คลังเก็บป้ายกำกับ: OLED_NOTEBOOK

4 โน๊ตบุ๊ค Acer Intel Core i5 น่าใช้ จะเน้นเบาหรือเกมมิ่งก็มี เริ่ม 29,990 บาท

รวมโน๊ตบุ๊ค Acer Intel Core i5 รุ่นน่าซื้อช่วงปลายปี 2022 รวมทั้งสายทำงานและเกมมิ่งเลย

Share image Edit Name 1aceri5 1

หลังจากที่แนะนำโน๊ตบุ๊ค Acer Intel Core i7 ไปก่อนหน้านี้แล้ว โน๊ตบุ๊ค Acer Intel Core i5 ซึ่งทางบริษัทอัพเกรดซีพียูเป็น Intel 12th Gen แล้วก็จัดว่าน่าใช้ไม่แพ้กัน โดยซีพียู Intel ดังกล่าวมีคอร์ติดตั้งมาให้ 2 ชุด ได้แก่ P-Core สำหรับรันงานต่างๆ ซึ่งผู้ใช้กำลังใช้ทำงานอยู่และมี E-Core คอยซัพพอร์ตโดยเอาไว้จัดการงานเบื้องหลังของระบบ Windows เอง อย่างใช้รันระบบต่างๆ ของ Windows และโปรแกรมที่รันตัวเองในระบบเบื้องหลัง (Background) ให้ไม่ดึงประสิทธิภาพของ P-Core จนทำงานได้ไม่เต็มที่ จัดเป็นการดีไซน์ชุดคอร์ที่ดีทีเดียว

Advertisementavw

นอกจากได้ซีพียู Intel รุ่นใหม่แล้ว ทาง Acer ยังเอาไปติดตั้งในโน๊ตบุ๊คหลากหลายซีรี่ส์ ไม่ว่าจะเน้นคุ้มอัพเกรดได้ราคาต่อฟีเจอร์คุ้มค่าอย่าง Aspire, รุ่นน้ำหนักเบาฟีเจอร์ล้ำสมัยอย่าง Swift และสายเกมมิ่งอย่าง Nitro 5 ก็มีให้เลือก ครบทุกสไตล์ตอบโจทย์ทุกรูปแบบว่าอยากได้โน๊ตบุ๊คประเภทไหนไว้ทำงานก็มีให้ใช้ และข้อดีอีกอย่างของโน๊ตบุ๊ค Acer Intel Core i5 คือประสิทธิภาพของมันก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า Intel Core i7 เลย แต่ราคาเข้าถึงได้ง่ายกว่าพอควร ทำให้ผู้ใช้หลายๆ คนสนใจมากกว่าด้วย

โน๊ตบุ๊ค Acer Intel Core i5

สรุปสเปคซีพียูของโน๊ตบุ๊ค Acer Intel Core i5 มีให้ใช้กี่คอร์กี่เธรดกันนะ?

acer laptop swift 3 pick up and go l 1

สิ่งสำคัญจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับ Intel 12th Gen คือ เมื่อมีคอร์ 2 ชุดติดตั้งเอาไว้ในซีพียูตัวเดียว ทาง Intel ก็เขียนจำนวนคอร์เธรดทั้งหมดรวมกันจนดูมีปริมาณเยอะ แต่ให้ดีควรดูข้อมูลเชิงลึกด้วยว่า Intel ใส่ P-Core, E-Core มาเท่าไหร่ โดยซีพียูของโน๊ตบุ๊ค Acer Intel Core i5 ในบทความนี้จะมีทั้งหมด 2 รุ่นดังนี้

สเปคซีพียู Intel Core i5 คอร์, เธรด ความเร็ว ค่า TDP การ์ดจอ สถาปัตยกรรม
Intel Core
i5-1240p
12 คอร์
16 เธรด

แยกเป็น

4 P-Core
8 E-Core

3.3~4.4GHz 20 วัตต์ Intel Iris Xe Graphics Intel 7
Intel Core
i5-12500H
12 คอร์
16 เธรด

แยกเป็น

4 P-Core
8 E-Core

3.3~4.5GHz 35 วัตต์ Intel Iris Xe Graphics Intel 7

สรุปสเปคโน๊ตบุ๊ค Acer Intel Core i5 ทั้ง 4 รุ่น ถูกใจสายเกมมิ่งและทำงาน

สเปคโน๊ตบุ๊ค Acer Intel Core i5 CPU

GPU

SSD

RAM

Software

หน้าจอ

น้ำหนัก

การเชื่อมต่อ ราคา
(บาท)
Acer Aspire 7 A715-51G-51HN Intel Core
i5-1240P

NVIDIA GeForce RTX 3050

M.2 NVMe
512GB

8GB DDR4
3200MHz

Windows 11 Home

15.6″ FHD
IPS

Refresh Rate 144Hz

2.15 กก.

USB-A 3.2 x 3

USB-C 3.2 x 1 รองรับ Thunderbolt

HDMI x 1

LAN x 1

Audio combo x 1

Wi-Fi 6

Bluetooth 5.1

29,990
Acer Swift 3 SF314-71-50E8 Intel Core
i5-12500H

Intel Iris Xe Graphics

M.2 NVMe
512GB

16GB LPDDR5
4800MHz

Windows 11 Home

Microsoft Office Home & Student 2021

14″ 2.8K HDR
(2880×1800)
OLED

1.4 กก.

USB-A 3.2 x 2

USB-C 3.2 x 2 รองรับ Thunderbolt

HDMI x 1

Audio combo x 1

Wi-Fi 6E

Bluetooth 5.2

31,990
Acer Nitro 5 AN515-58-52BB Intel Core
i5-12500H

NVIDIA GeForce RTX 3050

M.2 NVMe
512GB

16GB DDR4
3200MHz

Windows 11 Home

15.6″ FHD IPS

Refresh Rate 165Hz

2.5 กก.

Thunderbolt 4 x 1

USB-A 3.2 x 3

HDMI x 1

LAN x 1

Audio combo x 1

Wi-Fi 6

Bluetooth 5.1

35,990
Acer Nitro 5 AN515-58-56HV Intel Core
i5-12500H

NVIDIA GeForce RTX 3060

M.2 NVMe
512GB

16GB DDR5
4800MHz

15.6″ FHD IPS

Refresh Rate 165Hz

2.5 กก.

Thunderbolt 4 x 1

USB-A 3.2 x 3

HDMI x 1

LAN x 1

Audio combo x 1

Wi-Fi 6

Bluetooth 5.1

45,990

4 โน๊ตบุ๊ค Acer Intel Core i5 รุ่นน่าใช้ ทำงานได้ เล่นเกมก็ดี ซื้อเอาไว้ใช้เวิร์คแน่นอน

ผู้ใช้คนไหนที่มองหาโน๊ตบุ๊ค Acer Intel Core i5 ณ ช่วงปลายปี 2022 แล้วจะใช้ทำงานไปอีก 3-4 ปี ล่ะก็ ทาง Acer ก็มีโน๊ตบุ๊คทั้งสายทำงานและเกมมิ่งให้เลือก โดยผู้เขียนเลือกรุ่นน่าสนใจมาให้ทั้งหมด 4 รุ่น โดยมีชื่อรุ่นดังนี้

  1. Acer Aspire 7 A715-51G-51HN (29,990 บาท)
  2. Acer Swift 3 SF314-71-50E8 (31,990 บาท)
  3. Acer Nitro 5 AN515-58-52BB (35,990 บาท)
  4. Acer Nitro 5 AN515-58-56HV (45,990 บาท)
1. Acer Aspire 7 A715-51G-51HN (29,990 บาท)

aspire7i5 1

โน๊ตบุ๊ค Acer Intel Core i5 เครื่องแรกเป็นรุ่น Acer Aspire 7 A715-51G-51HN ซึ่งจุดเด่นของโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้ นอกจากได้การ์ดจอแยก NVIDIA ติดตั้งมาให้ใช้ทำงานกราฟิคตัดต่อและเล่นเกมได้ระดับหนึ่งแล้ว ยังได้เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือกับหน้าจอค่า Refresh Rate 144Hz อีกด้วย เหลือแค่อัพเกรดแรมเป็น 16GB DDR4 เท่านี้ก็น่าใช้งานมากแล้ว

ซีพียูเป็น Intel Core i5-1240P แบบ 12 คอร์ 16 เธรด (4P+8E) ความเร็ว 3.3~4.4GHz จับคู่การ์ดจอแยก NVIDIA GeForce RTX 3050 แรม 4GB GDDR6 กับหน้าจอขนาด 15.6 นิ้ว ความละเอียด Full HD พาเนล IPS ค่า Refresh Rate 144Hz มี M.2 NVMe SSD ความจุ 512GB ติดตั้ง Windows 11 Home กับแรม 8GB DDR4 บัส 3200MHz มาให้ใช้ ตัวเครื่องมีพอร์ต USB-A 3.2 x 3, USB-C 3.2 x 1 รองรับ Thunderbolt, HDMI x 1, LAN x 1, Audio combo x 1 เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ด้วย Wi-Fi 6 มาตรฐาน 802.11ax รองรับ Bluetooth 5.1 ได้ในตัว ส่วนน้ำหนักเครื่อง 2.15 กิโลกรัม จากสเปคต้องถือว่าเป็นโน๊ตบุ๊ค Acer Intel Core i5 ที่น่าสนใจ ใช้ทำงานได้เล่นเกมก็ดีและหน้าตาก็เรียบร้อยดีด้วย

สเปคของ Acer Aspire 7 A715-51G-51HN
  • CPU : Intel Core i5-1240P แบบ 12 คอร์ 16 เธรด (4P+8E) ความเร็ว 3.3~4.4GHz
  • GPU : NVIDIA GeForce RTX 3050 แรม 4GB GDDR6
  • SSD : M.2 NVMe SSD ความจุ 512GB
  • RAM : 8GB DDR4 บัส 3200MHz
  • Display : 15.6 นิ้ว ความละเอียด Full HD พาเนล IPS ค่า Refresh Rate 144Hz
  • Ports : USB-A 3.2 x 3, USB-C 3.2 x 1 รองรับ Thunderbolt, HDMI x 1, LAN x 1, Audio combo x 1
  • Wireless : Wi-Fi 6 มาตรฐาน 802.11ax รองรับ Bluetooth 5.1
  • Webcam : 720p HD Camera
  • Software : Windows 11 Home
  • Weight : 2.15 กิโลกรัม
  • Price : 29,990 บาท (BaNANA)
2. Acer Swift 3 SF314-71-50E8 (31,990 บาท)

swiftoled 1

โน๊ตบุ๊ค Acer Intel Core i5 รุ่นถัดมาก็ยังเป็นสเปคสายทำงานอย่าง Acer Swift 3 SF314-71-50E8 ซึ่งทางบริษัทอัพเกรดพาเนลหน้าจอเป็น OLED และติดตั้งเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือกับ Microsoft Office ตัวเต็มมาให้และยังออกแบบให้ตัวเครื่องน้ำหนักเบาเพียง 1.4 กิโลกรัม มันจึงพกติดกระเป๋าไปไหนมาไหนได้ง่ายด้วย

ซีพียูได้รุ่น Intel Core i5-12500H มี 12 คอร์ 16 เธรด (4P+8E) ความเร็ว 3.3~4.5GHz ใช้การ์ดจอออนบอร์ด Intel Iris Xe Graphics หน้าจอมีขนาด 14 นิ้ว ความละเอียด 2.8K HDR (2880×1800) พาเนล OLED ติดตั้ง M.2 NVMe SSD ความจุ 512GB พร้อม Windows 11 Home และ Microsoft Office Home & Student 2021 มาให้ มีแรม 16GB LPDDR5 บัส 4800MHz ให้ใช้งาน พอร์ตมี USB-A 3.2 x 2, USB-C 3.2 x 2 รองรับ Thunderbolt, HDMI x 1, Audio combo x 1 เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตด้วย Wi-Fi 6E มาตรฐาน 802.11ax รองรับ Bluetooth 5.2 หากใครหาซื้อโน๊ตบุ๊คบางเบาพกพาสะดวก สเปคดีทำงานไหลลื่นก็ซื้อ Swfit 3 รุ่นนี้ไปใช้ได้เลย

สเปคของ Acer Swift 3 SF314-71-50E8
  • CPU : Intel Core i5-12500H มี 12 คอร์ 16 เธรด (4P+8E) ความเร็ว 3.3~4.5GHz
  • GPU : Intel Iris Xe Graphics
  • SSD : M.2 NVMe SSD ความจุ 512GB
  • RAM : 16GB LPDDR5 บัส 4800MHz
  • Display : 14 นิ้ว ความละเอียด 2.8K HDR (2880×1800) พาเนล OLED
  • Ports : USB-A 3.2 x 2, USB-C 3.2 x 2 รองรับ Thunderbolt, HDMI x 1, Audio combo x 1
  • Wireless : Wi-Fi 6E มาตรฐาน 802.11ax รองรับ Bluetooth 5.2
  • Webcam : 720p HD Camera
  • Software : Windows 11 Home, Microsoft Office Home & Student 2021
  • Weight : 1.4 กิโลกรัม
  • Price : 31,990 บาท (BaNANA)
3. Acer Nitro 5 AN515-58-52BB (35,990 บาท)

nitro51 1

ด้านเกมมิ่งโน๊ตบุ๊ค Acer Intel Core i5 สำหรับเล่นเกมและทำงานครีเอเตอร์อย่างตัดต่อหรือแต่งภาพได้ด้วยมี Acer Nitro 5 AN515-58-52BB รุ่นดีไซน์บอดี้ตัวเครื่องใหม่และติดตั้งพอร์ต Thunderbolt 4 ให้เลือกซื้อ หากผู้ใช้คนไหนสนใจสามารถอ่านรีวิวฉบับเต็มได้ที่นี่

ซีพียูเป็น Intel Core i5-12500H แบบ 12 คอร์ 16 เธรด (4P+8E) ความเร็ว 3.3-4.5GHz จับคู่การ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX 3050 แรม 4GB GDDR6 กับหน้าจอ 15.6 นิ้ว ความละเอียด Full HD พาเนล IPS ค่า Refresh Rate 165Hz มี M.2 NVMe SSD ความจุ 512GB ติดตั้ง Windows 11 Home มาให้ มีแรม 16GB DDR4 บัส 3200MHz จากโรงงาน ไม่ต้องอัพเกรดก็ได้เช่นกัน ส่วนพอร์ตมี Thunderbolt 4 x 1, USB-A 3.2 x 3, HDMI x 1, LAN x 1, Audio combo x 1 เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่าน Wi-Fi 6 มาตรฐาน 802.11ax รองรับ Bluetooth 5.1 ส่วนน้ำหนักเครื่องอยู่ที่ 2.5 กิโลกรัม ซึ่งโน๊ตบุ๊ค Acer Intel Core i5 รุ่นนี้ถือว่าครบเครื่องไม่ต้องเสียเงินอัพเกรดก็ยังได้ อย่างมากอาจจะเติม M.2 NVMe SSD ตัวรองเข้าไปอีกสักหน่อยก็พอแล้ว

สเปคของ Acer Nitro 5 AN515-58-52BB
  • CPU : Intel Core i5-12500H แบบ 12 คอร์ (4P+8E) 16 เธรด ความเร็ว 3.3-4.5GHz
  • GPU : NVIDIA GeForce RTX 3050 แรม 4GB GDDR6
  • SSD : แบบ M.2 NVMe ความจุ 512GB 
  • RAM : 16GB DDR4 บัส 3200MHz
  • Display : 15.6 นิ้ว ความละเอียด Full HD พาเนล IPS ค่า Refresh Rate 165Hz
  • Ports : Thunderbolt 4 x 1, USB-A 3.2 x 3, HDMI x 1, LAN x 1, Audio combo x 1
  • Wireless : Wi-Fi 6 มาตรฐาน 802.11ax รองรับ Bluetooth 5.1
  • Webcam : 720p HD Camera 
  • Software : Windows 11 Home
  • Weight : 2.5 กิโลกรัม
  • Price : 35,900 บาท (ราคากลาง)
4. Acer Nitro 5 AN515-58-56HV (45,990 บาท)

nitro52 1

โน๊ตบุ๊ค Acer Intel Core i5 รุ่นสุดท้ายในบทความนี้เป็น Acer Nitro 5 AN515-58-56HV ซึ่งแชร์สเปคร่วมกับ Nitro 5 ในข้อก่อนแทบทั้งหมด แต่อัพเกรดการ์ดจอเป็น NVIDIA GeForce RTX 3060 แรม 6GB GDDR6 และได้แรมเป็น 16GB DDR5 บัส 4800MHz แทน หากใครจะซื้อเกมมิ่งโน๊ตบุ๊คตัวแรงไว้เล่นเกมและใช้ทำงานได้อีกหลายๆ ปีก็ลงทุนซื้อเครื่องนี้ไปใช้ได้เลย

สเปคของ Acer Nitro 5 AN515-58-56HV
  • CPU : Intel Core i5-12500H แบบ 12 คอร์ (4P+8E) 16 เธรด ความเร็ว 3.3-4.5GHz
  • GPU : NVIDIA GeForce RTX 3060 แรม 6GB GDDR6
  • SSD : แบบ M.2 NVMe ความจุ 512GB 
  • RAM : 16GB DDR5 บัส 4800MHz
  • Display : 15.6 นิ้ว ความละเอียด Full HD พาเนล IPS ค่า Refresh Rate 165Hz
  • Ports : Thunderbolt 4 x 1, USB-A 3.2 x 3, HDMI x 1, LAN x 1, Audio combo x 1
  • Wireless : Wi-Fi 6 มาตรฐาน 802.11ax รองรับ Bluetooth 5.1
  • Webcam : 720p HD Camera 
  • Software : Windows 11 Home
  • Weight : 2.5 กิโลกรัม
  • Price : 45,900 บาท (ราคากลาง)

acer laptop swift 3 kick start your productivity l 1 1

สุดท้ายแล้วแม้ผู้เขียนจะนำโน๊ตบุ๊ค Acer Intel Core i5 12th Gen มาแนะนำกลุ่มเดียวก็ตาม แต่อันที่จริงโน๊ตบุ๊ค Acer ซีพียู Intel 11th Gen ก็ยังมีให้เลือกซื้ออยู่ในท้องตลาดอีกมากพอสมควรเลย และประสิทธิภาพของมันในแง่ใช้งานจริงก็นับว่าใช้งานได้ดีทีเดียว และบางร้านก็จัดโปรโมชั่นแถมอุปกรณ์เสริมหรืออัพเกรดแรมให้ด้วย ซึ่งถ้าใครมีงบจำกัดอาจจะไปมองโน๊ตบุ๊คกลุ่มนั้นเป็นตัวเลือกเสริมก็ได้เช่นกัน แต่ถ้าใครอยากสัมผัสเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดของ Intel ก็ดูตามโจทย์การใช้งานแล้วค่อยเลือกซื้อจะดีที่สุด


บทความที่เกี่ยวข้อง

Share image Edit Name 2acer 2022 office

Share image Edit Name 3acergameon 1

Share image Edit Name 2acer 1

from:https://notebookspec.com/web/679302-4-recommend-acer-intel-core-i5-laptop

Advertisement

รีวิว ASUS Vivobook S 14 Flip OLED ครบเครื่องในราคา 31,990 บาท ได้ปากกา, จอทัชพาเนลเทพ, สแกนลายนิ้วมือ ลองใช้แล้วจะชอบ!

ASUS Vivobook S 14 Flip OLED ทำงานอย่างสะดวก อัพเกรดเพิ่มแรมสบายๆ น่าใช้ไปอีก!

Share image Edit Name 1vivobook 1

ในช่วงปีที่ผ่านมา ผู้ใช้หลายๆ คน จะเห็นว่าโน๊ตบุ๊คหลายๆ รุ่น รวมทั้ง ASUS Vivobook S 14 Flip OLED นี้เริ่มเปลี่ยนผ่านพาเนลหน้าจอจาก IPS ที่ได้รับความนิยมมาหลายปีมาใช้พาเนล OLED มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจอ OLED ของ ASUS Vivobook รุ่นนี้นอกจากจะได้ความละเอียดสูง 2.8K (2880×1800) อัตราส่วน 16:10 แล้ว ยังปิดด้วยกระจก Corning Gorilla Glass NBT ที่มีความแข็งแรง แสดงผลแบบ HDR แสดงขอบเขตสีได้กว้าง 100% DCI-P3 มีค่าความเที่ยงตรง Delta-E <2 ได้รับการรับรอง VESA DisplayHDR True Black 600 รวมทั้งปรับค่า Refresh Rate ได้ 2 ระดับ คือ 60Hz หรือ 90Hz ก็ได้ เป็นจุดเด่นแรกของโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้

Advertisementavw

ถัดมา เมื่อ ASUS Vivobook S 14 Flip OLED นี้มีชื่อย่อย “Flip” แล้ว มันจึงพับหน้าจอกลับ 360 องศาเป็นแท็บเล็ตได้และมี ASUS Pen 2.0 เอาไว้เขียนวาดบนหน้าจอได้สะดวก พิมพ์งานได้ดีด้วยปุ่มคีย์บอร์ด Full-sized ดีไซน์ Dished key caps ซึ่งตรงกลางปุ่มจะโค้งลง 0.2 มิลลิเมตร ทำให้ทรงปุ่มคีย์บอร์ดช่วยนำร่องตอนพิมพ์งานไปในตัวพิมพ์ได้แม่นยำ และยังกดปุ่มตัวเลขได้ง่ายเพราะทัชแพดเป็น ASUS NumberPad 2.0 ด้วย เวลาต้องพิมพ์ตัวเลขในโปรแกรม Microsoft Office Home & Student 2021 ที่แถมมาในเครื่องได้ง่าย

นอกจากนี้ฟีเจอร์ดีๆ ที่ทาง ASUS ติดตั้งมาให้ใน ASUS Vivobook S 14 Flip OLED มีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ปุ่ม Power, บานชัตเตอร์สไลด์ปิดกล้องเว็บแคม 3DNR ความละเอียด Full HD ช่วยป้องกันผู้อื่นแฮ็คเข้ามาใช้กล้องโดยไม่ได้อนุญาต, พอร์ต Thunderbolt 4 ไว้ต่อหน้าจอแยกแบบ DisplayPort และชาร์จแบตเตอรี่แบบ Power Delivery ในตัว, ระบบระบายความร้อน ASUS IceCool ให้เครื่องเย็นตลอดเวลา, ลำโพงพร้อมชิป Smart amp ที่ได้เสียงดังกว่าปกติ 3.5 เท่า จูนเสียงโดย harman/kardon รองรับเสียงแบบ Dolby Atmos พร้อมซีพียู Intel 12th Gen ประสิทธิภาพสูง ก็ถือว่า ASUS Vivobook S 14 Flip OLED เป็นโน๊ตบุ๊คบางเบาประสิทธิภาพดีและน่าใช้มาก

ASUS Vivobook S 14 Flip OLED

NBS Verdicts

ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00163

ASUS Vivobook S 14 Flip OLED นี้เป็นโน๊ตบุ๊คสายทำงานที่น่าใช้ ไม่ใช่แค่เพราะติดตั้งซีพียู Intel 12th Gen มาให้ แต่ต้องรวมถึงหน้าจอทัช 14 นิ้ว ความละเอียด 2.8K พาเนล OLED แสดงผลขอบเขตสีได้ 100% DCI-P3 ได้การันตี VESA DisplayHDR True Black 500 และพับเครื่องกลับเป็นแท็บเล็ตได้และยังมีปากกา ASUS Pen 2.0 แถมมาให้ในแพ็คเกจ ใช้วาดเขียนหรือจดบันทึกเข้าไปในเครื่องได้สะดวก จัดว่าใช้งานได้ดีและสะดวกมาก

ด้านความปลอดภัยก็ครบครัน เนื่องจากทางบริษัทติดตั้งเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือรวมมาให้กับปุ่ม Power และมีบานสไลด์ปิดกล้องเว็บแคมด้วย ช่วยรักษาความเป็นส่วนตัวของเจ้าของเครื่องได้ดียิ่งขึ้น ไม่ให้ใครขโมยใช้โดยพลการได้ หรือจะทำงานก็สะดวกด้วย ASUS NumberPad 2.0 ติดตั้งมาตรงทัชแพดให้กดตัวเลขได้สะดวกยิ่งขึ้น และทางบริษัทยังมี Microsoft Office Home & Student 2021 ติดตั้งมาให้ควบคู่กับ Windows 11 Home ด้วย ผู้ใช้ก็ไม่ต้องเสียเงินซื้อโปรแกรมเพิ่มเลย

ด้านการอัพเกรดก็จัดว่าครบเครื่องแต่ก็ยังน่าสังเกต คือ แม้ ASUS Vivobook S 14 Flip OLED จะถูกออกแบบมาให้บางเบา แต่ก็ยังเพิ่มแรมจากที่ติดออนบอร์ดมา 8GB DDR4 บัส 3200MHz ไปได้มากสุด 16GB DDR4 ให้ผู้ใช้กลุ่มที่ต้องรันโปรแกรมใหญ่หรือเปิดหลายโปรแกรมพร้อมกันได้ดีแน่นอน แต่ในเครื่องก็จะมีช่อง M.2 NVMe SSD อินเตอร์เฟส PCIe 4.0 x4 เพียงช่องเดียว หาก SSD จากโรงงานเร็วไม่พอก็อาจจะถอดอัพเกรดเป็นรุ่นอื่นที่รวดเร็วกว่านี้ก็ได้

ส่วนพอร์ตของ ASUS Vivobook S 14 Flip OLED มีทั้งจุดที่ดีและน่าสังเกตควบคู่กัน ซึ่งทางบริษัทก็ติดตั้งพอร์ต Thunderbolt 4 มาให้ใช้ จะต่อผ่าน USB-C Multiport Adapter ขยายเป็นพอร์ตอื่นๆ รวมถึงต่อหน้าจอแยกและชาร์จแบตเตอรี่ก็ได้ในพอร์ตเดียวและยังมีพอร์ตพื้นฐาน เช่น USB-A, HDMI, Audio combo ติดตั้งมาในตัว แต่จุดสังเกตเล็กน้อยคือ พอร์ต USB 2.0 นั้นหากเลือกได้ ก็อยากให้เปลี่ยนเป็น MicroSD Card Reader แทนจะยอดเยี่ยมที่สุด

ข้อดีของ ASUS Vivobook S 14 Flip OLED
  1. งานประกอบตัวเครื่องแข็งแรง พับหน้าจอกลับได้ 360 องศา ใช้เป็นแท็บเล็ตได้ในตัว
  2. ขนาดตัวเครื่องเบาพกพาง่ายเพียง 1.5 กิโลกรัม เหมาะกับผู้ที่พกโน๊ตบุ๊คไปไหนมาไหน
  3. มีปากกา ASUS Pen 2.0 แถมมาให้ใช้วาดเขียนและจดได้ง่าย ชาร์จด้วยพอร์ต USB-C
  4. ติดตั้ง Windows 11 Home กับ Microsoft Office Home & Student 2021 มาให้
  5. ใช้ซีพียู Intel Core i5-12500H ซึ่งประสิทธิภาพสูง รันงานหนักได้เป็นอย่างดี
  6. มีแรมออนบอร์ด 8GB DDR4 และมีช่อง SO-DIMM ให้ใส่เสริมได้อีก 8GB อีกด้วย
  7. มีพอร์ต Thunderbolt 4 กับพอร์ตพื้นฐานอย่าง HDMI, USB-A ติดตั้งมาให้ครบถ้วน
  8. หน้าจอ 14 นิ้ว มีความละเอียดสูงและขอบเขตสีกว้าง 100% DCI-P3 ได้รับการรับรอง VESA DisplayHDR True Black 500 ด้วย
  9. มีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือติดตั้งมาให้ ปลดล็อคเครื่องได้สะดวกรวดเร็ว
  10. มีบานสไลด์ปิดกล้องเว็บแคมเวลาไม่ใช้งาน ป้องกันการถูกเจาะระบบเข้ามาใช้งาน
  11. ระบบระบายความร้อน ASUS IceCool ระบายความร้อนได้ดี ไม่เกิดอาการ Throttle ลดประสิทธิภาพระหว่างใช้งานแม้แต่น้อย
  12. แป้นทัชแพด ASUS NumberPad 2.0 พิมพ์ตัวเลขได้สะดวกเหมือน Numpad จริงๆ
  13. ปุ่มคีย์บอร์ด Dished Key Caps ทรงปุ่มโค้งและขนาด Full-size พิมพ์ได้สะดวกแม่นยำ
ข้อสังเกตของ ASUS Vivobook S 14 Flip OLED
  1. ถ้าเปลี่ยน USB 2.0 เป็น MicroSD Card Reader จะมีประโยชน์ต่อผู้ใช้มากกว่า
  2. ไม่มีคีย์ลัดปรับค่า Refresh Rate ของหน้าจอติดมาให้ที่ Function Hotkey

รีวิว ASUS Vivobook S 14 Flip OLED

Specification

ASUS Vivobook S 14 Flip OLED

ASUS Vivobook 14 Flip OLED เป็นโน๊ตบุ๊คสายทำงานหน้าจอทัชที่พับเครื่องเป็นแท็บเล็ตได้, มีปากกาสไตลัสให้ใช้เขียนจดบนหน้าจอได้สะดวก และยังได้เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือติดตั้งมาให้ที่ปุ่ม Power อีกด้วย จัดเป็นโน๊ตบุ๊คน่าใช้อีกรุ่นหนึ่ง โดยมีรายละเอียดสเปคดังนี้

สเปคของ Asus Vivobook S 14 Flip OLED TP3402ZA-KN501WS
  • CPU : Intel Core i5-12500H แบบ 12 คอร์ 16 เธรด (4P+8E) ความเร็ว 3.3-4.5GHz
  • GPU : Intel Iris Xe Graphics
  • SSD : แบบ M.2 NVMe ความจุ 512GB
  • RAM : ออนบอร์ด 8GB DDR4 บัส 3200 MHz เพิ่มแรม SO-DIMM ได้อีก 8GB
  • Display : จอทัช 14 นิ้ว ความละเอียด 2.8K (2880×1800) พาเนล OLED HDR ค่า Refresh Rate 60~90Hz ขอบเขตสีกว้าง 100% DCI-P3 ได้รับการรับรอง VESA DisplayHDR True Black 500 และได้รับการรับรองจาก PANTONE Validated
  • Ports : USB 2.0 x 1, USB-A 3.2 Gen 2 x 1, Thunderbolt 4 x 1, HDMI 2.1 x 1, Audio combo x 1
  • Wireless : Wi-Fi 6 มาตรฐาน 802.11ax รองรับ Bluetooth 5.1
  • Webcam : 1080p Full HD Camera 
  • Software : Windows 11 Home, Microsoft Office Home & Student 2021
  • Weight : 1.5 กิโลกรัม
  • Price : 31,990 บาท (ราคากลาง)

Hardware & Design

ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00158

ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00189
ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00191
ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00182
ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00192

ดีไซน์ของ ASUS Vivobook S 14 Flip OLED จะดูเรียบง่าย แต่มีรายละเอียดเก็บเอาไว้ตามจุดต่างๆ ไม่ว่าจะก้านบานพับหน้าจอและก้านพลาสติกรองบอดี้ตัวเครื่องติดไว้ 4 มุม ได้แก่ ขอบล่างของก้านบานพับหน้าจอและขอบล่างที่วางข้อมือ เวลาพับเป็นแท็บเล็ตแล้ววางบนพื้นโต๊ะ บอดี้จะไม่เกิดรอยขูดเสียหาย และขอบด้านล่างใต้ทัชแพดจะตัดบอดี้เฉียงไว้เล็กน้อยให้ผู้ใช้ใช้มือข้างเดียวกางจอเปิดเครื่องใช้ได้สะดวกขึ้น ซึ่งทางบริษัทบาลานซ์น้ำหนักได้ดี ไม่มีอาการตัวเครื่องกระดกตามหน้าจอขึ้นมาเลย

ถ้าสังเกตจะเห็นว่าระหว่างแป้นคีย์บอร์ดกับทัชแพด จะมีเส้นระยะเส้นเสียงแนวนอน (Sound Wave) พร้อมคำว่า “Ready To Explore” กับโลโก้ Sound by harman/kardon การันตีว่าลำโพงของ ASUS Vivobook S 14 Flip OLED ได้รับการจูนเสียงลำโพงมาเรียบร้อยแล้ว เป็นรายละเอียดดีไซน์เล็กๆ น้อยๆ ให้ตัวเครื่องดูสวยแตกต่าง ไม่เรียบเกินไป

ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00168

ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00170
ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00147

ตัวก้านบานพับหน้าจอของตระกูล Flip จะเป็นก้านดีไซน์แผ่นแบน เมื่อกางหน้าจอจะพลิกกลับให้พับจอกลับ 360 องศาเป็นแท็บเล็ตแล้ว ก็ใช้นิ้วหรือปากกา ASUS Pen 2.0 ทำงานกับโปรแกรมต่างๆ ของโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้ได้ทันที หากใครต้องเข้าประชุมหรือเลคเชอร์จดโน๊ตบันทึกข้อมูลอยู่บ่อยๆ ก็ซื้อ ASUS Vivobook S 14 Flip OLED เอาไว้ใช้งานรับหมดทุกหน้าที่ได้เลย

เมื่อเปิดฝาจะเห็นฐานบานพับหน้าจอกับตัวก้านจอว่าทาง ASUS ใช้ก้านโลหะยึดระหว่างเครื่องและจอเอาไว้ และมีระยะห่างระหว่างชิ้นส่วนใหญ่สองชิ้นพอดีจึงกางได้มั่นคงแข็งแรงทีเดียว ต่อให้พับกลับไปมาระหว่างโหมดโน๊ตบุ๊คและแท็บเล็ตหลายๆ ครั้งก็ไม่มีปัญหา ซึ่งผู้เขียนเองก็ทดลองพับจอกลับเป็นแท็บเล็ตแล้วกลับเป็นโน๊ตบุ๊คหลายต่อหลายครั้ง ตัวบานพับก็ยังแข็งแรงทนทานไม่มีอาการหลวมให้รู้สึกเลยแม้แต่นิดเดียว

ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00155

ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00156
ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00154

ฝาหลังของตัวเครื่องจะใช้ดีไซน์เรียบๆ สีเดียวแต่ติดเพลตดีไซน์เฉพาะของ ASUS Vivobook ไว้ฝั่งขวามือ โดยแยกเป็นสองชิ้นทั้งลายแถบเอกลักษณ์ของซีรี่ส์นี้และเพลตบอกซีรี่ส์ ASUS Vivobook พร้อมคำขวัญอย่าง “Explore The Possibilities”, #GoFurther, #BeFearless ด้วย 

ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00150

ด้านใต้เครื่องจะมีช่องสำหรับรับอากาศเย็นเข้าทั้งหมด 3 แถว ตีเส้นช่องแนวเฉียงและเว้นระยะระหว่างช่องส่วนกลางและฝั่งซ้าย, ขวาของตัวเครื่องเอาไว้เล็กน้อย ส่วนช่องระบายความร้อนอยู่ที่ด้านหลังและข้างเครื่องฝั่งซ้ายมือเมื่อวางเครื่องใช้งานตามปกติ ติดแถบยางรองใต้เครื่องไว้ 3 เส้น เป็นเส้นยาวขอบบนและเส้นสั้นอีกสองเส้นขอบล่างทั้งสองมุมถัดจากลำโพงเครื่องเข้ามา

Screen & Speaker

ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00193

ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00196
ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00198
ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00199
ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00200

หน้าจอขนาด 14 นิ้วของ ASUS Vivobook S 14 Flip OLED จะดีไซน์ขอบหน้าจอบางที่ริมทั้งสองด้านและรีดขอบหน้าจอส่วนบนให้บางที่สุดแต่ยังติดตั้งกล้องเว็บแคมแบบ 3DNR ความละเอียด Full HD กับไมค์พร้อมระบบ AI-Noise Cancelling มาให้ เวลาไม่ต้องการใช้กล้องก็ใช้เล็บเลื่อนบานสไลด์ปิดกล้องเอาไว้ได้ ซึ่งถ้าบานสไลด์ปิดกล้องอยู่จะเห็นเป็นจุดสีส้มอยู่

display

จุดเด่นของหน้าจอนี้ นอกจากพาเนล OLED แล้ว ยังได้ความละเอียดสูง 2.8K (2880×1800) พิกเซล ปรับค่า Refresh Rate ได้ว่าต้องการใช้งานตามปกติก็คงเอาไว้ 60Hz หรือชอบภาพลื่นไหลก็เปลี่ยนไป 90Hz ก็ได้ ด้านขอบเขตสีทางบริษัทเคลมเอาไว้ 100% DCI-P3 ได้รับการรับรองจากทาง PANTONE Validated รวมทั้ง VESA DisplayHDR True Black 500 การันตีว่าจอนี้แสดงผลสีดำได้ดำสนิทแน่นอน

gamut
luminance

ด้านขอบเขตสีหน้าจอเมื่อทดสอบและตั้งค่าด้วยโปรแกรม DisplayCal 3 จะเห็นว่าหน้าจอก่อนตั้งค่าแสดงขอบเขตสีได้กว้าง 100% sRGB, 94.5% Adobe RGB และ 99.8% DCI-P3 ซึ่งขอบเขตสีเดิมจากโรงงานก็จัดว่าใกล้เคียงกับที่ ASUS เคลมเอาไว้แล้ว และพอคาลิเบรตเสร็จจะเห็นว่าขอบเขตสีของ ASUS Vivobook S 14 Flip OLED ดีขึ้นมาก โดยเพิ่มขึ้นไปเป็น 170.9% sRGB, 117.7% Adobe RGB และ 121% DCI-P3 ได้ค่าความเที่ยงตรงสี Delta-E เฉลี่ย 0.09 เท่านั้น ถือว่าหน้าจอของ ASUS Vivobook นี้ใช้พรู้ฟสีงานอาร์ต, แต่งภาพถ่ายหรือนักวาดภาพจะซื้อเอาไว้วาดภาพประกอบก็ดีมาก ใช้งานสะดวกเหมือนวาดด้วยเมาส์ปากกาไม่มีผิด

หน้าจอความสว่างเอาไว้ 100% เมื่อวัดด้วย DisplayCal 3 จะได้ค่าความสว่าง 375.81 cd/m2 ซึ่งสว่างพอใช้งานได้เป็นอย่างดี สามารถเร่งความสว่างสู้แสงแดดที่ส่องสะท้อนจอตอนใช้งานนอกอาคารได้สบายๆ หรือถ้าแสงแดดลอดหน้าต่างมาสะท้อนจอก็ไม่มีปัญหาแน่นอน และถ้าใช้ในออฟฟิศ ผู้เขี่ยนแนะนำให้ปรับความสว่างไว้ 60% ให้ความสว่างอยู่ราว 200 cd/m2 ก็สว่างเพียงพอแล้ว

ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00152
ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00151
ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00144
ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00145

ลำโพงของตัวเครื่องทั้ง 2 ดอกที่ harman/kardon มาปรับจูนเสียงให้และมีชิป Smart Amp ไว้เร่งเสียงให้ดังกว่าเดิม 3.5 เท่านั้น เมื่อวัดด้วยเครื่องวัดเสียงแล้วจะได้ความดังราว 85dB ส่วนเนื้อเสียงจะแตกต่างจากลำโพงโน๊ตบุ๊ครุ่นอื่นๆ ซึ่งผู้เขียนเคยทดลองรีวิวมาก่อนหน้านี้ ซึ่งโทนเสียงจะเน้นไปทางเครื่องดนตรีกับนักร้องเป็นหลัก มีเสียงเบสของลำโพงคอยซัพพอร์ตเสียงให้มีมิติยิ่งขึ้น แต่ก็ไม่ดังจนกลบเสียงอื่นไปจนหมด ถือว่ามิติเสียงนั้นใช้ดูหนังฟังเพลงได้ดีทีเดียว

Keyboard & Touchpad

ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00171

ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00183
ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00184
ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00176
ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00172
ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00175
ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00174

คีย์บอร์ดของ ASUS Vivobook S 14 Flip OLED เป็นคีย์บอร์ดแบบ Tenkeyless แต่ดีไซน์ปุ่มให้เป็น Full-size ทรงปุ่มเป็น Dished Key caps โดยตรงกลางปุ่มจะเว้าเข้าไปเป็นแอ่งเหมือนจาน (Dish) โค้ง 0.2 มม. ซึ่งเมื่อทดลองพิมพ์ต้องถือว่าตัวปุ่มจะไกด์ปลายนิ้วให้ผู้ใช้กดลงไปตรงกลางปุ่มพอดี กดง่ายและตอบสนองเร็วใช้ได้และมีไฟ LED Backlit ให้พิมพ์งานในที่แสงน้อยได้สะดวกขึ้นด้วย

Function Key ถูกเซ็ตอัพเอาไว้ตามปุ่มต่างๆ บนแป้นคึย์บอร์ด ได้แก่ Home, End, Page Up, Page Down ตรงปุ่มลูกศร บางปุ่มที่มีคำสั่งตรงกันข้ามก็ถูกรวบเอาไว้ด้วยกัน เช่น Delete กับ Insert เป็นต้น และถ้าใครอยากล็อค Function Hotkey ตรง F1~F12 สามารถกด Fn+Esc เพื่อเปลี่ยนโหมดได้ และสังเกตตรงปุ่ม Enter จะเห็นว่าขอบล่างปุ่มมีแถบสีขาวซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของตระกูล ASUS Vivobook ติดอยู่ด้วย

ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00179

คีย์ลัดของ ASUS Vivobook S 14 Flip OLED ที่ปุ่ม F1~F12 นั้น ทางบริษัทก็จัดการ Mapping ปุ่มฟังก์ชั่นสำหรับโน๊ตบุ๊คสายทำงานติดตั้งมาครบถ้วน โดยมีปุ่มดังนี้

  • F1~F3 – ปิด, ลดหรือเพิ่มเสียงลำโพง
  • F4~F5 – ลดหรือเพิ่มความสว่างหน้าจอ
  • F6 – ปิด/เปิดทัชแพด
  • F7 – ปรับความสว่างไฟ LED Backlit ของคีย์บอร์ด
  • F8 – ปุ่ม Project ตั้งค่าหน้าจอหลักและเสริม
  • F9 – ปิดหรือเปิดไมค์
  • F10 – ปิดหรือเปิดกล้องเว็บแคม
  • F11 – เรียกโปรแกรม Snipping Tool
  • F12 – เรียกโปรแกรม MyASUS

จะเห็นว่า Function Hotkey ที่ปุ่ม F1~F12 ของ ASUS Vivobook S 14 Flip OLED มีคำสั่งตั้งค่าตัวเครื่องติดมาให้ครบถ้วน แต่น่าเสียดายเล็กน้อยว่าถ้าทาง ASUS ย้ายคำสั่ง Snipping Tool ไปรวมกับปุ่ม Print Screen แทน แล้วเสริมคำสั่งปรับค่า Refresh Rate หน้าจอเข้ามาล่ะก็ น่าจะดีต่อผู้ใช้ที่ชอบหน้าจอที่แสดงผลภาพได้ไหลลื่นไหลด้วย

ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00185

ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00186
ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00187
ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00215
ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00214

ทัชแพด ASUS NumberPad 2.0 จะมีปุ่มลัด F6 สำหรับปิดเปิดการทำงานอยู่ เมื่อกดแล้วตัวระบบจะแสดงภาพขึ้นมาบนหน้าจอด้วยว่าทัชแพดทำงานอยู่หรือไม่ ด้านการใช้งานจริงตัวแป้นสามารถตอบสนองการลากเคอร์เซอร์ได้รวดเร็วและใช้ Gesture Control ได้เป็นอย่างดีไม่มีปัญหา หากใครนั่งทำงานแล้วหยิบเมาส์ออกมาไม่ถนัดนักก็ใช้ทัชแพดได้เลย

ส่วนแป้น ASUS NumberPad 2.0 จะมีคำสั่งอยู่ 2 ไอคอน คือ มุมบนซ้ายหากแตะแล้วยกนิ้วออก จะลดความสว่างของไฟแป้น Numpad ถ้าแตะแล้วลากนิ้วออกจะเรียกเครื่องคิดเลขขึ้นมา ส่วนฝั่งขวามือเป็นปุ่มเปิดปิด Numpad จะทำงานต่อเมื่อแตะค้างเอาไว้ราว 1 วินาที แต่ตอนใช้งานจริงแม้จะเปิด Numpad ค้างเอาไว้ก็ยังลากเคอร์เซอร์เมาส์ไปมาได้ตามปกติและถ้าตรงไหนต้องกรอกตัวเลขก็แตะพิมพ์เลขได้เลย ถือว่าทางบริษัทเซ็ตฟังก์ชั่นการทำงานให้แป้นทัชแพดนี้ทำงานได้ดีมาก ไม่มีอาการรวนมารบกวนตอนใช้งานเลยแม้แต่น้อย

ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00229

ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00226
ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00228
ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00223
ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00224

ปากกา ASUS Pen 2.0 ในกล่องจะเป็นปากกา USI Stylus แบบให้ฝังแบตเตอรี่เอาไว้ในตัว ตัวด้ามจะมีปุ่มควบคุมการทำงาน 2 ปุ่มและมีปุ่มท้ายด้าม เมื่อกดแล้วเครื่องจะเปิดโปรแกรม Microsoft Sketch Board ขึ้นมาให้วาดภาพจดไอเดียได้ ตอนแบตเตอรี่ปากกาใกล้หมดจะมีไฟสีส้มกระพริบเตือนผู้ใช้ ซึ่งมีพอร์ต USB-C ที่ตัวด้ามให้เสียบชาร์จแบตฯ ได้ด้วย ด้านการวาดและเขียนจดถือว่าตอบสนองได้ดีไม่แพ้กับเมาส์ปากกาแบรนด์ชั้นนำหลายๆ รุ่นเลย

อย่างไรก็ตาม จุดที่ขอกล่าวถึงเป็นส่วนตัว คือตัวปากกาหากใครคุ้นเคยกับ ASUS Pen บางรุ่นที่ต้องใส่แบตเตอรี่ AAA มาก่อนแล้วเปลี่ยนมาใช้ปากกาด้ามนี้เป็นครั้งแรกก็น่าจะเข้าใจผิดว่าต้องหมุนปลายด้ามปากกาเพื่อเปิดกระบอกใส่ถ่าน แต่เวอร์ชั่นใหม่นี้ต้องสไลด์ท้ายด้ามขึ้นเปิดพอร์ต USB-C แล้วเสียบสายชาร์จแทน ซึ่งผู้เขียนคิดว่าหากทาง ASUS จะเปลี่ยนดีไซน์ปากกาเช่นนี้ ควรติดสติ๊กเกอร์บอกผู้ใช้สักนิด อย่างมีคำว่า “Slide” พร้อมลูกศรสักนิด ไม่อย่างนั้นผู้ใช้ที่คุ้นกับปากกาด้ามนี้แต่เป็นเวอร์ชั่นใส่ถ่านต้องได้ส่งเคลมหรือซื้อด้ามใหม่อย่างแน่นอน

Connector / Thin & Weight

ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00208
ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00209

พอร์ตเชื่อมต่อของ ASUS Vivobook S 14 Flip OLED นี้จะมีพอร์ตติดตั้งเอาไว้ทั้งสองฝั่งของตัวเครื่อง โดยฝั่งซ้ายจะมี USB 2.0 เพียงพอร์ตเดียว ส่วนฝั่งขวาไล่จากซ้ายมี Audio combo, Thunderbolt 4, USB-A 3.2 Gen 2, HDMI 2.1 และช่องต่ออแดปเตอร์ของโน๊ตบุ๊ค

ซึ่งพอร์ตของตัวเครื่องถือว่าทาง ASUS ให้มาครบเครื่อง แต่ผู้เขียนยังกังขาที่พอร์ต USB 2.0 ด้านซ้าย ซึ่งส่วนตัวผู้เขียนอยากให้ทาง ASUS เปลี่ยนเป็น MicroSD Card Reader จะดีกว่า ผู้ใช้จะได้เอาการ์ดจากกล้องมาต่อแล้วโอนไฟล์เข้าออกเครื่องได้สะดวก ไม่ต้องผ่านตัวแปลงใดๆ ให้วุ่นวายและยังเอาไปใช้ประโยชน์ในส่วนต่างๆ ได้มากขึ้น

หากเป็นไปได้ผู้เขียนแนะนำให้ถอดช่องอแดปเตอร์ออกแล้วเปลี่ยนเป็น Thunderbolt 4 x 2 ช่องจะดีกว่า เพราะโน๊ตบุ๊คสายทำงานของ ASUS หลายๆ รุ่นก็ให้อแดปเตอร์หัว USB-C มาหลายรุ่นแล้ว ถ้า ASUS Vivobook S 14 Flip OLED ทำตามนั้น นอกจากได้ใจผู้บริโภคยังได้พอร์ตอเนกประสงค์เพิ่มอีกช่องด้วย หรือไม่อย่างนั้นก็เปลี่ยนเป็น Kensington Lock แทนก็ได้ความปลอดภัยให้เจ้าของเครื่องอุ่นใจขึ้นอีก

ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00136

ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00138
ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00137

น้ำหนักของ ASUS Vivobook S 14 Flip OLED ที่เคลมเอาไว้หน้าเว็บไซต์อยู่ที่ 1.5 กิโลกรัม พอชั่งด้วยตาชั่งดิจิตอลแล้วได้น้ำหนักราว 1.58 กิโลกรัม เมื่อรวมกับอแดปเตอร์และ ASUS Pen 2.0 น้ำหนัก 320 กรัม จะหนักสุทธิ 1.91 กิโลกรัม ซึ่งน้ำหนักร่วม 2 กิโลกรัมถือว่าไม่ได้หนักเกินไป และอแดปเตอร์เฉพาะของเครื่องก็ไม่จำเป็นต้องพกติดตัวไปด้วยเสมอๆ แค่หาปลั๊ก GaN กำลังชาร์จ 65 วัตต์กับสาย USB-C ติดกระเป๋าไป ส่วนอแดปเตอร์ทิ้งไว้ที่บ้านหรือออฟฟิศก็ได้ ช่วยลดน้ำหนักและจำนวนของใช้ในกระเป๋าให้น้อยลงด้วย

Inside & Upgrade

ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00140

ถ้าจะอัพเกรด ASUS Vivobook S 14 Flip OLED ก็ทำได้ง่ายๆ โดยใช้ไขควงหัวแฉก Philips Head ขันน็อต 10 ดอกออก แล้วเอาปิ๊กกีตาร์ไล่ตามขอบตัวเครื่องแล้วเปิดฝาเครื่องได้เลย โดยฝาเครื่องนี้ไม่มีตัวกิ๊บดึงฝาเข้ากับเครื่องหรือน็อตแบบมีตัวรองเลย ตอนเปิดเครื่องขอแค่ระวังตอนงัดตะขอขอบฝาเครื่องแตกก็พอ โดยรวมถือว่าฝาใต้เครื่องของ Vivobook S 14 Flip OLED ก็ยังถอดและใส่เข้าได้ง่ายไม่แพ้ Vivobook รุ่นอื่นในซีรี่ส์เลย

ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00149

เมื่อเปิดฝาเครื่องจะเห็นว่าภายในจะมีแบตเตอรี่กับแผงเมนบอร์ดแบ่งพื้นที่กันอยู่ครึ่งหนึ่ง มีช่องต่อ M.2 NVMe SSD อินเตอร์เฟส PCIe 4.0 x4 พร้อมกรอบโลหะป้องกัน SSD ด้วย ถัดมาเป็นช่อง RAM SO-DIMM ปิดด้วยกรอบอลูมิเนียม อัพเกรดเพิ่มความจุได้มากสุด 16GB DDR4 รองรับบัส 3200MHz ดังนั้นถ้าใครซื้อมาแล้วกลัวแรมออนบอร์ดไม่พอใช้ก็เปิดฝาอัพเกรดได้เลย

ส่วนตัวผู้เขียนค่อนข้างประทับใจที่ทาง ASUS ให้พอร์ต SO-DIMM สำหรับอัพเกรดแรมมา แล้วยังมีกรอบอลูมิเนียมมาปิดแผ่นแรมด้วย แต่ก็แลกกับอินเตอร์เฟส PCIe สำหรับ M.2 NVMe SSD เพียงช่องเดียว ซึ่งส่วนนี้หากดูบนเมนบอร์ดที่มีพื้นที่จำกัดก็ต้องเลือกใส่แค่อย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนั้นถ้าใครรู้สึกว่า M.2 NVMe SSD จากโรงงานช้าเกินไปแนะนำให้โคลนย้ายข้อมูลไป SSD ตัวที่เร็วกว่าหรือเปลี่ยนไปซื้อ External SSD มาใช้งานแทนเลยก็ดี

Performance & Software

cpu

mb
ram

ASUS Vivobook S 14 Flip OLED รุ่นนี้ติดตั้งซีพียู Intel 12th Gen สถาปัตยกรรม Alder Lake รหัส Intel Core i5-12500H แบบ 12 คอร์ 16 เธรด (4P+8E) ความเร็ว 3.3-4.5GHz มาให้ใช้งาน มีค่า TDP สูงสุด 45 วัตต์ รองรับชุดคำสั่งที่จำเป็นใช้งานครบถ้วน ใช้รันโปรแกรมที่กินทรัพยากรหนักได้เป็นอย่างดี

เมนบอร์ดของ Vivobook S 14 Flip OLED เป็นอินเตอร์เฟส PCIe 4.0 x4 รองรับ SSD ประสิทธิภาพสูงรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี มีแรมออนบอร์ดติดตั้งมา 8GB DDR4 บัส 3200MHz มีช่องแรม SO-DIMM สามารถอัพเกรดเพิ่มได้มากสุด 16GB DDR4 ด้วย ตอบโจทย์ผู้ใช้ที่ต้องเปิดเบราเซอร์หลายแท็บหรือเปิดโปรแกรมที่กินทรัพยากรเครื่องหนักๆ ได้เป็นอย่างดี

gpu

การ์ดจอออนบอร์ดใน Intel Core i5-12500H เป็น Intel Iris Xe Graphics รองรับ DirectX 12 และชุดคำสั่งสำหรับเรนเดอร์กราฟิคครบถ้วน ไม่ว่าจะ OpenCL, OpenGL 4.6, DirectCompute, DirectML, Vulkan ครบถ้วน สามารถใช้เรนเดอร์ภาพหรือตัดต่อคลิป Vlog ต่างๆ ได้อย่างแน่นอน 

device mgr

พาร์ตในเครื่องเมื่อเช็คด้วย Device Manager แล้ว จะเห็นว่า ASUS Vivobook S 14 Flip OLED ติดตั้งเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือของ FocalTech มาให้ ใช้การ์ด Wi-Fi ของ MediaTek MT7921 รองรับ Wi-Fi 6 มาตรฐาน 802.11ax เป็นรุ่นเสาอากาศ Dual band 2×2 รองรับ Bluetooth 5.1 ในตัวและมีชิป TPM 2.0 ติดตั้งมาให้รักษาความปลอดภัยร่วมกับระบบปฏิบัติการ Windows 11 ด้วย

ssd

สำหรับ M.2 NVMe SSD จากโรงงานใน ASUS Vivobook S 14 Flip OLED เป็น Micron 2450 ความจุ 512GB โดยสเปคของไดรฟ์นี้ใช้อินเตอร์เฟส PCIe 4.0 x4 ขนาด M.2 2280 ซึ่งความจุนี้มีความเร็ว Sequential Read 3,500 MB/s และ Sequential Write 3,000 MB/s ค่าความทนทานตอนอ่านเขียนข้อมูล 300 TBW มีระบบเข้ารหัสข้อมูล AES-256 ในตัวอีกด้วย

เมื่อทดสอบด้วย CrystalDiskMark 8 แล้ว ผลที่ได้จะเห็นว่า SSD นี้ทำความเร็ว Sequential Read ได้ 2,940.12 MB/s และ Sequential Write 883.42 MB/s เมื่อเขียนไฟล์ลงไดรฟ์ราว 71% ซึ่งถ้าใครจะใช้ SSD เดิมจากโรงงานก็ถือว่าใช้งานได้ แต่ขอแนะนำให้บริหารพื้นที่ในไดรฟ์ให้ดี อย่าเก็บไฟล์เอาไว้ในเครื่องเกิน 50% เพื่อให้ตัว SSD มีพื้นที่จัดการบริหารไฟล์ต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น

