คลังเก็บป้ายกำกับ: เมาส์เล่นเกม

7 เมาส์ไร้สายแนะนำ สายทำงานชอบ เกมเมอร์ก็โดน! อัพเดทปี 2023

เมาส์ไร้สายแนะนำ รวมมิตรตัวเด็ดสายทำงานและเกมมิ่ง!

7mouse

เมื่อเมาส์ไร้สายได้รับความนิยมและเทคโนโลยีได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ตอนนี้มีเมาส์ไร้สายแนะนำน่าใช้ให้เลือกหลายต่อหลายรุ่นไม่ว่าจะเมาส์เกมมิ่งค่า DPI สูงพร้อมโปรแกรมตั้งค่าเมาส์ให้ใช้ลากเป้าเล่นเกมได้อย่างสนุกสนานหรือเมาส์สายทำงานดีไซน์พิเศษออกแบบมาเข้าสรีระร่างกายมนุษย์ได้เป็นอย่างดี ออกแบบตามรูปแบบการวางมือไม่ต้องบิดข้อมือเข้ามาให้เลือกด้วย

ข้อดีของเมาส์ไร้สายนอกจากเรื่องจัดโต๊ะคอมได้สวยงามไม่มีสายไฟมาพาดรกรุงรังแล้ว ก็มีข้อดีอื่นอีกอย่างตอนใช้งานหรือเล่นเกมก็สามารถกวาดเมาส์ไปมาได้โดยไม่มีสายมารั้งดึงเมาส์ให้เสียอารมณ์ตอนเล่นเกมหรือทำงาน และถ้าอยู่ในระยะ 10 เมตรจากตัว USB 2.4 GHz ก็ยังใช้งานได้ตามปกติ เวลาจะกดดูหนังหรือเปลี่ยนเพลงในคอมก็เอาเมาส์มาวางบนเตียงหรือโต๊ะใกล้ๆ ที่นั่งแล้วกดเลือกได้เลย และยังไม่นับรวมฟีเจอร์เฉพาะของเมาส์ไร้สายแนะนำแต่ละรุ่นซึ่งผู้เขียนเลือกมาแนะนำอีกด้วย

Advertisementavw
เมาส์ไร้สายแนะนำ

สรุปสเปค 7 เมาส์ไร้สายแนะนำ รวมมิตรสายเกมมิ่งและทำงาน

สเปคเมาส์ไร้สายแนะนำ Sensor & DPI

Connectivity

Software Supported OS Weight (กรัม) Price (บาท)
SteelSeries Rival 3 SteelSeries TrueMove Air

100~18,000 DPI

USB 2.4GHz

Bluetooth 5.0

SteelSeries Engine Windows

macOS

ChromeOS

Linux

PlayStation 4 และ 5

Xbox

106 1,690
FANTECH XD7 ARIA Pro PixArt 3395

50~26,000 DPI

USB 2.4GHz

Bluetooth 5.0

Personalization+ Windows

macOS

59 1,890
ASUS ROG Spatha X สูงสุด
19,000 DPI

USB 2.4 GHz

USB-C

ASUS Armoury Crate Windows 10 เป็นต้นไป 168 4,290
Pulsar X2 PixArt 3395
สูงสุด
26,000 DPI

USB 2.4 GHz

USB-C

โปรแกรมของ Pulsar Windows 7
ขึ้นไป

macOS

Linux

56 3,890
Seenda เมาส์ไร้สาย Ergonomic 800 / 1,200 / 1,600 DPI

USB 2.4 GHz

Bluetooth 4.0

เชื่อมต่อได้
3 เครื่อง

Windows

macOS

Android

756
Logitech Lift Vertical Ergonomic Mouse 400~4,000 DPI

USB 2.4 GHz

Bluetooth

เชื่อมต่อได้
3 เครื่อง

Logi Options+
รองรับ
Logitech Flow
Windows

macOS

iPadOS

ChromeOS

Linux

Android 8

125 1,790
Logitech MX Anywhere 3 Darkfield ปรับได้ 200~4,000 DPI

USB 2.4 GHz

Bluetooth

เชื่อมต่อได้
3 เครื่อง

Logi Options+
รองรับ
Logitech Flow
Windows

macOS

ChromeOS

Linux

iOS

iPadOS

Android

99 1,990

7 เมาส์ไร้สายแนะนำ รวมมิตรทั้งสายเกมมิ่งและ Ergonomic ให้เลือกกันแบบจุกๆ

ในอดีตเมาส์ไร้สายอาจจะมีราคาแพงประมาณ 3-5 พันบาท แต่เพราะเทคโนโลยีดีขึ้นเรื่อยๆ ราคาจึงถูกลงและหาซื้อได้ง่ายกว่าเดิมทั้งจากผู้ผลิตชั้นนำคุ้นหูใครหลายๆ คนและผู้ผลิตรายใหม่ที่ทำราคาถูกแต่ดีมาแข่งก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ซึ่งเมาส์ไร้สายแนะนำทั้งสายทำงานและเกมมิ่งตอนนี้มี 7 รุ่น ได้แก่

  1. SteelSeries Rival 3 (1,690 บาท)
  2. FANTECH XD7 ARIA Pro (1,890 บาท)
  3. ASUS ROG Spatha X (4,290 บาท)
  4. Pulsar X2 (3,890 บาท)
  5. Seenda เมาส์ไร้สาย Ergonomic (756 บาท)
  6. Logitech Lift Vertical Ergonomic Mouse (1,790 บาท)
  7. Logitech MX Anywhere 3 (1,990 บาท)

1. SteelSeries Rival 3 (1,690 บาท)

buyimg rival3wl 001.jpg 1920x1080 q100 crop fit optimize subsampling 2

เริ่มต้นกับเมาส์เกมมิ่งราคาประหยัดแบรนด์ขวัญใจเกมเมอร์หลายๆ คนอย่าง SteelSeries Rival 3 ซึ่งราคาไม่แพงหลักพันบาทต้นๆ แต่ฟีเจอร์เรียกว่าเทียบชั้นเกมมิ่งเมาส์ชั้นนำหลายรุ่นได้สบายๆ ดีไซน์เป็นแบบ False Ambidextrous จับถนัดทั้งสองมือ โดยเหมาะกับสไตล์ Claw, Fingertip Grip เน้นมือขวาเป็นหลัก ติดไฟ RGB มาตรงลูกล้อเมาส์ เชื่อมต่อผ่าน USB 2.4GHz หรือ Bluetooth 5.0 ก็ได้ ใช้งานได้นาน 400 ชั่วโมง ติดตั้งโปรแกรม SteelSeries Engine ไว้ตั้งค่าเซนเซอร์ SteelSeries TrueMove Air เซ็ตค่า DPI ได้ละเอียดตั้งแต่ 100~18,000 DPI มีอัตราเร่ง 40G ความเร็ว 400 IPS น้ำหนัก 106 กรัม ใช้งานได้หลากหลายระบบปฏิบัติการทั้ง Windows, macOS, ChromeOS, Linux, PlayStation 4 และ 5, Xbox ได้ทันที เป็นเมาส์ไร้สายแนะนำสำหรับคนหาของดีราคาไม่แรงเอาไว้เล่นเกมที่บ้านแล้วพกใส่กระเป๋าไปทำงานก็ดี

สเปคของ SteelSeries Rival 3

Sensor & DPI SteelSeries TrueMove Air ตั้งค่าได้ 100~18,000 DPI
การเชื่อมต่อ USB 2.4GHz, Bluetooth 5.0
โปรแกรมตั้งค่าเมาส์ SteelSeries Engine
ระบบปฏิบัติการ Windows, macOS, ChromeOS, Linux, PlayStation 4 และ 5, Xbox
น้ำหนัก 106 กรัม
ราคา 1,690 บาท (Pro Gadgets Shopee Mall)

2. FANTECH XD7 ARIA Pro (1,890 บาท)

Aria XD7 Superlightweight

ถ้าไม่ชอบไฟ RGB แต่ขอเมาส์ไร้สายแนะนำเจ๋งๆ เอาไว้ทำงานและเล่นเกมสักตัว FANTECH XD7 ARIA Pro เมาส์เกมมิ่งทรงไข่ทรง False Ambidextrous น้ำหนักเบาแค่ 59 กรัม ตัวนี้น่าสนใจมาก ซึ่งทางผู้ผลิตแนะนำว่ามันเมาะกับวิธีจับแบบ Claw, Fingetip Grip เป็นหลัก มีสวิตช์สลับโหมดการเชื่อมต่อได้ 3 แบบ ทั้งสาย USB-C, USB 2.4GHz หรือ Bluetooth 5.0 โหลดโปรแกรม Personalization+ มาติดตั้งใช้เซ็ตฟังก์ชั่น, มาโครและปรับค่า DPI ของเซนเซอร์ PixArt 3395 ได้ละเอียดตั้งแต่ 50~26,000 DPI มีอัตราเร่ง 50G และความเร็ว 650 IPS ใช้งานกับระบบปฏิบัติการ Windows, macOS ได้ ระยะเวลาใช้งานตอนเล่นเกมอยู่ได้นาน 40 ชั่วโมง เป็นเมาส์ไร้สายแนะนำสำหรับคนอยากซื้อเมาส์ตัวเดียวใช้เล่นเกมที่บ้านก็ดีหรือพกไปออฟฟิศก็ทำงานได้สะดวกและถ้าใครเบื่อไฟ RGB อยากจัดโต๊ะคอมคุมโทนให้ดูสวยมีสไตล์ก็แนะนำให้ซื้อเมาส์ตัวนี้ไปใช้ได้เลย

สเปคของ FANTECH XD7 ARIA Pro

Sensor & DPI PixArt 3395 ตั้งค่าได้ 50~26,000 DPI
การเชื่อมต่อ USB-C, USB 2.4 GHz, Bluetooth 5.0
โปรแกรมตั้งค่าเมาส์ Personalization+
ระบบปฏิบัติการ Windows, macOS
น้ำหนัก 59 กรัม
ราคา 1,890 บาท (Gadget Villa Shopee)

3. ASUS ROG Spatha X (4,290 บาท)

hero

ถ้าเกมเมอร์จะหาเมาส์ไร้สายแนะนำสำหรับเล่นเกม MOBA, MMO อยากเซฟปุ่มมาโครไว้ใช้หลายๆ แบบมี ASUS ROG Spatha X เป็นเมาส์ไร้สายแนะนำ นอกจากดีไซน์จะเท่ไม่เหมือนใครยังมีแท่นชาร์จไร้สายเฉพาะของเมาส์เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ได้แถมยังแต่งโต๊ะทำงานไปในตัว มีไฟ RGB เลือกโหมดเชื่อมต่อได้ 2 แบบ ทั้ง USB 2.4GHz และ USB-C ใช้โปรแกรม ASUS Armoury Crate เซ็ตตั้งค่าปุ่มมาโครบนตัวทั้ง 12 ปุ่ม ปรับค่า DPI ได้ละเอียดสุด 19,000 DPI มีอัตราเร่ง 50G กับความเร็ว 400 IPS ใช้งานไร้สายได้นานสุด 67 ชั่วโมง มีฟีเจอร์ชาร์จไว 15 นาทีเล่นเกมได้ 12 ชั่วโมง แต่เพราะฟังก์ชั่นเยอะตัวเมาส์จึงใหญ่มีน้ำหนักมากถึง 168 กรัม รองรับระบบปฏิบัติการ Windows 10 เป็นต้นไป ถือเป็นเมาส์ไร้สายแนะนำฟีเจอร์อลังการเน้นการเล่นเกมโดยเฉพาะรุ่นหนึ่ง

สเปคของ ASUS ROG Spatha X

Sensor & DPI 19,000 DPI
การเชื่อมต่อ USB 2.4 GHz, USB-C
โปรแกรมตั้งค่าเมาส์ ASUS Armoury Crate
ระบบปฏิบัติการ Windows 10 เป็นต้นไป
น้ำหนัก 168 กรัม
ราคา 4,290 บาท (ROG Shopee Mall)

4. Pulsar X2 (3,890 บาท)

Pulsar X2 Wireless Gaming Mouse 002

เมาส์ไร้สายสำหรับเกมเมอร์สาย FPS ตอบสนองไวต้องเป็น Pulsar X2 ดีไซน์เรียบสวยตอบสนองเร็วทันใจด้วยเซนเซอร์ PixArt PAW3395 ปรับค่า DPI ได้สูงสุด 26,000 DPI มีความเร็ว 650 IPS อัตราเร่ง 50G ตั้งค่าเซฟมาโครเซ็ตโปรไฟล์ได้ด้วยโปรแกรมของ Pulsar เมาส์ดีไซน์สมมาตร (Symmetrical) เหมาะกับ Claw, Fingertip Grip เป็นหลัก มีน้ำหนักเบาเพียง 56 กรัม ใช้เล่นเกมได้นาน 70 ชั่วโมง แบบไร้สายด้วย USB 2.4GHz หรือ USB-C ก็ได้ แถมมีสีแดงให้เลือกนอกจากสีขาวดำอีกด้วย ใช้งานได้ทั้ง Windows 7 ขึ้นไป, macOS, Linux

สเปคของ Pulsar X2

Sensor & DPI PixArt PAW3395 ปรับได้ 26,000 DPI
การเชื่อมต่อ USB 2.4 GHz, USB-C
โปรแกรมตั้งค่าเมาส์ โปรแกรมของ Pulsar
ระบบปฏิบัติการ Windows 7 ขึ้นไป, macOS, Linux
น้ำหนัก 56 กรัม
ราคา 3,890 บาท (Pulsar Shopee Mall)

5. Seenda เมาส์ไร้สาย Ergonomic (756 บาท)

sg 11134202 23030 wv9q6brhucovdd

นอกจากเล่นเกมแล้วก็มีเมาส์ไร้สายดีไซน์ตามหลักสรีระศาสตร์ให้เลือกอย่าง Seenda เมาส์ไร้สาย Ergonomic ที่ดีไซน์ให้จับเมาส์แบบแนวตั้งช่วยลดอาการปวดข้อมือหรือเมื่อยเวลาใช้งานยาวนานทั้งวัน เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ 3 เครื่องผ่านทาง USB 2.4GHz และ Bluetooth 4.0 ได้ ติดพอร์ต USB-C มาใช้ชาร์จแบตเตอรี่ ปรับค่า DPI ได้ 3 ระดับ คือ 800 / 1,200 / 1,600 DPI ใช้กับระบบปฏิบัติการ Windows, macOS, Android ได้ มีไฟ RGB เพื่อความสวยงามและบอกปริมาณแบตเตอรี่ที่เหลือในเมาส์ได้อีกด้วย เป็นเมาส์ไร้สายแนะนำสำหรับคนหาเมาส์ทำงานราคาประหยัดเอาไว้ใช้สักตัวหนึ่ง

สเปคของ Seenda เมาส์ไร้สาย Ergonomic

Sensor & DPI 800 / 1,200 / 1,600 DPI
การเชื่อมต่อ USB 2.4 GHz และ Bluetooth 4.0 เชื่อมต่อได้ 3 เครื่อง
โปรแกรมตั้งค่าเมาส์
ระบบปฏิบัติการ Windows, macOS, Android
น้ำหนัก
ราคา 756 บาท (Seenda Shopee Mall)

6. Logitech Lift Vertical Ergonomic Mouse (1,790 บาท)

lift intro pink tablet

เมาส์ไร้สายสำหรับใช้ทำงานจากแบรนด์ชั้นนำระดับโลกจะมี Logitech Lift Vertical Ergonomic Mouse เป็นรุ่นแรกที่เลือกมาแนะนำ ซึ่งดีไซน์ออกแบบตามหลักสรีระศาสตร์และทดสอบใน The Logi Ergo Lab ให้ใช้งานได้ดีสุด โดยเมาส์จะตั้งทำมุม 57 องศาให้วางมือแนวตั้งตามแนวแขนแล้วใช้ได้เลย ติดปุ่มใช้งานต่างๆ มาครบถ้วน ตั้งค่าได้ด้วยโปรแกรม Logi Options+ ปรับตั้งค่า DPI ได้ 400~4,000 DPI เชื่อมต่อ USB 2.4GHz และ Bluetooth กับ Windows, macOS, iPadOS, ChromeOS, Linux, Android 8 ได้พร้อมกันได้มากสุด 3 เครื่องและกดสลับใช้งานได้ ใช้ถ่าน AA x 1 ก้อน ใช้งานได้นาน 24 เดือน น้ำหนักรวม 125 กรัม สกรอล์เมาส์เป็นแบบ SmartWheel หมุนตามความเร็วการกรอนิ้วและรองรับ Logitech Flow ใช้เมาส์คีย์บอร์ด Master Series ชุดเดียวคุมคอมพิวเตอร์พร้อมกันได้ 3 เครื่อง สลับใช้งานโดยอัตโนมัติ ไม่เกี่ยงระบบปฏิบัติการอีกด้วย เป็นเมาส์ Ergonomic เพื่อสายทำงานที่น่าใช้และราคาไม่แพงอีกด้วย

สเปคของ Logitech Lift Vertical Ergonomic Mouse

Sensor & DPI 400~4,000 DPI
การเชื่อมต่อ USB 2.4 GHz, Bluetooth
โปรแกรมตั้งค่าเมาส์ Logi Options+ รองรับ Logitech Flow
ระบบปฏิบัติการ Windows, macOS, iPadOS, ChromeOS, Linux, Android 8
น้ำหนัก 125 กรัม
ราคา 1,790 บาท (Hardware Corner Shopee)

7. Logitech MX Anywhere 3 (1,990 บาท)

mx anywhere 3 product gallery rose rear

ถ้าหาเมาส์ไร้สายดีไซน์จับถนัดมือและสกรอล์เมาส์ MagSpeed เลื่อนหน้าจอได้อย่างรวดเร็วและปรับโหมดการเลื่อนได้ 2 แบบทั้งสกรอล์ปกติและแบบ Linear ลื่นต่อเนื่อง ต้อง Logitech MX Anywhere 3 เมาส์สายทำงานหนึ่งในซีรี่ส์ Master ที่ลงทุนเอาไว้อย่างไรก็คุ้ม โดยตัวนี้ติดตั้งเซนเซอร์ Darkfield ปรับค่า DPI ได้ 200~4,000 DPI และเป็นเซนเซอร์ประสิทธิภาพสูงใช้งานบนโต๊ะกระจกได้ ใช้โปรแกรม Logi Options+ ปรับตั้งค่าเมาส์ได้โดยละเอียดแถมรองรับ Logitech Flow เช่นกัน เชื่อมต่อ Windows, macOS, ChromeOS, Linux, iOS, iPadOS, Android ได้ด้วย USB 2.4 GHz และ Bluetooth มีแบตเตอรี่ในตัวใช้งานได้นาน 70 วัน ชาร์จแบตเตอรี่ด้วยพอร์ต USB-C มีน้ำหนัก 99 กรัม แต่ขนาดกะทัดรัดจึงเหมาะจะพกใส่กระเป๋าไปไหนมาไหนมาก ถ้าใครหาเมาส์ไร้สายพกสะดวกไว้ใช้ รุ่นนี้ถือว่าตอบโจทย์มากๆ

สเปคของ Logitech MX Anywhere 3

Sensor & DPI Darkfield ปรับได้ 200~4,000 DPI
การเชื่อมต่อ USB 2.4 GHz และ Bluetooth
โปรแกรมตั้งค่าเมาส์ Logi Options+ รองรับ Logitech Flow
ระบบปฏิบัติการ Windows, macOS, ChromeOS, Linux, iOS, iPadOS, Android
น้ำหนัก 99 กรัม
ราคา 1,990 บาท (Hardware Corner Shopee)
sanju pandita BBgkm62ySL0 unsplash

เมาส์ไร้สายนาทีนี้ไม่ว่าจะสายทำงานหรือเกมมิ่งก็ถือว่าน่าใช้ทั้งนั้น โดยเฉพาะเมาส์เกมมิ่งไร้สายที่ผู้ใช้หลายคนน่าจะซื้อมาใช้เล่นเกมและทำงานได้ทั้งคู่ แต่เมาส์สำหรับใช้ทำงานโดยเฉพาะอาจโดนเมินไปบ้าง ซึ่งเมาส์ Ergonomic นั้นนอกจากจะดีต่อสุขภาพแขนลดโอกาสเกิด Office syndrome ได้แล้ว มันยังใส่ฟีเจอร์ไว้ใช้ทำงานมาโดยเฉพาะซึ่งไม่มีเมาส์เกมมิ่งตัวไหนเหมือนมาให้ โดยเฉพาะ Logitech Flow ฟีเจอร์ที่ใช้คุมคอมพิวเตอร์ 2-3 เครื่องพร้อมกันได้โดยไม่ต้องกดสลับเครื่องและยังโอนย้ายไฟล์ข้ามคอมพิวเตอร์ได้ไม่เกี่ยงระบบปฏิบัติการก็ช่วยให้ผู้ใช้ที่มีพีซีและโน๊ตบุ๊คสามารถทำงานได้ไหลลื่นขึ้น แถมยังมีลูกเล่นอย่างตั้งคีย์ลัดใช้งานบ่อยในแต่ละโปรแกรมเอาไว้ได้อีก เรียกว่ามีข้อดีให้เลือกและทุ่นเวลาทำงานไปได้ระดับหนึ่งเลย ดังนั้นถ้าเราเลือกเมาส์ให้ถูกโจทย์การทำงานล่ะก็ นอกจากสะดวกแล้วยังเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้มากขึ้นอีก


บทความที่เกี่ยวข้อง

ReviweLogaMouse
Share image Edit Name 232inch 1
5สินค้าaMD

from:https://notebookspec.com/web/701966-7-wireless-mouse-for-work-and-gaming

เมาส์ไร้สาย 2023 ไม่เกิน 1,000 แบตอึดใช้นาน เลือกยังไง 10 รุ่นเด็ดใช้จนลืม

เมาส์ไร้สาย 10 รุ่น ไม่เกิน 1,000 ปี 2023 เลือกแบบไหนดี สวย ทน แบตอึด กระชับมืองบไม่บาน

เมาส์ไร้สาย

เมาส์ไร้สาย จัดว่าเป็นอุปกรณ์ที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญและผู้ใช้งาน Notebook หลายท่านก็มักจะพกพาไปใช้งานข้างนอก ดังนั้นนอกจากเรื่องของการพกพาแล้วยังมีเรื่องของแบตเตอรี่ที่ใช้ได้ยาวนานหลายสัปดาห์มาเป็นอีกสิ่งที่ใช้พิจารณาอีกด้วย ในปี 2023 มี Wireless mouse ให้เลือกหลายรุ่น โดยเฉพาะเมาส์ไร้สายที่พกพาสะดวกและแบบอึดในราคาสบายกระเป๋า ที่จัดว่าเป็นรุ่นใหม่ ดีไซน์ใหม่หมด เบาเพียง 100 กรัม จับถนัดมือ เช่นเดียวกับในวันนี้เราได้นำเมาส์ ไร้สายพกพาได้ 10 รุ่นในงบประมาณไม่ถึง 1,000 บาทมาให้ได้เลือกกันจะมีรุ่นไหนที่ถูกใจคุณบ้างไปติดตามชมกันครับ

เมาส์ไร้สาย 2023 ไม่เกิน 1,000 บาท

เลือกเมาส์ไร้สายอย่างไรดี?

