที่ต้องทำได้ดี โดยได้รูปแบบประกันดีที่สุดเป็นมาตรฐาน 2 ปี On-site Servcie ซ่อมฟรีถึงบ้าน ซึ่งจะมีรุ่นอะไรบ้างนั้น ไปชมกันต่อเลย

ASUS VivoBook Flip 14 ราคา 15,900 – 16,900 บาท

ASUS VivoBook Flip 14 เป็น 2-in-1 Notebook ปี 2020 รุ่นใหม่ล่าสุด บาง 17.6 มิลลิเมตร น้ำหนักเพียง 1.5 กิโลกรัม ดีไซน์หรูหรากะทัดรัด หน้าจอ 14″ มาพร้อมชิปประมวลผล Intel อย่าง Core i3-8145U หรือ Core i3-10110U ส่วนสเปกอื่นๆ ก็มาพร้อมกับหน่วยความจำแรมขนาด 4GB และแหล่งเก็บข้อมูล SSD M.2 ความจุ 256GB – 512GB พร้อมกับ Windows 10 แท้ในตัว ซึ่งมีราคาวางจำหน่ายอยู่ที่ 15,900 – 16,900 บาท รองรับการพกพาไปใช้งานนอกสถานที่ได้อย่างสบายๆ ในราคาไม่แพง

ตัวเครื่องบางเพียง 17.6 มม. บางกว่าเก่าถึง 11% และเบาเพียง 1.6 กิโลกรัม มาพร้อมกับความเรียบหรูระดับพรีเมี่ยม เป็นโน้ตบุ๊คที่บางที่สุดรุ่นนึงจากทาง Lenovo บานพับ 360 องศา  หน้าจอสัมผัส Full HD พาเนล TN ขอบบาง 6.15 มิลลิเมตร ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล NanoEdge ที่บางเฉียบเป็นพิเศษ ทำให้ ASUS VivoBook Flip 14 เหมาะกับจอภาพ Full HD ขนาด 14″ ในตัวเครื่องขนาด 13.3″ โดยมีอัตราส่วนจอภาพมากถึง 82% ของตัวเครื่องเพื่อการรับชมที่สมจริง รองรับการใช้งานหลากหลายโหมดได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยังมีอุปกรณ์เสริมอย่าง ASUS Active Pen 

การเชื่อมต่อก็มีมาอย่างครบถ้วน ทั้ง HDMI, 2 x USB 2.0 Type-A, 1 x USB 3.1 Type-A, USB 3.1 Type-C, Kensington Lock, 2-in-1 SD และ Headset 3.5mm พร้อมยังรองรับมาตรฐานการเชื่อมต่อไร้สายอย่าง Bluetooth 4.1 และ Wi-Fi มาตรฐานใหม่ 802.11a/b/g/n/ac ระบบปฏิบัติการ Windows 10 แท้ในตัว มาพร้อมกับเซ็นเซอร์ Fingerprint สแกนลายนิ้วมือเพื่อการถอดรหัสเข้าสู่ระบบที่รวดเร็วและง่ายดายโดยผ่านคุณสมบัติของ Windows Hello

สำหรับ ASUS VivoBook Flip 14 รุ่นที่ต่อยอด ASUS VivoBook Flip รุ่นก่อนๆ มาดีไซน์โดยรวมถือว่าคล้ายเดิม ในตระกูลของ 2-in-1 Notebook มีสไตล์นี้มาพร้อมกับกรอบโลหะสุดอลังการ ด้วยสีน้ำเงิน Galaxy Blue บานพับโลหะที่พับได้รอบถึง 360 องศาของ VivoBook Flip 14 ที่ออกแบบมาเพื่อความทนทาน ได้รับการทดสอบการเปิดและปิดอย่างทรหดกว่า 20,000 ครั้ง เพื่อให้ได้ความทนทานสูงสุด โดยเหมาะมากๆ สำหรับคนทำงานนักเรียนนักศึกษาที่เน้นใช้งานทั่วไปแต่ลื่นไหล และใช้งานได้หลากหลาย

Lenovo IdeaPad C340 ราคา 16,900 – 23,900 บาท

Lenovo IdeaPad C340 เป็น 2-in-1 Notebook ดีไซน์หรูหรากะทัดรัด หน้าจอ 14″ ขอบจอบาง พาเนล IPS จอทัชสกรีนมีปากกา มาพร้อมขุมพลังชิปประมวลผล AMD Ryzen 5 3500U / Ryzen 7 3700U พร้อมการ์ดจอออนชิป Radeon VEGA 8 / 10 ส่วนสเปกอื่นๆ ก็มาพร้อมกับหน่วยความจำแรมขนาด 4GB / 8GB และแหล่งเก็บข้อมูล SSD M.2 NVMe ความจุ 256GB / 512GB พร้อมกับ Windows 10 แท้ในตัว ซึ่งมีราคาวางจำหน่ายอยู่ที่ 16,900 บาท และ 23,900 บาท ตามลำดับ ได้ประกัน 2 ปีตามมาตรฐาน Lenovo

ตัวเครื่องบางเพียง 17.9 มิลลิเมตร และเบาเพียง 1.65 กิโลกรัม มาพร้อมกับความเรียบหรูเน้นความคุ้มค่า เป็นโน้ตบุ๊คที่รองรับการใช้งาน Multi-Mode จากทาง Lenovo โดยได้บานพับ 360 องศา รองรับการใช้งานหลากหลายโหมดได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยังมีอุปกรณ์เสริมอย่าง Lenovo Active Pen ที่มีเทคโนโลยี Palm-Rejection ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติขณะเขียนเหมือนการเขียนปากกาบนกระดาษ ให้เสียงนุ่มจากลำโพงคุณภาพอย่าง Dolby Audio ที่สำคัญได้โปรแกรม Office Home & Student 2019 มูลลค่า 4,290 บาทมาให้ทันทีด้วย

หน้าจอจะเป็นแบบกระจกมัลติทัชขนาด 14″ รองรับสัมผัสด้วยนิ้วมือและปากกา Stylus รองรับแรงกดได้หลายระดับ พาเนลจอเป็น IPS ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล (Full HD) แถมตัวคีย์บอร์ดยังมีไฟ LED Backlit สีขาวมาให้ด้วย การเชื่อมต่อก็มีมาอย่างครบถ้วน ทั้ง HDMI, 2 x USB 3.1, USB 3.1 Type-C, Kensington Lock, 2-in-1 SD และ Headset 3.5mm พร้อมยังรองรับมาตรฐานการเชื่อมต่อไร้สายอย่าง Bluetooth 4.1 และ Wi-Fi 5 AC รวมไปถึงมีระบบ Fingerprint ให้เราสแกนลายนิ้วมือเข้าใช้งานอีกด้วย

Lenovo IdeaPad C340 มาพร้อมสีสัน Platinum Grey หรือ Onyx Black ซึ่งต้องยอมรับงานประกอบตัวเครื่องดีมากๆ วัสดุเป็นพลาสติกผิวแบบไม่ลื่นจับแล้วติดมือ ทำให้ตัวเครื่องดูเนี้ยบหรูสวยงาม เป็นรอยขีดข่วนรอยนิ้วมือยาก ทนทานกว่าเดิม ซึ่งแม้ขอบจอจะบางเฉียบแต่ก็ได้ติดตั้งกล้องเว็บแคมไว้ด้านบนเหมือนเดิมพร้อมไมโครโฟนแบบคู่ ที่มาพร้อมฟีเจอร์ TrueBlock Privacy Shutter ม่านชัตเตอร์ปิดเลนส์กล้องที่ทำให้เรามั่นใจว่ากล้องจะเห็นในเวลาที่เราต้องการใช้งานเท่านั้น การใช้งานก็ง่ายมากๆ ด้วยการใช้นิ้วเลื่อนเปิดหรือปิดการใช้งานเท่านั้น

HP Pavilion x360 14 ราคา 20,900 – 23,900 บาท

HP Pavilion x360 14 ปี 2020 นั้นถือเป็น 2-in-1 Notebook ที่ได้ความบางเบาหรูหรา ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ล่าสุดได้สเปก Core i Gen 10 ในราคาคุ้มค่าเหมือนเดิม มาพร้อมดีไซน์ใหม่ที่สวยงามลงตัว อีกทั้งยังแถมปากกา Stylus ใช้วาดรูปมาให้ในกล่องอีกด้วย ซึ่งบอกเลยว่าเป็น 2-in-1 Notebook ที่คาดว่าจะขายดีเช่นเดิม จากดีไซน์ที่สวยงามหรูหรา พกพาสะดวก พร้อมสเปกและฟีเจอร์ที่เกินราคา

ในราคาเริ่มต้นเพียง 20,900 บาท สเปกจะเป็น Core i3-10310U + GeForce MX130 + RAM 8GB + SSD 512GB สำหรับชิปประมวลผล Intel Core i5-10210U + NVIDIA GeForce MX130 + RAM 8GB + SSD 512GB จะมีราคาอยู่ที่ 23,900 บาท ที่ในส่วนชิปประมวลผล Core i3 / i5 นี้เป็นสถาปัตยกรรม Comet Lake ใหม่ล่าสุดที่การผลิต 14 นาโนเมตร ส่วนหน้าจอเป็นแบบจอกระจกสัมผัส 14″ รองรับสัมผัสมัลติทัชและปากกา Stylus รองรับแรงกดได้หลายระดับ พาเนลจอเป็น IPS ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล พร้อมกับ Windows 10 ประกัน 2 ปี On-Site

ทางด้านพอร์ตที่ติดตั้งมีมาให้จะใช้ถือว่าครบครันเลยทีเดียวไม่ว่าจะเป็น USB 3.1 Type-A จำนวน 2 ช่อง, USB 3.1 Type-C จำนวน 1 ช่อง, SD Card Reader, HDMI สำหรับต่อหน้าจอเสริม และรูหูฟังกับไมค์แบบคอมโบ ซึ่งแน่นอนว่ารองรับการเชื่อมต่อไร้สายด้วย Wi-Fi 802.11a/b/g/n/ac (1×1) กับ Bluetooth 4.2

HP Pavilion x360 14 เป็น 2-in-1 Notebook บางเบาหน้าจอ 14 ปรับได้หลากหลายโหมด โดยเลือกใช้เป็นพาเนล IPS คุณภาพดี ที่มาพร้อมกับความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล รองรับมัลติทัชกรีน และปากกา HP Active Pen รองรับแรงกดได้หลายระดับ ทำให้ใช้งานกับระบบปฏิบัติการ Windows 10 ได้อย่างเต็มรูปแบบ พร้อมการขีดเขียนที่สมจริง ด้วยน้ำหนักตัวเครื่องเพียง 1.58 กิโลกรัม และบางเพียง 20 มิลลิเมตร ทำให้การพกพาทำได้โดยง่าย

HP Pavilion x360 14 มาพร้อมกับดีไซน์การออกแบบใหม่ ขอบจอบางเฉียบ ซึ่งจัดได้ว่าเป็นโน้ตบุ๊คยุคปัจจุบันที่มาพร้อมสีสันที่สวยงามลงตัวอย่าง Cloud Blue โดยฝาหลังจะเป็นน้ำเงินอ่อนส่วนตัวเครื่องภายในจะเป็นเทาเข้มที่ดุดัน เชื่อได้ว่ายังโดนใจวัยรุ่นเพราะมีความโดดเด่นสะดุดตาเป็นพิเศษ มีหน้าตาออกไปทางเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยความหรูหราด้วยการเล่นกับการออกแบบที่มีความโค้งเว้ามีมิติในหลายๆ ส่วน