หากผู้ใช้คนไหนต้องการเปลี่ยน SSD ในเครื่องให้เป็นรุ่นที่ประสิทธิภาพดีขึ้น แนะนำให้ดู Transcend MTE220S, Samsung 980, WD Black SN 750SE ฯลฯ มาเปลี่ยนแล้วเอาไดรฟ์เดิมจากโรงงานไปทำ External SSD แทนก็ดีเช่นกัน นั่นเพราะ M.2 NVMe SSD ที่ซื้อแยกโดยเฉพาะจะมีซอฟท์แวร์สำหรับปรับแต่งและอัพเดทเฟิร์มแวร์ให้ตัวไดรฟ์โดยเฉพาะและเร่งประสิทธิภาพการทำงานให้ดีขึ้นได้ด้วย 

r15
r20

ด้านการทดสอบเรนเดอร์โมเดล 3D CG แล้ว จะเห็นว่าตัว ASUS Vivobook S 14 Flip OLED ใช้งานได้เป็นอย่างดี โดย CINEBENCH R15 ทำคะแนน OpenGL ได้ 57.09 fps และ CPU 1,124 cb และเมื่อรันโปรแกรม CINEBENCH R20 ที่เน้นทดสอบกำลังการประมวลผลของซีพียูเท่านั้น จะได้คะแนน 2,653 pts ทีเดียว ดังนั้นถ้าผู้ใช้คนไหนต้องทำงาน 3D Model และกราฟิคล่ะก็ ASUS Vivobook S 14 Flip OLED นี้ก็สามารถเรนเดอร์และนำเสนอโมเดลให้ลูกค้าได้ดี ไม่มีปัญหาเรื่องกระตุกค้างแน่นอน

3dmark

ด้านการทดสอบเล่นเกมด้วย 3DMark Time Spy จะเห็นว่าตัว ASUS Vivobook S 14 Flip OLED จะทำคะแนนรวมเฉลี่ยได้ 997 คะแนน แยกเป็น CPU score 4,533 คะแนน และ Graphics score 877 คะแนน ก็สรุปได้ว่า Vivobook รุ่นนี้ไม่เหมาะกับการเล่นเกมนักและก็ไม่ได้เป็นใจความหลักของโน๊ตบุ๊ครุ่นนี้อยู่แล้ว แต่ก็ยังพอเปิดเกม 8-bit เล่นฆ่าเวลาได้ระดับหนึ่ง

pcmark10

ส่วนของ PCMark 10 สำหรับทดสอบเวลานำโน๊ตบุ๊คนี้ไปทำงานจริง จะเห็นว่ามันสามารถทำงานได้ดีทีเดียว โดยได้คะแนนเฉลี่ย 5,020 คะแนน ไล่เลี่ยกับโน๊ตบุ๊คบางเบาสายทำงานหลายๆ รุ่น หากจำแนกผลคะแนนเป็นหมวดต่างๆ จะเห็นว่าการใช้งานทั่วไปอย่างเปิดโปรแกรม, ประชุมออนไลน์ผ่านเว็บไซต์หรือเปิดเบราเซอร์นั้น Vivobook S 14 Flip OLED ทำงานได้ดีไม่มีปัญหา และจะใช้งานกับโปรแกรมออฟฟิศอย่าง Word, Excel หรือแม้แต่โปรแกรมแต่งภาพก็ทำได้ดีไม่แพ้กันเลย ต้องถือว่าตัวซีพียูและการ์ดจอออนบอร์ดใน Intel Core i5-12500H ทำหน้าที่ได้ดีไม่มีปัญหา

แต่หากมองในส่วนที่ ASUS Vivobook S 14 Flip OLED ไม่ถนัด ก็จะเป็นงานตัดต่อวิดีโอและเรนเดอร์จำลองโมเดลที่ทำคะแนนทดสอบออกมาได้ในระดับพอใช้งานได้ ทว่าถ้าใครเน้นงานปั้นโมเดล 3D หรือตัดต่อวิดีโอความละเอียดเกิน Full HD และใส่เอฟเฟคกับรายละเอียดเยอะๆ ล่ะก็ แนะนำให้หารุ่นมีการ์ดจอแยกติดตั้งมาด้วยจะทำงานได้ดีกว่า

Screenshot 2022 09 21 094202

Screenshot 2022 09 21 094221
Screenshot 2022 09 21 094235
Screenshot 2022 09 21 094304
ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00219
ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00221
ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00220

ด้านการตั้งค่า ASUS Vivobook S 14 Flip OLED ให้ทำงานได้ดีที่สุดจะมีโปรแกรม MyASUS ติดตั้งมาให้ใช้งาน ซึ่งใช้มอนิเตอร์ตัวเครื่องและตั้งค่าการแสดงผลหน้าจอรวมทั้งมีโหมดถนอมการแสดงผลของพาเนลหน้าจอ OLED รวมทั้งเมื่อใช้งานแล้วมีปัญหาก็สามารถแจ้งปัญหาเพื่อให้ทาง ASUS เข้ามาช่วยดูแลจัดการตัวเครื่องผ่านทางโปรแกรมนี้ได้อีกด้วย

หากให้ดี ผู้เขียนแนะนำว่าเมื่อซื้อ ASUS Vivobook S 14 Flip OLED มาแล้ว ก็เปิด MyASUS มาเปิดการตั้งค่า OLED Care เอาไว้ให้หมด ซึ่งมันจะช่วยถนอมพาเนลนี้ให้ใช้งานได้โดยไม่เกิดอาการ Burn-in เมื่อใช้งานไปหลายปีด้วย

Battery & Heat & Noise

ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00143

แบตเตอรี่ของ ASUS Vivobook S 14 Flip OLED เป็นแบบลิเธียม โพลีเมอร์ ความจุ 70Wh มีขนาดใหญ่จนขอบแบตเตอรี่ติดลำโพงทั้งสองฝั่ง มีความจุ Typical Capacity 6,072mAh และ Rated Capacity 5,895mAh จัดว่ามีความจุเยอะ และทาง ASUS เคลมว่าใช้งานต่อเนื่องได้หลายชั่วโมงอย่างแน่นอน

batt

ซึ่งระยะเวลาใช้งาน เมื่อทดสอบตามมาตรฐานของทางเว็บไซต์โดยลดความสว่างหน้าจอต่ำสุด, ปิดไฟ LED Backlit, ลดเสียงลำโพงให้ดังเพียง 10% แล้วตั้งค่าตัวเครื่องเป็นโหมดประหยัดพลังงาน แล้วใช้ Microsoft Edge ดูคลิป YouTube นาน 30 นาที จะเห็นว่า ASUS Vivobook S14 Flip OLED สามารถใช้งานต่อเนื่องได้นานสุถด 8 ชั่วโมง 28 นาที ซึ่งในฐานะซีพียู Intel H-Series ซึ่งเป็นซีพียูคอร์ประสิทธิภาพสูงนั้น แม้จะใช้งานได้ไม่เกิน 10 ชั่วโมง แต่ใช้ได้ราวนี้ก็ถือว่านานทีเดียว

อย่างไรก็ตาม แม้โปรแกรม BatteryMon จะแจ้งเราว่าใช้งานได้ราว 8 ชั่วโมงครึ่งก็ตาม แต่จากที่นำเครื่องไปใช้งานจริงแบบ Cafe Hopper หยิบโน๊ตบุ๊คติดตัวไปนั่งทำงานร้านโน้นทีร้านนี้ที ก็ใช้งานต่อนเื่องได้ทั้งวันไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน อย่างมากอาจเตรียม Power Bank ความจุสูง กำลังชาร์จ 65 วัตต์ขึ้นไปเตรียมเอาไว้สักก้อนเผื่อใช้ชาร์จในกรณีจำเป็นก็เพียงพอแล้ว แต่อันที่จริง แบตเตอรี่ 70Wh ใน ASUS Vivobook S 14 Flip OLED กับระบบจัดการพลังงานถือว่าทำงานได้ดี ไม่ต้องห่วงว่าแบตเตอรี่จะหมดระหว่างวันเลยก็ได้

ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00141

ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00148
ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00153

ระบบระบายความร้อน ASUS IceCool ในเครื่องจะใช้ฮีตไปป์ 2 เส้น ขนาด 8 และ 6 มม. เดินแนวจากซีพียู Intel Core i5-12500H ตรงไปยังฮีตซิงค์ที่ติดอยู่ขอบตัวเครื่องหน้าพัดลมโบลวเวอร์ 2 ด้านเพื่อระบายความร้อนออกจากเครื่อง ด้านเสียงระบบระบายความร้อนต้องถือว่าเบามากจนแทบไม่ได้ยิน และแม้จะรันโปรแกรมใหญ่ๆ อยู่ก็ยังได้ยินเสียงหวีดเบาๆ เท่านั้น ไม่ได้รบกวนหูตอนใช้งานแม้แต่น้อย ถ้าพกเครื่องไปทำงานตาม Co-working space ก็ไม่มีรบกวนผู้อื่นที่ใช้สถานที่ร่วมกันอย่างแน่นอน

heat

เมื่อรันโปรแกรม Benchmark เพื่อเค้นเครื่องให้ทำงานเต็มที่แล้วเช็คอุณหภูมิด้วย CPUID HWMonitor จะเห็นว่าอุณหภูมิ Package ของ Intel Core i5-12500H ใน ASUS Vivobook S 14 Flip OLED จะอยู่ที่ 48~98 องศา เฉลี่ย 57 องศาเซลเซียส และเมื่อเอามือจับตามส่วนต่างๆ ของตัวเครื่องแล้ว ความร้อนจากชุดระบายความร้อนก็ไม่ได้แผ่ออกไปทั่วแค่ตัวเครื่องอุ่นขึ้นเล็กน้อยและจะร้อนจริงๆ ก็ตรงปลายเครื่องเหนือช่องระบายความร้อนเท่านั้น

แต่เมื่อใช้งานจริง Intel Core i5-12500H ใน ASUS Vivobook S 14 Flip OLED ก็ไม่ได้รันเต็มที่ตลอดเวลาและตอนใช้งานจริงเครื่องก็เย็นตลอดเวลาอีกด้วย ดังนั้นถ้าใครอยากได้เครื่องนี้อยู่แล้ว ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องอุณหภูมิที่โปรแกรมวัดได้เลยก็ได้ โดยเฉพาะคนที่เน้นใช้โปรแกรมออฟฟิศหรือวาดภาพเป็นหลัก ผู้เขียนได้ทดลองใช้งานดูแล้วก็ไม่เจอปัญหาเรื่องอุณหภูมิเลยแม้แต่นิดเดียว ดังนั้นสบายใจได้เลย

User Experience

ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00164

จากที่ผู้เขียนนำ ASUS Vivobook S 14 Flip OLED ไปใช้เป็นโน๊ตบุ๊คเครื่องหลักมาราวสัปดาห์ ก็พบจุดที่ชอบและกังขานิดหน่อย ซึ่งจุดที่เสียดายก็คงหนีไม่พ้นพอร์ต USB 2.0 ที่อยากให้ทางบริษัทเปลี่ยนเป็น MicroSD Card Reader แทน นั่นเพราะถ้ามีพอร์ตนี้เราก็สามารถถอดเมมโมรี่การ์ดจากกล้องหน้ารถหรือ Action Camera ที่ติดอยู่กับหมวกกันน็อคมาโหลดไฟล์ได้ทันที แม้บางคนอาจจะแย้งว่าใช้สมาร์ทโฟนโหลดเอาก็ได้ แต่ถ้าโหลดตรงเข้าคอมพิวเตอร์ก็นำไปใช้ได้ง่ายกว่าอย่างแน่นอน

แต่นอกจากเรื่อง MicroSD Card Reader นี้แล้ว ผู้เขียนกลับชอบ Vivobook รุ่นนี้มาก จุดแรกคือบอดี้ตัวเครื่องที่เป็นอลูมิเนียมแล้ว เรียกว่าแข็งแรงสวยงามไม่แพ้ตระกูล Zenbook เลย และยังมีปากกา ASUS Pen 2.0 แถมมาให้ จึงเซ็นเอกสารสำคัญบนหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วส่งให้ผู้รับได้ในทันที ไม่ต้องปริ้นท์กระดาษและใช้หมึกเซ็นให้เสียเวลาเลยแม้แต่นิดเดียว และถ้าจะวาดภาพก็พับกลับเป็นแท็บเล็ตแล้ววาดได้ทันทีทุกที่

จุดถัดมาที่ชอบ คือทาง ASUS ติดตั้งพอร์ต Thunderbolt 4 มาด้วย เวลาพกเครื่องไปไหนมาไหนก็พกแต่ปลั๊ก GaN กับสาย USB-C ก็ชาร์จแบตเตอรี่ให้เครื่องนี้ได้ทันที หรือถ้าจะต่อหน้าจอที่มีพอร์ต USB-C ที่รองรับ Thunderbolt ก็ต่อใช้งานได้สะดวกมาก และ ASUS Vivobook S 14 Flip OLED นี้ก็ไม่ได้จำกัดตัวเองว่าถ้าเป็นโน๊ตบุ๊คบางเบาก็ตัดประเด็นเรื่องอัพเกรดทิ้งไปได้เลย เพราะบนเมนบอร์ดก็มีช่อง SO-DIMM ให้อัพเกรดแรมเป็น 16GB DDR4 ติดมาให้ ดังนั้นถ้าซื้อมาใช้งานแล้วรู้สึกว่าแรมไม่พอก็เปิดฝาอัพเพิ่มได้ทันทีอีกด้วย

ส่วนที่ชอบเป็นพิเศษและเป็นเงื่อนไขหลักเวลาพิจารณาจะซื้อโน๊ตบุ๊คสักเครื่องของผู้เขียนเอง คือระบบยืนยันตนแบบชีวมาตร (Biometric) ซึ่ง Vivobook S 14 Flip OLED มีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือติดตั้งมาให้โดยรวมไว้กับปุ่ม Power ก็ดึงดูดความสนใจของผู้เขียนได้เป็นอย่างดี ยิ่งในปัจจุบันนี้ที่ยังไม่ควรถอดหน้ากากอนามัยตอนอยู่ในที่สาธารณะนั้น การปลดล็อคเครื่องด้วยเซนเซอร์สแกนใบหน้าก็ไม่ได้สะดวกอย่างที่คิด แต่ถ้าสแกนลายนิ้วมือเมื่อไหร่ ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้นมาทันที ซึ่งผู้เขียนชอบฟังก์ชั่นนี้มากเพราะตอนไปนั่งตามร้านกาแฟก็ไม่ต้องปลดหน้ากากแต่เอานิ้วนาบตรงปุ่ม Power ก็ปลดล็อคเครื่องใช้ทำงานได้ทันที ไม่ต้องปลดหน้ากากออกใส่เข้าใหม่อยู่อย่างนั้นให้เสียเวลา

Conclusion & Award

ASUS Vivobook S 14 Flip OLED DSC00167

หากจะหาโน๊ตบุ๊คที่ครบเครื่องเอาไว้ทำงานสักรุ่น ASUS Vivobook S 14 Flip OLED นับเป็นโน๊ตบุ๊ครุ่นแรกๆ ที่ผู้เขียนอยากแนะนำให้ผู้อ่านไปลองจับลองเล่นตัวจริงดูจะได้เห็นว่า ASUS Vivobook นั้นได้อัพเกรดจากโน๊ตบุ๊คทั่วไปซีรี่ส์หนึ่งให้พรีเมี่ยมยิ่งขึ้น จะกล่าวว่างานประกอบแข็งแรงไล่เลี่ยกับ Zenbook ก็ไม่ผิด ได้เลยและยังมีฟีเจอร์ดีๆ ติดมาให้เยอะมากไม่ว่าจะจอทัชพาเนล OLED ขอบเขตสีกว้างและเที่ยงตรง, มีปากกา ASUS Pen 2.0 ให้ใช้และทัชแพดเป็น ASUS NumberPad 2.0 ให้กดสลับโหมดเป็น Numpad พิมพ์ตัวเลขได้รวดเร็ว แถมยังมีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือติดตั้งมาให้ด้วย นับเป็นโน๊ตบุ๊คสำหรับคนทำงานที่ดีและฟีเจอร์ครบเครื่องที่สุดอีกรุ่นหนึ่ง ซึ่งถ้าผู้เขียนกำลังคิดจะซื้อโน๊ตบุ๊คเครื่องใหม่อยู่ ก็คงตัดสินใจซื้อเครื่องนี้ไปใช้โดยไม่คิดมาก

ส่วนตัวถ้าจะหาอุปกรณ์เสริมให้ ASUS Vivobook S 14 Flip OLED ล่ะก็ ผู้เขียนแนะนำให้อัพเกรดแรมไป 16GB ก่อนเป็นอย่างแรก ส่วนเรื่อง M.2 NVMe SSD ในเครื่อง ผู้เขียนแนะนำให้หา External SSD ที่ใช้พอร์ต USB-C จะใช้งานได้ดีและสะดวกกว่าแน่นอน และใครจะเพิ่ม USB-C Multiport Adapter มาเผื่อต่อพอร์ตอื่นๆ เช่น LAN หรือ SD/MicroSD Card Reader ก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้แต่ละคนเลย

award

NBS award 4 Mobility

best mobility

ตัวเครื่อง ASUS Vivobook S 14 Flip OLED นั้นหนัก 1.5 กิโลกรัม จัดว่าไล่เลี่ยกับโน๊ตบุ๊คบางเบาหลายๆ รุ่นในปัจจุบันนี้ แต่อเนกประสงค์กว่า เพราะมีพอร์ต Thunderbolt 4 ติดตั้งมาให้ เลยไม่ต้องติดอแดปเตอร์เฉพาะไปไหนมาไหนเสมอ 

award new Graphic

best graphic

หน้าจอทัชพาเนล OLED ขอบเขตสีกว้างและเที่ยงตรงของ Vivobook S 14 Flip OLED นี้ ตอบโจทย์ช่างกล้องที่หาโน๊ตบุ๊คหน้าจอดีๆ เอาไว้ทำงาน และมี ASUS Pen 2.0 เอาไว้เขียนบนหน้าจอได้โดยตรงด้วย ก็ไม่ต้องวุ่นวายหาเมาส์ปากกามาต่อแยกเพื่อเซ็นเอกสารหรือวาดภาพเลย

from:https://notebookspec.com/web/670281-review-asus-vivobook-s-14-flip-oled

7 โน๊ตบุ๊ค Acer มี Office แท้ สเปคดีพร้อมใช้ มีจอ OLED ให้เลือก! อัพเดทปลายปี 2022

โน๊ตบุ๊ค Acer มี Office แท้ ซื้อมาใช้สบายใจไม่ต้องซื้อโปรแกรมเพิ่ม!

Share image Edit Name 3acer 1

โน๊ตบุ๊ค Acer มี Office แท้น่าจะเป็นโน๊ตบุ๊คที่นักเรียนนักศึกษาหรือคนทำงานต้องการ เพราะซื้อมาแล้วได้ซอฟท์แวร์ครบถ้วนพร้อมใช้ทั้งระบบปฏิบัติการ Windows 10 หรือ 11 พร้อม Microsoft Office Home & Student ติดตั้งมาให้ในตัว ไม่ต้องเสียเงินซื้อซอฟท์แวร์เพิ่มให้เปลือง พอเปิดเครื่องมา Activate เสร็จก็พร้อมทำงานทันที มีรุ่นให้เลือกหลากหลายทั้งไม่ว่าจะเป็นซีพียู AMD และ Intel และบางรุ่นยังติดตั้งการ์ดจอแยกจาก NVIDIA มาให้ใช้งานอีกด้วย

Advertisementavw

ณ ช่วงปลายปี 2022 นี้ โน๊ตบุ๊ค Acer มี Office แท้ราคาก็ไม่แพงมากแล้ว ซึ่งปัจจุบันนี้ราคาก็เริ่มต้นไม่เกิน 20,000 บาทเท่านั้น จะจ่ายซื้อสดก็สะดวกหรือผ่อนก็ไม่แพงมาก จะเอาไว้ทำงานเอกสาร, เปิดเว็บไซต์หรือพกติดตัวไปพรีเซนต์งานก็ทำได้ดีไม่มีปัญหา และแต่ละรุ่นที่เลือกมาแนะนำในบทความนี้ก็มีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือติดตั้งมาให้เพื่อรักษาความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่มีประโยชน์มาก

โน๊ตบุ๊ค Acer มี Office แท้

สรุปสเปคโน๊ตบุ๊ค Acer มี Office แท้ ทั้ง 7 รุ่น สเปคดี ซอฟท์แวร์ครบพร้อมทำงาน

สเปคของโน๊ตบุ๊ค Acer มี Office แท้ CPU

GPU

SSD

RAM

Software

หน้าจอ

น้ำหนัก

การเชื่อมต่อ ราคา
(บาท)
Acer Swift 3 SF314-R66K AMD Ryzen 5 5500U

AMD Radeon Graphics

M.2 NVMe
512GB

8GB LPDDR4x
3200MHz

Windows 11 Home

Microsoft Office Home & Student 2019

14″ FHD IPS

1.2 กก.

USB-A 3.2 x 2

USB-C 3.2 x 1

HDMI x 1

Audio combo x 1

Wi-Fi 6

Bluetooth 5.2

17,990
Acer Swift 3 SF314-R6NJ AMD Ryzen 7 5700U

AMD Radeon Graphics

M.2 NVMe
512GB

8GB LPDDR4x
3200MHz

Windows 11 Home

Microsoft Office Home & Student 2019

14″ FHD IPS

1.2 กก.

USB-A 3.2 x 2

USB-C 3.2 x 1

HDMI x 1

Audio combo x 1

Wi-Fi 6

Bluetooth 5.2

24,750
Acer Swift X SFX14-41G-R5M2 AMD Ryzen 7 5800U

NVIDIA GeForce RTX 3050

M.2 NVMe
512GB

16GB LPDDR4x
4266MHz

Windows 11 Home

Microsoft Office Home & Student 2021

14″ FHD IPS

1.39 กก.

USB-A 3.2 x 2

USB-C 3.2 x 1

HDMI x 1

Audio combo x 1

Wi-Fi 6

Bluetooth 5.2

35,900
Acer Swift 3 SF314-71-50E8 Intel Core
i5-12500H

Intel Iris Xe Graphics

M.2 NVMe
512GB

16GB LPDDR5
4800MHz

Windows 11 Home

Microsoft Office Home & Student 2021

14″ 2.8K
(2880×1800)
OLED HDR

1.4 กก.

USB-C 3.2 x 2 รองรับ Thunderbolt

USB-A 3.2 x 2

HDMI x 1

Audio combo x 1

Wi-Fi 6E

Bluetooth 5.2

31,990
Acer Swift 3 SF314-71-75VF Intel Core
i7-12700H

Intel Iris Xe Graphics

M.2 NVMe
512GB

16GB LPDDR5
4800MHz

Windows 11 Home

Microsoft Office Home & Student 2021

14″ 2.8K
(2880×1800)
OLED HDR

1.4 กก.

USB-C 3.2 x 2 รองรับ Thunderbolt

USB-A 3.2 x 2

HDMI x 1

Audio combo x 1

Wi-Fi 6E

Bluetooth 5.2

35,990
Acer Swift 3 SF314-512-51E2 Intel Core
i5-1240P

Intel Iris Xe Graphics

M.2 NVMe
512GB

8GB LPDDR4x
4267MHz

Windows 11 Home

Microsoft Office Home & Student 2021

14″ 2K QHD
(2560×144)
IPS

1.25 กก.

Thunderbolt 4 x 2

USB-A 3.2 x 2

HDMI x 1

Audio combo x 1

Wi-Fi 6E

Bluetooth 5.2

29,990
Acer Swift 3 SF314-512-75VX Intel Core
i7-1260P

Intel Iris Xe Graphics

M.2 NVMe
512GB

8GB LPDDR4x
4267MHz

Windows 11 Home

Microsoft Office Home & Student 2021

14″ 2K QHD
(2560×144)
IPS

1.25 กก.

Thunderbolt 4 x 2

USB-A 3.2 x 2

HDMI x 1

Audio combo x 1

Wi-Fi 6E

Bluetooth 5.2

33,990

7 โน๊ตบุ๊ค Acer มี Office แท้ ซื้อไว้ใช้ ทำงานสะดวกขึ้นแน่นอน

โน๊ตบุ๊ค Acer มี Office แท้ช่วงปลายปี 2022 นี้ มีให้เลือกหลากหลายรุ่นและราคาเริ่มต้นก็ไม่แพงมาก ตั้งแต่ราคาไม่เกิน 20,000 บาท ไปจน 30,000 บาทกลางๆ อีกด้วย ซึ่งผู้เขียนเลือกมาแนะนำทั้งหมด 7 รุ่นด้วยกัน ได้แก่

  1. Acer Swift 3 SF314-R66K (17,990 บาท)
  2. Acer Swift 3 SF314-R6NJ (24,750 บาท)
  3. Acer Swift X SFX14-41G-R5M2 (35,900 บาท)
  4. Acer Swift 3 SF314-71-50E8 (31,990 บาท)
  5. Acer Swift 3 SF314-71-75VF (35,990 บาท)
  6. Acer Swift 3 SF314-512-51E2 (29,990 บาท)
  7. Acer Swift 3 SF314-512-75VX (33,990 บาท)
1. Acer Swift 3 SF314-R66K (17,990 บาท)

Screenshot 2022 09 20 121300

โน๊ตบุ๊ค Acer มี Office แท้ เครื่องแรกที่เลือกมาแนะนำเป็น Acer Swift 3 SF314-R66K ซึ่งราคาเริ่มต้นไม่เกิน 20,000 บาท แต่ได้ Microsoft Office แท้ติดตั้งมาให้พร้อมใช้งานและตัวเครื่องยังบางน้ำหนักเบาพกพาสะดวกอีกด้วย

ซีพียูของ Swift 3 เป็น AMD Ryzen 5 5500U แบบ 6 คอร์ 12 เธรด ความเร็ว 2.1-4.0GHz ใช้การ์ดจอออนบอร์ด AMD Radeon Graphics แบบ 7 คอร์ แสดงผลขึ้นหน้าจอ 14 นิ้ว ความละเอียด Full HD พาเนล IPS ได้เป็นอย่างดี มี M.2 NVMe SSD ความจุ 512GB ติดตั้ง Windows 10 Home กับ Microsoft Office Home & Student 2019 มาให้ มีแรมออนบอร์ด 8GB LPDDR4x บัส 3200MHz มีพอร์ต USB-A 3.2 x 2, USB-C 3.2 x 1, HDMI x 1, Audio combo x 1 รองรับการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่าน Wi-Fi 6 มาตรฐาน 802.11ax รองรับ Bluetooth 5.2 ในตัวและน้ำหนักเครื่องเพียง 1.2 กิโลกรัมเท่านั้น หากใครอยากได้โน๊ตบุ๊ค Acer มี Office แท้เอาไว้ใช้งานสักเครื่องก็ดูเครื่องนี้เอาไว้ได้เลย

สเปคของ Acer Swift 3 SF314-R66K
  • CPU : AMD Ryzen 5 5500U แบบ 6 คอร์ 12 เธรด ความเร็ว 2.1-4.0GHz
  • GPU : AMD Radeon Graphics แบบ 7 คอร์
  • SSD : แบบ M.2 NVMe ความจุ 512GB
  • RAM : 8GB LPDDR4x บัส 3200MHz
  • Display : 14 นิ้ว ความละเอียด Full HD พาเนล IPS
  • Ports : USB-A 3.2 x 2, USB-C 3.2 x 1, HDMI x 1, Audio combo x 1
  • Wireless : Wi-Fi 6 มาตรฐาน 802.11ax รองรับ Bluetooth 5.2
  • Webcam : 720p HD Camera 
  • Software : Windows 11 Home, Microsoft Office Home & Student 2019
  • Weight : 1.2 กิโลกรัม
  • Price : 17,990 บาท (BaNANA)
2. Acer Swift 3 SF314-R6NJ (24,750 บาท)

Screenshot 2022 09 20 121318

Acer Swift 3 SF314-R6NJ รหัสนี้เป็นโน๊ตบุ๊ค Acer มี Office แท้ที่แชร์สเปคร่วมกับ Swift 3 ในข้อที่แล้วแทบทั้งหมด แต่อัพเกรดซีพียูจาก AMD Ryzen 5 มาเป็น AMD Ryzen 7 5700U แบบ 8 คอร์ 16 เธรด ความเร็ว 1.8-4.3GHz และได้อัพเกรดการ์ดจอออนบอร์ด AMD Radeon Graphics เป็นแบบ 8 คอร์แทน ซึ่งข้อดีของ Swift 3 รุ่นนี้ คือ ซีพียูมีปริมาณคอร์และเธรดเยอะขึ้น จึงรันโปรแกรมที่เน้นใช้งานซีพียูได้ลื่นไหลกว่าเดิม

สเปคของ Acer Swift 3 SF314-R6NJ
  • CPU : AMD Ryzen 7 5700U แบบ 8 คอร์ 16 เธรด ความเร็ว 1.8-4.3GHz
  • GPU : AMD Radeon Graphics แบบ 8 คอร์
  • SSD : แบบ M.2 NVMe ความจุ 512GB
  • RAM : 8GB LPDDR4x บัส 3200MHz
  • Display : 14 นิ้ว ความละเอียด Full HD พาเนล IPS
  • Ports : USB-A 3.2 x 2, USB-C 3.2 x 1, HDMI x 1, Audio combo x 1
  • Wireless : Wi-Fi 6 มาตรฐาน 802.11ax รองรับ Bluetooth 5.2
  • Webcam : 720p HD Camera 
  • Software : Windows 11 Home, Microsoft Office Home & Student 2019
  • Weight : 1.2 กิโลกรัม
  • Price : 24,750 บาท (Advice)
3. Acer Swift X SFX14-41G-R5M2 (35,900 บาท)

Screenshot 2022 09 20 121331

Acer Swift X SFX14-41G-R5M2 เป็นโน๊ตบุ๊ค Acer มี Office แท้ที่มีการ์ดจอแยก NVIDIA GeForce ติดตั้งมาให้ในตัว จึงใช้ทำงานกราฟิคได้ดียิ่งขึ้น, พกพาได้ง่าย ตอบโจทย์ครีเอเตอร์ที่อยากได้โน๊ตบุ๊คน้ำหนักเบาเอาไว้ทำงาน หากสนใจสามารถอ่านบทความรีวิวได้ที่นี่

Acer Swift X ติดตั้งซีพียู AMD Ryzen 7 5800U แบบ 8 คอร์ 16 เธรด ความเร็ว 1.9-4.4GHz มาคู่กับการ์ดจอแยก NVIDIA GeForce RTX 3050 แรม 4GB GDDR6 เพื่อเรนเดอร์ภาพขึ้นหน้าจอขนาด 14 นิ้ว ความละเอียด Full HD พาเนล IPS ได้เป็นอย่างดี มี M.2 NVMe SSD ความจุ 512GB ที่ติดตั้ง Windows 11 Home และ Microsoft Office Home & Student 2021 มาให้พร้อมกับแรมออนบอร์ด 16GB LPDDR4x บัส 4266MHz ส่วนพอร์ตการเชื่อมต่อมี USB-A 3.2 x 2, USB-C 3.2 x 1, HDMI x 1, Audio combo x 1 เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่าน Wi-Fi 6 มาตรฐาน 802.11ax รองรับ Bluetooth 5.2 และน้ำหนักตัวเครื่องเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 1.39 กิโลกรัม หากผู้ใช้คนไหนอยากได้โน๊ตบุ๊คบางเบาที่ตัดต่อ Vlog ลื่น แต่งภาพถ่ายได้ดีก็ซื้อรุ่นนี้ไปใช้งานได้เลย

สเปคของ Acer Swift X SFX14-41G-R5M2
  • CPU : AMD Ryzen 7 5800U แบบ 8 คอร์ 16 เธรด ความเร็ว 1.9-4.4GHz
  • GPU : NVIDIA GeForce RTX 3050 แรม 4GB GDDR6
  • SSD : แบบ M.2 NVMe ความจุ 512GB
  • RAM : 16GB LPDDR4x บัส 4266MHz
  • Display : 14 นิ้ว ความละเอียด Full HD พาเนล IPS
  • Ports : USB-A 3.2 x 2, USB-C 3.2 x 1, HDMI x 1, Audio combo x 1
  • Wireless : Wi-Fi 6 มาตรฐาน 802.11ax รองรับ Bluetooth 5.2
  • Webcam : 720p HD Camera 
  • Software : Windows 11 Home, Microsoft Office Home & Student 2021
  • Weight : 1.39 กิโลกรัม
  • Price : 35,900 บาท (Advice)
4. Acer Swift 3 SF314-71-50E8 (31,990 บาท)

Screenshot 2022 09 20 121346

Acer Swift 3 SF314-71-50E8 รหัสนี้เป็นโน๊ตบุ๊ค Acer มี Office แท้รุ่นใหม่ล่าสุดที่ทางบริษัทเปลี่ยนพาเนลหน้าจอมาเป็น OLED และปรับดีไซน์ให้สวยงามเรียบร้อยยิ่งขึ้นและอัพเดทซีพียูเป็น Intel 12th Gen ด้วย เป็น Acer Swift รุ่นที่ผู้เขียนแนะนำเป็นพิเศษหากตั้งใจจะซื้อโน๊ตบุ๊คเครื่องใหม่มาใช้งาน

ซีพียูของ Swift 3 นี้เป็น Intel Core i5-12500H แบบ 12 คอร์ 16 เธรด (4P+8E) ความเร็ว 3.3-4.5GHz ใช้การ์ดจอออนบอร์ด Intel Iris Xe Graphics กับหน้าจอ 14 นิ้ว ความละเอียด 2.8K (2880×1800) พาเนล OLED HDR มี M.2 NVMe SSD ความจุ 512GB ติดตั้ง Windows 11 Home และ Microsoft Office Home & Student 2021 มาให้ มีแรม 16GB LPDDR5 บัส 4800MHz ติดตั้งพอร์ต USB-C 3.2 x 2 รองรับ Thunderbolt, USB-A 3.2 x 2, HDMI x 1, Audio combo x 1 เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่าน Wi-Fi 6E มาตรฐาน 802.11ax รองรับ Bluetooth 5.2 ส่วนน้ำหนักเครื่องอยู่ที่ 1.4 กิโลกรัม หากใครจะซื้อโน๊ตบุ๊ค Acer มี Office แท้ ก็น่าเลือกรุ่นที่เป็นพาเนล OLED ไปเลย เพราะได้สีสันเที่ยงตรงสวยงามกว่าพาเนล IPS อย่างชัดเจน

สเปคของ Acer Swift 3 SF314-71-50E8
  • CPU : Intel Core i5-12500H แบบ 12 คอร์ 16 เธรด (4P+8E) ความเร็ว 3.3-4.5GHz
  • GPU : Intel Iris Xe Graphics
  • SSD : แบบ M.2 NVMe ความจุ 512GB
  • RAM : 16GB LPDDR5 บัส 4800MHz
  • Display : 14 นิ้ว ความละเอียด 2.8K (2880×1800) พาเนล OLED HDR
  • Ports : USB-C 3.2 x 2 รองรับ Thunderbolt, USB-A 3.2 x 2, HDMI x 1, Audio combo x 1
  • Wireless : Wi-Fi 6E มาตรฐาน 802.11ax รองรับ Bluetooth 5.2
  • Webcam : 720p HD Camera 
  • Software : Windows 11 Home, Microsoft Office Home & Student 2021
  • Weight : 1.4 กิโลกรัม
  • Price : 31,990 บาท (ราคากลาง)
5. Acer Swift 3 SF314-71-75VF (35,990 บาท)

Screenshot 2022 09 20 121402

ส่วน Acer Swift 3 SF314-71-75VF เครื่องนี้เป็นโน๊ตบุ๊ค Acer มี Office แท้พาเนล OLED HDR เช่นเดียวกับข้อที่แล้วและทั้งสองรุ่นนี้แชร์สเปคร่วมกันแทบทั้งหมด แต่รุ่นนี้อัพเกรดซีพียูเป็น Intel Core i7-12700H แบบ 14 คอร์ 20 เธรด (6P+8E) ความเร็ว 3.5-4.7GHz แทน ซึ่งถ้าใครชอบเปิดโปรแกรมทำงานพร้อมกันหลายๆ ตัว ก็เพิ่มเงินมาซื้อรุ่นนี้แทนได้เลย

สเปคของ Acer Swift 3 SF314-71-75VF
  • CPU : Intel Core i7-12700H แบบ 14 คอร์ 20 เธรด (6P+8E) ความเร็ว 3.5-4.7GHz
  • GPU : Intel Iris Xe Graphics
  • SSD : แบบ M.2 NVMe ความจุ 512GB
  • RAM : 16GB LPDDR5 บัส 4800MHz
  • Display : 14 นิ้ว ความละเอียด 2.8K (2880×1800) พาเนล OLED HDR
  • Ports : USB-C 3.2 x 2 รองรับ Thunderbolt, USB-A 3.2 x 2, HDMI x 1, Audio combo x 1
  • Wireless : Wi-Fi 6E มาตรฐาน 802.11ax รองรับ Bluetooth 5.2
  • Webcam : 720p HD Camera 
  • Software : Windows 11 Home, Microsoft Office Home & Student 2021
  • Weight : 1.4 กิโลกรัม
  • Price : 35,990 บาท (ราคากลาง)
6. Acer Swift 3 SF314-512-51E2 (29,990 บาท)

Screenshot 2022 09 20 121419

Acer Swift 3 SF314-512-51E2 รุ่นนี้เป็นโน๊ตบุ๊คมาตรฐาน Intel EVO ซึ่งเป็นโน๊ตบุ๊คน้ำหนักเบา พกพาสะดวกและแบตเตอรี่ทนทานใช้งานได้หลายชั่วโมง และรุ่นใหม่นี้ก็ได้อัพเกรดซีพียูเป็น Intel 12th Gen แล้ว หากใครสนใจสามารถอ่านรีวิวฉบับเต็มได้ที่นี่

ซีพียูที่ติดตั้งมาในเครื่องเป็น Intel Core i5-1240P แบบ 12 คอร์ 16 เธรด (4P+8E) ความเร็ว 3.3-4.4GHz ใช้การ์ดจอออนบอร์ด Intel Iris Xe Graphics กับหน้าจอขนาด 14 นิ้ว ความละเอียด 2K QHD (2560×1440) พาเนล IPS มี M.2 NVMe SSD ความจุ 512GB ติดตั้ง Windows 11 Home และ Microsoft Office Home & Student 2021 มาให้พร้อมใช้งาน มีแรมออนบอร์ด 8GB LPDDR4x บัส 4267MHz พอร์ตเชื่อมต่อมี Thunderbolt 4 x 2, USB-A 3.2 x 2, HDMI x 1, Audio combo x 1 เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตด้วย Wi-Fi 6E มาตรฐาน 802.11ax รองรับ Bluetooth 5.2 ส่วนน้ำหนักตัวเครื่องยังไล่เลี่ย Swift 3 รุ่นก่อนที่ 1.25 กิโลกรัมเท่านั้น ซึ่งถ้าใครมองหาโน๊ตบุ๊ค Acer มี Office แท้ล่ะก็ แนะนำให้ซื้อ Swift 3 รุ่นนี้ไปใช้งานได้เลย

สเปคของ Acer Swift 3 SF314-512-51E2
  • CPU : Intel Core i5-1240P แบบ 12 คอร์ 16 เธรด (4P+8E) ความเร็ว 3.3-4.4GHz
  • GPU : Intel Iris Xe Graphics
  • SSD : แบบ M.2 NVMe ความจุ 512GB 
  • RAM : 8GB LPDDR4x บัส 4267MHz
  • Display : 14 นิ้ว ความละเอียด 2K QHD (2560×1440) พาเนล IPS
  • Ports : Thunderbolt 4 x 2, USB-A 3.2 x 2, HDMI x 1, Audio combo x 1
  • Wireless : Wi-Fi 6E มาตรฐาน 802.11ax รองรับ Bluetooth 5.2
  • Webcam : 720p HD Camera 
  • Software : Windows 11 Home, Microsoft Office Home & Student 2021
  • Weight : 1.25 กิโลกรัม
  • Price : 29,990 บาท (ราคากลาง)
7. Acer Swift 3 SF314-512-75VX (33,990 บาท)

Screenshot 2022 09 20 121437

โน๊ตบุ๊ค Acer มี Office แท้รุ่นสุดท้ายที่เลือกมาแนะนำในบทความนี้ เป็น Acer Swift 3 SF314-512-75VX ซึ่งแชร์สเปคร่วมกับ Swift 3 ในข้อก่อนแทบทั้งหมด แค่เปลี่ยนซีพียูเป็น Intel Core i7-1260P แบบ 12 คอร์ 16 เธรด (4P+8E) ความเร็ว 3.4-4.7GHz แทน หากใครอยากได้โน๊ตบุ๊ค Intel EVO ซีพียูตัวท็อป ก็ซื้อรุ่นนี้ไปใช้งานได้เลย

สเปคของ Acer Swift 3 SF314-512-75VX
  • CPU : Intel Core i7-1260P แบบ 12 คอร์ 16 เธรด (4P+8E) ความเร็ว 3.4-4.7GHz
  • GPU : Intel Iris Xe Graphics
  • SSD : แบบ M.2 NVMe ความจุ 512GB 
  • RAM : 8GB LPDDR4x บัส 4267MHz
  • Display : 14 นิ้ว ความละเอียด 2K QHD (2560×1440) พาเนล IPS
  • Ports : Thunderbolt 4 x 2, USB-A 3.2 x 2, HDMI x 1, Audio combo x 1
  • Wireless : Wi-Fi 6E มาตรฐาน 802.11ax รองรับ Bluetooth 5.2
  • Webcam : 720p HD Camera 
  • Software : Windows 11 Home, Microsoft Office Home & Student 2021
  • Weight : 1.25 กิโลกรัม
  • Price : 33,990 บาท (ราคากลาง)

Swift X SFX14 51G main Large

หากใครกำลังหาโน๊ตบุ๊ค Acer มี Office แท้มาใช้แทนโน๊ตบุ๊คเครื่องเก่าอยู่ล่ะก็ ณ ช่วงปลายปี 2022 นี้ ทาง Acer ก็มีรุ่นน่าสนใจให้เลือกทั้งซีพียู AMD และ Intel ไม่ว่าจะเป็นรุ่นเด่นปีก่อนที่เริ่มปรับราคาถูกลงเล็กน้อย หรือจะรุ่นใหม่สเปคแรงน่าใช้ก็มีให้เลือก โดยเฉพาะถ้าใครอยากได้รุ่นที่หน้าจอสวย ขอบเขตสีกว้างล่ะก็ แนะนำให้ซื้อตัวที่เป็นพาเนล OLED ไปใช้งานได้เลย เชื่อว่ารุ่นนั้นจะดีถูกใจผู้ใช้หลายๆ คนอย่างแน่นอน


บทความที่เกี่ยวข้อง

nitro pc cover

acer oled cover

Share image Edit Name 1predator 1

from:https://notebookspec.com/web/667947-7-acer-laptop-with-microsoft-office

รีวิว ASUS Zenbook Pro 14 Duo OLED น้องเล็กหัวใจ Intel 12th Gen พกง่ายใช้ดีกว่าที่คิด ลำโพงเทพกว่าที่เคย!

ASUS Zenbook Pro 14 Duo OLED รุ่นย่อจอให้ครีเอเตอร์พกพาสะดวกยิ่งขึ้น

zenbook14produooled cover

ASUS Zenbook Pro 14 Duo OLED โน๊ตบุ๊คน้องเล็กสุดในอนุกรม ASUS Zenbook ที่นอกจากจะตัวเล็กพกง่ายไม่หนักไหล่เหมือนพี่ๆ ในตระกูล Zenbook สองหน้าจอแล้ว เรื่องประสิทธิภาพและฟีเจอร์ก็ถือว่าได้มาเพียบไม่แพ้รุ่นใหญ่และได้ฟีเจอร์น่าสนใจอัดเข้ามาล้นเครื่องมากมายและผ่านมาตรฐานเป็น Intel Evo อีกด้วย ในส่วนของดีไซน์คือได้หน้าจอ ASUS ScreenPad Plus หน้าจอเสริมสำหรับใช้พักโปรแกรมหรือเป็นแผงควบคุมพิเศษเสริมเข้าไปกับโปรแกรมหลักที่ใช้งานอยู่ก็ได้, ได้ Dished Keycaps ตัวปุ่มโค้งลง 0.2 มม. ระยะกด 1.4 มม. ให้ผู้ใช้ที่เน้นพิมพ์งานด้วยคีย์บอร์ดโน๊ตบุ๊คพิมพ์ได้แม่นยำและสะดวกยิ่งกว่าเดิมรวมทั้งทัชแพดขนาดเล็กแบบไม่จับรอยนิ้วมือที่ติดตั้งไว้ข้างคีย์บอร์ด ซึ่งทางบริษัทได้วิจัยแล้วว่าการดีไซน์เช่นนี้ถูกต้องตามหลักสรีระศาสตร์รวมไปถึงเซนเซอร์สแกนใบหน้า IR Camera ติดตั้งเอาไว้รวมกับชุด Webcam เพื่อปลดล็อคเครื่องได้สะดวก ไม่ต้องพิมพ์รหัสผ่านก็ได้ เสริมไมค์มา 4 ตัวเพื่อให้สื่อสารเวลาประชุมงานได้ง่าย ลำโพงของตัวเครื่องได้ harman/kardon มาจูนเสียงให้พร้อมติดตั้งชิป Smart amp ช่วยขยายเสียงให้ดังกว่าเดิม 3.5 เท่า รองรับ Dolby Atmos ให้เสียงกระหึ่มดังชัดเจนรอบทิศทาง

Advertisementavw

ด้านตัวเครื่องสี Tech Black ของ ASUS Zenbook Pro 14 Duo OLED นั้นใช้วัสดุเป็นแม็กนีเซียมอลูมิเนียมเช่นเดียวกับรุ่นใหญ่ ให้ความแข็งแรงทนทานและหรูหรารวมทั้งเคลือบสารกันลายนิ้วมือเอาไว้ให้พร้อมระบบระบายความร้อน ASUS IceCool Plus, AAS Ultra ซึ่งดึงอากาศเย็นเข้าไประบายความร้อนได้ดีกว่าเดิม 38% ทำให้ตัวเครื่องเย็นกว่าเดิมถึง 4 องศาเซลเซียส ช่วยให้ทำงานต่อเนื่องได้นานโดยไม่มีปัญหา ส่วนหน้าจอที่เป็นไฮไลต์ก็จัดว่าสุดยอดไม่แพ้ฟีเจอร์อื่น โดยได้ขนาดหน้าจอ 14.5 นิ้ว ความละเอียด 2.8K (2880×1800) อัตราส่วน 16:10 พาเนล OLED ความสว่างสูงสุด 500 nits รองรับ HDR และ Dolby Vision ได้อัตราส่วนตัวเครื่องต่อหน้าจอ (Screen-to-Body ratio) ที่ 93% ไม่พอ ยังได้ค่า Refresh Rate สูงถึง 120Hz กับ Response Time 0.2ms เท่านั้น แสดงขอบเขตสีได้กว้าง 100% DCI-P3 ได้รับการรับรอง PANTONE Validated, VESA DisplayHDR True Black 500 ยืนยันความเที่ยงตรงทั้งสีสันทั่วไปและสีดำที่ดำสนิท เรียกว่าเป็นจอคุณภาพสำหรับครีเอเตอร์โดยเฉพาะ ด้านจอ ASUS ScreenPad Plus ขนาด 12.7 นิ้ว ก็ได้ความละเอียดระดับ 2.8K (2880×864) พาเนล IPS อัตราส่วนหน้าจอ 32:10 พร้อมค่า Refresh Rate 120Hz เท่ากันอีกด้วย และทั้งสองหน้าจอยังเป็นหน้าจอทัชสกรีนทั้งคู่ ใช้ปากกา ASUS Pen 2.0 เขียนลงบนหน้าจอได้ด้วย

ASUS Zenbook Pro 14 Duo OLED

ด้านสเปคอื่นๆ ของ ASUS Zenbook Pro 14 Duo OLED เรียกว่ายอดเยี่ยมไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะซีพียู Intel 12th Gen สถาปัตยกรรม Alder Lake และการ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX 3050 Ti แรม 4GB GDDR6 พร้อมไดรเวอร์ NVIDIA Studio ที่เน้นการทำงานกับโมเดล 3D และ AI-augmented รองรับการสั่งอัพเกรดแรมได้มากสุด 32GB ได้ M.2 NVMe SSD อินเตอร์เฟส PCIe 4.0 x4 สามารถอ่านเขียนข้อมูลได้เร็ว 6,500MB/s รองรับความจุสูงสุด 2TB มีพอร์ต Thunderbolt 4 Full-Function ติดตั้งมาถึง 2 พอร์ต รองรับการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่าน Wi-Fi 6E มาตรฐาน 802.11ax ได้อีกด้วย นับว่าครบเครื่องผิดกับขนาดตัวเครื่องที่พกพาได้ง่ายเช่นนี้

NBS Verdicts

Zenbook Pro 14 Duo OLED NYX09241

จากข้อดีและจุดเด่นทั้งหมดที่ได้กล่าวมา จะเห็นว่า ASUS Zenbook Pro 14 Duo OLED ราคา 59,990 บาท นับเป็นโน๊ตบุ๊คเพื่อครีเอเตอร์ที่น่าใช้อีกรุ่น มันสามารถทำงานกราฟฟิค, งาน 3D ต่างๆ ได้ดีไม่แพ้รุ่นใหญ่ แต่ถูกย่อส่วนให้เล็กพกพาได้ง่ายยิ่งขึ้น ช่วยให้ครีเอเตอร์สามารถพกโน๊ตบุ๊คติดตัวไปทำงานหรือพรีเซนต์งานกับลูกค้าได้สะดวกขึ้นมาก ดังนั้นถ้าใครชื่นชอบตระกูล Zenbook Duo เป็นทุนเดิมแต่ไม่ได้อยากพกโน๊ตบุ๊คเครื่องใหญ่ล่ะก็ เครื่องนี้คือคำตอบที่ดีมากอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะทั้งฟีเจอร์กับสเปคเรียกว่าไม่แพ้รุ่นที่ราคาแพงกว่านี้แต่ก็พกง่ายไม่ต่างกับโน๊ตบุ๊คหน้าจอ 14 นิ้วหลายๆ รุ่นที่ ASUS วางจำหน่ายอยู่

สเปคของ ASUS Zenbook Pro 14 Duo OLED เครื่องนี้ได้ซีพียู Intel Core i7-12700H กับการ์ดจอแยก NVIDIA GeForce RTX 3050 Ti มี M.2 NVMe SSD อินเตอร์เฟส PCIe 4.0 x4 ความจุ 1TB ติดตั้ง Windows 11 Home มาให้พร้อมโปรแกรม Microsoft Office Home & Student 2021 แรม 16GB LPDDR5 บัส 4800MHz และหน้าจอหลัก 14.5 นิ้ว ความละเอียด 2.8K พาเนล OLED ได้รับการรับรองจาก PANTONE Validated, VESA DisplayHDR True Black 500 เหมาะกับครีเอเตอร์สายกราฟฟิคหรือจะช่างภาพสามารถใช้มันทำงานได้อย่างดีแน่นอน มีกล้อง IR Camera ติดตั้งมาให้ใช้สแกนใบหน้าปลดล็อคเครื่องได้ ไม่ต้องพิมพ์รหัสผ่านให้ยุ่งยากและช่วยกันผู้ใช้ที่ถือวิสาสะเข้ามาใช้โน๊ตบุ๊คของเราโดยไม่ได้รับอนุญาตอีกด้วย

แต่เมื่อถูกย่อขนาดลง ฟีเจอร์บางส่วนของ ASUS Zenbook Pro 14 Duo OLED ก็ถูกตัดทอนออกไป ได้แก่ ASUS NumberPad ซึ่งใช้สลับโหมดระหว่าง Touchpad หรือ Numpad ทำให้คีย์บอร์ดของ ASUS Zenbook Pro 14 Duo OLED เป็นคีย์บอร์ดแบบ Tenkeyless และตัวทัชแพดเองก็มีขนาดค่อนข้างเล็กทีเดียว เวลาใช้งานจริงก็พบปัญหาว่าลากเคอร์เซอร์ได้ไม่สุดหน้าจอและยังกดคลิกซ้ายผิดไปกดปุ่มลูกศรที่อยู่ใกล้ๆ กันบ่อยครั้งอีกด้วย นอกจากนี้ทาง ASUS เองก็ไม่ได้เซ็ตปุ่มปรับโหมดตัวเครื่องมาให้บนคีย์บอร์ดด้วย เนื่องจากพื้นที่คีย์บอร์ดไม่พอใช้งาน เวลาต้องการปรับโหมดให้ทำงานเต็มที่หรือประหยัดพลังงานต้องเปลี่ยนในโปรแกรม MyASUS อย่างเดียวเท่านั้น จัดว่าไม่ได้ลำบากแต่ก็น่าเสียดายที่ไม่มีให้ใช้งาน

ข้อดีของ ASUS Zenbook Pro 14 Duo OLED
  1. ซีพียูเป็น Intel Core i7-12700H ประสิทธิภาพสูงพร้อมทำงานหนักได้เป็นอย่างดี
  2. การ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX 3050 Ti ใช้ไดรเวอร์ NVIDIA Studio ทำงานได้ดีและเสถียร
  3. บอดี้ตัวเครื่องเป็นวัสดุเป็นแม็กนีเซียมอลูมิเนียม ให้ความแข็งแรงทนทานและหรูหรารวมทั้งเคลือบสารกันลายนิ้วมือมาด้วย
  4. ระบบระบายความร้อน ASUS IceCool Plus, AAS Ultra ช่วยให้ถ่ายเทความร้อนได้ดี ไม่เกิดอาการ Throttle Down ระหว่างใช้งาน
  5. ได้หน้าจอทัชคุณภาพสูงขนาด 14.5 นิ้ว ความละเอียด 2.8K (2880×1800) พาเนล OLED รองรับ HDR และ Dolby Vision Refresh Rate สูงถึง 120Hz
  6. หน้าจอหลักแสดงขอบเขตสีได้กว้าง 100% DCI-P3 ได้รับการรับรอง PANTONE Validated, VESA DisplayHDR True Black 500
  7. มีหน้าจอ ASUS ScreenPad Plus มาให้ใช้งานเป็นหน้าจอเสริม ใช้งานสะดวกยิ่งขึ้น
  8. คีย์บอร์ดเป็นปุ่ม Dished Keycaps ตัวปุ่มโค้งลง 0.2 มม. ระยะกด 1.4 มม. พิมพ์งานสะดวกและแม่นยำ
  9. ลำโพงได้ harman/kardon มาจูนเสียงให้ มีชิป Smart amp รองรับ Dolby Atmos ได้เสียงที่ดีน่าประทับใจเป็นพิเศษ
  10. มีพอร์ต Thunderbolt 4 Full-Function ติดตั้งมาให้ 2 ช่อง ต่อหน้าจอแยกและชาร์จแบตเตอรี่คืนให้โน๊ตบุ๊คได้ในตัวและมีพอร์ตพื้นฐานติดตั้งมาให้พร้อมใช้งาน
  11. รองรับการเชื่อมต่อด้วย Wi-Fi 6E สามารถรับส่งข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ตได้เร็วและเสถียร
  12. ติดตั้งกล้อง IR Camera มาให้สแกนใบหน้าปลดล็อคเครื่องได้โดยสะดวกและรวดเร็ว
  13. มีปากกา ASUS Pen 2.0 มาให้ใช้เขียนและทำเครื่องหมายบนเอกสารได้ทันที
  14. มี Microsoft Office Home & Student 2021 ติดตั้งมาให้พร้อมใช้งาน
ข้อสังเกตของ ASUS Zenbook Pro 14 Duo OLED
  1. Touchpad มีขนาดเล็กและไม่มี ASUS NumberPad ติดตั้งมาให้ใช้งาน
  2. ไม่มีปุ่มปรับโหมดตัวเครื่อง ถ้าต้องการปรับโหมดต้องเปิด MyASUS ขึ้นมาตั้งค่า
  3. ชิ้นส่วนต่างๆ บนเมนบอร์ดถูกฝังมาแบบออนบอร์ด อัพเกรดได้แต่ M.2 NVMe SSD
  4. ไม่มีได้ใช้ดีไซน์ ASUS ErgoLift hinge เหมือน ASUS Zenbook Pro Duo เครื่องอื่น ตอนกางจอพิมพ์งานแล้วแป้นคีย์บอร์ดจะไม่ยกตัวขึ้น