มิติและความถนัดมือ: เรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญเพราะคุณจะต้องจับถือ เพื่อใช้ในการทำงานหรือการท่องอินเทอร์เน็ตอยู่ทั้งวัน หากใหญ่เกินไป จับไม่สะดวก หรือเล็กเกินไปที่จะขยับเลื่อนไป ไม่คล่องมือ ก็คงไม่เหมาะกับการใช้งาน อีกทั้งต้องมองเรื่อง Mouse Grip หรือที่จับด้านข้าง ให้ประคองเมาส์ ลื่นไหลไปมาได้อย่างสะดวก ซึ่งเป็นเรื่องที่หลายคนให้ความสนใจ นั่นก็เพราะเมาส์ไร้สายส่วนใหญ่จะมีขนาดที่เล็กนั่นเอง นอกจากนี้ต้องดูเรื่องของการจับเมาส์ในแต่ละแบบด้วย เช่น

Advertisementavw
เมาส์ไร้สาย
  • Claw Grip กลุ่มนี้จะเน้นการยกนิ้วชี้และนิ้วกลางให้สูง วางมือที่เมาส์น้อย ดังนั้นขนาดเมาส์อาจไม่ได้มีผลมากนัก แต่ปุ่มอาจจะต้องมีขนาดใหญ่ ปุ่มมาโครด้านข้างจะมีหรือไม่ก็ได้
  • Palm Grip การจับในรูปแบบนี้คุณต้องใช้พื้นที่ในการวางอุ้งมือค่อนข้างเยอะเพื่อให้มีความถนัดมากที่สุดดังนั้นอาจจะต้องใช้เมาส์ที่มีขนาดกลางถ้าเล็กไปอาจไม่สะดวก Grip ด้านข้างจะช่วยให้เคลื่อนไหวได้คล่องตัวมากขึ้น
  • Fingertip ท่านี้จะเป็นการถอยอุ้งมือมาทางด้านหลังเมาส์ และวางนิ้วแนบไปกับตัวเมาส์ ดังนั้นปุ่มคลิ๊กอาจจะต้องยืดมาทางด้านหลัง การใช้เมาส์ที่มีลักษณะไม่โค้งมน ก็ช่วยให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น

แบตเตอรี่และระยะเวลาการใช้งาน: Wireless mouse จะมีข้อจำกัดอยู่ที่แบตเตอรี่ และช่วงเวลาในการใช้ ไม่เหมือนกับเมาส์ที่มีสาย ซึ่งระยะเวลาการใช้งานถือว่าสำคัญ ยิ่งผู้ที่ต้องนำไปใช้นอกสถานที่่ ต้องเลือกที่ใช้งานได้นาน ส่วนจะสะดวกใช้แบบถ่านอัลคาไลน์หรือมีแบตในตัว ก็ต้องพิจารณาตามความเหมาะสม ถ่านก้อนหาซื้อได้ง่าย หมดแล้วเปลี่ยนใช้ได้เลย แต่แบตในตัวบางครั้งก็ต้องรอชาร์จ แต่ก็ใช้งานได้ยาวนาน ซึ่งจะมีบางรุ่นเท่านั้นที่ต่อสายชาร์จและใช้งานไปพร้อมกันได้

เมาส์ไร้สาย

ฟังก์ชั่นและการเชื่อมต่อ: หลักๆ Wireless mouse จะใช้เป็นแบบ ไร้สาย 2.4GHz ร่วมกับ USB Receiver ขนาดเล็ก ซึ่งคล่องตัวดี สำหรับโน๊ตบุ๊คหรือพีซีตั้งโต๊ะ แต่บางรุ่นสามารถสลับสัญญาณ Bluetooth ให้ด้วย สามารถใช้กับสมาร์ทโฟน หรือแท็ปเล็ต บางรุ่นก็รองรับ iPad ได้ ก็ง่ายต่อการใช้งานสำหรับคนที่มีอุปกรณ์หลากหลายนั่นเอง

เมาส์ไร้สาย

องค์ประกอบอื่นๆ: เสียงปุ่ม มาโคร หรือดีไซน์ และลูกเล่นอย่างแสงไฟ RGB ตรงนี้ก็ต้องดูตามความเหมาะสม เพราะบางคนอาจจะชอบเสียงรบกวนที่น้อย มีสมาธิมากขึ้น และไม่รบกวนคนรอบข้าง หรือบางท่านก็ชอบแสงสี ที่ดูโดดเด่น ช่วยเพิ่มความสวยงาม แต่บางทีก็จะใช้แบตเตอรี่เพิ่มขึ้น หรือปุ่มมาโคร ที่ใช้ตั้งค่าเป็นคีย์ลัด เลือกฟังก์ชั่นเพิ่มเติมได้ รวมไปถึงคนที่ชอบดีไซน์และรูปลักษณ์ ก็อาจจะไม่แปลก ที่จะเลือก Wireless mouse ให้ตรงสไตล์ของแต่ละบุคคล


1.RAPOO M650-SILENT

เมาส์ไร้สาย

เมาส์ไร้สายในไซส์ขนาดกะทัดรัด มิติที่ยาวเพียง 14cm จุดเด่นอยู่ที่เสียงคลิ๊กค่อนข้างเบา เหมาะกับการใช้งานในหลายสถานที่ ไม่รบกวนคนอื่นๆ ให้การเชื่อมต่อได้ถึง 2 รูปแบบไม่ว่าจะเป็นแบบไร้สายหรือสัญญาณ Bluetooth ดังนั้นจึงใช้ได้ทั้ง Notebook หรือพีซีตั้งโต๊ะ รวมถึงแท็บเล็ตก็ตาม ให้ความละเอียดได้ถึง 1,300 dpi และยังรองรับ Mac OS ได้อีกด้วยด้านข้างมาพร้อมวัสดุคล้ายยางอ่อนนุ่มจับถนัดมือส่วนแบตเตอรี่แบบ AAA ก้อนเดียว ใช้งานรวมกับการสแตนบายได้นานถึง 9 เดือนด้วยกัน การรับประกันอยู่ที่ 2 ปีราคาแค่ 489 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ใช้ได้ทั้ง Wireless และ BT มีมิติค่อนข้างยาว
แบตใช้ได้นาน

ไปช้อปกันได้ที่: RAPOO


2.PHILIPS Wireless Mouse

เมาส์ไร้สาย

และถ้าใครชื่นชอบความเรียบหรูดูดี การวางมือทำได้ง่ายเหมาะทั้งการจับแบบ Palm Grip รวมถึง Fingertip โดย Wireless mouse รุ่นนี้ตอบโจทย์คุณได้ รองรับการเชื่อมต่อแบบไร้สาย 2.4G ความละเอียดสูงสุด 2,000 dpi ให้ความทนทานในการคลิกถึง 3 ล้านครั้ง แบตเตอรี่ใช้ถ่าน AAA ก้อนเดียว แต่ใช้งานได้ค่อนข้างนาน น้ำหนักเบากว่าหลายๆ รุ่น สนับสนุนทั้ง Windows และ OS อื่นๆ วัสดุจับถนัดมือ ที่สำคัญยังใช้งานได้ทั้งมือซ้ายและขวา การรับประกัน 2 ปีราคาเพียง 499 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ใช้ได้ทั้งมือซ้ายและขวา มิติออกไปทางกว้าง
ความละเอียด 2000 dpi

ไปช้อปกันได้ที่: PHILIPS


3.LOGITECH M331D

เมาส์ไร้สาย

หนึ่งใน Wireless mouse รุ่นที่ได้รับความนิยมในท้องตลาด ด้วยทั้งรูปลักษณ์ที่จับถนัดมือออกแบบคล้าย Gaming Mouse ให้การเชื่อมต่อแบบไร้สายโดยมีความละเอียดที่ 1,000 dpi ออกแบบมาเพื่อผู้ใช้ที่ถนัดมือขวา จุดเด่นอยู่ที่การคลิกเมาส์เสียงค่อนข้างเงียบ ด้านใต้มาพร้อม Mouse skate ที่มีความลื่นไหล โดยมีตัวรับสัญญาณขนาดเล็ก สามารถเก็บซ่อนในตัวเมาส์ได้ แบตเตอรี่ใช้ร่วมกับถ่าน AA 1 ก้อนใช้งานได้นานถึง 24 เดือน รองรับการใช้งานได้ทั้ง Windows และ macos การรับประกัน 1 ปีราคา 590 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
กริ๊ปจับถนัดมือ ความละเอียด 1,000 dpi
แบตใช้ได้นาน

ไปช้อปกันได้ที่: LOGITECH


4.EGA TYPE-M8

เมาส์ไร้สาย

ต้องถือว่าเป็นหนึ่งในเมาส์ไร้สายไม่กี่รุ่นในครั้งนี้ ที่มาในสไตล์ของ Gaming Mouse ซึ่งเป็นงานถนัดของค่ายนี้ การเชื่อมต่อเป็นแบบไร้สาย 2.4G มีชิปเซตมาให้ตอบโจทย์การเล่นเกมโดยเฉพาะ เนื่องจากให้ความแม่นยำสูง และที่แตกต่างก็คือมีแบตเตอรี่มาในตัวขนาด 900 mAh สามารถใช้งานรวมถึงการสแตนบายสูงสุดถึง 70 ชั่วโมง การออกแบบและวัสดุ มีความสวยงาม เน้นโครงสร้างที่ให้ Gamer จับได้ถนัด แต่อาจจะไม่เหมาะกับคนที่ชอบการเสียงคลิ๊กที่เงียบ พร้อมสวิตซ์ที่คลิกได้มากกว่า 30 ล้านครั้ง เซ็นเซอร์ความละเอียดถึง 10,000 dpi พร้อมกันนี้ยังมีแสงไฟ LED บอกสถานะมาพร้อมสายชาร์จที่เป็นแบบ USB Type-C ให้อีกด้วย สนนราคาอยู่ที่ 619 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ชาร์จไฟได้ มีแบตในตัว มิติค่อนข้างใหญ่
ความละเอียด 10,000 dpi

ไปช้อปกันได้ที่: EGA


5.MICROSOFT 8KX ARCTIC CAMO

เมาส์ไร้สาย

ดูจะเป็นเมาส์ไร้สายที่หลายคนชื่นชอบเลยทีเดียว ทั้งในเรื่องของการออกแบบและมิติ เพราะว่ามาในดีไซน์ที่กระทัดรัดออกแนวค่อนข้างราบแบนไม่สูงเหมือนกับในหลายรุ่น แต่ยังคงจับถนัดมือ เหมาะกับการพกพา โดยซีรีย์นี้มาในแบบลายพราง CAMO นอกจากนี้ยังมีลายอื่นๆ ให้เลือกใช้ การเชื่อมต่อเป็นแบบไร้สาย รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth เพื่อให้ใช้ร่วมกับ Notebook หรือแท็บเล็ตได้อีกด้วย ข้อดีคือเชื่อมต่อได้ง่ายแค่กดที่ปุ่มตรงกลางรองรับการใช้งานได้ทั้งมือซ้ายและขวา แบตเตอรี่ใช้ร่วมกับถ่านแบบ AA จำนวน 1 ก้อน ใช้งานได้นานถึง 12 เดือนด้วยกันนอกจากนี้ยังมีปุ่มให้ 3 ปุ่มคลิ๊กมาตรฐานน้ำหนักค่อนข้างดี กดแล้วเสียงไม่รบกวนมาก การรับประกัน 1 ปีราคา 699 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ดีไซน์สวย กระชับมือ การเชื่อมต่อ Bluetooth
แบตสแตนบายได้นาน

ไปช้อปกันได้ที่: MICROSOFT


6.LOGITECH M350 BLUEBERRY

เมาส์ไร้สาย

เมาส์ไร้สายที่ดูละมุนในแบบมินิมอล กับสีสันที่ดูทันสมัยรูปทรงโค้งมนสอดรับกับมือผู้ใช้ได้อย่างลงตัวและเป็นแบบที่พกพาได้ง่าย จุดเด่นอยู่ที่ปุ่มคลิกและสกอร์เมาส์ที่มีเสียงเบาไม่รบกวนคนอื่น ให้การเชื่อมต่อได้ทั้งแบบไร้สาย 2.4G และการเชื่อมต่อ Bluetooth จึงใช้ได้ทั้ง Notebook PC และแท็บเล็ต รองรับทั้ง Windows, macos และ Android มีให้เลือกถึง 3 สีด้วยกัน ให้ความละเอียดมาตรฐาน 1,000 dpi พร้อมปุ่มคลิก 3 ปุ่มใช้งานได้ทั้งมือซ้ายและขวา แบตเตอรี่เป็นแบบถ่าน AA จำนวน 1 ก้อน รองรับการใช้งานและสแตนบายได้ถึง 18 เดือน การรับประกัน 1 ปี ราคาอยู่ที่ 720 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ใช้ได้ทั้งมือซ้ายและขวา ความละเอียด 1,000 dpi
รองรับ Wireless และ BT

ไปช้อปกันได้ที่: LOGITECH


7.RAPOO M700-SILENT

เมาส์ไร้สาย

เป็นเมาส์ไร้สายที่รูปทรงค่อนข้างแปลกตา เพราะส่วนใหญ่มักมาในแบบวงรี แต่เมาส์ Rapoo รุ่นนี้มาแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้า แต่ก็อยู่ในเกณฑ์ที่จับได้ถนัดมือเช่นกัน ความโดดเด่นอยู่ที่การเชื่อมต่อได้ทั้ง Wireless และ Bluetooth ให้ความละเอียดได้สูงถึง 2,400 dpi และยังเป็นแบบ Optical ซึ่งใช้ได้ร่วมกับพื้นผิวต่างๆ ได้ดี แบตเตอรี่ใช้เป็นถ่าน AA จำนวน 1 ก้อนรองรับการใช้งานได้ทั้ง Windows, macOS และ Android ปุ่มคลิกค่อนข้างเงียบ จึงให้ความเป็นส่วนตัวในการใช้ไม่รบกวนคนอื่น วัสดุแข็งแรงมีน้ำหนัก จึงเหมาะกับคนที่ชื่นชอบเมาส์ที่มีการคอนโทรลได้ง่ายไม่เบาเกินไป สนนราคาอยู่ที่ 750 บาทและการรับประกัน 2 ปี

จุดเด่น ข้อสังเกต
รองรับทั้ง Wireless และ BT มิติรูปลักษณ์ไปทางแนวกว้าง
ปุ่มคลิ๊กเสียงรบกวนน้อย

ไปช้อปกันได้ที่: RAPOO


8.TARGUS AMB582

เมาส์ไร้สาย

เมาส์ไร้สายที่มีดีไซน์ล้ำสมัยในขนาดที่กระทัดรัด มาในโทนสีดำมาตรฐาน จุดเด่นอยู่ที่รองรับการเชื่อมต่อได้ถึง 3 อุปกรณ์ให้ความละเอียดสูงสุด 2400 dpi พร้อมปุ่มกดที่สามารถใช้งานได้ถึง 6 กลุ่มด้วยกันการเชื่อมต่อนั้นใช้ได้ทั้งไร้สาย 2.4 G และ Bluetooth เพื่อใช้งานร่วมกับ Notebook และอุปกรณ์ mobile ต่างๆภายนอกเคลือบสารป้องกันการสะสมของแบคทีเรีย ออกแบบมาเน้นการใช้งานสำหรับคนถนัดขวา ใช้แบตเตอรี่เป็นถ่าน AA จำนวน 1 ก้อน การรับประกันสูงถึง 3 ปีราคา 790 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ความละเอียด 2,400 dpi เหมาะกับคนถนัดขวา
ใช้ได้ทั้ง Wireless และ BT

ไปช้อปกันได้ที่: TARGUS


9.SIGNO WG-901 WARROX

เมาส์ไร้สาย

เรียกว่าเป็น Wireless Gaming Mouse แบบไร้สายที่ทำราคาได้ดีและมีฟังก์ชันที่น่าสนใจ เหมาะทั้งการเล่นเกมและการทำงานปุ่มกดรองรับได้มากถึง 20 ล้านครั้งกับบอดี้ที่ออกแบบให้เข้ากับการใช้งานและการจับถือได้อย่างถนัด ลูกเล่นแสงไฟที่ตัวเมาส์ก็ปรับได้ถึง 10 โหมด พร้อมปุ่มที่มาโครได้ถึง 8 ปุ่มด้วยกัน ให้ความละเอียดสูงสุดถึง 10,000 dpi พร้อมเซ็นเซอร์ที่ให้ความแม่นยำรองรับการเชื่อมต่อแบบไร้สาย 2.4 G หรือจะใช้งานแบบต่อสาย USB ก็ได้แม้จะเป็นเมาส์ที่มากไปด้วยฟังก์ชัน แต่น้ำหนักก็ยังเบาส่วนมิติมากกว่ารุ่นอื่นๆ เล็กน้อย ระยะการใช้งานแบบไร้สายทำได้สูงสุดพร้อมแสงไฟ 20 ชั่วโมง แบตเตอรี่เป็นแบบลิเธียม 600 มิลลิแอมป์ พร้อมตัวชาร์จแบบ USB Type C รับประกัน 1 ปีราคา 890 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ความละเอียดถึง 10,000 dpi มิติค่อนข้างใหญ่
แบตในตัว ต่อสายชาร์จไปใช้ไปก็ได้

ไปช้อปกันได้ที่: SIGNO


10.LOGITECH POP BLAST YELLOW

เมาส์ไร้สาย

เป็นเมาส์ไร้สายจากค่ายที่มีความชำนาญในด้านการผลิตเมาส์ ดีไซน์ที่ดูทันสมัยคล้ายกับรุ่นก่อนหน้านี้ที่เราได้แนะนำไป โดยรองรับการเชื่อมต่อได้ถึง 3 อุปกรณ์ปุ่มด้านบนสามารถตั้งเป็นอิโมจิสำหรับการแชทได้ รวมถึงการตั้งค่าโอนซอฟต์แวร์ logitech รองรับการใช้งานได้ทั้ง Windows, macOS และ Android ความเก๋ของ Mouse รุ่นนี้อยู่ที่ขนาดกะทัดรัดพกพาสะดวก ใส่กระเป๋าไปใช้ข้างนอกได้ง่าย มีเทคโนโลยีที่ช่วยให้ลดเสียงรบกวนทั้งในการคลิ๊กและการเลื่อนเมาส์ แบตเตอรี่เป็นแบบถ่าน AA จำนวน 1 ก้อนรองรับการสแตนบายได้ถึง 2 ปี ความละเอียดสูงสุดที่ 4,000 dpi การรับประกัน 1 ปีราคา 990 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
แบตสแตนบายใช้ได้นาน ราคา 990 บาท
ต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ ใช้งาน 3 อุปกรณ์

ไปช้อปกันได้ที่: LOGITECH


Conclusion

Model DPI Connectivity Battery Lifetime
(Month)
Warranty
(Year)
Price
(Baht)
1.RAPOO M650-SILENT 1,300 Wireless/BT 1x AAA 9 2 489
2.PHILIPS Wireless Mouse 2,000 Wireless 2.4GHz 1x AAA N/A 2 499
3.LOGITECH M331D 1,000 Wireless 2.4GHz 1x AA 24 1 590
4.EGA TYPE-M8 10,000 Wireless 2.4GHz Li-Poly 600mAH 70 N/A 619
5.MICROSOFT 8KX ARCTIC 1,000 BT 1x AA 12 1 699
6.LOGITECH M350 1,000 Wireless/BT 1x AA 18 1 720
7.RAPOO M700-SILENT 2,400 Wireless/BT 1x AA N/A 2 750
8.TARGUS AMB582 2,400 Wireless/BT 1x AA N/A 3 790
9.SIGNO WG-901 WARROX 10,000 Wire/ Wireless 2.4GHz Li-Poly 600mAH 20 Hours 1 890
10.LOGITECH POP BLAST 4,000 BT/ USB Bolt 1x AA 24 1 990

เป็นอย่างไรกันบ้างครับ มีเมาส์ไร้สายหนึ่งในนี้ ที่โดนใจกับการใช้งานของคุณบ้างหรือไม่ เพราะถ้าเน้นความสะดวก ใช้งานได้นาน พกพาง่าย เชื่อว่าน่าจะมีหลายรุ่นที่ตอบโจทย์ได้เลย สำหรับเมาส์ไร้สาย 10 รุ่นนี้ หากคุณจะเน้นเรื่องราคา ขนาดเล็ก พกพาสะดวก แนะนำ Rapoo M650, Philips และ Logitech กับราคาประมาณ 500 บาท สบายกระเป๋า แต่ถ้ามีอุปกรณ์ทั้งพีซี โน๊ตบุ๊คและแท็ปเล็ต ตัวเลือกอย่าง Logitech M350, Targus, Logitech POP ก็ถือว่ามีครบคุ้ม จะมีบางรุ่นที่รองรับการเชื่อมต่อได้หลายอุปกรณ์ แต่ถ้าในแง่ของทำงานด้วย เล่นเกมไปด้วย ก็มีทั้ง Signo และ EGA ที่ดีไซน์มาล้ำๆ ใช้ปุ่มมาโครได้ กดรัวๆ ได้สนุกมือ และถ้าเป็นเมาส์เสียงเบา ก็ได้เกือบทุกรุ่นเลยครับ ทีนี้ก็เหลือการตัดสินใจของผู้ใช้แล้ว ว่าชอบแบบใดมากที่สุด


เมาส์ไร้สาย

แก้ปัญหาเมาส์ไร้สาย เปิดติด แต่ไม่ทำงานใน 7 ขั้นตอน

from:https://notebookspec.com/web/696735-10-wireless-mouse-2023-1000-baht

HyperX Pulsefire Haste 2 Wireless เล่นเกมสะใจ ไร้ขีดจำกัด ไร้สาย 2 ระบบ แบตอึด

HyperX Pulsefire Haste 2 Wireless เกมมิ่งเมาส์ไร้สาย 2 ระบบ ดีไซน์ล้ำ ตอบสนองไว ได้ใจคอเกม 2023

HyperX Pulsefire Haste 2

HyperX Pulsefire Haste 2 Wireless เกมมิ่งเมาส์ไร้สายรุ่นใหม่ เจนเนอเรชั่นที่ 2 ออกแบบมาเพื่อคอเกมโดยเฉพาะ น้ำหนักเบา ให้ความแม่นยำสูง กับรูปลักษณ์ที่ปรับใหม่ ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ที่ดูล้ำสมัย HyperX 26K Sensor เซ็นเซอร์ที่ให้ความแม่นยำกับความละเอียดสูงสุด 26,000DPI ตอบโจทย์คอเกม ที่ชอบเล่นเกมบนจอใหญ่ ความละเอียดสูง ปุ่มคลิ๊กที่ทนทานระดับ 100 ล้านครั้ง เพิ่มความสวยงามด้วยแสงไฟ RGB ปรับแต่งปุ่มมาโครได้บนซอฟต์แวร์ HyperX NGENUITY ง่ายดาย แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ ให้คุณใช้งานแบบไร้สายได้ยาวนานยิ่งขึ้น เพิ่มฟังก์ชั่นด้วยทางเลือกการเชื่อมต่อบลูทูธ ให้ใช้งานได้หลากหลาย ให้คุณสนุกสนานไปกับการเล่นเกมโปรดได้ในทุกวัน