ASUS ZenBook Flip 14 UM462DA ราคา 18,900 บาท

ASUS ZenBook Flip 14 UM462DA นั้นถือเป็น 2-in-1 Notebook ที่ได้ความบางเบาราคาคุ้มค่ารุ่นล่าสุด โดดเด่นด้วยชิปประมวลผล AMD Ryzen 5 3500U  อีกทั้งยังแถมปากกา Stylus ใช้วาดรูปขีดเขียนอีกด้วย ซึ่งบอกเลยว่าเป็น 2-in-1 Notebook ที่มีราคาถูกมากๆ ตอนนี้ในตลาดเหลือเพียง 18,900 บาท จากดีไซน์ที่สวยงามหรูหรา พกพาสะดวก พร้อมสเปกและฟีเจอร์ที่เกินราคา กว่า 2-in-1 Notebook ทั่วไป กับขนาดหน้าจอ 14″ แต่ตัวเครื่องเล็กกระทัดรัดเทียบเท่า 13.3″ นี้ โดยมีน้ำหนักที่ 1.6 กิโลกกรัม  พร้อมดีไซน์หรูหราตามสไตล์ของ ZenBook จากทาง ASUS

สเปกเต็มๆ ของ ASUS ZenBook Flip 14 UM462DA ใช้ชิปประมวลผล AMD Ryzen 5 3500U ที่เป็นสถาปัตยกรรมใหม่ล่าสุดที่การผลิต 12 นาโนเมตร โดยมีค่าการกินไฟ TDP ที่ 15 Watt เท่านั้น การ์ดจอออนบอร์ดเป็น Radeon RX VEGA 8 ประสิทธิภาพใช้ได้ดี ควบคู่กับแรมขนาด 8 GB และ SSD M.2 NVMe ความจุ 512 GB ส่วนหน้าจอจะเป็นแบบมัลติทัชขนาด 14″ แบบกระจก รองรับสัมผัสมัลติทัชและปากกา Stylus รองรับแรงกดได้หลายระดับ พาเนลจอเป็น IPS ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล (Full HD) โดยให้ขอบเขตความกว้างของสีสันเทียบเท่ากับมาตรฐาน sRGB ที่ 95% และ AdobeRGB ที่ 72% เรียกได้ว่าให้ประสิทธิภาพเรื่องของสีสันนั้นดีมากกว่า 2-in-1 Notebook รุ่นอื่นๆ พอตัว

มีกล้องเว็บแคมและมีไมค์ดิจิตอลในตัว ที่สำคัญมีกล้องอินฟราเรด IR 3D Camera ที่สามารถใช้งานร่วมกับ Windows Hello เพื่อปลดล็อคตัวเครื่องได้อีกด้วยตัวคีย์บอร์ดยังมีไฟ LED Backlit สีขาวมาให้ด้วย พร้อหน้าจอพับปรับได้ 360 องศา มีบันเดิลปากกา Stylus อย่าง ASUS Active Pen มาให้เลยในกล่องเลย ประกัน 2 ปีเต็มตามมาตรฐาน ASUS พร้อมประกันอุบัติเหตุใน 1 ปีแรกอีกด้วย โดดเด่นด้วยการเคลมผ่านทางร้าน 7-11 ได้

วัสดุหลักของ ASUS ZenBook Flip 14 UM462DA เป็นพลาสติกเกรดสูงที่แทบจะไร้รอยต่อตลอดทั้งตัวเครื่อง โดดเด่นด้วยการออกแบบจอภาพไร้กรอบ NanoEdge แบบใหม่ที่ทำให้กรอบจอภาพมีขนาดเล็กลงกว่ารุ่นก่อนเกือบ 10% จอแสดงผลขนาด 14″ แบบขอบจอบางทั้ง 4 ด้านทำให้มีอัตราส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่องสูงถึง 90% ทำให้ตัวเครื่องมีขนาดกะทัดรัดยิ่งขึ้น ได้บานพับ ErgoLift 360° ที่ว่านี้นั้นทาง ASUS ได้ทำการวิจัยออกมาเป็นอย่างดี ว่ามันจะช่วยให้เราใช้งานโน๊ตบุ๊คนั้นสามารถที่จะพิมพ์ได้อย่างสบาย เวลาที่กางบานพับออกมานั้นมันจะทำให้ส่วนของฐานคีย์บอร์ดมีระยะห่างกับฐานตั้งซึ่งทำให้ความร้อนที่เกิดขึ้นในส่วนของตัวเครื่องนั้นมีการดูดลมเย็นเข้าไปช่วย พร้อมกันนั้นยังให้เสียงที่ดีขึ้นด้วย

HP ENVY x360 13 ราคา 24,900 บาท

HP ENVY x360 นั้นถือเป็น 2-in-1 Notebook ที่ได้ความบางเบาหรูหรา ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก โดย HP ได้นำเสนอ HP ENVY x360 ปี 2019 รุ่นใหม่ในราคาคุ้มค่าเหมือนเดิม อีกทั้งยังแถมปากกา Stylus ใช้วาดรูปมาให้ในกล่องอีกด้วย ซึ่งบอกเลยว่าเป็น 2-in-1 Notebook ที่ขายดีเช่นเดิม จากดีไซน์ที่สวยงามหรูหรา พกพาสะดวก พร้อมสเปกและฟีเจอร์ที่เกินราคา กว่า 2-in-1 Notebook ทั่วไป ในราคาในล่าสุดที่คุ้มค่ามากๆ เพียง 24,900 บาท สำหรับชิปประมวลผล AMD Ryzen 5 3500U ได้การ์ดจออนชิปเป็น VEGA 8 ทำงานร่วมกับแรมขนาด 8GB และ SSD M.2 NVMe ความจุ 512GB ที่ทั้งแรงและลื่นไหล

ส่วนหน้าจอจะเป็นแบบมัลติทัชขนาด 13.3 นิ้ว รองรับสัมผัสมัลติทัชและปากกา Stylus รองรับแรงกดได้หลายระดับ พาเนลจอเป็น IPS ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล(Full HD) มีกล้องเว็บแคมและมีไมค์ดิจิตอลในตัว แถมตัวคีย์บอร์ดยังมีไฟ LED Backlit สีขาวมาให้ด้วย ที่สำคัญตัวเครื่องยังบางเฉียบ และมีน้ำหนักเบาเพียง 1.30 กิโลกรัมเท่านั้น พร้อมพับปรับได้ 360 องศา

พอร์ตการเชื่อมต่อมีมาตามนี้คือ 2 x USB 3.1 Type-A, USB 3.1 Type-C, Kensington Lock, Micro SD Card Reader และ Headset 3.5 mm พร้อมยังรองรับมาตรฐานการเชื่อมต่อไร้สายอย่าง Bluetooth 4.2 และ Wi-Fi มาตรฐานใหม่ 802.11a/b/g/n/ac 2×2 ระบบปฏิบัติการ Windows 10 แท้ในตัว ประกัน On-Site 2 ปีเต็ม  พร้อมบันเดิลปากกา Stylus อย่าง HP Active Pen มาให้เลยในกล่องเลย

วัสดุที่ทาง HP เลือกใช้บอดี้จะเป็น Aluminum ทั้งหมด สี Nightfall Black ดีไซน์แบบมินิมอลและพื้นผิวขัดลายเพิ่มความหรูหราอย่างมีระดับ พร้อมกับโลโก้ HP ที่เป็นสีเงินเงางามบริเวณกลางฝาหลัง ส่วนด้านในเครื่องบริเวณหน้าจอกระจกขอบบางเฉียบที่เป็น Corning Gorilla Glass ทั้งบาน ซึ่งเล่นสีกับขอบจอด้านในเป็นสีดำดูเข้ากันดี  ตัวคีย์บอร์ดยังมีไฟ LED Backlit สีขาวมาให้ด้วย ที่สำคัญตัวเครื่องยังบางเฉียบ พกพาได้สะดวก พร้อมพับปรับได้ 360 องศา เพื่อใช้งานมัลติโหมด

นอกจากนี้ยังมีจุดเด่นที่ยี่ห้ออื่นไม่มีคือ HP Sure View ฟีเจอร์กันคนแอบมองจอที่สามารถกดเปิดปิดได้ในปุ่มเดียว และสวิตช์ Webcam Kill ป้องกันเพื่อความปลอดภัย อย่างที่หาไม่ได้ในโน้ตบุ๊คแบรนด์อื่นๆ แน่นอน โดดเด่นด้วยลำโพงแบบ Quad Speakers ของ Bang & Olufen ที่หาได้ยากมากในโน้ตบุ๊คราคาระดับนี้ และขาดไม่ได้เลยสำหรับสแกนลายนิ้วมือผ่านทาง Windows Hello เพื่อเพิ่มความสะดวกและปลอดภัยในการใช้งาน

from:https://notebookspec.com/introducing-2-in-1-notebook-for-the-year-2020-model-june-good-price-with-pen-spec-core-i-ryzen/523887/

Review – HP Spectre x360 ที่สุดของ 2-in-1 Notebook จอ 13.3″ 4K สเปก i7-1065G7 + RAM 16GB + SSD512GB

จัดว่าเป็นหนึ่งในสุดยอด 2-in-1 Notebook แห่งปี 2020 สำหรับ HP Spectre x360 รุ่นล่าสุดที่นับว่าเป็นโน้ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 13.3″ ที่มีความบางเบามากๆ โดยมาพร้อมชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10U (Ice Lake) ซึ่งนอกเหนือจากความบางเบาแล้ว ตัวเครื่องยังมีความหรูหราสุดๆ ด้วยสีสัน Poseidon Blue หรือในสีโทนดำเข้มอย่าง Dark Ash Silver ตกแต่งขอบโดยรอบด้วยสี Copper Luxe การออกแบบคำนึงถึงความสะดวกในการใช้งาน วัสดุอลูมิเนียมทั้งตัวเครื่องผ่านกระบวนการขึ้นรูป CNC ระดับสูง กับความบางที่ 14.7 มิลลิเมตร และเบาเพียง 1.3 กิโลกรัมเท่านั้น

สเปก HP Spectre x360 ปี 2020 มาพร้อมกับชิปประมวลผล Intel Core  i Gen 10 (Ice Lake) อย่าง Core i5-1035G4 / Core i7-1065G7 ขับเคลื่อนด้วยแรมขนาด 8 – 16GB LPDDR4 Bus 3200 MHz และฮาร์ดดิสก์ความเร็วสูง SSD M.2 NVMe ความจุ 512GB หน้าจอแสดงผลขอบจอบางเฉียบขนาด 13.3″ พาเนล IPS เกรดสูง ความละเอียด Full HD / Ultra HD กระจกเป็น Corning Gorilla แข็งแรงทนทาน รองรับทัชสกรีน สนนราคาเริ่มต้นที่ 42,990 บาท  พร้อมประกัน 3 ปี On-site Service เรียกได้ว่าเหมาะมากๆ สำหรับคนที่กำลังมองหา Ultrabook พรีเมียมหรือ 2-in-1 Notebook ที่เจ๋งเหนือใคร !!