รีวิว ASUS Zenbook Pro 14 Duo OLED

Specification

ASUS ZENBOOK PRO 14 DUO OLED UX8402

สเปคของ ASUS Zenbook Pro 14 Duo OLED ถูกออกแบบมาเพื่อให้ครีเอเตอร์ได้ใช้ทำงานสร้างสรรค์ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะทำโมเดล 3D CG, ตัดต่อวิดีโอหรือจะแต่งภาพก็ทำได้ยอดเยี่ยม โดยสเปคมีรายละเอียดดังนี้

สเปคของ ASUS Zenbook Pro 14 Duo OLED
  • CPU : Intel Core i7-12700H แบบ 14 คอร์ 20 เธรด ความเร็ว 3.5-4.7GHz (6P+8E)
  • GPU : NVIDIA GeForce RTX 3050 Ti (4GB GDDR6)
  • SSD : M.2 NVMe 1TB PCIe 4.0
  • RAM : 16GB LPDDR5 บัส 4800 MHz
  • Monitor – แยกเป็น 2 หน้าจอ
    • หน้าจอหลัก : 14.5 นิ้ว ความละเอียด 2.8K (2880×1800) อัตราส่วน 16:10 พาเนล OLED ความสว่างสูงสุด 500 nits รองรับ HDR, Dolby Vision อัตราส่วนตัวเครื่องต่อหน้าจอ (Screen-to-Body ratio) 93% ค่า Refresh Rate 120Hz, Response Time 0.2ms ขอบเขตสีกว้าง 100% DCI-P3 ได้รับการรับรอง PANTONE Validated, VESA DisplayHDR True Black 500
    • ASUS ScreenPad Plus : 12.7 นิ้ว ความละเอียด 2.8K (2880×864) พาเนล IPS อัตราส่วนหน้าจอ 32:10 พร้อมค่า Refresh Rate 120Hz
  • Port : Thunderbolt 4 x 2 Full-Function, USB-A 3.2 Gen 2 x 1, HDMI 2.1 x 1, SD Express 7.0 Card Reader x 1, Audio combo x 1
  • Wireless : Wi-Fi 6E มาตรฐาน 802.11ax, Bluetooth 5.1
  • Camera : IR Camera 720p HD
  • Software : Windows 11 Home, Microsoft Office Home & Student 2021
  • Weight : 1.7 กิโลกรัม
  • Price : 59,990 บาท

Hardware & Design

Zenbook Pro 14 Duo OLED NYX09244

Zenbook Pro 14 Duo OLED NYX09200
Zenbook Pro 14 Duo OLED NYX09201
Zenbook Pro 14 Duo OLED NYX09225
Zenbook Pro 14 Duo OLED NYX09207

ดีไซน์ของ ASUS Zenbook Pro 14 Duo OLED จะอิงดีไซน์ร่วมกับ ASUS Zenbook รุ่นอื่นๆ ในตระกูล มีหน้าจอคู่ทั้งหน้าจอหลักและจอเสริมติดตั้งมาให้ แต่ย่อขนาดให้เล็กลงเท่าโน๊ตบุ๊ค 14 นิ้วหลายๆ รุ่น สกรีนคำว่า ASUS Zenbook เอาไว้ตรงกลางขอบล่างหน้าจอ ScreenPad Plus เพื่อบอกตระกูลของโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้และเว้นขอบตัวเครื่องเอาไว้เล็กน้อยให้ใช้นิ้วเกี่ยวดึงหน้าจอเปิดขึ้นได้สะดวก แต่จากที่ทดลองกางหน้าจอด้วยนิ้วเดียวแล้วแนะนำให้ใช้มืออีกข้างช่วยประคองเครื่องจะดีกว่า เนื่องจากบาลานซ์น้ำหนักเครื่องจะหนักไปส่วนด้านหลังเครื่องเป็นพิเศษ เวลากางเครื่องด้วยมือข้างเดียวแล้วตัวเครื่องจะกระดกตามมาด้วย

Zenbook Pro 14 Duo OLED NYX09227

Zenbook Pro 14 Duo OLED NYX09239
Zenbook Pro 14 Duo OLED NYX09194
Zenbook Pro 14 Duo OLED NYX09208
Zenbook Pro 14 Duo OLED NYX09210

การออกแบบกลไกบานพับหน้าจอ ScreenPad Plus จะใช้ดีไซน์คล้าย ASUS Zenbook Pro Duo รุ่นอื่นๆ เมื่อกางหน้าจอหลักแล้วจอเสริมจะยกขึ้นทำมุม 12 องศา ทำให้มองเห็นได้สะดวกพอดี พยุงไว้ด้วยก้านเหล็กเส้นเดียวสองฝั่งค้ำยันให้หน้าจอเสริมมั่นคง ส่วนบานจอหลักจะล็อคเอาไว้กับก้านเหล็กเส้นเดียวทรงกลม ถ้าพับเครื่องเก็บแล้วตัวก้านจะตกลงไปอยู่ในชุดถาดเก็บก้านบานพับหน้าจอในเครื่องรวมกับตัวก้านที่พยุง ScreenPad Plus นั่นเอง

เวลากางหน้าจอจนสุด ASUS Zenbook Pro 14 Duo OLED จะกางได้ราว 140 องศา จัดว่ากว้างมากเพราะตัวก้านเหล็กของหน้าจอหลักถูกติดล็อคเอาไว้ด้านใต้ ScreenPad Plus อีกที ทำให้ตอนกางจนสุดแล้วขอบล่างของหน้าจอหลักจะมุดเข้าไปด้านใต้จอเสริม เพิ่มองศาการกางหน้าจอให้กว้างกว่าโน๊ตบุ๊คหลายๆ รุ่นในปัจจุบันนี้

แต่ ASUS Zenbook Pro 14 Duo OLED ไม่ได้ใช้ดีไซน์แบบ ASUS ErgoLift hinge เหมือน ASUS Zenbook Pro Duo รุ่นอื่น ดังนั้นตอนกางหน้าจอแล้วสังเกตว่าฐานเครื่องจะราบติดพื้นเหมือนเดิม ไม่ได้ยกตัวขึ้นเล็กน้อยให้แป้นคีย์บอร์ดเฉียงเข้าหาผู้ใช้แต่เนื่องจากฐานตัวเครื่องไม่หนามาก ทำให้ใช้ความคุ้นชินตอนใช้โน๊ตบุ๊คขนาด 14 นิ้วรุ่นอื่นๆ มาทดแทนได้อยู่

Zenbook Pro 14 Duo OLED NYX09196

Zenbook Pro 14 Duo OLED NYX09198
Zenbook Pro 14 Duo OLED NYX09199

ฝาหลังของ ASUS Zenbook Pro 14 Duo OLED เป็นแม็กนีเซียมอลูมิเนียมปัดเงา ให้ความเรียบหรูสวยงาม ติดโลโก้อลูมิเนียมของ ASUS ทรงลูกศรคล้ายตัว “A” เอาไว้ตรงกลางฝั่งขวาของบานหลังจอและยิงเลเซอร์คำว่า “ASUS Zenbook” เอาไว้ตรงขอบล่างของตัวเครื่องด้วย ซึ่งเป็นดีไซน์เน้นความสวยเรียบหรูเสริมบุคลิคผู้ใช้ได้ดีขึ้นพอตัว

Zenbook Pro 14 Duo OLED NYX09181

ขอบด้านใต้ตัวเครื่องจะมีกรอบยางสองชุด แยกเป็นชุดกรอบยางทรงกรอบสี่เหลี่ยมล้อมช่องระบายความร้อน 3 แถวตรงขอบบนตัวเครื่องเอาไว้ คั่นด้วยชุดสติกเกอร์บอกสเปคต่างๆ และการสกรีนตัวอักษรเอาไว้เพื่อบ่งบอกรุ่นและรายละเอียดต่างๆ ของตัวเครื่องและในส่วนกลางนี้จะมีช่องลำโพงฝั่งซ้ายและขวาติดตั้งเอาไว้ด้วย ส่วนขอบล่างสุดของตัวเครื่องจะเป็นแถบยางอีกเส้นเดินแนวยาวสุดขอบเครื่องทั้งสองฝั่งติดตั้งเอาไว้ด้วย ซึ่งการเซ็ตกรอบตัวเครื่องเช่นนี้ทำให้บอดี้แม็กนีเซียมอลูมิเนียมของตัวเครื่องไม่เกิดริ้วรอยจากพื้นโต๊ะหรือแท่นวางโน๊ตบุ๊คอย่างแน่นอน

Screen & Speaker

Zenbook Pro 14 Duo OLED NYX09228

Zenbook Pro 14 Duo OLED NYX09231
Zenbook Pro 14 Duo OLED NYX09229
Zenbook Pro 14 Duo OLED NYX09232
Zenbook Pro 14 Duo OLED NYX09257
Zenbook Pro 14 Duo OLED NYX09238
Zenbook Pro 14 Duo OLED NYX09248

หน้าจอของ ASUS Zenbook Pro 14 Duo OLED จะมีทั้งหมดสองหน้าจอด้วยกัน ซึ่งหน้าจอหลักมีอัตราส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่อง (Screen-to-Body ratio) มากถึง 93% ขนาด 14.5 นิ้ว ความละเอียด 2.8K (2880×1800) อัตราส่วน 16:10 พาเนล OLED ความสว่างสูงสุด 500 nits รองรับ HDR, Dolby Vision อัตราส่วนตัวเครื่องต่อหน้าจอ (Screen-to-Body ratio) 93% ค่า Refresh Rate 120Hz, Response Time 0.2ms ขอบเขตสีกว้าง 100% DCI-P3 ได้รับการรับรอง PANTONE Validated, VESA DisplayHDR True Black 500 ซึ่งเหมาะกับการทำงานอาร์ตเวิร์ค, แต่งภาพถ่ายต่างๆ หรือเรนเดอร์ 3D CG ก็ทำได้ดีเช่นกัน และสังเกตว่าพาเนลหน้าจอ OLED มีระยะองศาการมองเห็นกว้างไม่แพ้กับพาเนล IPS เลย แต่หากเป็นจอทัชสกรีนที่ปิดด้วยกระจกเมื่อไหร่จะมีอาการจอสะท้อนแสงตามวิสัยของจอกระจก

ด้านจอ ASUS ScreenPad Plus มีขนาด 12.7 นิ้ว ความละเอียด 2.8K (2880×864) พาเนล IPS อัตราส่วนหน้าจอ 32:10 พร้อมค่า Refresh Rate 120Hz เป็นจอเสริมสำหรับสาย Zenbook Duo มีความละเอียดเท่ากัน โดยทางบริษัทติดตั้งมาให้เป็นจอซัพพอร์ตจอหลัก มีแถบฟังก์ชั่นการทำงานติดตั้งไว้ขอบจอฝั่งซ้ายมือ มีคำสั่งลดเพิ่มแสงหน้าจอเสริม, สลับหน้าจอ, ปิดเปิด Webcam/Microphone ฯลฯ ติดตั้งมาให้และเซ็ต Shortcut เรียกโปรแกรมต่างๆ ได้ด้วย

display resolution

gamut 1
gamut profile

ส่วนขอบเขตสีหน้าจอเมื่อทดสอบและ Calibrate หน้าจอด้วย Calibrite ColorChecker Display กับโปรแกรม DisplayCal 3 จะเห็นว่าจอของ ASUS Zenbook Pro 14 Duo OLED สามารถแสดงขอบเขตสีได้กว้างตอบโจทย์สายทำงานอาร์ตจริงๆ ได้ค่า Gamut coverage ระดับ 100% sRGB, 96.7% Adobe RGB, 99.7% DCI-P3 ส่วน Gamut volume ถือว่ากว้างมากระดับ 172.1% sRGB, 118.5% Adobe RGB และ 121.9% DCI-P3 เทียบความเที่ยงตรงสี Delta-E แล้วจะได้เฉลี่ย 0.1~1.99 เป็นจอค่า Delta-E <2 นับว่าสีสันบนหน้าจอนี้แม่นยำ สามารถใช้แต่งภาพ, ทำงานอาร์ตเวิร์คหรือจะเอาไปพรีเซนต์งานกับทางลูกค้าก็อ้างอิงสีบนหน้าจอนี้ได้เลยไม่ต้องต่อหน้าจอแยกก็ได้

ความสว่างหน้าจอสูงสุดที่ Calibrite ColorChecker Display วัดได้คือ 344.45 cd/m2 จัดว่าสว่างพอสู้แสงแดดได้สบายๆ สามารถนำไปนั่งทำงานนอกตัวอาคารอย่างชานร้านกาแฟหรือจะนั่งริมระเบียงแล้วโดนแดดส่องก็มองหน้าจอได้ชัดเจนอย่างแน่นอน ถ้าใช้งานในออฟฟิศหรือในร่มและมีแต่แสงไฟนีออนอย่างเดียว แนะนำให้ปรับความสว่างเหลือช่วง 60~70% ก็สว่างพอให้มองเห็นได้ชัดเจนแล้ว

Zenbook Pro 14 Duo OLED NYX09183
Zenbook Pro 14 Duo OLED NYX09184
Zenbook Pro 14 Duo OLED NYX09185
Zenbook Pro 14 Duo OLED NYX09186

ลำโพงของ ASUS Zenbook Pro 14 Duo OLED เครื่องนี้ติดตั้งอยู่ขอบล่างของตัวเครื่อง ได้ harman/kardon มาจูนเสียงให้พร้อมเสริมชิป Smart amp ให้เสียงดังขึ้นกว่าปกติ 3.5 เท่าและรองรับ Dolby Atmos ด้วย เมื่อเปิดเสียงเพลงดังสุด 100% แล้ววัดด้วยเครื่องวัดค่าเดซิเบล จะดังราว 86dB ซึ่งถือว่าดังมากหากใช้งานในห้องนอนส่วนตัว แนะนำให้เปิดเสียงเอาไว้ราว 70% จะดังกำลังดีไม่หนวกหูจนเกินไป

ด้านเสียงลำโพงจากที่ผู้เขียนได้ทดลองเปิดฟังเพลงแล้ว ถือว่าลำโพงของ ASUS Zenbook Pro 14 Duo OLED นั้นยอดเยี่ยมเกินตัวมาก เสียงเครื่องดนตรีและเสียงนักร้องแยกกันชัดเจน ได้โทนเสียงโดดเด่นไม่แพ้กันและไม่กลืนกัน ด้านเสียงเบสก็ขับได้หนักแน่น โทนเบสทุ้มลึกได้ยินชัดเจนและอลังการมีแรงปะทะระดับหนึ่ง นับเป็นหนึ่งในลำโพงโน๊ตบุ๊คที่ยอดเยี่ยมเกินราคาค่าตัวไปหลายขุมและดีกว่าลำโพงแยกหลายๆ แบรนด์ที่วางขายในท้องตลาด ณ ตอนนี้อีกด้วย กล่าวได้ว่า ASUS Zenbook Pro 14 Duo OLED เป็นโน๊ตบุ๊คที่ติดตั้งและจูนเสียงลำโพงมาได้ยอดเยี่ยมอีกรุ่นหนึ่งในปี 2022 นี้ก็ไม่ผิดนัก

Keyboard & Touchpad

Zenbook Pro 14 Duo OLED NYX09214

Zenbook Pro 14 Duo OLED NYX09213
Zenbook Pro 14 Duo OLED NYX09211
Zenbook Pro 14 Duo OLED NYX09215
Zenbook Pro 14 Duo OLED NYX09216
Zenbook Pro 14 Duo OLED NYX09217
Zenbook Pro 14 Duo OLED NYX09218

คีย์บอร์ดของ ASUS Zenbook Pro 14 Duo OLED จะอิงเลเยอร์และดีไซน์มาจากรุ่น 15.6 นิ้วแทบทั้งหมด มีไฟ LED Backlit สีขาวติดตั้งมาให้พิมพ์งานในที่แสงน้อยได้สะดวกและปรับความสว่างได้ มี Function Key ติดตั้งไว้รวมกับปุ่มต่างๆ ไม่ว่าจะปุ่มลูกศรทั้ง 4 ทิศทางที่รวมกับ Page Up, Page Down, Home, End และดีไซน์แบบร่นปุ่ม Grave Accent (~) ให้เล็กลงครึ่งหนึ่งด้วย ถัดไปฝั่งขวามือจะมีทัชแพดติดตั้งมาให้คุมเคอร์เซอร์เมาส์ได้ด้วย แต่จุดสังเกตแรกของคีย์บอร์ด คือ ทาง ASUS ตัดปุ่มลัดสำหรับปรับโหมดตัวเครื่อง (ไอคอนรูปพัดลม) ถูกตัดออกไป ทำให้เวลาต้องการปรับโหมดการทำงานต้องไปเปลี่ยนการตั้งค่าใน MyASUS แทน

Zenbook Pro 14 Duo OLED NYX09223

สำหรับ Function Hotkey ตรงบรรทัดบนสุด จะมีคำสั่งสลับโหมดการทำงานกลับเป็น F1-F12 ได้ด้วย โดยกด Fn+Esc ได้ด้วย ส่วนคึย์ลัดที่ทาง ASUS เซ็ตมาให้บนคีย์บอร์ดนี้ได้แก่

  • F1-F3 – ปิด, ลดหรือเพิ่มเสียงลำโพง
  • F4-F5 – ลดหรือเพิ่มความสว่างหน้าจอ
  • F6 – ปิดการทำงานทัชแพด
  • F7 – ปรับความสว่างไฟ LED Backlit ของคีย์บอร์ด
  • F8 – ปุ่ม Project สำหรับตั้งค่าหน้าจอหลักและจอเสริม
  • F9 – ปิดหรือเปิดไมโครโฟน ถ้าปิดอยู่จะมีไฟติด
  • F10 – ปิดหรือเปิดกล้อง Webcam ถ้าปิดอยู่จะมีไฟติด
  • F11 – เรียกโปรแกรม Snipping Tool
  • F12 – เรียกโปรแกรม MyASUS

ส่วนของ Function Hotkey ตรงปุ่ม F1-F12 ของ ASUS Zenbook Pro 14 Duo OLED ถ้าดูเผินๆ จะเห็นว่าปุ่มฟังก์ชั่นต่างๆ ก็ดูครบถ้วนดี แต่ก็ทับซ้อนกับแถบฟังก์ชั่นด้านข้างของ ASUS ScreenPad Plus และยังมีปุ่มฟังก์ชั่นที่ไม่จำเป็นต้องติดมาให้ด้วย ได้แก่ ปุ่ม F9, F10 ที่ใช้เปิด/ปิดไมค์และลำโพงนั้นไม่จำเป็นต้องติดตั้งมาให้ก็ได้, ปุ่มปิดการทำงานทัชแพดที่สันมือทั้งสองข้างไม่มีทางพาดโดน และทาง ASUS ก็ไม่รวบปุ่ม Snipping Tool เอาไว้กับคำสั่ง Print Screen ให้เป็นหมวดเดียวกัน ทำให้ปุ่มซ้ำซ้อนเยอะเกินความจำเป็น

ในมุมของผู้เขียน ขอแนะนำให้ถอดคำสั่งปิดการทำงานทัชแพด, เปิด/ปิดไมค์และกล้อง Webcam ทั้งสามปุ่มนี้ทิ้งไปและขยับคำสั่ง Snipping Tool ไปรวมไว้กับ Print Screen แทน เท่านี้ก็จะได้คีย์ลัดให้เซ็ตเพิ่มเติมได้ถึง 4 ปุ่ม ซึ่งปุ่มว่างเหล่านี้สามารถจัดสรรไปเป็นปุ่มปรับโหมดการทำงานตัวเครื่อง, ปรับค่า Hz ของหน้าจอระหว่าง 60~120Hz, ปุ่มเรียกโปรแกรม Calculator และปุ่มคีย์ลัด Windows+Tab สำหรับเปิดดูโปรแกรมที่เปิดค้างเอาไว้แทนจะมีประโยชน์กว่า และใช้คำสั่งเปิด/ปิด Webcam และไมโครโฟนตรงแถบคำสั่งบนหน้าจอ ScreenPad Plus แทนก็ได้

Zenbook Pro 14 Duo OLED NYX09219

ทัชแพดของ ASUS Zenbook Pro 14 Duo OLED จะมีขนาดค่อนข้างเล็กและติดตั้งไว้ด้านขวามือ ถัดจากแป้นคีย์บอร์ด ซึ่งตำแหน่งของทัชแพดบริเวณนี้ไม่มีโอกาสที่สันมือจะพาดโดนอย่างแน่นอน ตัวแป้นรองรับ Gesture Control ของ Windows ครบถ้วนและตอบสนองได้ไวตามปกติ มีปุ่มคลิกซ้ายขวาแยกอยู่ด้านล่างของตัวแป้น

ด้านประสบการณ์และจุดสังเกตการใช้งาน อย่างแรกคือทางบริษัทไม่ได้ใส่ฟีเจอร์ ASUS NumberPad มาด้วย คาดว่าเพราะขนาดของตัวเครื่องเล็กลงและมีจำกัดแต่ต้องคงขนาดคีย์บอร์ดให้ได้มาตรฐาน เลยต้องบีบขนาดของทัชแพดให้เล็กลงแทนจนมีขนาดไม่พอใส่ฟังก์ชั่น ASUS NumberPad มาให้เหมือนรุ่นจอ 15.6 นิ้ว และจุดสังเกตอีกอย่าง คือ ขนาดของตัวทัชแพดเล็กจนไม่สามารถลากเคอร์เซอร์เมาส์ไปจนสุดขอบหน้าจอทั้งสองฝั่งได้ไม่พอ เมื่อวางมือใช้ทัชแพดแล้วจะกดปุ่มคลิกซ้ายก็จะพลาดไปกดโดนปุ่มลูกศรขวามือเป็นประจำด้วยความเคยชินเพราะอุ้งมือคลุมปุ่มคลิกซ้ายและขวาไว้จนหมดจนต้องปรับตัวกันใหม่หมด ซึ่งส่วนตัวผู้เขียนแนะนำให้ต่อเมาส์แยกไปเลยดีกว่าและใช้ทัชแพดกรณีจำเป็นก็พอ

Connector / Thin & Weight

Zenbook Pro 14 Duo OLED NYX09199

Zenbook Pro 14 Duo OLED NYX09233
Zenbook Pro 14 Duo OLED NYX09237

พอร์ตเชื่อมต่อของ ASUS Zenbook Pro 14 Duo OLED จะกระจายอยู่รอบเครื่องทั้งฝั่งซ้าย, ขวาและมีอยู่ด้านหลังเครื่องด้วย โดยพอร์ตและการเชื่อมต่อฝั่งซ้ายมือมี Audio combo x 1 ช่อง ด้านขวามือมี Thunderbolt 4 x 2 ช่อง เป็น Full-Function รองรับการเชื่อมต่อหน้าจอแบบ DisplayPort และชาร์จแบตเตอรี่แบบ Power Delivery ได้และมีพอร์ต USB-A 3.2 Gen 2 ด้วย ส่วนด้านหลังเครื่องจะมี HDMI 2.1 กับ SD Express 7.0 Card Reader อย่างละช่องติดตั้งเอาไว้ ส่วนการเชื่อมต่อไร้สายรองรับ Wi-Fi 6E มาตรฐาน 802.11ax และ Bluetooth 5.1

ว่าด้วยพอร์ตในมุมของผู้เขียน ต้องถือว่า ASUS Zenbook Pro 14 Duo OLED ให้พอร์ตใช้งานมาครบเครื่องครบถ้วน โดยเฉพาะ Thunderbolt 4 จำนวน 2 ช่องแต่ก็ไม่ตัด USB-A 3.2 Gen 2 ทิ้งไป ทำให้ผู้ใช้ที่ต้องการโอนไฟล์, แบ็คอัพงานเข้า External HDD/SSD สามารถต่อใช้งานได้ไม่ต้องผ่านอุปกรณ์ต่อเสริมอื่นๆ ส่วนช่างภาพก็เอา MicroSD Card ของตัวเองโอนไฟล์เข้าเครื่องได้ง่ายๆ และยังต่อหน้าจอด้วย HDMI 2.1 ได้อีก ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้อง USB-C Multiport adapter มาใช้งานก็ได้ อย่างมากอาจจะซื้อมาเพิ่มพอร์ต USB-A 3.0 และ LAN อีกสักหน่อย เผื่อกรณีต้องเชื่อมต่อกับ Network ภายในบริษัทเพื่อทำงานเท่านั้นพอแล้ว

Zenbook Pro 14 Duo OLED NYX09172

Zenbook Pro 14 Duo OLED NYX09178
Zenbook Pro 14 Duo OLED NYX09258

นอกจากนี้ในแพ็คเกจของ ASUS Zenbook Pro 14 Duo OLED จะมีซองโน๊ตบุ๊คหนังสีดำสกรีนคำว่า Zenbook เอาไว้ให้และมีปากกา ASUS Pen 2.0 สำหรับเขียนหรือวาดบนหน้าจอแถมมาให้อีกด้าม เผื่อไว้ให้ผู้ใช้ที่ต้องการคอมเมนต์งานหรือเซ็นเอกสารสำคัญทำได้ในทันที ซึ่งปากกาสไตลัสของ ASUS ด้ามนี้เรียกว่าตอบสนองได้ไวและเส้นคม มีความหนักเบาของเส้นชัดเจน เพราะตัวปากการองรับแรงกดถึง 4096 ระดับไล่เลี่ยกับปากกาสไตลัสสำหรับวาดภาพหลายๆ รุ่น

Zenbook Pro 14 Duo OLED NYX09169

Zenbook Pro 14 Duo OLED NYX09171
Zenbook Pro 14 Duo OLED NYX09170

สำหรับน้ำหนักตัวเครื่องเมื่อชั่งด้วยตาชั่งดิจิตอล เฉพาะเครื่องอย่างเดียวหนัก 1.75 กิโลกรัม เมื่อรวมกับอแดปเตอร์น้ำหนัก 542 กรัม และ ASUS Pen 2.0 แล้ว จะมีน้ำหนักสุทธิ 2.3 กิโลกรัมพอดี จัดว่าไม่หนักเกินไป ยังพอพกพาไปไหนมาไหนได้ง่ายระดับหนึ่ง

แต่เนื่องจากตัวเครื่องมี Thunderbolt 4 ติดตั้งมาให้ด้วย ดังนั้นตอนพกเครื่องไปไหนมาไหนก็ไม่ต้องเอาอแดปเตอร์ติดกระเป๋าไป แต่เปลี่ยนเป็นปลั๊ก GaN กำลังชาร์จ 65 วัตต์ขึ้นไปก็สามารถชาร์จแบตเตอรี่พร้อมกับชาร์จสมาร์ทโฟนได้ทันทีเช่นกัน ถ้าให้ดีและชาร์จได้ไวด้วยแนะนำให้หาปลั๊ก GaN 100 วัตต์จะดีที่สุด

Inside & Upgrade

Zenbook Pro 14 Duo OLED NYX09187

ASUS Zenbook Pro 14 Duo OLED จะถูกขันด้วยน็อต Trox หัวเล็กไว้ทั้งหมด 10 ดอกด้วยกัน เมื่อแกะน็อตออกทั้งหมดแล้ว ตรงกลางตัวเครื่องจะเป็นคลิปล็อคเอาไว้ยึดฝาใต้เครื่องไว้ด้วย เวลาแกะเครื่องเสร็จแล้วแนะนำให้เจ้าของเครื่องยกขอบฝาใต้เครื่องเล็กน้อยแล้วลองเลื่อนดูนิดหน่อย จะสามารถถอดฝาเครื่องออกมาได้

แต่อย่างไรก็ตามชิ้นส่วนภายในของ Zenbook เครื่องนี้ก็ถูกบัดกรีฝังออนบอร์ดมาแทบทั้งหมดไม่ต่างกับรุ่นอื่นในตระกูลเลย อัพเกรดได้อย่างมากสุดคือเปลี่ยน M.2 NVMe SSD ตรงขอบบนเหนือฮีตไปป์ได้แค่ชิ้นเดียวเท่านั้น แต่ข้อดีคืออินเตอร์เฟสของ NVMe SSD ตัวนี้เป็น PCIe 4.0 x4 และรองรับความจุสูงสุด 2TB ทีเดียว และรับส่งข้อมูลได้เร็วสุดถึง 6,500MB/s ทีเดียว ดังนั้นถ้า SSD 1TB ที่ติดตั้งมาในเครื่องช้าและมีความจุไม่พอใช้ทำงานก็เปิดฝาอัพเกรดได้เลย

Performance & Software

cpu 1
mb 1

ASUS Zenbook Pro 14 Duo OLED เครื่องที่ได้รับมาทดสอบติดตั้ง Intel Core i7-12700H แบบ 14 คอร์ 20 เธรด (6P+8E) ความเร็ว  3.5-4.7GHz มาให้ ซึ่งประสิทธิภาพจัดว่าทรงพลังพอใช้ทำงานเรนเดอร์ 3D CG และงานอาร์ตต่างๆ ได้โดยไม่มีปัญหา มีค่า TDP สูงสุด 45 วัตต์ รองรับชุดคำสั่งที่ต้องใช้ทำงานครบถ้วน แต่ถ้ายังไม่พอใจก็มีตัวเลือกรุ่นสูงสุดเป็น Intel Core i9-12900H ให้เลือกเช่นกัน ส่วนเมนบอร์ดของ ASUS ใช้อินเตอร์เฟส PCIe 4.0 ด้วย ทำให้รับส่งข้อมูลได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

integrated gpu

discrete gpu
tgp

ด้านการ์ดจอในเครื่อง นอกจาก Intel Iris Xe Graphics ซึ่งติดมากับซีพียูอยู่แล้วและใช้เพื่อเรนเดอร์ภาพขึ้นหน้าจอเป็นหลักเน้นการประหยัดพลังงานให้ใช้งานได้หลายชั่วโมง ส่วนการ์ดจอแยกเป็น NVIDIA GeForce RTX 3050 Ti แรม 4GB GDDR6 มี CUDA 2560 Cores ค่า TGP อยู่ที่ 60 วัตต์ สามารถถ่ายเทค่าวัตต์มาได้สูงสุดที่ 85 วัตต์เพื่อเร่งประสิทธิภาพการทำงานให้ดีขึ้น

การ์ดจอทั้งสองตัวนี้รองรับ DirectX 12 ทั้งคู่ รองรับชุดคำสั่งทั่วไปทั้งหมด ยกเว้นชุดคำสั่ง CUDA, Ray Tracing จะจำกัดเอาไว้เฉพาะการ์ดจอ NVIDIA GeForce เท่านั้น ซึ่งถ้าใช้งานกับโปรแกรมสายกราฟฟิคเมื่อไหร่ ASUS Zenbook Pro 14 Duo OLED จะสลับมาเป็นการ์ดจอแยกโดยอัตโนมัติแทน

device mgr 1

ส่วนพาร์ทในตัว ASUS Zenbook Pro 14 Duo OLED เมื่อเช็คด้วย Device Manager จะเห็นว่าทางบริษัทติดตั้งพาร์ทมาให้ครบถ้วน โดยติดตั้ง Wi-Fi PCIe Card รุ่น Intel AX211 ซึ่งรองรับ Wi-Fi 6E มาให้ มีค่าแบนด์วิธสัญญาณ 160MHz กับชิปรักษาความปลอดภัย TPM 2.0 ครบถ้วนเพื่อใช้รักษาความปลอดภัยตัวเครื่องตามที่ระบบปฏิบัติการ Windows 11 ต้องการ

ssd 1

ด้าน M.2 NVMe SSD จากโรงงานเป็นรหัส Samsung MZVL21T0HCLR-00B00 หรือรหัส OEM ของ Samsung PM9A1 ความจุ 1TB อินเตอร์เฟส PCIe 4.0 x4 ความเร็วเคลมจากโรงงานมีค่า Sequential Read 7,000MB/s และ Sequential Write 5,100MB/s เมื่อทดสอบด้วย AS SSD แล้วได้ความเร็ว Sequential Read 4,164.98MB/s และ Sequential Write 1,705.96MB/s ซึ่งถือว่าเร็วพอใช้เรียกโปรแกรมและไฟล์ขนาดใหญ่ขึ้นมาใช้งานได้อย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ที่ต้องการอัพเกรดให้ M.2 NVMe SSD ในเครื่องวิ่งได้เต็มความเร็วอินเตอร์เฟสนี้ แนะนำให้ลองเปลี่ยนมาใช้เป็น Samsung 980 Pro, Kingston KC3000, WD Black SN850 หรือจะเน้นความทนทานอย่าง Transcend 220S ก็ดีเช่นกัน แล้วเอา Samsung PM9A1 ไปทำเป็น External SSD ไว้เซฟงานสำคัญก็น่าสนใจ

r15 1
r20 1

ด้านการทดสอบเรนเดอร์โมเดล 3D CG ด้วยโปรแกรม CINEBENCH R15 เมื่อทดสอบโดยรวมแล้ว ผลการทดสอบถือว่าอยู่ในระดับที่ดี โดยผลทดสอบ OpenGL ทำได้ 151.60 fps ส่วน CPU ได้ 2,295 cb ซึ่งผลคะแนนอยู่ในระดับไล่เลี่ยกับโน๊ตบุ๊คครีเอเตอร์หลายๆ รุ่น สามารถทำงานกับโปรแกรมสายวิศวกรอย่าง AutoCAD, Blender ได้ดีและสามารถ Preview ตัวอย่างให้ลูกค้าดูได้อย่างไหลลื่นอีกด้วย และกำลังประมวลผลของ CPU เอง เมื่อทดสอบด้วย CINEBENCH R20 ได้คะแนน CPU 5,406 pts ถือว่ากำลังการประมวลผลของ Intel Core i7-12700H มีพลังการคำนวนและเรนเดอร์งานได้ดีทีเดียว

3dmark 1

ด้านการทดสอบเล่นเกมด้วย 3DMark Time Spy จะได้คะแนนเฉลี่ย 4,868 คะแนน แยกเป็นคะแนน CPU score 10,901 คะแนน และ Graphics score 4,435 คะแนน ถ้ามองโดยรวมต้องถือว่า ASUS Zenbook Pro 14 Duo OLED ที่ถูกออกแบบมาเพื่อครีเอเตอร์นั้นไม่ได้โดดเด่นเรื่องเล่นเกมนัก แต่นั่นเพราะการ์ดจอแยก NVIDIA GeForce RTX 3050 Ti มีกำลังประมวลผลตอนเล่นเกมระดับหนึ่งเท่านั้น แต่กลับกัน เมื่อมันจับคู่ไดรเวอร์ NVIDIA Studio แล้ว มันก็สามารทำงานต่างๆ ได้ดีไม่มีปัญหาเลย

pcmark10 1

ผลคะแนนจากโปรแกรมทดสอบจำลองการทำงานอย่าง PCMark 10 ได้ผลคะแนนเฉลี่ย 6,356 คะแนน จัดว่าทำคะแนนการทดสอบได้ดีกว่าโน๊ตบุ๊คสายทำงานหลายๆ รุ่นซึ่งคะแนนเกาะกลุ่มอยู่ช่วง 5,000 คะแนนเสียเป็นส่วนใหญ่ และถ้ามองผลคะแนนแยกหมวดหมู่การทดสอบ จะเห็นว่า ASUS Zenbook Pro 14 Duo OLED ใช้ทำงานออฟฟิศด้านต่างๆ ได้ดีไม่มีปัญหา ไม่ว่าจะประชุมออนไลน์, ทำงานผ่านเว็บแอพฯ, ทำงานเอกสารก็ทำได้ดีไม่มีปัญหา แต่ที่โดดเด่นน่าสนใจ คือ การทดสอบหมวด Digital Content Creation ซึ่งทดสอบด้านการตัดต่อวิดีโอ, ทำ 3D CG และแต่งภาพนั้นทำคะแนนได้ดีไล่เลี่ยกับการทดสอบการทำงานกับไฟล์เอกสาร ไม่ดึงคะแนนเฉลี่ยโดยรวมให้ตกลงอีกด้วย

gaming tested2

ด้านการทดสอบเล่นเกมด้วย ASUS Zenbook Pro 14 Duo OLED ต้องถือว่ามันพอใช้เล่นเกมฟอร์มยักษ์ได้ดีระดับหนึ่ง แต่อาจจะคาดหวังเฟรมเรทที่สูงไล่เลี่ยกับเกมมิ่งโน๊ตบุ๊คไม่ได้มากนัก ซึ่งถ้าเป็นเกมที่ไม่ได้กินกราฟฟิคหนักมากอย่าง PUBG หรือเกมที่พอร์ตจากเครื่อง PlayStation มาดีแล้วไม่ได้กินทรัพยากรหนักมากอย่าง Horizon Zero Dawn จะพอทำเฟรมเรทเฉลี่ยได้เกิน 60 fps อย่างแน่นอน แต่ถ้าเป็นเกมฟอร์มยักษ์อย่าง Resident Evil Village หรือ Red Dead Redemption 2 ที่ถ้าปรับกราฟฟิคระดับสูงสุดเมื่อไหร่ จะเห็นว่าเฟรมเรทเฉลี่ยอยู่ช่วง 30 fps เท่านั้น ซึ่งสรุปได้ว่า ASUS Zenbook Pro 14 Duo OLED เป็นโน๊ตบุ๊คที่เน้นการทำงานเป็นหลัก แต่พอเล่นเกมเพื่อผ่อนคลายเครียดได้บ้างระดับหนึ่ง แม้จะไม่โดดเด่นเท่าเกมมิ่งโน๊ตบุ๊คแต่ก็พอผ่อนคลายฆ่าเวลาได้ดี ซึ่งถ้าต้องการเล่นเกมล่ะก็ แนะนำให้ปรับกราฟฟิคไปอยู่ระดับกลางๆ เน้นให้เฟรมเรทเพิ่มขึ้นจะดีกว่า

Screenshot 2022 06 14 080858

Screenshot 2022 06 14 081043
Screenshot 2022 06 14 081028
Screenshot 2022 06 14 081016
Screenshot 2022 06 14 081008
Screenshot 2022 06 14 080956
Screenshot 2022 06 14 080945
Screenshot 2022 06 14 080925

ส่วนของโปรแกรม MyASUS ที่ติดตั้งมาพร้อมเครื่องสามารถใช้มอนิเตอร์การทำงานตัวเครื่อง, อัพเดทไดรเวอร์, ปรับโหมดการทำงานของแบตเตอรี่ได้โดยละเอียด และมี ASUS OLED Care สำหรับปรับโหมดการแสดงผลของหน้าจอ OLED เพื่อถนอมพาเนลและยืดอายุการใช้งานให้นานยิ่งขึ้นด้วย ซึ่งส่วนตัวผู้เขียนแนะนำให้เปิดฟีเจอร์ในหมวดนี้เอาไว้ทั้งหมดเพื่อลดปัญหาหน้าจอเกิดอาการ Burn-in ในอนาคต

Battery & Heat & Noise

Zenbook Pro 14 Duo OLED NYX09195

แบตเตอรี่ของ ASUS Zenbook Pro 14 Duo OLED เป็นแบตเตอรี่แบบลิเธียมโพลีเมอร์ มีความจุ 76Wh แยกเป็นความจุ Typical Capacity 4,920mAh และ Rated Capacity 4,770mAh จัดว่ามีความจุเยอะไม่แพ้โน๊ตบุ๊คสายทำงานหรือโน๊ตบุ๊คบางเบาหลายๆ รุ่นของทางบริษัท ทำให้ใช้งานต่อเนื่องได้หลายชั่วโมง

batt 1

แต่จากการทดสอบตามมาตรฐานของทางเว็บไซต์ โดยลดความสว่างหน้าจอต่ำสุด, ปิดไฟ LED Backlit คีย์บอร์ด, ลดเสียงลำโพงเหลือ 10% แล้วปรับโหมดตัวเครื่องเป็น Battery Saver ก่อนจะเปิด Microsoft Edge ดูคลิป YouTube ต่อเนื่อง 30 นาที จะเห็นว่า ASUS Zenbook Pro 14 Duo OLED สามารถใช้งานต่อเนื่องได้นานสุดแค่ 4 ชั่วโมง 10 นาทีเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติของซีพียู Intel ที่มีรหัส H ตามท้ายและยังมีการ์ดจอแยกติดตั้งมาให้ด้วย ดังนั้นระยะเวลาใช้งานก็จะไม่ได้นานเท่าโน๊ตบุ๊คบางเบาหลายๆ รุ่นที่เข้าเกณฑ์เป็นโน๊ตบุ๊ค Intel Evo ในปัจจุบันนี้

ดังนั้นถ้าใครต้องพกเครื่องไปพบลูกค้าหรือพรีเซนต์งานหนักก็คงจะเลี่ยงอแดปเตอร์ของเครื่องนี้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นตัวเครื่องก็จะรีดประสิทธิภาพได้ไม่เต็มที่ แต่ก็ไม่จำเป็นเสมอไป เนื่องจากทางบริษัทให้พอร์ต Thunderbolt 4 มาถึง 2 ช่อง ทำให้เจ้าของเครื่องใช้ปลั๊ก GaN กำลังชาร์จเกิน 65 วัตต์ชาร์จแบตเตอรี่ให้เครื่องได้เลยเช่นกัน

Zenbook Pro 14 Duo OLED NYX09188

Zenbook Pro 14 Duo OLED NYX09193
Zenbook Pro 14 Duo OLED NYX09190
Zenbook Pro 14 Duo OLED NYX09189

ส่วนระบบระบายความร้อน ASUS IceCool Plus กับระบบ AAS Ultra ที่ติดตั้งมาให้ใช้ระบายความร้อน จะมีพัดลมโบลวเวอร์ 2 ตัว จับคู่กับฮีตไปป์สองเส้นที่นำความร้อนมายังฮีตซิ้งค์แล้วเป่าระบายความร้อนออกจากตัวเครื่อง ซึ่งจากการใช้งานตามปกติ เช่นทำงานเอกสาร, เปิดเว็บไซต์, ดูหนังฟังเพลงต้องถือว่าตัวเครื่องเย็นอยู่ตลอดเวลา และตัวพัดลมไม่ได้ส่งเสียงดังรบกวนผู้ใช้เลยสักนิดเดียว

กลับกันถ้านำไปทำงานหนักอย่างเรนเดอร์วิดีโอ, ตัดต่อแต่งภาพหรือเล่นเกมจะเริ่มได้ยินเสียงพัดลมในเครื่องทำงานหนักขึ้นเพื่อระบายความร้อนให้ตัวเครื่องเย็นลง โดยความดังจัดว่าได้ยินชัดเจนทีเดียว

normal heat
heat

ด้านอุณหภูมิในตัวเครื่องที่วัดด้วย CPUID HWMonitor จะเห็นว่าตอนใช้งานตามปกติหรือตอนทำงาน Full Load ก็ตาม ตัวเครื่องจะมีอุณหภูมิค่อนข้างสูงทีเดียว ซึ่งตอนใช้งานตามปกติจะอยู่ช่วง 64~96 องศา เฉลี่ย 64 องศาเซลเซียส  และตอนทำงานเต็มที่แล้ว อุณหภูมิจะเพิ่มขึ้นเป็นช่วง 43~98 องศา เฉลี่ย 72 องศาเซลเซียส ซึ่งอุณหภูมิแม้ดูแล้วอาจจะสูงสักหน่อย แต่ตอนใช้งานจริงก็ไม่ได้ร้อนจนจับไม่ได้ นั่นเพราะว่าโซนคีย์บอร์ดนั้นถูกย้ายลงมาอยู่เหนือแบตเตอรี่ เลยทำให้โซนฮีตไปป์และพัดลมระบายความร้อนอยู่ใต้หน้าจอ ScreenPad Plus แทน ดังนั้นจึงวางมือพิมพ์งานได้ตามปกติอย่างแน่นอน

User Experience

Zenbook Pro 14 Duo OLED NYX09241

เมื่อนำ ASUS Zenbook Pro 14 Duo OLED ไปใช้งานดูระยะหนึ่ง หากไม่นับเรื่องรายละเอียดยิบย่อย เช่น ไม่มี ASUS NumberPad ติดตั้งมาให้, ไม่มีปุ่มปรับโหมดการทำงานตัวเครื่อง หรือใช้งานได้นานเพียง 4 ชั่วโมงก็ตาม นี่คือ Zenbook สองหน้าจอที่พกพาไปไหนมาไหนได้ง่ายที่สุด ด้วยขนาดตัวเครื่องเพียง 14.5 นิ้ว และเบาเพียง 1.7 กิโลกรัม เจ้าของเครื่องจึงพกเครื่องใส่กระเป๋าเป้หรือกระเป๋าสะพายข้างติดตัวไปไหนมาไหนได้สะดวกไม่แพ้กับโน๊ตบุ๊คบางเบาหลายรุ่นในปัจจุบันนี้ แค่น้ำหนักมากขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น และถ้าผู้ใช้คนไหนพกเครื่องออกไปข้างนอก แนะนำให้เตรียมปลั๊ก GaN กำลังชาร์จ 65 วัตต์ติดกระเป๋าเอาไว้ เท่านี้ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องแบตเตอรี่ใช้งานได้ไม่นาน ทำงานไม่จบแล้ว

ด้านประสิทธิภาพการทำงานต้องถือว่าไม่มีข้อกังขาใดๆ เพราะว่า Intel Core i7-12700H เมื่อจับคู่กับ NVIDIA GeForce RTX 3050 Ti พร้อมแรมอีก 16GB DDR5 บัส 4800MHz เข้าไปแล้ว มันสามารถทำงานได้สบายๆ ตั้งแต่งานเอกสารออฟฟิศทั่วไปหรือครีเอเตอร์จะเอาไปตัดต่อวิดีโอหรือทำโมเดล 3D ก็ทำได้ง่ายๆ และลำโพงของโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้ยังได้เสียงที่ดังกระหึ่ม ฟังชัดเจนและเนื้อเสียงจัดว่าน่าประทับใจมาก ถ้าใครชอบดูหนังก็น่าจะประทับใจแน่นอน

อิงจากประสบการณ์การใช้งานแล้ว ต้องถือว่า ASUS Zenbook Pro 14 Duo OLED แม้จะย่อเครื่องลงเล็กน้อยให้กะทัดรัดพกง่ายยิ่งขึ้น แต่ประสบการณ์การใช้งานเรียกว่าไม่แพ้กับรุ่นหน้าจอ 15.6 นิ้วเลย และราคาก็ยังถูกลงเข้าถึงง่ายกว่าเดิมมาก ดังนั้นถ้าใครเป็นช่างภาพ, ทีมตัดต่อวิดีโอมั่นใจว่าได้ประโยชน์จากโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้ไปเต็มๆ แน่นอน

Conclusion & Award

Zenbook Pro 14 Duo OLED NYX09254

แม้ขนาดจะเล็กลงแต่ประสบการณ์การใช้งานเรียกว่าดีไม่แพ้รุ่นขนาด 15.6 นิ้วเลย ดังนั้นถ้าใครเล็ง ASUS Zenbook Pro 14 Duo OLED เอาไว้ใช้เป็นโน๊ตบุ๊คเครื่องใหม่ของตัวเองก็ซื้อไปใช้งานได้เลย ด้วยสเปคระดับนี้มั่นใจว่ารันได้ทั้งงานเอกสารและทำงานออฟฟิศทั่วไปได้สบายๆ และถ้าใครรับงานเสริมหรือมีงานอดิเรกเป็นช่างภาพหรือตัดต่อวิดีโอทำคอนเทนต์ใหม่ๆ ก็ใช้ประโยชน์จากโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้ได้ดีไม่แพ้กันอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นการมี 2 หน้าจอเอาไว้ใช้ทุกที่ทุกเวลาก็มีประโยชน์อย่างแน่นอน ไม่ใช้งานก็ปิดทิ้งได้ก็ใช้งานเหมือนกับโน๊ตบุ๊คจอ 14 นิ้วทั่วๆ ไปที่มีฟีเจอร์ดีๆ ติดตั้งมาให้ครบครันเท่านั้นเอง

ราคา 59,990 บาท อาจจะเป็นมูลค่าที่มีคู่แข่งในตลาดอยู่หลายรุ่น แต่คนที่คิดจะซื้อโน๊ตบุ๊ครุ่นนี้ นอกจากจะได้ Windows 11 กับ Microsoft Office Home & Student 2021 พร้อมใช้งาน ยังได้หน้าจอเสริมฝังมาให้ไม่มีใครเหมือน และยังได้โน๊ตบุ๊คที่คุณภาพเสียงยอดเยี่ยมอีกเครื่องเอาไว้ใช้ทำงานและสร้างความบันเทิงให้ชีวิตอีกด้วย

award

NBS award 7 Design

best design

ASUS Zenbook Pro 14 Duo OLED คู่ควรกับรางวัล Best Design จากการออกแบบให้ติดตั้งหน้าจอ ScreenPad Plus มาในโน๊ตบุ๊คขนาด 14.5 นิ้วได้อย่างลงตัวและมีชุดกลไกที่แข็งแรง และได้ดีไซน์สวยเรียบหรูครบเครื่องในเวลาเดียวกัน

NBS award 4 Mobility

best mobility

โดยปกติแล้วหน้าจอบานหนึ่งก็มีน้ำหนักมากพอควร แต่ ASUS Zenbook Pro 14 Duo OLED สามารถจัดแพ็คเกจตัวเครื่องให้โน๊ตบุ๊คจอ 14 นิ้วมีจอเสริมอีกจอหนึ่งได้ น้ำหนักเบาไม่เกิน 2 กิโลกรัม จึงกลายเป็นโน๊ตบุ๊คในตระกูล Zenbook ที่น้ำหนักตัวเบาที่สุด ณ ตอนนี้แล้ว

award new value

best value

โน๊ตบุ๊คในตระกูล Zenbook Duo ปัจจุบันนี้ราคาแพงจนเกือบหรือขึ้นหลักแสนบาทไปหมดแล้ว แต่เครื่องนี้กับราคา 59,990 บาท กลายเป็นโน๊ตบุ๊คสำหรับครีเอเตอร์หน้าจอคู่ที่ราคาถูกสุดในท้องตลาดปัจจุบัน ถ้าใครอยากสัมผัสประสบการณ์โน๊ตบุ๊คจอคู่ประสิทธิภาพดีก็หาซื้อได้ง่ายขึ้น มันจึงคู่ควรกับรางวัล Best Value ไปโดยปริยาย

award new multi media

best multimedia

นอกจากหน้าจอ Dolby Vision และได้รับการรับรองด้านความเที่ยงตรงสีจากสถาบันชั้นนำแล้ว ASUS Zenbook Pro 14 Duo OLED ก็ได้ลำโพง Dolby Atmos ให้เสียงดังและเนื้อเสียงยอดเยี่ยมที่สุดในหมู่โน๊ตบุ๊คทุกเครื่องที่ได้รับมาทดสอบในปีนี้ จึงคู่ควรกับรางวัล Best Multimedia อย่างไม่ต้องสงสัย

from:https://notebookspec.com/web/654048-asus-zenbook-pro-14-duo-oled

รีวิว ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED โน๊ตบุ๊คจอเทพ หัวใจ i9-12900H แรงสะใจท้าชนทุกโปรเจคใหญ่ กับค่าตัว 109,990 บาท

ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED ภาคต่อของ ASUS Zenbook สองจอ อัพเดท Alder Lake และจอให้เทพกว่าเดิม

zenbookproduo cover

ASUS Zenbook ถือเป็นซีรี่ส์โน๊ตบุ๊คสายทำงานที่ทางบริษัทอัดสเปคและฟีเจอร์ต่างๆ มาให้มากมาย เช่นเดียวกับรุ่นเรือธงอย่าง ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED รุ่นนี้ซึ่งแม้ราคาเปิดตัวจะมาสูงถึง 109,990 บาท ก็ตาม แต่ทางบริษัทก็เติมเทคโนโลยีล้ำๆ มาให้เจ้าของเครื่องได้ใช้งานอย่างไม่หวงของเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะกล้องสแกนใบหน้า IR Camera, อัพเดทซีพียูเป็น Intel 12th Gen สถาปัตยกรรม Alder Lake แล้ว เพื่อให้รันโปรแกรมต่างๆ ได้อย่างไหลลื่น ช่วยให้ครีเอเตอร์สามารถทำงานหนักได้อย่างลื่นไหล ติดตั้ง Windows 11 Home มาให้พร้อมหน้าจอ ASUS ScreenPad Plus เสริมเข้ามาให้มีพื้นที่ทำงานมากยิ่งขึ้น รวมทั้งให้พอร์ต Thunderbolt 4 มาถึง 2 ช่อง สามารถต่อโอนไฟล์และหน้าจอแยกได้ ช่วยให้ทำงานได้สะดวกยิ่งกว่าเดิมเป็นอย่างมากและยังใช้ปากกา ASUS Pen 2.0 วาดเขียนบนหน้าจอหลักและจอเสริมได้ด้วย รวมทั้งความแข็งแรงเรียกว่าไว้ใจได้ เพราะบอดี้ตัวเครื่องสีน้ำเงิน Celestial Blue ทำจากแม็กนีเซียมผสมอลูมิเนียมอัลลอยด์ จึงแข็งแรงทนทานทั้งน้ำหกใส่หรือจะตกกระทบพื้นก็ไม่เสียหายง่ายๆ แน่นอน การันตีด้วยการรับรอง MIL-STD-810H เป็นที่เรียบร้อย ดังนั้นต่อให้ใช้งานสมบุกสมบันสักหน่อยก็ไม่เป็นไรแน่นอน

Advertisementavw

หน้าจอของ ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของตัวเครื่องขนาด 15.6 นิ้ว ถูกอัพเกรดเป็นพาเนลทัชความละเอียดสูง 4K (3840×2160) พาเนล OLED HDR ให้ความสวยสดคมชัดเป็นพิเศษ ได้รับการรับรอง PANTONE Validated และ VESA CERTIFIED Display HDR True Black 500 เป็นที่เรียบร้อย รองรับขอบเขตสีกว้าง 100% DCI-P3 รวมทั้งค่า Delta-E <2 อีกด้วย ดังนั้นสีสันบนหน้าจอจึงเที่ยงตรงแม่นยำอย่างแน่นอน และต่อให้ทำงานต่อเนื่องหลายชั่วโมงก็ไม่ล้าไม่เสียสายตาง่ายๆ อย่างแน่นอน เพราะได้รับการรับรองเป็นหน้าจอ Low Blue Light ลดแสงสีฟ้าถนอมสายตาผู้ใช้ยิ่งขึ้นจาก TUVRheinland เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และลำโพง ASUS SonicMaster ที่ติดตั้งมาให้ ก็ได้รับการปรับจูนเสียงจาก harman/kardon ให้คุณภาพเสียงยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น ติดตั้งชิป Smart Amp ซึ่งเป็นชิป DSP ให้เสียงดังยิ่งขึ้นและลดอาการเสียงเพี้ยน (Distortion) ให้หายไปไม่สากหู รองรับเสียงแบบ Dolby Atmos ด้วย ดังนั้นครีเอเตอร์สายศิลปินจะวาดภาพหรือดนตรีก็ใช้โน๊ตบุ๊คเครื่องนี้ทำงานได้ดีแน่นอน

ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED

จุดเด่นอีกส่วนของ ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED ที่ไม่พูดถึงไม่ได้ นั่นคือการออกแบบระบบระบายความร้อน AAS Plus (Active Aerodynamic System Plus) จับคู่กับระบบระบายความร้อน ASUS IceCool Pro และพัดลมระบายความร้อนคู่ ช่วยให้การระบายอากาศของตัวเครื่องดีขึ้นกว่าเดิม 36% และพอผสานกับดีไซน์ ErgoLift hinge ซึ่งเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของทาง ASUS ก็ช่วยยกตัวเครื่องให้สูงขึ้น แป้นคีย์บอร์ดเบนเข้าหาตัวผู้ใช้ยิ่งกว่าเดิม ทำให้พิมพ์งานสะดวกขึ้นไปอีก นับได้ว่าทางบริษัทออกแบบโดยคำนึงถึงตัวผู้ใช้อย่างแท้จริงมาก

NBS Verdicts

ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02905

 