จุดเด่น

  • เชื่อมต่อได้ทั้ง Wireless และ Bluetooth
  • มีแสงไฟ RGB ปรับแต่งได้
  • สีขาวเข้ากันได้ในทุกโอกาส
  • มี Grip เสริมด้านข้างมาให้
  • แบตอึดใช้งานได้นาน
  • ต่อสายใช้งานได้ ชาร์จไฟในตัว
  • ขนาดพอเหมาะใช้ได้ทั้งชายและหญิง
  • ปรับค่า DPI ได้ง่าย
  • มีซอฟต์แวร์ปรับแต่งสะดวก

ข้อสังเกต

  • ไม่มีช่องระบายอากาศที่มือแล้ว
  • น่าจะเพิ่มจุดแสงไฟ RGB มาให้อีก

HyperX Pulsefire Haste 2 Wireless


Specification

Description
Buttons 6
Cable type Detachable, HyperFlex 2 USB-C to USB-A Cable
Cable length 1.8m
Connection type 2.4GHz Wireless / Bluetooth® 5.0 / Wired
DPI presets 400 / 800 / 1600 / 3200 DPI
Length 4.89in
Left/ right buttons durability 100 million clicks
Left/ right buttons switches HyperX Switch
Acceleration 50G
Polling rate Up to 1000Hz
Max resolution Up to 26000 DPI
Optical sensor HyperX 26K Sensor
Shape Symmetrical
Skate material Virgin-grade PTFE
Speed 650 IPS
Weight (without cable): 60g
Weight (with cable): 83g
Battery life Up to 100 hours
Battery type 370mAh Li-ion polymer battery
Charging type USB-C
Price
ข้อมูลเพิ่มเติม: HyperX

Unbox

HyperX Pulsefire Haste 2

แพ๊คเกจทำออกมาได้แปลกตาเลยทีเดียว สำหรับ HyperX Pulsefire Haste 2 Wireless รุ่นใหม่นี้ เพราะฉีกจากกล่องในรุ่นก่อนหน้า ที่เป็นโทนสีแดง-ดำ แต่ก็ดูล้ำสมัย กับการใส่กราฟิกของเมาส์ ให้เห็นอย่างชัดเจน พร้อมรายละเอียดฟีเจอร์ต่างๆ มาเกือบครบ ไม่ว่าจะเป็น การเชื่อมต่อ 2.4GHz, น้ำหนัก 61 กรัม, ใช้งานได้นาน 100 ชั่วโมง และใช้เซ็นเซอร์ HyperX 26K อีกด้วย

Advertisementavw
HyperX Pulsefire Haste 2

ด้านหลังบอกข้อมูลของอุปกรณ์ภายในกล่อง ซึ่งคุณสามารถใช้ในการตรวจเช็คได้ว่า มีของมาครบหรือไม่ เช่น สายเคเบิล ตัวรับสัญญาณหรือจะเป็นสายชาร์จ และ Grip tape เป็นต้น

HyperX Pulsefire Haste 2

แกะกล่องออกมา เห็นตัวเมาส์ ที่บรรจุเอาไว้อย่างดี ในโทนสีขาวดูสวยสะดุดตา ด้านในทำออกมาได้ดี มีกันกระแทกเกือบรอบตัวเลยทีเดียว

เวลาที่แกะกล่องออกมา ให้ความรู้สึกเหมือนกับเปิดกล่องสมาร์ทโฟน ที่ซื้อมาใหม่ๆ ดูต่างจากกล่องแบบเดิมที่มีกันกระแทกแบบพลาสติกสีดำ ที่เราเคยเห็นกันก่อนหน้านี้

HyperX Pulsefire Haste 2

สิ่งสำคัญที่มีอยู่ภายในนั่นคือ คู่มือแนะนำหรือประกอบการใช้งาน เนื่องจาก HyperX Pulsefire Haste 2 Wireless เป็นเมาส์ที่มีรายละเอียด และฟังก์ชั่นพอสมควร การมีคู่มือ ก็ช่วยให้มือใหม่ หรือคนที่อยากจะใช้งานแบบลงลึกหรือเพิ่มความสะดวกในการตั้งค่า ใช้งานได้เต็มที่มากขึ้น

HyperX Pulsefire Haste 2

HyperX ให้สายสัญญาณที่ใช้ทั้งในการชาร์จไฟ และยืดระยะตัวรับสัญญาณให้ไกลกว่าเดิมได้ กรณีที่ใช้พีซี แล้วอยากจะให้ระยะการเชื่อมต่อใกล้กับเมาส์ หรือเอามาเป็นสายชาร์จให้กับเมาส์นั่นเอง โดยเป็นหัวต่อแบบ USB-C จากเมาส์ ไปเป็น USB-A ต่อที่พีซีหรือโน๊ตบุ๊คนั่นเอง ซึ่งสายยาวถึง 1.8 เมตร

HyperX Pulsefire Haste 2

ตัวรับสัญญาณในแบบ USB Receiver ขนาดเล็ก สามารถต่อเข้ากับพอร์ต USB Type-A บนเมนบอร์ดหรือโน๊ตบุ๊คได้ง่าย ไม่ยื่นออกมาเกะกะอีกด้วย

HyperX Pulsefire Haste 2

และอีกสิ่งหนึ่งที่ HyperX ใส่มาในกล่องนั่นคือ PTFE Mouse Skate หรือแผ่นติดที่ใต้เมาส์ให้สำรอง และ Grip Tape หรือแผ่นยางสำหรับติดด้านข้างเมาส์ ให้จับได้ถนัด มีให้ 4 ชิ้น ด้านซ้าย-ขวา และติดที่ปุ่มคลิ๊กเมาส์ซ้าย-ขวา

HyperX Pulsefire Haste 2

และต้องมีเมาส์ HyperX Pulsefire Haste 2 Wireless มาด้วย จะเห็นได้ว่ามีการหุ้มกระดาษกันรอยมาให้อีกชั้น นอกเหนือจากกันกระแทกด้านนอก ซึ่งเราไม่ได้เห็นกันบ่อยนักแบบนี้


Design

HyperX Pulsefire Haste 2

HyperX Pulsefire Haste 2 Wireless มาในโทนสีขาวตลอดทั้งบอดี้ เป็นโทนสีที่เราไม่ค่อยได้เจอกันบ่อยนักบนเมาส์ของค่ายนี้ จะมีแค่โลโก้ HyperX ที่อยู่บริเวณด้านข้าง และตรงที่วางอุ้งมือเท่านั้น ที่ไม่ใช้สีขาว

HyperX Pulsefire Haste 2

ส่วนตัวมองว่า HyperX ทำออกมาได้แตกต่าง ฉีกกฏของเกมมิ่งเมาส์ที่ตนเองได้เคยทำออกมา ส่วนหนึ่งน่าจะตอบโจทย์การใช้งานให้กว้างขึ้น ในหลายๆ กลุ่ม และสามารถพกไปใช้งานนอกบ้าน ไปทำงาน หรือจะใช้ในโอกาสใดก็ได้ ไม่ดูสะดุดตามากเกินไปนั่นเอง

HyperX Pulsefire Haste 2

บริเวณด้านหลัง มีโลโก้ HyperX สีเงินเทา ตัดกับพื้นหลังสีขาวสะดุดตา แต่เป็นแค่โลโก้เท่านั้น ไม่ได้โปร่งแสงหรือมีสีสันของไฟ RGB น่าเสียดายตรงนี้ น่าจะเพิ่มมาให้ดูเด่นขึ้นอีก

HyperX Pulsefire Haste 2

ปุ่มคลิ๊กเมาส์ซ้าย-ขวา เป็นปุ่ม HyperX Switch มีความทนทาน ระบุสเปคเคลมว่ารองรับการกดได้ถึง 100 ล้านครั้งเลยทีเดียว

HyperX Pulsefire Haste 2

ด้านหน้าเป็นพอร์ต USB-C ที่ใช้ในการเชื่อมต่อ ซึ่งเป็นตัวเลือกในการใช้งานแบบต่อสายได้ หรือจะใช้ในการชาร์จไฟให้กับเมาส์ได้เช่นกัน ซึ่งเป็นแบบเดียวกับ Pulsefire Haste Wireless รุ่นแรก

HyperX Pulsefire Haste 2
HyperX Pulsefire Haste 2

มาเปรียบเทียบกันอีกจุดระหว่างรุ่นใหม่กับ Pulsefire Haste รุ่นก่อนหน้านี้ มิติค่อนข้างใกล้เคียงกัน จัดว่าเท่ากันได้เลย ต่างแค่ในเรื่องดีไซน์จากเดิมที่เป็นช่องโปร่งๆ แบบรังผึ้ง แต่รุ่นใหม่จะเป็นแบบปิดทึบทั้งหมด คล้ายกับเมาส์ในรุ่นก่อนๆ ของ HyperX

HyperX Pulsefire Haste 2

ด้านข้างเป็นจุดที่ใช้ในการจับ และมาพร้อมปุ่มมาโครให้อีก 2 ปุ่ม สามารถปรับแต่งเพิ่มได้ผ่านทางโปรแกรม NGENUITY แบบเดียวกับในรุ่นแรก ซึ่งออกแบบมาในจุดเดียวกันและระดับเดียวกันอีกด้วย ความสูงแทบไม่ต่างกัน

HyperX Pulsefire Haste 2
HyperX Pulsefire Haste 2

ส่วนด้านข้างอีกด้านจะเป็นแบบเรียบๆ แต่ตรงนี้ไม่ต้องแปลกใจว่า Grip หายไปไหน เพราะทาง HyperX เค้ามีมาให้คุณติดตั้งได้เองอีกด้วย

HyperX Pulsefire Haste 2

ตัวรับสัญญาณ Wireless Adaptor ในแบบ USB รุ่นใหม่กับแบบเดิมขนาดแทบไม่ต่างกัน มีเพียงแค่สีกับลวดลายที่ปรากฏอยู่เท่านั้น

HyperX Pulsefire Haste 2

และตัวรับสัญญาณหรือ Wirelesss Adaptor นี้ ยังเก็บเอาไว้บริเวณใต้เมาส์แบบเดียวกับในเวอร์ชั่นแรกด้วยครับ ค่อนข้างสะดวกทีเดียว ไม่ต้องแกะฝาด้านบนเหมือนกับเมาส์ไร้สายหลายๆ รุ่นที่เป็นแบบนั้น

HyperX Pulsefire Haste 2

แต่จุดหนึ่งที่รู้สึกว่ามีน้อยไปบ้างก็คือ Mouse Skate หรือเมาส์ฟีต ที่ใช้เป็นตัวเพิ่มความลื่นไหลในการเคลื่อนไหว เมื่อลากเมาส์ในการเล่นเกมหรือทำงาน เพราะมีให้ 4 ชิ้นเท่านั้น ขนาดไม่ใหญ่ ส่วนหนึ่งน่าจะเพราะด้านท้าย เสียพื้นที่ไปกับช่องเก็บ Adaptor นั่นเอง


Function

HyperX Pulsefire Haste 2

Grip Tape หรือแผ่นยางที่เป็นผิวสัมผัสบริเวณด้านข้างของเมาส์ HyperX แยกออกมาต่างหาก ให้ผู้ใช้เลือกว่าจะติดตั้งหรือไม่ก็ได้ ซึ่งบางคนอาจจะชอบความสวยของโทนสีขาวเรียบๆ แบบนี้มากกว่า แต่คอเกมก็อาจจะอยากได้การจับถือที่สะดวก เคลื่อนไหวได้แม่นยำ เสียดายว่าน่าจะมี Grip สีขาวออกมาให้ใช้กันบ้าง

HyperX Pulsefire Haste 2

และเมื่อติด Grip Tape เรียบร้อย ก็จะออกมาประมาณนี้ เป็นโทนสีดำตัดกับบอดี้สีขาว ซึ่งก็ดูสวยไปอีกแบบ แต่ในแง่ของการใช้งาน ดูจะเป็นประโยชน์ในการเล่นเกมหรือทำงานได้ไม่น้อยเลย รุ่นก่อนหน้านี้ก็มีเป็นแบบเดียวกัน

HyperX Pulsefire Haste 2

เพิ่มรายละเอียดของสายสัญญาณกันอีกนิด สายที่ให้มานี้ เป็นแบบเดียวกันกับในรุ่นก่อน HyperFlex 2 เป็นลักษณะของสายถักอ่อน ข้อดีคือ พับและม้วนง่าย ทำให้การจัดเก็บสะดวก แต่ก็ต้องระวังในเรื่องของแรงบิด ฉีกหรือการถูกตัด กัดแทะด้วยเช่นกัน อาจเสียหายได้

HyperX Pulsefire Haste 2

วัสดุเป็นพลาสติกตลอดทั้งบอดี้ แต่มีความแข็งแรงและให้สัมผัสที่ดี ไม่ได้เป็นแบบซอฟต์ทัช บางครั้งการมีเหงื่อที่มือมาก ก็อาจจะจับได้ไม่ถนัดเช่นกัน

HyperX Pulsefire Haste 2
HyperX Pulsefire Haste 2

เพิ่มเติมในเรื่องของเซ็นเซอร์บนเมาส์ HyperX Pulsefire Haste 2 Wireless ในรุ่น HyperX 26K ให้ความละเอียดได้สูงถึง 26,000DPI เหนือกว่าใน Pulsefire Haste Wireless รุ่นแรกที่มีเพียง 16,000DPI เท่านั้น เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ใช้เล่นเกมบนจอความละเอียดสูง หรือต้องทำงานที่มีรายละเอียดมากๆ เช่น งานออกแบบ กราฟิก หรือ 3D เป็นต้น และจากตรงนี้ เราจะเห็นปุ่มสวิทช์เล็กๆ ที่ใช้เลือกโหมด ว่าจะใช้เป็น Wireless 2.4GHz หรือ Bluetooth หรือจะปิดการใช้งานจากปุ่มนี้ได้เลย

HyperX Pulsefire Haste 2

และหากคุณมีรูปแบบการใช้งานที่ต่างกันจำนวนมาก และต้องปรับความละเอียดของเมาส์บ่อยๆ สามารถกดที่ปุ่มตรงกลางตัวเมาส์ได้ทันที จะมีโพรไฟล์ให้เลือก 4 ระดับ 400 / 800 / 1600 / 3200 DPI เพื่อให้การปรับแต่งง่ายขึ้น


Lighting & Software

HyperX Pulsefire Haste 2

ในครั้งนี้ HyperX Pulsefire Haste 2 Wireless ก็ยังมาพร้อมกับแสงไฟ RGB แต่ยังคงมีอยู่ที่จุดเดียวคือ บริเวณ Scroll Wheel เท่านั้น แบบเดียวกับรุ่นแรก ซึ่งระดับความสว่างก็ยังคงโดดเด่นเลยทีเดียว โดยผู้ใช้สามารถเข้าไปปรับแต่งรูปแบบแสงไฟได้ตามใจชอบบนซอฟต์แวร์ HyperX NGENUITY ได้

HyperX Pulsefire Haste 2

โดยที่ซอฟต์แวร์นี้ สามารถดาวน์โหลดได้ที่ HyperX เมื่อดาวน์โหลดมาติดตั้งแล้ว จะมีหน้าต่างการทำงานออกมาเป็นแบบนี้ แต่ในครั้งแรกที่เปิดใช้งาน จะมีการอัพเดตเฟิร์มแวร์ให้กับอุปกรณ์ที่ตรวจพบบางชิ้นด้วย ซึ่งรวมถึง Pulsefire Haste 2 Wireless รุ่นนี้ด้วยเช่นกัน จากนั้นในหัวข้อ Light ก็สามารถปรับเปลี่ยนหรือเพิ่มเอฟเฟกต์แสงสีแบบที่ชอบเข้าไป ด้วยการกด + Add Effect เลือกแบบที่ต้องการได้เลย

HyperX Pulsefire Haste 2

รวมถึงในหัวข้อ Buttons ยังให้คุณเลือกสำหรับการตั้งค่าปุ่ม หรือเลือกใส่ Macro ที่เป็นคำสั่งพิเศษได้ถึง 6 ปุ่มที่อยู่บนเมาส์ HyperX รุ่นนี้ จะเลือกเป็นฟังก์ชั่นหลักของคีย์บอร์ด เอามาใส่บนเมาส์ เพื่อความรวดเร็ว หรือใช้เป็นปุ่มฟังก์ชั่น มัลติมีเดีย เช่น Play/Pause หรือ RW/FW ก็ตาม หรือจะตั้งเป็นคีย์ลัดของคำสั่งใน Windows หรือจะปิดการใช้งานบางปุ่มไปก็ได้ กรณีที่ไม่ได้ใช้ได้อีกด้วย

HyperX Pulsefire Haste 2

ตรงหัวข้อ Sensor นี้ ให้คุณปรับเลือกค่า DPI settings เอาไว้ใช้งานได้เอง โดยพื้นฐานระบบจะตั้งมาให้เป็น 400/ 800/ 1600/ 3200 DPI และกำหนดสีของความละเอียดเอาไว้ให้ เวลาที่คุณเปลี่ยน ก็จะพอทราบได้ว่า คุณใช้งานอยู่บน DPI ใดนั่นเอง

HyperX Pulsefire Haste 2

ที่สำคัญระบบจะตรวจเช็คอุปกรณ์ HyperX ที่ใช้งานร่วมกับซอฟต์แวร์นี้ทั้งหมด อย่างเช่น ตัวอย่างนี้ เรามีทั้ง คีย์บอร์ด HyperX Alloy Origins, HyperX Armada 27 ที่เป็นเกมมิ่งมอนิเตอร์ รวมถึงเมาส์ Pulsefire Haste 2 รุ่นใหม่นี้ด้วย ซึ่งหากทั้ง 3 อุปกรณ์นี้มีแสงไฟ RGB ก็สามารถซิงก์เข้าด้วยกัน เพื่อให้แสงไฟเคลื่อนไหวได้สอดคล้องกันเป็นชิ้นเดียว เพิ่มความสวยงามได้มากขึ้น


Let’s Play

HyperX Pulsefire Haste 2

มาเริ่มใช้งานกันดีกว่า ในการเริ่มต้นทั้งการติดตั้งและจัดเตรียม ไม่ได้ยุ่งยากแต่อย่างใด ยังคงใช้ง่ายเหมือนกับเมาส์ในทุกรุ่นของทาง HyperX แม้ว่าจะเป็นแบบไร้สาย แค่คุณนำ Wireless Adaptor ที่มีมาให้ในกล่อง ต่อเข้ากับพอร์ต USB บนพีซีหรือโน๊ตบุ๊ค จากนั้นเปิดสวิทช์ที่ปุ่ม เลื่อนไปที่ 2.4GHz เมาส์ก็พร้อมสำหรับการใช้งานแล้ว

ส่วนถ้าจะใช้ร่วมกับสัญญาณ Bluetooth เข้ากับโน๊ตบุ๊ค ก็เพียงเปิดใช้งาน Bluetooth จากนั้น เลื่อนสวิทช์ด้านใต้เมาส์ไปยังสัญลักษณ์ Bluetooth ระบบจะสแกนหา Device เมื่อเจอเป็น HyperX Pulsefire Haste 2 Wireless ก็กดเชื่อมต่อและใช้งานได้ทันที เรียกว่าสะดวกมากๆ

HyperX Pulsefire Haste 2

การจับถือเรียกว่าเหมาะทั้งชายและหญิง แต่จะสะดวกกับผู้ใช้มือขวามากที่สุด แม้จะออกมาเป็นแบบสมมาตรก็ตาม แต่มีปุ่มมาโครด้านซ้าย ทำให้ใช้ประโยชน์จากมือขวาได้มากกว่า และเนื่องจากเป็นเมาส์ขนาดกลาง ทำให้ไม่ต้องกังวลว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ จะจับได้ไม่ถนัด จากนางแบบที่ใช้อยู่นี้ เป็นทีมงานสาวที่ตัวเล็กมาก แต่ก็ยังจับถือได้สบายเลยทีเดียว นอกจากนี้เป็นเกมเมอร์ตัวยงอีกด้วย โชว์สกิลการเล่น PUBG เรียกว่าคลิ๊กยิงได้สนุกมือ โดยให้นิยามของเมาส์รุ่นนี้ไว้ว่า สวยล้ำ ยิงไว ไถสนุก เพราะความลื่นไหล น้ำหนักเบาและตอบสนองได้ไวของเมาส์นั่นเอง เรียกว่า 800DPI ก็เหลือเฟือ

HyperX Pulsefire Haste 2

เรื่องของความรู้สึกในการจับถือหรือเคลื่อนไหว อาจจะไม่ได้ต่างไปจากรุ่นแรกมากนัก เพราะรูปทรงแทบไม่ได้ต่างจากใน Pulsefire Haste Wireless รุ่นแรกมากนัก แต่จะมีในช่วงที่เล่นเกมนานๆ รุ่นแรกมีช่องที่เจาะเป็นรูระบายอากาศเอาไว้ เลยไม่ค่อยมีเหงื่อออกมาที่ตัวเมาส์มากนัก ค่อนข้างสบายมือ แต่ก็เป็นแค่บางช่วงเท่านั้น ส่วนใหญ่ก็แทบไม่ต่างกัน ส่วนความลื่นไหล ถ้าในโหมดของการใช้งานบนจอ 24″ – 27″ แบบ Full-HD แทบจะไม่มีผล

แต่พอใช้จอ 2K ของ hyperX Aramda 27 และต่อกัน 2 จอเปิดทำงานและท่องเน็ตไปด้วย รู้สึกได้เลยว่าเซ็นเซอร์ HyperX 26K ให้การคอนโทรลบนความละเอียดสูงๆ ได้ดีขึ้นด้วย เช่นเดียวกับการเล่นเกม DOTA2 ที่การเคลื่อนไหวเพื่อดูเส้นทางการบุกและการคอนโทรล Hero ทำได้ลื่นไหลกว่าเดิม และเกมอย่าง COD: Modern Warfare 2 เรียกว่าสาดกระสุนกันอย่างสนุกมือเลยทีเดียว ใครที่เป็นคอเกม Action Shooting หรือ FPS ไม่ควรพลาดเมาส์รุ่นนี้ เป็นเมาส์ไร้สายที่ตอบสนองได้ทันใจ


Conclusion

HyperX Pulsefire Haste 2

สำหรับ HyperX Pulsefire Haste 2 Wireless นับว่าเป็นเกมมิ่งเมาส์ไร้สายรุ่นใหม่ ที่ใส่เอกลักษณ์ของ HyperX มาชัดเจนยิ่งขึ้น และไม่ได้จบแค่การเป็นเมาส์สำหรับคอเกมเท่านั้น แต่เพิ่มภาพลักษณ์ให้กับกลุ่มคนทำงาน และมีไลฟ์สไตล์ ด้วยโทนสีขาวที่ดูสวยงาม เข้ากับในทุกโอกาสได้ดี ไม่ว่าจะเป็นการทำงานในออฟฟิศ ออกไปพบลูกค้าหรือว่าในร้านกาแฟ แสงไฟ RGB ยังมีให้เห็น แต่เบาบางลง เลือกปิดใช้งาน ในช่วงที่อยู่ข้างนอก แล้วเปิดให้สุดเมื่อเล่นเกมในบ้าน น้ำหนักเบา แถมยังมี Mouse Skate คุณภาพดี ช่วยให้เคลื่อนไหวได้ลื่นมากขึ้น เหมาะกับการเล่นเกม ที่ต้องมีการตอบสนองไว อย่างเช่น Action Shooting หรือ MOBA ก็ได้ประโยชน์ไม่แพ้กัน ความละเอียดก็ปรับได้ตามต้องการ เรื่องระยะเวลาการใช้งาน เราชาร์จแค่ครั้งเดียวในช่วงเกือบ 1 สัปดาห์ก็ยังใช้งานได้เรื่อยๆ สลับกับการปิดการเชื่อมต่อในบางช่วง เรื่องความหน่วงแทบไม่มีเลยทีเดียว ต้องถือว่าค่อนข้างลงตัวทีเดียว

ส่วนเรื่องของราคายังไม่กำหนดออกมาชัดเจน คาดว่าในช่วงเดือนเมษายนนี้จะลงตลาดอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ซึ่งถ้าดูตามราคาจาก HyperX Pulsefire Haste Wireless รุ่นแรก เคาะที่ประมาณ 2,690 บาท ในรุ่น 2 นี้ประมาณไม่เกิน 3 พันบาท น่าจะกำลังดีจับต้องได้ง่ายด้วย

from:https://notebookspec.com/web/693975-hyperx-pulsefire-haste-2-wireless

รีวิว LOGA GARUDA PRO+, LOGA Shinryu Pro Wireless 2 เมาส์เทพแบรนด์คนไทย คุณภาพระดับโลก เกมเมอร์ถูกใจ!