 

from:https://notebookspec.com/review-hp-spectre-x360-13-i7-1065g7/522843/

2-in-1 Notebook น่าซื้อปี 2020 พับจอ 360 ทัชสกรีนมีปากกาใช้งานได้หลาย ราคาเริ่ม 1x,xxx

แนะนำ 2-in-1 Notebook น่าซื้อช่วงกลางปี 2020 ในช่วงราคาประมาณตั้งแต่ไม่ถึง 20,000 บาท จนไปถึงไม่เกิน 30,000 บาท โดยรองรับการใช้งานได้หลากหลาย อย่างพับหน้าจอได้ 360 องศา มีโหมดต่างๆ รวมไปถึงมีปากการองรับการขีดเขียน ที่ให้ความบางเบา พกพาสะดวก หรือบางรุ่นก็ประสิทธิภาพสูง รองรับการใช้งานทั่วไป การใช้งานพื้นฐานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ดูหนัง ฟังเพลง ทำงานเอกสาร เล่นอินเตอร์เน็ต ก็ทำได้อย่างลื่นไหลทั้งหมด

สเปกภายในจะได้เป็นชิปประมวลผล Intel Core i อย่าง Core i3 / i5 / i7 หรือ AMD Ryzen 5 / 7 ที่เน้นแรงประหยัดพลังงาน พร้อมให้ประสิทธิภาพประมวลผลได้หลากหลาย ส่วนการ์ดจอมีทั้งเป็นแบบออนชิปของ Intel ที่รองรับการทำงานทั่วไปเป็นหลัก และการ์ดจอแยกระดับเริ่มต้นอย่าง NVIDIA GeForce MX130 / MX230 / MX250 หน่วยความจำแรมจะได้เป็นขนาด 8 GB พร้อมด้วยที่เก็บข้อมูลมาตรฐานเป็น SSD ความจุ 256GB – 512GB ที่สำคัญทุกรุ่นจะได้ Windows 10 มาพร้อมใช้งานทันทีด้วย

ตัวเครื่องอยู่ในเกณ์ที่ดีเพียงพอกับการใช้งานแน่นอน ที่สำคัญบางรุ่นให้ความพรีเมียมและทนทาน วัสดุมีทั้งพลาสติก โลหะทั้งธรรมดาและแบบพิเศษ สำหรับหน้าจอจะมาพร้อมกับขนาด 13.3″, 14″ ตอบสนองคนที่เน้นการใช้งานทัชสกรีน พับเครื่องเป็น Tablet มีปากกาจดหรือวาดรูปได้ ให้ประสบการณ์คล้ายกับการเขียนด้วยปากกาจริงๆ อย่างที่สุด เพราะรองรับแรงกดหลายระดับ

น้ำหนักประมาณ 1.3 – 2.0 กิโลกรัม เน้นเรื่องของแบตเตอรี่ที่ยาวนาน โดยใช้งานได้ประมาณ 4 – 8 ชั่วโมงกรณีที่ไม่ต่ออแดปเตอร์ สำหรับความละเอียดหน้าจอทุกรุ่นจะเป็นมาตรฐาน Full HD 1920 x 1080 พิกเซล พาเนลได้เป็น IPS รองรับการสัมผัส ให้ประสบการณ์ใช้งานที่ดีเยียม ทั้งสีสันสดใส มุมมองที่กว้าง บางรุ่นได้สแกนลายนิ้วมือ ซึ่งบางรุ่นอาจจะได้ฟีเจอร์ล้ำๆ อย่างหน้าจอที่ 2 แต่ที่แน่ๆ ได้ปากกาที่รองรับแรงกดใช้งานได้เหมือนปากกาจริงๆ

เหมาะกับคนที่ต้องการ Notebook ใช้งานหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นักศึกษา ที่ต้องการหน้าจอทัชสกรีน พร้อมมีปากกาไว้ขีดเขียน รองรับการทำงานด้านกราฟิกหรือวาดภาพ จดบันทึก ส่วนการรองรับใช้งานเอกสาร ใช้งานอินเตอร์เน็ตออนไลน์ ส่งอีเมล รวมไปถึงดูหนังฟังเพลง เป็นมาตรฐานที่ต้องทำได้ดี โดยได้รูปแบบประกันดีที่สุดเป็นมาตรฐาน 2 ปี On-site Servcie ซ่อมฟรีถึงบ้าน ซึ่งจะมีรุ่นอะไรบ้างนั้น ไปชมกันต่อเลย

HP Pavilion x360 14 ราคา 18,900 – 23,900 บาท

HP Pavilion x360 14 ปี 2020 นั้นถือเป็น 2-in-1 Notebook ที่ได้ความบางเบาหรูหรา ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ล่าสุดได้สเปก Core i Gen 10 ในราคาคุ้มค่าเหมือนเดิม มาพร้อมดีไซน์ใหม่ที่สวยงามลงตัว อีกทั้งยังแถมปากกา Stylus ใช้วาดรูปมาให้ในกล่องอีกด้วย ซึ่งบอกเลยว่าเป็น 2-in-1 Notebook ที่คาดว่าจะขายดีเช่นเดิม จากดีไซน์ที่สวยงามหรูหรา พกพาสะดวก พร้อมสเปกและฟีเจอร์ที่เกินราคา

ในราคาเริ่มต้นเพียง 18,990 บาท สเปกจะเป็น Core i3-10310U + GeForce MX130 + RAM 8GB + SSD 256GB สำหรับชิปประมวลผล Intel Core i5-10210U + NVIDIA GeForce MX130 + RAM 8GB + SSD 512GB จะมีราคาอยู่ที่ 23,990 บาท ที่ในส่วนชิปประมวลผล Core i3 / i5 นี้เป็นสถาปัตยกรรม Comet Lake ใหม่ล่าสุดที่การผลิต 14 นาโนเมตร ส่วนหน้าจอเป็นแบบจอกระจกสัมผัส 14″ รองรับสัมผัสมัลติทัชและปากกา Stylus รองรับแรงกดได้หลายระดับ พาเนลจอเป็น IPS ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล พร้อมกับ Windows 10 ประกัน 2 ปี On-Site

ทางด้านพอร์ตที่ติดตั้งมีมาให้จะใช้ถือว่าครบครันเลยทีเดียวไม่ว่าจะเป็น USB 3.1 Type-A จำนวน 2 ช่อง, USB 3.1 Type-C จำนวน 1 ช่อง, SD Card Reader, HDMI สำหรับต่อหน้าจอเสริม และรูหูฟังกับไมค์แบบคอมโบ ซึ่งแน่นอนว่ารองรับการเชื่อมต่อไร้สายด้วย Wi-Fi 802.11a/b/g/n/ac (1×1) กับ Bluetooth 4.2

HP Pavilion x360 14 เป็น 2-in-1 Notebook บางเบาหน้าจอ 14 ปรับได้หลากหลายโหมด โดยเลือกใช้เป็นพาเนล IPS คุณภาพดี ที่มาพร้อมกับความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล รองรับมัลติทัชกรีน และปากกา HP Active Pen รองรับแรงกดได้หลายระดับ ทำให้ใช้งานกับระบบปฏิบัติการ Windows 10 ได้อย่างเต็มรูปแบบ พร้อมการขีดเขียนที่สมจริง ด้วยน้ำหนักตัวเครื่องเพียง 1.58 กิโลกรัม และบางเพียง 20 มิลลิเมตร ทำให้การพกพาทำได้โดยง่าย

HP Pavilion x360 14 มาพร้อมกับดีไซน์การออกแบบใหม่ ขอบจอบางเฉียบ ซึ่งจัดได้ว่าเป็นโน้ตบุ๊คยุคปัจจุบันที่มาพร้อมสีสันที่สวยงามลงตัวอย่าง Cloud Blue โดยฝาหลังจะเป็นน้ำเงินอ่อนส่วนตัวเครื่องภายในจะเป็นเทาเข้มที่ดุดัน เชื่อได้ว่ายังโดนใจวัยรุ่นเพราะมีความโดดเด่นสะดุดตาเป็นพิเศษ มีหน้าตาออกไปทางเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยความหรูหราด้วยการเล่นกับการออกแบบที่มีความโค้งเว้ามีมิติในหลายๆ ส่วน

ASUS ZenBook Flip 14 UM462DA ราคา 18,900 บาท

ASUS ZenBook Flip 14 UM462DA นั้นถือเป็น 2-in-1 Notebook ที่ได้ความบางเบาราคาคุ้มค่ารุ่นล่าสุด โดดเด่นด้วยชิปประมวลผล AMD Ryzen 5 3500U  อีกทั้งยังแถมปากกา Stylus ใช้วาดรูปขีดเขียนอีกด้วย ซึ่งบอกเลยว่าเป็น 2-in-1 Notebook ที่มีราคาถูกมากๆ ตอนนี้ในตลาดเหลือเพียง 18,900 บาท จากดีไซน์ที่สวยงามหรูหรา พกพาสะดวก พร้อมสเปกและฟีเจอร์ที่เกินราคา กว่า 2-in-1 Notebook ทั่วไป กับขนาดหน้าจอ 14″ แต่ตัวเครื่องเล็กกระทัดรัดเทียบเท่า 13.3″ นี้ โดยมีน้ำหนักที่ 1.6 กิโลกกรัม  พร้อมดีไซน์หรูหราตามสไตล์ของ ZenBook จากทาง ASUS

สเปกเต็มๆ ของ ASUS ZenBook Flip 14 UM462DA ใช้ชิปประมวลผล AMD Ryzen 5 3500U ที่เป็นสถาปัตยกรรมใหม่ล่าสุดที่การผลิต 12 นาโนเมตร โดยมีค่าการกินไฟ TDP ที่ 15 Watt เท่านั้น การ์ดจอออนบอร์ดเป็น Radeon RX VEGA 8 ประสิทธิภาพใช้ได้ดี ควบคู่กับแรมขนาด 8 GB และ SSD M.2 NVMe ความจุ 512 GB ส่วนหน้าจอจะเป็นแบบมัลติทัชขนาด 14″ แบบกระจก รองรับสัมผัสมัลติทัชและปากกา Stylus รองรับแรงกดได้หลายระดับ พาเนลจอเป็น IPS ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล (Full HD) โดยให้ขอบเขตความกว้างของสีสันเทียบเท่ากับมาตรฐาน sRGB ที่ 95% และ AdobeRGB ที่ 72% เรียกได้ว่าให้ประสิทธิภาพเรื่องของสีสันนั้นดีมากกว่า 2-in-1 Notebook รุ่นอื่นๆ พอตัว

มีกล้องเว็บแคมและมีไมค์ดิจิตอลในตัว ที่สำคัญมีกล้องอินฟราเรด IR 3D Camera ที่สามารถใช้งานร่วมกับ Windows Hello เพื่อปลดล็อคตัวเครื่องได้อีกด้วยตัวคีย์บอร์ดยังมีไฟ LED Backlit สีขาวมาให้ด้วย พร้อหน้าจอพับปรับได้ 360 องศา มีบันเดิลปากกา Stylus อย่าง ASUS Active Pen มาให้เลยในกล่องเลย ประกัน 2 ปีเต็มตามมาตรฐาน ASUS พร้อมประกันอุบัติเหตุใน 1 ปีแรกอีกด้วย โดดเด่นด้วยการเคลมผ่านทางร้าน 7-11 ได้

วัสดุหลักของ ASUS ZenBook Flip 14 UM462DA เป็นพลาสติกเกรดสูงที่แทบจะไร้รอยต่อตลอดทั้งตัวเครื่อง โดดเด่นด้วยการออกแบบจอภาพไร้กรอบ NanoEdge แบบใหม่ที่ทำให้กรอบจอภาพมีขนาดเล็กลงกว่ารุ่นก่อนเกือบ 10% จอแสดงผลขนาด 14″ แบบขอบจอบางทั้ง 4 ด้านทำให้มีอัตราส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่องสูงถึง 90% ทำให้ตัวเครื่องมีขนาดกะทัดรัดยิ่งขึ้น ได้บานพับ ErgoLift 360° ที่ว่านี้นั้นทาง ASUS ได้ทำการวิจัยออกมาเป็นอย่างดี ว่ามันจะช่วยให้เราใช้งานโน๊ตบุ๊คนั้นสามารถที่จะพิมพ์ได้อย่างสบาย เวลาที่กางบานพับออกมานั้นมันจะทำให้ส่วนของฐานคีย์บอร์ดมีระยะห่างกับฐานตั้งซึ่งทำให้ความร้อนที่เกิดขึ้นในส่วนของตัวเครื่องนั้นมีการดูดลมเย็นเข้าไปช่วย พร้อมกันนั้นยังให้เสียงที่ดีขึ้นด้วย

HP ENVY x360 13 ราคา 24,900 บาท

HP ENVY x360 นั้นถือเป็น 2-in-1 Notebook ที่ได้ความบางเบาหรูหรา ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก โดย HP ได้นำเสนอ HP ENVY x360 ปี 2019 รุ่นใหม่ในราคาคุ้มค่าเหมือนเดิม อีกทั้งยังแถมปากกา Stylus ใช้วาดรูปมาให้ในกล่องอีกด้วย ซึ่งบอกเลยว่าเป็น 2-in-1 Notebook ที่ขายดีเช่นเดิม จากดีไซน์ที่สวยงามหรูหรา พกพาสะดวก พร้อมสเปกและฟีเจอร์ที่เกินราคา กว่า 2-in-1 Notebook ทั่วไป ในราคาในล่าสุดที่คุ้มค่ามากๆ เพียง 24,900 บาท สำหรับชิปประมวลผล AMD Ryzen 5 3500U ได้การ์ดจออนชิปเป็น VEGA 8 ทำงานร่วมกับแรมขนาด 8GB และ SSD M.2 NVMe ความจุ 512GB ที่ทั้งแรงและลื่นไหล