หากครีเอเตอร์คนไหนกำลังอยากได้โน๊ตบุ๊คสายทำงานดีๆ ที่เปิดมาแล้วพร้อมใช้งานได้เลยไม่ต้องทำอะไรเพิ่มให้เสียเวลา ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED นี้จัดเป็นตัวเลือกที่ดีมากไม่ควรมองข้าม เพราะได้ Intel Core i9-12900H จับคู่กับการ์ดจอแยก NVIDIA GeForce RTX 3060 ได้ M.2 NVMe SSD อินเตอร์เฟส PCIe 4.0 x4 ติดตั้ง Windows 11 Home กับ Microsoft Office Home & Student 2021 พร้อมแรม 32GB LPDDR5 บัส 4800MHz เรียกว่าเปิดเครื่องมาทำงานได้เลยไม่ต้องเสียเวลาอัพเกรดและยังใช้งานได้ดีอีกด้วย ซึ่งสเปคและโปรแกรมที่ติดตั้งมาให้ก็ถือว่าคุ้มค่าตัว 109,990 บาทอย่างแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้น หน้าจอทั้งสองจอของ ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED ก็ถูกอัพเกรดเป็นหน้าจอทัชสกรีนทั้ง 2 จอแล้ว สามารถใช้ ASUS Pen 2.0 เขียนบนหน้าจอหลักหรือเสริมเพื่อเซ็นหรือวาดไอเดียออกมาได้ทันทีซึ่งใช้งานได้สะดวก รวมทั้งความละเอียดหน้าจอก็สูงระดับ 4K (3840×2160) พาเนล OLED HDR ซึ่งได้ความสวยคม ขอบเขตสีกว้าง 100% DCI-P3 รวมทั้งได้ค่า Delta-E <2 และการันตีคุณภาพสีสันบนหน้าจอด้วย PANTONE Validated และ VESA CERTIFIED Display HDR True Black 500 ด้วย ดังนั้นนักวาด, คนทำงานอาร์ตเวิร์คหรือแม้แต่ช่างภาพก็สามารถแต่งภาพทำสีด้วยหน้าจอโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้ได้เลย และยังมีหน้าจอ ASUS ScreenPad Plus เสริมเอาไว้อีกจอให้ใช้กับโปรแกรมต่างๆ ได้สะดวกยิ่งขึ้น จะเอาหน้าต่างคำสั่งอะไรมาติดไว้ที่หน้าจอเสริมนี้ก็ได้ตั้งแต่ส่วนปรับตั้งค่าของโปรแกรมตัดต่อวิดีโอหรือจะเอาแท็บของเบราเซอร์ที่ใช้งานบ่อยมาเก็บเอาไว้เผื่อเรียกใช้งานก็ได้เช่นกัน ซึ่งขนาดจัดว่ากำลังดีใช้งานสะดวก ตอบโจทย์คนทำงานและครีเอเตอร์แน่นอน

กลับกัน โน๊ตบุ๊คเครื่องนี้มีข้อสังเกตอยู่ 2-3 อย่าง ไม่ว่าจะเรื่องการอัพเกรดตัวเครื่องซึ่งถึงจะเปิดฝาด้านใต้เครื่องได้สะดวกพอควร แต่กลับมีช่อง M.2 NVMe SSD ที่เป็นไดรฟ์หลักเพียงตัวเดียว เพิ่มแรมหรือ M.2 NVMe SSD เสริมเข้าไปไม่ได้, ไม่มีช่องอ่าน MicroSD Card Reader ติดตั้งมาให้ใช้ดึงไฟล์ภาพและวิดีโอโดยตรงจากการ์ดเลย ต้องพึ่งตัวแปลงอีกชั้น และแนะนำว่า ถ้าต้องใช้งานหนักนั่งทำงานตัดต่อวิดีโอหลายชั่วโมงขอให้ทำในห้องแอร์เพื่อช่วยให้ตัวเครื่องสามารถระบายความร้อนได้ดีขึ้น เพราะถึงระบบระบายความร้อน AAS Plus จะระบายความร้อนได้ดีและเร็วแค่ไหน แต่ก็ควรให้อากาศเย็นจากภายนอกเข้าไปนำความร้อนจากภายในออกมาให้เร็วขึ้นด้วยจะดีที่สุด 

ข้อดีของ ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED
  1. ซีพียูได้อัพเกรดเป็น Intel Core i9-12900H สถาปัตยกรรม Alder Lake แล้ว มีประสิทธิภาพสูงพร้อมทำงาน
  2. ติดตั้งการ์ดจอแยก NVIDIA GeForce RTX 3060 พร้อมไดรเวอร์ NVIDIA Studio ให้ทำงานได้เสถียรขึ้น
  3. รองรับการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตด้วย Wi-Fi 6E จึงต่ออินเตอร์เน็ตได้เร็วและเสถียรขึ้น
  4. หน้าจอหลักและจอเสริมเป็นหน้าจอทัช แตะใช้งานสะดวกพร้อมใช้ปากกา ASUS Pen 2.0 เขียนวาดบนหน้าจอได้
  5. หน้าจอหลักได้ความละเอียด 4K (3840×2160) พาเนล OLED HDR ขอบเขตสีกว้าง 100% DCI-P3 และค่า Delta-E <2 ทำงานอาร์ตต่างๆ ได้อย่างดี ได้รับการการันตีจาก Pantone Validated และ VESA CERTIFIED Display HDR True Black 500
  6. หน้าจอ ASUS ScreenPad Plus ช่วยเพิ่มพื้นที่ให้ครีเอเตอร์ทำงานได้สะดวกยิ่งขึ้น ใช้งานดีมีความละเอียดสูง
  7. ติดตั้งพอร์ต Thunderbolt 4 x 2 ช่อง รวม HDMI แล้วสามารถต่อหน้าจอแยกได้ 3 จอ
  8. มีกล้องสแกนใบหน้า IR Camera สแกนใบหน้าปลดล็อคเครื่องได้สะดวกและปลอดภัย
  9. ระบบระบายความร้อน AAS Plus และ IceCool Pro สามารถระบายความร้อนได้ดี ช่วยให้ตัวเครื่องทำงานได้เสถียรขึ้น
  10. ดีไซน์ ErgoLift hinge ช่วยยกตัวเครื่องให้มีพื้นที่ดึงอากาศเย็นเข้ามากขึ้นและยกแป้นคีย์บอร์ดให้สูงขึ้นพิมพ์งานสะดวกและมีที่รองข้อมือให้ใช้ด้วย
  11. มีแป้น ASUS NumberPad 2.0 สลับระหว่าง Touchpad และ Numpad ได้สะดวก
  12. ดีไซน์บอดี้ตัวเครื่องแข็งแรงทนทาน ทำจากแม็กนีเซียมอัลลอยด์แข็งแรง งานประกอบแน่นหนา สามารถเปิดฝาอัพเกรดได้ง่าย
  13. ติดตั้งลำโพงมาให้ 4 ตัว พร้อมชิป Smart Amp จูนเสียงด้วย harman/kardon และรองรับ Dolby Atmos ด้วย ทำให้คุณภาพเสียงดีน่าฟัง
  14. ติดตั้ง Microsoft Office Home & Student 2021 มาให้พร้อมใช้คู่กับ Windows 11 
ข้อสังเกตของ ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED
  1. ตัวเครื่องอุณหภูมิค่อนข้างสูง ควรใช้ในห้องแอร์หรือวางบนแท่นวางโน๊ตบุ๊คแบบมีพัดลม
  2. เป็นโน๊ตบุ๊คสำหรับครีเอเตอร์แต่ไม่มี MicroSD Card Reader ติดมาให้ใช้
  3. ภายในเครื่องถูกออกแบบมาเป็นออนบอร์ดแทบทั้งหมด อัพเกรดได้แต่ M.2 NVMe SSD เท่านั้น
  4. พอร์ต Thunderbolt 4 ยังไม่รองรับการชาร์จแบตเตอรี่แบบ Power Delivery

รีวิว ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED

Specification

zenbook

ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED เป็นโน๊ตบุ๊คสำหรับครีเอเตอร์สเปคสูงพร้อมทำงานต่างๆ ได้เป็นอย่างดี เสริมฟีเจอร์เอื้อการทำงานเข้ามาให้ครบเครื่องพร้อมทำงานและใช้ปากกา ASUS Pen 2.0 เขียนบนหน้าจอได้อีกด้วย โดยสเปคมีดังนี้

  • CPU : Intel Core i9-12900H แบบ 14 คอร์ (6P+8E) 20 เธรด ความเร็ว 3.8-5.0GHz
  • GPU : NVIDIA GeForce RTX 3060 แรม 6GB GDDR6
  • SSD : แบบ M.2 NVMe ความจุ 1TB อินเตอร์เฟส PCIe 4.0 x4 
  • RAM : 32GB LPDDR5 บัส 4800MHz
  • Display
    • จอทัช 15.6 นิ้ว ความละเอียด 4K UHD (3840×2160) พาเนล OLED HDR ขอบเขตสีกว้าง 100% DCI-P3 และค่า Delta-E <2 ได้รับการการันตีจาก Pantone Validated และ VESA CERTIFIED Display HDR True Black 500
    • จอทัช ASUS ScreenPad Plus 14 นิ้ว ความละเอียด 4K (3840×1100) พาเนล IPS
  • Ports : USB-A 3.2 Gen 2 x 1, Thunderbolt 4 x 2, HDMI 2.1 x 1, Audio combo x 1
  • Wireless : Wi-Fi 6E มาตรฐาน 802.11ax รองรับ Bluetooth 5.0
  • Webcam : IR Camera 720p
  • Software : Windows 11 Home, Microsoft Office Home & Student 2021
  • Weight : 2.34 กิโลกรัม
  • Price : 109,990 บาท (Advice)

Hardware & Design

ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02904

ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02923
ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02937
ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02957
ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02914

ดีไซน์ของ ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED หากมองผ่านๆ ก็จะเห็นว่าตัวเครื่องใช้ดีไซน์ร่วมกับตระกูล Zenbook Duo รุ่นก่อนหน้านี้ โดยบอดี้จะใช้วัสดุแม็กเนเซียมอลูมิเนียมอัลลอยด์ทำสีน้ำเงิน Celestial Blue ตัวเครื่องขนาด 15.6 นิ้ว ติดตั้งหน้าจอหลักและจอเสริม ASUS ScreenPad Plus เอาไว้ใต้หน้าจอและยกตัวเมื่อกางหน้าจอขึ้นมาใช้งานโดยกลไกก้านเหล็กที่ดันด้านหลังหน้าจอขึ้น ติดสติกเกอร์ Intel Core i9 เอาไว้มุมซ้ายของหน้าจอ ScreenPad Plus ลงชื่อซีรี่ส์ ASUS ZenBook เอาไว้ตรงกลาง มี ASUS NumberPad 2.0 ติดตั้งมาฝั่งขวามือของคีย์บอร์ดมีปุ่ม Power และปุ่มเปลี่ยนโหมดการทำงานตัวเครื่องอย่างละ 1 ปุ่ม และคีย์ลัดคุมการทำงานของ ScreenPad Plus อีก 2 ปุ่ม รวมเป็น 4 ปุ่ม

การดีไซน์ให้ตัวหน้าจอเสริมนี้ยกตัวขึ้น เพื่อให้เป็นช่องระบายอากาศนำลมเย็นจากภายนอกเข้าไปในเครื่องให้ระบบระบายความร้อน ASUS IceCool Pro กับระบบ AAS Plus ได้ระบายความร้อนออกตรงช่องขอบเหนือตัวเครื่องได้อย่างรวดเร็ว

ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02974

ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02883
ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02894
ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02970
ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02975

ส่วนลูกเล่นการออกแบบใหม่ของ ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED เป็นแถบ Light Bar เล็กๆ ซึ่งติดอยู่ตรงขอบใต้ที่วางข้อมือลากจาก Spacebar ไป Ctrl ขวา ยาวราว 3 นิ้ว สามารถเปลี่ยนสีไปมาได้ เมื่อแกะดูภายในจะเห็นว่าเป็นแถบบาร์แสงขันน็อตติดกับตัวเครื่องและซ่อนสายแพอย่างเรียบร้อย ทำให้ตอนแกะเปิดฝาเครื่องไม่ต้องกังวลว่าต้องเปิดจากฝั่งไหนก่อนฝั่งไหนทีหลัง ลดโอกาสที่เจ้าของเครื่องที่อยากอัพเกรดในเครื่องเปิดฝาแล้วทำสายแพขาดไปได้ และผู้เขียนเสนอว่าถ้าทาง ASUS จะทำ Light Bar ติดเอาไว้กับขอบตัวเครื่อง ไม่น่าทำเป็นบาร์แสงติดสายแพไว้ตรงขอบบอดี้ฝาหลัง แต่จัดพื้นที่ให้ติดตั้งแบบ ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED จะดีกว่ามากๆ นอกจากนี้ยังส่องแสงสะท้อนช่องอะครีลิคใสของที่วางข้อมือขึ้นมาให้เห็นได้อย่างสวยงามอีกด้วย

ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02951
ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02952

ส่วนไมโครโฟนของตัวเครื่องจะไม่ได้ฝังเอาไว้ข้างกล้อง Webcam เหมือนโน๊ตบุ๊ครุ่นอื่นๆ แล้ว แต่เปลี่ยนเป็นช่องไมโครโฟน 4 ตัว เหนือขอบหน้าจอส่วนบนแทน ได้ความสวยงามไม่เกะกะสายตา และยังใช้ประชุมออนไลน์กับคู่สนทนาได้อย่างชัดเจน 

ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02935

ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02898
ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02899
ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02936
ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02953

ขอบด้านล่างของหน้าจอจะเป็นดีไซน์ ErgoLift hinge เวลากางหน้าจอแล้วตัวเครื่องจะยกเฉียงขึ้นเล็กน้อย ทำให้พื้นที่ด้านใต้ตัวเครื่องมีระยะห่างจากพื้นเพิ่มขึ้น ดึงลมเย็นจากภายนอกเข้าไประบายความร้อนได้ดีกว่าเดิม รวมทั้งยกแป้นคีย์บอร์ดให้สูงขึ้นทำให้พิมพ์งานสะดวกกว่าเดิม และทาง ASUS ก็เสริมชิ้นพลาสติกเล็กๆ เอาไว้ช่วยป้องกันขอบอลูมิเนียมของตัวเครื่องถูกกับพื้นโต๊ะโดยตรง ทำให้คงสีสันความสวยงามเอาไว้ได้ไม่เกิดความเสียหายอีกด้วย และขาตั้งหน้าจอนี้ทำให้กางบานหน้าจอได้ราว 120 องศา ช่วยให้วางบนโต๊ะก็ยังใช้ทำงานได้สะดวก

ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02901

ด้านหลังของ ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED จะดีไซน์เรียบๆ ติดโลโก้ ASUS เอาไว้ตรงกลางฝั่งขวาและปัดเงาบอดี้แม็กนีเซียมอลูมิเนียมอัลลอยด์ให้สีน้ำเงิน Celestial Blue โดดเด่นขึ้น แต่ดีไซน์ก็ไม่เยอะจนดูเกะกะเกินไป ช่วยเสริมบุคลิคเจ้าของเครื่องให้ดูหรูหรามีระดับขึ้น

ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02875

ด้านใต้ตัวเครื่องก็ถูกออกแบบให้เรียบร้อย ติดตั้งแถบยางรองใต้ตัวเครื่องไว้  2 เส้นเป็นแนวยาวเพื่อป้องกันบอดีใต้เครื่องมีรอยเสียหาย ตรงกลางฝาใต้ตัวเครื่องจะมีช่องลมเข้าอยู่ทั้งหมด 2 แถบ มีขนาดใหญ่และเหนือขึ้นไปเล็กน้อยเป็นช่องลมร้อนออกจจากตัวเครื่องคู่กับช่องระบายความร้อนด้านข้างซ้ายขวาเครื่องด้วย ขณะที่ช่องขอบล่างฝั่งซ้ายขวาเป็นลำโพงของตัวเครื่อง

ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02876

ซึ่งสติกเกอร์ของ ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED อื่นๆ นอกจากของ Intel จะถูกย้ายมาติดใต้เครื่องทั้งหมด ไม่ว่าจะสติกเกอร์ NVIDIA Studio Driver, PANTONE Validated ฯลฯ และสังเกตจะเห็นว่าตัวเครื่องมีวงกลมที่ลึกลงไปเล็กน้อยด้านข้างสติกเกอร์ ASUS Perfect Warranty ซึ่งจุดนี้เป็นสติกเกอร์หัวน็อตแบบ Trox ซึ่งทาง ASUS ติดเอาไว้ 3 จุด ถ้าจะเปิดฝาซ่อมแซมหรืออัพเกรดส่วนใดภายในเครื่องให้เอาเข็มมาสะกิดสติกเกอร์ส่วนนี้ค่อยขันน็อตออก อย่าฝืนเปิดฝาด้านใต้เครื่องทันทีไม่อย่างนั้นอาจเกิดความเสียหายได้

Screen & Speaker

ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02907

ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02909
ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02908
ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02910

หน้าจอของ ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED เป็นพาเนลทัชขนาด 15.6 นิ้ว ความละเอียด 4K UHD (3840×2160) พาเนล OLED HDR ขอบเขตสีกว้าง 100% DCI-P3 และค่า Delta-E <2 ได้รับการการันตีจาก Pantone Validated และ VESA CERTIFIED Display HDR True Black 500 จัดเป็นหน้าจอที่เหมาะกับการทำงานศิลปะแบบต่างๆ มาก ไม่ว่าจะทำงานอาร์ตเวิร์คเป็นป้ายโฆษณา, ฝ่าย AE ที่ต้องขายงานอาร์ต, ฝ่ายศิลป์ประจำบริษัทหรือแม้แต่ช่างกล้องก็ได้ใช้ประโยชน์จากหน้าจอนี้อย่างแน่นอน ติดกล้อง IR Camera เอาไว้ส่วนขอบบนของหน้าจออีก 1 ชุด ใช้สแกนใบหน้าปลดล็อคตัวเครื่องได้สะดวกไม่ต้องพิมพ์รหัสผ่านให้เสียเวลาด้วย

monitor benched
monitor profiling

ด้านขอบเขตสีหน้าจอเมื่อ Calibrate ด้วย Calibrite รวมทั้งเซ็ตโปรไฟล์สีด้วย DisplayCal 3 เสร็จแล้ว จะเห็นว่าพาเนล OLED HDR ของ ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED มีคุณภาพสูงมาก มี Gamut Coverage ระดับ 100% sRGB, 94.7% AdobeRGB, 99.7% DCI-P3 ส่วน Gamut Volume อยู่ระดับ 169% sRGB, 116.4% AdobeRGB และ 119.7% DCI-P3 มีความเที่ยงตรงของสีบนหน้าจอวัดด้วยค่า Delta-E แล้วเฉลี่ยที่ 0.12 เท่านั้น เมื่อมีค่าเฉลี่ยต่ำกว่า 2 ก็นับว่าพาเนลจอของ Zenbook เครื่องนี้ยอดเยี่ยมทั้งขอบเขตสีและเที่ยงตรงมาก

ความสว่างหน้าจอระดับ 100% ของ ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED จะเห็นว่าพาเนล OLED HDR สว่างถึง 390.21 cd/m2 จนสู้แสงแดดได้สบายๆ จะนั่งทำงานกลางแจ้งหรือทำงานในอาคารแล้วมีแสงแดดสะท้อนก็เร่งความสว่างสู้ได้สบายๆ หากนั่งทำงานในออฟฟิศ ส่วนตัวผู้เขียนแนะนำให้ปรับความสว่างอยู่ราว 60~70% จะดีที่สุด ทั้งประหยัดแบตเตอรี่และไม่แสบตาเกินไปด้วย

ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02911

ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02913
ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02938
ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02939
ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02940

ด้าน ASUS ScreenPad Plus ถัดลงมาจากหน้าจอหลักก็เป็นจอพาเนลทัช ขนาด 14.1 นิ้ว ความละเอียด 4K (3840×1100) พาเนล IPS เป็นจอด้านพร้อมแถบฟังก์ชั่นคำสั่งตรงขอบขวาของหน้าจอด้วย โดยมีคำสั่งต่างๆ ครบถ้วนตั้งแต่ปรับความสว่างหน้าจอ, เปิดแอพฯ สำหรับใช้งานบน ScreenPad Plus, สลับโปรแกรมระหว่างจอหลักและ ScreenPad, เปิดปิดกล้องหรือไมค์ก็ได้ รวมทั้งเปิดการตั้งค่าหน้าจอเสริมตัวนี้ได้อีกด้วย และหากใครต้องการจัดสรรแอพฯ โดยง่ายๆ แนะนำให้เปิด App Navigator ขึ้นมาแล้วโยกโปรแกรมนั้นๆ ไปยังหน้าจอหลักและจอเสริมตัวนี้ได้ตามชอบ

ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02963

นอกจากนี้เจ้าของเครื่องยังกดปุ่มคีย์ลัดเหนือ ASUS NumberPad 2.0 เพื่อเปลี่ยนโหมดของ ASUS ScreenPad Plus ได้ 3 แบบด้วยกัน ทั้งเปิด, ซ่อนหรือจะปิด ScreenPad Plus ไปก็ได้ โดยทำงานแบบ Rotation Toggle กดแล้วเลือกวนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้คำสั่งที่ต้องการ

ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02900

ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02877
ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02878
ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02885
ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02886

สิ่งหนึ่งที่ทาง ASUS ไม่ได้ระบุเอาไว้สเปคแต่ใช้วิธีสกรีนบอกตรงขอบบอดี้ตัวเครื่อง คือหน้าจอ OLED HDR ของ ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED เป็นจอ Dolby Vision ซึ่งได้ความสวยคมชัดไม่พอ ลำโพงยังมีชิป DSP “Smart Amp” ช่วยลดอาการเสียงเพี้ยน (Distortion) ลงไปและได้ harman/kardon มาจูนเสียงให้ รองรับเสียงแบบ Dolby Atmos อีกด้วย โดยเสียงจะเล่นผ่านทางลำโพงซึ่งออกแบบประกบคู่กัน 4 ดอก

เนื้อเสียงของลำโพง 4 ดอก ซึ่งปรับจูนด้วย harman/kardon นั้นได้มิติเสียงที่ดี ฟังเพลงได้อรรถรสทีเดียว โดยเนื้อเสียงจะไม่แห้งและได้ความดังราว 80dB สเตจกว้างระดับกลางๆ และไลน์เสียงเครื่องดนตรีกับนักร้องก็ไม่กลบกันหรือแย่งกันเด่น ปรับเสียงดังสุดก็ไม่เกิดอาการเสียงพร่าหรือแตกจนฟังเพลงไม่เพราะอย่างแน่นอน ส่วนเสียงเบสยังถือว่าอยู่ระดับฟังได้ยินชัดแต่แรงปะทะหรือลูกเบสยังไม่หนักแน่นแบบโน๊ตบุ๊คครีเอเตอร์ของแบรนด์คู่แข่งนัก ซึ่งในส่วนนี้ผู้เขียนเห็นว่าถ้าทาง ASUS เสริมเสียงเบสของลำโพงติดตัวเครื่องให้หนักแน่นขึ้นอีกนิดจะดีขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่งลำโพงของ ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED นั้นถึงจะฟังเพลงได้หลากหลายแนว แต่ถ้าเป็นเพลงเน้นเสียงเบสอย่าง R&B, EDM หรือร็อคหนักๆ และเมทัลยังได้เสียงไม่เต็มอรรถรสอย่างที่ควร แต่กลับกัน ลำโพงนี้จะเด่นเรื่องการดูหนังเพราะได้เสียงแบบ Dolby Atmos เลยทำให้มิติเสียงโดดเด่นยิ่งขึ้น

Keyboard & Touchpad

ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02926

ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02902
ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02903
ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02919

คีย์บอร์ดของ ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED ถ้ามองเผินๆ นอกจากได้ไฟ LED Backlit สีขาวแบบลอดตัวอักษรได้ จะเห็นว่าดีไซน์คีย์บอร์ดจะเป็น Tenkeyless แต่ถ้านับ Numpad ของทัชแพด ASUS NumberPad 2.0 ด้วยก็จะเป็นคีย์บอร์ดแบบ Full-size ทันที แต่ตัวปุ่มยังเป็นปุ่มแบบปกติ ไม่ใช่ Dished Keycaps แบบ ASUS ZenBook 14 OLED UX3402Z คาดว่าต้องรอทาง ASUS ออกรุ่นอัพเกรดมาในภายหลังหรือต้องรอโมเดลถัดไป แต่ตอนใช้งานตามปกติก็ถือว่าใช้งานได้ดีไม่มีปัญหา

ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02924

ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02927
ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02928

หากใครพิมพ์งานบ่อยๆ แล้วรู้สึกว่าตัวแป้นคีย์บอร์ดที่ถูกดันมาจนสุดขอบเครื่องจนไม่มีที่วางข้อมือพิมพ์ไม่สะดวกไม่ถนัด สามารถเอาที่วางข้อมือจากในกล่องของ ASUS มาต่อเข้ากับขอบตัวเครื่องเพื่อรองมือตอนพิมพ์งานได้ด้วย ช่วยให้พิมพ์งานได้สะดวกขึ้นมาก แต่น่าจะได้ใช้ตอนนั่งทำงานอยู่ที่ออฟฟิศหรือบ้านเป็นหลัก เพราะถ้ายกเครื่องไปทำงานร้านกาแฟหรือติดต่อลูกค้า ก็อาจจะต้องยกสันมือขึ้นเพื่อพิมพ์แทน แลกกับการได้หน้าจอ ScreenPad Plus เพิ่มเข้ามา

ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02920

ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02918
ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02921
ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02922

Function Hotkey และคีย์ลัดต่างๆ บนคีย์บอร์ด นอกจาก ASUS จะติดตั้งคำสั่งหลักๆ เอาไว้ให้ใช้ครบถ้วน มีคำสั่ง Fn Lock โดยกด Fn+Esc มีคำสั่ง Page Up/Down, Home, End อยู่ที่ปุ่มลูกศรอีกด้วย ส่วนคีย์ลัดที่ F1-F12 จะมีคำสั่งดังนี้

  • F1-F3 – ปิด, ลดหรือเพิ่มเสียงลำโพง
  • F4-F5 – ลดหรือเพิ่มความสว่างหน้าจอ
  • F6 – ปิดการทำงานทัชแพด
  • F7 – ปุ่มปรับความสว่างไฟ LED Backlit ของคีย์บอร์ด
  • F8 – ปุ่ม Project ตั้งค่าหน้าจอหลักและจอเสริม
  • F9 – ปุ่มล็อคตัวเครื่องให้กลับไปหน้า Sign in
  • F10 – ปุ่มปิดหรือเปิดการทำงานกล้อง Webcam
  • F11 – เรียกโปรแกรม Snipping Tool
  • F12 – เรียกโปรแกรม MyASUS

จะเห็นว่าคีย์ลัดบนคีย์บอร์ดของ ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED ถูกเซ็ตมาให้ครบถ้วนและมี Function Key ใช้ทำงานบ่อยๆ อย่าง Pause, Print Screen, Insert, Delete เซ็ตเอาไว้ครบถ้วนด้วย แต่ส่วนตัวผู้เขียนเห็นว่าคำสั่ง Snipping Tool ก็ยังน่าเอาไปรวมกับคำสั่ง Print Screen เลยดีกว่า แล้วเติมคีย์ลัดอื่น อย่างเช่น Airplane Mode หรือ Mute Microphone แทนก็ยังดีกว่า

ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02923

ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02960
ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02961
ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02962

ส่วนปุ่มคีย์ลัดทั้ง 4 เหนือแป้น ASUS NumberPad 2.0 จะมีปุ่ม Power ติดอยู่ตรงฝั่งขวาสุด โดยปุ่มซ้ายเป็นใช้เปลี่ยนโหมดการทำงานได้ 3 แบบ คือ Performance mode เวลาต้องใช้ประสิทธิภาพตัวเครื่องเต็มที่ เช่นตอนตัดต่อวิดีโอหรือเล่นเกม, Standard mode โหมดใช้งานทั่วไปสำหรับทำงานเอกสารและงานออฟฟิศทั่วไป สุดท้าย Whisper mode เพื่อลดเสียงให้เบาที่สุดและประหยัดแบตเตอรี่ให้ใช้งานได้นานยิ่งขึ้น

ส่วนปุ่มถัดจากปุ่มปรับโหมดการทำงาน จะใช้สลับโปรแกรมบนหน้าจอหลักและ ScreenPad Plus เพียงกดปุ่มเดียวก็โยกโปรแกรมทั้งหมดสลับกันทันที และปุ่มสุดท้ายใช้คุม ScreenPad Plus ว่าจะใช้, ซ่อนหรือปิดหน้าจอเสริมตัวนี้ก็ได้

ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02915
ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02916

ส่วน ASUS NumberPad 2.0 จะดีไซน์เป็นแป้นแบบสัมผัสอย่างเดียว ไม่มีปุ่มคลิกซ้ายขวาติดตั้งมาให้พร้อมปุ่มฟังก์ชั่นเหนือตัวทัชแพด 2 แบบด้วยกัน ปุ่มขวาบนรูป Numpad ใช้สลับโหมด Numpad หรือใช้เป็นทัชแพดธรรมดาก็ได้ ส่วนโลโก้สามเหลี่ยมมุมบนซ้ายจะใช้ลดความสว่างของตัว Numpad และแตะค้างลากออกจะเรียกเครื่องคิดเลขขึ้นมาใช้งาน

การใช้งานต้องถือว่า ASUS ออกแบบตัวแป้นทัชแพดมาได้ดี รองรับ Gesture Control ของ Windows ครบถ้วนตามที่ทัชแพดควรเป็นแล้ว ก็ยังตอบสนองตอนลากเคอร์เซอร์เมาส์ไปมาได้เร็ว คลิกง่ายใช้สะดวกด้วยการแตะหรือจะสลับโหมดเป็น Numpad ก็ตอบสนองเร็วเหมือนกดแป้น Numpad จริงๆ อยู่ ยิ่งถ้าต้องกดตัวเลขบ่อยๆ ก็ลากนิ้วคุมเคอร์เซอร์เมาส์ได้ทันทีไม่ต้องปิด Numpad ทิ้งไปก็ได้ เรียกว่าออกแบบมาเอื้อคนทำงานได้เป็นอย่างดี

Connector / Thin & Weight

ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02929
ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02930
ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02934
ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02933

ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED มีพอร์ตให้ใช้จำกัดพอควร ซึ่งฝั่งซ้ายมีพอร์ตอแดปเตอร์, HDMI 2.1 และ Audio combo กับไฟแสดงสถานะการทำงานของตัวเครื่องอีก 2 ดวงเท่านั้น ส่วนฝั่งขวามี Thunderbolt 4 x 2 กับ USB-A 3.2 Gen 2 x 1 ช่อง โดยเฉพาะ Thunderbolt 4 จะรองรับเฉพาะการโอนไฟล์เข้าออกเครื่องและต่อหน้าจอแยกแบบ DisplayPort เท่านั้น ไม่สามารถชาร์จแบตเตอรี่แบบ Power Delivery อย่างที่ควรเป็น ซึ่งน่าเสียดายที่ทางบริษัทไม่ใส่ฟังก์ชั่นมาให้ครบถ้วน จะได้ใช้งานได้เต็มที่

หากใครซื้อ ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED มาใช้งาน ผู้เขียนแนะนำให้เตรียม USB-C Multiport Adapter เอาไว้ใช้อย่างน้อย 1 ตัวเอาไว้ต่อเสริมให้มีพอร์ตใช้งานเพิ่มขึ้น เพราะถ้าใช้เท่าที่มีก็น้อยเกินไปไม่สะดวกแน่นอน

ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02943

ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02941
ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02942
ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02944

อุปกรณ์เสริมอีกชิ้นของ ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED นอกจากที่วางข้อมือก็มี ASUS Pen 2.0 แถมมาให้อีกด้ามเพื่อใช้เขียนวาดบนหน้าจอ ที่ตัวด้ามมีปุ่มลัด 2 ปุ่มบริเวณนิ้วโป้งและปุ่มท้ายปากกาบริเวณยางลบดินสอจะเป็นปุ่มเรียกโปรแกรมวาดภาพของ Microsoft ขึ้นมาใช้ได้ ซึ่งการตอบสนองของปากกาถือว่าทำได้ดีทีเดียว โดยหัวปากการองรับแรงกดทั้งหมด 4,096 ระดับ ไม่แพ้กับปากกาสไตลัสสายอาร์ตหลายๆ รุ่นในปัจจุบันนี้

ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02872

ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02874
ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02873

น้ำหนักตัวเครื่องเมื่อชั่งด้วยตาชั่งดิจิตอลแล้ว เฉพาะเครื่องจะหนัก 2.38 กิโลกรัม เมื่อรวมอแดปเตอร์ 730 กรัม จะมีน้ำหนักสุทธิ 3.1 กิโลกรัม ซึ่งเมื่อ ASUS ติดตั้งพอร์ต Thunderbolt 4 มาให้ แต่ไม่มีฟีเจอร์ชาร์จแบตเตอรี่แบบ Power Delivery มาด้วยจึงใช้ปลั๊ก GaN กำลังชาร์จ 100 วัตต์ชาร์จแบตเตอรี่ให้เครื่องนี้ไม่ได้ ดังนั้นขอแนะนำเจ้าของเครื่องให้หากระเป๋าเป้อย่างดีสักใบมาใส่โน๊ตบุ๊คและอแดปเตอร์เวลาพกเครื่องไปไหนมาไหน จะได้ไม่มีปัญหาต่อสุขภาพไหล่และหลังในอนาคต

Inside & Upgrade

ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02881

เจ้าของเครื่องที่อยากเปิดฝาอัพเกรด ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED ให้ใช้ไขควง Trox ขันที่หัวน็อตจำนวน 11 ตัว ที่ขอบบนล่างทั้ง 8 ดอกแล้วสะกิดสติกเกอร์ปิดหัวน็อตกลางเครื่อง 3 ดอกออกแล้วเริ่มขันน็อตเปิดฝาเครื่องได้เลย โดยน็อตทุกตัวจะมีขนาดเท่ากันหมด เว้นตัวกลางเครื่องกลางหมู่สติกเกอร์จะเป็นหัวยาวพิเศษที่ต้องจำตำแหน่งไว้โดยเฉพาะ ตอนเปิดฝาก็ใช้ปิ๊กกีตาร์ไล่ตามขอบเครื่องแล้วดึงเปิดฝาได้เลย

ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02884

ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02888
ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02895

ซึ่งถึง ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED จะขันเปิดฝาได้ง่ายแค่ใด แต่ก็น่าเสียดายว่าชิ้นส่วนแทบทั้งหมดถูกออกแบบให้ฝังออนบอร์ดแทบทั้งหมด ยกเว้น M.2 NVMe SSD กับการ์ด Wi-Fi ของ Intel ที่ยังเชื่อมต่อผ่านอินเตอร์เฟส PCIe อยู่ ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องเปิดฝาอัพเกรดก็ได้ ยกเว้นว่า Micron 3400 ความจุ 1TB ในเครื่องอ่านเขียนไฟล์ไม่ทันใจค่อยอัพเกรดก็ไม่เสียหาย

Performance & Software

cpu 4
ram 3

ซีพียูใน ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED เป็น Intel Core i9-12900H แบบ 14 คอร์ (6P+8E) 20 เธรด ความเร็ว 3.8-5.0GHz ใช้ทำงานสายครีเอเตอร์ได้เป็นอย่างดี มี L3 Cache 24MB ค่า TDP 45 วัตต์ และรองรับชุดคำสั่งต่างๆ ครบถ้วน ติดตั้งแรมแบบออนบอร์ดมาให้ 32GB LPDDR5 บัส 4800MHz สามารถประมวลผลงานต่างๆ ได้รวดเร็วและรับงานหนักได้เป็นอย่างดี

integrated gpu
gpu 3

การ์ดจอในเครื่องจะมี 2 ตัว ได้แก่ Intel Iris Xe Graphics ใช้ทำงานทั่วไป เช่น เรนเดอร์ภาพขึ้นบนหน้าจอ, แต่งภาพทำกราฟฟิคและเขียนแบบได้ระดับหนึ่งกับการ์ดจอแยก NVIDIA GeForce RTX 3060 แรม 6GB GDDR6 มี CUDA 3,840 คอร์ สำหรับใช้เรนเดอร์โมเดล 3D หรืองานวิดีโอต่างๆ ได้อย่างลื่นไหล รองรับชุดคำสั่ง OpenCL, OpenGL 4.6, DirectCompute, DirectML, Vulkan, PhysX ทั้งคู่ แต่ NVIDIA จะรองรับชุดคำสั่ง CUDA, Ray Tracing ด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น ตัวการ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX 3060 นี้ถึงจะใช้เล่นเกมได้ แต่เมื่อติดตั้งมาใน ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED แล้ว ทาง ASUS จึงไม่ได้ลงไดรเวอร์เป็น NVIDIA GeForce ตามปกติมาให้ แต่เป็น NVIDIA Studio ซึ่งเป็นไดรเวอร์เพื่อการทำงานสายครีเอเตอร์โดยเฉพาะ สามารถรันงานได้ดีและเสถียรเป็นพิเศษ สังเกตได้จากสติกเกอร์ที่ติดเอาไว้ด้านใต้เครื่องนั่นเอง

device mgr

เมื่อเช็ค Device Manager จะเห็นว่า ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED จะติดตั้งพาร์ทสำคัญต่างๆ มาให้ครบครัน ไม่ว่าจะกล้อง IR Camera ใช้ยืนยันตัวตนก่อนปลดล็อคเครื่อง, Wi-Fi PCIe Card รุ่น Intel AX211 มีแบนด์วิธสัญญาณ 160MHz พร้อมชิป TPM 2.0 สำหรับรักษาความปลอดภัยของข้อมูลภายในเครื่องร่วมกับระบบปฏิบัติการ Windows 11 

ssd 5

M.2 NVMe SSD ในเครื่องมีความจุ 1TB รุ่น Micron 3400 ทางบริษัทผู้ผลิตได้เคลมสเปคของ SSD รุ่นนี้เอาไว้หน้าเว็บว่า SSD นี้เป็นขนาด M.2 2280 ใช้ 176-Layer NAND รับส่งข้อมูลผ่านอินเตอร์เฟส PCIe 4.0 x4 มีความเร็วอ่านสูงสุด 6,600MB/s เมื่อทดสอบด้วย AS SSD Benchmark แล้วได้ความเร็ว Sequential Read 4,389.97MB/s และ Sequential Write 2,316.65MB/s ซึ่งถือว่ารับส่งข้อมูลเร็วใช้ได้ สามารถรันโปรแกรมต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วทีเดียว ซึ่งถ้าใช้ทำงานเป็นหลักก็ไม่จำเป็นต้องอัพเกรด

กลับกันถ้าใครอยากเปลี่ยนเป็น M.2 NVMe SSD รุ่นที่อ่านเขียนข้อมูลได้เร็วกว่านี้ จะได้รันโปรแกรมและจบงานต่างๆ ได้ไวขึ้นจะมี WD Black SN850, Samsung 980 PRO, Kingston KC3000, Kingston FURY Renegade หรือหารุ่นที่สเปคใกล้เคียงกับที่ยกตัวอย่างและหาซื้อได้ง่ายมาอัพเกรดก็ได้

r15 4
r20 4

สำหรับประสิทธิภาพการเรนเดอร์กราฟฟิคและ 3D CG ด้วย ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED เมื่อทดสอบด้วย CINEBENCH R15 แล้ว ได้คะแนน OpenGL 195.31 fps และคะแนน CPU 2,332 cb ซึ่งผลคะแนนนี้ช่วยการันตีว่าถ้านำ ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED ไปพรีเซนต์และเปิด Preview โมเดล 3D ให้ลูกค้าได้ดูก็สามารถรันได้ไหลลื่นมาก พอเค้นประสิทธิภาพการทำงานของซีพียูแบบเน้นๆ ด้วย CINEBENCH R20 ได้คะแนน CPU 5,826 pts ซึ่งจัดว่าสูง ใช้งานได้ดีไม่มีปัญหาแน่นอน

3d 1

ผลการทดสอบด้วย 3DMark Time Spy เพื่อจำลองการนำ ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED ไปเล่นเกมฟอร์มยักษ์แล้ว จะเห็นว่าผลคะแนนเฉลี่ยได้สูงระดับ 8,142 คะแนน แยกหมวดเป็นคะแนน CPU score 10,396 คะแนน ส่วน Graphics score 7,843 คะแนน ดังนั้นนอกจากจะทำงานสายครีเอเตอร์ตัดต่อแต่งภาพและวิดีโอได้อย่างลื่นไหล ก็เอามาเล่นและ Livestream เกมได้เหมือนกัน ดังนั้น Zenbook Pro Duo จึงเหมาะกับงานสายคอนเทนต์เป็นอย่างมาก

pcmark10 3

เมื่อรันโปรแกรมทดสอบ PCMark 10 สำหรับใช้จำลองการทำงานแบบต่างๆ กับ ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED แล้วได้คะแนนเฉลี่ย 6,959 คะแนน จัดว่าสูงไล่เลี่ยกับโน๊ตบุ๊คซีพียู Intel 12th Gen รุ่นอื่นๆ หากดูแยกหมวดหมู่กันจะเห็นว่า Zenbook เด่นเรื่องการบูตและโหลดโปรแกรมต่างๆ ขึ้นมาทำงาน, ประชุมออนไลน์และอื่นๆ รวมถึงงานตัดต่อแต่งภาพ, วิดีโอและการทำ Virtualization ในหมวด Digital Content Creation ด้วย คาดว่าเป็นผลพลอยได้จากไดรเวอร์ NVIDIA Studio ที่ปรับจูนมาเป็นพิเศษ จึงรีดประสิทธิภาพของโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้ออกมาได้ดีขึ้น ส่วนการทำงานเอกสารก็จัดว่าทำได้ดีไม่แพ้กัน

game tested

ส่วนการทดสอบเล่นเกมด้วย ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED ครั้งนี้ ผู้เขียนได้ถอดเกม DotA 2, PUBG ออกจากการทดสอบไป ด้วยเหตุผลว่าถ้า Zenbook สามารถเล่นเกมฟอร์มยักษ์ในการทดสอบนี้ได้ก็สามารถเล่นทั้งสองเกมนั้นได้อย่างแน่นอน ส่วนการทดสอบจะเซ็ตตัวเครื่องเป็น Performance mode เพื่อเค้นประสิทธิภาพตัวเครื่องและปรับกราฟฟิคในเกมสูงสุดทั้งหมด

จากกราฟผลการทดสอบจะเห็นว่า Resident Evil Village, Death Stranding, Apex Legends สามารถทำเฟรมเรทเฉลี่ยได้เกิน 100 fps สบายๆ ส่วนของ Horizon Zero Dawn กับ Red Dead Redemption 2 (RDR 2) เมื่อรันฟังก์ชั่น Benchmark ในตัวเกมก็ทำเฟรมเรทเฉลี่ย 71 fps และ 55 fps ตามลำดับ ส่วน Elden Ring ที่ล็อค 60 fps สามารถทำได้เฉลี่ย 59 fps ซึ่งอยู่ในระดับลื่นไหลไร้สะดุด

ดังนั้นเจ้าของ Zenbook นั้น นอกจากใช้เครื่องทำงานกราฟฟิคตามเป้าหมายการใช้งานตัวเครื่องแล้ว ก็ยังเล่นเกมต่างๆ ได้ดีด้วย ซึ่งประสบการณ์การเล่นเกมด้วย ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED นั้น ถึงไดรเวอร์จะเป็น NVIDIA Studio ที่ถูกปรับแต่งมาเน้นการทำงานก็ตาม แต่ก็สามารถเล่นเกมได้ลื่นไหลไม่แพ้กับไดรเวอร์แบบ NVIDIA GeForce เลย ให้ความรู้สึกตอนเล่นเกมแทบไม่ต่างกับเกมมิ่งโน๊ตบุ๊คสักเครื่องหนึ่ง เรียกว่าตอบโจทย์ทั้งงานและความบันเทิงส่วนบุคคลแบบครบทุกด้าน

main 3

color profile mode
customer support
mode
oled care
settings 2
ai mode

ด้านโปรแกรม MyASUS สำหรับตั้งค่า, มอนิเตอร์และอัพเดทเฟิร์มแวร์ให้ ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED ได้เป็นอย่างดี ก็มีฟังก์ชั่นสำหรับพาเนลจอ OLED โดยเฉพาะอย่าง ASUS OLED Care ช่วยลดอาการหน้าจอเบิร์น โดยผู้เขียนแนะนำให้เปิดทุกฟังก์ชั่นให้หมดจะได้ถนอมพาเนลหน้าจอให้ใช้งานได้นานขึ้น, AI Noise-Cancelling ให้ AI ตัดเสียงรบกวนตอนใช้ไมค์ประชุมงาน รวมไปถึงฟังก์ชั่น Splendid ไว้ตั้งค่าการแสดงผลของหน้าจอ OLED ว่าต้องการให้แสดงสีสันหน้าจอเน้นความสวยสด, Eye Care หรือแม้แต่ตั้งโทนสีบนหน้าจอด้วยตัวเองก็ยังได้

Battery & Heat & Noise

ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02887

แบตเตอรี่ของ ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED ถือว่ามีความจุมากทีเดียว มีขนาดความจุอยู่ที่ 92Wh แบบลิเธียมโพลีเมอร์ เทียบเป็น Typical Capacity อยู่ที่ 5,984mAh และ Rated Capacity 5,810mAh ด้วยกัน แบตเตอรี่เป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าวางแนวยาวสุดขอบตัวเครื่องประชิดลำโพงทั้งสองฝั่งเครื่อง มีความจุเทียบเท่ากับแบตเตอรี่ของเกมมิ่งโน๊ตบุ๊ครุ่นในเครือบริษัท

battmon 3

ด้านระยะเวลาใช้งานเมื่อทดสอบตามมาตรฐานของทางเว็บไซต์โดยลดความสว่างหน้าจอต่ำสุด, ปิดไฟ LED Backlit ของคีย์บอร์ดและส่วนต่างๆ ให้หมด, เปิดเสียงลำโพงเพียง 10% และตั้งค่า Windows เป็น Battery Saver และตัวเครื่องเป็น Whisper mode แล้วใช้ Microsoft Edge ดูคลิป YouTube นาน 30 นาที จะเห็นว่า ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED สามารถใช้งานต่อเนื่องได้นานสุดถึง 11 ชั่วโมง 34 นาที จัดว่าใช้ได้นานมากเทียบชั้นโน๊ตบุ๊คบางเบาหลายๆ รุ่น

ซึ่งในกรณีเช่นนี้หากใครต้องการพกโน๊ตบุ๊คเข้าห้องเรียนแบบ On-site หรือเรียนออนไลน์, ประชุมงานต่อเนื่องหลายชั่วโมงก็ไม่มีปัญหา ใช้งานได้โดยไม่ต้องพึ่งอแดปเตอร์เลย และสันนิษฐานว่าถ้าปิดลำโพงก็สามารถปรับความสว่างหน้าจอขึ้นเป็น 10-20% แล้วยังใช้งานได้นานราวนี้เช่นกัน แต่จากการใช้งานจริงต้องถือว่าพาเนล OLED ให้ความสว่างหน้าจอสูงมากจนไม่ต้องปรับความสว่างจนสุดก็ยังมองเห็นเนื้อหาบนหน้าจอได้สบายๆ ดังนั้นตอนใช้งานจริงคาดว่าระยะเวลาใช้งานอาจจะเฉียด 12-13 ชั่วโมงก็เป็นไปได้

ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02889

ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02891
ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02890
ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02892
ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02897
ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02882
ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02880

ด้านระบบระบายความร้อน ทางบริษัทก็ใส่ใจไม่แพ้ฟีเจอร์อื่นโดยเติมฟีเจอร์ ASUS IceCool Pro กับ AAS Plus เข้ามา ส่วนภายในเครื่องจะเห็นว่า ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED มีฮีตไปป์เส้นหลัก 4 เส้น พาดแนวทั้งซีพียูและจีพียูตรงไปยังพัดลมโบลวเวอร์ทั้งสองข้างจองตัวเครื่องแล้วระบายความร้อนออกด้านข้างตัวเครื่อง และมีช่องระบายไอความร้อนออกด้านขอบบนตัวเครื่องเหนือแป้นคีย์บอร์ดอีกแถบหนึ่ง ช่วยให้โน๊ตบุ๊คเครื่องนี้ทำงานได้ต่อเนื่องโดยไม่ร้อนเกินไปและได้ดีไซน์ ErgoLift hinge มาช่วยเพิ่มระยะห่างระหว่างด้านใต้ตัวเครื่องกับช่องลมเข้าด้านใต้เครื่องอีกด้วย

hwmonitor 2

ส่วนของอุณหภูมิตัวเครื่องที่ CPUID HWMonitor วัดได้ขณะกำลังทดสอบเล่นเกมอยู่ จะเห็นว่าภายในเครื่องมีอุณหภูมิสูงตั้งแต่ 44~100 องศา เฉลี่ย 76 องศาเซลเซียสทีเดียว ซึ่งในส่วนนี้ผู้เขียนคาดว่าผู้อ่านหลายคนน่าจะกังวลว่าถ้าใช้ทำงานกับโปรแกรมตัดต่อวิดีโอหรือทำ 3D CG แล้วเครื่องจะร้อนเกินไปหรือเปล่า ในมุมของผู้เขียนเสนอให้เจ้าของเครื่องเอา ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED วางใช้งานบนแท่นวางโน๊ตบุ๊คแบบมีพัดลมเสริมและเน้นใช้งานในห้องแอร์เป็นหลักจะช่วยลดอุณหภูมิตัวเครื่องได้ระดับหนึ่ง ทว่าเวลาใช้ทำงานตามปกติ เช่น ทำงานเอกสาร, แต่งหรือวาดภาพกับโปรแกรมตระกูล Adobe ก็ไม่มีปัญหาเรื่องความร้อนสูงรบกวนอย่างที่คิด นอกจากนี้พื้นที่อุณหภูมิสูงก็ถูกเซ็ตเอาไว้เหนือชุดแป้นคีย์บอร์ดขึ้นไปอีกด้วย อย่างมากผู้ใช้อาจรู้สึกว่าตัวเครื่องอุ่นขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีอาการลวกมือรบกวนตอนใช้งานอย่างแน่นอน

User Experience

ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02949

ประสบการณ์การใช้ ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED เป็นโน๊ตบุ๊คทำงานเครื่องหลักราวสัปดาห์เศษต้องถือว่ามันเป็นโน๊ตบุ๊คเครื่องที่รับมือได้ทั้งฝั่งงานออฟฟิศ, ครีเอทีฟตัดต่อแต่งภาพและใช้เล่นเกมได้ดีไม่แพ้เกมมิ่งโน๊ตบุ๊คเลยเพราะทางบริษัทจัดสเปคมาได้ค่อนข้างลงตัว อาจติดใจเล็กน้อยว่าไม่มีช่องใส่ M.2 NVMe SSD เสริมอีกช่อง แต่ M.2 NVMe SSD ความจุ 1TB ที่ติดมาในเครื่องก็ถือว่าเยอะพอใช้ทั้งทำงานและเล่นเกมอย่างแน่นอน

ในฐานะที่ผู้เขียนทำงานโดยใช้ Web app เป็นหลัก ก็อาจจะไม่ได้ใช้ Zenbook Pro Duo 15 OLED ตัดต่อวิดีโอ, แต่งภาพหนักๆ เหมือนครีเอเตอร์หลายๆ คน แต่จะได้ใช้หน้าจอเสริม ScreenPad Plus แบบเป็นหน้าจอเสริมสำหรับพักหน้าต่างโปรแกรมหรือคอนเทนต์ที่จะนำมาใช้กับเนื้อหาที่ต้องการเขียนอยู่บ่อยๆ เวลาไปเขียนงานตามร้านกาแฟก็ทำงานได้สบายเหมือนนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะคอมพิวเตอร์ที่บ้านโดยไม่ต้องหาซื้อหรือหอบหน้าจอต่อแยกผ่านพอร์ต USB-C ติดกระเป๋าไปให้ลำบากชักเข้าออกกระเป๋าแม้แต่น้อย แค่กางหน้าจอออกก็มีหน้าจอเสริมให้ใช้ทำงานทันที และหน้าจอนี้ก็ยังมีประโยชน์ต่อผู้ใช้หลากหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นดีเจ, สถาปนิก, ช่างภาพ, ฝ่ายศิลป์ที่สามารถเอาหน้าจอนี้ไปปรับใช้งานได้ตามความเหมาะสมกับงานของตัวเองได้ ใช้งานง่ายเพราะเป็นพาเนลทัชสกรีนจะใช้ ASUS Pen 2.0 หรือนิ้วมือแตะหน้าจอหลักหรือเสริมก็สะดวกไปหมด

ส่วนความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวเรียกว่าสบายใจหายห่วง เนื่องจากกล้องหน้าเป็น IR Camera แค่สแกนใบหน้าของเจ้าของเครื่องไว้ ตอนกางหน้าจอขึ้นมาระบบก็สแกนหาใบหน้าเจ้าของเครื่อง ยืนยันความถูกต้องเสร็จแล้วก็ปลดล็อคให้ใช้งานได้ทันที ตัดขั้นตอนการพิมพ์รหัสผ่านไปจนหมดและคนที่ไม่ใช่เจ้าของเครื่องถ้าไม่รู้รหัสผ่านก็ปลดล็อคมาใช้งานโดยพลการไม่ได้อย่างแน่นอน ดังนั้นถ้าในสถานการณ์ที่ไม่ต้องการให้ใครมายุ่งกับโน๊ตบุ๊คของเราก็แค่กดล็อคหน้าจอเอาไว้ก็ปลอดภัยขึ้นมากแล้ว

Conclusion & Award

ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED NYX02959

ถ้าจะกล่าวว่า ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED คือโน๊ตบุ๊คสำหรับครีเอเตอร์และวิศวกรก็คงจะไม่ใช่การกล่าวเกินไปอย่างแน่นอน เพราะนอกจากดีไซน์หน้าจอทัชสกรีนเสริมด้วยปากกา ASUS Pen 2.0 ที่เขียนจดวาดเนื้อหาต่างๆ ลงไปได้ง่ายๆ ให้ครีเอเตอร์ทุกคนทำงานได้สะดวก และพอทาง ASUS อัพเดทให้ Zenbook รุ่นนี้เป็นซีพียู Intel 12th Gen “Alder Lake” และได้การ์ดจอแยก NVIDIA GeForce RTX 3060 พร้อมไดรเวอร์ NVIDIA Studio ด้วย ก็รันโปรเจคใหญ่ได้สบายๆ ไม่ต้องกลัวว่ามันจะหน่วงช้าหรือทำไม่ได้อย่างแน่นอน

นอกจากกลุ่มวิศวกร, มัณฑนากรและครีเอเตอร์ ผู้ใช้กลุ่มนักบัญชีหรือฝ่ายธุรการก็ได้ประโยชน์จากจอ ScreenPad Plus ไปเต็มๆ เพราะมีพื้นที่ทำงานเพิ่มมาอีกจอหนึ่งเต็มๆ และข้อดีอีกส่วนซึ่งเกินความคาดหมาย คือ ระยะเวลาใช้งานโดยแบตเตอรี่ซึ่งอยู่นานถึง 11 ชั่วโมง 34 นาที ซึ่งผู้เขียนไม่ได้คาดหวังจากซีพียู Intel ที่ลงท้ายด้วยรหัส H ซึ่งเป็นรุ่นประสิทธิภาพสูงเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อ ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED สามารถอยู่ได้นานเช่นนี้ ก็ถือว่าน่าชื่นชมมาก

อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนคาดหวังว่ารุ่นปรับอุปกรณ์หรือรุ่นอัพเดทสเปค ทางบริษัทจะอัพเกรดส่วนต่างๆ ที่ผู้เขียนได้ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ให้หมด ไม่ว่าจะปรับพอร์ต Thunderbolt 4 ทั้ง 2 ช่องให้เป็น Full Function รองรับการชาร์จแบบ Power Delivery, เพิ่ม MicroSD Card Reader เข้ามาซึ่งอาจจะซ่อนเอาไว้ตรงขอบด้านหน้าหันเข้าหาผู้ใช้ก็ได้ หากไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็ขอพอร์ต PCIe 4.0 x4 อีกสักช่องเพื่อเพิ่ม M.2 NVMe SSD เสริมเข้าไปในเครื่องอีกช่องหนึ่งจะสมบูรณ์แบบเกินค่าตัวอย่างแน่นอน

award

award new Battery Life

Best battery life

ระบบจัดการพลังงานของ ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED ถือว่าน่าประทับใจมาก สามารถใช้ทำงานต่อเนื่องได้นานสุด 11 ชั่วโมง 34 นาที ซึ่งนานเท่าโน๊ตบุ๊ค Intel Evo ทีเดียว สามารถพกเครื่องไปเรียน, ประชุมหรือทำงานตามร้านกาแฟได้ทั้งวันโดยไม่ต้องกลัวแบตฯ จะหมดกลางคันเลย จึงเหมาะกับรางวัล Best Battery Life โดยไม่มีข้อกังขาใดๆ