LOGA GARUDA PRO+ และ LOGA Shinryu Pro Wireless เกมมิ่งเกียร์คนไทยคุณภาพระดับโลก!

ReviweLogaMouse jpg

LOGA GARUDA PRO+ และ LOGA Shinryu Pro Wireless เมาส์เกมมิ่งแบรนด์ไทยคุณภาพดีเทียบชั้นเมาส์เกมมิ่งชั้นนำจากต่างประเทศได้สบายๆ ซึ่งผู้เขียนเคยแนะนำไปในบทความแนะนำเมาส์เกมมิ่งก่อนหน้านี้ และผู้เขียนเชื่อว่าเกมเมอร์ชาวไทยน่าจะคุ้นเคยและได้ยินชื่อแบรนด์นี้ไปจับมือสร้างสินค้าร่วมกับแบรนด์และศิลปินชั้นนำหลายแบรนด์ เช่น CARNIVAL, INDIGOSKIN, Benzilla เป็นต้น ด้านคุณภาพและฟีเจอร์ของเกมมิ่งเกียร์จาก LOGA ก็ถือว่าอยู่ในระดับชั้นแนวหน้า ไม่แพ้แบรนด์จากต่างประเทศแน่นอน อย่างเช่นเมาส์เกมมิ่ง LOGA GARUDA PRO+ และ LOGA Shinryu Pro Wireless ในรีวิวครั้งนี้

Advertisementavw

เริ่มจากเกมมิ่งเมาส์เรือธงของทาง LOGA รุ่น LOGA Shinryu Pro Wireless ราคา 3,190 บาท เป็นเมาส์เกมมิ่งดีไซน์เรียบง่าย บอดี้กึ่งโปร่งใสมีไฟ RGB สามารถถอดเปลี่ยนสวิตช์แบบ Hot Swap ทั้งปุ่มคลิ๊กซ้ายและขวาแถมยังมีสวิตช์สำรองแถมมาอีก 4 คู่ ให้ผู้ใช้เปลี่ยน Pretravel ได้ตามรสนิยมของแต่ละคน แถมมีอุปกรณ์สำหรับถอดเปลี่ยนปุ่มมาในกล่องอีกด้วยและยังมีฝาหลังสำรองเอาไว้เปลี่ยนความสูงของ Shinryu Pro Wireless ให้เข้ากับมือของแต่ละคน โดยทางบริษัทเคลมไว้ว่าเมาส์นี้จะเหมาะกับคนชอบจับแบบ Claw หรือ Fingertip Grip เป็นหลัก นอกจากนี้ยังมีซอฟท์แวร์ของทาง LOGA ไว้ปรับแต่งเมาส์ได้ด้วย

ด้าน LOGA GARUDA PRO+ ราคา 2,990 บาท รุ่นนี้ก็โดดเด่นไม่แพ้กับ Shiryu Pro Wireless เพราะทางบริษัทออกแบบให้เมาส์ตัวนี้ถอดแบตเตอรี่ในตัวออกมาชาร์จแล้วใส่แบตฯ สำรองที่ชาร์จจนเต็มเข้าไปแทนแล้วเล่นเกมต่อได้ทันที แถมยังมีฝาหลังสำรองให้เปลี่ยนอีก 3 ชิ้น ทั้งแบบฝาหลังเรียบและฉลุ หลังโด่งและลาดลงให้เลือกได้ตามต้องการและมีซอฟท์แวร์ปรับตั้งค่าจากทาง LOGA ให้โหลดไปใช้ได้เช่นกัน จัดว่ามีจุดเด่นน่าใช้ไปคนละสไตล์ตามที่ผู้ใช้แต่ละคนชอบได้เลย

LOGA Shinryu Pro Wireless 

NBS Verdicts

LOGA GARUDA PRO+

LOGA GARUDA PRO+ และ LOGA Shinryu Pro Wireless เป็นเมาส์เกมมิ่งแบรนด์ไทยที่น่าใช้ทั้งคู่ โดยแต่ละรุ่นก็จะมีจุดเด่นแตกต่างกันไปและมีซอฟท์แวร์ของทาง LOGA แยกเฉพาะของเมาส์เกมมิ่งแต่ละตัวเอาไว้เปลี่ยนฟังก์ชั่นของปุ่มต่างๆ บนเมาส์, ไฟ RGB, เซฟมาโครปุ่มใช้งานบ่อยเอาไว้กดใช้งานได้ตามต้องการ จัดว่าค่อนข้างครบเครื่องสำหรับเกมเมอร์ส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้แล้ว

จุดเด่นของเมาส์เกมมิ่งทั้งสองตัวนี้นอกจากการเปลี่ยนสวิตช์คลิ๊กซ้ายขวาของ Shinryu Pro Wireless และถอดเปลี่ยนแบตเตอรี่ออกมาชาร์จได้ของ GARUDA PRO+ แล้ว การเชื่อมต่อไร้สายด้วย USB 2.4GHz Dongle ของทั้งสองรุ่นตอบสนองได้ยอดเยี่ยม รวดเร็วทันใจพอกับเมาส์เกมมิ่งจากแบรนด์ชั้นนำระดับโลกหลายๆ รุ่น แถมยังใช้เซนเซอร์คุณภาพดีระดับโลกอย่าง PAW 3395 ทั้งคู่ ปรับค่า DPI ไปได้สูงสุด 26,000 DPI ความเร็วสูงถึง 650 IPS เท่ากับเมาส์เกมมิ่งชั้นนำจากต่างประเทศหลายๆ รุ่น แถมงานประกอบเมาส์ยังแข็งแรงทนทานมากและอาจจะดีกว่าแบรนด์เกมมิ่งจากต่างประเทศบางรุ่นเสียด้วยซ้ำ

จุดน่ารักของเมาส์เกมมิ่งจาก LOGA ทั้ง 2 รุ่น และถือเป็นความใส่ใจของทางบริษัท ต้องยกให้อุปกรณ์เสริมในกล่องทั้งฝาหลังเมาส์ถอดเปลี่ยนได้ 2~4 แบบ และยังได้ Mouse Feet (Glide) แถมมาให้อีกชุดเป็นอุปกรณ์สำรองเวลาใช้งานไปนานๆ แล้วของเดิมติดเมาส์เริ่มเสื่อมใช้งานได้ไม่ดีเท่าเดิมก็ถอดเปลี่ยนได้ด้วยตัวเองอีกด้วย จัดเป็นความใส่ใจเล็กๆ น้อยๆ แต่น่าประทับใจจากแบรนด์ LOGA ซึ่งผู้เขียนชื่นชอบมาก

กลับกัน จุดสังเกตจากที่ได้ใช้เมาส์เกมมิ่งมาหลากหลายรุ่น อย่างแรกคือเมาส์ทั้งสองรุ่นนี้จะใช้ซอฟท์แวร์แยกกันคนละตัว ถ้าเป็นแบรนด์ชั้นนำส่วนใหญ่จะทำซอฟท์แวร์รวมเอาไว้ตัวเดียวเพื่อรองรับเกมมิ่งเกียร์ทุกตัวในเครือ ทั้งเมาส์, คีย์บอร์ด, หูฟังเกมมิ่ง ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องลบโปรแกรมลงใหม่เรื่อยๆ แค่ต่ออุปกรณ์เข้าเครื่อง โปรแกรมจับได้ว่าอุปกรณ์ชิ้นนั้นเป็นรุ่นใดแล้วโหลดการตั้งค่าจากโรงงานผ่าน Cloud มาใช้งานได้เลยเป็นต้น หากทาง LOGA พัฒนาส่วนของซอฟท์แวร์ด้วยตัวเองเช่นนี้จะยอดเยี่ยมมาก

หากเป็นไปได้ ผู้เขียนมีความเห็นว่าถ้า LOGA จะออกเมาส์รุ่นใหม่ก็น่าเอาฟีเจอร์ถอดแบตเตอรี่ของ GARUDA PRO+ มารวมกับฟีเจอร์ถอดสวิตช์ได้ของ Shinryu Pro Wireless ให้เป็นเมาส์รุ่นใหม่ ถอดแยกชิ้นส่วนได้แทบทั้งหมดปรับแต่งได้ตามต้องการน่าจะถูกใจเกมเมอร์สายแกะถอดชิ้นส่วนหรือปรับแต่งเมาส์ตามใจชอบอย่างแน่นอน

ข้อดีของ LOGA GARUDA PRO+ และ LOGA Shinryu Pro Wireless
  1. งานประกอบเมาส์แข็งแรงทนทานเหมือนแบรนด์ชั้นนำจากต่างประเทศ
  2. มีซอฟท์แวร์ตั้งค่าเมาส์ทั้งไฟ RGB, บันทึกมาโคร, ปรับเปลี่ยนปุ่มให้โหลดมาใช้งาน
  3. ใช้เซนเซอร์ PAW 3395 ปรับได้ 26,000 DPI ทำงานได้รวดเร็วแม่นยำมาก
  4. ใช้งานแบบไร้สายด้วย USB 2.4GHz Dongle ไม่มีสายเมาส์ติดให้กวนใจ
  5. พอร์ตของเมาส์เป็น USB-C แล้ว หาสายเชื่อมต่อหรือชาร์จใช้งานได้ง่ายมาก
  6. มีฝาหลังเมาส์สูงต่ำ 2~4 แบบ ให้ถอดเปลี่ยนได้ตามรูปมือของเจ้าของเมาส์
  7. แถม Mouse Feet (Glide) มาในแพ็คเกจอีก 1 ชุด ถอดเปลี่ยนอันเก่าได้ตามต้องการ
  8. Shinryu Pro Wireless ใช้วัสดุ Polycarbonate แข็งแรงทนทานน่าใช้
  9. Shinryu Pro Wireless ถอดสวิตช์เมาส์ได้แบบ Hotswap ได้ เปลี่ยนสวิตช์ได้ตามชอบ
  10. Shinryu Pro Wireless ได้สวิตช์แถมมาให้เปลี่ยน 4 คู่ ถอดเปลี่ยนได้ตามต้องการ
  11. GARUDA PRO+ ถอดแบตเตอรี่มาชาร์จได้ด้วยสาย USB-C ใช้งานได้ต่อเนื่องไม่สะดุด
  12. GARUDA PRO+ ได้ฝาหลังถอดเปลี่ยน 4 แบบ มีแบบฉลุหลังหรือเรียบให้เลือก
ข้อสังเกตของ LOGA GARUDA PRO+ และ LOGA Shinryu Pro Wireless
  1. ซอฟท์แวร์ทำแยกตามรุ่นเมาส์ ไม่ได้ทำรวมเกมมิ่งเกียร์แบบแบรนด์ชั้นนำ
  2. แบตเตอรี่ของ GARUDA PRO+ ต้องชาร์จด้วยไฟจาก USB ของคอมเท่านั้น
  3. สวิตช์ GARUDA PRO+ เลื่อนเปิดปิดไม่ถนัด น่าทำเป็นขีดให้ใช้เล็บดันได้แบบ Shinryu Pro 

รีวิว LOGA GARUDA PRO+ และ LOGA Shinryu Pro Wireless

Specification

GarudaShinryu DSC01237

LOGA เมาส์เกมมิ่งแบรนด์ไทยคุณภาพระดับโลก ณ ปัจจุบันนี้มีรุ่นเรือธงน่าใช้ทั้งหมด 2 รุ่น ได้แก่ Shinryu Pro Wireless และ GARUDA PRO+ ซึ่งทั้ง 2 รุ่นนี้มีจุดเด่นแตกต่างกันตามดีไซน์ โดยมีรายละเอียดสเปคดังนี้

สเปคของ LOGA GARUDA PRO+
Sensor&DPI PAW 3395 ปรับได้ 26,000 DPI, 650 IPS
Battery Life 44 ชั่วโมง 300mAh ถอดเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้
Switch Huano Blue shell Pink dot switch 80M
Weight&Game Style 69 กรัม เล่นได้ทุกแนวโดยเฉพาะ FPS
Software ซอฟท์แวร์ของทาง LOGA
Price 2,990 บาท
สเปคของ LOGA SHINRYU PRO WIRELESS
Sensor&DPI PAW 3395 ปรับได้ 26,000 DPI, 650 IPS
Battery Life 44 ชั่วโมง ความจุ 300mAh 
Switch แบบ Hot-Swap เลือกได้

Huano blue shell white dot, TTC gold, Kailh 8.0, Omron 20M

Weight&Game Style 69 กรัม เล่นได้ทุกแนวโดยเฉพาะ FPS
Software ซอฟท์แวร์ของทาง LOGA
Price 3,190 บาท

Unboxing

GarudaShinryu DSC01142

กล่องสินค้าของ LOGA ไม่ว่าจะ LOGA Shinryu Pro Wireless หรือ LOGA GARUDA PRO+ จะไม่ใช่ภาพเมาส์ปริ้นท์ติดหน้ากล่อง แต่เป็นงานอาร์ทสวยงามพร้อมเขียนฟีเจอร์เด่นเอาไว้ข้างกล่อง เพื่อบอกจุดเด่นของเมาส์เกมมิ่งแต่ละรุ่นว่ามีอะไรบ้าง เมื่อเปิดกล่องแล้วจะเห็นเมาส์และอุปกรณ์เสริมอื่นๆ เก็บเอาไว้ในช่องโฟมตัดแยกพอดีตัว โดยจะมี 3 ช่อง ได้แก่ ช่องใส่เมาส์, ช่องเก็บสาย USB-C แบบสายถักและมีเข็มขัดยางรัดสายไฟ ด้านล่างเป็นกรอบเก็บอุปกรณ์เสริมต่างๆ ไม่ว่าจะฝาหลังเมาส์สำรอง, Mouse Feet (Glide), กล่องใส่สวิตช์เสริมของ Shinryu Pro Wireless และอื่นๆ ด้วย

GarudaShinryu DSC01245

GarudaShinryu DSC01260
GarudaShinryu DSC01256
GarudaShinryu DSC01251
GarudaShinryu DSC01250
GarudaShinryu DSC01247
GarudaShinryu DSC01248

ภายในกล่องของ Shinryu Pro Wireless นอกจากตัวเมาส์แล้ว ในกล่องจะมีอุปกรณ์เสริมใส่มาให้หลายชิ้น ได้แก่ ฝาหลังเมาส์แบบหลังโด่งหรือลาด, Mouse Feet สำรองสีขาวและแบบใสบนแผ่นกาวสีเหลือง, กล่องใสใส่สวิตช์ 4 คู่ บนโฟมสีดำ พร้อมคีมคีบสวิตช์และไขควง ภายในกล่องจะมี Huano blue shell white dot สีฟ้าขีดขาว, TTC gold สวิตช์สีส้ม, Kailh 8.0 สวิตช์ดำโครงบนใส, Omron 20M สวิตช์สีดำทึบขีดขาว เอาไว้ถอดเปลี่ยนกับ Huano Blue shell Pink dot switch 80M ภายในเมาส์ได้หากสัมผัสตอนใช้งานไม่ถูกใจหรือต้องการการตอบสนองที่เร็วขึ้น

ด้านสายถัก USB-C ในกล่องจะมีเข็มขัดยางรัดเก็บสายติดมาให้ จะต่อใช้กับเมาส์โดยตรงก็ได้หรือจะเข้ากับตัวแปลง USB-C to A ของ LOGA แล้วเอามาวางหน้าเมาส์ให้ระยะสัญญาณของ USB 2.4GHz Dongle อยู่ใกล้เมาส์ก็ได้เช่นกัน เป็นอุปกรณ์เสริมซึ่งเมาส์เกมมิ่งหลายๆ รุ่นในยุคนี้นิยมทำกัน เพราะหากตัวรับส่งสัญญาณอยู่ใกล้เมาส์ก็ยิ่งตอบสนองได้ดีนั่นเอง

GarudaShinryu DSC01141

ด้าน LOGA GARUDA PRO+ ก็เช่นกัน โดยหน้ากล่องจะเป็นงานอาร์ทรูปครุฑแบบหุ่นยนต์ ดูล้ำสมัยไม่แพ้กับกล่องของ Shinryu Pro Wireless และมีจุดเด่นของเมาส์เขียนเอาไว้ข้างกล่อง เปิดมาแล้วจะมีเมาส์, สายถัก USB-C, หัวแปลง USB-C to A และ USB 2.4GHz Dongle ในตัวและอุปกรณ์เสริมอื่นๆ ของตัวเมาส์อีกด้วย

GarudaShinryu DSC01288

GarudaShinryu DSC01287
GarudaShinryu DSC01306
GarudaShinryu DSC01289
GarudaShinryu DSC01316

ด้าน Mouse Feet (Glide) ของ GARUDA PRO+ จะเป็นแผ่นสีน้ำเงิน 3 แผ่น เอาไว้ติดขอบบนและล่างอย่างละแผ่นและมีวงตรงกลางสำหรับล้อมเซนเซอร์เอาไว้ มีกรอบหลังแถมมาให้เปลี่ยนอีก 3 รวมกับตัวเมาส์เป็น 4 ชิ้น แบ่งเป็นกรอบหลังโด่งและหลังราบลง มีทั้งแบบฉลุกรอบหลังกับแผ่นเรียบให้เลือกเปลี่ยนได้ตามความชอบของผู้ใช้แต่ละคนและแบตเตอรี่ลูกสำรองสำหรับสลับใช้งานกับแบตฯ ลูกหลัก ชาร์จด้วยสาย USB-C ที่แถมมาให้ในกล่องหรือจะต่อแยกก็ได้ แต่ทาง LOGA แนะนำให้ชาร์จแบตเตอรี่ของเมาส์ GARUDA PRO+ กับพอร์ต USB ของพีซีเท่านั้น เพื่อป้องกันกระแสไฟเกินแล้วทำให้แบตเตอรี่เกิดความเสียหายนั่นเอง

Design, Weight, Grip

GarudaShinryu DSC01148

GarudaShinryu DSC01262
GarudaShinryu DSC01264
GarudaShinryu DSC01266
GarudaShinryu DSC01263

ดีไซน์ของ LOGA Shinryu Pro Wireless ทางบริษัทออกแบบให้เป็นเมาส์ตูดโก่งเล็กน้อยให้เหมาะกับการจับทุกรูปแบบ แต่จะเน้นสไตล์ Claw หรือ Fingertip Grip เป็นหลัก แต่ถ้าใครชอบจับแบบ Palm Grip ก็ถอดเปลี่ยนฝาหลังเมาส์ให้ราบลงเล็กน้อยให้นาบมือไปทั้งตัวเมาส์ได้ ตัวเมาส์ทำจากวัสดุโพลีคาร์บอเนต เป็นพลาสติกเนื้อกึ่งโปร่งใสโทนสีเทาควันบุหรี่และท้ายเมาส์มีโลโก้ของ LOGA ติดเอาไว้บนแผงสีขาว ซึ่งทั้งแผงนั้นจะเป็นไฟ RGB และปรับได้ในซอฟท์แวร์ของทางบริษัท ด้านหน้าเมาส์เป็นพอร์ต USB-C สำหรับต่อใช้งานแบบมีสายและชาร์จแบตเตอรี่ให้เมาส์ได้ด้วย สามารถชาร์จด้วยอแดปเตอร์ของสมาร์ทโฟนได้แต่ควรเป็นแบบ 5V1A ให้จ่ายกระแสได้พอดีกับตัวเมาส์

ตัวเมาส์จากรูปลักษณ์เป็นแบบ False Ambidextrous เหมือนเมาส์เกมมิ่งหลายๆ รุ่นในปัจจุบัน กล่าวคือเป็นเมาส์จับถนัดทั้งมือซ้ายและขวาแต่ปุ่ม Back/Forward ติดไว้ข้างซ้ายตัวเมาส์เอื้อคนถนัดมือขวามากกว่า แต่คนถนัดซ้ายก็ใช้งานได้แต่ต้องใช้นิ้วนางกดแทน

GarudaShinryu DSC01258

GarudaShinryu DSC01260
GarudaShinryu DSC01281

การเปลี่ยนฝาหลังของ LOGA Shinryu Pro Wireless แกะเปลี่ยนได้ง่ายมาก แค่เอาเล็บสะกิดที่ร่องตะเข็บท้ายเมาส์ถัดลงมาจากโลโก้ของ LOGA ก็ถอดเปลี่ยนเอาฝาหลังอันใหม่ใส่ใช้งานได้เลยและหยิบเอา USB 2.4GHz Dongle มาใช้งานได้ หากใครจับแบบ Claw, Fingertip Grip จะเหมาะกับฝาหลังโด่ง ด้าน Palm Grip จะเหมาะกับฝาหลังโค้งลงมากกว่า และเมื่อสับสวิตช์เปิดเมาส์จะมีไฟ RGB ติดขึ้นมาบนแผงสีขาวบนตัวเมาส์ด้วย

ปุ่มต่างๆ บนตัวเมาส์ นอกจากคลิ๊กซ้าย, ขวาและสกรอล์เมาส์ตรงกลาง ถัดลงมาจะมีปุ่มปรับค่า DPI ด้านข้างซ้ายเป็นปุ่ม Back/Forward เอาไว้ให้กดใช้งาน ซึ่งปุ่มทั้งหมดบนเมาส์สามารถตั้งค่าด้วยโปรแกรมจากทาง LOGA ได้อีกด้วย

GarudaShinryu DSC01275

GarudaShinryu DSC01279
GarudaShinryu DSC01278
GarudaShinryu DSC01280

ด้านใต้ LOGA Shinryu Pro Wireless จากด้านบนจะเป็น Mouse Feet ตัวเล็ก ถัดลงมาเป็นช่องสล็อตของสวิตช์คลิ๊กซ้ายขวาให้ผู้ใช้ถอดเปลี่ยนได้ด้วยตัวเอง ตรงกลางเมาส์มีช่องเซนเซอร์ PAW 3395 คู่กับสลักสวิตช์เลื่อนเปิดปิดเมาส์ สามารถเลื่อนสวิตช์ปรับโปรไฟล์ได้ 3 แบบ เป็น P1, P2, P3 และด้านล่างเป็นโค้ง Mouse Feet ตัวใหญ่อีกชิ้น