ส่วนหน้าจอจะเป็นแบบมัลติทัชขนาด 13.3 นิ้ว รองรับสัมผัสมัลติทัชและปากกา Stylus รองรับแรงกดได้หลายระดับ พาเนลจอเป็น IPS ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล(Full HD) มีกล้องเว็บแคมและมีไมค์ดิจิตอลในตัว แถมตัวคีย์บอร์ดยังมีไฟ LED Backlit สีขาวมาให้ด้วย ที่สำคัญตัวเครื่องยังบางเฉียบ และมีน้ำหนักเบาเพียง 1.30 กิโลกรัมเท่านั้น พร้อมพับปรับได้ 360 องศา

พอร์ตการเชื่อมต่อมีมาตามนี้คือ 2 x USB 3.1 Type-A, USB 3.1 Type-C, Kensington Lock, Micro SD Card Reader และ Headset 3.5 mm พร้อมยังรองรับมาตรฐานการเชื่อมต่อไร้สายอย่าง Bluetooth 4.2 และ Wi-Fi มาตรฐานใหม่ 802.11a/b/g/n/ac 2×2 ระบบปฏิบัติการ Windows 10 แท้ในตัว ประกัน On-Site 2 ปีเต็ม  พร้อมบันเดิลปากกา Stylus อย่าง HP Active Pen มาให้เลยในกล่องเลย

วัสดุที่ทาง HP เลือกใช้บอดี้จะเป็น Aluminum ทั้งหมด สี Nightfall Black ดีไซน์แบบมินิมอลและพื้นผิวขัดลายเพิ่มความหรูหราอย่างมีระดับ พร้อมกับโลโก้ HP ที่เป็นสีเงินเงางามบริเวณกลางฝาหลัง ส่วนด้านในเครื่องบริเวณหน้าจอกระจกขอบบางเฉียบที่เป็น Corning Gorilla Glass ทั้งบาน ซึ่งเล่นสีกับขอบจอด้านในเป็นสีดำดูเข้ากันดี  ตัวคีย์บอร์ดยังมีไฟ LED Backlit สีขาวมาให้ด้วย ที่สำคัญตัวเครื่องยังบางเฉียบ พกพาได้สะดวก พร้อมพับปรับได้ 360 องศา เพื่อใช้งานมัลติโหมด

นอกจากนี้ยังมีจุดเด่นที่ยี่ห้ออื่นไม่มีคือ HP Sure View ฟีเจอร์กันคนแอบมองจอที่สามารถกดเปิดปิดได้ในปุ่มเดียว และสวิตช์ Webcam Kill ป้องกันเพื่อความปลอดภัย อย่างที่หาไม่ได้ในโน้ตบุ๊คแบรนด์อื่นๆ แน่นอน โดดเด่นด้วยลำโพงแบบ Quad Speakers ของ Bang & Olufen ที่หาได้ยากมากในโน้ตบุ๊คราคาระดับนี้ และขาดไม่ได้เลยสำหรับสแกนลายนิ้วมือผ่านทาง Windows Hello เพื่อเพิ่มความสะดวกและปลอดภัยในการใช้งาน

Lenovo Yoga C640 ราคา 28,900 บาท

Lenovo YOGA C640 เป็น 2-in-1 Notebook ดีไซน์หรูหรากะทัดรัด หน้าจอ 13.3″ มาพร้อมขุมพลังชิปประมวลผล Intel Core i5-10210U / Core i7-10510U ที่เป็น Core i Gen 10 สถาปัตยกรรม Comet Lake ใหม่ล่าสุดที่การผลิต 14 นาโนเมตร ส่วนสเปกอื่นๆ ก็มาพร้อมกับหน่วยความจำแรมขนาด 8GB – 16GB และแหล่งเก็บข้อมูล SSD M.2 NVMe ความจุ 512GB พร้อมกับ Windows 10 แท้ในตัว ซึ่งมีราคาวางจำหน่ายอยู่ที่ 28,990 – 32,990 บาท ประกันเป็นระยะเวลา 2 ปี ตามมาตรฐาน Lenovo แบบ On-site Service

ตัวเครื่องบางเพียง 16.95 มม. บางกว่าเก่าถึง 11% และเบาเพียง 1.25 กิโลกรัม มาพร้อมกับความเรียบหรูระดับพรีเมี่ยม เป็นโน้ตบุ๊คที่บางที่สุดรุ่นนึงจากทาง Lenovo บานพับ 360 องศา  หน้าจอสัมผัส Full HD พาเนล IPS ขอบบาง ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล รองรับการใช้งานหลากหลายโหมดได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยังมีอุปกรณ์เสริมอย่าง Lenovo Active Pen ที่มีเทคโนโลยี Palm-Rejection ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติขณะเขียนเหมือนการเขียนปากกาบนกระดาษ ให้เสียงนุ่มจากลำโพงคุณภาพพร้อมมีเทคโนโลยี Dolby Atmos ให้เสียงที่ดี

พอร์ตเชื่อมต่อก็มาพร้อมพอร์ตจำเป็นค่อนข้างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น USB 3.1 Type-A ที่เป็นมาตรฐาน จำนวน 2 พอร์ต ส่วนอีกพอร์ตจะเป็น USB Type-C 3.1ส่วนช่องเสียบหูฟัง 3.5 ม.ม. และ HDMI ยังมีมาให้ นอกจากนี้ยังมี Finger Print สำหรับใช้งานร่วมกับฟังก์ชัน Windows Hello ของ Windows 10 เพื่อล็อกอินโดยใช้การสแกนนิ้วอีกด้วย

สำหรับ Lenovo YOGA C640 ดีไซน์โดยรวมถือว่าปรับปรุงจากรุ่นก่อนๆ ในตระกูลของ 2-in-1 Notebook เพิ่มเติมคือมีใหม่ ตัวตัวเครื่องบางลง น้ำหนักเบาลง ตัวเครื่องสีดำเทา โดยมีชื่อว่า Iron Grey ซึ่งต้องยอมรับงานประกอบตัวเครื่องดีมากๆ ด้วยพื้นผิวเป็นแบบซอฟต์ทัชสีดำสัมผัสพรีเมียม ทำให้ตัวเครื่องดูเนี้ยบหรูสวยงาม แต่ก็ยังให้ความทนทานไปพร้อมๆ กัน การออกแบบโดยรวมให้ดูทันสมัยและเรียบง่าย โลโก้ Lenovo จะมีอยู่ 2 จุดเท่านั้น คือ มุมบนฝาหลังด้านซ้าย และมุมใต้หน้าจอด้านซ้ายเท่านั้น

อีกหนึ่งจุดเด่นของ Lenovo YOGA C640  เป็น 2-in-1 Notebook ที่ทรงประสิทธิภาพในการทำงานทั่วไปเน้นการพกพา เพราะมีน้ำหนักตัวที่เบามากๆ แถมตัวเครื่องยังบางสุดๆ โดยสามารถถือได้ด้วยมือเดียวอย่างสบายๆ ด้วยน้ำหนักเพียง 1.25 กิโลกรัมเท่านั้น มาพร้อมความบางเพียง 16.95 มิลลิเมตรเท่านั้น บอกได้เลยว่าบางสุดๆ แบบที่หารุ่นเปรียบเทียบได้ยาก

Dell Inspiron 14 5491 2-in-1 29,900 บาท

Dell Inspiron 14 5491 2-in-1 เป็น 2-in-1 Notebook ที่จัดได้ว่ามีความครบครันในการใช้งานหลายๆ ด้าน ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งานทั้งในกลุ่มที่เป็นผู้ใช้งานทั่วๆ ไปหรือผู้ที่รักความบันเทิงทั้งในส่วนของเกมและมัลติมีเดีย ด้วยฟีเจอร์มีสแกนลายนิ้ว Fingerprint และสเปคภายในที่ครบครัน ตัวเครื่องบางเบาลงไปอีกจากรุ่นก่อน แต่ก็ยังได้ชิปประมวลผล Core i Gen 10 U สถาปัตยกรรม Comet Lake ที่เทคโนโลยีการผลิตที่ 14 นาโนเมตร และการ์ดจอแยก​ NVIDIA GeForce MX230 อีกทั้งได้แรมขนาด 8GB พร้อม SSD M.2 NVMe ความจุ 512GB ใช้งานทันที

สเปกของ Dell Inspiron 14 5490 2-in-1 จะถูกแบ่งด้วยกันเป็น 2 รุ่นหลักๆ คือ Core i5-10210U / Core i7-10510U ซึ่งด้านประสิทธิภาพด้วยอย่างการใช้ชิปประมวลผลเป็นชิปประหยัดพลังงานพิเศษ แบบ 4 คอร์ 8 เทรด ซึ่งแน่นอนว่าให้ทั้งความแรงและใช้งานได้ยาวนาน เป็นสถาปัตยกรรม Intel Core i Gen 10 (Comet Lake) รุ่นล่าสุด ที่เป็นเทคโนโลยีการผลิตที่ 14 นาโนเมตร

ส่วนสเปกอื่นๆ เหมือนกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นโดยมาพร้อมขนาดหน้าจอ 14″ ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล พาเนลคุณภาพดีอย่าง IPS ซึ่งให้สีสันที่สวยสมจริง รองรับทัชสกรีน มีปากกาในชุดจัดจำหน่าย แรมก็ติดตั้งมาให้ขนาด 8GB DDR4 ซึ่งพอเพียงกับการใช้งานแน่นอน ในส่วนของกราฟิกการ์ดก็เป็น NVIDIA GeForce MX230 2GB GDDR5 ที่ให้ประสิทธิภาพการทำงานรองรับ 3 มิติได้ดี เล่นเกมออนไลน์พอได้ สำหรับฮาร์ดดิสก์เป็นแบบ SSD M.2 NVMe ความจุ 512GB ที่สำคัญยังเป็นมาตรฐานการเชื่อมต่อ Wireless AC และ Bluetooth 5.0 ด้วย อีกทั้งยังมีน้ำหนักเพียง 1.65 กิโลกรัมเท่านั้น

นอกจากนี้ในส่วนของกล้องด้านหน้ารองรับการใช้งาน VDO Call และ Fingerprint ที่ใช้งานร่วมกับ Windows Hello รวมถึงติดตั้งระบบปฏิบัติการ Windows 10 แท้ สำหรับคอมพิวเตอร์แบรนด์ Dell ได้รับความน่าเชื่อถือมาอย่างยาวนานและเป็นที่นิยมในการใช้งานกับองค์กรและภาคธุรกิจอย่างมากมาย ทั้งมาตรฐานการบริการ Dell Premium Support และ On-site Service “บริการซ่อมตรงถึงที่ ทุกที่ ในอีก 1 วันทำการ” ถึง 2 ปีด้วยกัน รวมไปถึงมีบริการอื่นๆ อย่าง Call Center ตลอด 24 ชั่วโมง 7 วันทำการอีกด้วย

ASUS ZenBook Flip 14 UX463FL ราคา 29,900 บาท

ASUS ZenBook Flip 14 UX463FL นับว่าเป็น 2-in-1 Notebook ที่จัดเต็มไปด้วยสเปกและฟีเจอร์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นชิปประมวลผล Intel Core i5-10210U การ์ดจอเป็น NVIDIA GeForce MX250 ที่แรงพิเล่นเกมออนไลน์ 3 มิติได้ลื่นไหล เหนือชั้นด้วยหน้าจอระดับมืออาชีพขนาดหน้าจอ 14″ IPS Full HD TouchScreen พร้อมดีไซน์ดูหรูหราสวยงาม ที่สำคัญได้มี ScreenPad 2.0 กับหน้าจอที่สอง ต่อยอดมาจากปีก่อน ติดตั้งแทนที่ทัชแพดแบบเดิมๆ เป็นหน้าจอที่สองโดยเป็นโน้ตบุ๊ครุ่นใหม่สายทำงานและไลฟ์สไตล์ แน่นอนว่าหน้าจอหลักพับได้ 360 องศา มีปากกา ASUS Active Pen มาด้วย