NBS award 7 Design

best design

ด้วยการออกแบบ ErgoLift hinge ผสานเข้ากับหน้าจอทัชสกรีนคู่และปากกาสไตลัส รวมทั้ง ASUS NumberPad 2.0 ซึ่งสลับระหว่างทัชแพดและแป้นตัวเลขได้สะดวกรวมทั้งใช้บอดี้แบบแม็กนีเซียมผสมอลูมิเนียมอัลลอยด์ให้ความแข็งแรงเป็นพิเศษ สวยงามเรียบหรูเสริมบุคลิคเจ้าของเครื่องอีกด้วย จึงคู่ควรกับรางวัล Best Design อย่างไม่ต้องสงสัย

award new performance

best performance

การจับคู่ Intel Core i9-12900H, RAM 32GB LPDDR5, M.2 NVMe SSD 1TB กับการ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX 3060 ไดรเวอร์ NVIDIA Studio ด้วย ช่วยรีดประสิทธิภาพของตัวเครื่องออกมาได้สูงมาก ตอบโจทย์คนทำงานสายครีเอทีฟ ถูกใจครีเอเตอร์ทุกคนอย่างแน่นอน ดังนั้น ASUS Zenbook Pro Duo 15 OLED จึงเหมาะสมกับรางวัล Best Performance เป็นที่สุด

from:https://notebookspec.com/web/652333-review-asus-zenbook-pro-duo-15-oled

รีวิว ASUS ZenBook 14 OLED UX3402Z Intel Evo ชิป Alder Lake ฟีเจอร์ล้ำล้นตัวเพื่อคนทำงานโดยเฉพาะ

ASUS Zenbook 14 OLED UX3402Z ได้ Intel Evo ชิป Alder Lake พร้อมฟีเจอร์สุดเจ๋งรอบตัว!

asuszenbook14oled12th cover

ถ้าพูดถึงโน๊ตบุ๊คสายทำงานระดับพรีเมี่ยมของ ASUS ตระกูล ZenBook รหัส ASUS Zenbook 14 OLED UX3402Z เครื่องนี้ถือเป็นรุ่นใหม่ ซึ่งนอกจากการอัพเดทซีพียูเป็น Intel 12th Gen สถาปัตยกรรม Alder Lake ให้ได้ความสดใหม่พร้อมกับอัพเดทพาร์ทส่วนอื่นๆ ให้สอดรับกัน ทั้งแรม DDR5 บัส 4800MHz, M.2 NVMe SSD อินเตอร์เฟส PCIe 4.0 x4 และ Wi-Fi 6E มาตรฐาน 802.11ax ซึ่งรับส่งข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและเสถียรยิ่งกว่าเดิม เสริมความปลอดภัยด้วยเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือโดยรวมเอาไว้กับปุ่ม Power และผ่านมาตรฐาน Intel Evo ด้วย

Advertisementavw

นอกจากนี้ทางบริษัทก็ยังคงดีไซน์และฟีเจอร์เอกลักษณ์ของ ASUS ZenBook เอาไว้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะตัวเครื่องขนาดพกพาสะดวก, ASUS NumberPad 2.0 ที่เอา Numpad มารวมกับชุดทัชแพด เลือกเปิดปิดได้ตามสะดวกของผู้ใช้, หน้าจอทัชสกรีน NanoEdge Touchscreen Display พาเนล OLED ขนาด 14 นิ้ว อัตราส่วน 16:10 ความละเอียด 2.8K ซึ่งได้ความสวยคมชัด ขอบเขตสีกว้าง 100% DCI-P3 และได้รับการรับรอง PANTONE Validated, VESA DisplayHDR True Black 500 เรียกว่าเป็นโน๊ตบุ๊ครุ่นที่ฝ่าย AE นำไปพรีเซนต์งานและพรู้ฟสีงานอาร์ตได้อย่างแน่นอน นอกจากนี้ตัวเครื่องยังติดตั้งพอร์ตใช้งานบ่อยมาครบถ้วนทั้ง USB-A, HDMI เสริมด้วย Thunderbolt 4 อีก 2 ช่อง ทำให้เชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ ได้สะดวก ขยายเป็นพอร์ตอื่นๆ ด้วย USB-C Multiport Adapter อีก และยังปรับเปลี่ยนดีไซน์ตัวเครื่องให้สวยทันสมัยกว่าเดิมมาก

ASUS Zenbook 14 OLED UX3402Z

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อ ASUS ZenBook 14 OLED UX3402Z เป็นโน๊ตบุ๊คระดับพรีเมี่ยมแล้ว ส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้อย่างเสียงก็ได้มีชิป DSP อย่าง Smart Amp ช่วยเพิ่มคุณภาพเสียงจากลำโพง โดยทาง ASUS เคลมความดังเสียงไว้ว่าลำโพงนี้จะดังกว่าเดิม 350% และไม่มีอาการเสียงเพี้ยน (Zero Distortion) ทำให้ฟังเพลงได้อรรถรสยิ่งกว่าเดิม ด้านคีย์บอร์ดแม้ดูผ่านๆ จะคล้าย ASUS ZenBook รุ่นอื่น แต่ดีไซน์ที่ซ่อนอยู่และสัมผัสได้เวลาใช้งาน คือ ตัวปุ่มเป็น Dished keycaps ซึ่งปุ่มจะโค้งเว้าลง 0.2 มม. เวลาพิมพ์งานแล้วตัวปุ่มจะโค้งรับทรงนิ้วและเพิ่มความแม่นยำตอนกดให้ลงน้ำหนักเข้า Contact point ของคีย์บอร์ดลดอาการกดริมปุ่มได้และยืดอายุการใช้งานปุ่มคีย์บอร์ดด้วย

NBS Verdict

ASUS Zenbook New DSC01859

ASUS ZenBook 14 OLED UX3402Z เครื่องนี้ ถือเป็นโน๊ตบุ๊คสายทำงานมาตรฐาน Intel Evo ระดับพรีเมี่ยมที่คุ้มน่าซื้อมาใช้มาก เพราะนอกจากได้ Intel Alder Lake ประสิทธิภาพสูงและประหยัดพลังงานมาใช้งานแล้ว ยังเสริมฟีเจอร์เข้ามาให้มากมายรวมทั้งติดตั้ง Windows 11 Home และ Microsoft Office Home & Student 2021 มาครบเครื่อง กล่าวได้ว่าซื้อเครื่องมา จัดการล็อคอินตั้งค่าให้เรียบร้อยก็ทำงานได้ทันที ไม่ต้องหาซื้อหรือโหลดโปรแกรมอะไรเพิ่มนัก และได้พอร์ต Thunderbolt 4 มาอีก 2 ช่อง ใช้ต่ออแดปเตอร์เป็นพอร์ตต่างๆ ได้และใช้ชาร์จแบตเตอรี่ให้ตัวเครื่องได้ด้วย ไม่ต้องพกปลั๊กเฉพาะของตัวเครื่องไปไหนมาไหนให้ลำบาก

หน้าจอที่เป็นจุดแข็งของ ASUS ZenBook 14 OLED UX3402Z ก็ถือเป็นจุดเด่นจุดแข็งของเครื่องนี้ด้วย เพราะจอ 14 นิ้ว พาเนล OLED นี้มีความละเอียดสูง 2.8K อัตราส่วน 16:10 ปรับค่า Refresh Rate ไป 90Hz เพื่อความลื่นไหลได้ ขอบเขตสีกว้าง 100% DCI-P3 ได้รับการรับรอง PANTONE Validated และ VESA DisplayHDR True Black 500 การันตีสีดำสนิทบนหน้าจอและการแสดงผลสีของหน้าจอได้เที่ยงตรง ทำให้คนทำงานอาร์ตต้องพรู้ฟสีบนหน้าจอและช่างกล้องที่ต้องแต่งภาพถ่ายทำงานได้มีคุณภาพยิ่งขึ้น และสเปคของฮาร์ดแวร์ก็รองรับงานประเภทนี้ได้อย่างดีแน่นอน

ทว่าจุดสังเกตเล็กน้อยที่ผู้เขียนพบตอนใช้ ASUS ZenBook 14 OLED UX3402Z ทำงาน คือตัวเครื่องถูกออกแบบให้แกะเปลี่ยนอัพเกรด M.2 NVMe SSD ไม่ได้ด้วยตัวเอง คาดว่าเพราะทางผู้ผลิตออกแบบซ่อนน็อตเอาไว้ใต้ฐานยางตัวเครื่อง หากฝืนแกะออกอาจจะทำให้ตัวเครื่องเสียหายได้ ถ้าจะอัพเกรดก็ควรยกไปให้ช่างผู้ชำนาญการทำที่ศูนย์บริการจะดีกว่า รวมทั้งถ้ารันโปรแกรมใหญ่ เช่น โปรแกรมตระกูล Adobe นานๆ ก็จะมีอุณหภูมิสูงขึ้นระดับหนึ่ง ทว่าตอนใช้งานทั่วไป เปิดเบราเซอร์หรือทำงานออฟฟิศก็ไม่ได้ร้อนรบกวนการใช้งานอย่างแน่นอน

ข้อดีของ ASUS Zenbook 14 OLED UX3402Z
  1. ติดตั้งซีพียู Intel Core i5-1240P สถาปัตยกรรม Alder Lake ใหม่ล่าสุดมาให้ใช้งาน
  2. M.2 NVMe SSD เป็น PCIe 4.0 x4 มีแรม 16GB DDR5 บัส 4800MHz ทำงานได้รวดเร็ว
  3. หน้าจอทัชสกรีนขนาด 14 นิ้ว ความละเอียด 2.8K พาเนล OLED อัตราส่วน 16:10 ขอบเขตสีกว้าง 100% DCI-P3 ได้รับการรับรอง PANTONE Validated และ VESA DisplayHDR True Black 500
  4. หน้าจอปรับค่า Refresh Rate ไป 90Hz ได้ ทำให้การแสดงผลต่อเนื่องลื่นตายิ่งขึ้น
  5. มีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือติดตั้งมาให้ รวมไว้กับปุ่ม Power ปลดล็อคเครื่องได้สะดวก
  6. ปุ่มคีย์บอร์ดแบบ Dished keycaps พิมพ์งานได้ดี เสริมความแม่นยำตอนกดปุ่ม
  7. ลำโพงพร้อม Smart Amp DAC ให้รายละเอียดเสียงดีน่าประทับใจ
  8. ได้ Windows 11 Home กับ Microsoft Office Home & Student 2021 มาพร้อมใช้
  9. เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตด้วย Wi-Fi 6E มาตรฐาน 802.11ax รับส่งข้อมูลได้เร็วและเสถียร
  10. ติดตั้งพอร์ต Thunderbolt 4 มา 2 ช่อง ควบคู่กับพอร์ตที่จำเป็น ทำให้เชื่อมต่อสะดวก
  11. แบตเตอรี่ใช้งานได้นานสุด 12 ชั่วโมง และอาจจะใช้ได้นานกว่านี้ขึ้นอยู่กับการทำงาน
  12. มีฟีเจอร์ OLED Care ลดอาการ Burn-in เสริมมาในโปรแกรม MyASUS ด้วย
  13. ได้ประกัน ASUS Exclusive Care (International Warranty) 3 ปี พร้อม ASUS Perfect Care 1 ปีแรก สามารถต่อประกันได้ด้วย
ข้อสังเกตของ ASUS Zenbook 14 OLED UX3402Z
  1. ตัวเครื่องแกะอัพเกรดเองได้ยาก ถ้าต้องการอัพเกรดควรยกไปศูนย์บริการเท่านั้น
  2. ถ้ารันโปรแกรมขนาดใหญ่ต่อเนื่องนานๆ ตัวเครื่องจะมีอุณหภูมิสูงขึ้นพอควร

รีวิว ASUS Zenbook 14 OLED UX3402Z

Specification

zenbook

ASUS Zenbook 14 OLED UX3402Z นั้นเป็นโน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่ของตระกูล ASUS ZenBook ที่อัพเดทสเปคและฟีเจอร์มาอัดแน่นเต็มตัว ซึ่งสเปคจะเป็นดังนี้

  • CPU – แยกเป็น 2 รุ่น ได้แก่
    • Intel Core i5-1240P แบบ 12 คอร์ (4P+8E) 16 เธรด ความเร็ว 3.3-4.4GHz
    • Intel Core i7-1260P แบบ 12 คอร์ (4P+8E) 16 เธรด ความเร็ว 3.4-4.7GHz
  • GPU : Intel Iris Xe Graphics
  • SSD : แบบ M.2 NVMe ความจุ 512GB PCIe 4.0 x4
  • RAM : ออนบอร์ด 16GB LPDDR5 4800MHz
  • Display : 14 นิ้ว ความละเอียด 2.8K พาเนล OLED อัตราส่วน 16:10 ขอบเขตสีกว้าง 100% DCI-P3 ได้รับการรับรอง PANTONE Validated และ VESA DisplayHDR True Black 500 ค่า Refresh Rate 60~90Hz
  • Ports : Thunderbolt 4 x 2, USB-A 3.2 Gen 2 x 1, HDMI 2.0b x 1, MicroSD Card Reader x 1, Audio combo x 1
  • Wireless : Wi-Fi 6E มาตรฐาน 802.11ax รองรับ Bluetooth 5.2
  • Webcam : 720p / 1080p HD Camera 
  • Software : Windows 11 Home, Microsoft Office Home & Student 2021
  • Weight : 1.39 กิโลกรัม
  • Warranty : ASUS Exclusive Care (International Warranty) 3 ปี พร้อม ASUS Perfect Care 1 ปีแรก

Hardware & Design

ASUS Zenbook New DSC01851

ASUS Zenbook New DSC01810
ASUS Zenbook New DSC01814
ASUS Zenbook New DSC01848

ดีไซน์ของ ASUS ZenBook 14 OLED UX3402Z นั้นจะเน้นความเรียบง่ายแบบโน๊ตบุ๊คทำงานทั่วไป แต่เก็บรายละเอียดดีไซน์ให้ความหรูหราสวยงามและทำลวดลายไม่เยอะเกินไปจนรกสายตา จะเห็นว่าตัวเครื่องถ้ามองจากด้านหน้าจะดูเรียบง่ายคล้าย ASUS ZenBook รุ่นอื่นๆ แต่เสริมดีไซน์ให้สวยงามขึ้นด้วยวัสดุอลูมิเนียมตรงขาบานพับและทำฐานรับขาบานพับหน้าจอเป็นอลูมิเนียมทรงกลมเส้นยาวรับตัวขาฐานจอ ช่วยเสริมความแข็งแรงทนทานยิ่งขึ้น กางหน้าจอหลายๆ ครั้งก็ยังแข็งแรงและงานประกอบแน่นไม่มีอาการโยกคลอนใดๆ

นอกจากนี้ตัวขาบานพับหน้าจอยังเป็นดีไซน์ ErgoLift hinge เสริมชิ้นพลาสติกขอบล่างเครื่องเข้ามา ช่วยเสริมตอนกางหน้าจอพิมพ์งานแล้ว ขอบล่างของหน้าจอจะไม่สัมผัสพื้นโต๊ะโดยตรง ป้องกันไม่ให้เกิดรอยกับตัวเครื่อง

ASUS Zenbook New DSC01883

ASUS Zenbook New DSC01820
ASUS Zenbook New DSC01821

ด้านขอบล่างของตัวเครื่องใต้ทัชแพดเอง ก็ทำบอดี้เครื่องเว้าเข้าไปเล็กน้อยให้เจ้าของเครื่องใช้นิ้วชี้เพียงนิ้วเดียวเกี่ยวกางหน้าจอขึ้นมาใช้งานได้ทันที และทาง ASUS เองก็บาลานซ์น้ำหนักเครื่องได้ดี ตัวเครื่องก็ไม่กระดกยกตามมาอย่างแน่นอน และที่วางข้อมือของตัวเครื่องก็ติดสติกเกอร์แสดงมาตรฐานต่างๆ เอาไว้ ไม่ว่าจะ Intel Evo, PANTONE Validated, สเปคตัวเครื่อง หรือแม้แต่สติกเกอร์ Microsoft Office Home & Student 2021 ที่ติดตั้งมาพร้อมระบบปฏิบัติการ Windows 11 Home ในเครื่องด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น ASUS ZenBook 14 OLED UX3402Z เครื่องนี้เองก็ได้ประกัน ASUS Exclusive Care (International Warranty) 3 ปี พร้อม ASUS Perfect Warranty คอยดูแลตัวเครื่อง 1 ปีแรก เพียงแค่ลงทะเบียนให้เรียบร้อย เมื่อเกิดความเสียหายกับโน๊ตบุ๊คแล้วยังอยู่ในเงื่อนไขรับประกันแล้ว ทาง ASUS จะรับผิดชอบค่าเสียหาย 80% และผู้ใช้จ่ายเพียง 20% เท่านั้น และสามารถต่อประกันนี้เป็น 2 ปีได้ เพียงชำระค่าต่อประกัน 1,990 บาท ซึ่งเงื่อนไขรับประกันจะดูแลครอบคลุมเวลาทำเครื่องตก, น้ำหกใส่, ไฟฟ้าลัดวงจรหรือเกิดอุบัติเหตุ ไม่ได้รวมถึงการถูกโจรกรรมหรืออุปกรณ์เสริมร่วมของโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้

ASUS Zenbook New DSC01818

ดีไซน์ตัวเครื่องแบบ ErgoLift hinge ทำให้ ASUS ZenBook 14 OLED UX3402Z เครื่องนี้กางเครื่องได้แบนราบ 180 องศา ไม่ว่าจะวางเครื่องบนโต๊ะหรือว่าแท่นวางโน๊ตบุ๊คก็กางหน้าจอได้สะดวก หรือถ้าวางบนพื้นโต๊ะทำงานเพื่อแชร์หน้าจอให้เพื่อนร่วมงานดูก็ได้เช่นกัน

ASUS Zenbook New DSC01864

ASUS Zenbook New DSC01867
ASUS Zenbook New DSC01813

ฝาหลังอลูมิเนียมของ ASUS ZenBook 14 OLED UX3402Z จะเปลี่ยนจากฝาหลังเรียบๆ กับโลโก้ ASUS เอาไว้ริมฝั่งขวาเป็นลายเส้นยิงเลเซอร์ 4 เส้น เรียงตัวเหมือนตัว A ทำสีด้านเอาไว้และมีคำว่า ASUS Zenbook ยิงเลเซอร์เล็กๆ ติดเอาไว้มุมล่างซ้ายมือแทน ทำให้ดีไซน์ดูสวยแปลกตากว่าเดิม บอกให้รู้ว่าตอนนี้เป็น Zenbook รุ่นใหม่อีกด้วย

ASUS Zenbook New DSC01805

ด้านใต้ตัวเครื่องจะดูเรียบง่าย มีเพียงแค่ขอบยางรองตัวเครื่องติดเอาไว้ 3 เส้นแยกเป็น 2 เส้นเล็กด้านบนและเส้นยาว 1 เส้นด้านล่าง มีช่องดูดอากาศเย็นเข้าไประบายความร้อนตรงกลางเครื่อง 1 แถบ และช่องระบายความร้อนฝั่งขวามือตัวเครื่องอีก 1 ช่องเท่านั้น 

Screen & Speaker

ASUS Zenbook New DSC01834

ASUS Zenbook New DSC01836
ASUS Zenbook New DSC01835
ASUS Zenbook New DSC01837
ASUS Zenbook New DSC01838

ASUS Zenbook New DSC01839

หน้าจอของ ASUS ZenBook 14 OLED UX3402Z เครื่องนี้มีขนาด 14 นิ้ว ความละเอียด 2.8K พาเนล OLED อัตราส่วน 16:10 ขอบเขตสีกว้าง 100% DCI-P3 ได้รับการรับรอง PANTONE Validated และ VESA DisplayHDR True Black 500 ค่า Refresh Rate 60~90Hz และดีไซน์แบบ NanoEdge Display หรือขอบหน้าจอบาง 3 ด้าน ทั้งขอบบนและสองฝั่งซ้ายขวา ทำให้พื้นที่การมองเห็นบนหน้าจอกว้างยิ่งขึ้นแต่ตัวเครื่องไม่ใหญ่เกินไป เมื่อได้รับการรับรองจาก PANTONE แล้ว ก็จะมีสติกเกอร์ติดการันตีบนตัวเครื่องด้วย

ด้านข้อดีของการปรับค่า Refresh Rate ได้ว่าจะเป็น 60 หรือ 90Hz คือ ถ้าใช้งานตามปกติและเน้นประหยัดแบตเตอรี่ในเครื่อง ก็ตั้งไว้ 60Hz ได้ แต่ถ้าอยากได้ภาพไหลลื่นนวลตาตามแบบที่สมาร์ทโฟนหลายๆ รุ่นในปัจจุบันทำได้ ก็เลือกตั้งค่าใน Settings ของ Windows ได้เลย และใช้แบตเตอรี่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย จัดเป็นฟีเจอร์หนึ่งที่เสริมความสุขให้ผู้ใช้ตอนทำงานที่ดี

gamut 2

brightness 2
bright zone 2
accuracy 1
sum 1

ส่วนขอบเขตสีหน้าจอจากการทดสอบด้วย Spyder5Elite แล้ว จะเห็นว่าพาเนล OLED ของ ASUS ZenBook 14 OLED UX3402Z เครื่องนี้แสดงสีได้กว้างมาก ได้ 100% sRGB, 100% AdobeRGB, 93% DCI-P3 และค่า Delta-E น้อยกว่า 2 ด้วย เพียง 0.86 เท่านั้น จัดว่าหน้าจอนี้แสดงสีได้สวยงามและเทียบสีแม่นยำ ฝ่ายศิลป์ใช้พรู้ฟสีงานอาร์ตหรือช่างภาพมืออาชีพจะใช้แต่งภาพถ่ายก็ได้เช่นกัน ถือได้ว่าเป็นพาเนลคุณภาพสูงที่เหมาะกับโน๊ตบุ๊คสายทำงานระดับพรีเมี่ยมเครื่องนี้มาก

ความสว่างหน้าจอจากการทดสอบ เมื่อปรับความสว่าง 100% จะสว่างถึง 317.5 nit ซึ่งถือว่าสว่างสู้แสงแดดตอนนั่งทำงานกลางแจ้ง เช่น ชานร้านกาแฟหรือนอกตัวอาคารได้สบายๆ ไม่ต้องห่วงว่าหน้าจอจะมืดมองไม่เห็น แต่ถ้านั่งทำงานในอาคารหรือออฟฟิศแนะนำให้ลดความสว่างลงมาที่ 75% ให้เหลือ 177.5 nit ก็เพียงพอแล้ว อย่างไรก็ตามผู้เขียนขอแนะนำว่าไม่ควรปรับความสว่างลงต่ำสุดเพราะสว่างเพียง 0.8 nit และตอนใช้งานจริงก็มืดจนแทบมองเนื้อหาบนหน้าจอไม่เห็นจึงใช้งานลำบากพอควร ส่วนการแบ่งพื้นที่บนหน้าจอเป็น 9 โซนวัดความสว่าง จะเห็นว่าพื้นที่ความสว่างของหน้าจอ ASUS ZenBook 14 OLED UX3402Z จะมีความสว่างลดลงน้อยมาก เพียง 0~3% เท่านั้น เวลาแต่งภาพก็ไม่ต้องระวังโซนไหนเป็นพิเศษเพราะสว่างไล่เลี่ยกันหมดทั้งหน้าจอ

ส่วนผลคะแนนโดยสรุปที่ Spyder5Elite วัดได้ หน้าจอ OLED ของ ASUS ZenBook 14 OLED UX3402Z ทำคะแนนได้ 4 จาก 5 คะแนน ซึ่งถือว่าสูงใช้ได้ และการแสดงผลที่เด่นสุดของหน้าจอนี้จะเป็นส่วนของ Gamut, Contrast แสดงขอบเขตสีได้กว้างและจัด ซึ่งเป็นบุคลิคปกติของพาเนล OLED อยู่แล้ว ส่วนที่โดดเด่นไม่แพ้กัน คือ Tone Response, Color Uniformity, Color Accuracy ซึ่งทำได้ 4.5 จาก 5 คะแนน จัดว่าทำได้ดีไม่แพ้กัน ถ้าใครต้องทำงานอาร์ต, พรู้ฟสีบ่อยๆ ก็สามารถใช้หน้าจอของ ZenBook เครื่องนี้ทำงานได้สบายๆ เลย

ASUS Zenbook New DSC01840

ASUS Zenbook New DSC01806
ASUS Zenbook New DSC01807

ลำโพงของ ASUS ZenBook 14 OLED UX3402Z จะติดตั้งมาทั้งหมด 2 ดอกอยู่ริมซ้ายขวาด้านใต้ตัวเครื่อง ได้รับการจูนเสียงโดยบริษัท harman/kardon และเสริม Smart Amp DAC ให้เสียงช่วยลดอาการเสียงเพี้ยน (Zero Distortion) ด้วย ซึ่งเนื้อเสียงแม้จะเปิดลำโพงดัง 100% ก็ไม่เกิดอาการเสียงเพี้ยนหรือพร่าให้ได้ยิน โทนเสียงเบสจัดว่าพอมีให้ฟังเพลงแนวร็อคกับ EDM ได้ระดับหนึ่ง กลับกันคือ ลำโพงนี้จะเด่นเรื่องรายละเอียดเสียงเครื่องดนตรีและเสียงนักร้องนำไม่กลบกันเอง เก็บรายละเอียดเสียงได้ดีน่าประทับใจมากจนไม่จำเป็นต้องต่อลำโพงแยกก็ได้ ใช้ลำโพงติดเครื่องได้เลย

Keyboard & Touchpad

ASUS Zenbook New DSC01825

ASUS Zenbook New DSC01873
ASUS Zenbook New DSC01871

คีย์บอร์ดของ ASUS ZenBook 14 OLED UX3402Z เป็นคีย์บอร์ดแบบ Tenkeyless พร้อมไฟ LED Backlit สีขาวมา สามารถกดเปิดปิดได้และแสงลอดตัวอักษรบนปุ่มด้วย ส่วนดีไซน์เป็น Dished keycaps ที่ตัวปุ่มจะโค้งเว้าลง 0.2 มม. เหมือนจานซุป ซึ่งถ้ามองตามปกติจะไม่ทันสังเกต แต่เมื่อพิมพ์จะรู้สึกได้ทันทีว่าตัวปุ่มโค้งลงเล็กน้อยเพื่อไกด์นิ้วของผู้ใช้ให้กดลงมาตรงกลางปุ่มพอดีกับ Contact Point ของคีย์บอร์ดพอดี นอกจากช่วยให้พิมพ์งานได้แม่นยำไม่พลาดไปโดนปุ่มอื่นแล้ว การกดตรง Contact Point ทำให้ยืดอายุการใช้งานปุ่มคีย์บอร์ดมากขึ้นด้วย ด้านสัมผัสการพิมพ์ต้องถือว่าระยะยุบตัวและการคืนตัวทำได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งถ้าใครชอบพิมพ์งานด้วยแป้นคีย์บอร์ดโน๊ตบุ๊คน่าจะถูกใจปุ่มคีย์บอร์ดนี้ทีเดียว

ASUS Zenbook New DSC01832

ASUS Zenbook New DSC01827
ASUS Zenbook New DSC01828
ASUS Zenbook New DSC01829
ASUS Zenbook New DSC01826

ด้าน Function Key บนแป้นคีย์บอร์ด เรียกว่ายกจาก ASUS ZenBook รุ่นก่อนๆ มาใช้เลยก็ไม่ผิด และหลายๆ ปุ่มจะถูกเซ็ตคีย์ลัดเอาไว้หมด ไม่ว่าจะปุ่มลูกศรที่รวมกับ Page Up, Page Down, Home, End หรือแม้แต่ปุ่ม Delete ก็รวบไว้กับปุ่ม Insert ด้วย และกด Fn+Esc ก็ล็อค Function Key ตรงปุ่ม F1-F12 ได้ด้วย

นอกจากนี้ก็เสริมเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือรวมไว้กับปุ่ม Power ช่วยให้สแกนนิ้วปลดล็อคเครื่องได้สะดวก เพียงแค่ล็อคอิน Microsoft ID และกรอกรหัสผ่านไว้ ก็สแกนนิ้วเพื่อปลดล็อคเครื่องได้เลย ช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัวและความสะดวกเวลาใช้งานมากขึ้น

ASUS Zenbook New DSC01830

ด้าน Function Hotkey ที่ปุ่ม F1-F12 จะเห็นว่าทาง ASUS เซ็ตคีย์ลัดพื้นฐานสำหรับทำงานเอาไว้ครบเครื่องพร้อมใช้งานทีเดียว โดยมีคีย์ลัดดังนี้

  • F1-F3 – ปิด, ลดหรือเพิ่มเสียงลำโพง
  • F4-F5 – ลดหรือเพิ่มความสว่างหน้าจอ
  • F6 – เปิดหรือปิดทัชแพด
  • F7 – ปิดหรือเปิดไฟ LED Backlit ของคีย์บอร์ด
  • F8 – ปุ่ม Project ตั้งค่าหน้าจอหลักและหน้าจอแยก
  • F9 – ปิดหรือเปิดไมค์
  • F10 – ปิดหรือเปิด Webcam
  • F11 – เรียก Snipping Tool
  • F12 – เรียกโปรแกรม MyASUS 

จะเห็นว่าการเซ็ตปุ่มลัดทั้งหมดนี้จะเป็นปุ่มใช้งานทั่วไปแทบทั้งหมดและก็ครบพอใช้งานด้วย แต่ส่วนตัวผู้เขียนคิดว่าไหนๆ ทาง ASUS ก็เลือกใช้หน้าจอ 90Hz ปรับค่าได้แล้วทั้งที ก็น่าจะย้ายปุ่ม Snipping Tool ที่ F11 ไปรวมกับปุ่ม Print Screen แล้วใส่คีย์ลัดเปลี่ยนค่า Hz หน้าจอมาเลยจะดีกว่า จะได้กดปรับใช้งานได้สะดวกยิ่งขึ้น

ASUS Zenbook New DSC01841

ASUS Zenbook New DSC01843
ASUS Zenbook New DSC01842
ASUS Zenbook New DSC01824
ASUS Zenbook New DSC01869

ส่วนทัชแพดแบบ ASUS NumberPad 2.0 นี้เป็นทัชแพดอเนกประสงค์ กดสลับระหว่างทัชแพดปกติหรือกดปุ่มลายเครื่องคิดเลขมุมบนขวาเพื่อเปิดทัชแพดขึ้นมาใช้งานก็ได้ เวลาพิมพ์ตัวเลขก็ตอบสนองได้เร็วเหมือนกดแป้นทัชแพดปกติทีเดียว หรือถ้าต้องการลากเคอร์เซอร์เมาส์ก็ลากตอนเปิดทัชแพดได้ทันทีไม่ต้องกดปิดทัชแพดลงไป ส่วนเครื่องหมายสามเหลี่ยมมุมบนซ้ายจะทำงานได้ 2 แบบ คือ แตะ 1 ครั้งจะเอาไว้ลดความสว่างแสง Numpad ถ้าแตะค้างแล้วลากออกจากไอคอนนี้จะเรียกเครื่องคิดเลขขึ้นมาใช้งานได้ด้วย

จุดที่ ASUS ติดตั้งทัชแพดเอาไว้ ถ้าวางมือพิมพ์งานตามปกติ สันมือจะนาบขอบของทัชแพดเล็กน้อย แต่อาการทัชแพดลั่นอาจจะมีบ้างเล็กน้อย ถ้าใครไม่ชอบก็กดปิดทิ้งได้หรือพิมพ์แบบยกสันมือขึ้นแทนก็ได้ ซึ่งขนาดของทัชแพดถือว่าใหญ่กำลังใช้งานสะดวก ลากเคอร์เซอร์เมาส์ได้รวดเร็วรวมทั้งรองรับ Gesture Control ของ Windows ด้วย

Connector / Thin & Weight

ASUS Zenbook New DSC01844
ASUS Zenbook New DSC01846

พอร์ตเชื่อมต่อของ ASUS ZenBook 14 OLED UX3402Z จะมีพอร์ตที่ใช้งานประจำติดตั้งอยู่ แต่ฝั่งซ้ายจะมีแค่ USB-A 3.2 Gen 2 ช่องเดียวคู่กับช่องระบายอากาศภายในเครื่องเท่านั้น ส่วนพอร์ตใช้งานอื่นๆ จะรวมอยู่ฝั่งขวาตัวเครื่องพร้อมไฟแสดงสถานะการทำงานด้วย ซึ่งมีพอร์ต MicroSD Card Reader, Thunderbolt 4 x 2 ช่อง, Audio Combo และ HDMI 2.0b ติดตั้งไว้

ด้านพอร์ตตัวเครื่อง ต้องถือว่าทาง ASUS ไม่กั๊กเลยและให้มาครบพร้อมใช้งานแล้ว ไม่ว่าจะ USB-A 3.2 Gen 2 และ HDMI 2.0b สำหรับเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ไอทีชิ้นต่างๆ ในปัจจุบันนี้ ไม่ต้องลำบากหาตัวแปลง USB-C Multiport Adapter มาเสริมให้เสียเงิน แต่ถ้าต้องการใช้งานก็มี Thunderbolt 4 ไว้ต่อแยกเป็นพอร์ตแบบต่างๆ ทั้งใช้รับส่งข้อมูลและต่อจอเสริมได้และชาร์จแบตเตอรี่แบบ Power Delivery ได้ด้วย ทำให้ไม่ต้องพกปลั๊กเฉพาะติดกระเป๋าไปไหนมาไหน เจ้าของเครื่องแค่มีปลั๊ก GaN กำลังชาร์จ 65 วัตต์ขึ้นไปก็ต่อชาร์จแบตเตอรี่ให้ ASUS ZenBook 14 OLED UX3402Z ได้ทันที

ASUS Zenbook New DSC01802

ASUS Zenbook New DSC01804
ASUS Zenbook New DSC01803

น้ำหนักตัวเครื่องก็ถือว่าเบาพกง่ายทีเดียว โดยน้ำหนักเครื่องอย่างเดียวอยู่ที่ 1.37 กิโลกรัม ถ้ารวมกับปลั๊กน้ำหนัก 215 กรัม จะหนักเพียง 1.59 กิโลกรัมเท่านั้น จัดว่าเบาพกพาได้สะดวก และไม่มีปัญหาตัวเครื่องหนักจนไหล่ทรุดอย่างแน่นอน

Performance & Software

cpuz
ram 2

ASUS ZenBook 14 OLED UX3402Z ได้อัพเดทซีพียูในเครื่องให้ทันสมัยยิ่งขึ้นเป็น Intel Core i5-1240P แบบ 12 คอร์ (4P+8E) 16 เธรด ความเร็ว 3.3-4.4GHz สถาปัตยกรรม Alder Lake ใหม่ล่าสุดแล้ว มีค่า TDP 28 วัตต์ จับคู่กับแรมออนบอร์ด ความจุ 16GB DDR5 บัส 4800MHz ซึ่งได้ทั้งความจุและความเร็วรับส่งข้อมูลที่ดีมากพร้อมๆ กัน

gpu 1

การ์ดจอของโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้เป็น Intel Iris Xe Graphics ออนบอร์ดติดตั้งมากับซีพียู Intel Alder Lake ช่วยเรนเดอร์ภาพแสดงขึ้นบนหน้าจอ, แต่งภาพได้อย่างดีไม่มีปัญหา รองรับชุดคำสั่งหลักอย่าง OpenCL, OpenGL 4.6, DirectCompute, DirectML, Vulkan ครบถ้วน

devicemgr 2

ส่วนพาร์ทในตัวเครื่อง เมื่อเช็คด้วย Device Manager แล้ว จะเห็นว่า ASUS ZenBook 14 OLED UX3402Z ตรงตามมาตรฐาน Intel Evo ไม่ว่าจะเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่รวมกับปุ่ม Power ของ ELAN WBF การ์ด Wi-Fi PCIe รุ่น Intel AX211 เชื่อมต่อ Wi-Fi 6E มาตรฐาน 802.11ax รับคลื่น 160MHz พร้อมเชื่อมต่อ Bluetooth 5.2 ได้ในตัว มีชิป TPM 2.0 สำหรับรักษาความปลอดภัยและทำงานคู่กับ Windows 11 ติดตั้งมาด้วย

ssd 4

M.2 NVMe SSD ในเครื่องมีความจุ 512GB ขึ้นรหัสรุ่นใน Device Manager เป็น MZVL2512HCJQ-00$00/07 512GB หรือ Samsung PM9A1 เป็น SSD OEM อินเตอร์เฟสเป็น PCIe 4.0 x4 ความเร็ว Sequential Read 6,900MB/s และ Sequential Write 5,000MB/s เทียบชั้นได้กับ Samsung 980 PRO เมื่อวัดความเร็วด้วย AS SSD แล้ว ได้ความเร็ว Sequential Read 4,357.09MB/s และ Sequential Write 1,726.89MB/s ถ้าดูแล้วต้องถือว่าความเร็ว Sequential Write อาจจะน้อยอยู่นิดหน่อยไม่ค่อยสมดุลย์กับฝั่ง Read นัก แต่ถ้าใช้งานตามปกติจัดว่าไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน

ถ้าต้องการเปลี่ยน SSD ให้ความเร็วอ่านเขียนข้อมูลสูงขึ้นและวิ่งเต็มความเร็วอินเตอร์เฟส ปัจจุบันนี้ก็มีให้เลือกหลากหลายรุ่น ไม่ว่าจะ Samsung 980 PRO, WD Black SN850, Kingston KC3000 ก็ได้ จะช่วยให้โหลดโปรแกรมใหญ่ๆ และไฟล์งานออกมาใช้งานได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

r15 2
r20 2

ด้านการเรนเดอร์ 3D CG ต้องถือว่า Intel 12th Gen ก็มีประสิทธิภาพดีระดับใช้ Preview ตัวอย่างโมเดลสามมิติได้สบายๆ จากการทดสอบด้วย CINEBENCH R15 แล้ว ได้คะแนน OpenGL 91.65 fps และ CPU ที่ 1555 cb เรียกว่าประสิทธิภาพสูงไว้ใจได้ ส่วน CINEBENCH R20 ที่เน้นทดสอบกำลังการเรนเดอร์แล้ว ได้คะแนน CPU 3,667 pts นับว่ากำลังการประมวลผลของ Intel Core i5-1240P สามารถใช้ทำงานแนว 3D ได้ดีระดับหนึ่งอย่างแน่นอน

3dmark 2

ด้านการเล่นเกม จากการทดสอบด้วย 3DMark Time Spy แล้ว ASUS ZenBook 14 OLED UX3402Z สามารถทำคะแนนเฉลี่ยได้ 1,566 คะแนน และเมื่อดูผลคะแนนแยกแล้ว จะเห็นว่า CPU score ทำได้ 8,216 คะแนน ส่วน Graphics score อยู่ที่ 1,371 คะแนน ดังนั้นจึงสรุปได้ทันทีว่ากำลังการประมวลผลของ Intel Core i5-1240P นั้นดีในระดับไว้ใจได้ ส่วนการ์ดจอออนบอร์ดจัดว่าใช้ทำงานได้ แต่จะไม่เหมาะกับการเล่นเกมนัก ซึ่งเป็นเรื่องปกติของการ์ดจอ Intel Iris Xe Graphics อยู่แล้ว

pcmark10 2

ในแง่การทำงานถือว่าไว้ใจ ASUS ZenBook 14 OLED UX3402Z ได้ พอทดสอบด้วย PCMark 10 ก็ได้คะแนนรวม 5,270 คะแนน และแยกหมวดหมู่แล้วจะเห็นว่าโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้ เด่นในหมวด Essentials หรือการเปิดโปรแกรมและทำงานผ่านเว็บเบราเซอร์และประชุมออนไลน์ ส่วนการทำงานกับไฟล์เอกสารในหมวด Productivity และตัดต่อแต่งภาพอย่างหมวดทดสอบ Digital Content Creation จะทำได้ดีไล่เลี่ยกัน ยิ่งไปกว่านั้นคือการทดสอบกับโปรแกรมแต่งภาพเองก็ทำคะแนนได้ขึ้นมาระดับ 5,000 คะแนนขึ้นไปไม่ดึงผลคะแนนรวมให้ตกลงไปมากนัก ดังนั้นถ้าใครต้องแต่งภาพทำงานอาร์ตต่างๆ ก็สามารถใช้โน๊ตบุ๊คเครื่องนี้ทำงานได้เลย

zenbook14oled

ในฐานะที่ ASUS ZenBook 14 OLED UX3402Z ติดตั้ง Intel 12th Gen Alder Lake มาแล้ว ถ้านำมาเล่นเกมจะเป็นอย่างไร ซึ่งจากที่ทดสอบเล่นเกมออนไลน์ไม่กินสเปคมากอย่าง DotA 2 แล้วปรับกราฟฟิคต่ำสุด Intel 12th Gen กับ Intel Iris Xe Graphics เองก็สามารถเล่นเกมได้ดีระดับหนึ่ง พอจะทำเฟรมเรทได้เฉลี่ยเกิน 60 fps อยู่ แต่พอขยับมา PUBG ซึ่งต้องเรนเดอร์กราฟฟิคต่อเนื่องจะเกิดอาการโหลด Texture และฉากเป็นช่วงๆ ควบคู่กับอาการกระตุกชั่วเสี้ยววินาที (Struttle) เป็นระยะๆ ทำให้เฟรมเรทตกไปจนเกมค้างตั้งแต่ 1-2 วินาทีได้เลย ส่วนเกมฟอร์มยักษ์อย่าง Elden Ring ก็มีอาการเดียวกันกับโน๊ตบุ๊ครุ่นที่ใช้การ์ดจอออนบอร์ดรุ่นอื่น คือ แม้จะเปิดเกมแล้วเล่นได้ โหลดฉากไวตามปกติ ก็ยังมีอาการไม่เรนเดอร์ตัวศัตรูขึ้นมาให้เห็นอยู่

โดยสรุปแล้ว Intel 12th Gen นี้ ถ้าต้องการเล่นเกมจริงๆ ควรเล่นเกมไม่กินทรัพยากรเครื่องเยอะ, เกมเน้นใช้พลังประมวลผลของ CPU หรือเกมออนไลน์อย่าง DotA 2 เป็นหลักจะดีกว่า เพราะการ์ดจอของเครื่องนี้จัดว่าอยู่ในระดับใช้ทำงานทั่วไปได้แต่ไม่ได้เด่นเรื่องการเล่นเกมเท่านัก

main 1

oled care
oled care 2
gamut setting

ด้านโปรแกรม MyASUS สำหรับใช้ปรับตั้งค่าการทำงานของตัวเครื่อง นอกจากใช้เซ็ตโหมดการทำงาน, อัพเดทเฟิร์มแวร์ให้ตัวเครื่องและอื่นๆ ได้แล้ว ทางผู้ผลิตเองก็เพิ่มฟีเจอร์สำหรับหน้าจอ OLED เข้ามาให้ นั่นคือหมวด ASUS OLED Care เสริมฟังก์ชั่นถนอมตัวพาเนลให้อายุการใช้งานนานขึ้น ลดการ Burn-in เวลาเจ้าของเครื่องเปิดโปรแกรมใดโปรแกรมหนึ่งหรือล็อค Taskbar ค้างเอาไว้นานๆ ตัวโปรแกรมจะช่วยปรับการแสดงผลของหน้าจอโดยอัตโนมัติให้ ซึ่งผู้เขียนแนะนำให้เปิดเอาไว้ทุกหัวข้อได้เลย ส่วนหัวข้อ OLED Flicker-Free Dimming ก็ปล่อยเป็นการตั้งค่าจากโรงงานได้เลย

ด้านฟังก์ชั่นตั้งค่าการแสดงผลหน้าจอ OLED ของ ASUS ZenBook 14 OLED UX3402Z เอง ก็ถือว่าน่าสนใจเช่นกัน เพราะฟังก์ชั่นนี้จะเปลี่ยนรูปแบบการแสดงผลเป็นแบบต่างๆ ไม่ว่าจะ Normal หรือแสดงผลตามปกติ, Vivid เน้นสีสันสวยเข้มตามสไตล์พาเนล OLED หรือปรับแบบ Manual เปลี่ยนอุณหภูมิสีบนหน้าจอได้เป็นโทนอุ่นหรือเย็นมากขึ้นก็ได้โดยการเลื่อนบาร์ด้านล่างได้เลย ยิ่งใครนั่งจ้องหน้าจอทั้งวัน จะมีโหมด Eye Care ถนอมสายตาให้ใช้ด้วย โดยหน้าจอจะลดแสงสีฟ้าลงไป ช่วยให้สบายตาขึ้น

Battery & Heat & Noise

batt 2
battmon1hr

สำหรับแบตเตอรี่ความจุ 75Wh ใน ASUS ZenBook 14 OLED UX3402Z จัดว่ามีความจุเยอะเพียงพอให้เจ้าของเครื่องใช้ทำงานต่อเนื่องได้ทั้งวัน ไม่ต้องกังวลคอยหาปลั๊กชาร์จแบตเตอรี่ให้เสียจังหวะทำงานเลย ซึ่งผลการทดสอบตามมาตรฐานของเว็บไซต์ โดยลดความสว่างหน้าจอให้ต่ำสุด, ปิดไฟ LED Backlit ของคีย์บอร์ด ปรับเสียงลำโพงให้ดังเพียง 10% ใช้ Microsoft Edge ดูคลิป YouTube ต่อเนื่องว่าตัวเครื่องสามารถจัดการพลังงานได้ดีหรือไม่

ผลจากการวัดด้วย BatteryMon เมื่อดูคลิปนาน 30 นาที โชว์ว่า ASUS ZenBook 14 OLED UX3402Z เครื่องนี้สามารถใช้งานต่อเนื่องได้ 11 ชั่วโมง 36 นาที แต่พอปล่อยให้คลิปรันยาวต่อเนื่องเป็น 1 ชั่วโมง ก็ได้ระยะเวลาใช้งานนานขึ้นเป็น 12 ชั่วโมง 5 นาที มีจุดสังเกตคือ ถึงจะปล่อยให้เครื่องรันไป 30 นาทีแล้ว แต่แบตเตอรี่เครื่องยังไม่ลดลงเลยและคงไว้ 100% ได้ต่อเนื่อง และพอใช้ถึง 1 ชั่วโมง ก็ยังลดลงเพียง 9% เท่านั้น และผู้เขียนเองก็ลองนำเครื่องไปใช้ทำงานทั่วไป ใช้เว็บแอพฯ ควบคู่กับโปรแกรมทำงานเอกสารต่าง พบว่าแบตเตอรี่ลดลงช้ามากหรือแทบไม่ลดเลย คาดว่าแบตเตอรี่ 75Wh ในเครื่องน่าจะใช้ทำงานได้นานราว 15-17 ชั่วโมงเลยทีเดียว

ASUS Zenbook New DSC01809

ช่องระบายความร้อนของ ASUS ZenBook 14 OLED UX3402Z จะอยู่ฝั่งซ้ายมือของตัวเครื่อง ซึ่งมีแค่ช่องเดียวเท่านั้น เมื่อใช้งานทั่วไปอย่างการเปิดเบราเซอร์ทำงานผ่านเว็บแอพฯ และงานเอกสารทั่วไปก็ถือว่าระบายอากาศได้ดีและเงียบไม่รบกวนแม้แต่น้อย ยกเว้นเฉพาะตอนรันโปรแกรมใหญ่กินทรัพยากรเครื่องสักหน่อย เช่น Photoshop, Lightroom ก็จะได้ยินเสียงพัดลมทำงานชัดเจนขึ้นมาระดับหนึ่ง 

hwmonitor 2

ซึ่งความร้อนของตัวเครื่องเมื่อรันโปรแกรมขนาดใหญ่ดูแล้วก็ไม่ได้แผ่ไปทั่วเครื่องเหมือนโน๊ตบุ๊คบางรุ่น มากสุดตัวเครื่องก็อุ่นขึ้นเล็กน้อยใต้คีย์บอร์ดใกล้ปุ่ม WASD ออกไปทางช่องระบายความร้อน ส่วนภายในเครื่องเมื่อเช็คด้วย CPUID HWMonitor จะเห็นว่า Intel Core i5-1240P เองก็ร้อนระดับหนึ่งเลย โดยมีอุณหภูมิระหว่าง 33~99 องศา เฉลี่ย 97 องศาเซลเซียส แต่อย่างไรก็ตาม อุณหภูมิสูงสุดนี้เกิดจากการรันโปรแกรมทดสอบตัวเครื่องเพื่อเค้นดูว่า ASUS ZenBook 14 OLED UX3402Z จะมีอุณหภูมิสูงสุดระดับไหน ซึ่งตอนทดลองใช้งานจริงก็แทบไม่เจอความร้อนระดับนี้เลย ดังนั้นใครที่สนใจอยากซื้อโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้ก็ซื้อไปใช้งานได้ไม่ต้องกังวลว่าจะร้อนไป

User Experience

ASUS Zenbook New DSC01852

แง่การใช้งานจริง ต้องถือว่า ASUS ZenBook 14 OLED UX3402Z เป็นโน๊ตบุ๊ค Intel Evo ที่ดีรุ่นหนึ่ง ครบทั้งเรื่องสเปคและซอฟท์แวร์สำหรับใช้งาน แค่เปิดเครื่องแล้วล็อคอินให้เรียบร้อยก็พร้อมใช้ในทันที มีระบบปฏิบัติการ Windows 11 พร้อมกับ Microsoft Office Home & Student 2021 ติดตั้งมาครบเครื่อง ไม่ต้องจ่ายเงินค่าซอฟท์แวร์ให้เสียดายเงินเลย อาจจะน่าเสียดายเล็กน้อยว่าถ้าต้องการอัพเกรดเปลี่ยน M.2 NVMe SSD ในเครื่องให้อ่านเขียนไฟล์ได้ทันใจกว่านี้ก็ต้องยกไปศูนย์บริการให้ช่างผู้ชำนาญการจัดการให้ แต่ถ้าจัดการเปลี่ยนไดรฟ์ตั้งแต่เริ่มต้นก็ถือว่าดีไม่มีปัญหาแน่นอน นอกจากนี้ตัวเครื่องตอนใช้งานตามปกติก็ไม่ได้ร้อนจนน่ากลัวอย่างที่โปรแกรม CPUID HWMonitor โชว์แม้แต่น้อย

จุดที่ชอบนอกจากซอฟท์แวร์ครบเครื่องแล้ว ระยะเวลาใช้งานกับซีพียู Intel 12th Gen ก็จัดการพลังงานได้ดีมาก ซึ่งผู้เขียนเองก็เน้นพกติดตัวไปใช้เขียนและทำงานผ่านเว็บแอพฯ ก็ถือว่าระยะเวลาใช้งานแบตเตอรี่นั้นน่าจะใช้ได้นานกว่าผลทดสอบจาก BatteryMon แจ้งไว้ที่ 12 ชั่วโมงด้วยซ้ำ ซึ่งผู้เขียนคาดว่าน่าจะใช้งานได้ราว 15 ชั่วโมงเลย นอกจากนี้ทัชแพด ASUS NumberPad 2.0 ก็ใช้งานได้สะดวก ตอบสนองไวเหมือนใช้ Numpad ปกติ ซึ่งนักบัญชีและคนที่ต้องพิมพ์ตัวเลขบ่อยๆ น่าจะชอบฟังก์ชั่นนี้

ด้านจอไซซ์ 14 นิ้ว แต่ความละเอียดสูงระดับ 2.8K พาเนล OLED ที่ได้รับการรับรองจาก PANTONE และ VESA Display เองก็ถือว่าเป็นหน้าจอที่ดีน่าประทับใจ เพราะอัตราส่วนจอ 16:10 นั้นช่วยเพิ่มพื้นที่ในแนวตั้งมากขึ้นอีกเล็กน้อย ซึ่งผู้เขียนเองก็ใช้ทำงานด้านการเขียนและเอกสารก็เห็นบรรทัดมากขึ้น และเวลา Process ภาพถ่ายประกอบรีวิวก็ใช้หน้าจอของ ASUS ZenBook 14 OLED UX3402Z จัดการได้เลยและไม่ต้องกลัวสีเพี้ยน เพราะนอกจากขอบเขตสีกว้างแล้วค่า Delta-E <2 ไม่ต้องเสียเงินซื้อหน้าจอสำหรับทำงานอาร์ตโดยเฉพาะมาต่อเพิ่มด้วย พูดได้เลยว่าเรื่องทำงานคือจบในเครื่องเดียว

ส่วนที่ผู้เขียนเองเชื่อว่าผู้ใช้หลายๆ คนน่าจะกังวลอยู่ ว่าถ้าเป็นพาเนล OLED แล้วจะ Burn-in หรือเปล่า ในส่วนนี้เมื่อมีฟังก์ชั่น ASUS OLED Care เสริมเข้ามา ก็เปิดทิ้งเอาไว้ให้เครื่องจัดการตัวเองได้เลยไม่และประสบการณ์การใช้งานระหว่างเปิดกับไม่เปิด OLED Care นั้นก็แทบไม่ต่างกัน อย่างมากแค่ Taskbar จะถูกเปลี่ยนเป็น Auto Hide ชักซ่อนลงไปอัตโนมัติเท่านั้น เวลาจะใช้ก็ลากเมาส์ลงไปให้ Taskbar ยกขึ้นมาก็ใช้งานได้ตามปกติแล้ว ดังนั้นไม่ต้องกังวลในส่วนนี้ก็ได้

Conclusion & Award

ASUS Zenbook New DSC01853

ถ้าใครมีโจทย์หาโน๊ตบุ๊คสายทำงานดีๆ ระดับพรีเมี่ยมเอาไว้ใช้สักเครื่องแล้วอยากใช้ซีพียู Intel 12th Gen Alder Lake ด้วย ASUS ZenBook 14 OLED UX3402Z จัดเป็นตัวเลือกที่ไม่ควรมองข้ามเลย เนื่องจากซอฟท์แวร์ครบเครื่องพร้อมใช้งาน หน้าจอสีสันสวยเที่ยงตรงพร้อมฟังก์ชั่นถนอมพาเนลหน้าจอให้ใช้งานได้นาน ไม่เสื่อมไม่ Burn-in อีก ป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเมื่อใช้งานไปนานๆ ได้อย่างอยู่หมัด ผู้ใช้ก็สบายใจไม่ต้องกังวลเรื่องนี้เลย นอกจากนี้ลำโพงยังเสียงดีน่าใช้อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ถ้าใครอยากให้โน๊ตบุ๊คเครื่องนี้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ก็แนะนำให้ยกเครื่องพร้อม M.2 NVMe SSD อินเตอร์เฟส PCIe 4.0 ดีๆ สักตัวไปให้ศูนย์บริการถอดเปลี่ยนอัพเกรดก็พอแล้ว จะได้ดึงประสิทธิภาพของตัวเครื่องออกมาได้เต็มที่และเอา SSD ตัวเดิมไปทำเป็น External SSD ไว้เซฟงานเลย เพราะถ้าอัพเกรดส่วนนี้เสร็จก็ถือว่าสมบูรณ์แบบแล้วและใช้งานได้อย่างน้อย 3-4 ปีอย่างแน่นอน

award

award new Battery Life

best battery life

แบตเตอรี่ความจุ 75Wh เมื่อจับคู่กับ Intel Core i5-1240P ก็ใช้งานต่อเนื่องได้นานสุดถึง 12 ชั่วโมง และอาจจะได้ถึง 15-17 ชั่วโมงทีเดียว และรองรับการต่อพอร์ตแยกและชาร์จแบตเตอรี่ผ่าน Thunerbolt 4 ได้อีก ทำให้เจ้าของเครื่องใช้งานได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องแบตเตอรี่จะหมดตอนประชุมสำคัญ โน๊ตบุ๊คเครื่องนี้จึงเหมาะกับรางวัล Best Battery Life โดยไม่ต้องสงสัย

award new Design

best design

ASUS ZenBook 14 OLED UX3402Z เครื่องนี้ได้ดีไซน์ฝาหลังเครื่องดูล้ำอนาคตสวยงามยิ่งขึ้น แต่ก็ใส่ฟีเจอร์ดีๆ มาให้ครบไม่ว่าจะ ASUS NumberPad 2.0 และบานพับหน้าจอแบบ ErgoLift hinge ทำให้เจ้าของเครื่องทำงานได้สะดวกขึ้น จัดว่าได้ทั้งความสวยและฟังก์ชั่นการใช้งานพร้อมๆ กัน จึงคู่ควรกับรางวัล Best Design อย่างแน่นอน

award new multi media

best multimedia

หน้าจอขนาด 14 นิ้ว ความละเอียด 2.8K พาเนล OLED อัตราส่วน 16:10 ใช้ทำงานสะดวก พรู้ฟสีได้สบายเพราะขอบเขตสีกว้างระดับ 100% DCI-P3 พร้อม ASUS OLED Care และลำโพงตัวเครื่องมี Smart Amp ติดตั้งมาอีก ทำให้ทำงานได้ดีหรือจะดูหนังฟังเพลงก็ดีงามทั้งคู่ จึงเหมาะกับรางวัล Best Multimedia มาก

from:https://notebookspec.com/web/647753-review-asus-zenbook-14-oled-ux3402z

เกมมิ่งโน๊ตบุ๊ค 2022 ต้องมี NVIDIA GeForce RTX เพิ่มเทคโนโลยีใหม่ เล่นเกมเฟรมเรตลื่น