ด้านการถอดเปลี่ยนสวิตช์ทำได้ง่ายไม่ยุ่งยากและดีต่อเกมเมอร์คลิ๊กเมาส์หนักอย่างแน่นอน แค่เอาเล็บสะกิดสลักด้านล่างยกขึ้นบนก็ดึงรางสวิตช์ออกจากเมาส์ได้แล้ว แต่มีระยะไม่มากเพราะมีสายไฟต่อกับตัวฐานเอาไว้ หากใครอยากเปลี่ยนจากสวิตช์ Huano blue shell pink dot ในตัวเมาส์ก็เอาคีมในกล่องหนีบสวิตช์ของเมาส์แล้วดึงขึ้นตรงๆ แล้วเอาสวิตช์อันใหม่ใส่กลับไปใช้งานต่อได้เลย

ภายในตลับสวิตช์สำรองจะมี Huano blue shell white dot สีฟ้าขีดขาวสัมผัสเบาเสียงไม่ดัง ทริกเกอร์เร็วปานกลาง, TTC gold สวิตช์สีส้มเสียงดังสัมผัสกดค่อนข้างเบา, Kailh 8.0 สวิตช์ดำโครงบนใส น้ำหนักกดน้อยเสียงก้องได้อารมณ์, Omron 20M สีดำทึบขีดขาว น้ำหนักกดเบาเสียงก้องแบบมาตรฐานเมาส์เกมมิ่งหลายๆ รุ่นในปัจจุบัน ซึ่งข้อดีของเมาส์แบบถอดเปลี่ยนสวิตช์ Hot Swap ได้เช่นนี้จะเหมาะกับเกมเมอร์สาย FPS มาก เนื่องจากบุคลิคการกดของแต่ละคนจะแตกต่างกัน ตัวอย่างเช่นผู้เขียนเองเป็นคนกดเมาส์หนักและเร็ว ทำให้คลิ๊กซ้ายเกิดอาการ “เบิ้ล” เร็ว จะซ่อมเองก็ไม่สะดวกนัก แต่ LOGA Shinryu Pro Wireless ก็ตัดปัญหานี้ทิ้งได้เลย ถ้าปุ่มเสียก็ถอดทิ้งใส่อันใหม่ใช้งานต่อได้ทันที ยิ่งมีสวิตช์สำรองแถมมาให้อีก 4 คู่ ก็ตัดปัญหาเรื่องนี้ได้เลย

GarudaShinryu DSC01146

GarudaShinryu DSC01311
GarudaShinryu DSC01310
GarudaShinryu DSC01313
GarudaShinryu DSC01315

ดีไซน์ของ LOGA GARUDA PRO+ หากดูเทียบกันกับ Shinryu Pro Wireless จะเห็นว่าเมาส์ตัวนี้จะยาวและลาดกว่า ใช้บอดี้เป็นสีดำทึบกับปุ่มสีแดง มีไฟ RGB ติดอยู่เช่นกันแต่จะเรืองแค่โลโก้ LOGA ในตัวเมาส์และโค้งท้ายเมาส์เท่านั้น ด้านหน้าเมาส์มีพอร์ต USB-C เอาไว้ใช้งานแบบมีสายก็ได้ หรือใช้งานแบบไร้สายก็ต่อ USB 2.4GHz Dongle เข้ากับตัวแปลงแล้วลากสายมาวางเอาไว้หน้าเมาส์ได้เช่นกัน

ปุ่มบนตัวเมาส์จะเป็นเลย์เอ้าท์เดียวกับ Shinryu Pro Wireless คือ มีปุ่มคลิ๊กซ้ายขวา, สกอร์ลเมาส์กลาง ถัดลงมาเป็นปุ่มปรับ DPI ของเมาส์และด้านข้างติดปุ่ม Back/Forward มาให้ใช้งานด้วย โดยปุ่มทั้งหมดตั้งค่าในโปรแกรมของทาง LOGA ได้เช่นกัน รวมถึงเอฟเฟคของไฟ RGB ของเมาส์อีกด้วย ว่าต้องการให้แสงไฟเป็นแบบไหน

GarudaShinryu DSC01293
GarudaShinryu DSC01292
GarudaShinryu DSC01294
GarudaShinryu DSC01295

จุดเด่นของ GARUDA PRO+ อย่างแรก คือ ทางบริษัทให้ฝาหลังเมาส์สำรองมา 3 แบบ รวมทรงรังผึ้งที่ติดมาจากโรงงานเป็น 4 แบบ ให้ผู้ใช้ถอดเปลี่ยนได้ตามชอบ ว่าต้องการให้ดีไซน์และสัมผัสตอนจับเมาส์เป็นแบบใด โดยฝาหลังแบบทึบจะมีทั้งหลังราบลงและหลังโด่งขึ้นเล็กน้อย ส่วนฝาหลังฉลุช่องเอาไว้ทั้งสองแบบถ้าเป็นทรงรังผึ้งจะเป็นฝาหลังลาดลง และฝาหลังวงรีสลับจุดจะเป็นหลังโด่ง ต้องถือว่าทาง LOGA ให้อุปกรณ์เสริมกับ GARUDA PRO+ มาเยอะไม่แพ้กับ Shinryu Pro Wireless เลย ส่วนสไตล์การจับทางบริษัทดีไซน์มาเน้นสาย Palm Grip เป็นหลัก แต่ส่วนตัวผู้เขียนเองจะจับแบบ Claw Grip ก็จับได้ดีและนิ้วชี้กับกลางก็วางปุ่มคลิ๊กซ้ายขวาได้พอดีไม่แพ้กัน

GarudaShinryu DSC01309

Mouse Feet (Glide) ด้านใต้ตัวเมาส์ของ GARUDA PRO+ จะเป็นแผ่นใหญ่ 2 แผ่นบนล่างสีขาวและแบบวงกลมเล็กล้อมเซนเซอร์กลางเมาส์เอาไว้ สามารถแกะเปลี่ยนเป็นตัวแถมจากโรงงานสีน้ำเงินก็ได้หรือจะใช้เป็นตัวสำรองเพื่อเปลี่ยนตอนอันเดิมจากโรงงานเสื่อมสภาพก็ได้ ถัดมาด้านขวาเมาส์จะมีสวิตช์ปิดเปิดเมาส์ติดมาให้ โดยสลักบนสุดเป็นการปิดเมาส์ไม่ใช้งาน ถัดลงมาเปิดไฟตรงโลโก้ LOGA ในเมาส์ หรือด้านล่างสุดจะเปิดไฟ RGB เต็มระบบ

GarudaShinryu DSC01300

GarudaShinryu DSC01302
GarudaShinryu DSC01307
GarudaShinryu DSC01308

ฟีเจอร์จุดเด่นอีกอย่างของ GARUDA PRO+ คือ การถอดเอาแบตเตอรี่ในเมาส์มาชาร์จแล้วใส่แบตฯ สำรองเข้าไปเพื่อเล่นเกมต่อได้ เวลาชาร์จทาง LOGA แนะนำให้ชาร์จผ่านทางพอร์ต USB ของพีซีให้กระแสไฟไม่แรงเกินไปจนแบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็ว ถัดลงมาจากรางแบตเตอรี่จะมีช่องใส่ USB 2.4GHz Dongle ของเมาส์นี้อีกด้วย เวลาจะพกเมาส์ไปไหนมาไหนก็ใส่เข้าช่องนี้แล้วพกไปใช้งานได้เลย

การถอดและใส่แบตเตอรี่ให้เอาเล็บเกี่ยวดึงครีบปลายแบตเตอรี่ขึ้นมาแล้วดึงออกได้ทันที เวลาใส่กลับให้หันขั้วแบตเตอรี่คว่ำลงตามภาพแล้วดันเข้าไปจนสุดแล้วกดเล็กน้อยให้ท้ายแบตเตอรี่เข้ากรอบใส่แบตฯ ก็ใช้งานต่อได้ทันที ทำให้เล่นเกมได้ต่อเนื่องไม่ขาดตอน

GarudaShinryu IMG20230310171313
GarudaShinryu IMG20230310171252

น้ำหนักของเมาส์ทั้งสองรุ่น ทางบริษัทเคลมข้อมูลเอาไว้บนหน้าสเปคเอาไว้เท่ากัน คือ 69 กรัม บวกลบ 3 กรัม เมื่อชั่งน้ำหนักแล้ว GARUDA PRO+ อยู่ที่ 72 กรัม รวมแบตเตอรี่ในตัวแล้ว ส่วน Shinryu Pro Wireless เป็น 73 กรัม ถ้าเทียบกับเมาส์เกมมิ่งระดับราคาใกล้เคียงกันที่อยู่ช่วง 80 กรัมแล้ว ต้องถือว่าเมาส์เกมมิ่งทั้งสองรุ่นนี้เบาใช้ง่าย ถ้าใครจับแบบ Fingertip Grip ก็ลากเมาส์ไปมาได้สะดวกไม่มีปัญหา เชื่อว่าถูกใจเกมเมอร์ทุกกลุ่มโดยเฉพาะเกมเมอร์สาย FPS Competitive น่าจะถูกใจอย่างแน่นอน

GarudaShinryu DSC01152

Palm Grip

GarudaShinryu DSC01153
GarudaShinryu DSC01154

วิธีการจับเมาส์ทั้ง 3 แบบ เมื่อลองจับ GARUDA PRO+ จากที่ลองจับทั้ง 3 แบบดูแล้ว ต้องถือว่าเหมาะกับการจับแบบ Palm Grip ตามที่ LOGA เคลมเอาไว้ แต่อีกสไตล์ที่จับได้ดีไม่แพ้กันคือ Fingertip Grip เนื่องจากน้ำหนักของมันเบาสามารถเอานิ้วโป้งและนิ้วนางคีบเมาส์ลากไปมาได้ง่ายๆ ส่วน Palm Grip ก็จับเข้ามือดีไม่แพ้กัน แต่ข้อสังเกตคือถ้าใช้ฝาหลังแบบฉลุช่องเอาไว้จะมีพื้นที่หน้าสัมผัสเข้าอุ้งมือน้อยไปนิดหน่อย ทำให้บางจังหวะจับแล้วลื่นหลุดมือได้บ้างแต่ถ้าเปลี่ยนเป็นฝาหลังทึบตามปกติก็ไม่มีปัญหา

GarudaShinryu DSC01149

Palm Grip

GarudaShinryu DSC01150
GarudaShinryu DSC01151

ด้าน LOGA Shinryu Pro Wireless นั้นจะเหมาะกับสไตล์การจับแบบ Claw หรือ Fingertip Grip ซึ่งในส่วนนี้ขึ้นอยู่กับรูปแบบของฝาหลังเมาส์ด้วย หากใช้ฝาหลังแบบลู่ลงตามตัวเมาส์จะเหมาะกับ Fingertip ซึ่งใช้ปลายนิ้วแตะเมาส์เท่านั้น ด้าน Palm Grip ก็จะทาบมือเข้าตัวเมาส์ได้เลย ส่วนท้ายโด่งเหมาะกับสไตล์ Claw Grip เพราะท้ายเมาส์จะแนบติดอุ้งมือพอดีแล้วโก่งนิ้วแตะเข้าปุ่มคลิ๊กเมาส์ได้เลย

Software

Shinryu 1

Shinryu 2
Shinryu 3
Shinryu 4
Shinryu 5
Shinryu 6

หน้าตาโปรแกรมของ LOGA สำหรับเมาส์เกมมิ่งทั้ง Shinryu Pro Wireless หรือ GARUDA PRO+ จะมีหน้าตาและฟังก์ชั่นค่อนข้างคล้ายกัน โดยหน้าแรกของทั้งสองตัวจะเริ่มจากหน้าตั้งค่าปุ่มต่างๆ บนตัวเมาส์ ว่าต้องการให้แต่ละปุ่มทำงานอย่างไรและมีตัวเลขกำกับเอาไว้ทั้งหมดเป็นเลข 1~6 ให้ตั้งคำสั่งใหม่ให้แต่ละปุ่มบนเมาส์ได้

ถัดมาเป็นหน้าต่างตั้งค่า DPI แบบบาร์เลื่อนปรับค่า ค่าเริ่มต้นเป็น 400/800/1,600/2,400/3,200/6,400 DPI ตั้งค่าต่ำสุดได้ 50 DPI เพิ่มครั้งละ 50 DPI ดันไปจนสุดที่ 26,000 DPI ถ้าเปิดคำสั่ง DPI Effect จะมีไฟเอฟเฟคติดขึ้นมาตรงกรอบสี่เหลี่ยมหลังปุ่มปรับค่า DPI ตามสีที่ตั้งค่าเอาไว้ มีเอฟเฟคไฟ Steady หรือ Breathing แถมตั้งค่า USB Polling Rate ได้ 4 ระดับ คือ 125/250/500/1,000Hz

2 หน้าสุดท้ายมีคำสั่งเซฟค่ามาโครและปรับไฟ RGB ซึ่ง Shinryu Pro Wireless จะเปลี่ยนเอฟเฟคที่ลูกโดมสีขาวท้ายเมาส์ให้เป็นเอฟเฟคที่ต้องการได้ ด้าน GARUDA PRO+ จะเป็นเส้นขอบท้ายเมาส์แทน มีเอฟเฟคให้เลือก 6 แบบ มี Steady, Breathing, Streaming, Neon, Single color flow, Colorful breathing หรือจะปิดไฟทิ้งไปก็ได้เช่นกัน 

 

garuda 1

garuda 2
garuda 3
garuda 4
garuda 5

จากการใช้งาน ส่วนตัวผู้เขียนถือว่าหน้าตาของโปรแกรมทั้งสองตัวนี้สำหรับเมาส์ทั้งสองรุ่นมีฟังก์ชั่นแทบไม่ต่างกัน จะต่างกันเล็กน้อยแค่ชื่อรุ่นเมาส์และรูปเมาส์ในหน้าโปรแกรมเท่านั้น แต่ฟังก์ชั่นในโปรแกรมเหมือนกันแทบทั้งหมด และจากที่ลองเช็คหน้าเว็บไซต์ของทาง LOGA แล้วก็เห็นว่าทางบริษัทก็มีเกมมิ่งเกียร์กลุ่มคีย์บอร์ดด้วย ซึ่งถ้าทางบริษัทจะเปิดตัวเกมมิ่งเกียร์รุ่นใหม่ในอนาคตก็น่าเปลี่ยนระบบให้เป็นโปรแกรมแพลตฟอร์มกลางรวมเกมมิ่งเกียร์ทั้งหมดเอาไว้ในตัวแล้วให้ตัวโปรแกรมคุยกับเมมโมรี่ออนบอร์ดในอุปกรณ์ชิ้นนั้นๆ  แล้วดึงการตั้งค่าจากโรงงานขึ้นมาให้แล้วเปิดให้เกมเมอร์ตั้งค่าเกมมิ่งเกียร์ชิ้นนั้นๆ ได้ตามต้องการจะดีที่สุด

User Experience

GarudaShinryu DSC01144

โดยองค์รวมแล้ว ไม่ว่าจะ Shinryu Pro Wireless หรือ GARUDA PRO+ ทั้งสองรุ่นนั้นเป็นเกมมิ่งเมาส์ที่น่าใช้งานทั้งคู่ ทั้งตั้งค่า DPI ได้สูงถึง 26,000 DPI เอาไว้เล่นเกมแนวต่างๆ ได้เป็นอย่างดีและตั้งค่าให้มันทำงานได้ดีไม่แพ้กับเมาส์เกมมิ่งจากแบรนด์ชั้นนำหลายๆ รุ่นจากต่างประเทศเลย แถมเมาส์แต่ละรุ่นก็มีจุดเด่นของมันอย่างชัดเจนอีกด้วย

สำหรับ Shinryu Pro Wireless เป็นเมาส์เกมมิ่งสำหรับคนจับเมาส์แบบ Claw, Fingertip Grip เป็นหลัก มีฟีเจอร์เด่นคือสามารถถอดเปลี่ยนสวิตช์คลิ๊กซ้ายขวาได้ตามต้องการ ซึ่งฟีเจอร์นี้ดีกับเกมเมอร์สาย FPS ที่กดคลิ๊กซ้ายบ่อยๆ แล้วปุ่มเสื่อมเร็วอย่างแน่นอนยิ่งถ้ากดแรงยิ่งเห็นผลว่าปุ่มเบิ้ลเร็วมาก แต่ในกรณีนี้ก็ไม่ต้องกลัวเพราะเราสามารถถอดสวิตช์ที่เสียทิ้งไปแล้วเอาตัวสำรองในตลับเก็บสวิตช์มาใส่แทนได้เลย หรือถ้าใครอยากได้จังหวะทริกเกอร์ปุ่มและความเร็วตอบสนองตอนกดปุ่มแตกต่างจากปุ่มเดิมจากโรงงานก็ถอดเปลี่ยนเอาสวิตช์สำรองมาเปลี่ยนได้เช่นกัน ทำให้เปลี่ยนสัมผัสตอนคลิ๊กได้ตามชอบ ดีต่อเกมเมอร์ที่ชอบการถอดเปลี่ยนชิ้นส่วนอุปกรณ์ของเมาส์ตัวเองไปมาอย่างแน่นอน

ถ้าเป็น GARUDA PRO+ ก็เหมาะกับเกมเมอร์สายเล่นเกมนานหลายชั่วโมงแล้วไม่อยากต่อสายเล่นเกมมาก เพราะทางบริษัทให้แบตเตอรี่มา 2 ก้อน แยกเป็นตัวหลักในเมาส์และแบตฯ สำรองในกล่อง จะใช้แบบปล่อยให้แบตฯ เสื่อมก้อนต่อก้อนก็ดีเพราะตอนมีปัญหาก็หยิบก้อนสำรองมาใส่แทนได้ทันทีแล้วค่อยสั่งแบตเตอรี่ลูกใหม่มาเตรียมเอาไว้ หรือใช้สลับกันไปมาก็ใช้งานแบบไร้สายได้ต่อเนื่องไม่เสียจังหวะเลย แถมยังมีฝาหลังสำรองให้เปลี่ยนตามชอบด้วย จัดว่าดีใช้เล่นเกมได้ทุกแนวอย่างแน่นอน และถ้าใครเป็นคนมือใหญ่ชอบจับเมาส์แบบ Palm Grip ก็น่าจะถูกใจเจ้า GARUDA PRO+ แน่นอน เพราะตัวมันยาวจับถนัดมือมาก

ด้านเซนเซอร์และการใช้งานจริงถือว่าเซนเซอร์ PAW 3395 ตอบสนองได้เร็วยอดเยี่ยมและคม ลากได้เร็วไม่มีไถลเกินระยะที่ต้องการแม้แต่นิดเดียว ทำให้ตอนเล่นเกมสามารถลากเป้ายิงคู่แข่งได้แม่นยำ ด้านการใช้งานอื่นๆ ก็ตั้งโปรไฟล์แยกไว้ใช้ได้ทั้งทำงานและเล่นเกม โดยเฉพาะ Shinryu Pro Wireless จะเลื่อนสวิตช์เปลี่ยนโปรไฟล์ได้ถึง 3 โปรไฟล์ หากต้องการเซฟโปรไฟล์แยกตามเกมที่เล่นหรือรูปแบบการใช้งานก็ทำได้ง่ายมากๆ ด้าน GARUDA PRO+ ก็ทำได้เช่นกัน และราคาของแต่ละรุ่นก็ถือว่าไม่แพงมาก ด้าน Shinryu Pro Wireless ก็แค่ 3,190 บาท ส่วน GARUDA PRO+ ก็เพียงแค่ 2,990 บาทเท่านั้น เมื่อเทียบสเปคกับฟีเจอร์แล้วต้องถือว่าราคาคุ้มค่าน่าซื้อมาใช้มากๆ

อย่างไรก็ตาม จุดสังเกตของเมาส์ทั้งสองรุ่นนี้ คือซอฟท์แวร์แยกเฉพาะของเมาส์แต่ละตัวที่มีหน้า User Interface (UI) เหมือนกันมาก ต่างกันแค่หน้าตาเมาส์กับโลโก้ของมันเท่านั้น หากทาง LOGA ปรับแต่งให้มันเป็นโปรแกรมแบบแพลตฟอร์มรวมเกมมิ่งเกียร์แทนจะดีมาก ส่วนตัวผู้เขียนเสนอว่าถ้าต่อไปทาง LOGA จะออกเมาส์เกมมิ่งรุ่นใหม่อีกตัว อาจเอาจุดเด่นของ Shinryu Pro Wireless และ GARUDA PRO+ มารวมกันให้กลายเป็นเมาส์เกมมิ่งตัวเดียวที่แบบถอดสวิตช์และแบตเตอรี่ได้หมด ให้ฝาหลังมารวม 4 ชิ้น ให้เกมเมอร์ถอดเปลี่ยนได้ตามชอบแล้วเพิ่มราคาไปราว 1,000 บาท ก็ยังถือว่าน่าสนใจ เพราะมีเกมเมอร์ที่อยากซ่อมและปรับแต่งเมาส์ได้ตามใจชอบก็มีตัวเลือกที่เป็นตัวท็อปของรุ่นให้หาซื้อได้

Summary

GarudaShinryu DSC01139

LOGA GARUDA PRO+ และ LOGA Shinryu Pro Wireless ถือเป็นเกมมิ่งเมาส์คุณภาพดีแบรนด์คนไทยสองรุ่นที่มีจุดเด่นแตกต่างกันไป อย่าง Shinryu Pro Wireless สามารถถอดสวิตช์เปลี่ยนได้ตามต้องการ ส่วน GARUDA PRO+ ก็ถอดสลับแบตเตอรี่สองลูกใช้งานได้ต่อเนื่องและเปลี่ยนฝาหลังเมาส์ได้อีก 3 แบบ ซึ่งฟีเจอร์ของเมาส์ทั้งสองรุ่นนี้หากเป็นแบรนด์ต่างประเทศราคาอาจสูงราว 4~5,000 บาท แต่ทาง LOGA ทำราคาให้อยู่ในเรทที่จับต้องได้เพียง 2-3 พันบาทเท่านั้น และงานประกอบถือว่าเทียบชั้นแบรนด์ต่างประเทศได้สบายๆ และราคาก็ย่อมเยาว์กว่าอย่างชัดเจน หากใครมีแผนอยากเปลี่ยนเมาส์เกมมิ่งตัวเดิมที่ใช้งานมานานจนหมดสภาพ ก็แนะนำให้ลองดูแบรนด์ LOGA เอาไว้ได้เลย

award

NBS award Innovation

best innovation

เมาส์เกมมิ่งทั้งสองรุ่นมีฟีเจอร์น่าใช้งานให้เลือกได้ตามชอบ รุ่นหนึ่งถอดสวิตช์ อีกรุ่นถอดแบตฯ ในตัวเปลี่ยนได้ตามใจชอบ ซึ่งในประเทศไทยมีเมาส์เกมมิ่งไม่กี่รุ่นที่ทำแบบนี้ได้และถ้าทำให้ราคาเข้าถึงง่ายเช่นนี้ยิ่งหายาก ถ้าใครต้องการเมาส์เกมมิ่งฟีเจอร์ล้ำๆ เอาไว้ใช้ก็แนะนำให้ดูเมาส์ทั้งสองรุ่นนี้ได้เลย

award new Gaming

best gaming

สัมผัสและประสบการณ์การเล่นเกมถือว่าดีมาก เซนเซอร์ PAW 3395 ของเมาส์ทั้งสองรุ่นนี้ปรับค่าได้สูงสุดถึง 26,000 DPI และเซนเซอร์ก็ถือว่าคมตอบสนองดีทันใจอีกด้วย หากใครหาเมาส์เกมมิ่งดีๆ ไว้ทำงานและเล่นเกม เซฟโปรไฟล์แยกใช้งานได้ก็ดูเมาส์รุ่นนี้ไว้ได้เลย

from:https://notebookspec.com/web/691061-review-loga-garuda-pro-loga-shinryu-pro

7 เมาส์เล่นเกมไร้สายตัวเด็ดต้นปี 2023 สเปคเทพฟีเจอร์อลังการ! เริ่มแค่ 1,690 บาทเท่านั้น

เมาส์เล่นเกมไร้สายตัวเด็ดปี 2023 นี้มีแต่ตัวน่าเล่น ใช้ทำงานก็ได้ เล่นเกมก็โดนใจ!!