สเปกภายในอื่นๆ ASUS ZenBook Flip 14 UX463FL ที่น่าสนใจได้รับการติดตั้งแรมมาขนาด 8GB พร้อมด้วย SSD ความจุ 512GB ให้ประสิทธิภาพการทำงานรองรับ 3 มิติได้ดี เล่นเกมออนไลน์ได้สบายๆ รวมไปถึงลำโพงยังเป็น Harman/Kardon เสียงดีชัดเจน อีกทั้งติดตั้ง IR 3D Camera ระบบไบโอเมตริกซ์ทำงานร่วมกับ Windows Hello แน่นอนว่ามี Windows 10 แท้ ประกัน 2 ปีตามมาตรฐาน ASUS (ปีแรกมีประกันอุบัติเหตุ) นับว่าถูกคุ้มมากๆ เมื่อเทียบกับฟีเจอร์ที่ได้ ส่งผลให้เป็นสุดยอดโน้ตบุ๊คยุคใหม่เลยก็ว่าได้ กับราคา 29,900 บาท

ดีไซน์โดยรวมของ ASUS ZenBook Flip 15 UX563FD นั้นจะดูเล็กกว่าและบางกว่าโน้ตบุ๊ครุ่นอื่นๆ อยู่พอสมควร ได้สีสันที่โดดเด่นไม่ซ้ำใครอย่าง Gun Metal Grey โดยมีน้ำหนักเบาเพียง 1.9 กิโลกรัม พร้อมความบางเฉียบ และเนื่องด้วยมีขอบจอที่ค่อนข้างบางตามสไตล์ NanoEdge ทำให้ตัวเครื่องดูเล็ก กะทัดรัด เหมาะกับการพกพาสะดวกสบาย แม้จะไม่ได้เบาที่สุดๆ แต่ได้ฟีเจอร์จัดเต็มแบบไร้คู่แข่ง เพราะในตลาดตอนนี้แนวคิด 2 หน้าจอแบบนี้มีเพียง ASUS เท่านั้น ในรุ่นนี้ได้เป็น ScreenPad 2.0 ขนาด 5.65″

บานพับ ErgoLift 360° แบบ 2 แกน ซึ่งเวลาที่กางออกมาใช้งานในรูปแบบโน๊ตบุ๊คจะทำให้คีย์บอร์ดทำมุม 2 องศากับฐานตั้ง พร้อมกางจอที่ 135 องศา จากการที่มีบานพับแบบพิเศษช่วยยกตัวเครื่องสูงขึ้นจากพื้น โดยขอบตัวเครื่องด้านหลังจะมียางรองพร้อมทำหน้าที่เป็นฐานรองด้านหลัง ที่หากเรากางหน้าจอมากกว่านั้นก็จะรองรับการใช้งาน Multi-Mode อื่นๆ เรียกได้ว่าฟีเจอร์นี้ไม่เคยมีใครทำมาก่อนบน 2-in-1 Notebook พร้อมดีไซน์ที่ดูสวยวามหรูหรา พร้อมกันนั้นยังการเชื่อมต่อไร้สายเป็น Wi-Fi 6 AX สุดล้ำด้วย

from:https://notebookspec.com/buyer-guide-2-in-1-notebook-mid-2020/520546/

CHUWI HI10 X แท็บเล็ตราคาย่อมเยาจากจีนที่มาพร้อมกับหน้าจอที่รองรับแรงกดได้มากถึง 4096 ระดับ

สำหรับแท็บเล็ตจากประเทศจีนนั้นคงต้องยอมรับกันว่าชื่อ CHUWI ถือได้ว่าได้รับความนิยมเป็นอย่างมากและมีร้านค้าไม่น้อยที่นำเอาแท็บเล็ตของ CHUWI มาจำหน่ายให้เราๆ ท่านๆ ได้เลือกใช้กัน ล่าสุดนั้นทาง CHUWI ได้เปิดตัวแท็บเล็ตรุ่นอัพเกรดอย่าง CHUWI HI10 X ที่ตัวสเปคเครื่องนั้นอาจจะไม่ได้แรงอะไรมากมาย ทว่าสิ่งที่มันมาเหนือมากจริงๆ นั้นก็คือพาเนลหน้าจอที่รองรับแรงกดมากถึง 4096 ระดับสำหรับการใช้งานกับสไตลัสซึ่งการรองรับแรงกดที่มากขนาดนี้นั้นจะทำให้การใช้งานด้วยสไตลัสนั้นดีเยี่ยมมากขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด

สำหรับ CHUWI HI10 X นั้นเป็นรุ่นที่ได้รับการอัพเกรดมาจากรุ่น CHUWI HI10 ที่ตัวหน้าจอนั้นจะรองรับแรงกดที่ 1024 ระดับ โดยเพิ่มขึ้นมาถึง 4 เท่าตัวมารองรับแรงกดมากถึง 4096 ระดับ ข้อดีของฃการเพิ่มความสามารถในการรับแรงกดที่เพิ่มมากขึ้นขนาดนี้นั้นจะทำให้ผู้ใช้งานสามารถที่จะใช้งานสไตลัสกับตัวหน้าจอได้ลื่นไหลมากกว่าเดิม รวมทั้งความถูกต้องในการใช้งานและการตอบสนองต่างๆ นั้นก็เพิ่มมากขึ้นด้วย ข้อดีของการอัพเกรดนี้นั้นก็คือ CHUWI HI10 X ยังคงรองรับการใช้งานกับสไตลัส HiPen H6 ซึ่งเป็นรุ่นเดมที่ใช้งานกับ CHUWI HI10 ทำให้ผู้ใช้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องซื้อตัวสไตลัสใหม่แต่อย่างใด

ทาง CHUWI เองนั้นได้โฆษณาเอาไว้ว่าการใช้งาน CHUWI HI10 X คู่กับ HiPen H6 นั้นจะเทียบเท่ากับการใช้งานของ Apple Pencil กับ iPad Pro เลยทีเดียว ซึ่งนั่นทำให้มันน่าสนใจมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ข้อดีของสไตลัส HiPen H6 นั้นก็คือมันจะมาพร้อมกับแบตเตอรี่แบบที่สามารถชาร์จใหม่ได้โดยตัวแบตเตอรี่นั้นจะเป็นแบบ Li-ion ซึ่งการชาร์จนั้นก็สามารถทำได้ผ่านการเชื่อมต่อกับสายชาร์จที่เป็นพอร์ต micro-USB ซึ่งนั่นทำให้ผู้ใช้สามารถที่จะมีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นในการชาร์จ

ในส่วนของสเปคนั้น CHUWI HI10 X จะมีสเปคดังต่อไปนี้

  • หน้าจอขนาด 10.1 นิ้วใช้พาเนลแบบ IPS อัตราส่วน 16 : 10 รองรับความละเอียดสูงสุดที่ระดับ 1920 x 1200 pixels หน้าจอเป็นแบบสัมผัสและยังรองรับช่วงกว้างของสีแบบ sRGB 100%
  • หน่วยประมวลผล Intel Gemini Lake N4100 (Celeron) ที่มาพร้อมแกนการประมวลผล 4 แกน 4 threads ความเร็วสัญญาณนาฬิกาฐาน 1.10 GHz และที่ 2.40 GHz ขณะ boost
  • ชิปกราฟิกเป็นแบบฝังในหน่วยประมวลผลรุ่น Intel® UHD Graphics 600
  • หน่วยความจะแบบ LPDDR4 ขนาด 6 GB
  • แหล่งเก็บข้อมูลภายในความจุ 128 GB รองรับการเพิ่มแหล่งเก็บข้อมูลด้วย microSD card
  • พอร์ตการเชื่อมต่อประกิบไปด้วย USB-C 3.0 และ USB-C 02.0 อย่างละ 1 พอร์ต บนตัวแท็บเล็ตกับ USB-A 2.0 1 พอร์ตที่ Keyboard Dock พร้อมด้วย Keyboard Dock Connector, พอร์ตเชื่อมต่อสำหรับ HD Video out และ 3.5 audio jack
  • การเชื่อมต่อแบบไร้สายรองรับ 2.4G/5G 802.11a/ac/b/g/n wireless internet และ Bluetooth
  • มาพร้อมกับกล้องหน้าความละเอียด 2MP และกล้องหลังความละเอียด 5 MP
  • ตัวเครื่องมีขนาดอยู่ที่ 261.8mm x 167.3mm x 8.8mm (HxWxT)
  • น้ำหนักตัวเครื่องอยู่ที่ 600 g
  • วัสดุตัวเครื่องเป็นโลหะทั้งตัว
  • มาพร้อมกับระบบปฎิบัติการ Windows 10 Home
  • แบตเตอรี่สามารถใช้งานยาวนานได้ต่อเนื่อง 6 ชั่วโมง

ทั้งนี้ตัวเครื่อง CHUWI HI10 X นั้นมีวางจำหน่ายแล้วผ่านทางแอปพลิเคชันช๊อปปิ้งออนไลน์ชั้นนำของไทยเกือบจะทุกแอป สำหรับราคานั้นหากซื้อตัวเครื่องแบบครบชุดคือทั้งตัวเครื่อง, สไตลัส,  Keyboard dock และเคสสำหรับที่สามารถตั้งตัวหน้าจอได้ราคาจะไม่ถึง 10,000 บาท ท่านที่กำลังหาเครื่องโน๊ตบุ๊คที่มาพร้อมกับความสามารถในการใช้งานเป็นแท็บเล็ตซึ่งใช้ระบบปฎิบัติการ Windows 10 นั้นไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงเพราะราคานั้นเรียกได้ว่าน่าสนใจเป็นอย่างมาก

ที่มา : gizchina

from:https://notebookspec.com/chuwi-hi10-x-now-supports-4096-pressure-level-stylus/520381/

Review – Dell Inspiron 14 5491 2-in-1 ใช้งานได้หลากหลาย พับจอได้มีปากกา สเปก Core i Gen 10 ราคา 28,900 บาท

แบรนด์ Dell ได้นำเสนอ Dell Inspiron 14 5491 2-in-1 ได้สเปกชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10 ใหม่ล่าสุด และการ์ดจอแยก GeForce MX230 เป็นโน้ตบุ๊ครุ่นใหม่สไตล์ 2-in-1 ประจำปี 2020 หน้าจอ 14 นิ้ว รองรับทัชสกรีนและปากกาที่ตอบโจทย์ ดีไซน์ดูหรูหรา มาพร้อมกับขนาดตัวเครื่องที่บางเบาเล็กกระทัดรัด ขอบจอก็บางเฉียบ แรมขนาด 8GB DDR4 พร้อม SSD M.2 NVMe ความจุ 512GB สำหรับความละเอียดหน้าจอก็เป็นพาเนล IPS ระดับ Full HD ให้ภาพคมชัดสวยงามสมจริง พร้อมใช้งานด้วย Windows 10 และมีซอฟต์แวร์ต่างๆ มากมาย

สำหรับคอมพิวเตอร์แบรนด์ Dell ได้รับความน่าเชื่อถือมาอย่างยาวนานและเป็นที่นิยมในการใช้งานกับองค์กรและภาคธุรกิจอย่างมากมาย ทั้งมาตรฐานการบริการ Dell Premium Support และ On-site Service “บริการซ่อมตรงถึงที่ ทุกที่ ในอีก 1 วันทำการ” ถึง 2 ปีด้วยกัน มาพร้อมดีไซน์ที่เรียบๆ แต่แฝงความหรูหรา สนนราคา Dell Inspiron 14 5491 2-in-1 ถูกกว่ารุ่นเดิมอยู่ที่ 31,990 บาท กับรุ่น Core i7-10510U ส่วนถ้าเป็นรุ่น Core i5-10210U จะอยู่ที่ 28,990 บาท ส่วนสเปกอื่นๆ เหมือนกันทั้งหมด

from:https://notebookspec.com/review-dell-inspiron-14-5491-2-in-1-spec-core-i-gen-10/518564/

Review – Dell Latitude 7400 2-in-1 โน้ตบุ๊ค Commercial พับจอได้มีปากา แบต 16 ชั่วโมง ใส่ซิมใช้ 4G ได้