เกมมิ่งโน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่ 2022 ขุมพลัง GeForce RTX 30 series เพิ่มเทคโนโลยี เพื่อคอเกมและนักสร้างคอนเทนต์

GeForce NB cov3

เกมมิ่งโน๊ตบุ๊ค จะให้เล่นเกมได้ลื่นไหล กราฟิกการ์ดหรือการ์ดจอที่ใช้ ก็ต้องแรงสั่งได้ โดยเฉพาะโน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่ที่เปิดตัวกันมาแบบครบไลน์ เกือบทุกค่าย ด้วยเทคโนโลยีใหม่ ไม่ว่าจะเป็นซีพียู Intel Gen 12 หรือแรม DDR5 ที่เรียกว่าประสิทธิภาพร้อนแรงไม่น้อยเลย กับสนนราคาที่จับต้องได้ง่ายขึ้น นอกจากองค์ประกอบเหล่านี้แล้ว สิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากันสำหรับคอเกม นั่นคือ กราฟิกการ์ดหรือ GPU ที่ติดตั้งมาบนเกมมิ่งโน๊ตบุ๊คในแต่ละรุ่นจากค่าย NVIDIA ที่เวลานี้จัดทัพ GeForce RTX 30 series ลงโน๊ตบุ๊คในกลุ่มเกมมิ่ง ให้ได้สัมผัสกันในทุกกลุ่ม และมาพร้อมเทคโนโลยีที่ช่วยให้การเล่นเกมลื่นไหลมากขึ้น อย่างเช่น DLSS และ Ray-tracing รวมถึง Max-Q รวมไปถึงผู้ใช้งานด้านสตูดิโอ

จัดได้ว่าเกมมิ่งโน๊ตบุ๊คในปัจจุบันหลายรุ่น มาพร้อมกราฟิก NVIDIA GeForce RTX 30 series ที่ครบเครื่องในแง่ของการตอบสนองการเล่นเกมได้เป็นอย่างดี ด้วยกราฟิกเริ่มต้นอย่าง RTX 3050 น้องเล็ก แต่คุณสมบัติไม่ได้เล็กตาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความเร็วและ CUDA core สำหรับการประมวลผล และเล่นเกมในระดับ FHD ได้ลื่นไหล ตามมาด้วย RTX 3050 Ti, RTX 3060 สำหรับเกมมิ่งโน๊ตบุ๊คระดับกลาง เพื่อเกมเมอร์ที่เริ่มต้นจริงจังกับการเล่นเกมที่ต้องการชัยชนะมากขึ้น RTX 3070, RTX 3070 Ti, RTX 3080 และกราฟิกท็อปสุด เพื่อฮาร์ดคอร์เกมเมอร์ ที่ชื่นชอบในการเล่นเกมเป็นชีวิตจิตใจ กระหายในชัยชนะ และเฟรมเรตที่ลื่นไหล โดยเฉพาะ RTX 3080 Ti ที่พร้อมให้การเกมสุดโปรดได้ลื่นไหล ด้วยเทคโนโลยีมากมาย ที่ติดตั้งอยู่ในกราฟิก NVIDIA GeForce RTX 3000 series นี้ โดยที่เกมมิ่งโน๊ตบุ๊คที่ใช้กราฟิก GeForce RTX 3050 Ti ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 30,000 บาทเท่านั้น

Advertisementavw
เกมมิ่งโน๊ตบุ๊ค

เกมมิ่งโน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่ 2022 ขุมพลัง GeForce RTX 30 series

การ์ดจอโน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่

โดยโน๊ตบุ๊คโมเดลใหม่ สำหรับเกมเมอร์และงานสตูดิโอ ที่มาพร้อมกับกราฟิก GPU ในรุ่น RTX30 series พร้อมซีพียู Intel Gen 12 รุ่นใหม่ ได้เริ่มเปิดตัวไปในช่วงเดือน กุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี้ โดยมีกราฟิก GeForce RTX 3080 Ti และ RTX 3070 Ti มาพร้อมกับฟีเจอร์มากมาย ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นเกมและงานด้านสตูดิโอในปัจจุบัน

GeForce RTX 3080 Ti บนโน๊ตบุ๊ค
ต้องถือว่าเป็นกราฟิกเรือธงของค่าย ในคลาสของ 80 Ti ที่จัดว่าเป็นขั้นสุดของการ์ดจอบนเกมมิ่งโน๊ตบุ๊คในเวลานี้ ซึ่งเพียบพร้อมไปด้วยขุมพลังอย่าง GDDR6 16GB ให้ประสิทธิภาพเทียบเท่าหรือดีกว่า TITAN RTX บนเครื่องเดสก์ทอปเลยทีเดียว

GeForce RTX 3070 Ti บนโน๊ตบุ๊ค
เป็นกราฟิกในคลาสของ Ti ล่าสุดของค่าย NVIDIA ที่เพิ่มเติมเข้ามาในตลาดโน๊ตบุ๊ค โดยที่ GeForce RTX 3070 Ti นี้ ให้ความเร็วได้ดีกว่า GeForce RTX 2070 SUPER ในรุ่นก่อนหน้านี้ถึง 70% โดยที่กราฟิกนี้ ออกแบบมาเพื่อผู้ใช้ที่ต้องการประสิทธิภาพและความสวยงามในการเล่นเกมบนความละเอียด 1440p และราคาที่ไม่สูงเกินไปนัก

เกมมิ่งโน๊ตบุ๊ค

โดยในปัจจุบันโน๊ตบุ๊คที่ใช้กราฟิก GeForce RTX 3070 Ti และ GeForce RTX 3080 Ti ได้ทะยอยลงสู่ตลาดกันเกือบครบทุกค่ายแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Alienware, ASUS, MSI, Acer, Lenovo หรือ HP เป็นต้น


เทคโนโลยี Max-Q เจนเนอเรชั่นที่ 4

แต่กราฟิกในอีกเวอร์ชั่นหนึ่งที่น่าสนใจ และได้การตอบรับที่ดีจากเกมเมอร์ในท้องตลาด นั่นคือ Max-Q ซึ่งเป็นกราฟิกที่มีความพิเศษ และได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง จนถึงปัจจุบันนับเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 4 แล้ว ด้วยการเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการปรับปรุงด้วยระบบ AI เพื่อให้การเล่นเกมหรืองานด้านการสร้างคอนเทนต์มีความลงตัวมากขึ้น ภายใต้รูปลักษณ์ที่บางเบาของโน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่ในปัจจุบัน พร้อมกับคุณสมบัติที่น่าสนใจอีกมากมาย อาทิ

CPU Optimizer

เกมมิ่งโน๊ตบุ๊ค

เป็นการแชร์การใช้พลังงานระหว่าง CPU และ GPU โดยที่พลังของซีพียูนั้น เป็นสิ่งสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผล เทคโนโลยีนี้ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพของ GPU มากขึ้น ลดอุณหภูมิและการใช้พลังงานลง ทำให้ซีพียูทำงานได้ไหลลื่น โดยที่มีการแชร์ระดับพลังงานที่ใช้บน CPU และ GPU ตามความเหมาะสมกับแอพพลิเคชั่นและเกมที่ใช้ เพื่อให้โน๊ตบุ๊คมีประสิทธิภาพสูงสุดทั้งในการเล่นเกม และงานด้านสตูดิโอ สำหรับนักสร้างคอนเทนต์ รวมถึงผู้ใช้ซอฟต์แวร์มืออาชีพ

Rapid Core Scaling

เกมมิ่งโน๊ตบุ๊ค

เทคโนโลยีที่ออกแบบมาเพื่อให้ GPU เรียนรู้การทำงานร่วมกับแอพพลิเคชั่นในด้านการออกแบบ และงานในด้าน Content Creator ในการดึงศักยภาพการประมวลผลร่วมกับซอฟต์แวร์ในแบบเรียลไทม์ โดยสามารถดึงพลังของแกนหลักให้มีความถี่สัญญาณที่สูงมากขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน รวมถึงการปรับปรุงการใช้พลังงานไปพร้อมๆ กัน ทำให้งานลื่นไหล และยังใช้งานแบตเตอรี่ได้อย่างสอดคล้อง

Battery Boost 2.0

เกมมิ่งโน๊ตบุ๊ค

อีกสิ่งหนึ่งที่มีอยู่บน Max-Q Gen 4 ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้โน๊ตบุ๊คได้สัมผัสประสิทธิภาพในการเล่นเกมได้ดียิ่งขึ้น แม้จะไม่ต้องต่อสายชาร์จไฟอยู่ก็ตาม โดย Battery Boost 2.0 ได้รับการออกแบบมาใหม่ ด้วยการให้ AI เป็นตัวควบคุมการทำงานทั้งแพลตฟอร์ม ในการตรวจเช็คและหาสมดุลที่เหมาะสมของการใช้พลังงานบน CPU และ GPU รวมถึงการใช้พลังงานของแบตเตอรี่ ภาพที่แสดงผลและอัตราเฟรมเรต ทำให้ได้ความสามารถที่เหมาะสมในการเล่นเกม ความลื่นไหล รวมถึงระยะการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนาน เพื่อให้เกมเมอร์สามารถสนุกกับการเล่นเกมโปรดในที่ต่างๆ ได้ต่อเนื่อง

  • Whisper Mode การใช้อัลกอริทึมของ AI เพื่อจัดการความเร็วรอบของพัดลมซีพียูและ GPU และซีพียู ให้พัดลมทำงานตามความเหมาะสม แต่ให้ประสิทธิภาพที่ดี ไม่ให้เกิดเสียงรบกวนในขณะที่เล่นเกม
  • Advance Optimus ให้อายุการใช้งานของแบตได้ยาวนานขึ้น และเล่นเกมร่วมกับ G-Sync ได้แบบไม่สะดุด
  • ปรับขนาดของบัฟเฟอร์ได้ โดยให้ซีพียูเข้าถึงเฟรมบัฟเฟอร์ของ GPU ทั้งหมดได้ในครั้งเดียว ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการเล่นเกมในหลายๆ เกมได้ดียิ่งขึ้น
  • ให้รูปแบบการเล่นเกมที่ดีที่สุด ด้วยการหาสมดุลที่ดีที่สุดของระบบ หลังจากนั้น ปรับสมดุลของประสิทธิภาพและคุณภาพของภาพที่ดีที่สุด
  • Dynamic Boost เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนามาอีกระดับ โดยที่โน๊ตบุ๊คจะทำหน้าที่แชร์การใช้พลังงานระหว่างซีพียูและกราฟิก NVIDIA GeForce Max-Q นี้ ตัวอย่างเช่น ในกรณีที่เล่นเกมแล้วใช้การ์ดจอหนักขึ้น ก็จะถ่ายพลังงานไปที่การ์ดจอมากกว่า และในทางกลับกัน หากใช้ซีพียูเพิ่มขึ้น ก็จะแชร์พลังงานกลับไปที่ซีพียู ดังนั้นจึงให้ประสิทธิภาพที่ดี ในขณะที่ใช้พลังงานเท่าเดิมนั่นเอง
  • ให้คุณปรับตั้งค่าการเล่นที่เหมาะสมที่สุด ด้วยการค้นหาสมดุลของประสิทธิภาพและความสวยงามของภาพที่ดีที่สุด จากนั้นกำหนดเป็นค่าที่ต้องการได้อัตโนมัติ เพื่อให้เข้ากับ ซีพียู กราฟิกการ์ดและจอแสดงผลที่ใช้
  • DLSS ให้การเรนเดอร์ด้วย AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นเกมให้สูงขึ้น ด้วยศักยภาพสูงสุดของกราฟิก

NVIDIA Studio

เป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยยกระดับการสร้างสรรค์ผลงาน สำหรับงานในระดับมืออาชีพ ไม่ว่าจะเป็นงานตัดต่อวีดีโอ, การเรนเดอร์ภาพกราฟิก 3D งานตกแต่งสตูดิโอและงานภาพถ่าย รวมถึงงานกราฟิก ออกแบบ สถาปัตยกรรม และการ Broadcast ด้วยการใช้เวลาในการเรนเดอร์งานที่สั้นลง เช่นเดียวกับการปรับแต่งสีและแก้ไขภาพ แม้จะเป็นโน๊ตบุ๊ค แต่ก็ตอบสนองในงานเหล่านี้ได้ดี และสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจากไดรเวอร์ NVIDIA Studio ที่ได้รับการพัฒนา ให้เข้ากับซอฟต์แวร์ และการปรับแต่งการทำงานของฮาร์ดแวร์ ให้เข้ากับแอพพลิเคชั่นเหล่านั้น ลดความซ้ำซ้อนในการทำงาน และเพิ่มความเร็วให้กับกระบวนการของงาน ลดความยุ่งยาก โดยไดรเวอร์ Studio นี้ ผ่านการทดสอบมาเป็นอย่างดี เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการทำงาน

เกมมิ่งโน๊ตบุ๊ค

สามารถดาวน์โหลดไดรเวอร์ล่าสุดได้ที่นี่ nVIDIA Driver Studio


เกมมิ่งโน๊ตบุ๊คขุมพลัง GeForce RTX

MSI GS66 Stealth 12UGS-254TH

เกมมิ่งโน๊ตบุ๊ค

เกมมิ่งโน๊ตบุ๊คในระดับพรีเมียม ที่มาพร้อมขุมพลัง Intel Core i9-12900H และกราฟิก GeForce RTX 3070 Ti GDDR6 8GB และแรมระบบที่มีมากถึง 32GB ในแบบ DDR5 4800 เพื่อการเล่นเกมในระดับฮาร์ดคอร์ และตอบโจทย์กลุ่มผู้ใช้ในงานออกแบบ และสร้างคอนเทนต์ ด้วยหน้าจอแสดงผล 15.6″ ความละเอียดระดับ UHD 4K (3840 x 2160) จอแสดงผลที่มาพร้อมเทคโนโลยี True Color ปรับโหมดภาพได้ตามต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเกม ดูหนัง ท่องอินเทอร์เน็ต หรือทำงานก็ตาม ดีไซน์บอดี้ที่ออกแบบมาอย่างสวยงาม ทันสมัย ให้ความบางกระชับ แต่มีการระบายความร้อนอันน่าทึ่ง ด้วยเทคโนโลยี Cooler Boost Trinity+ และพัดลมที่บางเป็นพิเศษ ช่วยให้การใช้งานในแต่ละวันของคุณเต็มไปด้วยประสบการณ์ในการใช้งานเต็มเปี่ยว ทั้งในเรื่องของ การแสดงผล ประสิทธิภาพ และการพกพา ด้วยน้ำหนักเพียง 2.1 กิโลกรัมเท่านั้น

ข้อมูลเพิ่มเติม: MSI


Asus ROG Strix Scar 15 G543ZX

เกมมิ่งโน๊ตบุ๊ค

เป็นเกมมิ่งโน๊ตบุ๊คอีกหนึ่งรุ่นในสไตล์ที่ล้ำสมัย ใส่เทคโนโลยีมาแบบไม่กั๊กกับพลังในการเล่นเกมและงานด้านคอนเทนต์เต็มพิกัด ภายใต้รูปลักษณ์ที่ดูสวยงาม และบอดี้ที่บางลง ปรับแต่งความสวยงามให้เข้ากับสไตล์ของคุณด้วยแสงไฟ RGB ที่มีทั้งบนคีย์บอร์ดที่เป็นแบบ Per-key RGB และด้านใต้ของโน๊ตบุ๊ค ให้พลังในการประมวผลด้วยซีพียู Intel Core i9-12900H ความเร็วสูงสุด 5.0GHz และมีกราฟิกตัวแรงจาก NVIDIA GeForce RTX 3080 Ti ในการรีดเฟรมเรตให้กับเกมที่เล่นได้อย่างลื่นไหล พร้อมด้วย VRAM GDDR6 16GB เพิ่มความสบายตาให้กับการเล่นเกม และการสร้างคอนเทนต์ของคุณ บนหน้าจอแบบ IPS ให้ค่าขอบเขตสี sRGB 100% และรีเฟรชเรตสูงถึง 300Hz และมีแรมระบบ DDR5 4800 16GB มาให้ รองรับการอัพเกรดได้อีกด้วย พอร์ตความเร็วสูง Thunderbolt 4 ก็มีมาให้ โดยที่น้ำหนักอยู่ที่ 2.3 กิโลกรัมเท่านั้น

ข้อมูลเพิ่มเติม: ASUS


Asus TUF Gaming F15 FX507ZR

เกมมิ่งโน๊ตบุ๊ค

เกมมิ่งโน๊ตบุ๊ค ที่มาพร้อมดีไซน์ดุดัน เน้นพลังในการเล่นเกม และรองรับการทำงานในการสร้างคอนเทนต์ ด้วยบอดี้ที่ทนทาน มาตรฐาน MIL-STD 810 ให้การใช้งานได้ยาวนาน และการพกพาใช้นอกสถานที่ โดยมีพอร์ต Thunderbolt 4 มาให้ เพื่อความหลากหลายในการใช้งาน ทั้งในแง่ของการชาร์จไฟ ถ่ายโอนข้อมูลที่รวดเร็ว รวมถึงเพิ่มช่องทางการแสดงผลบนหน้าจอขนาดใหญ่ แต่ดีไซน์ให้บอดี้บางลง เพื่อความสะดวกต่อการเคลื่อนย้าย โดยมีหน้าจอแสดงผล 15.6″ มาให้ พร้อมอัตรารีเฟรชเรตสูงถึง 300Hz ที่เอาใจเกมเมอร์มืออาชีพ ใช้ขุมพลังจากซีพียู Intel Core i7-12700H และทีเด็ดอยู่ที่กราฟิก GeForce RTX 3070 GDDR6 8GB ให้การเล่นเกมที่ลื่นไหล ไม่สะดุด และฟีเจอร์ที่รองรับการทำงานร่วมกับซอฟต์แวร์ Content Creator เพิ่มความสวยงามด้วยแสงไฟ RGB บนคีย์อร์ด ปรับแต่งได้ผ่านทางซอฟต์แวร์ Aura Sync และระบบจัดการกราฟิก MUX Switch + Optimus มาให้ น้ำหนักเพียง 2.2 กิโลกรัม

ข้อมูลเพิ่มเติม: ASUS


MSI GE66 Raider 12UGS-073TH

เกมมิ่งโน๊ตบุ๊ค

เกมมิ่งโน๊ตบุ๊คที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีและดีไซน์ที่โดดเด่น พร้อมขุมพลัง Intel Core i7-12700H และกราฟิก GeForce RTX 3070 Ti GDDR6 8GB ที่ให้ผู้ใช้ได้เต็มอิ่มไปกับการเล่นเกมที่ลื่นไหล และรับชมภาพที่สวยงาม บนหน้าจอ IPS 15.6″ ความละเอียด Full-HD แต่อัตรารีเฟรชเรตที่สูงถึง 360Hz กับขอบเขตสีที่กว้าง ให้ความแม่นยำ รองรับการใช้งานบนซอฟต์แวร์ในกลุ่มนักสร้างคอนเทนต์ได้ดี มีเทคโนโลยี Dynamic Boost 2.0 ที่จัดการพลังงานและเร่งอัตราบูสท์ความเร็วให้กับ CPU และ GPU ได้ตามความเหมาะสมของซอฟต์แวร์และเกมที่เล่น โดยระบายความร้อนได้ดีผ่านทาง Cooler Boost 5 เพิ่มความสวยงามด้วยแสงไฟ RGB ที่ปรับแต่งได้ตามใจ พร้อมพอร์ตความเร็วสูงสำหรับงานมืออาชีพ Thunderbolt 4 มาให้อีกด้วย

ข้อมูลเพิ่มเติม: MSI


Promotion

โปรโมชั่นเด็ด เกมมิ่งโน๊ตบุ๊ค

  • ASUS VIVOBOOK PRO 15 OLED D3500QC-L1701WS ราคา 27,990 บาท
  • ASUS VIVOBOOK PRO 15 OLED D3500QC-L1901WS ราคา 40,990 บาท
  • GIGABYTE G5 GD 51TH123SO ราคา 27,990 บาท
  • GIGABYTE G5 MD 51TH123SO – RTX 3050 Ti ราคา 29,990 บาท
  • MSI RAIDER GE66 12UGS-070TH ราคา 92,990 บาท
  • MSI STEALTH GS66 12UGS-087TH ราคา 92,990 บาท
  • MSI RAIDER GE66 12UGS-073TH ราคา 83,990 บาท
  • MSI KATANA GF66 12UC-024TH ราคา 40,990 บาท
  • MSI KATANA GF66 12UD-027TH ราคา 42,990 บาท
  • MSI KATANA GF76 11UC-477TH ราคา 33,990 บาท
  • MSI SWORD 15 A12UD-039TH ราคา 44,990 บาท
  • MSI KATANA GF76 12UE-021TH ราคา 52,990 บาท
  • MSI GF63 THIN 10SC-831TH ราคา 24,990 บาท
  • MSI KATANA GF66 11UC-1243TH ราคา 29,990 บาท
  • MSI KATANA GF66 12UD-026TH ราคา 43,990 บาท

สามารถหาซื้อเกมมิ่งโน๊ตบุ๊คขุมพลัง NVIDIA GeForce RTX 30 series ได้ที่

JIB

ADVICE

IT City

from:https://notebookspec.com/web/648543-gaming-notebook-2022-geforce-rtx

หน้าจอโน๊ตบุ๊คไม่ติด แต่เครื่องทำงาน 10 วิธีเช็ค แก้ไขใน 30 นาที ก่อนส่งซ่อม

หน้าจอโน๊ตบุ๊คไม่ติด แต่เครื่องทำงาน แก้ไขได้เอง ไม่มีค่าใช้จ่าย ปี 2022

หน้าจอโน๊ตบุ๊คไม่ติด แต่เครื่องทำงาน

หน้าจอโน๊ตบุ๊คไม่ติด แต่เครื่องทำงาน บางครั้งก็ค้างก่อนจะดับไปในปี 2022 อาการแบบนี้ จะทำให้คุณไม่สามารถใช้งานใดๆ ได้เลย เนื่องจากมองไม่เห็นว่าจะเข้าไปคลิ๊ก หรือเริ่มต้นแก้ไขจากส่วนไหน วันนี้เรามี 10 ขั้นตอนในการบรรเทาอาการหรือแก้ไขปัญหาเหล่านี้มาฝากกัน โดยขั้นตอนต่างๆ ที่เรานำมาแนะนกันในวันนี้ผู้ใช้ในระดับเริ่มต้นก็สามารถทำตามได้ รวมไปถึงแนวทางในการวิเคราะห์ปัญหาและการแก้ไขแบบลงลึกมากขึ้น ในระดับฮาร์ดแวร์ สำหรับผู้ที่มีความรู้หรือคุ้นกับการแกะโน๊ตบุ๊คกันมาบ้าง แต่คงต้องบอกเอาไว้ก่อนว่า หากเป็นปัญหาเบื้องต้นทั่วไป บางครั้งแก้ไขแล้วยังไม่ได้ คนที่มีโน๊ตบุ๊คที่มีประกันอยู่ ควรส่งเคลมเพราะจะมีช่างที่ชำนาญในการตรวจเช็คให้คุณได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาคาดเดาด้วยตัวเอง ส่วนถ้าโน๊ตบุ๊คหมดประกันแล้ว ก็ลองเริ่มตั้งแต่ขั้นตอนแรกกันได้เลยครับ

หน้าจอโน๊ตบุ๊คไม่ติด แต่เครื่องทำงาน แก้ไขได้ปี 2022

  1. เช็คดูว่าเครื่องทำงานหรือไม่
  2. ต่อสายสัญญาณออกจอนอก
  3. ขยับบานพับหน้าจอ
  4. ปรับเลื่อนความสว่างของจอภาพ
  5. ลงไดรเวอร์ใหม่
  6. เข้า Safe mode ดูสักรอบ
  7. เช็คปุ่ม Power
  8. แกะและขยับสายสัญญาณ
  9. ทำความสะอาด
  10. ส่งเคลมประกัน ส่งซ่อม
  11. Conclusion

1.เช็คดูว่าเครื่องทำงานหรือไม่

เพื่อให้มั่นใจว่าอาการที่เกิดขึ้น เป็นจากจอโน๊ตบุ๊คเพียงอย่างเดียว ไม่ได้เกี่ยวกับระบบ เพราะด้วยที่จอดำมืด ก็ไม่เห็นว่า Windows กำลังทำงานอยู่หรือไม่ วิธีง่ายๆ ในการเช็คว่าระบบยังทำงานอยู่หรือเปล่า เบื้องต้นให้สังเกตแสงไฟ LED ที่อยู่บนตัวเครื่อง ยิ่งเป็นรุ่นที่มีไฟสถานะของ ระบบและ Storage หากยังทำงานอยู่ ส่วนใหญ่จะมีจังหวะกระพริบอยู่เรื่อยๆ แต่หากดับไปเลยหรือไฟฮาร์ดดิสก์ค้างอยู่นานๆ อาจจะหมายความว่า วินโดว์ไม่ทำงาน หรือเครื่องเปิดไม่ติดตั้งแต่แรกแล้ว ก็ต้องใช้มาตรการอื่นในการตรวจเช็คและแก้ไขต่อไป อีกจุดหนึ่งก็คือ แสงไฟบนคีย์บอร์ด ส่วนใหญ่ระบบต้องเริ่มทำงาน หรือเข้าวินโดว์ได้แล้ว จึงจะใช้งานปรับระดับแสงไฟหรือเปิด-ปิดการทำงานได้ สังเกตได้เวลาที่เรากดปุ่มแสงไฟคีย์บอร์ดจะต้องทำงาน

Advertisementavw
หน้าจอโน๊ตบุ๊คไม่ติด แต่เครื่องทำงาน

และถ้าคาดเดาอาการได้ว่า ระบบไม่ทำงานอยู่ด้วย ให้ลองกดปุ่มเพาเวอร์ค้างไว้ ประมาณ 5-7 วินาที ซึ่งหากระบบที่ใช้อยู่เป็นฮาร์ดดิสก์ เราจะพอสัมผัสได้ว่าฮาร์ดดิสก์ตัดการทำงาน จะมีอาการคือ เหมือนเสียงจะหยุดไปเบาๆ แต่อาจไม่ใช่เสมอไป เพราะบางครั้งระบบเปิดขึ้น แต่เข้าหน้าจอ Boot เฉยๆ แต่ไม่เข้าวินโดว์ก็เป็นได้ จากนั้นให้กดปุ่มเพาเวอร์อีกครั้ง เพื่อลองดูว่าไฟติด เพาเวอร์ติด และมีสัญญาณเข้าหน้าจอหรือไม่


2.ต่อสายสัญญาณออกจอนอก

หน้าจอโน๊ตบุ๊คไม่ติด แต่เครื่องทำงาน

ถ้าในกรณีที่หน้าจอยังดำมืด เปิดแล้วมีไฟฮาร์ดดิสก์ หรือ Storage ยังติดอยู่ และมีการกระพริบเป็นจังหวะ อาจใช้วิธีต่อสายสัญญาณออกไปยังจอตัวอื่น ซึ่งอาจขอยืมจอคอมของเพื่อนๆ มาใช้ลองก่อนได้ก็ยิ่งดี จะเป็นจอที่ใช้พอร์ต HDMI หรือ D-Sub ก็ขึ้นอยู่กับโน๊ตบุ๊คที่คุณใช้อยู่ และลองปิดโน๊ตบุ๊ค จากนั้นต่อสายสัญญาณจากพอร์ต HDMI จากโน๊ตบุ๊คไปยังจอที่นำมาทดสอบ หากระบบยังทำงาน แต่จอโน๊ตบุ๊คอาจจะเสีย ก็จะยังมีสัญญาณส่งไปยังจอที่ต่อเพิ่มเข้ามา หรือจะกดปุ่ม Win+P อีกครั้ง เพื่อเรียกการทำงานของ Screen settings ในการส่งสัญญาณภาพออกไปนั่นเอง และเมื่อเข้าไปได้แล้ว ก็หาวิธีในการจัดการไฟล์หรือแก้ไขสิ่งต่างๆ ให้เรียบร้อย เช่น ไดรเวอร์หรือการตั้งค่าของจอหลักของโน๊ตบุ๊คให้กลับมาทำงานได้อีกครั้ง


3.ขยับบานพับหน้าจอ

หน้าจอโน๊ตบุ๊คไม่ติด แต่เครื่องทำงาน

การขยับบานพับของหน้าจอโน๊ตบุ๊ค ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ควรจะต้องลองทำดู เพราะในบางครั้งอาจเกิดจากความเสียหายหรือข้อต่อสายสัญญาณของจอภาพหลวม อันเนื่องมาจากใช้งานมานานหรือเกิดแรงกระแทก และการใช้งานอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่ต้องทำก็คือ การกดปุ่มเพาเวอร์ เพื่อให้โน๊ตบุ๊คเริ่มทำงาน แต่สิ่งนี้ต้องย้ำก่อนว่า โน๊ตบุ๊คต้องทำงานได้ เข้าสู่ระบบหรือ Windows ได้ตามปกติ จากนั้นให้ลองกางปรับมุมก้ม-เงยของหน้าจอทีละนิด เพราะอาจจะมีบางช่วงที่ทำให้หน้าจอติดสว่างขึ้นมาได้ ซึ่งก็จะทำให้ใช้งานได้ชั่วขณะ เช่น การสำรองข้อมูลไฟล์งาน หรือการเชื่อมต่อ เพื่อทำธุรกรรมได้ชั่วคราว ซึ่งอย่างน้อยก็ช่วยให้คุณทำงานต่อได้ และพอจะรู้ว่าปัญหาเกิดจากสิ่งใด จนกว่าจะนำเครื่องไปซ่อม ดีกว่าเปิดหน้าจอไม่ได้เลย ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ จนกว่าจะซ่อมโน๊ตบุ๊คเสร็จสิ้น


4.ปรับเลื่อนความสว่างของจอภาพ

หน้าจอโน๊ตบุ๊คไม่ติด แต่เครื่องทำงาน

หากคิดว่าเราสามารถเข้ามาสู่ระบบได้แล้ว หรือวินโดว์ทำงานปกติ แต่จอยังมืด ไม่มีการแสดงผล อาจเกิดากหน้าจอลดประสิทธิภาพลง หรือเกิดความผิดพลาดในเรื่องของแสงจากหน้าจอ ให้ลองกดปุ่มสัญญาณรูปดวงไฟหรือแสงอาทิตย์บนหน้าจอดูก่อน โดยให้กดที่ปุ่มเพิ่มแสง ซึ่งบางครั้งอาจจะต้องกดปุ่ม fn+เพิ่มแสงไปพร้อมๆ กัน บางรุ่นอาจจะอยู่ในคีย์ด้านบนที่เป็น F7, F8 แต่ก็อาจจะต่างกันออกไป ตามรุ่นหรือซีรีส์ การกดให้กดปุ่มย้ำๆ บางครั้งอาจจะสว่างขึ้นมาใช้งานได้ แต่บางทีก็เกิดปัญหาคือ หน้าจอเสื่อมสภาพ หรือเสียหาย ก็อาจจะขึ้นมาเพียงเป็นหน้าจอสีขาวหรือดำเท่านั้น แต่นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้คุณทราบปัญหา และมีแนวทางแก้ไขกันต่อไป


5.ลงไดรเวอร์ใหม่

แต่บางครั้งปัญหาของหน้าจอโน๊ตบุ๊คไม่ติด แต่เครื่องทำงาน ก็กลายเป็นว่าเกิดจากสาเหตุที่ดูง่ายๆ เพียงเท่านั้น เพราะเมื่อเราได้ลองแก้จากวิธีด้านบน 2-3 ข้อ ด้วยการขยับหน้าจอหรือการปรับแสงเพิ่มขึ้นมา ก็ทำให้หน้าจอสว่างขึ้น และใช้งานได้ตามปกติ เพียงแต่อาจจะไม่เต็มร้อยเปอร์เซนต์ แต่ก็มากพอที่จะทำให้เราใช้งานได้ชั่วคราวแล้ว แต่บางครั้งก็จะมาในรูปแบบของซอฟต์แวร์เกิดปัญหาในระหว่างการใช้งาน เช่นถูกลบไดรเวอร์ไป หรืออาจเกิดจากชิปเซ็ตเริ่มมีปัญหา หากเข้าสู่วินโดว์ได้แล้ว และหน้าจอสว่างพร้อมใช้งาน เพียงแต่ไม่ทำงานในแบบ Native หรือแสดงผลในแบบ HD เท่านั้น รวมถึงในส่วนของ Device manager ก็จะแจ้งว่า Display Adapter ไม่เจอการ์ดจอนั่นเอง ให้ลองปรับแก้ในเบื้องต้นดังนี้

หน้าจอโน๊ตบุ๊คไม่ติด แต่เครื่องทำงาน

Windows Update: ให้เข้าไปที่การอัพเดตวินโดว์ ตามขั้นตอนนี้ คลิ๊กขวาที่โลโก้ Windows หรือกดปุ่ม Win+X จากนั้นเลือก Windows Update > Update หรือเลือก Optional แล้วใส่เครื่องหมายหน้าตัวเลือกไดรเวอร์ที่มีอยู่ จากนั้น Install และรีสตาร์ทตามปกติ

หน้าจอโน๊ตบุ๊คไม่ติด แต่เครื่องทำงาน

Device manager: ให้คลิ๊กขวาที่โลโก้ Windows ที่มุมล่างซ้ายของหน้าจอ เช่นเดียวกับขั้นตอนเมื่อสักครู่ จากนั้นเลือก Device Manager แล้วไปที่ Display Adapter > Update Driver > เลือก Browse my computer for drivers หรือจะ Search automatically for drivers ก็ตามสะดวกกันได้เลย จากนั้นรีสตาร์ทอีกรอบ ก็พอจะช่วยแก้ปัญหานี้ไปได้บ้างครับ


6.เข้า Safe mode ดูสักรอบ

หน้าจอโน๊ตบุ๊คไม่ติด แต่เครื่องทำงาน

ลองใช้วิธี Safe Mode ในกรณีที่คุณสามารถหาจอมาต่อได้ แล้วเปิดเข้าสู่วินโดว์ แต่ภาพไปปรากฏที่จอภายนอกอย่างเดียวนั้น ให้ลองใช้วิธี Safe Mode หรือโหมดที่จะช่วยให้คุณแก้ไขปัญหาในด้านซอฟต์แวร์ต่างๆ ได้ง่ายขึ้น โดยไม่มีสิ่งใดมารบกวน ซึ่งก็อาจมีส่วนช่วยแก้ปัญหานี้ได้ในระดับหนึ่ง วิธีการก็คือ ให้คลิ๊กขวาที่มุมล่างซ้ายของหน้าจอ หรือกด Win+X แล้วเลือก Settings จากนั้นเข้าไปที่ Update & Security แล้วเลือกที่ Recovery กดปุ่ม Restart now ในหัวข้อ Advance startup จากนั้น เมื่อระบบรีสตาร์ท และเข้าไปที่ Choose an options ให้เลือกที่ Troubleshoot > Advanced options เลือก Startup settings และคลิ๊กที่ Restart อีกครั้ง เมื่อเข้าสู่ Safe mode ได้แล้ว ให้ลอง Reinstall Display adapter อีกครั้ง แล้วรีสตาร์ทกลับมาในโหมดปกติ ดูว่าหน้าจอแสดงผลได้ตามปกติหรือไม่


7.เช็คปุ่ม Power

ในบางครั้งปุ่มเพาเวอร์สำหรับเปิด-ปิดโน๊ตบุ๊ค ก็มีโอกาสเสีย และทำให้หน้าจอโน๊ตบุ๊คไม่ติด แต่เครื่องทำงานหรือไม่ทำงาน ก็ได้เช่นกัน นั่นก็เพราะปุ่มดังกล่าวอาจเกิดความเสียหายจากการใช้งาน หรืออุบัติเหตุจากน้ำหกใส่ หรือถูกกดค้างเป็นเวลานานๆ จากการกดทับ ก็มีส่วนที่ทำให้ปุ่มทำงานผิดปกติได้เช่นกัน ดังนั้นเมื่อกดปุ่มแล้ว ทุกอย่างอาจจะเงียบหรือเข้าสู่ระบบ แล้วก็ปิด เข้า-ออกอยู่แบบนี้ จนทำให้หน้าจอติดๆ ดับๆ ได้ แต่ในกรณีนี้หากเสียไปแล้ว ผู้ใช้ทั่วไป อาจจะไม่สามารถแก้ไขได้เอง ต้องพึ่งช่างหรือศูนย์บริการ เพื่อซ่อมแซม แต่ก็มีโอกาสที่จะกลับมาใช้งานได้สูง หากสวิทช์ในจุดนั้นสามารถเปลี่ยนหรือซ่อมแซมได้ ค่าใช้จ่ายไม่มากนัก

หน้าจอโน๊ตบุ๊คไม่ติด แต่เครื่องทำงาน

ซึ่งเท่าที่เราได้ไปสำรวจมา ราคาการซ่อมปุ่มโน๊ตบุ๊คจะขึ้นอยู่กับความยากง่ายและปุ่มที่นำมาสลับเปลี่ยน แต่รวมแล้วจะอยู่ที่ราวๆ 800-1,200 บาท ตรงนี้ต้องบอกไว้ก่อนว่าเป็นเพียงค่าเฉลี่ยประเมินในเคสที่เจอกันอยู่ทั่วไป โดยหน้าร้านแต่ละแห่งก็มีความสามารถในการซ่อมได้ เพียงแต่ว่าจะช้าเร็วเท่านั้น ให้ลองไปสอบถามกันที่หน้างานอีกที แต่ถ้าเป็นโน๊ตบุ๊ตที่อยู่ในประกัน ก็สามารถติดต่อกับศูนย์บริการ เพื่อประเมินอาการได้ ส่วนถ้าใครยังมี Onsite service warranty หรือ Perfect warranty อย่างเช่นโน๊ตบุ๊คของทาง ASUS ก็แนะนำว่ารีบแจ้งเพื่อซ่อมแต่เนิ่นๆ ดีกว่าครับ จะได้กลับมาใช้ได้เร็วๆ ก่อนจะหมดประกัน


8.แกะและขยับสายสัญญาณ

หน้าจอโน๊ตบุ๊คไม่ติด แต่เครื่องทำงาน

นับว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ที่อาจจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้เร็วที่สุด แต่ก็ไม่แนะนำสำหรับมือใหม่ หรือโน๊ตบุ๊คที่ยังมีประกันอยู่ เพราะหากเกิดความเสียหาย ก็จะทำให้เสียค่าใช้จ่ายและหมดประกันได้ง่ายๆ เลยทีเดียว แต่สำหรับคนที่มีความรู้ทางด้านช่างอยู่บ้างหรือมีคนที่พอจะแกะหรือเข้าใจชิ้นส่วนภายใน รวมถึงเคยแกะโน๊ตบุ๊คมาบ้างแล้ว เตรียมเครื่องมือให้พร้อม แล้วลุยกันได้เลยครับ

หน้าจอโน๊ตบุ๊คไม่ติด แต่เครื่องทำงาน

สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ มองหาสายสัญญาณที่ของพาแนล ที่เชื่อมต่อระหว่างจอภาพกับเมนบอร์ด มักจะอยู่ในตำแหน่งใกล้กับด้านใต้ของหน้าจอ หรือบางครั้งก็จะจะมาต่อใกล้ๆ กับแบตเตอรี่ ซึ่งสายแพของจอนี้ จะค่อนข้างบอบบาง และมักจะถูกจัดพับ เพื่อให้เกิดความแข็งแรง แน่นหนาและเข้ากับช่องเล็กๆ ภายในตัวโน๊ตบุ๊คได้ แต่บางครั้งโน๊ตบุ๊คที่ถูกเคลื่อนย้ายไปมาบ่อย หรือเจอกับแรงกระแทกบ้าง รวมถึงการเปิด-ปิดบานพับอยู่บ่อยครั้ง และความเสื่อมของชิ้นส่วน ก็อาจทำให้เลื่อนหลุดจากช่องที่เสียบไว้ได้เช่นกัน จนเกิดปัญหาจอไม่แสดงผล แม้ว่าระบบจะทำงานตามปกติก็ตาม ให้ทำการแก้ไข ด้วยการปลดล็อคตัวล็อคขนาดเล็ก ด้วยปลายเข็มหรืออุปกรณ์ที่มี ให้ทำด้วยความระมัดระวัง จากนั้นใส่สายแพกลับเข้าไปใหม่ ก่อนที่จะกดตัวล็อค เพื่อยึดหัวต่อสายแพของจอภาพอีกครั้งหนึ่ง เพียงเท่านี้ก็อาจจะทำให้ปัญหาที่เจอดังกล่าวหายไปได้

แต่บางครั้งอาจเกิดความเสียหายกับสายแพ อันอาจจะเกิดจากอุบัติเหตุหรือถูกกดทับเป็นเวลานาน แม้ว่าจะต่อกลับเข้าไปในช่อง ก็ไม่อาจทำงานได้ตามปกติ จำเป็นจะต้องเปลี่ยนสายเส้นใหม่ อย่างไรก็ดีสายต่อพวกนี้ แต่ละรุ่น ยี่ห้อจะไม่เหมือนกัน และขั้วต่อก็ต่างกันอยู่พอสมควร จึงต้องเช็คให้ดีว่าใช้แบบไหน จึงสั่งซื้อมาเปลี่ยน แต่ถ้าไม่มั่นใจ แนะนำว่าปรึกษาร้านจำหน่ายอะไหล่ ที่ปัจจุบันมีอยู่มากมายเลยทีเดียว สามารถนำภาพหรือแจ้งรุ่นของโน๊ตบุ๊คไปเทียบชิ้นส่วนกันได้เลย สนนราคาตั้งแต่หลักร้อยต้นๆ ขึ้นไป ขึ้นอยู่กับจอภาพและรุ่นที่ใช้ด้วย


9.ทำความสะอาด

ในเมื่อคุณแกะโน๊ตบุ๊ค เพื่อเข้ามาแก้ไขในส่วนของฮาร์ดแวร์แล้ว ก็ควรจะทำความสะอาด แต่ข้อนี้ต้องขอบอกไว้ก่อนว่า เหมาะกับโน๊ตบุ๊คที่หมดประกันแล้ว และผู้ที่มีสกิลในด้านงานช่าง หรือคนที่มีเพื่อนๆ พอให้คำแนะนำในการแกะโน๊ตบุ๊คได้ รวมถึงขึ้นอยู่กับโน๊ตบุ๊คแต่ละรุ่นด้วย ว่าออกแบบโครงสร้างมาให้แกะได้ยากง่ายเพียงใด หากพร้อมก็เตรียมเครื่องมือที่ใช้ในการแกะและทำความสะอาดกันได้เลย หรือจะทำตามตัวอย่างแบบวีดีโอด้านบนนี้ได้เลยครับ

แต่การทำความสะอาดจะแก้ปัญหาหน้าจอโน๊ตบุ๊คไม่ติด แต่เครื่องทำงานได้อย่างไร แบบนี้ครับ ปัญหาที่เกิดขึ้นกับฮาร์ดแวร์ บางครั้งเป็นอะไรที่คาดเดาได้ยาก รวมถึงความร้อนก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทำงานผิดปกติได้ ซึ่งอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่สิ่งที่มักจะเจอกันก็คือ

hwmonitor 1
  • ชิปเซ็ตหรือซีพียูร้อนจนเกินไป ทำให้โน๊ตบุ๊คดับหรือทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ
  • ความร้อนสูง จนเกิดความเสียหายต่อซีพียูและชิปกราฟิก
  • ฝุ่น ความชื้น และคราบออกไซด์ที่ทำปฏิกิริยา ทำให้มีความสกปรกบนหน้าสัมผัสในจุดต่างๆ

แบบง่าย: การแก้ไขทำได้โดยเริ่มจากแปรงปัดฝุ่น หรือที่เป่าลมขนาดเล็กแบบมือถือ ไล่เป่าลมในจุดต่างๆ ให้ออกมาให้ได้มากที่สุด เป็นวิธีการง่ายๆ ค่อนข้างปลอดภัย สุดท้ายใช้สเปรย์ทำความสะอาดหน้าสัมผัสอย่าง Contact Cleaner มาพ่นลงไปบนเมนบอร์ด และทิ้งให้แห้ง จากนั้นจึงปิดฝาหลัง และลองเปิดใช้งานดู

หน้าจอโน๊ตบุ๊คไม่ติด แต่เครื่องทำงาน

แบบลึกล้ำ: แบบนี้จะดูซับซ้อน และยากขึ้นมาอีกระดับ แต่ก็คุ้มค่าพอสมควร เพราะช่วยทำความสะอาดภายในตัวเครื่องได้เป็นอย่างดี สิ่งที่ต้องทำก็คือ แกะฮีตซิงก์ที่ครอบอยู่บนซีพียูและกราฟิกชิปออกมา จากนั้นเช็ดคราบซิลิโคนต่างๆ ที่อาจจะแห้งอยู่ จนทำให้ไม่สามารถถ่ายเทความร้อนได้เหมือนเดิม เมื่อเช็ดคราบต่างๆ ออกหมดแล้ว ให้ใช้ชิลิโคนใหม่ ซึ่งคุณหาซื้อได้มากมายในท้องตลาด มีตั้งแต่พื้นฐาน ราคาประหยัด ไปจนถึงคุณภาพการถ่ายเทความร้อนขั้นสูง เริ่มต้นตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักพันบาท แนะนำว่าซื้อย่างดีมาใช้ คุ้มค่ากว่า เพราะคุณจะไม่ต้องแกะออกมาทำทาใหม่กันบ่อยๆ อีกทั้งลดความร้อนไปได้มากทีเดียว


10.ส่งเคลมประกัน ส่งซ่อม

สุดท้ายหมดแรงยื้อหรือว่าพยายามทุกอย่างแล้ว ก็ไม่เป็นผล ไม่สามารถแก้ไขปัญหาหน้าจอโน๊ตบุ๊คไม่ติด แต่เครื่องทำงานนี้ได้ ก็อาจจะต้องพึ่งพาช่างซ่อม หรือเข้าศูนย์บริการ น่าจะเหมาะสมที่สุด เพราะคุณจะได้มีผู้เชี่ยวชาญมาช่วยแก้ไข ซ่อมแซม เพื่อให้ใช้งานได้ตามปกติ อย่างไรก็ดีคุณควรจะต้องสอบถามถึงอาการ และให้ทางร้านซ่อมประเมินในเบื้องต้นก่อน โดยเฉพาะความรุนแรง และค่าใช้จ่ายตามความเหมาะสม เพราะในบางครั้งเกิดปัญหาที่ตัวชิปโดยตรง การซ่อมเปลี่ยน ในปัจจุบันบ้านเราสามารถทำได้ แต่ช่วงเวลาที่จะนำมาใช้ต่อนั้น ก็อาจจะไม่ได้ยืดยาวมากนัก อายุในการใช้งานก็มีโอกาสสั้นลงได้เช่นกัน หากเป็นแบบนี้ การเลือกโน๊ตบุ๊คตัวใหม่ ดูจะเป็นทางออกที่ดีของใครหลายคน

หน้าจอโน๊ตบุ๊คไม่ติด แต่เครื่องทำงาน

และในกรณีที่ยังเคลมได้ หรือว่ายังอยู่ในประกัน แนะนำว่าให้ลองตรวจเช็คอาการผิดปกติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในการใช้งาน เพื่อที่จะได้แจ้งซ่อมไปในครั้งเดียว ไม่เสียเวลาต้องส่งซ่อมกันบ่อยๆ แต่ถ้าใครยังอยู่ในประกันแบบ Onsite service ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดี เราได้รวบรวมแหล่งการแจ้งซ่อมของแต่ละค่ายเอาไว้ให้ดังนี้

สุดท้ายลองทุกวิถีทาง ก็ยังแก้ไขไม่ได้ ทำอย่างไรก็ หน้าจอโน๊ตบุ๊คไม่ติด แต่เครื่องทำงาน ก็คงต้องตัดใจ เพราะอาจจะเกิดจากปัญหาใหญ่ ในกรณีที่ต้องเปลี่ยนเมนบอร์ดใหม่ บางครั้งราคาแทบไม่ต่างไปจากซื้อโน๊ตบุ๊คราคาเบาๆ ตัวใหม่มาใช้อีกด้วย อย่างไรแล้วก็ลองพิจารณากันให้ถี่ถ้วน เพราะอย่าลืมว่าซ่อมเสร็จ นำกลับมาใช้ บางครั้งเราก็อาจจะไม่มั่นใจในการใช้งานมากนัก ยิ่งคนที่มีธุรกิจสำคัญ ต้องพึ่งพอโน๊ตบุ๊คเป็นหลัก ยิ่งไม่ได้เชื่อมต่อกับระบบ Cloud เอาไว้ด้วย ก็ยิ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายได้ไม่น้อยเลย


Conclusion

หน้าจอโน๊ตบุ๊คไม่ติด แต่เครื่องทำงาน

สุดท้ายนี้หากใครเจอกับปัญหาหน้าจอโน๊ตบุ๊คไม่ติด แต่เครื่องทำงานในปี 2022 ให้ใจเย็นๆ และวางแผนล่วงหน้า หากเกิดปัญหา Worst case ที่อาจจะแย่กว่าที่คิดเอาไว้ด้วยครับ แต่ถ้าคิดว่าปัญหาที่เจออยู่นี้ อาจจะแก้ไขได้ ก็สามารถนำแนวทางทั้ง 10 ข้อ ที่เราแนะนำเอาไว้นี้ไปปรับใช้ ลองแก้ไขกันดูครับ น่าจะเป็นประโยชน์อยู่บ้าง ไม่มากก็น้อย สิ่งสำคัญก็คือ ให้หมั่นสังเกตอาการที่แท้จริง ที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะที่เราใช้งานด้วย เผื่อจะเป็นต้นเหตุสำคัญ และทำให้เราวิเคราะห์หรือส่งให้ช่างซ่อมแก้ไขได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย หรือถ้าใครไม่อยากซ่อม ซ่อมแล้วกลับมาไม่เหมือนเดิม ไม่อยากจะซ่อมบ่อย ลองดูโน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่ในปัจจุบันไปใช้งานก็ได้ครับ เพราะสนนราคาเริ่มต้นหมื่นกว่าบาท ก็ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันได้ดี หรือถ้ามีงบประมาณสัก 25,000 บาท ก็ได้เกมมิ่งโน๊ตบุ๊คไปเล่นกันแล้ว และคุณสามารถเข้ามาค้นหาโน๊ตบุ๊คเหล่านี้ ที่มีให้เลือกหลายหลาย พร้อมคำแนะนำได้ที่ notebookspec.com กันได้เลยครับ และซื้อรุ่นไหน เพราะอะไร ก็อย่าลืมมาเล่าให้เพื่อนๆ ได้ฟังกันบ้าง จะได้เป็นแนวทางในการเลือกซื้อของเพื่อนๆ กันต่อไปด้วยครับ คอมเมนต์กันไว้ที่ด้านล่างนี้กันได้เลย ขอบคุณครับ

from:https://notebookspec.com/web/647882-10-fixed-notebook-display-2022

รีวิว ASUS ZenBook 14 OLED รุ่นใหม่ปี 2022 สเปก Ryzen 5 5625U จอ 2.8K 90Hz เบา 1.39 โล แบต 16 ชม ราคา 34,990 บาท

ASUS ZenBook 14 OLED UM3402 ASUS ZenBook 14 OLED UM3402 เป็นโน๊ตบุ๊คบางเบาประสิทธิภาพสูงจอสวยและดีที่สุดในรุ่น เน้นการทำงานรุ่นใหม่ ให้ประสบการณ์ที่เหนือชั้นกว่าที่เคยมีมา โดยสเปก AMD Ryzen 5 5625U ได้เทคโนโลยี ASUS Intelligent Performance Technology (AITP) ปรับโหมดความแรงได้หลายโหมด ได้แรมออนบอร์ด 16GB และ SSD M.2 NVMe PCIe 512GB มาพร้อมหน้าจอ OLED ขนาด 14″ ราคาดีที่สุด ความละเอียด 2.8K 90Hz มาตรฐานสีที่แม่นยำ PANTONE

ASUS ZenBook 14 OLED

Advertisementavw

โดดเด่นด้วยความบางเพียง 16.9 มม. และที่น้ำหนัก 1.39 กก. ตัวเครื่องได้ความทนทานระดับ US MIL-STD 810H โดดเด่นด้วยการเชื่อมต่อไร้สาย Wi-Fi 6E มาพร้อมพอร์ตเชื่อมต่อครบครัน อีกทั้งนำเสนอนวัตกรรมขอบจอบาง 4 ด้าน ให้อัตราส่วนขนาดจอต่อตัวเครื่องที่ 90% แบบ 16:10 แบตเตอรี่เองก็ใช้ได้ยาวนาน พร้อมสีใหม่ Jade Black ที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร โดยมีฟีเจอร์ช่วยการทำงานมากมาย เรียกได้ว่าตอบโจทย์การพกพา รองรับการใช้งานรอบด้าน โดยแบตเตอรี่เองก็สามารถใช้งานได้ยาวนานกว่า 16 ชั่วโมง พร้อมที่ชาร์จแบบ USB-C

ติดตั้งระบบปฏิบัติการเป็น Windows 11 Home มาทันที และได้ Microsoft Office Home and Student 2021 ส่งผลให้มี Word / Excel / Power Point ติดเครื่องไปแบบไม่ต้องซื้อเพิ่ม โดยมีราคาที่ 34,990 บาท ซึ่งนับว่าคุ้มค่ามากค้าเทียบกับสเปกและฟีเจอร์ การรับประกัน 3 ปี On-site Service และประกันอุบัติเหตุ Perfect Warranty ในปีแรกมาให้อีกด้วย ทั้งหมดนี้เลยทำให้ ASUS ZenBook 14 OLED UM3402 เป็นโน๊ตบุ๊ตบางเบารุ่นใหม่ในปี 2022 ที่น่าซื้อที่สุดรุ่นหนึ่งในตลาด ณ ตอนนี้ แต่จะมีรายละเอียดในการีวิวอะไรบ้างนั้นไปชมกันต่อเลยครับ 

VDO Review

Coming Soon

NBS Verdict

ถ้าให้สรุปสั้นๆ สำหรับคนที่ไม่อยากอ่านยาวๆ จนหมด สำหรับ ASUS ZenBook 14 OLED UM3402 เป็นโน๊ตบุ๊คสายบางเบาดีไซน์ใหม่ พร้อมจอดีจอสวยที่สุดในขนาด 14″ จากการที่เป็นพาเนล OLED ซึ่งดีกว่าพาเนล IPS ที่ปกติใช้กันแน่นอน และลื่นไหลกว่าที่ 90Hz ทำให้มีความสบายตาในทุกๆ การใช้งาน ได้สเปก AMD Ryzen 5 5625U รุ่นใหม่ ที่แม้ไม่ใช่รุ่นใหม่สุดๆ อย่าง Ryzen 6000 Series แต่ก็มีประสิทธิภาพแรงเหลือเฟือในการใช้งานพื้นฐาน รวมไปถึงทำงานร่วมกับโปรแกรมต่างๆ อาทิ Word, Excel, Power Point หรือ Photoshop / Premiere Pro ก็ยังพอได้ อีกทั้งมีการ์ดจอออนชิป AMD Radeon 7 ได้ประสิทธิภาพที่ดีในงาน 2 มิติ หรือ 3 มิติก็พอไหว