7เมาท์ไร้สายเทพๆ

ภาพจำของเมาส์เล่นเกมในอดีตมักเป็นเมาส์มีสายดีไซน์หวือหวาทั้งเจาะโครงเมาส์หรือแม้แต่ใส่ปุ่มเสริมเข้ามาอีกมากมายให้เกมเมอร์ตั้งค่ากดปุ่มเรียกคำสั่งใช้งานบ่อยขึ้นมาใช้งานได้ทันใจและยังมีโปรแกรมให้ใช้ตั้งค่าปุ่มต่างๆ บนเมาส์ได้ด้วย ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่ามีผู้ใช้หลายๆ คนก็ซื้อเมาส์ประเภทนี้มาใช้ทำงานและเล่นเกมกันอย่างแน่นอน เพราะฟังก์ชั่นใช้งานมันเยอะและดีไซน์ยังจับถนัดมืออีกด้วย

Advertisementavw

แต่ปัจจุบันนี้เมื่อเทคโนโลยีการรับส่งข้อมูลไร้สายไม่ว่าจะ Bluetooth, USB 2.4GHz ก็ถูกพัฒนาให้ดีจนใช้งานได้ลื่นไหลเท่ากับเมาส์เล่นเกมแบบมีสายในอดีตแล้วหรือถ้าไม่พอใจก็ต่อสาย USB เลยก็ได้ และข้อดีของเมาส์เล่นเกมไร้สาย คือไม่มีสายพะรุงพะรังคอยดึงเมาส์และไม่ต้องหาตัวโหนสายเมาส์ (Mouse Bungee) ทำให้โต๊ะคอมไม่รกและดูสะอาดขึ้นและแบรนด์เกมมิ่งเกียร์หลายๆ เจ้าในปัจจุบันก็โหมพัฒนาเมาส์เล่นเกมไร้สายให้ฟีเจอร์ล้ำยิ่งกว่าเดิม ไม่ว่าจะถอดเปลี่ยนสวิตช์เมาส์, เปลี่ยนฝากระดองหลังเมาส์, มีไฟ RGB, สลับโหมดการเชื่อมต่อได้ว่าจะใช้ Bluetooth หรือ USB 2.4GHz ก็ได้และระยะเวลาใช้งานยังยาวนานระดับ 60 ชั่วโมงขึ้นไป เล่นเกมได้เพลิดเพลินยิ่งขึ้นมาก

เมาส์เล่นเกม

สรุปสเปค 7 เมาส์เล่นเกมไร้สายน่าโดน อัพเดทปี 2023

สเปคเมาส์เล่นเกมไร้สาย DPI

Sensor

Speed

Acceleration

Software

Battery Life

Suppported OS

Weight

Connectivity

ราคา
(บาท)
FANTECH XD7 ARIA Pro PixArt 3395 

50~26,000 DPI

Speed
650 IPS

Acceleration
50G

FANTECH Personaization+

แบตเตอรี่
40 ชั่วโมง

Windows

macOS

59 กรัม

USB 2.4GHz

Bluetooth 5.0

USB-C

1,890
LAMZU Atlantis PixArt 3395 

สูงสุด 26,000 DPI

LAMZU
Gaming Mouse

70 ชั่วโมง

Windows

55 กรัม

USB 2.4GHz Dongle

USB-C

3,490
Corsair Sabre RGB Pro Wireless MARKSMAN 26K

สูงสุด 26,000 DPI

Speed
650 IPS

Acceleration
50G

Corsair iCue

Corsair Slipstream
90 ชั่วโมง

Bluetooth
60 ชั่วโมง

Windows

79 กรัม

Corsair Slipstream

Bluetooth

USB-C

3,790
Logitech G502 X LIGHTSPEED HERO 25K

100~25,600 DPI

Speed 400 IPS

Acceleration 40G

Logitech
G HUB

140 ชั่วโมง

Windows

macOS

102 กรัม

USB-C

USB 2.4GHz “LIGHTSPEED”

4,290
Razer Viper V2 Pro Razer Focus Pro 30K

สูงสุด 30,000 DPI

Speed 750 IPS

Acceleration 70G

Razer Synapse 3

HyperPolling 4,000Hz ใช้ได้ 24 ชั่วโมง

ทั่วไป 80 ชั่วโมง

Windows

58 กรัม

USB 2.4GHz “Razer HyperSpeed Wireless”

USB-C

5,290
SteelSeries Rival 3 Wireless SteelSeries TrueMove Air

100~18,000 DPI

Speed 400 IPS

Acceleration 40G

SteelSeries Engine

400 ชั่วโมง (โหมด Bluetooth)

Windows, macOS, ChromeOS, Xbox, PlayStation 4 และ 5, Linux

106 กรัม

USB 2.4GHz “Quantum 2.0”

Bluetooth 5.0

1,690
ASUS ROG Chakram X ROG AimPoint

100~36,000 DPI

Speed 650 IPS

Acceleration 50G

ASUS Armoury Crate

114 ชั่วโมง

Windows

127 กรัม

USB-C

USB 2.4GHz Dongle

Bluetooth

4,390

7 เมาส์เล่นเกมไร้สายตัวเด็ดเพื่อเกมเมอร์! เล่นดีโดนใจ ลากหัวได้คมๆ

เกมเมอร์คนไหนที่เมาส์เล่นเกมตัวเก่าโทรมใช้งานไม่ดีแล้วหรืออยากเปลี่ยน เอาตัวใหม่เล่นเกมแล้วเอาตัวเก่าไปใช้ทำงานที่ออฟฟิศล่ะก็ ผู้เขียนได้เลือกเมาส์เกมมิ่งไร้สายน่าใช้มาให้เลือก 7 รุ่น อัพเดทต้นปี 2023 นี้เลย โดยมีรายชื่อรุ่นดังนี้

  1. FANTECH XD7 ARIA Pro (1,890 บาท)
  2. LAMZU Atlantis (3,490 บาท)
  3. Corsair Sabre RGB Pro Wireless (3,790 บาท)
  4. Logitech G502 X LIGHTSPEED (4,290 บาท)
  5. Razer Viper V2 Pro (5,290 บาท)
  6. SteelSeries Rival 3 Wireless (1,690 บาท)
  7. ASUS ROG Chakram X (4,390 บาท)
1. FANTECH XD7 ARIA Pro (1,890 บาท)

Aria XD7 Superlightweight 1536x864 1

เมาส์เกมมิ่งไร้สายตัวแรกเป็นของ FANTECH ของดีราคาประหยัดอย่าง FANTECH XD7 ARIA Pro ซึ่งหน้าตาเรียบง่ายดูดีเลือกสีได้ว่าจะเอาสีขาวหรือดำ และทางผู้ผลิตก็ตัดระบบไฟ RGB ทิ้งไม่ให้ส่องแสงรบกวนสายตาเกมเมอร์อีกด้วย และข้อดีของ XD7 ARIA Pro คือ น้ำหนักเบาเพียง 59 กรัม ดีไซน์ทรงไข่แบบ False Ambidextrous จับถนัดสองมือแต่เน้นมือขวามากกว่าและเหมาะกับสไตล์ Claw, Fingertip Grip รองรับการเชื่อมต่อ 3 โหมดทั้ง USB 2.4GHz, Bluetooth 5.0 หรือสาย USB-C ก็ได้และมีซอฟท์แวร์ FANTECH Personaization+ ให้ตั้งค่าปุ่มต่างๆ ได้ตามต้องการ ติดตั้งเซนเซอร์ PixArt 3395 มาให้ ตั้งค่า DPI ได้ตั้งแต่ 50~26,000 DPI มีความเร็ว 650 IPS และอัตราเร่ง 50G รองรับระบบปฏิบัติการ Windows, macOS ใช้งานได้นานสุด 40 ชั่วโมง เป็นของดีราคาไม่แพง ถ้าอยากเปลี่ยนเมาส์เกมมิ่งตัวใหม่ก็แนะนำให้ซื้อตัวนี้เลย

สเปคของ FANTECH XD7 ARIA Pro
DPI, Sensor เซนเซอร์ PixArt 3395 ตั้งค่าได้ 50~26,000 DPI
Speed, Acceleration Speed 650 IPS

Acceleration 50G

Software

Battery Life

Suppported OS

FANTECH Personaization+

แบตเตอรี่ 40 ชั่วโมง

Windows, macOS

Weight, Connectivity 59 กรัม

เชื่อมต่อด้วย USB 2.4GHz, Bluetooth 5.0, USB-C

Price 1,890 บาท (Gadget Villla Shopee)
2. Lamzu Atlantis (3,490 บาท)

lamzu

เมาส์เล่นเกมไร้สายสำหรับเกมเมอร์สาย FPS อย่าง LAMZU Atlantis รุ่นนี้มีจุดเด่นคือ น้ำหนักเบาเพียง 55 กรัม งานประกอบตัวเมาส์ดีแถมรูปลักษณ์สวยงาม เซนเซอร์เป็น Pixart 3395 ปรับได้สูงสุด 26,000 DPI มีค่า DPI ตั้งค่าจากโรงงานอยู่ที่ 400/800/1,600/3,200/6,400 DPI กดปรับแล้วไฟ LED ที่ตัวเมาส์จะเปลี่ยนไปเพื่อบอกค่า DPI กับผู้ใช้ ดีไซน์เป็น False Ambidextrous ซึ่งจับถนัดทั้งสองมือแต่เน้นมือขวามากกว่า เชื่อมต่อด้วย USB 2.4GHz Dongle หรือ USB-C ใช้งานไร้สายได้นานสุด 70 ชั่วโมง รองรับระบบปฏิบัติการ Windows เพื่อติดตั้งโปรแกรม LAMZU Gaming Mouse ไว้ตั้งค่าเมาส์ได้ ต้องถือว่าเมาส์ LAMZU ตัวนี้สเปคก็ดีน่าใช้แถมดีไซน์ยังสวยเรียบร้อยและใช้สีขาวตัดฟ้าซึ่งสวยงามถูกใจเกมเมอร์หลายๆ คนอย่างแน่นอน

สเปคของ Lamzu Atlantis
DPI, Sensor เซนเซอร์ Pixart 3395 ปรับได้สูงสุด 26,000 DPI
Speed, Acceleration
Software

Battery Life

Suppported OS

LAMZU Gaming Mouse

70 ชั่วโมง

Windows

Weight, Connectivity 55 กรัม

USB 2.4GHz Dongle, USB-C

Price 3,490 บาท (Mouse Innovation Shopee)
3. Corsair Sabre RGB Pro Wireless (3,790 บาท)

base sabre rgb pro wireless champion Gallery SABRE RGB PRO WIRELESS 01

Corsair Sabre RGB Pro Wireless เป็นเมาส์เล่นเกมไร้สายจากแบรนด์ขวัญใจเกมเมอร์หลายๆ คน ซึ่งเมาส์นี้มีน้ำหนัก 79 กรัม จัดว่าหนักกำลังดีไม่เบาเกินไป ออกแบบมาเพื่อเกมเมอร์ถนัดขวาโดยเฉพาะ เหมาะกับสไตล์การจับแบบ Palm, Claw Grip เป็นหลัก เชื่อมต่อด้วยย USB 2.4GHz Dongle “Corsair Slipstream” สลับโหมดเป็น Bluetooth ความหน่วงต่ำ (Low-latency) เซนเซอร์เป็น MARKSMAN 26K ตั้งค่า DPI ได้สูงสุด 26,000 DPI ความเร็ว 650 IPS และอัตราเร่ง 50G ใช้งานด้วย USB 2.4GHz Dongle ได้ 90 ชั่วโมง ส่วน Bluetooth เหลือ 60 ชั่วโมง ชาร์จแบตเตอรี่ด้วยสาย USB-C ใช้งานกับระบบปฏิบัติการ Windows เป็นหลัก ตั้งค่าด้วยโปรแกรม Corsair iCue ได้อีกด้วย หากใครต้องการเมาส์เล่นเกมประสิทธิภาพดีแข็งแรงทนทานก็แนะนำให้ซื้อ Corsair Sabre นี้ไปใช้งานเลย

Corsair Sabre RGB Pro Wireless
DPI, Sensor MARKSMAN 26K ตั้งค่าได้สูงสุด 26,000 DPI
Speed, Acceleration Speed 650 IPS, Acceleration 50G
Software

Battery Life

Suppported OS

Corsair iCue

Corsair Slipstream 90 ชั่วโมง, Bluetooth 60 ชั่วโมง

Windows

Weight, Connectivity 79 กรัม

Corsair Slipstream, Bluetooth, USB-C

Price 3,790 บาท (Estintech Shopee)
4. Logitech G502 X LIGHTSPEED (4,290 บาท)

g502x lightspeed gallery 1 black

เมาส์เล่นเกมไร้สายที่ผู้เขียนแนะนำเป็นส่วนตัวสำหรับเกมเมอร์ถนัดขวางานประกอบแข็งแรงทนทานและใช้งานต่อเนื่องได้นานถึง 140 ชั่วโมง ต้อง Logitech G502 X LIGHTSPEED ซึ่งเมาส์นี้ใช้เซนเซอร์ HERO 25K ตั้งค่าได้สูงสุด 100~25,600 DPI มีความเร็ว 400 IPS กับอัตราเร่ง 40G และปุ่มมาโคร 13 ปุ่ม ตั้งค่าได้ด้วยโปรแกรม Logitech G HUB เชื่อมต่อด้วสาย USB-C หรือ USB 2.4GHz Dongle “LIGHTSPEED” ก็ได้ รองรับระบบปฏิบัติการ Windows และ macOS ทั้งคู่ จุดเด่นของเมาส์นี้ ได้แก่ ไฟ RGB, ปุ่ม Sniper Button สำหรับปรับลดค่า DPI โดยติดเอาไว้ใกล้แม่โป้งขวามือ นอกจากนี้ถ้าใครใช้แผ่นรองเมาส์ Logitech POWERPLAY ก็สามารถชาร์จแบตเตอรี่ให้เมาส์นี้แบบไร้สายได้ด้วย แต่เมาส์นี้จะมีน้ำหนัก 102 กรัม ดังนั้นถ้าใครไม่ชอบเมาส์หนักอาจจะใช้งานไม่ถนัด โดยรวมแล้ว Logitech G502X LIGHTSPEED นี้เป็นเมาส์เกมมิ่งน่าใช้อีกรุ่น โดยเฉพาะเกมเมอร์สาย FPS แล้วชอบเล่นเป็นพลซุ่มยิงประจำกลุ่มน่าจะถูกใจ เพราะมีปุ่ม Sniper Button ติดตั้งมาให้ใช้งานด้วย

สเปคของ Logitech G502 X LIGHTSPEED
DPI, Sensor เซนเซอร์ HERO 25K ตั้งค่าได้สูงสุด 100~25,600 DPI
Speed, Acceleration Speed 400 IPS, Acceleration 40G
Software

Battery Life

Suppported OS

Logitech G HUB

140 ชั่วโมง

Windows, macOS

Weight, Connectivity 102 กรัม

USB-C, USB 2.4GHz Dongle “LIGHTSPEED”

Price 4,290 บาท (Hardware Corner Shopee)
5. Razer Viper V2 Pro (5,290 บาท)

viperv2pro

หากพูดถึงเกมมิ่งเกียร์ รวมไปถึงเมาส์เล่นเกมด้วยก็ต้องพูดถึงเมาส์แบรนด์งูเขียวอย่าง Razer Viper V2 Pro เจ้างูแมวเซาสำหรับเกมเมอร์ถนัดขวารวมอยู่ด้วย ซึ่งดีไซน์เมาส์นี้เน้นเกมเมอร์ถนัดขวาเช่นกัน เชื่อมต่อได้ด้วย USB 2.4GHz Dongle “Razer HyperSpeed Wireless” หรือสาย USB-C ก็ได้ เซนเซอร์รุ่น Razer Focus Pro 30K ปรับได้ 30,000 DPI มีความเร็ว 750 IPS และอัตราเร่ง 70G น้ำหนักเมาส์เองก็ถือว่าเบามากเพียง 58 กรัม รองรับระบบปฏิบัติการ Windows ตั้งค่าด้วยโปรแกรม Razer Synapse 3 ระยะเวลาใช้งานแบตเตอรี่ถ้าใช้ HyperPolling 4,000Hz จะอยู่ได้นาน 24 ชั่วโมง หากใช้ตามปกติอยู่ได้ 80 ชั่วโมง และต้องถือว่าเมาส์ Viper V2 Pro ตัวนี้มีค่า DPI สูงมาก เหมาะกับเกมเมอร์สายกวาดเมาส์เร็วหรือถ้าใครอยากได้เมาส์เล่นเกมไร้สายดีๆ จากทาง Razer ตัวนี้ถือว่าน่าใช้อย่างแน่นอน

สเปคของ Razer Viper V2 Pro
DPI, Sensor เซนเซอร์ Razer Focus Pro 30K ตั้งค่าได้สูงสุด 30,000 DPI
Speed, Acceleration Speed 750 IPS, Acceleration 70G
Software

Battery Life

Suppported OS

Razer Synapse 3

HyperPolling 4,000Hz ใช้ได้ 24 ชั่วโมง, ทั่วไป 80 ชั่วโมง

Windows

Weight, Connectivity 58 กรัม

USB 2.4GHz “Razer HyperSpeed Wireless”, สาย USB-C

Price 4,290 บาท (Razer Shopee Mall)
6. SteelSeries Rival 3 Wireless (1,690 บาท)

buyimg rival3wl 001.jpg 1920x1080 q100 crop fit optimize subsampling 2

 

ดีไซน์เรียบง่ายดูดีแต่ใช้ดีไม่แพ้ใครต้อง SteelSeries Rival 3 Wireless ซึ่งนอกจากราคาจะถูกหาซื้อได้ง่ายแล้ว ยังสลับโหมดการเชื่อมต่อไปมาได้ทั้ง USB 2.4GHz “Quantum 2.0”, Bluetooth 5.0 พกไปทำงานหรือใช้เล่นเกมที่บ้านก็ดี เหมาะกับการจับแบบ Claw, Fingertip Grip เป็นหลัก เซนเซอร์เมาส์เป็นของทางบริษัทเองอย่าง SteelSeries TrueMove Air ตั้งค่าได้ตั้งแต่ 100~18,000 DPI มีความเร็ว 400 IPS และอัตราเร่ง 40G น้ำหนักเมื่อใส่แบตเตอรี่ 2 ก้อน อยู่ที่ 106 กรัม ใช้งานในโหมด Bluetooth ได้นานสุดถึง 400 ชั่วโมง รองรับระบบปฏิบัติการ Windows, macOS, ChromeOS, Xbox, PlayStation 4 และ 5, Linux ได้หมด ถ้าจะตั้งค่าเมาส์ต้องใช้ SteelSeries Engine ซึ่งมีให้โหลดใช้งานใน Windows, macOS หากเกมเมอร์คนไหนหาเมาส์เกมมิ่งไร้สายคุณภาพดีราคาเป็นมิตรล่ะก็ Rival 3 Wireless ตัวนี้จัดว่าน่าใช้และจับถนัดมืออย่างแน่นอน

สเปคของ SteelSeries Rival 3 Wireless
DPI, Sensor เซนเซอร์ SteelSeries TrueMove Air ตั้งค่าได้ 100~18,000 DPI
Speed, Acceleration Speed 400 IPS, Acceleration 40G
Software

Battery Life

Suppported OS

SteelSeries Engine

400 ชั่วโมง (โหมด Bluetooth)

Windows, macOS, ChromeOS, Xbox, PlayStation 4 และ 5, Linux

Weight, Connectivity 106 กรัม

USB 2.4GHz “Quantum 2.0”, Bluetooth 5.0

Price 1,690 บาท (Pro Gadgets Shopee Mall)
7. ASUS ROG Chakram X (4,390 บาท)

h525

เมาส์เล่นเกมไร้สายรุ่นสุดท้ายก็มาจากแบรนด์ขวัญใจเกมเมอร์อย่าง ASUS ROG Chakram X ซึ่งเมาส์นี้เชื่อมต่อได้ 3 แบบ ทั้งสาย USB-C, USB 2.4GHz Dongle และ Bluetooth รองรับ NVIDIA Reflex ซึ่งฟีเจอร์นี้จะช่วยลดอาการตอบสนองช้าตอนลากหรือกดปุ่มเมาส์ได้มาก มีก้าน Joystick ข้างเมาส์เผื่อกรณีต้องการบังคับตัวละครให้ช้าเร็วได้ถนัดยิ่งขึ้นและถอดเปลี่ยนสวิตช์ของปุ่มคลิ๊กเมาส์ได้ ใช้เซนเซอร์ ROG AimPoint ตั้งค่าได้ 100~36,000 DPI ความเร็ว 650 IPS อัตราเร่ง 50G ปรับ Polling Rate ได้สูงสุด 8,000Hz รองรับการชาร์จเร็วด้วยสายย USB-C 15 นาทีใช้งานได้ 25 ชั่วโมงหรือชาร์จไร้สายก็ได้ด้วยแผ่นรองเมาส์ ROG Balteus Qi RGB ใช้เล่นเกมต่อเนื่องได้นานสุด 114 ชั่วโมง เน้นใช้งานกับระบบปฏิบัติการ Windows เป็นหลัก ตั้งค่าเมาส์ได้ด้วยโปรแกรม ASUS Armoury Crate แต่จุดสังเกตของเมาส์นี้คือน้ำหนักสูงถึง 127 กรัม

สเปคของ ASUS ROG Chakram X
DPI, Sensor เซนเซอร์ ROG AimPoint ตั้งค่าได้ 100~36,000 DPI
Speed, Acceleration Speed 650 IPS, Acceleration 50G
Software

Battery Life

Suppported OS

ASUS Armoury Crate

114 ชั่วโมง

Windows

Weight, Connectivity 127 กรัม

USB-C, USB 2.4GHz Dongle, Bluetooth

Price 4,390 บาท (ROG Shopee Mall)

higor hanschen p25PXEY3SAU unsplash

เมาส์เล่นเกมถือเป็นเกมมิ่งเกียร์ชิ้นสำคัญอีกชิ้นไม่แพ้กับคีย์บอร์ดหรือหูฟังเลย แต่จุดสำคัญคือแม้จะอ่านหน้าสเปคแล้วเลือกซื้อมาใช้งานได้เลยก็จริง แต่จะเลือกให้ถูกใจไร้ที่ติก็ควรหาเมาส์ตัวจริงมาลองจับดูสักนิดหนึ่งก่อนว่าขนาดมันใหญ่พอดีมือไหม เข้ากับมือเราหรือเปล่าแล้วน้ำหนักของมันหนักเกินไปไหม ซึ่งถ้าใส่ใจสักนิด ไปลองหาตัวจริงจับเล่นสักหน่อยจะช่วยให้เลือกเมาส์เล่นเกมตัวใหม่ได้โดนใจอย่างแน่นอน


บทความที่เกี่ยวข้อง

Razer Naga V2 Pro 1

7 Wireless Charging 1

7 หูฟังเกมมิ่ง 2023 1

from:https://notebookspec.com/web/686699-7-wireless-gaming-mouse-2023

รีวิว Razer Naga V2 Pro เปลี่ยนกรอบได้เล่นเกมก็เทพ งานก็รุ่ง! ปุ่มมาโครเพียบ เร็วสะใจ 30,000 DPI ราคา 7,490 บาท

Razer Naga V2 Pro พญานาคปุ่มมาโครรุ่นใหม่ ดุดันไม่เกรงใจใคร! เล่นเกมก็เทพทำงานก็รุ่ง!!