โน้ตบุ๊คแบรนด์ Dell ฝั่ง Commercial เน้นใช้งานระดับมืออาชีพ ได้รับความน่าเชื่อถือมาอย่างยาวนานและเป็นที่นิยมในการใช้งานกับองค์กรและภาคธุรกิจอย่างมากมาย ทั้งมาตรฐานการบริการ Dell Pro Support และ On-site Service “บริการซ่อมตรงถึงที่ ทุกที่ ในอีก 1 วันทำการ” ถึง 3 ปีด้วยกัน (with Battery Service Support) ​มาพร้อมดีไซน์ที่เรียบๆ แต่แฝงความหรูหรา รวมถึงโดยทั่วไปแล้วคนมักจะมองว่าแบรนด์ Dell เป็นแบรนด์ระดับสูง เพราะผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในท้องตลาดนั้นอยู่ในเกรดที่สูงกว่าโน้ตบุ๊คทั่วไปนั่นเอง โดดเด่นเรื่องความแข็งแรงทนทาน ประสทิธิภาพ สเถียรภาพ และความปลอดภัยเป็นพิเศษ

โดยซีรีส์ Commercial แบ่งออกเป็น Vostro, Latitude, Precision, XPS สำหรับลูกค้าองค์กร ซึ่งบทความนี้จะเป็นรีวิวของ Dell Latitude 7400 2-in-1 ที่เป็น 2-in-1 Notebook หน้าจอ 14″ ความละเอียดหน้าจอก็เป็นระดับ Full HD พาเนล IPS รองรับการทัชสกรีนและปากกา Dell Active Pen พร้อมขอบหน้าจอบางเฉียบที่ดูหรูหรา ได้ขนาดตัวเครื่องที่บางเบาเล็กกระทัดรัด ซึ่งเครื่องที่ได้รับมารีวิวนี้เป็นเดโม สเปกเป็นชิปประมวลผล Intel Core i7-8665U ที่เป็นรุ่นพิเศษ แรมขนาด 8GB DDR3L พร้อม SSD ความจุ 128GB ใช้งาน Windows 10 Pro ได้ทันที ซึ่งจะแตกต่างจากรุ่นขายจริงอยู่หลายส่วน

from:https://notebookspec.com/review-dell-latitude-7400-2-in-1/514140/

3 เหตุผลที่ทำให้ HP ENVY x360 เป็น 2-in-1 Notebook บางเบา ชิป AMD Ryzen ที่น่าซื้อสุด ๆ เริ่ม 24,990 บาท

HP ENVY x360 นั้นถือเป็น 2-in-1 Notebook ที่ได้ความบางเบาหรูหรา รองรับการใช้งานพื้นฐานได้ลื่นไหลสุดๆ ในราคาคุ้มค่าเริ่มเพียง 21,900 บาท อีกทั้งยังบันเดิลปากกา Stylus ใช้วาดรูปมาให้ในกล่องอีกด้วย ซึ่งบอกเลยว่าเป็น 2-in-1 Notebook ที่น่าซื้อสุดๆ จากดีไซน์ที่สวยงามหรูหรา พกพาสะดวก พร้อมสเปกและฟีเจอร์ที่เกินราคากว่า 2-in-1 Notebook ทั่วไป ในราคาเริ่มต้นเพียง 24,990 บาท (จากปกติ 25,990 บาท) สำหรับชิปประมวลผล AMD Ryzen 5 3500U (2.1 – 3.7GHz) + VEGA 8 + RAM 8GB + SSD 512GB พร้อมกับ Windows 10 แท้ในตัว

ส่วนอีกสเปคจะเป็นชิปประมวลผล AMD Ryzen 7 3700U ที่เป็นสถาปัตยกรรมเดียวกัน ด้วยเทคโนโลยีการผลิต 12 นาโนเมตร มาพร้อมความเร็ว 2.3 – 4.0 GHz ทำงานแบบ 4 คอร์ 8 เธร์ด โดยมีค่าการกินไฟ TDP ที่ 15 Watt เท่านั้น การ์ดจอออนบอร์ดเป็น Radeon VEGA 10 ประสิทธิภาพใช้ได้ดี ควบคู่กับแรมขนาด 8 GB และ SSD m.2 512 GB PCIe NVMe  มีราคาวางจำหน่ายอยู่ที่ 27,990 บาท (จากปกติ 28,990 บาท)ประกัน 2 ปี On-Site ตามมาตรฐาน HP พร้อมบริการหลังการขายอื่นๆ

พอร์ตการเชื่อมต่อมีมาตามนี้คือ 2 x USB 3.1 Type-A, USB 3.1 Type-C, Kensington Lock, Micro SD Card Reader และ Headset 3.5 mm พร้อมยังรองรับมาตรฐานการเชื่อมต่อไร้สายอย่าง Bluetooth 4.2 และ Wi-Fi 5 AC เทคโนโลยีเสารับสัญญาณ 2×2 โดดเด่นด้วยหน้าจอเป็นแบบจอกระจก Corning Gorilla Glass รองรับการสัมผัสขนาด 13.3″ รองรับสัมผัสมัลติทัชและปากกา Stylus รองรับแรงกดได้หลายระดับ พาเนลจอเป็น IPS ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล 120Hz

  • AMD Ryzen 5 3500U / VEGA 8 / RAM 8GB / SSD 512GB / จอ 13.3″ IPS 120Hz ราคา 24,990 บาท
  • AMD Ryzen 7 3700U / VEGA 10 / RAM 8GB / SSD 512GB / จอ 13.3″ IPS 120Hz ราคา 27,990 บาท

บทความนี้เราจะมาสรุป 3 เหตุผลที่ทำให้ HP ENVY x360 เป็น 2-in-1 Notebook บางเบา ชิป AMD Ryzen ที่น่าซื้อสุดๆ กัน เพื่อให้หลายๆ คนตัดสินใจซื้อมาใช้งานได้ง่ายยิ่งขึ้น

1. สวยหรูบางเบา ฟีเจอร์จัดเต็มสุดในรุ่น ทั้งสแกนนิ้ว ปิดกล้องได้แค่เลื่อน

HP ENVY x360  มาพร้อมกับดีไซน์พรีเมียม หรูหรา มองเผินๆ เหมือนโน้ตบุ๊คระดับไฮเอนด์ที่มีราคาหลายหมื่นบาท ซึ่ง HP ตั้งใจที่จะออกมาให้เป็นแบบนั้นจริงๆ สังเกตได้จากโลโก้ HP ที่เป็นตัวอักษรแบบใหม่เหมือนตัว Spectre ที่เป็นรุ่นท็อป งานประกอบก็ถือว่าแข็งแรงสอบผ่านได้สบายๆ เรียกได้ว่าสาวๆ หนุ่มๆ หลายคนเห็นแล้วคงชอบอยากได้เครื่องนี้ไว้ทำงานแน่นอน มีความบางเพียง 14.7 มิลลิเมตร และมีน้ำหนักเพียง 1.3 กิโลกรัมเท่านั้น ซึ่งโดยรวมแล้วสำหรับดีไซน์การออกแบบของเรียกได้ว่า HP ได้ก้าวไปอีกขั้นกับโน้ตบุ๊คราคานี้สเปคแบบนี้

วัสดุที่ทาง HP เลือกใช้บอดี้จะเป็น Aluminum ทั้งหมด สี Nightfall Black ดีไซน์แบบมินิมอลและพื้นผิวขัดลายเพิ่มความหรูหราอย่างมีระดับ พร้อมกับโลโก้ HP ที่เป็นสีเงินเงางามบริเวณกลางฝาหลัง ส่วนด้านในเครื่องบริเวณหน้าจอกระจกขอบบางเฉียบที่เป็น Corning Gorilla Glass ทั้งบาน ซึ่งเล่นสีกับขอบจอด้านในเป็นสีดำดูเข้ากันดี  ตัวคีย์บอร์ดยังมีไฟ LED Backlit สีขาวมาให้ด้วย ที่สำคัญตัวเครื่องยังบางเฉียบ พกพาได้สะดวก พร้อมพับปรับได้ 360 องศา เพื่อใช้งานมัลติโหมด และขาดไม่ได้เลยสำหรับสแกนลายนิ้วมือผ่านทาง Windows Hello

ปุ่ม Power (Wake Up / Sleep)จะถูกออกแบบให้อยู่ที่ด้านซ้ายตัวเครื่อง พร้องช่องระบายความร้อนหนึ่งช่อง ส่วนด้านขวาจะมีปุ่มเพิ่มเสียงลดเสียงปกติ ทำให้สะดวกและคล่องตัวมากๆ รวมถึงตัวเครื่องสามารถพับได้ 360 องศา ซึ่งดูแล้วอาจจะไม่คุ้นตาเหมือนกับโน้ตบุ๊ครุ่นอื่นๆ แต่เมื่อใช้งานจริงแล้วพบว่าสามารถใช้งานได้คล่องตัวและสะดวกมากๆ จากการที่มันเป็น 2-in-1 Notebook พับได้ 360 องศานั่นเอง รวมไปถึงอีกด้านยังมีสวิตช์ Webcam Kill ปุ่มเลื่อนไปมาสำหรับเปิดปิดการใช้งานกล้องเว็บแคม ที่ช่วยเราให้เรื่องของความปลอดภัย ไม่ต้องหากระดาษมาแปะที่กล้องเว็บแคมโดยตรงอีกต่อไปเหมือนโน้ตบุ๊คปกติ

2. จอสีตรง ลื่นไหล 120Hz ปิดเปิดมุมมองได้ ติดตั้งลำโพง 4 ตัว

จอภาพแสดงผลของ HP ENVY x360 ถือเป็นอีกจุดเด่นก็ว่าได้ด้วยจอภาพขนาด 13.3″ ที่มีขอบบางมากถึง 3 ด้านด้วยกัน ซึ่งเป็นแบบจอกระจก Corning Gorilla Glass  อาจจะมีการสะท้อนภาพบ้างเวลาใช้งานกลางแจ้งหรือที่มีแสงจัดๆ โดยตัวจอรองรับการทัชสกรีนจำนวน 10 จุด ทั้งการใช้งานทั้งนิ้วมือแบบมัลติทัชและปากกา HP Active Pen ไม่แค่นั้นตัวเรื่องยังสามารถรองรับแรงกดได้หลายระดับ อีกทั้งยังสามารถพับปรับจอได้ 360 องศาอีกด้วย ตัวจอเป็นพาเนล IPS ทำให้สีสันคมชัดสมจริงไม่ว่ามองมุมไหน ความละเอียด 1920 x 1080 (Full HD) ซึ่งถือได้ว่าคมชัดเป็นอย่างมาก โดดเด่นด้วย Refresh Rate ที่ 120Hz ที่แสดงผลได้ลื่นไหลกว่า 60Hz แบบจอทั่วไป

ทดสอบจริงๆ ออกมาแล้ว ด้วยเครื่องมือที่เป็นทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์อย่าง Spyder5Elite ให้สีสันเทียบเท่ากับมาตรฐาน sRGB ที่ 88% และ AdobeRGB ที่ 69% เรียกได้ว่าให้ประสิทธิภาพเรื่องของสีสันในระดับที่เพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปรวมไปถึงมืออาชีพ ความสว่างหน้าจอสูงสุดอยู่ที่เกือบๆ 300 cd/m2 ซึ่งจัดได้ว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานความสว่างที่ดีมากๆ ของหน้าจอในโน้ตบุ๊กราคาระดับนี้ คือรองรับการใช้งานที่กลางแจ้งได้สบายๆ โดยในส่วนของ Display Analysis ดูประสิทธิภาพการแสดงผลแบบละเอียดทั้งหมดรอบด้านด้วยคะแนน 4.0 (เต็ม 5 คะแนน)