ASUS ZenBook 14 OLED Ryzen 2022 Review 80

ทำงานร่วมกับแรมออนบอร์ดขนาด 16GB LPDDR4x ที่เราไม่สามารถอัปเกรดเพิ่มได้ตามสไตล์ของโน๊ตบุ๊คดีไซน์บางเบา ซึ่งเอาจริงๆ ก็เพียงพอกับการใช้งานแล้วล่ะ และที่เก็บข้อมูลเป็น SSD M.2 NVMe PCIe Gen 3 ความจุ 512GB ที่ทำงานได้รวดเร็ว ซึ่งแม้ไม่ได้เร็วเท่ากับ Gen 4 แต่ก็ใช้งานได้ลื่นไหลในทุกๆ การทำงานแล้ว อีกทั้งยังได้โปรแกรม Microsoft Office Home & Student 2021 มูลค่า 4,299 บาท ทำให้ได้ Word, Excel, Power Point ใช้งานติดเครื่องยาวๆ ไม่ต้องซื้อแยกเอง รวมไปถึงได้ประกันเทพๆ อย่าง 3 ปี On-site Service พร้อมประกันอุบัติเหตุ Perfect Warranty 1 ปีแรก กับราคาเพียง 34,990 บาท นับว่ามีความคุ้มค่าน่าซื้อมากๆ 

ASUS ZenBook 14 OLED

ได้หน้าจอขนาด 14″ ที่อัดแน่นไปด้วยความล้ำต่างๆ นี้ ยังเป็นขนาดที่ให้มิติตัวเครื่องเล็กกระทัดรักพกพาสะดวก ที่สำคัญเครื่องยังเบาเพียง 1.39 กิโลกรัม และตัวเครื่องบางที่ 16.9 มิลลิเมตรเท่านั้น ซึ่งอาจจะมีรุ่นบางเบากว่านี้ในตลาด แต่ไม่ได้หน้าจอประสิทธิภาพสูงอย่างนี้ ตอบโจทย์การใช้งานนอกสถานที่อย่างออฟฟิศ ร้านกาแฟ หรือ Co Working Space อย่างแท้จริง รวมไปถึงแบตเตอรี่เองก็ใช้งานได้ยาวนานเกือบๆ 16 ชั่วโมง ได้ความปลอดภัยด้วยการสแกนลายนิ้วมือที่ปุ่ม Power ใช้งานผ่านทาง Windows Hello ที่สะดวกและง่ายกว่าการกรอกรหัสผ่านแบบเดิมๆ อีกทั้งยังได้ Numper Pad 2.0 แป้นตัวเลขที่ทัชแพดทำให้ใช้งานสะดวก

ASUS ZenBook 14 OLED Ryzen 2022 Review 79

โดดเด่นด้วยความทนทานระดับ MIL-STD-810H ทำให้มั่นใจได้เลยว่าพกพาไปใช้งานไปไหนมาไหนเผื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นเครื่องก็ไม่พังง่ายแน่นอน พอร์ตการเชื่อมต่อก็ครบครันเท่าที่ตัวเครื่องจะให้ได้ ไม่ว่าจะเป็น USB 3.2 Type-A และ USB 3.2 Tyce-C จำนวน 2 พอร์ต ที่รองรับการโอนถ่ายข้อมูลก็ได้ เชื่อมต่อหน้าจอภายนอกก็ได้ หรือชาร์จไฟเข้าเครื่องทั้ง 2 พอร์ตก็ยังได้ (สะดวกพอร์ตไหนชาร์จพอร์ตนั้น) อีกทั้ง Wi-Fi เป็น 6E ด้วย และที่ชอบก็คือ ได้ลำโพง Harman/ Kardon ระบบ Dolby Asmos ให้เสียงที่ดีในระดับหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามสำหรับคนที่ไม่รีบมาก จะรอดูเป็นสเปกที่เป็น Ryzen 6000 ก็ได้ แต่ก็คาดว่าราคาจะสูงกว่านี้อีกประมาณหนึ่ง 

ASUS ZenBook 14 OLED

สำหรับ ASUS ZenBook 14 OLED UM3402 ถือว่าเป็นโน๊ตบุ๊คที่ดีที่สุดรุ่นหนึ่งก็ว่าได้ในช่วงราคานี้ เพราะมาพร้อมกับประสิทธิภาพที่สูงเหมาะกับการทำงานทั่วไป หรือหนักๆ อย่างตัดต่อวีดีโอ ก็พแทำได้บ้าง ที่สามารถพกพาไปไหนมาไหนได้สะดวก หรือถ้าจะเล่นเกมบ้างก็สามารถทำได้ดีลื่นไหล ทั้งจากรูปลักษณ์และใช้งานจริง สมราคาคุ้มราคา การรับประกันก็ตามมาตรฐานของ ASUS ที่อัปเกรดเป็นมาตรฐานประกันแบบ 3 ปี On-site Service ซ้อมฟรีถึงบ้าน รวมไปถึงในปีแรกแค่เราลงทะเบียนก็จะได้ประกันอุบัติเหตุในปีแรก อย่าง Perfect Warranty แล้วด้วย (เคลม 80%) 

ASUS ZenBook 14 OLED Ryzen 2022 Review 18

จุดเด่น ASUS ZenBook 14 OLED

  • เป็นโน๊ตบุ๊คหน้าจอ OLED ขนาด 14″ จัดว่าเป็น รุ่นที่จอดีจอสวยที่สุดในรุ่นที่ใกล้เคียงกัน
  • ได้ดีไซน์ ZenBook ใหม่ล่าสุด ประจำปี 2022 พร้อมได้สีสันใหม่ Jade Black ไม่เหมือนใคร
  • น้ำหนักเบากแค่ 1.39 กิโลกรัม บางสุด 16.9 มิลลิเมตร วัสดุเครื่องคุณภาพสูงทั้งตัว
  • บานพับพิเศษ ErgoLift Hinge ช่วยให้ใช้งานดีขึ้น ในหลายๆ ส่วน พร้อมกางได้ 180 องศา
  • หน้าจอมีความละเอียดสูง 2.8K พาเนล OLED ขอบเขตสี 100% sRGB จริงๆ ลื่นไหลที่ 90Hz
  • ขอบจอบางเฉียบด้วย เทคโนโลยี Nano Edge บางพิเศษกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปทั้ง 4 ด้าน
  • ใช้งานจริงลื่นไหลด้วย AMD Ryzen 5 5625U การ์ดจอออนชิป AMD Radeon 7
  • ได้แรมออนชิป 16GB และ SSD M.2 NVMe PCIe Gen 3 ความเร็วสูง ความจุ 512GB
  • เทคโนโลยี ASUS Intelligent Performance ปรับโหมดความแรงได้สะดวก
  • ใช้งานทั่วไปลื่นไหลสบายมาก เล่นเกม 3 มิติ หรือตัดต่อวีดีโอได้ดีกว่ารุ่นก่อนๆ 
  • ผ่านการทดสอบตามมาตรฐาน MIL-STD-810H ทนทานต่อการใช้งาน
  • ลำโพง Harman/Kardon ระบบ Dolby Asmos ให้เสียงที่ดีในระดับหนึ่ง
  • มาพร้อมสแกนลายนิ้วมือ Fingerprint ใช้งานผ่านทาง Windows Hello
  • มาพร้อม ASUS NumberPad 2.0 ที่เปลี่ยนทัชแพดธรรมดาเป็นปุ่มกดตัวเลข LED
  • แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานเกือบๆ 16 ชั่วโมง พร้อมชาร์จไฟกลับได้รวดเร็ว
  • ได้เป็น Wi-Fi 6E พร้อมการเชื่อมต่อพอร์ต I/O ที่ค่อนข้างครบครัน 
  • อแดปเตอร์เป็นมาตรฐาน USB-C แล้ว ใช้สะดวกพกพาง่าย หรือใช้อแดปเตอร์ PD อื่นๆ ก็ได้
  • มีระบบปฏิบัติการ Windows 11 Home มาให้ใช้งานทันที ตั้งแต่เปิดเครื่องในครั้งแรก
  • ได้ชุดโปรแกรม Microsoft Office Home & Student 2021 อย่าง Word, Excel, Power Point
  • ประกัน 3 ปี On-site Service พร้อมประกันอุบัติเหตุ Perfect Warranty 1 ปีแรก
  • มีอุปกรณ์เสริมอย่างซองเคสใส่เครื่องและสายแปลง USB to LAN ให้ทันที
  • ราคาคุ้มค่า ต่อฟีเจอร์ทั้งหมดที่ได้ รวมไปถึงประสิทธิภาพดี เมื่อเทียบรุ่นก่อนๆ 

ข้อสังเกต ASUS ZenBook 14 OLED

  • หน่วยความจำแรม 16GB LPDDR4x เป็นแบบฝังบอร์ดมา ไม่รองรับการอัปเกรดเพิ่ม
  • ที่เก็บข้อมูลยังเป็นมาตรฐาน SSD M.2 NVMe PCIe Gen 3 ที่ช้ากว่า Gen 4   
  • ชิปประมวลผลยังเป็น AMD Ryzen 5000 Series แต่ก็แรงเพียงพอในการใช้งานแล้ว
  • ตัวเครื่องอาจจะไม่ได้บางเฉียบ หรือบางมากๆ แบบหลายๆ รุ่น แต่ก็น่าพอใจในการพกพาแล้ว

Specification

ASUS ZenBook 14 OLED UM3402 สเปกในตอนนี้มีเพียงสเปกเดียวราคาเดียว คือ AMD Ryzen 5 5625U ราคา 34,990 บาท เป็นชิปประมวลผล AMD Ryzen 5000 Series ที่เป็นชิปประมวลผลสถาปัตยกรรม Zen 3 โค้ดเนม Cezanne มาพร้อมกับเทคโนโลยีการผลิตที่ 7 nm ที่แรงขึ้นมากๆ และร้อนน้อยกว่าเดิม เพิ่มเติมด้วยแบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนาน การ์ดจอเป็นออนชิป Radeon 7 ที่เพียงพอกับงานพื้นฐาน หรือเล่นเกมออนไลน์บ้าง ได้หน่วยความจำแรมแบบฝังบอร์ด 16GB LPDDR4X Bus 4266 MHz และ SSD M.2 NVMe PCIe Gen 3 ความจุ 512GB พร้อมใช้งานทันที ไม่ต้องอัปเกรดแล้ว 

Asus ZenBook 14 OLED UM3402YA KM511WS copy

หน้าจอขนาด 14 เป็นพาเนล OLED ความละเอียด 2880 x 1800 พิกเซล สัดส่วน 16:10 ให้พื้นที่มากกว่าพร้อมได้มุมมองที่กว้างและสีสันสดใส มีกล้องเว็บแคมและมีไมค์ดิจิตอลในตัว รองรับการใช้งาน VDO Call ที่ใช้งานร่วมกับ Windows Hello ไว้สแกนใบหน้าเพื่อเข้าใช้งาน ติดตั้งระบบปฏิบัติการ Windows 11 Home ทันที ที่สำคัญคือได้โปรแกรม Office Home & Student 2021 (มูลค่า 4,299 บาท) ไปใช้งานฟรีๆ ติดเครื่องไปใช้งานยาวๆ ได้เลย คุ้มค่าสุดๆ ไปเลยตรงจุดนี้

มีพอร์ตมาตรฐานซึ่งมาให้ครบทั้ง USB 3.2 Tyce-C จำนวน 2 พอร์ต รองรับการเชื่อมต่อทุกๆ อย่าง นอกจากนี้ยังมี USB 3.2 Type-A และ HDMI สำหรับเชื่อมต่อจอภายนอก ที่สำคัญยังมาพร้อม Wi-Fi 6 E ที่ดีกว่า 6AX และการเชื่อมต่อไร้สาย Bluetooth 5.2 ใหม่ล่าสุด การรับประกัน 3 ปี On-site Service รวมถึงถ้าลงทะเบียนในเว็บไซต์ ปีแรกจะมีประกันอุบัติเหตุมาให้ด้วย (Perfect Warranty) หน้าสเปกเต็มๆ ของ ASUS ZenBook 14 OLED UM3402 ได้ตามนี้เลย 

ASUS ZenBook 14 OLED UM3402YA-KM511WS ราคา 34,990 บาท (ดูสเปคทั้งหมดคลิ้ก)

  • CPU : AMD Ryzen 5 5625U (6C/12T : 2.30 – 4.30 GHz)
  • GPU : AMD Radeon 7 (1800 MHz)
  • RAM : 16GB LPDDR4x Bus 4266 MHz 
  • DISPLAY: 14″ 2.8K (2880 x 1800) OLED 90Hz
  • STORAGE : SSD M.2 NVMe PCIe Gen 3 512GB
  • OS : Windows 11 Home
  • Software : Microsoft Office Home & Student 2021
  • Warranty : 3 Years On-site Service + 1 Year Perfect Warranty
  • Free : Adobe Creative Cloud” membership 3 months

สำหรับอุปกรณ์ที่บันเดิลมาในกล่องของ ASUS ZenBook 14 OLED UM3402 ก็จะประกอบไปด้วย ซองหนังอย่างดีซึ่งได้เป็นลวดลายแบบใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาในรุ่นก่อนๆ นอกเหนือจากนั้นก็จะเป็นอแดปเตอร์สายแปลง USB-A to LAN RJ45 ไว้เชื่อมต่อเครือข่ายแบบต่อสายนั่นเอง ปิดท้ายด้วยอแดปเตอร์ขนาด 65W ที่จ่ายไฟได้ทั้งโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้ เครื่องอื่นๆ ที่เป็น USB-C รวมไปถึงอุปกรณ์อื่นๆ อย่างมือถือ แท็บเล็ต กล้องดิจิตอล หรืออื่นๆ ได้ทั้งหมด 

ASUS ZenBook 14 OLED Ryzen 2022 Review 7

Hardware / Design

ด้วยการออกแบบตัวเครื่อง ASUS ZenBook 14 OLED UM3402 สเปกที่เป็น AMD Ryzen ที่เน้นเป็นสุดยอดโน๊ตบุ๊คที่หรูหราบางเบาในราคาจังต้องได้ง่าย พร้อมได้หน้าจอดีที่สุดในตลาดด้วยพาเนล OLED ขนาด 14″ แต่ก็ยังมาพร้อมความคุ้มค่าสมราคาทำให้ มีความบางเพียง 16.9 มิลลิเมตร และน้ำหนักแค่ 1.39 กิโลกรัม สามารถพกพาไปใช้งานนอกสถานที่ได้อย่างสบายๆ  สมกับเป็น ZenBook 2022 ที่เห็นได้ชัดจากการนำโลโก้ฉลองครบ 30 ปีมาใช้อย่างเป็นทางการ พร้อมตัดตัวอักษร ASUS ที่เคยมีมาออกไป 

ASUS ZenBook 14 OLED Ryzen 2022 Review 42

ตัวเครื่องของ ZenBook รุ่นนี้ยังได้มาตรฐานผ่านการทดสอบตามมาตรฐาน MIL-STD-810H ระดับกองทัพสหรัฐฯ ที่มีการทดสอบในหลากหลายด้าน เช่น ทดสอบการตกหล่น ทดสอบการสั่นสะเทือน ทดสอบการทำงานในสภาวะอุณหภูมิต่าง ๆ ทำให้มั่นใจได้เลยว่าจะสามารถใช้งานตัวเครื่องนี้ได้ในแทบทุกสภาพแวดล้อมอย่างแน่นอน ตอบโจทย์การพกพาไปที่นู้นที่นั่นบ่อยๆ เรียกได้ว่าเป็น ZenBook Series ที่ได้ภาพลักษณ์และความทนทานในเครื่องเดียว พร้อมฟีเจอร์ที่ครบครันมากกว่าแบรนด์อื่นๆ อย่างชัดเจน 

ASUS ZenBook 14 OLED Ryzen 2022 Review 46

วัสดุหลักเป็นอลูมิเมียมเกรดสูงแบบ Unibody ที่ไร้รอยต่อ ผสานกับลักษณะของผิวที่ให้ความคล้ายกับหินที่ผ่านกระบวนการตัดที่เรียบเนียน พร้อมคำว่า ASUS ZenBook ที่ขอบล่าง ได้สีสันตลอดทั้งตัวเครื่องอย่างสีเทาดำ กับชื่ออย่างเป็นทางการ คือ Jade Black (หยกดำ) ให้ความแตกต่างจาก ASUS ZenBook Series ในรุ่นปีก่อนๆ ทั้งหมด พร้อมรายละเอียดรอบนอกเครื่องแบบโค้งมน รวมไปถึงด้านในอย่างตัวอักษรคีย์บอร์ด มีความโดดเด่นขึ้นมาอีกขั้น กับราคาก็ไม่แพงจนเกินไป ด้วยจากการที่สเปกเป็นชิปประมวลผล AMD Ryzen 5000 ที่แรงพอๆ กับรุ่นก่อนหน้า ซึ่งให้ประสิทธิภาพที่ดีเยี่ยมอยู่แล้ว

ASUS ZenBook 14 OLED Ryzen 2022 Review 45

อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่เข้ามาเสริมให้การทำงานเป็นไปได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ก็คือ บานพับ ErgoLift Hinge นั้นเวลาที่กางออกมาใช้งานในรูปแบบโน๊ตบุ๊คจะทำให้คีย์บอร์ดทำมุม 2.5 องศากับฐานตั้ง พร้อมกางจอได้สูงสุดที่ 180 องศา ซึ่งเรียกได้ว่ากางได้มากกว่า ZenBook หลายๆ รุ่น (ไม่นับรุ่น 2-in-1) เพื่อการนำเสนอกับฝั่งตรงข้ามได้สะดวกยิ่งขึ้น และจากการที่มีบานพับแบบพิเศษช่วยยกตัวเครื่องสูงขึ้นจากพื้น โดยขอบตัวเครื่องด้านหลังจะมียางรองพร้อมทำหน้าที่เป็นฐานรองด้านหลัง สำหรับฟีเจอร์นี้ก็เป็นเอกลักษณ์ของ ZenBook ทุกรุ่นเช่นกัน 

ASUS ZenBook 14 OLED Ryzen 2022 Review 19

ซึ่งการที่ตัวเครื่องสูงขึ้นจะช่วยให้เราใช้งานโน๊ตบุ๊คนั้นสามารถที่จะพิมพ์ได้อย่างสบาย แถมเวลาที่กางบานพับออกมานั้นมันจะทำให้ส่วนของฐานคีย์บอร์ดมีระยะห่างกับฐานตั้งซึ่งทำให้ความร้อนที่เกิดขึ้นในส่วนของตัวเครื่องนั้นมีการดูดลมเย็นเข้าไปช่วย พร้อมกันนั้นยังให้เสียงที่ดีขึ้นด้วย เรียกได้ว่าด้วยฟีเจอร์บานพับเดียวนี้ ทำให้การใช้งานดีขึ้นทั้ง 3 ด้านเลย ซึ่งในส่วนของฟีเจอร์จัดว่าเป็น DNA ที่มีอยู่ใน ZenBook ทุกๆ รุ่นก็ว่าได้ นอกจากนี้ใน ASUS ZenBook 14 OLED UM3402 ยังมีแกนบานพับเป็นวงกลมแบบ Zen ที่สวยงามพรีเมียม ซึ่งให้ความทนทานในการกางหน้าจอไปมาอีกด้วย 

ASUS ZenBook 14 OLED Ryzen 2022 Review 63

อย่างที่บอกไปแล้วในส่วนของชุดบันเดิลที่มีทั้งในส่วนของซอฟต์เคสที่ดูดีลงตัวกับเครื่อง อีกทั้งได้ตัวแปลง USB-A to LAN RJ45 มาให้ใช้งานได้ทันที ตอบโจทย์คนที่ต้องการหรือจำเป็นใช้งานเชื่อมต่อเครือข่ายอินเตอร์เน็ตแบบสาย LAN อยู่เช่นตามที่ทำงานรวมไปถึงองค์กรต่างๆ โดดเด่นด้วยอแดปเตอร์ชาร์จไฟ ที่เป็นมาตรฐาน USB-C แบบ USB PD ทำให้ในการใช้งานร่วมกับตัวเครื่องได้สะดวกสบาย เพราะเราสามารถนำอแดปเตอร์นี้ไปชาร์จมือถือรุ่นใหม่ๆ หรืออุปกรณ์อื่นๆ ได้แทบทั้งหมด อาทิ กล้องดิจิตอล หรือ Power Bank ซึ่งสามารถชาร์จไฟกลัยได้อย่างรวดเร็วกว่าอแดปเตอร์ทั่วไปด้วย

ASUS ZenBook 14 OLED Ryzen 2022 Review 5

นับได้ว่า ASUS ZenBook 14 OLED UM3402 เป็นการมาของโน๊ตบุ๊คหน้าจอ 14″ อีกหนึ่งรุ่นของทาง ASUS ที่เป็นหน้าจอ OLED ที่ราคาดีมากๆ เน้นสำหรับคนที่ต้องการโน๊ตบุ๊คทำงานสายบางเบาที่ครบเครื่อง มีดีที่สเปกแรงลื่น ประสิทธิภาพสูง ในราคาที่ไม่สูงจนเกินไป ต่อยอดความสำเร็จจากรุ่นก่อนๆ ได้เป็นอย่างดี ยืนยันได้เลยว่า ASUS ใส่ใจในการออกแบบ รายละเอียด เพื่อการรองรับใช้งานจริงของคนรุ่นใหม่จริงๆ เหมาะมากๆ สำหรับคนที่ต้องการโน๊ตบุ๊คระดับสูง หรือคนทำงานพนักงานออฟฟิศที่เน้นใช้งานทั่วไปให้ประสิทธิภาพพอตัว รวมไปถึงนักเรียนนักศึกษาก็สามารถนำไปใช้งานได้ ให้ความเรียบง่ายและทันสมัย

ASUS ZenBook 14 OLED Ryzen 2022 Review 72
ASUS ZenBook 14 OLED Ryzen 2022 Review 81
ASUS ZenBook 14 OLED Ryzen 2022 Review 28
ASUS ZenBook 14 OLED Ryzen 2022 Review 67
ASUS ZenBook 14 OLED Ryzen 2022 Review 66
ASUS ZenBook 14 OLED Ryzen 2022 Review 65
ASUS ZenBook 14 OLED Ryzen 2022 Review 57
ASUS ZenBook 14 OLED Ryzen 2022 Review 59
ASUS ZenBook 14 OLED Ryzen 2022 Review 55

Keyboard / Touchpad

ปุ่มคีย์บอร์ดและทัชแพดของ ASUS ZenBook 14 OLED UM3402 ได้ฟีเจอร์ ErgoSense ที่ปรับแต่งมาอย่างลงตัว โดยมีขนาดใหญ่เป็นสีเดียวกับตัวเครื่อง จัดว่าอยู่ในขนาดพอตัวเมื่อเทียบกับขนาดหน้าจอ 14″ ทำให้พอมีพื้นที่เว้นว่างบ้าง โดยมีระยะการกดที่ 1.4 มิลลิเมตร ซึ่งให้สัมผัสในการกด การเด้งของปุ่มที่ดี การตอบสนองทั้งขนาดแป้นพิมพ์ที่รับกันนิ้วกันและช่องว่างระหว่างแป้นที่ทำให้มีความแม่นยำในการกด พร้อมไฟส่องสว่างสีขาวทำให้เราใช้งานในที่แสงน้อยหรือมืดๆ ซึ่งสามารถปรับความสว่างได้ 3 ระดับ ส่วนปุ่ม Fn ที่เป็นทางลัดต่างๆ ติดตั้งอยู่ชุดคีย์บอร์ดแถวบนเป็นมาตรฐาน ใช้งานได้สะดวก

ASUS ZenBook 14 OLED Ryzen 2022 Review 35

ส่วนปุ่ม Power เอง ก็ทำหน้าที่เป็น Fingerprint เพื่อสแกนลายนิ้วมือในตัว เพื่อความสะดวกและปลอยภัย ตัวทัชแพดมีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่ ซึ่งใหญ่กว่ารุ่นก่อนๆ มาก เมื่อเทียบกับขนาดตัวเครื่องโดยรวมที่มีเล็กกระทัดรัดถือว่าจัดเต็มเรื่องของการใช้งานจริง ดีไซน์ออกมาแบบไม่มีปุ่มแยกโดยเป็นชิ้นเดียวทั้งคลิกซ้ายคลิกขวา ซึ่งขอบรอบๆ มีการเล่นสีสันเป็นสีมันวาวสะดุดตา การใช้งานจัดได้ว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ตัวซอฟต์แวร์ที่ให้มาสามารถควบคุมจัดการได้ดี ใช้งานแบบมัลติทัชร่วมกับ Windows 11 Home ได้ลื่นไหลไม่มีสะดุด เรียกได้ว่าไม่จำเป็นต้องมีเมาส์มาต่อเพิ่มเลยก็ว่าได้

ASUS ZenBook 14 OLED Ryzen 2022 Review 30
ASUS ZenBook 14 OLED Ryzen 2022 Review 73
ASUS ZenBook 14 OLED Ryzen 2022 Review 70

ส่วนที่เป็นไฮไลท์ก็คือ มีแผงปุ่มตัวเลขที่ซ่อนอยู่ในทัชแพด โดยใช้ชื่อเรียกว่า ASUS NumberPad 2.0 ซึ่งสามารถเปิดใช้งานได้ด้วยการแตะไอคอนตรงมุมขวาบนของทัชแพดค้างไว้ 1 วินาที เส้นไฟสำหรับแบ่งพื้นที่ของแต่ละปุ่มก็จะปรากฏขึ้นมาให้ใช้งานเป็น Numpad ได้ทันที (ปรับแสงไฟลง 1 ระดับด้วยการกดมุมซ้ายบนค้าง 1 วินาที) ซึ่งแม้ว่าจะมีปุ่มขึ้นมาแล้ว ผู้ใช้ก็ยังสามารถใช้ทัชแพดในการเลื่อนเคอร์เซอร์ได้อยู่ แต่หากมีการจิ้มลงบนพื้นที่ของแต่ละปุ่มเพื่อคลิกซ้าย ก็จะเปรียบเสมือนการกดปุ่มตัวเลขด้วย นับว่าเป็นฟีเจอร์ที่ช่วยเรื่องการกรอกตัวเลขเป็นอย่างมาก

ASUS ZenBook 14 OLED Ryzen 2022 Review 34
ASUS ZenBook 14 OLED Ryzen 2022 Review 33
ASUS ZenBook 14 OLED Ryzen 2022 Review 32

Screen / Speaker

หน้าจอของ ASUS ZenBook 14 OLED UM3402 เป็นจอกระจกที่สดใสแต่ก็ไม่ค่อยสะท้อนแสงมากนัก แบบขอบบางทั้ง 4 ด้าน ให้ความละเอียด Full HD พาเนล OLED ที่ดีกว่า IPS ในทุกๆ ด้าน ที่สำคัญคือมี Refresh Rate ที่ 90Hz ลื่นไหลกว่า 60Hz เดิมๆ พร้อมให้ภาพคมชัดด้วยอัตราการตอบสนองที่เร็วถึง 0.2 ms เมื่อประกอบกับขอบจอที่บางเฉียบ ตามสไตล์ NanoEdge Display มาพร้อมกับ TÜV Rheinland certified eye care ช่วยถนอมสายตา และป้องกันแสงสีฟ้าที่เป็นอันตรายต่อดวงตา นอกจากนี้ยังได้รับการตรวจสอบความถูกต้องของสีจาก PANTONE Validated

ASUS ZenBook 14 OLED Ryzen 2022 Review 75

ทำให้ไม่ว่าจะการใช้งานทั่วไป การเปิดหน้าเว็บ การชมภาพยนตร์ ซีรีส์ รวมถึงการเล่นเกมดูเต็มอารมณ์มากยิ่งขึ้น โดยสามารถกางหน้าจอได้สูงสุดที่ 180 องศา ส่งผลให้สามารถทำให้การแบ่งปันข้อมูลทำได้ง่ายขึ้น ทำให้การทำงานร่วมกันกับเพื่อนร่วมโต๊ะทำได้ดีขึ้น และอย่างที่เราได้บอกไปแล้วคือการรองรับการทัชสกรีนทำให้ใช้งานได้ง่ายขึ้นด้วย ส่วนขอบจอด้านบนจะเป็นตำแหน่งของกล้องหน้า รวมถึงยังมีหลอดไฟ LED สำหรับแสดงสถานะว่ากล้องทำงานอยู่ เรียกได้ว่าเป็นโน๊ตบุ๊คที่ให้ประสบการณ์ที่ดีที่สุดรุ่นหนึ่ง 

ASUS ZenBook 14 OLED Ryzen 2022 Review 25
ASUS ZenBook 14 OLED Ryzen 2022 Review 26
ASUS ZenBook 14 OLED Ryzen 2022 Review 69

อีกทั้งแม้ขอบหน้าจอจะบางแต่ก็ยังติดตั้ง Webcam และไมโครโฟนแบบคู่มาปกติที่ขอบด้านบน ได้เทคโนโลยีตัดเสียงรบกวนขั้นสูง (AI Noise Cancelation) สำหรับการทำงานระยะไกลและการประชุมวีดีโอ โดยแยกเสียงรบกวนที่ไม่ต้องการออกจากเสียงพูดซึ่งสามารถกรองและแยกเสียงรบกวนรอบข้าง ดีที่สุด นอกจากนี้ยังมีการที่ใส่ยางขอบจอแบบติดเนียนตามตลอดแนวขอบจอเลย ทำให้ช่วยซับแรงกระแทกได้ดีกว่าโน๊ตบุ๊ครุ่นอื่นๆ ที่มักจะติดตั้งมาเป็นจุดๆ ในบางตำแหน่งเท่านั้น ฉะนั้นมั่นใจเรื่องความแข็งแรงทนทานได้เลย

s4 1

การทดสอบประสิทธิภาพหน้าจอด้วยเครื่องมือที่เป็นทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์อย่าง Spyder5Elite  โดยให้ขอบเขตความกว้างของสีสันเทียบเท่ากับมาตรฐาน sRGB ที่ 100% / AdobeRGB ที่ 98% / DCP-P3 ที่ 93% เรียกได้ว่าให้ประสิทธิภาพเรื่องของสีสันนั้นดีมากกว่าโน๊ตบุ๊ครุ่นอื่นๆ แบบชัดเจนมากๆ ซึ่งมีความเที่ยงตรงของสีที่สูง รองรับการทำงานที่เน้นกราฟิก หรืองานด้านการถ่ายได้ระดับมืออาชีพได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งเมื่อเทียบกับพาเนล IPS ก็ต้องยอมรับว่าเหนือกว่าจริงๆ

ต่อกันที่วัดความสว่างของหน้าจอตามตำแหน่งต่างๆ โดยแบ่งเป็น 9 ช่อง เทียบจากช่องกลางที่ปกติแล้วจะให้ความสว่างที่มากที่สุด ที่จะเห็นได้ว่าแต่ละช่องนั้นมีความต่างกันที่ 0% – 3% เท่านั้นเอง เรียกว่ามีค่าความสว่างสม่ำเสมอตลอดทั้งหน้าจอจริงๆ เหมาะมากกว่ากับการใช้งานโปรดซสภาพถ่าย หรืองานกราฟิกอื่นๆ ส่วน Delta-E ซึ่งเป็นค่าคลาดสีอยู่ที่ 1.35 เท่านั้นเอง ซึ่งนับว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีเยี่ยมมากๆ เพราะปกติแล้วค่านี้ สำหรับหน้าจอเกรดสูงจะอยู่ไม่เกิน 2.0  

s1 1
s2 1
s3 1

ส่วนความสว่างหน้าจอสูงสุดอยู่ที่เกือบๆ 400 cd/m2 ซึ่งจัดได้ว่ามีความสว่างในระดับสูง ตอบโจทย์การใช้งานนอกสถานที่ได้มากกว่า ซึ่งเพียงพอต่อการใช้งานในที่ต่างๆ ได้แบบสบายๆ ด้วย ทำให้เมื่อคาลิเบตหน้าจอแล้วสามารถไปทำงานภาพกราฟิกหรือตกแต่งภาพที่เน้นความเที่ยงตรงได้มาตรฐานระดับมืออาชีพเลยทีเดียว ส่วนการทดสอบอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นค่า Delta-E หรือความสม่ำเสมอในการความสว่างนั้นจัดว่าดีมากๆ ส่งผลให้มีคะแนนรวมอยูท่ี 4.5 คะแนน ถือว่ามีโน๊ตบุ๊คที่มีความมืออาชีพ ใครจะเอาไปใช้งานก็มั่นใจได้เลย ไม่ว่าจะ Content Creator หรือ Present งานต่างๆ  

ASUS ZenBook 14 OLED Ryzen 2022 Review 37

ตัวลำโพงเป็นแบบสเตอริโอเลือกใช้ลำโพง 2 ตัว 2W x 2 ระบบเสียง Harman/Kardon ให้ที่เสียงที่ดีมากทั้งความดังและคุณภาพจาก Smart amp ที่ช่วยเร่งที่ 3.5 เท่า พร้อมทำงานร่วมกับระบบเสียง Dolby Asmos ทั้งในเรื่องของเสียงเบสที่มีน้ำหนัก เสียงกลางที่สมดุล และเสียงแหลมที่ออกมาใสๆ พร้อมทั้งความดังและกังวาลที่มากกว่า เมื่อกางบานพับจอแบบ ErgoLift ออกมา ฐานเครื่องก็จะยกขึ้นเพื่อให้เสียงจากลำโพงสะท้อนกับพื้นเพิ่มมิติของทิศทางเสียง  ซึ่งตัวลำโพงจะอยู่บริเวณใต้ตัวเครื่องซ้ายและขวาลักษณะยิงลงพื้น 2 ตัว ทำให้เสียงที่ออกมามีเสียงดังฟังชัด

ASUS ZenBook 14 OLED Ryzen 2022 Review 39
ASUS ZenBook 14 OLED Ryzen 2022 Review 76
ASUS ZenBook 14 OLED Ryzen 2022 Review 77

Connector / Thin And Weight

ในเรื่องพอร์ตเชื่อมต่อถือว่ามีความครบครันตามมาตรฐานของโน๊ตบุ๊คบางเบา ไม่ว่าจะเป็นพอร์ต USB 3.2 Type-A จำนวน 1 พอร์ต ไว้สำหรับการเชื่อมต่อกับแฟลชไดร์ฟหรือฮาร์ดดิสก์ภายนอกไว้ถ่ายโอนข้อมูลได้รวดเร็ว รวมไปถึงเมาส์ ซึ่งนับว่าทำได้ดีเพราะบางคนยังมีอุปกรณ์ USB-A อยู่ โดดเด่นด้วยการติดตั้งพอร์ต USB 3.2 Type-C มาให้ 2 พอร์ต แน่นอนว่ารองรับการชาร์ไฟเข้าเครื่องทั้ง 2 พอร์ต ทั้งอแดปเตอร์มาตรฐานติดเครื่อง หรืออื่นๆ ที่เป็น PD หรือ Power Bank รวมถึงต่อหน้าจอแยก 4K อีกด้วย โดยโอนไฟล์ได้สูงสุด 20Gbps ตามาตรฐาน ซึ่งเหลือเฟือในการใช้งานทั่วไปและพื้นฐานมากๆ

ASUS ZenBook 14 OLED Ryzen 2022 Review 65

ทางด้านพอร์ตการเชื่อมต่อหน้าจอก็จะมี HDMI มาให้ไว้เชื่อมต่อกับทีวีหรือโปรเจคเตอร์ ส่วนช่องอ่าน micro-SD Card จะอยู่ด้านขวามือตัวเครื่อง แน่นอนว่ายังมีช่องหูฟังและไมค์แบบ Combo ขนาด 3.5 มิลลิเมตรตามปกติ ส่วนอุปกรณ์ที่บันเดิลมาให้เป็นสายแปลง USB-A to LAN RJ45 ก็นับได้ว่าเป็นอุปกรณ์ที่มีประโยชน์และได้ใช้งานอย่างแน่นอน สำหรับคนที่สะดวกเชื่อมต่อเครือข่ายแบบมีสาย อย่างไรก็ตามเป็นได้ต้องหาซื้อ USB-C Hub มาเพิ่มเติมอีกซักอันก็จะดีมากๆ กรณีที่เราต้องเชื่อมต่อมากกว่านี้ในบางกรณีจะได้รองรับ โดยในตอนนี้ราคาของ USB-C Hub ไม่แพงและมีให้เลือกเยอะแล้ว

ASUS ZenBook 14 OLED Ryzen 2022 Review 64
ASUS ZenBook 14 OLED Ryzen 2022 Review 66
ASUS ZenBook 14 OLED Ryzen 2022 Review 68

ขนาดของตัวนี้ถือว่ามีมิติที่ค่อนข้างเล็กและบางเบา น้ำหนักตัวเครื่องอยู่ที่ 1.39 กิโลกรัม และตัวอแดปเตอร์ที่ชาร์จเองก็มีขนาดเล็ก รองรับการจ่ายไฟสูงสุด 65W แบบหัว USB-C มีความกะทัดรัดซึ่งเมื่อรวมเข้าไปด้วยกันแล้วน่าจะมีหนักราวๆ 1.7 กิโลกรัม ถือว่ามีน้ำหนักที่มีความเบามากๆ เลยทีเดียว เพราะปกติแล้วโน๊ตบุ๊ค 14″ รุ่นก่อนๆ แค่ตัวเครื่องก็จะมีน้ำหนักอยู่ที่ 1.5 – 1.8 กิโลกรัมขึ้นไปแน่นอน  ซึ่ง ZenBook เครื่องนี้ ตอบสนองในเรื่องของการพกพาใส่กระเป๋าไปนอกสถานที่ได้อย่างเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงผู้ชาย นักเรียนนักศึกษา ก็เป็นขนาดและน้ำหนักที่สามารถหยิบจับไปใช้งานได้สะดวกแน่นอน 

ASUS ZenBook 14 OLED Ryzen 2022 Review 56

Inside / Upgrade

การแกะเครื่องนั้นสามารถทำได้ไม่ยากแต่ก็ไม่ง่ายเสียทีเดียว เพราะงานประกอบค่อนข้างแน่นหนาทีเดียวจากการที่ฝาหลังเป็นโลหะแข็งแรงทนทาน ให้ความยืดหยุ่นพอสมควร อาศัยไขควงรูปดาวขนาดเล็กก็สามารถไขได้แล้ว ซึ่งหลังจากถอดน็อตทุกตัวเสร็จหมดแล้ว เราสามารถใช้มือค่อยๆ แกะออกที่ละส่วนได้เลย เมื่อเปิดถึงภายในเครื่องแล้วจะเห็นการวางรูปแบบของฮาร์ดแวร์เครื่องนี้ทำได้ดูดีสมกับเป็นโน๊ตบุ๊คระดับสูงตามมาตรฐานของ ZenBook โดยตามภาพจะเป็นสเปกที่มีแบตเตอรี่ความจุ 75Wh หรือ 9420 mAh ที่จะเห็นว่าค่อนข้างเต็มพื้นที่ฮาร์ดแวร์ภายในเลยทีเดียว

ASUS ZenBook 14 OLED Ryzen 2022 Review

เรื่องระบายความร้อนตัวเครื่องมี Heat Pipe จำนวน 1 เส้น วางพาดชิปประมวลผล ส่วนพัดลมเครื่องนี้ก็มีมาให้ 1 ตัว โดยลมร้อนเป่าออกทางด้านข้างตัวเครื่อง นอกจากนั้นแรมที่ติดตั้งมาขนาด 16GB จะเป็นแบบฝังบอร์ด แน่นอนว่าเป็นปกติที่ของโน๊ตบุ๊คบางเบาที่เราไม่สามารถอัปเกรดส่วนของแรมเพิ่มได้แล้ว โดยจะเห็นถึง SSD M.2 NVMe PCIe Gen 3 พร้อมใส่เต็มมาแล้ว 1 สล็อต ที่ความจุ 512GB ตามที่ตรวจสอบเป็นของ Intel ซึ่งแผ่นโลหะครอบเอาไว้อีกชั้นเพื่อเสริมความแข็งแรง รายละเอียดอื่นๆ เราจะเห็นถึงการ์ด Wi-Fi 6E เป็นของ MediaTek 

ASUS ZenBook 14 OLED Ryzen 2022 Review 4
ASUS ZenBook 14 OLED Ryzen 2022 Review 2
ASUS ZenBook 14 OLED Ryzen 2022 Review 3

Performance / Software

ASUS ZenBook 14 OLED UM3402 ที่ได้รับมารีวิวเป็นสเปกขายจริง สเปก AMD Ryzen 5000U Series ที่ Refresh เมื่อตรวจสอบข้อมูลของชิปประมวลผลด้วยโปรแกรม CPU-Z ก็พบว่าข้อมูลขึ้นมาครบถ้วนเลยครับ โดยเลือกใช้ชิป Ryzen 5 5625U ที่มี 6 คอร์ 12 เธรดสำหรับการประมวลผล ความเร็วที่ 2.30 – 4.30 GHz มีค่า TDP มาตรฐานทรา 16W ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากการใช้สถาปัตยกรรมการผลิตที่ระดับ 7 นาโนเมตร โค้ดเนม Cezanne  สถาปัตยกรรม Zen 3 ที่พัฒนาไปในหลายๆ ทั้งแรงและควบคุมความร้อนได้ดี 

ที่ต้องบอกว่าสร้างมาตรฐานประสิทธิภาพที่มากกว่าชิปประมวลผลรุ่นก่อนๆ แรงเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไปมากๆ หรือถ้างานที่ต้องประมวลผลจริงจังก็รองรับได้อย่างสบายๆ ส่วนแรมได้ขนาด 16GB แบบฝังบอร์ด เป็นมาตรฐาน LPDDR4x Bus 4266 MHz ตามเทคโนโลยีของ AMD Ryzen ที่ผ่านการปรับแต่งให้เหนือชั้น  พร้อมให้ที่เก็บข้อมูล SSD M.2 NVMe PCIe Gen 3 ความเร็วสูงที่ 512GB สามารถขับเคลื่อนระบบปฏิบัติการ Windows 11 Home  แบบลื่นไหลอย่างที่สุด ในทุกๆ การทำงาน

c1 1.   c2 1

ราฟิกการ์ดเป็นแบบออนบอร์ดอย่าง AMD Radeon 7 มีความเร็วในการทำงานที่ 1800MHz มาตรฐานแรม DDR4 ขนาด 512MB ให้พลังในการประมวลผลที่ดีในระดับหนึ่ง อย่างในเรื่องของกราฟิก 2 มิตินั้นก็รองรับได้อย่างสบายๆ หรือถ้าเป็น 3 มิติ ก็ต้องบอกว่ารองรับการทำงานได้ในระดับเบื้องต้นเท่านั้น แต่เอาเข้าจริงๆ ก็สนับสนุนการเล่นเกมได้ในระดับนึงเหมือนกัน ซึ่งโดดเด่นจริงๆ จะเป็นเรื่องของการประหยัดพลังงานเมื่อใช้งานเบาๆ ประสิทธิภาพที่เรียกได้ว่าใกล้เคียงกับการ์ดจอแยกระดับเริ่มต้นแล้ว ซึ่งสามารถเล่นเกม 3 มิติ พอได้บ้าง เดี๋ยวไปดูผลทดสอบกันอีกที

Radeon

สำหรับโปรแกรมทดสอบ CINEBENCH 15 / 20 / 23 ที่เน้นในเรื่องของพลังชิปประมวลผล คะแนนก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจ เปรียบเทียบกับชิปประมวลผลที่เป็นรหัส U รุ่นก่อนหน้าแล้ว ก็ทำได้ดีกว่าเล็กน้อย รวมไปถึงตัวการ์ดจอเองก็มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เรียกได้ว่าตอบโจทย์ในส่วนของงานประมวลผลหนักๆ ได้อย่างสบายๆ ไม่น่าเป็นห่วงนัก รวมไปถึงตัวการ์ดจอเองก็มีประสิทธิภาพสูงเช่นเดิม เรียกได้ว่าตอบโจทย์ในส่วนของงานประมวลผลหนักๆ ได้อย่างสบายๆ รวดเร็วทันใจแบบสุดๆ สมกับเป็นชิปประมวลผลตัวบนในรุ่นใช้งานเต็มกำลัง และการ์ดจอที่อัพเกรดใหม่ที่เน้นการทำงาน 3 มิติที่ดียิ่งขึ้น

 cine15  cine20  cine23

ตัวเก็บข้อมูลของเครื่องที่เลือกใช้ SSD ก็ทำผลทดสอบเป็นที่น่าพอใจบนขนาดความจุ 512GB แบบ M.2 NVMe PCIe Gen 3 แน่นอนว่าเร็วกว่า SSD M.2 SATA 3 แบบทั่วไป ยิ่งเมื่อนำไปใช้เทียบกับฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุนแล้วละก็จะเห็นถึงประสิทธิภาพทั้งในด้านการทดสอบและในด้านการใช้งานจริงที่แตกต่างกันอย่างเห็นเห็นได้ชัด เรียกได้ว่าเปิดอะไรปุ๊บก็ติดปั๊บ ที่ต้องบอกว่าความเร็วระดับการอ่านที่ราวๆ 3036 MB/s และเขียนที่ 1651 MB/s เป็นระดับความเร็วในการเขียนอ่านทำงานโดยรวมก็เพียงพอกับการทำงานแล้ว แต่ก็น่าเสียด้ายถ้าได้เป็น Gen 4 ก็จะมีความเร็วมากกว่านี้แน่นอน 

ssd2 1

การทดสอบประสิทธิภาพกับโปรแกรม PCMark 10 Advance ซึ่งสามารถทำคะแนนการทดสอบรวมได้มากถึง 5495 คะแนน (เทียบเคียง Gaming Notebook ยิ่งขึ้นไปอีกในแง่ของพลังการประมวลผล) ถือได้ว่าในส่วนของการใช้งานทั่วไปโดยรวมนั้นสอบผ่านแบบสบายๆ ทั้งในส่วนของการเล่นเว็บไซต์ งานเอกสาร งานตกแต่งรูปภาพ ส่วนถ้าเอาไปใช้งานหนักๆ เช่นงานประมวลผล ตัดต่อวีดีโอ โปรเซสไฟล์ภาพความละเอียดสูง รวมไปถึงเล่นเกม 3 มิติ ซึ่งก็พอได้ แต่คงตอบสนองได้ไม่เท่าพวก Gaming Notebook หรือโน๊ตบุ๊คแรงๆ ที่ใช้ Ryzen และการ์ดจอแยก GeForce

pc10 1

สำหรับคะแนนและเฟรมเรมในการเล่นเกมจากการทดสอบด้วยโปรแกรม 3D Mark จากทาง Futuremark ที่พัฒนาและคิดค้นจากบริษัท AMD, Intel, Microsoft, NVIDIA ในส่วนของ Time Spy ทำออกมาน่าสนใจมากๆ ด้วยคะแนนรวม 1271 เน้นเรื่องในส่วนของฟีเจอร์ DirectX 12 เป็นตัวช่วยขับเคลื่อนเพื่อมาเสริมข้อบกพร่องทางด้านการทำงานต่างๆ ของการ์ดจอเป็นหลัก ซึ่งผลทดสอบนั้นจะดูว่าแต่ละการ์ดจอนั้นสามารถทำงานเข้าขากับ DirectX 12 ได้ดีขนาดไหน จากคะแนนก็นับว่าอยู่ในเกณฑ์ดีของการ์ดจอออนบอร์ดแล้ว

3d copy 1

ทดสอบเกมได้เฟรมเรมในการเล่นเกมทำออกมาน่าสนใจมากๆ โดยเฉลี่ยของเฟรมเรท (FPS) จากทั้ง 2 เกมออนไลน์ เกมที่ได้ทดสอบมีค่าเฟรมเรทเฉลี่ยค่อนข้างลื่นไหล น่าประทับใจทีเดียว ที่ความละเอียด 1920 x 1200 พิกเซล เมื่อเทียบกับโน๊ตบุ๊คที่ไม่ได้เน้นเล่นเกมมาก จากการที่สเปกภายในเป็นชิปประมวลผล AMD Ryzen 5 5625U ที่ทำงานร่วมกับการ์ดจอ ออนชิปอย่าง Radeon 7 ได้ดีเยี่ยม ประกอบกับใช้แรม 16GB LPDDR4x4266 MHz รวมไปถึง SSD ความเร็วสูงก็ส่งผลช่วยด้วย

game test 1

สำหรับเกมออนไลน์อย่าง DOTA 2 ก็จัดการทดสอบแบบปรับสุดหมด ซึ่งเป็นความละเอียดที่จะสามารถเล่นให้ลื่นได้ สำหรับรายละเอียดภาพอื่นๆ ก็เรียกได้ว่าเปิดทุกอัน  ผลที่ได้ออกมาก็คือสามารถเรนเดอร์ได้อย่างไหลลื่นในระดับเฟรมเรทที่เฉลี่ยที่ 53 แต่ฉากตะลุมบอนกันก็เฟรมเรทลดลงไปที่ 39 (อยากลื่นกว่านี้ก็ปรับกลางๆ ได้) และในส่วนของเกม PUBG ที่ปรับ Low ทดสอบแล้วจะมีเฟรมเรทเฉลี่ยอยู่ที่ 46 ซึ่งต่ำสุดอยู่ที่ 21 เฟรมเรทก็ทำออกมาได้ลื่นไหลกว่าที่คาดไว้ อย่างไรก็ตามในการทดสอบทั้งหมดเราใช้ Performace Mode ด้วยการกดปุ่ม Fn + F

my 1

ZenBook รุ่นนี้เองก็ยังมีในส่วนของซอต์ฟแวร์ที่จะเป็นตัวช่วยในการใช้งานของเราอีกด้วยอย่าง MyASUS ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสเปกภายใน หรือเช็คสถานะการทำงานส่วนต่างๆ ของเครื่อง รวมไปถึงยังสามารถ ตรวจเช็คสถานะเครื่องกับข้อมูลแคชต่างๆ ก็ทำการลบทิ้งได้ตรงนี้เลย หรือเช็คอัพเดทซอฟ์ตแวร์และไดร์เวอร์ต่างๆ ของเครื่องก็สามารถทำผ่านตรงนี้ได้เช่นกัน รวมไปถึงโหมดพัดลมและโปรไฟล์สีการแสดงผลอีกด้วย และอีกต่างๆ อีกมากมาย เช่นการเชื่อมต่อกับมือถือ ที่สามารถใช้งานเป็นเว็บแคมได้ก็ผ่าน Link to MyASUS ในนี้

Battery / Heat / Noise

แบตเตอรี่ตัวเครื่องเป็นแบบฝังไว้ในเครื่อง ตัวแบตเตอรี่มีขนาดใหญ่โต 9420mAh ทำงานต่อเนื่องยาวนานได้เกือบๆ 16 ชั่วโมงต่อเนื่องในการใช้งานแบบปกติ ด้วยการทดสอบปรับเป็น Power Saver Mode แล้วดู Youtube ยาวๆ พร้อมกับลดแสงและเสียงเหลือ 10% ซึ่งคาดว่าจะทำได้นานยิ่งกว่านั้นปรับเปลี่ยนตามการใช้งานของแต่ละคน อีกทั้งมีฟังก์ชั่นชาร์จเร็ว ที่สามารถชาร์จไฟกลับคืนให้กับแบตเตอรี่ 0 ไปจนถึง 60% ในเวลาเพียง 49 นาที ทำให้เครื่องกลับมาพร้อมใช้งานได้อย่างรวดเร็วด้วย

batt 1

อุณหภูมิภายในของชิปประมวลผล AMD Ryzen 5000 รุ่น Refresh ได้ทดสอบดูผ่านทางโปรแกรม Hardware Monitor โดยมีความร้อนสูงสุดคือ 95 องศาเซลเซียส จากการเล่นเกมและประมวลผลงานต่อเนื่อง ซึ่งถ้าใช้งานทั่วไปจะอยู่ที่ 40 – 50 องศาเซลเซียสโดยประมาณ ด้วยการทดสอบให้ห้องแอร์ปรับอากาศที่ 25 – 27 องศาเซลเซียส เรียกได้ว่าระบบระบายความร้อนของ ASUS โน๊ตบุ๊คเครื่องนี้มีอุณหภูมิที่ไม่ถึงกับเย็นมาก เพราะจากการที่ตัวเครื่องบางเบา อย่างไรก็ตามไม่ได้ส่งผลให้ตัวเครื่องเสียหายหรือมีปัญหาหน่วงหรือกระตุกแต่อย่างใด 

temp

ประสบการณ์ใช้งานจริงๆ ตัวเครื่องมีความรู้สึกว่าร้อนอยู่บ้างเวลาใช้งานหนักๆ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องกังวลมากนัก เพราะเวลาใช้งานจริงๆ เราคงไม่ได้เอาไปเล่นเกมหรือประมวลผลงานหนักๆ ต่อเนท่องยาวนานอยู่แล้ว จากการที่เป็นโน๊ตบุ๊คพกพาบางเบา ไม่ใช่ Gaming Notebook แต่เราเองก็สามารถเลือกปรับโหมดการทำงานได้ให้เป็น Whisper Mode เน้นตัวเครื่องให้เย็นและประหยัดแบต แต่ก็แลกมากับการที่ชิปประมวลผลทำงานไม่เต็มที่ หรือจะปรับเป็น Balance Mode ก็สามารถทำได้ กรณีเน้นใช้งานทั่วไป

ASUS ZenBook 14 OLED Ryzen 2022 Review 47

Award

โดยในครั้งนี้จะเป็นการเปรียบเทียบการให้รางวัลกับเครื่องในกลุ่มของโน๊ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 14 นิ้วด้วยกัน ซึ่ง ASUS ZenBook 14 OLED UM3402 ก็ได้รางวัลต่างๆ ดังนี้

Best Performance

จัดเป็นโน๊ตบุ๊คสายบางเบาที่ครบเครื่องสุดๆ กับราคาคุ้มๆ เหนือชั้นด้วยจอ OLED ที่ 2.8K ที่เหนือชั้นกว่าจอทั่วไป และมี Refresh Rate ที่ 90Hz ในราคาที่คุ้มค่ามากๆ ด้วยราคาขาย 38,990 บาท ที่มาพร้อมสเปคอย่าง AMD Ryzen 5 5625U รวมถึงมีแรม 16GB LPDDR4x 4266 MHz และที่เก็บข้อมูลมาตรฐานแบบ SSD M.2 NVMe ความจุ 512GB อีกทั้งมีสแกนลายนิ้วมือ และฟีเจอร์อื่นๆ จัดเต็ม อย่างเทคโนโลยี ASUS Intelligent Performance Technology ปรับโหมดความแรงได้ เป็นโน๊ตบุ๊คบางเบาเหมาะกับการใช้งานแบบมืออาชีพ ดีไซน์ก็พรีเมียม นอกจากนั้นยังได้ Microsoft Office Home & Student 2021 พร้อมใช้งานสุดๆ 

  award new value 

Best Mobility

ปัจจัยสำคัญของด้านของพกพา ก็คือขนาดที่กะทัดรัด เบาแค่ 1.39 กิโลกรัม ตอบโจทย์การใช้งานสาย Mobility ได้อย่างครบถ้วนครับ กับตัวเครื่องบางเฉียบ ทำให้เป็นโน๊ตบุ๊คที่เหมาะมาก ๆ สำหรับการพกพาไปใช้งานนอกสถานที่ และนอกจากความบางเบา ยังมีความแข็งแกร่งอีกด้วย จากการที่ผ่านการทดสอบความทนทานตามมาตรฐานระดับกองทัพ ดังนั้นจึงหายห่วงเรื่องความทนทานได้เลย ส่วนแบตเตอรี่ก็ใช้งานได้ยาวนานกว่า 16 ชั่วโมง เรียกได้ว่าแทบไม่ต้องพกอแดปเตอร์ไปด้วยเลย หรือจะพกไปก็เล็กมากๆ ที่สำคัญประกันยังมีระยะถึง 3 ปี On-site + Perfect Warranty ในปีแรกด้วย