Razer Naga V2 Pro 1

Razer Naga V2 Pro เกมมิ่งเมาส์รุ่นใหม่ในตระกูล Naga ซึ่งตั้งต้นจากการเป็นเมาส์เพื่อเกม MOBA โดยเฉพาะ แต่เมื่อเทคโนโลยีและดีไซน์ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ดีไซน์ของเมาส์ตระกูล Naga ก็ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ จากเมาส์พร้อมปุ่มมาโคร 12 ปุ่มข้างตัวแบบเดียว ก็สามารถแกะถอดฝาเปลี่ยนจำนวนปุ่มให้ลดลงเป็น 6 หรือ 2 ปุ่มให้เหมาะกับสไตล์เกมที่เล่นได้ง่ายๆ ตั้งค่าไฟ RGB หรือการทำงานของปุ่มแต่ละปุ่มบนตัวเมาส์ได้ในโปรแกรม Razer Synapse 3 และ Razer Chroma ได้ด้วย

Advertisementavw

ด้านจุดเด่นน่าสนใจของเมาส์นี้ นอจากการเปลี่ยนกรอบฝาข้างแล้วทาง Razer ได้เสริมฟีเจอร์ดีๆ เข้ามาใน Razer Naga V2 Pro อีกเพียบ ทั้งปุ่มเปลี่ยนไฟ RGB ออนบอร์ดบนตัวเมาส์, ปุ่มปรับโหมดสกรอล์เมาส์ Razer HyperScroll Pro ให้สัมผัสตอนใช้งานต่างจากลูกล้อทั่วไปถึง 6 แบบ ได้แก่ Standard ใช้ตามแบบสกรอล์เมาส์ทั่วไป, Distinct ลูกล้อมีความแข็งฝืนนิ้วมาก, Ultra-fine สกรอล์มีความลื่นต่อเนื่องตามการเลื่อนนิ้ว, Adaptive สกรอล์เมาส์มีความแข็งฝืนนิ้วเล็กน้อยคล้ายการหมุนลูกบิด, Smooth Scroll หรือ Custom ปรับการตอบสนองได้ตามใจของผู้ใช้ว่าต้องการความแข็งและความต่อเนื่องเท่าไหร่ ก็ปรับเซ็ตได้ตามถนัดเลย

ส่วนอื่นๆ ที่ได้รับการอัพเกรด คือ Razer Naga V2 Pro ได้เปลี่ยนหัวพอร์ตของสาย Razer Speedflex จาก MicroUSB มาเป็น USB-C แทนแล้ว ทำให้หาสายชาร์จแบตให้เมาส์ได้ง่ายขึ้นและเชื่อมต่อไร้สายได้ด้วย Bluetooth หรือ Razer HyperSpeed Wireless USB Dongle ก็ได้ เปลี่ยนเซนเซอร์เป็นรุ่นใหม่ประสิทธิภาพสูงอย่าง Razer Focus Pro 30K ซึ่งตอบสนองได้เร็วและต่อเนื่องและละเอียดยิ่งขึ้น คมยิ่งกว่าเซนเซอร์ Razer Focus+ รุ่นก่อนอย่างชัดเจนแถมยังซื้ออุปกรณ์เสริมอย่าง Razer Mouse Dock Pro หรือแท่นวางเมาส์มาใช้ชาร์จแบตเมื่อใช้งานเสร็จแล้วได้ด้วยแถมยังมีลูกเล่นอย่าง Razer Wireless Charging Puck หรือเหรียญแปลงระบบเมาส์ให้ใช้กับแท่นชาร์จไร้สายหลายๆ รุ่นในปัจจุบันได้ โดยใส่แทนฝาปิดขั้วใต้เมาส์แล้วใช้งานได้ทันที จัดว่า Naga V2 Pro ตัวนี้มีลูกเล่นน่าสนใจให้เกมเมอร์ใช้งานเพียบ!

Razer Naga V2 Pro

NBS Verdicts

Razer Naga V2 Pro DSC01194

Razer Naga V2 Pro เป็นเมาส์เกมมิ่งที่แม้จะเริ่มจากเมาส์สาย MOBA แต่มันก็ถูกพัฒนาดีไซน์ให้เปลี่ยนเพลตข้างให้มีจำนวนปุ่มน้อยลงให้เข้ากับเกมสไตล์ต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะ RPG, FPS หรือจะเซ็ตคีย์ลัดเอาไว้ใช้ทำงานก็สะดวกทีเดียว ดังนั้นเจ้าของเมาส์ Razer ตัวนี้เมื่อตั้งค่ามันใน Razer Synapse 3 เสร็จก็เซฟโปรไฟล์เก็บเอาไว้ออนบอร์ดได้และกดเปลี่ยนด้วยปุ่มสลับโปรไฟล์ใต้เมาส์ได้อีกด้วย ดังนั้นถ้าใครจะใช้เมาส์ตัวเดียวเหมาทุกหน้าที่ Naga V2 Pro ก็รับหน้าที่นั้นได้สบายๆ เวลาไปทำงานก็สลับเข้าโหมด Bluetooth ต่อโน๊ตบุ๊คทำงานแล้วกลับมาบ้านก็สับสวิตช์เปลี่ยนโหมดต่อ HyperSpeed USB Dongle เปลี่ยนโปรไฟล์แล้วเล่นเกมต่อได้ทันที จ่ายทีเดียวใช้ได้ทุกหน้าที่อย่างนี้ก็ถือว่าคุ้ม

การตอบสนองของเมาส์ไม่ว่าจะใช้ Razer HyperSpeed Wireless USB หรือ Bluetooth ก็ยังตอบสนองได้รวดเร็วทันใจไม่ต่างกับการต่อด้วยสาย Razer Speedflex USB-C แม้แต่นิดเดียว ต้องถือว่าเทคโนโลยีการรับส่งข้อมูลแบบไร้สายนั้นมาถึงจุดที่ดีมากจนแทบไม่ต่างกับการใช้สาย USB แถมระยะเวลาใช้งานยังอยู่นานถึง 150~300 ชั่วโมง หากแบตเตอรี่ใกล้จะหมดก็ต่อสาย Razer Speedflex USB-C แล้วเล่นเกมต่อหรือจะซื้อแท่นชาร์จมาตั้งเอาไว้ พอจะนอนก็วางทิ้งไว้บนแท่นแล้วหยิบออกมาใช้ตอนเช้าต่อได้เลย นอกจากนี้ทางบริษัทยังออกแบบให้ Razer HyperSpeed Wireless USB ตัวเดียวรับสัญญาณจากเมาส์และคีย์บอร์ดเกมมิ่งของ Razer ได้พร้อมกัน ไม่ต้องต่อแยกให้เปลืองช่อง USB และได้ความสะดวกไปเต็มๆ

ดีไซน์ Naga V2 Pro ยังคงเหมือนกับ Naga Pro รุ่นก่อนหน้าที่ยังเอื้อมือขวาเป็นหลักและมีสันโค้งเอาไว้พาดนิ้วนางให้มีที่วางได้ถนัดมือแล้วเกมเมอร์ก็สามารถหนีบนิ้วโป้งกับก้อยเข้าหาตัวเมาส์ให้จับได้กระชับมือและนิ้วไม่พาดลงมาถึงแผ่นรองเมาส์เลย ดังนั้นตอนลากเมาส์ไปมาจึงเร็วทันใจไม่สะดุดแม้แต่น้อย แต่อย่างไรก็ตาม ตัว Razer Naga V2 Pro มีขนาดค่อนข้างใหญ่ จึงเหมาะกับเกมเมอร์มือใหญ่สักนิดถึงจะจับได้ถนัด ผิดกับ Razer Naga รุ่นก่อนๆ ที่ยังออกแบบให้เหมาะกับเกมเมอร์มือเล็กจับได้ถนัดมือด้วย ส่วนของน้ำหนักเฉพาะตัวเมาส์ 134 กรัมนั้น หากเทียบกับเมาส์เกมมิ่งแบรนด์คู่แข่งต้องถือว่ามันเป็นเมาส์เกมมิ่งที่มีน้ำหนักพอควร ไม่เหมาะกับคนจับแบบ Fingertip Grip นัก

ข้อดีของ Razer Naga V2 Pro
  1. เปลี่ยน Side Plate ข้างเมาส์ได้ 3 แบบ ปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานได้หลากหลาย
  2. ตั้งมาโครให้ปุ่มข้างเมาส์ได้มากสุด 20 ปุ่ม เหมาะกับการเล่นเกมหรือใช้กดคีย์ลัดตอนทำงานก็ได้
  3. ดีไซน์เมาส์จับถนัดมือมาก มีที่รองนิ้วนางไม่ให้ตกไปจนแตะพื้นโต๊ะจึงใช้งานได้สะดวก
  4. ตั้งโปรไฟล์ออนบอร์ดได้ 5 แบบ แยกได้ตามเกมหรือเอาไว้ทำงานก็ได้
  5. สกรอล์เมาส์สามารถปรับสไตล์การหมุนเลื่อนหน้าจอได้ 6 แบบตามต้องการ
  6. เซนเซอร์ปรับค่า DPI ได้สูงมากถึง 30,000 DPI และปรับค่า DPI ได้ละเอียดมาก
  7. แบตเตอรี่ใช้งานได้นานถึง 150~300 ชั่วโมง จัดเป็นอันดับต้นๆ ของกลุ่มเกมมิ่งเมาส์ไร้สาย
  8. มีหัวแปลง USB-C to A แถมมาให้หัวรับสัญญาณ USB ใกล้เมาส์ให้รับส่งสัญญาณได้ดีขึ้น
  9. ใช้แท่นชาร์จ Razer Mouse Dock Pro หรือ Wireless Charging Puck เพื่อชาร์จแบตได้
  10. Razer HyperSpeed Wirelesss USB ใช้รับสัญญาณจากเมาส์และคีย์บอร์ด Razer พร้อมกันได้
  11. มีโปรแกรม Razer Cortex พ่วงมาช่วยจัดการทรัพยากรเครื่องตอนเล่นเกม ช่วยเพิ่มเฟรมเรทได้
ข้อสังเกตของ Razer Naga V2 Pro
  1. ดีไซน์เน้นเกมเมอร์ถนัดมือขวาเท่านั้น ไม่ใช่ทรง Ambidextrous ที่จับถนัดได้ทั้งสองมือ
  2. เมาส์มีขนาดใหญ่และมีน้ำหนัก 136 กรัม เทียบกับแบรนด์คู่แข่งแล้วจัดว่าหนัก
  3. ราคาเมาส์ 7,490 บาท เมื่อเทียบกับแบรนด์คู่แข่งแล้วราคาสูงแต่ก็ได้ฟีเจอร์เยอะ

รีวิว Razer Naga V2 Pro

Specification

Razer Naga V2 Pro DSC01138

Razer Naga V2 Pro เป็นเมาส์เกมมิ่งรุ่นปรับแต่งดีไซน์บางส่วนจาก Razer Naga Pro ซึ่งวางขายไปก่อนหน้านี้ หากนำสเปคมาเทียบกันจะเห็นว่าบอดี้ภายนอกค่อนข้างเหมือนกันแต่รายละเอียดที่ต่างไป คือฟีเจอร์ภายในตัวเมาส์ซึ่ง Naga V2 Pro มีความโดดเด่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัดตามสเปคในตารางข้างล่างนี้

เทียบสเปค Razer Naga Naga Pro Naga V2 Pro
Dimension
(ยาว x กว้าง x สูง)
4.69″ x 2.93″ x 1.69″ 4.7″ x 2.97″ x 1.72″
Weight 134 กรัม
(เฉพาะเมาส์)
Connectivity Razer HyperSpeed
Wireless USB

Bluetooth

สาย Razer Speedflex USB

Razer HyperSpeed Wireless USB

Bluetooth

สาย Razer Speedflex USB-C

Battery Life 150 ชั่วโมง 150 ชั่วโมง (HyperSpeed)

300 ชั่วโมง (Bluetooth)

Button 10 /14 / 20 ปุ่ม เปลี่ยนฝาข้างได้ 3 แบบ

เซฟโปรไฟล์ออนบอร์ดได้ 5 แบบ

DPI สูงสุด Razer Focus+ 20,000 DPI Razer Focus Pro 30K
30,000 DPI
Speed 650 750
Acceleration 50 70
Software Razer Chroma RGB

Razer Synapse 3

Razer Chroma RGB

Razer Synapse 3

Price 3,390 บาท
(c2p_gaming gear Shopee)

*หาได้ตามร้านตัวแทนจำหน่ายเท่านั้น ปัจจุบัน Razer Official Store ยกเลิกการจำหน่ายแล้ว*

7,490 บาท
(Razer Shopee Mall)

Unboxing

Razer Naga V2 Pro DSC01140

Razer Naga V2 Pro DSC01141
Razer Naga V2 Pro DSC01142
Razer Naga V2 Pro DSC01138

กล่องเมาส์ Razer Naga V2 Pro จะมีคุณสมบัติของตัวเมาส์เขียนติดเอาไว้ด้านข้างและหลังของกล่องว่าจุดเด่นของเมาส์ตัวนี้จะมีเซนเซอร์ใหม่, สกรอล์เมาส์ HyperScroll Pro และ Optical Mouse Switch ซึ่งตอบสนองได้รวดเร็วยิ่งขึ้นและมีวิธีการเปลี่ยนกรอบข้างเพิ่มลดปุ่มมาโครของตัวเมาส์สกรีนเอาไว้ให้ แต่เมื่อเทียบหน้ากล่องจะเห็นว่าตัวกล่องรุ่นเก่าและใหม่ไม่ได้ต่างกันมาก ยกเว้นโลโก้ Razer HyperSpeed มุมบนขวามือที่หายไปและเพิ่มคำว่า V2 และทำภาพสกรีนบนกล่องให้เป็นแบบพลาสติกเนื้อมันแทนการสกรีนภาพติดลงไปตามปกติ

Razer Naga V2 Pro DSC01176

Razer Naga V2 Pro DSC01143
Razer Naga V2 Pro DSC01144
Razer Naga V2 Pro DSC01146
Razer Naga V2 Pro DSC01147

นอกจาก Razer Naga V2 Pro ในกรอบพลาสติกกับเพลตข้างเมาส์อีก 2 ชิ้นแล้ว จะมีคู่มือ, สติ๊กเกอร์, หัวแปลง USB-C to A สำหรับลากสาย Razer Speedflex USB-C เข้าแล้วต่อกับหัว USB Dongle “Razer HyperSpeed” เพื่อให้หัวรับสัญญาณ USB อยู่ใกล้กับเมาส์ที่สุดพร้อมสลักชื่อแบรนด์เอาไว้ด้วย หรือถ้าแบตเตอรี่เมาส์ใกล้หมดก็สามารถถอดสายแล้วชาร์จเมาส์ไปเล่นไปได้ด้วย ซึ่งข้อดีของมันทำให้เวลาต่อคอมพิวเตอร์ด้วย HyperSpeed สามารถรับส่งข้อมูลได้เร็วเหมือนใช้เมาส์สายแบบปกติ

ด้านอุปกรณ์เสริมที่ได้กล่าวไปข้างต้น อย่างแท่นชาร์จเมาส์ Razer Mouse Dock Pro หรือเหรียญแปลงให้รองรับการชาร์จไร้สาย Razer Wireless Charging Puck เป็นสินค้าขายแยกต่างหาก จึงไม่มีแถมมาให้ในกล่อง ซึ่งถ้าต้องการซื้อมาใช้งานก็ยังสั่งผ่านทางหน้าเว็บไซต์ Razer แล้วให้ Ship สินค้าส่งเข้ามาในประเทศไทยก็ได้เช่นกัน

Design, Weight, Grip

Razer Naga V2 Pro DSC01155

Razer Naga V2 Pro DSC01153
Razer Naga V2 Pro DSC01154
Razer Naga V2 Pro DSC01152
Razer Naga V2 Pro DSC01165
Razer Naga V2 Pro DSC01170
Razer Naga V2 Pro DSC01161

ดีไซน์ของ Razer Naga V2 Pro จะเป็นเมาส์เกมมิ่งสำหรับเกมเมอร์ถนัดขวาเท่านั้น บอดี้เมาส์จะมีปุ่มบนตัวเมาส์ทั้งหมด 8 ปุ่ม พอนับรวมกับเพลตเปลี่ยนด้านข้างก็จะมีจำนวนปุ่มเพิ่มเป็น 10 / 14 / 20 ปุ่มตามที่นำมาเปลี่ยนใช้งาน โดยทาง Razer จะติดเพลตข้าง 12 ปุ่มมาจากโรงงาน และสามารถถอดเปลี่ยนได้ตามสะดวก ส่วนด้านขวาจะเป็นกริ๊บกันลื่นติดเอาไว้และเมื่อมองด้านหน้าเมาส์จะเป็นช่องสำหรับต่อสาย USB-C เพื่อชาร์จไฟหรือต่อคอมใช้งานได้

ปุ่มบนตัวเมาส์ นอกจากคลิ๊กซ้ายขวาแล้ว จุดที่เป็นปุ่มกดใช้งานได้จะมีสกอรล์เมาส์ที่สามารถกดคลิ๊กลงตรงๆ หรือดันซ้ายขวาก็ได้ และปุ่มที่ถัดเข้ามาจากสกรอล์เมาส์จะมี 2 ปุ่ม โดยปุ่มแรกที่มีเครื่องหมายลูกศรชี้วนคล้ายเครื่องหมาย Refresh เอาไว้เปลี่ยน Scroll Wheel Stages หรือสไตล์การหมุนตอบสนองของลูกล้อได้ 6 แบบ ปรับแต่งใน Razer Synapse ได้ ส่วนปุ่มถัดลงมาเป็นปุ่มเปลี่ยนค่า DPI ของเมาส์ ทำงานแบบ Toggle กดแล้วเปลี่ยนทันทีและเปลี่ยนได้ 5 ระดับและจะมีหน้าต่างบอกค่า DPI ขึ้นตรงมุมล่างขวาของหน้าจอด้วย

ด้านใต้เมาส์ จะเห็นว่ามี Glide สีขาวทำจาก Polytetrafluoroethylene (PTFE) หรือเทฟล่อน 100% ให้ผู้ใช้สามารถลากเมาส์ไปมาได้อย่างลื่นไหล โดยจะติดไว้เป็นคู่บนใต้ปุ่มคลิ๊กซ้ายขวา, ล้อมกรอบเซนเซอร์ Razer Focus Pro 30K เอาไว้และรองใต้ส่วนล่างสุดของเมาส์เป็นเส้นโค้งอีกหนึ่งเส้น ซึ่ง Glide เดิมจากโรงงานก็ถือว่าลื่นกำลังดี ลากเมาส์ไปมาได้ถนัดมือมากไม่สาก และสังเกตจะเห็นว่าด้านซ้ายของเซนเซอร์จะเป็นสวิตช์เลื่อนเปลี่ยนการเชื่อมต่อระหว่าง Razer HyperSpeed USB Dongle, Bluetooth ถ้าสับเข้าตรงกลางจะเป็น OFF เพื่อปิดเมาส์ ฝั่งขวาเป็นปุ่ม Profile สามารถกดเพื่อเปลี่ยนโปรไฟล์ออนบอร์ดไปมาได้ตามถนัด หากใครใช้เมาส์ตัวเดียวทั้งทำงานและเล่นเกมก็เซฟแยกโปรไฟล์แล้วกดสลับด้วยปุ่มนี้ได้

ส่วนที่ถอดเข้าออกได้ คือแผ่นจานด้านล่างสุดสำหรับปิดขั้วสำหรับใส่เหรียญแปลงเป็นชาร์จไร้สายหรือไว้ต่อแท่นชาร์จเมาส์ก็ได้ และฝั่งขวามือของเมาส์จะมีร่องตะเข็บให้เอาเล็บเกี่ยวดึงฝาเพลตข้างออกเพื่อเปลี่ยนเป็นอันที่ต้องการได้ และ Razer ก็เอา USB 2.4GHz “HyperSpeed” มาเก็บไว้ในนี้โดยวางเป็นแนวตั้งตามภาพที่สลักเอาไว้ด้านใน

Razer Naga V2 Pro DSC01157

Razer Naga V2 Pro DSC01160
Razer Naga V2 Pro DSC01159
Razer Naga V2 Pro DSC01158
Razer Naga V2 Pro DSC01162

เพลตข้างของ Razer Naga V2 Pro จะดูดติดเข้ากับเมาส์ด้วยแม่เหล็กแรงดูดสูง 2 เม็ดซึ่งติดไว้ขอบแผ่นทั้งสองด้าน ตรงกลางเป็นหน้าสัมผัสทองเหลืองไว้เชื่อมต่อระหว่างปุ่มมาโครกับเมาส์เข้าหากันโดยมีด้านข้างตั้งแต่ 2, 6, 12 ปุ่ม โดยเฉพาะแบบ 2 ปุ่มเมื่อติดเข้ากับเมาส์แล้วจะดึงคำสั่ง Back, Forward มาใช้งานโดยอัตโนมัติ ถ้าเป็น 6, 12 ปุ่ม ต้องตั้งค่าด้วย Razer Synapse 3

เมื่อเป็นหน้าสัมผัสทองเหลืองก็อาจจะเกิดคราบความสกปรกติดขึ้นมาได้ ดังนั้นถ้าไม่ได้ใช้งานถอดเปลี่ยนบ่อยๆ ก็ขอแนะนำให้เอาเพลตที่ไม่ได้ใช้เก็บเข้ากรอบพลาสติกใส่กล่องเพื่อป้องกันความชื้นและแนะนำให้หาสเปรย์ Contact Cleaner ติดโต๊ะเอาไว้พ่นทำความสะอาดหน้าสัมผัสทองเหลืองนี้ด้วย

Razer Naga V2 Pro DSC01166

Razer Naga V2 Pro DSC01164
Razer Naga V2 Pro DSC01163
Razer Naga V2 Pro DSC01167
Razer IMG20230118124807 Copy 1