ที่สำคัญคือ HP ENVY x360รองรับ HP Sure View ฟังก์ชันกันคนแอบมอง โดยกดปุ่ม F1 ซึ่งปกติจะมีเฉพาะรุ่นท็อปๆ เท่านั้น สำหรับฟีเจอร์ Privacy Screen นี้กับคุณสมบัติลดมุมมองหน้าจอลง เพื่อไม่ให้คนอื่นมาส่องมาเผือกได้เวลาที่ใช้งานนอกสถานที่  ที่ไม่ต้องเสียเวลาไปซื้อฟิล์มมาติดเพิ่ม ไม่ต้องลอกออกไปมา เพราะเราสามารถกดปุ่มปิดเปิดได้ตามความต้องการ ที่ปุ่ม F1 เรียกได้ว่าตอบโจทย์การทำงานสายมืออาชีพที่ต้องการความปลอดภัยขั้นสุดอีกด้วย

ระบบเสียงเลือกใช้ของ Bang & Olufsen พร้อมฟีเจอร์ HP Audio Boost ซึ่งวางส่วนของลำโพงไว้ด้านบนตัวเครื่อง 2 ตัว และด้านล่างอีก 2 ตัว รวมเป็น 4 ตัว แบบ Quad Speakers ทำให้เสียงที่ออกมากระจายกว้างไม่มีอะไรปิดกั้น ซึ่งให้เสียงที่ดีและดังพอสมควร จนไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องใช้งานในที่เสียงดัง สามารถตอบสนองเรื่องความบันเทิง การฟังเพลงสำหรับคนที่ชอบทำงานได้โอเคเลย ถึงแม้ว่าอาจจะไม่ได้มีเสียงเบสมาก และเสียงจะค่อนไปทางเสียงกลาง เสียงแหลมมากกว่าก็ตาม แต่ก็จัดว่าดีกว่าโน้ตบุ๊คทั่วไปๆ ที่เป็น 2 ลำโพงแบบรู้สึกได้

3. ประสบการณ์ใช้งานเยี่ยมยอด พับได้ 360 องศา มีปากกาขีดเขียน

HP ENVY x360 ตอบสนองได้อย่างหลากหลายด้วยชิปประมวลผล AMD Ryzen 3000 รหัส U อย่าง AMD Ryzen 5 3500U และ AMD Ryzen 7 3700U พร้อมสเปกอื่นๆ ก็จัดเต็มด้วยแรมขนาด 8GB และได้ SSD M.2 NVMe ความจุ 512GB ที่รองรับการใช้งานอย่างดูหนังฟังเพลง ทำงานเอกสาร ใช้งานอินเตอร์เน็ตเล่น Facebook / Youtube ได้ลื่นไหลสุดๆ (หรือเล่นเกมเบาๆ ก็พอได้) จากการที่เป็น 2-in-1 Notebook ที่ถูกออกแบบมาเป็นอย่างดี อีกทั้งด้วยการพับใช้งานถึง 4 รูปแบบด้วยกันไม่ว่าจะเป็น Notebook / Stand / Tent / Tablet ซึ่งแบ่งประเภทการทำงานดังนี้

Notebook Mode เป็นรูปแบบธรรมดาทั่วไปเหมือนกับโน้ตบุ๊คปกติ เน้นสำหรับการใช้งานทั่วไป เล่นอินเตอร์เน็ต รวมไปถึงงานเอกสารต่างๆ ที่จำเป็นต้องใช้คีย์บอร์ดและทัชแพดในการควบคุมเหมือนโน้ตบุ๊คปกติ

Stand Mode เน้นใช้งานที่ระบบจอสัมผัสของตัวเครื่องอย่างเดียวและวางไว้บนพื้นที่ราบ โดยรูปแบบการใช้งานนี้จะเน้นไปทางการใช้งานแอพพลิเคชั่นของ Windows เอง หรือเน้นไปทางการดู YouTube หรือชมภาพยนตร์เป็นหลัก พร้อมรองรับการทำงานแบบมัลติทัชได้พร้อมกันมากสุดที่ 10 จุดพร้อมกัน

Tent Mode ค่อนข้างจะคล้ายกับ Stand Mode ก่อนหน้านี้ แต่จะอยู่ในรูปทรงตั้งเครื่องเอาไว้เป็นลักษณะสามเหลี่ยม ใช้ในการวิวดูข้อมูลการแสดงผลหน้าจอเป็นหลัก อีกทั้งยังสามารถจับพาดหรือเกาะกับสิ่งของรอบๆ ได้

Tablet Mode ด้วยการพับหน้าจอกลับแบบ 360 องศา จนฝาหลังและฐานใต้เครื่องมาติดกัน เราก็จะได้แท็บเล็ตที่มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Windows ซึ่งเรามีความคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เหมาะสำหรับการเอาไว้เล่นเกมหรือดู E-Book อย่างที่แท็บเล็ตอื่นๆ ทั่วไปในตลาดสามารถทำได้

อย่างไรก็ตามสำหรับ HP ENVY x360 ก็ต้องบอกว่าวางใจได้เลยเรื่องความทนทาน เพราะมีการออกแบบบานพับที่สามารถเปิดปิดหรือปรับระดับได้อย่างลื่นไหลได้เหมือนใหม่ทุกครั้ง แข็งแรงสามารถหมุนเปิดปิดได้เป็นพันๆ หมื่นๆ ครั้ง อย่างไม่มีปัญหาแน่นอน ที่สำคัญปากกาสไตลัส HP Active Pen นี้ยังรองรับระดับแรงกดได้มากถึง 2,048 ระดับเลยทีเดียวอันนี้การันตีได้จากผู้ใช้งานนักวาดการ์ตูนหลายคนทีเดียว หรือจะใช้ไว้จดงานเขียนหนังสือก็สามารถทำได้สบายๆ เรียกได้ว่าจะลืมการใช้ปากกาและกระดาษแบบเดิมๆ ไปเลย

ซึ่งบอกได้เลยว่าสำหรับใครที่กำลังมองหาโน้ตบุ๊คบางเบาซักตัวที่พกพาสะดวกในราคาไม่แพง และมีความสามารถครบครันทั้งในเรื่องของการทำงานทั่วไปหรือแท็บเล็ตที่ทำงานร่วมกับโปรแกรมบนระบบปฏิบัติการ Windows 10 ส่วนสเปคก็ถือว่าสนับสนุนการทำงานได้สบายๆ ให้ประสบการณ์ใช้งานเยี่ยมยอด ปิดท้ายด้วยแบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานเกือบ 10 ชั่วโมง !!! ที่สำคัญคือ HP ENVY x360 ราคาได้ไม่แพง ส่งผลให้ผู้ใช้งานอย่างเราๆ ตัดสินใจซื้อกันได้ง่ายยิ่งขึ้นด้วย

 

 

 

from:https://notebookspec.com/3-hilight-hp-envy-x360-amd-2-in-1-notebook/511994/

Preview – ConceptD 7 Ezel สุดยอด Notebook สาย Digital Content Creator ขั้นเทพสุด มีปากกา EMR ในตัว

ConceptD 7 Ezel นี้เป็นการต่อยอดมาจาก ConceptD 7 ซึ่งเป็น Notebook สายทำงาน Digital Content Creator จากทาง Acer มาในรูปแบบ 2-in-1 Notebook พลิกหน้าจอไปมาได้ด้วยบานพับของ Ezel ที่ได้จดสิทธิบัตร (คล้ายกับรุ่นพี่อย่าง ConceptD 9 แต่คนละแบบ) จัดเต็มด้วยสเปกประสิทธิภาพสูงอย่างชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10 H และการ์ดจอรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง NVIDIA GeForce RTX (รอเปิดตัวอย่างเป็นทางการอีกที) ส่งผลให้มีความแรงเทียบกับ Deskto PC สบายๆ ภายใต้ตัวเครื่องที่เบา 2.1 กิโลกรัม และบางเฉียบเพียง 17.9 มิลลิเมตร โดดเด่นสุดๆ ด้วยการที่มีปากกา Wacom EMR ในตัวพร้อมที่เก็บเนียนไปกับตัวเครื่อง

ConceptD 7 Ezel มีหน้าจอขนาดใหญ่ 15.6″ แต่กลับมีความเล็กลงจากมิติตัวเครื่องเล็กกระทัดรัดจากการที่ขอบจอบาง (ใกล้เคียงกับโน้ตบุ๊คหน้าจอ 14″ ยุคก่อนๆ) ผนวกกับหน้าจอ IPS เกรดสูง มีความละเอียดหน้าจอ 4K UHD (3840 x 2160 พิกเซล) พร้อมได้ PANTONE® Validated มาตรฐาน Adobe RGB ได้ 100% มีค่าความผิดเพี้ยนของสี delta-E น้อยกว่า 2 ส่วนกระจกเป็น Gorilla Glass 6 ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นส่วนสำคัญในการมอบประสบการณ์ใหม่ๆในการเล่นเกมแบบเต็มประสิทธิภาพให้กับผู้ใช้งานได้อย่างแน่นอน ในส่วนของดีไซน์ภายนอกก็ดูเรียบหรู วัสดุเป็นอลูมิเนียมสีขาวตลอดทั้งตัวเครื่องแซมด้วยสีส้มตามสไตล์ ConceptD สนนราคาที่ 2,699 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 80,000 บาท

ซึ่งหลักๆ แล้ว ConceptD 7 Ezel จะแบ่งออกเป็นรุ่นปกติ ใช้สเปกเป็นชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10 H และการ์ดจอรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง NVIDIA GeForce RTX Series ส่วนอีกรุ่นอีกสเปกจะเป็นชิปประมวลผล Intel Xeon ผสานการทำงานร่วมกับการ์ดจอระดับสตูดิโออย่าง NVIDIA Quadro RTX Series โดยชื่อจะตอกย้ำความเป็นมืออาชีพยิ่งกว่าในชื่อ ConceptD 7 Ezel Pro

ส่วนรายละเอียดต่างๆ ก็จะเหมือนกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นแรมเป็นแบบ ECC ขนาด 32GB และ SSD M.2 NVMe ความจุ 2TB และติดตั้งระบบปฏิบัติการ Windows 10 Pro นับได้ว่าทาง Acer มีความตั้งใจเป็นอย่างมากในการนำเสนอ Notebook ที่เน้นการใช้งานเรื่องงานสร้างสรรค์ที่ปัจจุบันมีการขยายตัวเป็นอย่างมาก อีกทั้งมีความหลากหลายกว่าเดิม ทำให้ในส่วนของ ConceptD มีให้เลือกมากมายนั่นเอง

  

ที่สำคัญนอกจากความเป็นที่สุดยอด 2-in-1 Notebook ตัวแรงระดับมืออาชีพแล้วก็คือ ConceptD 7 Ezel มีโหมดหน้าจอให้เลือกถึง 5 โหมด จากการที่บานพับมีคสามพิเศษที่สามารถพับพลิกไปมาได้อิสระ ซึ่งแบ่งออกเป็นโหมดต่างๆ ได้แก่ Sharing Mode, Floating Mode, Stand Mode, 2 Pad Mode และ Display Mode ที่ต้องยอมรับว่ามันดีจริงๆ ในเรื่องของมุมมองการใช้งานต่างๆ นับได้เหนือชั้นกว่า Notebook ทั่วไปแน่นอน แม้ราคาดูสูงแต่จัดเต็มทุกฟีเจอร์จริงๆ อย่างที่โน้ตบุ๊คปกติทั่วไปไม่สามารถให้ได้ง่ายๆ

ConceptD 7 Ezelใช้เทคโนโลยีการระบายความร้อนด้วยพัดลมแบบพิเศษ AeroBlade 3D Gen 4 ใช้พัดลม 2 ตัว ตัวละ 59 ใบพัดขนาด 0.1 มิลลิเมตร ออกแบบพิเศษได้รับแรงบันดาลใจจากกลไกการบินที่เงียบสนิทและทรงพลังของนกฮูก ปลายใบพัดลมของเราจึงมีรอยหยักเพื่อให้อากาศผ่านได้มากขึ้น ซึ่งมีช่องระบายอากาศถึง 4 จุด อยู่ทางด้านหลังและด้านข้างของตัวเครื่อง เป่าไล่ลมร้อนผ่านชุดระบายที่แยกการระบายความร้อนระหว่างชิปประมวลผลและการ์ดจอด้วยฮีทไปป์รวมกันถึงหลายเส้น ที่ใหญ่กว่าทุกๆ รุ่นหายห่วงได้เลยในเรื่องของอุณหภูมิ และความทนทานในการใช้งานฮาร์ดแวร์ในระยาวไม่ว่าทำงานหนักแค่ไหนก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความร้อนสะสม