NBS award 4 Mobility

Best Design

ฟีเจอร์โดยรวมของ ZenBook ปี 2022 รุ่นนี้ เป็นโน๊ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 14″ มีความโดดเด่นในทุกๆ มิติ  อีกทั้งได้เป็น OLED คุณภาพสูงให้ประสบการณ์ใช้งานที่ดีที่สุด ภายในตัวเครื่องที่มีขนาดเล็กกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปที่ใช้จอขนาดเดียวกัน ให้มิติที่เล็กกระชับลงกว่าเดิม โดยตัวเครื่องมีความบางเพียง 16.9 มิลลิเมตร ที่นับว่าอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมกับความเป็น ZenBook ยุคใหม่ ไปจนถึงบานพับ ErgoLift 180 องศา ที่ช่วยเสริมประสบการณ์การใช้งานได้เป็นอย่างดี รายละเอียดรอบนอกเครื่องดูแล้วเรียบหรูตามสไตล์คนรุ่นใหม่ วัสดุหลักเป็นอลูมิเมียมเกรดสูงแบบ Unibody ที่ไร้รอยต่อ โดดเด่นด้วยสีสัน Jade Black ที่หรูหราพรีเมียม

NBS award 7 Design

 

from:https://notebookspec.com/web/642816-review-asus-zenbook-14-oled-model2022

รีวิว ASUS ZenBook Duo 15 OLED UX582HS ทรงพลังสุดๆ เพื่อครีเอเตอร์ทุกคนกับค่าตัว 129,990 บาท

ASUS ZenBook Duo 15 OLED UX582HS โน๊ตบุ๊คแรงสุดเพื่อครีเอเตอร์ คุ้มค่าลงทุน มีสไตลัสให้ใช้!

zenbookcover

ASUS ZenBook Duo 15 OLED UX582HS จัดเป็นโน๊ตบุ๊คที่เกิดมาเพื่อครีเอเตอร์และคนทำงานอย่างแท้จริง ซึ่งรุ่นนี้ที่ได้หน้าจอ OLED ก็กล่าวได้ว่าเป็นรุ่น “ไมเนอร์เชนจ์” ของ ASUS ZenBook Pro Duo ที่ทางเว็บไซต์ได้รีวิวไปเมื่อกลางปี 2021 ที่ผ่านมา ซึ่งเครื่องนี้ไม่ได้อัพเกรดเฉพาะหน้าจอให้เป็นพาเนล OLED อย่างเดียว แต่ปรับแต่งสเปคภายในให้ดียิ่งกว่าเดิม ให้ครีเอเตอร์นำโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้ไปสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ ออกมาได้ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น

Advertisementavw

ด้านสิ่งที่ ASUS อัพเกรดให้ ASUS Zenbook Duo 15 OLED UX582HS ได้แก่ ซีพียูและการ์ดจอแยกที่ขยับเป็นตัวท็อปของทาง Intel และ NVIDIA พร้อมไดรเวอร์ NVIDIA Studio ที่ทำงานได้เสถียรและออกแบบมาเพื่อครีเอเตอร์โดยเฉพาะ ด้านสเปค ASUS ได้ใส่ SSD แบบ M.2 NVMe ความจุ 1TB PCIe 4.0 x4 พร้อมกับแรม 32GB ให้เยอะเผื่อให้โปรแกรมต่างๆ ได้เรียกใช้งานได้เต็มที่ไม่ต้องเกิดอาการ “แรมไม่พอใช้” และหน้าจอ OLED นี้ที่จับคู่กับหน้าจอเสริม “ASUS ScreenPad Plus” นั้น เป็นหน้าจอ 4K UHD (3840×2160 พิกเซล) HDR ได้ขอบเขตสีกว้าง 100% DCI-P3 และเทียบความเที่ยงตรงสีบนหน้าจอแล้วได้ค่า Delta-E <2 และได้รับการการันตีจาก PANTONE Validated, TUV Rheinland, VESA CERTIFIED Display HDR True Black 500 อีกด้วย

ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00557

NBS Verdict

ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00545

การอัพเดทสเปคให้ทันสมัย เปลี่ยนพาเนลหน้าจอเป็น OLED ของ ASUS ZenBook Duo 15 OLED UX582HS ครั้งนี้ ต้องถือว่าเป็นไมเนอร์เชนจ์ที่ดี, น่าสนใจและสมราคา โดย ASUS ได้เสริมจุดแข็งจากรุ่นที่แล้วให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งได้ทั้งได้ Intel Core i9 ที่เป็น Intel Tiger Lake-H แล้ว, NVIDIA GeForce RTX 3080 ให้ครีเอเตอร์ทำงานได้เต็มที่ยิ่งขึ้นพร้อมให้อุปกรณ์เสริมมาครบเครื่อง ทั้งปากกาสไตลัส, ที่วางข้อมือรวมทั้งแผ่นรองเครื่องที่ยกตัวเครื่องให้สูงขึ้น ช่วยให้อากาศไหลเวียนในเครื่องได้ดีกว่าเดิมด้วย

นอกจากนี้ ทางบริษัทยังคงเอกลักษณ์อันดีของโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้เอาไว้ ทั้งทัชแพดที่เปลี่ยนโหมดเป็น Numpad ได้, ErgoLift Hinge เมื่อกางเครื่องแล้วขอบล่างหน้าจอจะยกตัวเครื่องขึ้นและมีก้านโลหะสำหรับยกหน้าจอ ASUS ScreenPad Plus ติดตั้งมาเป็นพิเศษ, หน้าจอทัชสกรีนทั้งสองจอ รวมทั้งกล้องหน้าแบบ IR Camera สแกนใบหน้าปลดล็อคเครื่องได้ ดังนั้นโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้ต้องถือว่าดีงามเหมาะสมกับครีเอเตอร์ที่ต้องทำงานหนัก ถือโปรเจคใหญ่เป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม ข้อสังเกตของโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้ยังคงเป็นเรื่องอุณหภูมิที่สูงอยู่บ้างเมื่อต้องรันโปรแกรมตัดต่อวิดีโอหรือแม้แต่ทดสอบเล่นเกมก็นับว่าร้อนอยู่ระดับหนึ่ง แม้จะไม่มีปัญหาเวลาใช้งานแต่ผู้ใช้หลายคนอาจจะติดใจเรื่องนี้ได้บ้าง นอกจากนี้ตัวเครื่องยังอัพเกรดไม่ได้มากเพราะชิ้นส่วนแทบทั้งหมดถูกบัดกรีลงเมนบอร์ดหมดแล้ว อย่างมากอาจจะเปลี่ยน SSD แบบ M.2 NVMe ที่ติดตั้งมาเป็นไดรฟ์หลักตัวเดียวเท่านั้น ซึ่งถ้ามี PCIe 4.0 x4 ช่องเสริมอีกสักช่องเอาไว้ใส่ไดรฟ์รองเพื่อเซฟงานจะดีกว่านี้มากแต่คงจะลำบากเนื่องจากชิ้นส่วนภายในเครื่องกินพื้นที่เมนบอร์ดไปจนหมดแล้ว ดังนั้นผู้เขียนแนะนำให้เตรียมฮาร์ดดิสก์เสริมเอาไว้แบ็คอัพงานสักตัวจะอุ่นใจกว่า

ข้อดีของ ASUS Zenbook Duo 15 OLED UX582HS
  1. ซีพียู Intel ในเครื่องอัพเดทเป็น Intel Tiger Lake-H แล้ว รองรับโปรแกรมใหญ่ได้ดีขึ้น
  2. ไดรเวอร์การ์ดจอเป็น NVIDIA Studio ทำงานได้เสถียรและมีฟีเจอร์เอื้อการทำงานมาอีกมากมาย
  3. ให้อุปกรณ์เสริมมาครบถ้วนทั้งปากกาสไตลัส, ที่วางข้อมือ, แผ่นรองเครื่องและกระเป๋าใส่โน๊ตบุ๊ค
  4. ทัชแพดสามารถกดเปลี่ยนโหมดเป็น Numpad เพื่อพิมพ์ตัวเลขได้สะดวกขึ้น ใช้งานได้สะดวก
  5. มีกล้อง IR Camera ใช้สแกนหน้าปลดล็อคเครื่องได้ง่าย ไม่ต้องพิมพ์รหัสผ่าน
  6. หน้าจอเสริม ScreenPad Plus เป็นจอที่ดี เสริมให้ผู้ใช้ทำงานได้สะดวกยิ่งขึ้น นอกจากจอเสริมแล้ว ยังใช้เปิดกรุ๊ปโปรแกรมที่ตั้งค่าไว้ได้ ถ้าเชื่อมต่อ MyASUS ก็โทรจากโน๊ตบุ๊คได้ด้วย
  7. หน้าจอ 15.6 นิ้ว ความละเอียด 4K UHD ได้พาเนล OLED แสดงผลสีได้กว้างและเที่ยงตรง ได้รับการรับรองจาก PANTONE Validated, , TUV Rheinland, VESA CERTIFIED Display HDR True Black 500
  8. มีพอร์ต USB-C รองรับ Thunderbolt 4 ติดตั้งมา 2 ช่อง ใช้ต่อจอแยกหรือชาร์จแบตก็ได้
  9. ดีไซน์ ErgoLift Hinge ช่วยให้พิมพ์งานด้วยคีย์บอร์ดโน๊ตบุ๊คได้สะดวกยิ่งขึ้น
  10. หน้าจอ NanoEdge ขอบบางพิเศษและพาเนล OLED แสดงผลขอบเขตสีกว้าง 100% sRGB ได้แม่นยำมาก ผิดเพี้ยนน้อย
  11. ระบบปฏิบัติการในเครื่องอัพเดทเป็น Windows 11 Home แล้ว และมี Microsoft Office Home & Student 2021 ติดตั้งมาให้พร้อมใช้งาน
จุดสังเกต ASUS Zenbook Duo 15 OLED UX582HS
  1. ตัวเครื่องค่อนข้างร้อนเวลารันโปรแกรมใหญ่ที่กินทรัพยากรเครื่องหนักๆ ควรใช้งานในห้องแอร์
  2. ตัวเครื่องอัพเกรดได้ไม่มาก มีเพียงช่อง SSD แบบ M.2 NVMe ช่องหลักที่ใส่ SSD มาให้เท่านั้น
  3. พอร์ตรุ่นเก่าเช่น USB-A มีค่อนข้างน้อย แนะนำให้ซื้อ USB-C Multiport Adapter มาใช้ร่วมด้วย

รีวิว ASUS Zenbook Duo 15 OLED UX582HS

Specification

ASUS Zenbook Duo 15 OLED UX582HS

สเปคของ ASUS Zenbook Duo 15 OLED UX582HS ถือว่าเป็นโน๊ตบุ๊คที่เกิดมาเพื่อครีเอเตอร์ให้ใช้สร้างสรรค์ผลงานต่างๆ ออกมาได้อย่างเต็มที่ โดยสเปคจะเป็นดังนี้

  • CPU : Intel Core i9-11900H แบบ 8 คอร์ 16 เธรด ความเร็ว 2.5-4.9GHz
  • GPU : NVIDIA GeForce RTX 3080 แรม 8GB GDDR6 Max-Q Design 90~106W
  • SSD : M.2 NVMe 1TB PCIe 4.0 x4
  • RAM : 32GB DDR4 บัส 2933 MHz
  • Display
    • หน้าจอทัชขนาด 15.6 นิ้ว ความละเอียด 4K UHD (3840×2160) พาเนล OLED ได้รับการรับรอง PANTONE Validated, TUV Rheinland, VESA CERTIFIED Display HDR True Black 500
    • ScreenPad Plus 14 นิ้ว ความละเอียด 4K (3840×1100 พิกเซล) พาเนล IPS รองรับสไตลัส
  • Ports : USB-A 3.2 Gen 2 x 1, USB-C x 2 รองรับ Thunderbolt 4 ต่อหน้าจอแยก DisplayPort และชาร์จแบตเตอรี่ Power Delivery ได้, HDMI 2.1 x 1, Audio Combo x 1
  • Wireless : Wi-Fi 6 มาตรฐาน 802.11ax รองรับ Bluetooth 5.0
  • Webcam : IR Camera ความละเอียด HD รองรับการสแกนใบหน้า Windows Hello
  • Software : Windows 11 Home, Microsoft Office Home & Student 2019
  • Weight : 2.34 กิโลกรัม
  • Warranty : 3 ปี Onsite Service
  • Price : 129,990 บาท (BaNANA)

หากนำไปเทียบกับรุ่นก่อนหน้านี้ที่ยังไม่ได้อัพเกรดหน้าจอเป็นพาเนล OLED และซีพียู Intel ที่ไม่ใช่ Tiger Lake-H และการ์ดจอ GeForce RTX 3070 ราคา 99,990 บาท ต้องถือว่ารุ่นนี้ปรับราคาขึ้น 30,000 บาท แต่ได้สเปคดีขึ้นอย่างมาก ต้องถือว่า ASUS Zenbook Duo 15 OLED UX582HS เครื่องนี้ได้สเปคมาคุ้มค่าทีเดียว

Hardware & Design

ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00555

ดีไซน์ตัวเครื่องของ ASUS Zenbook Duo 15 OLED UX582HS เครื่องนี้ ถ้ามองเผินๆ หรือนำมาวางเทียบกับรุ่นก่อนหน้าจะเห็นว่าไม่ได้ต่างจากเดิมมาก ไม่ว่าจะตัวเครื่องหน้าจอขนาด 15.6 นิ้ว พร้อม ASUS ScreenPad Plus ขนาด 14.1 นิ้ว ชุดคีย์บอร์ดที่มี Numpad ติดตั้งไว้ข้างๆ กันเหมือนเดิม อาจจะมีบางคนสังเกตได้ว่าหน้าจอของรุ่น UX582HS เครื่องนี้สว่างกว่าหน้าจอทั่วไปพอควร ด้วยว่าจอนี้เป็นพาเนล OLED ที่แสดงความสว่างได้ดีกว่า

ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00563

ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00568
ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00562
ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00567

ส่วนดีไซน์ ErgoLift Hinge ลิขสิทธิ์ของทาง ASUS จะเป็นการออกแบบตัวเครื่องให้ขอบหน้าจอยกตัวเครื่องขึ้นเล็กน้อย ช่วยให้ผู้ใช้พิมพ์งานด้วยคีย์บอร์ดของตัวเครื่องได้สะดวกขึ้นและมีชิ้นส่วนพลาสติกติดไว้เสริมไว้ไม่ให้ขอบตัวเครื่องรูดกับพื้นโต๊ะโดยตรง ช่วยให้บอดี้อลูมิเนียมยังสวยงามตามเดิม

ด้าน ASUS ScreenPad Plus จะมีก้านโลหะยกตัวหน้าจอให้เฉียงขึ้น ช่วยให้เจ้าของเครื่องมองหน้าจอ, ใช้สไตลัสขีดเขียนหรือใช้นิ้วแตะเลือกสิ่งต่างๆ บนหน้าจอได้สะดวกขึ้นอีกด้วย

ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00560

หน้าจอของ ASUS Zenbook Duo 15 OLED UX582HS สามารถกางหน้าจอได้ราว 120 องศา เวลากางหน้าจอเพื่อทำงานบนโต๊ะทำงานหรือวางบนแท่นวางโน๊ตบุ๊คก็มองหน้าจอได้สะดวกยิ่งขึ้น หรือใครที่ไม่ได้ซื้อที่วางโน๊ตบุ๊คมา ก็ติดแผ่นที่รองโน๊ตบุ๊คเอาไว้ด้านใต้เพื่อยกตัวเครื่องขึ้นก็ได้เช่นกัน 

ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00564
ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00565

ฝาหลังของ ASUS Zenbook Duo 15 OLED UX582HS จะเป็นอลูมิเนียมเรียบๆ ไม่มีลวดลายอะไรเป็นพิเศษ ยกเว้นโลโก้ของ ASUS ตรงฝั่งขวาของตัวเครื่องเท่านั้น ช่วยให้ตัวเครื่องดูสวยเรียบหรูไม่เยอะไป เสริมบุคลิคของผู้ใช้ให้ดูดีมีระดับไปโดยปริยาย

ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00569

ด้านใต้ตัวเครื่อง ASUS Zenbook Duo 15 OLED UX582HS จะเน้นความเรียบง่าย โดยมีช่องลมเข้าตรงกลาง 2 ช่องแล้วระบายออกด้านข้างเครื่องซ้ายขวา และสังเกตว่าทาง ASUS ย้ายเอาสติกเกอร์ต่างๆ ที่ติดตรงที่วางข้อมือตามปกติมาติดเอาไว้ด้านใต้เครื่องทั้งหมด ยกเว้นสติกเกอร์ Intel Core i9 ที่ติดไว้มุมซ้ายล่างของหน้าจอ ScreenPad Plus ทำให้บอดี้ด้านบนตัวเครื่องดูสะอาดไม่รกเกะกะเกินไป

Screen & Speaker

ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00577

ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00579
ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00578
ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00580
display resolution

หน้าจอขนาด 15.6 นิ้ว ความละเอียด 4K UHD พาเนล OLED ได้รับการรับรอง PANTONE Validated, TUV Rheinland, VESA CERTIFIED Display HDR True Black 500 เป็นที่เรียบร้อย ดีไซน์ขอบหน้าจอ NanoEdge ทำให้ขอบจอ 3 มุมคือฝั่งซ้ายขวาและขอบบนบางเป็นพิเศษ ส่วนขอบล่างที่หนากว่าทั้ง 3 มุมนั้นถูกหน้าจอ ScreenPad Plus บังเอาไว้ ทำให้เห็นพื้นที่หน้าจอหลักแล้วต่อด้วยจอเสริมทันที จัดเป็นดีไซน์ที่ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าหน้าจอนี้ใหญ่กว่าหน้าจอทั่วไป ทั้งที่จริงๆ แล้วเป็น 2 หน้าจอ

ส่วนกลางขอบบนหน้าจอติดตั้งกล้อง IR Camera ความละเอียด HD เอาไว้ประชุมออนไลน์และสแกนใบหน้าปลดล็อคเครื่องได้โดยไม่ต้องพิมพ์รหัสผ่าน ช่วยให้ปลดล็อคเครื่องมาใช้ได้สะดวกยิ่งขึ้น

1

brightness
bright zone
accuracy
sum

ด้านขอบเขตสีของพาเนล OLED เมื่อวัดด้วย Spyder5Elite แล้ว ได้ขอบเขตสีระดับ 100% sRGB, 99% AdobeRGB ส่วน DCI-P3 ได้กว้าง 92% ซึ่งอาจจะต่างจากที่ทางบริษัทเคลมเอาไว้เล็กน้อยแต่ก็ถือว่าได้ขอบเขตสีกว้างพอใช้ทำงานอาร์ตต่างๆ ได้สบายๆ ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน ส่วนการเทียบความเที่ยงตรงสี Delta-E นั้นได้ 1.08 หรือน้อยกว่า 2 จัดว่าแม่นยำเป็นอย่างมาก ถ้าใครทำงานอาร์ตก็สามารถใช้งานบนหน้าจอนี้ได้เลย

ส่วนความสว่างหน้าจอที่วัดได้ เมื่อเปิดความสว่าง 100% แล้ว จะได้ความสว่าง 278.9 nits ซึ่งถือว่าสว่างมาสู้แสงแดดได้สบายๆ ถ้าใช้งานในห้องทำงานในออฟฟิศอาจจะลดลงเหลือสัก 75% ก็จะสว่างกำลังดีไม่แสบตานัก ส่วนพื้นที่ความสว่างเมื่อแยกวัดเป็นช่องๆ จะเห็นว่าพื้นที่ความสว่างทั่วจอจะมีความสว่างลดลงสูงสุดเพียง 5% เท่านั้น ส่วนที่สว่างมากจะอยู่ที่ขอบบนและล่างของตัวเครื่อง ส่วนกลางจะมีความสว่างลดลงมาเล็กน้อยแต่ก็ยังถือว่าสว่างพอใช้งานได้อย่างแน่นอน

คะแนนสรุปของหน้าจอนี้ที่ Spyder5Elite วัดได้ อยู่ที่ 4 จาก 5 คะแนน โดยจอนี้จะเด่นเรื่อง Gamut, Contrast ซึ่งเต็ม 5 คะแนน ซึ่งเป็นจุดเด่นของพาเนล OLED อยู่แล้ว ส่วนที่ลดลงมาเล็กน้อยเป็น Color Uniformity, Color Accuracy ที่ลงมาเป็น 4.5 จาก 5 คะแนน ซึ่งถือว่าใช้ได้ทีเดียว ดังนั้นครีเอเตอร์ก็ใช้จอ ASUS Zenbook Duo 15 OLED UX582HS เครื่องนี้พรีเซนต์อาร์ตเวิร์คของตัวเองได้เลย และถ้านั่งทำงานในออฟฟิศจะต่อหน้าจอแยกสำหรับงานอาร์ตเสริมก็ดีเช่นกัน

ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00582

ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00583
ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00595
ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00597
ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00599
ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00593

ส่วนหน้าจอ ScreenPad Plus ขนาด 14.1 นิ้ว จะเห็นว่าตัวหน้าจอเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ดีไซน์มาเพื่อซัพพอร์ตหน้าจอหลัก โดยมีชุดคำสั่งลัดติดตั้งเอาไว้ตรงขอบฝั่งซ้ายของหน้าจอเพื่อเรียกใช้ฟังก์ชั่นต่างๆ ได้สะดวก ทั้งใช้เป็นจอแถบยาวสำหรับหน้าเอกสารใดเอกสารหนึ่งโดยเฉพาะหรือเอาเป็นจอเสริมไว้เปิดโปรแกรมที่ต้องใช้งานก็ได้

นอกจากนี้ทาง ASUS เขียนคำสั่งมาให้การลากหน้าจอใดหน้าจอหนึ่งสามารถกางสุดหน้าจอได้ โดยในภาพสุดท้ายจะเห็นว่ามีกรอบสีดำเพิ่มขึ้นมา ซึ่งทางซ้ายจะเอาไว้ขยายให้หน้าต่างใดหน้าต่างหนึ่งเป็นแถบยาวตลอดแนวทั้งหน้าจอหลักและเสริม ถ้าเป็นเครื่องหมายกางสุดฝั่งขวามือเป็นการกางสุดหน้าจอหลักและย้ายเอาโปรแกรมอื่นๆ ไปไว้ที่ ScreenPad Plus แทน

ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00573
ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00574
ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00625
ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00626

ลำโพงที่ติดตั้งมาให้ในเครื่องจะมี 2 ดอก ติดตั้งไว้ด้านใต้เครื่องซึ่งกำลังขับเสียงถือว่าดังใช้ได้ เมื่อวัดด้วยเครื่องวัดเสียงจะดังราว 80 เดซิเบล ดังพอดูหนังฟังเพลงในห้องขนาด 28 ตารางเมตรได้สบายๆ ซึ่งโทนเสียงที่ได้ต้องถือว่าออกมาดี รายละเอียดเสียงครบถ้วนและดังพอควร ด้านโทนเสียงเบสนับว่ามีให้ฟังเพลงได้เพราะแต่แรงปะทะถือว่ากลางๆ ไม่ได้หนักแน่นเป็นพิเศษ ซึ่งส่วนตัวผู้เขียนไม่ถือว่าแย่แต่ก็เชื่อว่าทาง ASUS จะมีชุดลำโพงที่ให้เสียงหนักแน่นกว่านี้ติดตั้งมาให้ในรุ่นปรับปรุงก็จะดีเยี่ยม

Keyboard & Touchpad

ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00584

ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00585
ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00586

คีย์บอร์ดของ ASUS ZenBook Duo 15 OLED UX582HS จะเป็นแบบ Full-size แบบปุ่ม Numpad เป็นปุ่มแบบทัชที่รวมอยู่กับชุด Numpad ซึ่งถ้ามองตามปกติ จะเห็นว่าเป็นแบบ Tenkeyless เท่านั้น เป็นการดีไซน์ที่จัดว่าน่าสนใจ ถ้าใครไม่ได้ใช้ Numpad บ่อยๆ ก็กดให้เป็นทัชแพดแทนก็ได้ และตัวคีย์บอร์ดก็มีไฟ LED Backlit สีขาว กดเปิดปิดได้ที่ปุ่ม Function Hotkey ของคีย์บอร์ดและไฟลอดตัวหนังสือขึ้นมา ทำให้พิมพ์งานในที่มืดหรือที่แสงน้อยได้สะดวกยิ่งขึ้น

ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00588

ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00587
ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00601
ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00600

ด้านปุ่มฟังก์ชั่นต่างๆ ของตัวเครื่อง จะเห็นว่า ASUS ก็ Mapping ปุ่มฟังก์ชั่นต่างๆ รวมเอาไว้เป็นเซ็ต ทำให้ผู้ใช้เรียกใช้งานสะดวกเข้าใจง่าย โดยมี Fn Lock โดยกด Fn+Esc, รวม Page Up/Page Down/Home/End เอาไว้ที่ปุ่มลูกศร และเอา Function อื่นๆ อีก 4 ปุ่มมาเรียงถัดจาก F12 ไปอีก 4 ปุ่ม พร้อมฟังก์ชั่นพิเศษเฉพาะของ ASUS Zenbook Duo 15 OLED UX582HS เครื่องนี้อีก 4 ปุ่มด้วย

ด้าน Function Hotkey ที่รวมกับปุ่ม F1-F12 จะเป็นแบบกดแล้วใช้ Function Hotkey ถ้าใช้ F1-F12 ต้องกด Fn ค้างเอาไว้หรือ Fn Lock ก่อนถึงกดได้ โดยคำสั่งลัดที่ ASUS เซ็ตเอาไว้ ได้แก่

  • F1-F3 – เพิ่มหรือลดเสียง
  • F4-F5 – เพิ่มหรือลดความสว่างหน้าจอ
  • F6 – ล็อคหรือไม่ล็อคทัชแพด
  • F7 – ปรับความสว่างไฟ LED Backlit ของคีย์บอร์ด
  • F8 – ปุ่ม Project ตั้งค่าหน้าจอหลักและเสริม
  • F9 – ปุ่มล็อคเครื่องให้กลับมาหน้าล็อคอิน
  • F10 – ปุ่มปิดการทำงาน Webcam
  • F11 – เรียกโปรแกรม Snipping Tool เพื่อบันทึกภาพหน้าจอ
  • F12 – เรียกโปรแกรม MyASUS ขึ้นมาตั้งค่าตัวเครื่อง 

ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00589

ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00590
ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00591
ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00592

ส่วนปุ่มพิเศษ 4 ปุ่มเหนือทัชแพด จากซ้ายปุ่มแรกเป็นปุ่มเปลี่ยนโหมดการทำงานตัวเครื่อง 3 โหมด แยกเป็น Performance mode ที่รีดประสิทธิภาพตัวเครื่องสูงสุด, Balanced mode สำหรับใช้งานทั่วไป, Whisper mode ที่เน้นทำงานเสียงเงียบและเบา เน้นประหยัดแบตเตอรี่ ส่วนปุ่มขวาสุดเป็นปุ่ม Power ไว้เปิดหรือปิดเครื่อง

ตรงกลาง 2 ปุ่มเป็นปุ่มพิเศษสำหรับใช้งานกับ ScreenPad Plus โดยปุ่มซ้ายไว้สลับโปรแกรมที่หน้าจอหลักกับ ScreenPad Plus ได้ทันที เช่นถ้าเปิดเบราเซอร์ไว้จอหลักเพื่อหาข้อมูล แล้วเปิดโปรแกรมตัดต่อวิดีโอไว้อีกจอ พอได้ข้อมูลที่ต้องการก็กดปุ่มนี้สลับหน้าจอได้ทันที ส่วนปุ่มขวามือที่เหมือนจอเสริมถูกขีดคร่าเอาไว้จะทำงานเหมือนปุ่ม Project คือจะเปิดหรือปิดหน้าจอ ScreenPad Plus โดยเฉพาะ

ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00606
ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00604

ในเมื่อมี ScreenPad Plus เสริมอยู่ด้านบนจนต้องเลื่อนชุดคีย์บอร์ดของ ASUS Zenbook Duo 15 OLED UX582HS ลงมาตรงแถบที่วางข้อมือตามปกติแล้ว ถ้าใช้งานตามปกติสันมือจะต้องแตะพื้นโต๊ะแล้วต้องยกนิ้วสูงกว่าปกติหรือต้องยกทั้งมือขึ้นมา ดังนั้นถ้านั่งทำงานบนโต๊ะทำงานทาง ASUS ก็แถมที่วางข้อมือมาให้วางข้อมือพิมพ์งานได้สะดวก หรือถ้าใครยกให้มือลอยเล็กน้อยตอนพิมพ์งานอยู่แล้วก็อาจจะไม่มีปัญหานัก

ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00602
ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00603

ทัชแพดของตัวเครื่องเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าแนวตั้ง อยู่ฝั่งขวามือของคีย์บอร์ดและรวม Numpad แบบทัชเอาไว้ ถ้าปิดอยู่จะเห็นเงาร่องรอย Numpad ถ้าต้องการพิมพ์ตัวเลขก็แตะที่โลโก้ปุ่มตัวเลขที่มุมบนขวาได้เลย แล้วไฟชุด Numpad จะติดขึ้นมาพร้อมใช้งานได้ตามปกติ สามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว และถ้าเปิด Numpad ค้างเอาไว้แต่ต้องการใช้เมาส์ก็ลากนิ้วบนทัชแพดได้ทันทีโดยตัวเครื่องก็ไม่เกิดอาการรวนทำงานซ้อนกับปุ่มตัวเลขอีกด้วย ถือว่าทาง ASUS ตั้งค่าการทำงานมาได้ดีระดับหนึ่งทีเดียว

Connector / Thin & Weight

ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00608
ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00610

พอร์ตที่ติดตั้งมาให้ใช้งานจะเป็นพอร์ตเวอร์ชั่นใหม่ ไม่มี USB 2.0 แล้ว แต่จะมีช่องระบายความร้อนคั่นเอาไว้ทั้งสองฝั่ง ซึ่งพอร์ตด้านข้างตัวเครื่องฝั่งซ้ายจะมีแค่ช่องเสียบปลั๊ก, HDMI 2.1, Audio Combo อย่างละช่อง ส่วนฝั่งขวามือ USB-C รองรับ Thunderbolt 4 x 2 ช่องและ USB-A 3.2 Gen 2 x 1 ช่อง

โดยส่วนตัว ต้องถือว่า ASUS Zenbook Duo 15 OLED UX582HS เครื่องนี้ก็ให้พอร์ตจำเป็นมาระดับหนึ่งแล้วทั้ง HDMI และ USB-A 3.2 Gen 2 เอาไว้ต่ออุปกรณ์อื่นได้ กรณีใช้งานเป็นโหมดโน๊ตบุ๊คอย่างเดียว แต่ถ้าตั้งโต๊ะต่อหน้าจอแยกเป็นพีซีสักเครื่องอาจจะถือว่าพอร์ตน้อยไปนิดหน่อย ถ้าเป็นผู้เขียนเอง จะซื้อ USB-C Multiport Adapter มาต่อแยกจากพอร์ต USB-C เพื่อให้ใช้งานได้สะดวกขึ้น

ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00614
ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00613

มิติตัวเครื่องขนาด 15.6 นิ้ว จะอยู่ที่ กว้าง 35.98 x ลึก 24.92 x หนา 2.15 เซนติเมตรด้วยกัน และขอบตัวเครื่องส่วนบนจะยื่นออกมาเล็กน้อย ทำให้ใช้นิ้วเดียวดึงเปิดหน้าจอได้ทันทีและการบาลานซ์น้ำหนักตัวเครื่องต้องถือว่าดี ใช้นิ้วเดียวกางหน้าจอได้เลยและตัวเครื่องแทบไม่กระดกตามหน้าจอขึ้นมาเลย

ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00540

ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00544
ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00541
ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00543

น้ำหนักตัวเครื่อง เมื่อชั่งด้วยตาชั่งดิจิตอลแล้ว เฉพาะตัวเครื่องอย่างเดียวหนักที่ 2.38 กิโลกรัมถือว่าใกล้เคียงกับที่ ASUS เคลมไว้ที่ 2.34 กิโลกรัม หากเทียบกับโน๊ตบุ๊ค 15.6 นิ้วในปัจจุบันต้องถือว่าไล่เลี่ยกัน ส่วนอุปกรณ์เสริมทุกชิ้น รวมที่วางข้อมือและปากกาอยู่ที่ 840 กรัม ส่วนน้ำหนักเมื่อรวมกับอแดปเตอร์แล้วขึ้นมาเป็น 3.07 กิโลกรัม หากรวมอุปกรณ์บันเดิลทุกชิ้นอยู่ที่ 3.29 กิโลกรัมด้วยกัน

ผู้เขียนขอแนะนำว่าถ้าจะพกเครื่องไปไหนมาไหนควรใช้กระเป๋าเป้เป็นหลัก ไม่ควรใช้กระเป๋าสะพายข้างแบบ Messenger bag เพราะน้ำหนักอาจจะกดทับไหล่จนบาดเจ็บระยะยาวได้

ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00619
ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00620

ส่วนอุปกรณ์เสริมทั้งสองชิ้นอย่างที่วางข้อมือและปากกา ตัวที่วางข้อมือยาวสุดขอบเครื่องและปิดด้วยพลาสติกเนื้อยาง สกรีนคำว่า “ZenBook Series” เอาไว้ ถ้าใครพิมพ์งานไม่สะดวกก็เอาที่วางข้อมือเลื่อนไปชิดตัว ASUS Zenbook Duo 15 OLED UX582HS ได้เลย

ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00621

ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00622
ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00623
ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00624

ส่วนปากกาสไตลัสที่แถมมาให้ในกล่อง จะเป็นแบบเดียวกับที่แถมมาให้ในโน๊ตบุ๊ค ASUS หลายๆ รุ่นที่รองรับการเขียนและแตะหน้าจอ ซึ่งตัวปากกามีปุ่มกด 1 ปุ่มและขันท้ายปากกาออกเปลี่ยนถ่าน AAAA x 1 ก้อนที่อยู่ในด้ามปากกาได้เลย ด้านการตอบสนองตอนเขียนจดหรือวาดหน้าจอต้องถือว่าทำงานได้ดี สามารถวาดสเก็ตช์ภาพหรือจดโน๊ตการประชุมและเซ็นเอกสารได้สบายๆ 

Inside & Upgrade

ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00628

ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00571
ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00634

ส่วนการอัพเกรดตัวเครื่อง ผู้ใช้ทั่วไปสามารถไขน็อต Torx จำนวน 11 ดอกออกแล้วเปิดฝาเครื่องได้เลย โดยจุดสำคัญ 2 จุดตอนเปิดฝาเครื่องนี้ อย่างแรกคือทาง ASUS จะมีน็อตอยู่ตรงกลางเครื่อง 3 ดอกที่ปิดด้วยสติกเกอร์เอาไว้ แนะนำให้เอาเข็มเย็บผ้ามาสะกิดแล้วขันน็อตออกค่อยเอาการ์ดแข็งหรือปิ๊กกีตาร์มาไล่ขอบรอบตัวเครื่องแล้วดึงเปิดฝาได้เลย โดยผู้เขียนแนะนำให้เริ่มแกะ ASUS Zenbook Duo 15 OLED UX582HS จากขอบล่างตัวเครื่องบริเวณลำโพงก่อน ค่อยไล่ไปส่วนอื่นจะแกะได้สะดวกกว่า

อย่างไรก็ตาม ถึงจะเปิดฝาด้านใต้เครื่องได้แล้วแต่ ASUS Zenbook Duo 15 OLED UX582HS แทบจะไม่มีพอร์ตให้อัพเกรดตัวเครื่องเลย เพราะชิ้นส่วนแทบทั้งหมดรวมถึงแรมเป็นแบบออนบอร์ด มีเพียงแค่ SSD แบบ M.2 NVMe อินเตอร์เฟส PCIe 4.0 x4 ที่เป็นไดรฟ์หลักตัวเดียวใต้พัดลมซ้ายมือเท่านั้นที่แกะเปลี่ยนได้และไม่มีอินเตอร์เฟส PCIe สำหรับ SSD ตัวเสริมติดตั้งเสริมมาให้เลย ดังนั้นไม่จำเป็นต้องเปิดเครื่องมาอัพเกรดให้เสียเวลา ยกเว้นเฉพาะ SSD ตัวหลักเสียหายค่อยถอดเปลี่ยนก็ได้

Performance & Software

CPU Z
ram

สเปคของตัวเครื่องในส่วนของซีพียูจะเป็น Intel Core i9-11900H แบบ 8 คอร์ 16 เธรด ความเร็ว 2.5-4.9GHz เป็นสถาปัตยกรรม Tiger Lake-H รุ่นใหม่ เป็นทรานซิสเตอร์ขนาด 10 นาโนเมตร รองรับชุดคำสั่งพื้นฐานที่ต้องใช้งานครบถ้วน ส่วนแรมในเครื่องเป็นออนบอร์ด ความจุ 32GB DDR4 บัส 3200MHz จัดว่าได้เยอะเพียงพอใช้ทำงานหนักๆ ทั้งตัดต่อวิดีโอหรือทำ 3D CG ก็ได้

GPU Z

การ์ดจอในเครื่องเป็น NVIDIA GeForce RTX 3080 แรม 8GB GDDR6 แบบ Max-Q มีค่า TGP อยู่ที่ 90 วัตต์ และทำ Dynamic Boost ไปได้ 106 วัตต์ ใช้ไดรเวอร์เป็น NVIDIA Studio ที่เน้นความเสถียรให้ทำงานได้โดยไม่มีปัญหา รองรับชุดคำสั่ง OpenCL, DirectCompute, DirectML, Vulkan, PhysX, OpenGL 4.6, CUDA, Ray Tracing ด้วย ซึ่งการ์ดจอตัวนี้จะเน้นไปทางการทำงานเป็นหลัก ไม่ได้เน้นไปที่การเล่นเกมมากนัก แต่จริงๆ แล้วก็สามารถเล่นเกมได้ดีไม่แพ้การ์ดจอรุ่นอื่นเลย

device mgr

พาร์ทในตัวเครื่อง เมื่อดูใน Device Manager แล้ว จะเห็นว่า ASUS Zenbook Duo 15 OLED UX582HS เครื่องนี้รองรับการสแกนใบหน้าด้วยกล้อง IR Camera ที่ติดตั้งมาให้คู่กับ Webcam ของตัวเครื่อง รองรับ Wi-Fi 6 มาตรฐาน 802.11ax รองรับ Bluetooth 5.0 และมีชิป TPM 2.0 ติดตั้งมาให้เพื่อรองรับ Windows 11 Home ในเครื่องได้อีกด้วย 

ssd

ด้าน SSD แบบ M.2 NVMe ความจุ 1TB ในเครื่องเป็นรหัส Samsung MZVL21T0HCLR-00B00 หรือ Samsung PM9A1 ซึ่งเป็น M.2 NVMe ที่เป็น PCIe 4.0 เมื่อต่อกับอินเตอร์เฟส PCIe 4.0 x4 ในตัวเครื่องแล้ว สเปคที่ทาง Samsung เคลมเอาไว้ที่หน้าเว็บได้ความเร็ว Sequential Read/Write อยู่ที่ 7,000/5,200 MB/s

ผลที่ได้จาก CrystalDiskMark ได้ความเร็ว Sequential Read/Write อยู่ที่ 6,173.56/5,026.05 MB/s ต้องถือว่าความเร็วของ SSD เดิมๆ จากโรงงานตัวนี้ทำงานได้ดี บูตโปรแกรมใหญ่ๆ เรียกงานที่เซฟไว้กลับมาทำต่อได้เร็วทันใจแน่นอน ซึ่งส่วนนี้ผู้เขียนเห็นว่าไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนก็ได้ เรียกว่าได้เครื่องมาก็ใช้เดิมๆ ไม่ต้องอัพเกรดก็ดีเช่นกัน

r15
r20

ส่วนการทดสอบเรนเดอร์โมเดล 3D ด้วย CINEBENCH R15 ที่ทดสอบรอบด้านได้ผลคะแนน OpenCL 141.29 fps และกำลังเรนเดอร์ของซีพียูอยู่ที่ 1379 cb จัดว่าแรงพร้อมทำงาน 3D CG หรือแม้แต่ตัดต่อวิดีโอความละเอียดสูงก็ทำได้สบายๆ ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน และเมื่อทดสอบด้วย CINEBENCH R20 ที่โฟกัสทดสอบตัวซีพียูอย่างเดียว ได้คะแนน 2295 pts ซึ่งถือว่าสูงทีเดียว ในฐานะโน๊ตบุ๊คสำหรับครีเอเตอร์ก็ถือว่าใช้ได้ดีไม่มีปัญหาแน่นอน

3dmark

ส่วนการทดสอบ 3DMark Time Spy ว่า ASUS ZenBook Duo 15 OLED UX582HS เล่นเกมได้ดีแค่ไหน ซึ่งผลคะแนนรวมที่ทดสอบได้อยู่ที่ 8,964 คะแนน ซึ่งระดับนี้ถือว่าสามารถเล่นเกมฟอร์มยักษ์ได้ดีแน่นอน ถ้ามองแยกจะเห็นว่า CPU score อยู่ที่ 5,976 คะแนน ส่วน Graphics score อยู่ที่ 9,832 คะแนน ซึ่งนอกจากทำงานกราฟฟิค 3D แล้ว ฝั่งเกมมิ่งก็ไม่มีปัญหาแน่นอน

pcmark10

ส่วนการทดสอบ PCMark 10 ที่จำลองเวลานำโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้ไปทำงานออฟฟิศทั่วไปทั้งงานเอกสาร, ตัดต่อแต่งภาพและประชุมออนไลน์ จะได้คะแนนรวมเฉลี่ยประหลาดไปบ้างที่ 5,682 คะแนน แต่ใช้ทำงานออฟฟิศได้อย่าแน่นอน ถ้ามองแยกหมวดหมู่ก็จะเห็นว่า ASUS Zenbook Duo 15 OLED UX582HS เครื่องนี้ไม่มีปัญหาเวลานำไปทำงานตัดต่อวิดีโอหรือแต่งภาพในหมวดการทดสอบ Digital Content Creation แล้วดึงคะแนนลงเลย และทั้ง 3 หมวดทำคะแนนเฉลี่ยได้ช่วง 7500-8400 คะแนน ต้องถือว่าโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้เกิดมาเพื่อทำงานได้อย่างดี

zenbook duo

ซีพียู Intel Core i9-11900H การ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX 3080 กับแรม 32GB DDR4 และ SSD แบบ M.2 NVMe 1TB PCIe 4.0 x4 ที่โหลดข้อมูลได้รวดเร็ว นอกจากจะทำงานได้ดีหายห่วงแล้ว ถ้าในเวลาว่างต้องการเล่นเกม  ASUS Zenbook Duo 15 OLED UX582HS เครื่องนี้ก็สามารถทำหน้าที่ของมันได้ดียอดเยี่ยมเช่นกัน

จากผลการทดสอบเล่นเกม โดยปรับความละเอียดเกมลงมาที่ 1080p หรือ Full HD แล้วปรับกราฟฟิคในเกมระดับสูงสุดหมดทุกอย่างเท่าที่เกมเปิดให้ตัง้ค่าได้ จะเห็นว่าทุกเกมได้ค่าเฟรมเรทเฉลี่ยเกิน 60 fps ทั้งหมด ยกเว้นเฉพาะ GTA V ที่ใช้ระบบ Benchmark ภายในตัวเกมที่เฉลี่ยได้ราว 47 fps แต่ก็ยังเล่นได้ไหลลื่นไม่มีปัญหา ซึ่งจากที่ผู้เขียนทดลองเล่นเกมแล้ว ต้องถือว่า ASUS Zenbook Duo 15 OLED UX582HS จัดว่าดีรอบด้านทั้งเป็นเครื่องมือทำงานสำหรับครีเอเตอร์ในช่วงกลางวันและกลายเป็นเกมมิ่งโน๊ตบุ๊คระดับ Desktop Replacement ในเวลาว่างก็ได้ ไม่ว่าจะเปิดกราฟฟิคจนสุดแล้วเกิดเอฟเฟคทำลายและเรนเดอร์ฉากใหม่อย่างรวดเร็วก็ทำได้ยอดเยี่ยมมาก ดังนั้นจะต่อหน้าจอแยกแล้วเล่นเกมในบ้านก็ไม่มีปัญหา

asus one

main
custom mode
custom 2
asus promotion
link to my asus
customer support

ด้านโปรแกรม MyASUS ที่ติดตั้งมาให้ใน ASUS Zenbook Duo 15 OLED UX582HS เครื่องนี้จะใช้เซ็ตตั้งค่า, มอนิเตอร์การทำงานของตัวเครื่องในส่วนต่างๆ ได้โดยละเอียด นอกจากนี้ถ้าโน๊ตบุ๊คมีปัญหาใช้งานไม่ได้ก็มีแท็บ Customer Support สำหรับติดต่อทางศูนย์บริการ ASUS ได้ทันทีอีกด้วย

Battery & Heat & Noise

ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00627

ด้านแบตเตอรี่ของ ASUS Zenbook Duo 15 OLED UX582HS เครื่องนี้ เป็นแบตเตอรี่ความจุมากถึง 92Wh เป็นแบตเตอรี่แบบลิเธียมโพลิเมอร์ ความจุ Typical 5,984mAh และ Rated 5,810mAh ซึ่งความจุนี้ถือว่าเยอะแล้วในหมู่โน๊ตบุ๊คทำงานขนาด 15.6 นิ้ว ใช้ซีพียูประสิทธิภาพสูงและมีการ์ดจอแยกด้วย ซึ่งถ้าใช้งานต่อเนื่องหลายชั่วโมงแบตเตอรี่ก็ไม่หมดง่ายอย่างแน่นอน

battmon

และเมื่อทดสอบตามมาตรฐานของทางเว็บไซต์ โดยลดความสว่างหน้าจอต่ำสุด, เบาเสียงลำโพงให้ดังแค่ 10% ปิดไฟ LED Backlit ของคีย์บอร์ดและเปลี่ยนโหมดการทำงานในโปรแกรม MyASUS ให้เน้นประหยัดพลังงานเป็นหลักแล้วใช้ Microsoft Edge ดูคลิป YouTube นาน 30 นาทีจากนั้นวัดระยะเวลาใช้งานด้วยโปรแกรม BatteryMon

ผลที่ได้คือ ASUS Zenbook Duo 15 OLED UX582HS สามารถใช้งานต่อเนื่องได้นานสุด 6 ชั่วโมง 53 นาที ซึ่งจัดว่าใช้ได้นานแล้วในฐานะโน๊ตบุ๊คทำงานประสิทธิภาพสูงมีการ์ดจอแยกระดับตัวท็อปติดตั้งมาให้ด้วย ถ้าใครนำโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้ไปประชุมงานกับลูกค้านานหลายชั่วโมงก็ไม่มีปัญหาแน่นอน

ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00628 1

ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00632
ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00630
ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00629
ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00575
ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00572

ระบบระบายความร้อนของตัวเครื่อง จะมีฮีตไปป์ราว 5-6 เส้น พาดทั้งซีพียูและการ์ดจอแล้วตรงออกไปที่ฮีตซิ้งค์หน้าฮีตไปป์ทั้งสองฝั่ง ซึ่งเวลาใช้งานตามปกติ ASUS Zenbook Duo 15 OLED UX582HS ทำงานทั่วไปอย่างงานเอกสารหรือเปิดเบราเซอร์ดูเว็บทั่วไป จัดว่าเเสียงเงียบและเครื่องเย็นมาก ไม่มีปัญหาเรื่องเสียงรบกวนตอนใช้งานเลยสักนิดเดียว ยกเว้นเฉพาะตอนเปิด Performance mode หรือรันโปรแกรม 3D ต่างๆ จะได้ยินเสียงพัดลมดังชัดเจน

hwmonitor

อุณหภูมิภายในเครื่อง เมื่อวัดด้วย CPUID HWMonitor จะเห็นว่าอุณภูมิตัวเครื่องอยู่ที่ 48~100 องศาเซลเซียสทีเดียว จัดว่าสูงจนหลายคนกลัวว่ามันจะร้อนจนเจ็บมือ ซึ่งที่ใช้จริงมาต้องถือว่าตัวเครื่องจะออกอุ่นทั่วโซนคีย์บอร์ด โดยเฉพาะตรงช่องระบายความร้อนด้านข้างตัวเครื่องทั้งสองฝั่ง ผู้เขียนจึงแนะนำว่าให้ใช้งานโดยติดสติกเกอร์ที่วางโน๊ตบุ๊คเอาไว้แล้วกางตั้งเครื่องเอาไว้ และถ้ารู้ว่าจะทำงานหนักก็แนะนำให้ใช้ในห้องแอร์จะช่วยระบายความร้อนให้ตัวเครื่องได้ดีึ

User Experience

ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00557 1

หากตัดประเด็นเรื่องขนาดตัวเครื่องของ ASUS Zenbook Duo 15 OLED UX582HS ที่ใหญ่และหนักพอควร เนื่องจากเป็นโน๊ตบุ๊คสำหรับครีเอเตอร์ที่สเปคสูงและดีไซน์โดดเด่นเป็นทุนอยู่แล้ว เวลาจะพกเครื่องไปไหนมาไหนก็ควรเอาใส่กระเป๋าเป้ไปเลยจะดีกว่า กลับกันถ้าซื้อมาตั้งไว้ใช้งานเป็น Desktop Replacement แทนการประกอบพีซีสักเครื่องที่โต๊ะทำงานแล้ว โน๊ตบุ๊คเครื่องนี้เป็นคำตอบที่ดีและลงตัวมาก ไม่ต้องอัพเกรดอะไรเลยก็ทำงานได้สบายๆ แค่จำเป็นต้องมี External Harddisk เอาไว้แบ็คอัพงานสักหน่อยเพื่อความอุ่นใจไม่มีปัญหางานหายมากวนใจ

เรื่องสเปคและความแรงต้องถือว่าโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้ดีกว่าพีซีหลายๆ เครื่องเสียด้วยซ้ำ ซึ่งผู้เขียนมองว่าถ้าใครจะเอามาตั้งโต๊ะแล้วทำงานยาวๆ และอาจจะพกเครื่องไปพบลูกค้าในบางโอกาส ก็แค่หาหน้าจอสำหรับทำงานอาร์ตโดยเฉพาะ, เมาส์คีย์บอร์ดและ USB-C Hub ดีๆ สักตัวมาต่อไว้เพื่อเพิ่มพอร์ตรับส่งข้อมูลหรือสาย USB-C ที่เป็นสาย Thunderbolt มาต่อหน้าจอแยกเสริมกับ HDMI 2.1 ข้างตัวก็จะดีมาก เพราะผู้เขียนเชื่อว่า USB-A 3.2 Gen 2 เพียงช่องเดียวไม่พอใช้แน่นอน แค่ต่อ External Harddisk ไว้แบ็คอัพงานก็จบกันแล้ว ดังนั้นควรใช้ประโยชน์จากพอร์ต Thunderbolt 4 ทั้งสองช่องให้เต็มที่จะดีกว่า

นอกจาก 2 สิ่งนี้ ทั้งเรื่องน้ำหนักตัวเครื่องและพอร์ตที่มีจำกัด ต้องถือว่า ASUS Zenbook Duo 15 OLED UX582HS เครื่องนี้เป็นโน๊ตบุ๊คสำหรับครีเอเตอร์ที่ทรงพลังมาก ทั้งทำงาน 3D CG ตัดต่อวิดีโอและทำงานอาร์ตเวิร์คต่างๆ ได้โดยไม่ต้องประกอบพีซีแล้วต้องคอยกลุ้มกับราคาการ์ดจอที่ยังสูงอยู่ให้กลุ้มใจและเวลาว่างหลังจากงานก็เอามาใช้เพื่อความบันเทิงอย่างดูหนังฟังเพลงและเล่นเกมได้สบายๆ ไม่ต้องอัพเกรดก็ได้ จัดว่าเป็นเครื่องที่ซื้อมาจบทุกจุดไม่ต้องอัพเกรดแล้วหันไปโฟกัสเรื่องอุปกรณ์เสริมที่ตอบโจทย์การใช้งานแทนได้เลย

นอกจากนี้การที่ ASUS ให้ปากกาสไตลัสสำหรับวาดเขียนมาในแพ็คเกจเพื่อสเก็ตช์งานวาดไอเดียต่างๆ ออกมาเป็นรูปร่างก็เป็นอุปกรณ์เสริมที่ดี เชื่อว่าคนที่ต้องใช้ความคิดหรือออกแบบอะไรสักอย่างต้องได้ใช้งานอย่างแน่นอนและปากกาด้ามนี้ก็ทำงานตอบสนองได้ดีไม่แพ้สไตลัสของแบรนด์ชั้นนำหลายๆ เจ้าอีกด้วย

Conclusion & Award

ASUS ExpertBook Pro Duo DSC00558

ถ้าให้สรุปแล้ว ASUS ZenBook Duo 15 OLED UX582HS เครื่องนี้คือโน๊ตบุ๊คสำหรับครีเอเตอร์ สเปคแรงจบไม่ต้องอัพเกรดให้เปลืองเงินได้อย่างเต็มปาก ด้วยราคา 129,990 บาท ในปี 2022 นี้ ต้องถือว่าเป็นสเปคที่สมเหตุผลอยู่หากเทียบกันในหมู่โน๊ตบุ๊คสำหรับครีเอเตอร์ด้วยกัน และหากซื้อเครื่องนี้มาใช้งานก็ลืมเรื่องประกอบพีซีไปได้หลายปีเลย และยังพกเครื่องไปนำเสนองานกับลูกค้าได้สบายๆ อีกด้วย

นอกจากสเปคแล้ว องค์ประกอบต่างๆ ของโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้ต้องถือว่าทาง ASUS ก็ใส่มาให้ครบเครื่องทั้งหน้าจอ 4K UHD พาเนล OLED ได้รับการรับรอง PANTONE Validated, TUV Rheinland, VESA CERTIFIED Display HDR True Black 500 นั้นถือว่าทำงานอาร์ตเวิร์คต่างๆ ได้สบายๆ รวมทั้งหน้าจอ ScreenPad Plus ที่ติดตั้งมาเป็นหน้าจอเสริมสำหรับเปิดหน้าจอคำสั่งของโปรแกรมนั้นๆ และพลิกแพลงการใช้งานได้หลากหลายและใช้สไตลัสวาดเขียนบนหน้าจอได้ด้วยต้องถือว่าออกแบบและใส่ฟังก์ชั่นเสริมประสบการณ์ใช้งานมาให้ดีครบถ้วนมาก ถ้าเอาไปสร้างสรรค์ผลงานอาร์ตต่างๆ ก็ถือว่าทำได้ดีไม่มีปัญหา และเมื่อมีปากกาสไตลัสเข้ามาเสริมให้ใช้สเก็ตช์ภาพหรือไอเดียต่างๆ ด้วย ศิลปินก็เริ่มทำงานบนตัวเครื่องได้ทันทีเลย ซึ่งถ้าใครหาโน๊ตบุ๊คสำหรับครีเอเตอร์เอาไว้ทำงานสักเครื่อง ตั้งใจว่าลงทุนซื้อเครื่องดีๆ มาใช้เลยก็ซื้อเครื่องนี้ไปใช้ได้เลยไม่ต้องคิดมาก

award

award new performance

best performance

ASUS ZenBook Duo 15 OLED UX582HS เครื่องนี้เมื่อนำซีพียู, การ์ดจอ, แรมและ SSD คุณภาพสูงทั้งหมดมารวมกันเอาไว้ในโน๊ตบุ๊คเครื่องเดียวให้พร้อมรับงานหนักได้สบายๆ ก็คู่ควรกับคำว่า Best Performance อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะมันใช้รันงานหนักๆ ได้โดยไม่มีปัญหาตั้งแต่ทำงานอาร์ตเวิร์คไปจน 3D CG ต่างๆ เลย

award new Graphic

best graphic

หน้าจอทัชหลักขนาด 15.6 นิ้ว ความละเอียด 4K UHD พาเนล OLED ที่ได้รับการรับรองมากมายไม่ว่าจะ PANTONE Validated, TUV Rheinland, VESA CERTIFIED Display HDR True Black 500 และเมื่อวัดด้วย Spyder5Elite แล้วได้ขอบเขตสีกว้างและเที่ยงตรงมาก พร้อมทำงานอาร์ตต่างๆ ได้สบายๆ ก็คู่ควรกับรางวัล Best Graphic อย่างไม่ต้องสงสัย

from:https://notebookspec.com/web/641525-review-asus-zenbook-duo-15-oled-ux582hs