  

เรื่องของการดีไซน์ออกแบบ หลักๆ ConceptD 7 Ezel ยังมีทรงคล้ายๆ กับ ConceptD 7 เรียกได้ว่าถอดแบบกันมาเลยดีกว่า ซึ่งจากการที่ใช้วัสดุเป็นอลูมิเนียมตลอทั้งตัวเครื่องทำให้ดูแข็งแรงทนทานและหรูหรา รวมไปถึงการพกพาก็สะดวก ด้วยหน้าจอขอบบางทำให้แม้จะเป็นโน้ตบุ๊คหน้าจอขนาด 15.6″ แต่ขอบหน้าจอบางเฉียบให้มิติโดยรวมตัวเครื่องทั้งหมดมีขนาดที่เล็กกระชับ มีความบางที่ 17.9 มิลลิเมตรเท่านั้น นับว่ามีความบางเบากว่ารุ่นก่อนมาก รวมไปถึงการพกพาก็สะดวกยิ่งขึ้น กับน้ำหนักเบาเพียง 2.1 กิโลกรัม

สีสันก็ยังคงเอกลักษณ์สีขาวสว่างทั้งตัวเครื่อง ทำให้ดูเรียบง่ายเรียบเนียนสวยงาม พร้อมความพิเศษจากการที่ การใช้เทคโนโลยี Micro-Arc Oxidation เป็นการใช้ไฟฟ้าแรงสูงเผาวัสดุอลูมิเนียมก่อให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมีถึงระดับจุลภาค กำเนิดเป็น Magnesium-Lithium พื้นผิวเซรามิคเคลือบทับวัสดุอีกที ทำให้ตัวเครื่องทนทานต่อรอยขีดข่วนเรียบหรูคงทน พร้อมความหรูหราและสวยงาม

โดยฝาหลังของ ConceptD 7 Ezel เป็นอลูมิเนียมดูสวยงามดุดันซึ่งไม่มีสัญลักษณ์อะไรเลย นอกจากขอบฝาด้านบนจะเป็นคำว่า ConceptD ส่วนด้านในเหนือคีย์บอร์ดก็เป็นอีกจุกที่มีความว่า ConceptD เรียกได้ว่าไม่มีคำว่า Acer อยู่เป็นตัวเครื่องเลย ทำให้แตกต่างจากโน้ตบุ๊คของทาง Acer ที่เป็นรุ่นอื่นๆ ชัดเจนทีเดียว

  

ConceptD 7 Ezel  มีตัวเครื่องที่มาพร้อมกับหน้าจอใหญ่ถึง 15.6”ขอบหน้าจอบางก็จริง แต่ก็ยังสามารถที่จะติดตั้งคีย์บอร์ดแบบ Full Size มาให้ผู้ใช้งานได้ใช้กันได้อย่างสบายๆ โดยเลือกตัดคีย์ตัวเลข (Numpad) ออกไป โดยตัวปุ่มจะเป็นสีขาวเข้ากับตัวเครื่อง มีฟอนต์เป็นสีเทารวมไปถึงแป้นปุ่มตรงตัวอักษร WASD และปุ่มทิศทาง นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับไฟ Backlit สีส้มที่ดูแล้วโดดเด่นและแตต่าง (ปรับแสงได้ 5 ระดับ) ที่ให้ความสว่างพอสมควร ใช้งานในที่แสงน้อยหรือกลางคืนสบายๆ อีกทั้งเรื่องการกดการสัมผัสบนคีย์บอร์ดที่ปุ่มมีความนุ่มติดมือ รู้สึกได้เลยว่าดีกว่าโน้ตบุ๊คธรรมดาทั่วไปแน่นอน

ในส่วนทัชแพดนั้นจะมีขนาดกลางๆ ไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป ออกแบบปุ่มมาเป็นแบบชิ้นเดียวซ่อนปุ่มตามสมัยนิยมทั้งคลิกซ้ายคลิกขวา มีขอบเป็นสีเงินสวยงาม ให้ความลื่นไหลในการใช้งานเป็นอย่างดี ซึ่งตัวทัชแพดจะวางตัวไปทางด้านซ้ายของเครื่องเล็กน้อยไม่ได้อยู่ตรงกลางหน้าจอเป๊ะๆ โดยรวมก็สามารถใช้งานได้ดีไม่ปัญหาแต่อย่างใด

  

หน้าจอของ ConceptD 7 Ezel มีขนาด 15.6″ แบบ Screen-to-Body เป็น 81% ด้วยขอบจอบางเฉียบบนความละเอียด 4K UHD ที่ 3840 x 2160 พิกเซล ให้ทั้งความเรียบเนียนตาหรือพื้นที่ในการใช้งานมากกว่า Full HD หลายเท่าตัว กับพาเนล IPS แบบ 60Hz เกรดสูง มาตรฐาน PANTONE® Validated ให้ค่าความสีคลาดเคลื่อนเพียง Delta E < 2 พร้อมขอบเขตสีระดับ 100% Adobe RGB ให้สีสันที่สวยงามเที่ยงตรงแบบสุดๆ เหนือกว่าโน้ตบุ๊คปกติทั่วไป ที่สำคัญมีความสว่างมากๆ ที่ 400-nit ทำให้ใช้งานนอกสถานที่หรือตามสตูดิโอได้สบายๆ อีกทั้งยังปรับโปรไฟล์สีและมอนิเตอร์โหลดของระบบได้ผ่านโปรแกรม ConceptD Palette ได้ด้วย

ซึ่งตรงนี้ทำให้รองรับการทำงานระดับมืออาชีพได้สมบูรณ์แบบทีเดียว เหมาะกับงานที่จริงจังเรื่องสีสันและความละเอียดของหน้าจอ รวมไปถึงเมื่อใช้การดูภาพ ดูวิดีโอ และเล่นเกมก็ทำได้อย่างเป็นอย่างดี เรียกได้ว่าให้ประสบการณ์ใช้งานที่ดีทั้งทำงานแบบจริงจัง ส่วนบานพับก็แข็งแรงกว่าอื่นๆ พร้อมกางได้ถึง 145 องศา ซึ่งมียางรองพิเศษที่ช่วยยกตัวเครื่องให้สูงยิ่งขึ้น ทำให้ระบายความร้อนดียิ่งกว่า พร้อมติดตั้งกล้องเว็บแคมแบบ 720p และไมโครโฟนไว้ขอบตัวเเครื่องด้านบน ให้ความแตกต่างจากมาตรฐานของโน้ตบุ๊คทั่วไป

  

สำหรับปากกาสไตลัสที่ติดตั้งบนตัวเครื่องของ ConceptD 7 Ezel เป็นของแบรนด์ Wacom ที่ทุกคนมั่นใจได้ กับการใช้งานระดับมืออาชีพ คือความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติ พร้อมด้วยเทคโนโลยี EMR (Electro-Magnetic Resonance) ปากกาที่ไร้แบตเตอรี่พร้อมความไวต่อแรงกด 4,096 ระดับจึงมอบประสบการณ์การวาดภาพที่เป็นธรรมชาติอย่างต่อเนื่องตลอดการใช้งาน นอกจากนั้นยังมอบความสะดวกสบายด้วยการออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์และน้ำหนักที่เบาเพื่อนำเสนอความแม่นยำและการควบคุมให้แก่เรา โดยปากกาถูกติดั้งไว้ที่ขอบหน้าจอด้านขวาของตัวเครื่อง

  

ConceptD 7 Ezel จัดว่าเป็นโน้ตบุ๊คสายทำงานสร้างสรรค์ระดับมืออาชีพขนาดหน้าจอ 15.6″ ที่มีพอร์ตเชื่อมต่อที่ครบครันอีกรุ่นเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น 2 x USB 3.1 Type-A, 2 x Thunderbolt 3 (USB 3.1 Type-C, mini DisplayPort, USB-PD), HDMI, RJ45 และ Mic-in/Headphone-out แบบ Combo เรียกได้ว่าพอเพียงกับการใช้งานทั่วไปอย่างแน่นอน ที่สำคัญยังเลือกติดตั้งช่อง SD(XC/HC) Card reader ไว้ที่ขอบของด้านหน้าตัวเครื่องด้วย ส่วนการเชื่อมต่อไร้สายอย่างรองรับทั้ง Bluetooth 5.0 และอินเตอร์เน็ตไร้สายมาตรฐาน Wi-Fi 6 AX ที่เป็นมาตรฐานใหม่ล่าสุดดีที่สุด พร้อมมีเทคโนโลยี 2×2 MU-MIMO เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่อพ่วงทั้งหมดด้วยพอร์ตที่ครบครัน

  

สำหรับแนวคิดของ ConceptD 7 Ezel จะถูกว่าเป็นโน้ตบุ๊คที่เน้นการใช้งานประมวลผลสูง ๆ เป็นเวลานาน สเปคภายในใช้ชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10 H หรือ Intel Xeon รุ่นล่าสุด โดยทำงานร่วมกับการ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX / Quadro RTX รุ่นใหม่ที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมใช้งานโปรแกรมต่างๆ ประเภท VR, AI และการประมวลผล Big Data รวมไปถึงงานสร้างสรรค์ต่างๆ อย่างตระกูลของ Adobe

สนับสนุน Ray-Tracing  รองรับงานประมวลผลหนักๆ ไม่ว่าจะเป็น AI/deep learning, การจำลองทางวิศวกรรม และสตูดิโออนิเมชั่น ที่อยู่บนแพลตฟอร์ม Nvidia Studio ซึ่งจะมาพร้อมกับ SDKs และ APIs ที่ถูกเพิ่มเข้ามาช่วยให้ผู้ที่ทำงานทางด้านกราฟิกซึ่งใช้ฮาร์ดแวร์ของทาง NVIDIA สามารถใช้งานในการสร้างสรรค์งานได้ดีมากขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งจัดเต็มด้วยแรม ECC ขนาด 32GB และ SSD M.2 NVMe ที่ 2TB

สำหรับ ConceptD 7 Ezel มาในรูปแบบของ 2-in-1 Notebook ซึ่งมีดีไซน์ตัวเครื่องมาในทิศทางของ ConceptD 7 รุ่นปกติ โดยตัวเครื่องนั้นจะมาพร้อมกับแกนยึดหน้าจอที่สามารถปรับแต่งรูปแบบสำหรับการใช้งานได้ พร้อมหน้าจอทัชสกรีนขนาด 15.6″ 4K ด้วยมาตรฐาน AdobeRGB ที่ 100% (Delta E น้อยกว่า 2) ใช้กระจก Gorilla Glass 6 เรียกได้เป็นหน้าจอที่เทพมากๆ ทั้งความละเอียด คุณภาพ ค่าสี และขอบเขตสี ที่หาได้ยากในโน้ตบุ๊คปกติทั่วไป

สำหรับตัวหน้าจอยังรองรับการทำงานร่วมกับปากกาสไตลัสที่ทาง Acer ได้ร่วมกันพัฒนาขึ้นมากับทาง Wacom EMR ไม่ต้องชาร์จแบตเตอรี่และมีที่เก็บในตัวที่เรียบเนียน โดยตัวสไตลัสสามารถรองรับแรงกดได้ต่างกันถึง 4,096 ระดับ ใช้งานได้หลากหลาย ตั้งแต่การจดโน้ตหรือไฮไลต์ ไปจนถึงการวาดภาพ เรียกได้ว่าใกล้เคียงกับการใช้ปากกาจริงๆ อย่างที่สุด เมื่อใช้งานร่วมกับหน้าจอที่ปรับหมุนไปมาได้ ทำให้ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลายอย่างที่สุด ไว้มีโอกาสแอดมินโป้งจะมารีวิวตัวจริงกันอีกทีของ ConceptD 7 Ezel นะครับ

from:https://notebookspec.com/preview-conceptd-7-ezel-digital-content-creator/510904/