ขนาดของ Razer Naga V2 Pro ถือว่ามีขนาดใหญ่และอ้วนทีเดียว น้ำหนักจากหน้าสเปค 134 กรัม เมื่อชั่งน้ำหนักด้วยตาชั่งดิจิตอลแล้วได้น้ำหนักเมาส์อยู่ห 129 กรัม ถ้าเทียบกับเมาส์เกมมิ่งของแบรนด์คู่แข่งต้องถือว่าค่อนข้างหนัก แต่ผู้เขียนมั่นใจว่าเมาส์นี้จะตอบโจทย์เกมเมอร์บางกลุ่มอย่างแน่นอน เพราะมันจับแล้วไม่โหวงได้ความมั่นคงมาก

อย่างไรก็ตาม ขนาดตัวทรวดทรงของ Naga V2 Pro จากที่ผู้เขียนลองจับเมาส์ดูแล้วจะเหมาะกับสไตล์การจับแบบ Palm หรือ Claw Grip ที่สุด แต่คนจับแบบ Fingertip Grip เอาปลายนิ้วจับลากไปมาอาจจะรู้สึกหนักอยู่ระดับหนึ่ง ซึ่งข้อดีของ Naga V2 Pro ที่ออกแบบมาเน้นมือขวาเป็นหลัก คือเราสามารถพาดมือลงเมาส์แล้วนิ้วนางมีสันฝั่งขวามือให้ทาบนิ้วไม่ให้ลงไปถูกพื้นโต๊ะแล้วผู้เขียนสามารถหนีบนิ้วโป้งและก้อยเข้าข้างตัวเมาส์ได้เลย จึงลากเมาส์ไปมาได้เร็วไม่เหมือนกับเมาส์เกมมิ่งหลายๆ รุ่นที่ดีไซน์มาให้ใช้ถนัดทั้งมือซ้ายและขวา (Ambidextrous) เลยทำสันข้างเมาส์เสริมเข้ามาไม่ได้ ดังนั้น Naga V2 Pro จึงเหมาะกับเกมเมอร์ส่วนใหญ่ที่ถนัดขวามาก

Razer Naga V2 Pro DSC01174

Razer Naga V2 Pro DSC01168
Razer Naga V2 Pro DSC01169
Razer Naga V2 Pro DSC01172
Razer Naga V2 Pro DSC01175
Razer Naga V2 Pro DSC01173
Razer Naga V2 Pro DSC01171
Razer Naga V2 Pro DSC01138
Razer Naga V2 Pro DSC01139

ด้านความแตกต่างของ Razer Naga Pro กับ Naga V2 Pro ไม่ว่าจะกล่องหรือตัวเมาส์นั้นจะมีจุดแตกต่างกันเล็กน้อย ซึ่งหน้ากล่องของสินค้านั้นแทบไม่ต่างกันอย่างที่คิด ซึ่งวิธีการใช้งานและเลย์เอ้าท์ของภาพต่างๆ เรียกว่ายังคล้ายเดิม แต่จะมีโลโก้บางส่วนที่ถูกขยับตำแหน่งและถอดออกบ้าง ด้านตัวเมาส์จะมีจุดแตกต่างดังนี้

  • ส่วนบน : Naga V2 Pro ใช้ขอบสกรอล์เมาส์สีดำแทนสีเงิน แต่ดีไซน์โดยรวมคล้ายกัน
  • ด้านใต้ : Naga Pro มี Glide แผ่นเล็ก 4 แผ่นติดตามมุมและมี Glide กรอบสี่เหลี่ยมตรงกลางเมาส์, ปุ่มสลับโหมดการเชื่อมต่อและเปลี่ยนโปรไฟล์ติดไว้ฝั่งซ้ายถัดจากร่องสำหรับวางบนแท่นชาร์จและเปิดกรอบโชว์จุดเชื่อมต่อชาร์จเมาส์ไว้
  • ฝั่งซ้ายและขวา : ฝั่งขวาเป็นกริพกันลื่นสำหรับจับเมาส์และด้านซ้ายภายนอกเป็นชุดปุ่มมาโครเหมือนกัน แต่ภายในจะเปลี่ยนดีไซน์ที่เก็บ Razer HyperSpeed USB Dongle จากแบบเสียบแนวนอนเป็นแนวตั้งแทน
  • ด้านหน้า : เปลี่ยนพอร์ตเป็น USB-C จากสาย MicroUSB 

หากเทียบต้องถือว่าดีไซน์ของทั้งรุ่นแรกและ V2 นั้นแตกต่างกันไม่มาก ยกเว้นด้านใต้ที่เปลี่ยนดีไซน์ไปมากทีเดียว แต่ยังคงมีปุ่มสำคัญอย่างการเปลี่ยนโปรไฟล์และสลับโหมดการเชื่อมต่อติดตั้งมาให้ครบ ซึ่งจุดต่างของเมาส์ทั้งสองตัวจะเป็นสเปคภายในเมาส์เสียมากกว่า

Software

Screenshot 2023 01 18 102343

Screenshot 2023 01 18 102418
Screenshot 2023 01 18 102432

ซอฟท์แวร์ Razer Synapse 3 สำหรับปรับแต่งเกมมิ่งเกียร์ของทางบริษัททั้นสามารถโหลดมาติดตั้งแล้วเซ็ตอัพ Razer Naga V2 Pro ให้เข้ากับสไตล์การใช้งานได้ละเอียด โดยในหน้าแรกหลังจากเลือกเมาส์แล้ว หน้า UI ถือว่าสะอาดมองเข้าใจได้ง่าย ถ้ากดไอคอนรูปเมมโมรี่การ์ดข้างชื่อ Profile ก็สามารถโหลดโปรไฟล์ที่เซฟออนบอร์ดแยกไว้ทั้ง 5 แบบขึ้นมาใช้งานได้ทันที ถัดลงมาจะมีฟังก์ชั่นเปิด/ปิด Razer HyperShift ซึ่งเป็นฟังก์ชั่นเพิ่มคำสั่งเมาส์พิเศษเข้าไปอีกคำสั่งหนึ่งนอกเหนือจากที่เซ็ตเอาไว้แล้ว เช่น ถ้าปุ่มมาโครหมายเลข 1 ถูกเซ็ตให้เอาไว้กดเพิ่มเสียง เมื่อเปิด HyperShift แล้วเราสามารถเพิ่มคำสั่งพิเศษเข้าไปได้อีกคำสั่งหนึ่งเป็นลดเสียงก็ได้ แต่ผู้ใช้ต้องเซ็ตปุ่มสำหรับสลับระหว่างโหมด Standard หรือ HyperShift เอาไว้ด้วย

Screenshot 2023 01 18 102504

Screenshot 2023 01 18 102515
Screenshot 2023 01 18 102531
Screenshot 2023 01 18 102539
Screenshot 2023 01 18 102645
Screenshot 2023 01 18 102653
Screenshot 2023 01 18 102708

การเซ็ตคำสั่งให้เพลตข้างเมาส์แต่ละแบบของ Razer Synapse 3 ทำมาได้ดีและใช้สะดวกมาก โดยหน้า UI จะมีให้ผู้ใช้เลือกเลยว่าเราต้องการเซ็ตคีย์ลัดและคำสั่งใดให้เพลตไหนของ Razer Naga V2 Pro ซึ่งเราเลือกเพลตในหน้าโปรแกรม กดตัวเลขปุ่มมาโครแล้วเซ็ตได้ตามต้องการ พอเปลี่ยนเพลตแล้วเมาส์จะโหลดคำสั่งนั้นๆ ขึ้นมาใช้งานให้โดยอัตโนมัติ

ในหน้าต่างคำสั่งคีย์ลัดของ Naga V2 Pro จะมีคำสั่งให้เลือกหลากหลายแบบมาก ทั้งคำสั่งใช้งานบนคีย์บอร์ดหรือใช้ตั้งค่าการทำงานของเมาส์ก็ได้ นอกจากนี้ยังใช้สลับโปรไฟล์, ใช้กดคีย์ลัดเปิดโปรแกรมที่ต้องการใช้งาน, กด Shortcut ของ Windows หรือกดคีย์ลัดเพื่อส่งข้อความที่เซฟเอาไว้ใช้โดยเฉพาะ อย่างเช่นเอาไว้พิมพ์ประโยคใช้งานบ่อยตอนเล่นเกมกับเพื่อนก็ได้เช่นกัน

Screenshot 2023 01 18 102720

Screenshot 2023 01 18 102824
Screenshot 2023 01 18 102837

หมวด Performance จะเป็นหน้าตั้งค่า DPI ของเมาส์ว่าต้องการให้เมาส์เลื่อนเร็วหรือช้าแค่ไหน ในตัวโปรแกรมตั้งค่าพื้นฐานมาเป็น Sensitivity Stage แยกความเร็วเป็นขั้นบันไดทั้งหมด 5 ระดับ ตอนตั้งค่าให้กดกรอบ Stage ที่ต้องการแล้วจะเลื่อนค่า DPI ที่เส้นด้านล่างหรือพิมพ์ตัวเลขเข้าไปเลยก็ได้เช่นกัน

Lighting จะเอาไว้ตั้งค่าไฟ RGB ตรงโลโก้ของ Razer Naga V2 Pro ว่าจะให้สว่างหรือมืดระดับไหน โดยปรับได้ตั้งแต่ 0~100 และเลือกได้ว่าจะให้ไฟ RGB ปิดตามหน้าจอคอมหรือไม่ได้ใช้งานนานเท่าไหร่ โดยตั้งได้ตั้งแต่ 1~15 นาที รวมทั้งเซ็ตเอฟเฟคของไฟที่โลโก้ Razer ได้ด้วย

Screenshot 2023 01 18 102747
Screenshot 2023 01 18 102913

ส่วนของสกรอล์เมาส์ซึ่งเป็นจุดเด่นของ Razer Naga V2 Pro เอง ทาง Razer ก็ทำหน้าต่างแยกเอาไว้ให้โดยเฉพาะ โดยมี Scroll Wheel Stages ให้เลือก 5 แบบที่เป็นค่าจากโรงงานและ 1 โหมดเป็น Custom ให้ผู้ใช้ตั้งค่าได้ตามต้องการ ฝั่งขวาเป็นกราฟโชว์อัตราการหมุนสกรอล์ต่อความตึงของลูกล้อ (Tension) ว่าเราต้องออกแรงหมุนเยอะหรือเปล่า ซึ่งผู้ใช้สามารถดูจากกราฟด้านข้างได้เลยและถ้าจะใช้หรือไม่ใช้โปรไฟล์ไหน ก็สามารถกดเปิดปิดได้ตามต้องการ

โปรไฟล์ Custom จะเป็นโปรไฟล์พิเศษซึ่งทาง Razer ทำมาให้ผู้ใช้ปรับรูปแบบการหมุนสกรอลเมาส์ได้ด้วยตัวเอง ในตอนแรกโปรไฟล์นี้จะถูกปิดอยู่ต้องมาเปิดและตั้งในโปรแกรมถึงจะใช้งานได้ ตอนตั้งค่าจะใช้วิธีเลื่อนเพิ่มลดค่า Scroll Tension, Scroll Steps ด้านข้างหรือดึงจุดพล็อตกราฟเองเลยก็ได้ จัดว่าใช้งานได้ดีปรับสไตล์ได้ตามความชอบของผู้ใช้แต่ละคนได้เลย

Screenshot 2023 01 19 130510

จุดน่าสนใจนอกจากซอฟท์แวร์ Razer Synapse 3 แล้ว ตัวโปรแกรมจะพ่วง Razer Cortex ซอฟท์แวร์จัดการทรัพยากรคอมมาช่วย Optimize ลดการใช้แรมและจัดการโปรแกรมเบื้องหลังให้ไม่แย่งทรัพยากรตัวเครื่องเวลาเล่นเกมด้วย โดยตัวซอฟท์แวร์จะขึ้นเป็นหน้าต่าง Notificaition มุมขวาล่างของหน้าจอเพื่อบอกผู้ใช้ว่าตอนนี้ตัวซอฟท์แวร์ลดการใช้แรมในเครื่องไปแล้วกี่ GB จัดการ Optimize ไปแล้วกี่โปรแกรม ซึ่งจากที่ทดลองใช้พบว่ามันเพิ่มเฟรมเรทตอนเล่นเกมได้ระดับหนึ่ง ราว 5~10 Fps ซึ่งถือว่ามีประโยชน์ดีทีเดียว อาจนับเป็นลูกเล่นเล็กๆ น้อยๆ จากทาง Razer ก็ได้

User Experience

Razer Naga V2 Pro DSC01193

Razer Naga V2 Pro เป็นเมาส์เกมมิ่งที่ขนาดตัวใหญ่และออกแบบมาให้ใช้กับมือขวาโดยเฉพาะ ซึ่งส่วนตัวผู้เขียนเคยใช้ Razer Naga รุ่นแรกๆ เมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ พอข้ามมาจับรุ่นปัจจุบันก็รู้สึกว่าเมาส์รุ่นนี้ได้รับการพัฒนามาไกลมาก จากเมาส์ที่มีขนาดค่อนข้างเล็กจับถนัดมือและผู้หญิงใช้งานได้สบายไม่หนักมาก เป็นเมาส์เกมมิ่งตัวใหญ่เต็มมือจับถนัดและยังเปลี่ยนกรอบข้างเมาส์ได้ตามสไตล์และความถนัดได้เลย โดยเฉพาะสันเมาส์สำหรับรองรับนิ้วนางขวาในรุ่นปัจจุบันโก่งรับมือได้ดีมากแล้วนิ้วไม่ลากไปกับแผ่นรองเมาส์หรือพื้นโต๊ะ ทำให้หนีบนิ้วโป้งและก้อยเข้าข้างเมาส์แล้วลากกวาดได้สะดวกขึ้นมาก แต่ขนาด, น้ำหนัก 129 กรัมและดีไซน์ตัวเมาส์เมื่อจับแล้ว โครงเมาส์ก็แทบจะบังคับให้จับแบบ Palm หรือ Claw Grip ไปโดยปริยาย ส่วน Fingertip Grip แม้จะจับได้แต่น้ำหนักเมาส์นั้นทำให้ดึงเมาส์ไปมาไม่สะดวกเท่าที่ควร

จุดแข็งที่น่าพูดถึง คือปุ่มมาโครข้างเมาส์ซึ่งเซ็ตตั้งค่าเรียกโปรแกรมหรือคำสั่งต่างๆ ได้ตามต้องการ ซึ่งผู้เขียนได้เซ็ตเอาไว้เรียกโปรแกรมใช้งานบ่อยผสมกับคีย์ลัดของ Windows อีกนิดหน่อยก็ช่วยประหยัดเวลาตอนทำงานได้ดีมาก นับว่า Razer Naga V2 Pro เป็นเมาส์เกมมิ่งซึ่งสามารถเปลี่ยนตัวเองมาทำงานได้ดีไม่แพ้เมาส์สำหรับสายทำงานโดยเฉพาะเลย และได้เปรียบกว่าเมาส์สายทำงานตรงปุ่มมาโครมีให้ใช้เยอะ ถ้าใครทำงานกับโปรแกรมที่มีคีย์ลัดมากๆ โดยเฉพาะโปรแกรมสาย Adobe ไม่ว่าจะ Photoshop, Lightroom หรือ Premier Pro น่าจะได้ใช้ประโยชน์จากมันได้มากทีเดียว

ด้านการเชื่อมต่อ เมาส์นี้ถ้าใช้ Razer HyperSpeed USB 2.4GHz แบตเตอรี่จะอยู่ได้นานสุด 150 ชั่วโมง ถ้าใช้ Bluetooth จะอยู่ได้นาน 300 ชั่วโมง ชาร์จแบตเตอรี่ได้ด้วยสาย USB-C ซึ่งจะใช้สาย Razer Speedflex USB-C ในกล่องต่อชาร์จไปเล่นไปหรือใช้สายชาร์จสมาร์ทโฟนก็สะดวกไม่แพ้กัน และระยะเวลาใช้งานเมาส์จัดว่าน่าประทับใจมาก จากที่ใช้เล่นเกมที่บ้านแล้วพกใส่กระเป๋าไปทำงาน แบตเตอรี่ก็ยังไม่หมดง่ายๆ และเชื่อว่าถ้าใครซื้อไปใช้อาจจะใช้เพลินจนลืมชาร์จไปเลยทีเดียว ดังนั้นในแง่ระยะเวลาใช้งานจัดว่าหายห่วยไม่มีข้อกังขา ส่วนการตอบสนองแม้จะต่อ Bluetooth ก็ยังใช้งานได้ดีมากไม่ต่างกับการใช้ HyperSpeed เลย แต่สันนิษฐานว่าถ้าเป็น Bluetooth จะเหมาะกับการใช้ทำงานมากกว่า ถ้าเล่นเกมอาจมีอาการ Input Lag เล็กน้อย

เซนเซอร์ Razer Focus Pro 30K ของ Naga V2 Pro ณ ตอนนี้นับเป็นเซนเซอร์ที่มีค่า DPI สูงและละเอียดสุดในกลุ่มเกมมิ่งเมาส์ในปัจจุบัน ซึ่งแบรนด์คู่แข่งหลายๆ เจ้ายังอยู่ระดับ 26,000 DPI แต่ของ Razer นั้นสูงจนแตะ 30,000 DPI และยังปรับตั้งค่า DPI ได้ละเอียดมากและลากเคลื่อนเคอร์เซอร์ไปมาได้ดีมาก ตอนเล่นเกม FPS แล้วลองปรับค่า DPI เพียงขยับข้อมือเบาๆ ก็หมุนตัวละครแทบจะในทันที แต่เซนเซอร์ไม่เกิดอาการไหลเลย ลากเมาส์ไปแล้วหยุดตรงไหนก็ไม่มีอาการเคอร์เซอร์ไหลแม้แต่น้อย ซึ่งสำคัญมากเพราะถ้าเล่นเกมลากเมาส์เร็วๆ ตามศัตรูแล้ว หากเซนเซอร์เพี้ยนอาจจะส่งผลต่อรูปเกมได้เลย แต่ Razer Naga V2 Pro ไม่เจอปัญหานี้สักนิด

อย่างไรก็ตาม Razer Naga V2 Pro ยังมีข้อสังเกตหลักๆ คือ เมื่อเทียบกับเมาส์เกมมิ่งไร้สายของแบรนด์คู่แข่งแล้วนับว่ามีน้ำหนักมากสุดในกลุ่ม เพราะหลายๆ แบรนด์ ณ ตอนนี้จะอยู่ช่วง 80~90 กรัม แล้วแข่งกันลดน้ำหนัก แต่ระยะเวลาของแบตเตอรี่ก็น้อยกว่า Razer Naga V2 Pro ถึงครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว อย่างมากอยู่ได้ราว 60~80 ชั่วโมงก็หมดแล้วและมักจะเชื่อมต่อเฉพาะ USB 2.4GHz เท่านั้น ไม่มี Bluetooth ให้ใช้ ดังนั้น Naga V2 Pro จึงได้เปรียบเรื่องรูปแบบการใช้งานที่ยืดหยุ่นและใช้งานต่อเนื่องได้นานกว่าอย่างชัดเจน

จุดสังเกตถัดมาเป็นเรื่องดีไซน์ นั่นเพราะ Naga V2 Pro ออกแบบมาเพื่อเกมเมอร์มือขวาเท่านั้น ใครที่ถนัดมือซ้ายแต่อยากใช้ฟังก์ชั่นมาโครเยอะๆ ก็จำเป็นต้องปรับตัวอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ทาง Razer ก็เคยทำ Naga Left-Handed Edition ออกมาขายเมื่อปี 2020 ที่ผ่านมา จึงไม่มั่นใจว่าจะมี Naga V2 Pro Left-Handed Edition ออกมาวางขายในอนาคตหรือไม่ แต่ถ้ามีก็เป็นเรื่องที่ดีเพื่อเกมเมอร์ถนัดซ้ายแน่นอน ส่วนจุดน่าสนใจคือ ถ้าใครใช้เมาส์ Ergonomic ที่ออกแบบมาใช้ทำงานโดยเฉพาะจนติดแล้วมาใช้ Razer Naga V2 Pro ในช่วงแรกๆ จะรู้สึกได้ทันทีว่าจะต้องบิดแขนเข้าเยอะกว่าปกติ หากใช้ทำงานทั้งวันอาจจะมีอาการเมื่อยอยู่บ้างเล็กน้อย

Summary

Razer Naga V2 Pro DSC01187

Razer Naga V2 Pro เป็นเกมมิ่งเมาส์ที่แม้จะมีราคา 7,490 บาทก็ตาม แต่เทคโนโลยี, ฟีเจอร์, อุปกรณ์เสริมต่างๆ ของเมาส์นี้ต้องถือว่าคุ้มค่าตัว คุณจะได้เมาส์ที่เซนเซอร์คม, เปลี่ยนโปรไฟล์และมีปุ่มมาโครให้กดได้อย่างจุใจ แบตเตอรี่ใช้งานต่อเนื่องได้นานมากจนแทบจะลืมชาร์จแบตฯ และ Naga V2 Pro นี้ นับว่าเป็นตัวเดียวจบได้ จะใช้เล่นเกมที่บ้านต่อด้วย Razer HyperSpeed แล้วมีเพลต 1~2 ชิ้นเอาไว้ พอพกไปทำงานก็เปลี่ยนเพลตแล้วต่อ Bluetooth ใช้ทำงานแล้วกับคอมอีกเครื่องต่อได้สะดวกสุดๆ ไม่ต้องแยกเมาส์ให้เสียเงินสองต่อ เพราะถ้าหารราคา 7,490 บาท ก็จะได้เป็นเงิน 3,745 บาท ไว้ซื้อเมาส์ทำงานอย่างดีและเกมมิ่งที่สเปคไล่เลี่ยกันได้อย่างละตัวก็จริง แต่ก็มีของใช้ซ้ำซ้อนเช่นกัน ดังนั้นสู้ซื้อเมาส์ดีๆ เอาไว้ใช้งานตัวเดียวจบดีกว่า

โดยรวมแล้ว Razer Naga V2 Pro เป็นเกมมิ่งเมาส์ที่พัฒนาตัวเองจากเมาส์สำหรับเกมแนว MMORPG, MOBA เป็นหลัก ให้ก้าวมาเป็นเมาส์มาโครน่าใช้ได้อย่างเต็มภาคภูมิ พอผสานกับฟีเจอร์เปลี่ยนเพลตข้างเมาส์ให้เข้ากับรูปแบบการใช้งานได้แล้ว จึงไม่ต้องยึดโยงว่าตระกูล Razer Naga นั้นจะต้องเอาไว้เล่นแค่เกมแนวนี้เท่านั้นหรือทำงานแบบนี้อย่างเดียว เพราะมันกลายเป็นเมาส์อเนกประสงค์เพื่อคนถนัดขวาโดยเฉพาะไปแล้วโดยสมบูรณ์ น่าลงทุนซื้อมาใช้งานมาก

from:https://notebookspec.com/web/683044-review-razer-naga-v2-pro

HyperX Pulsefire Haste Wireless เกมมิ่งเมาส์ไร้สาย 16,000DPI แบตอึด จับสบายมือ

HyperX Pulsefire Haste Wireless เกมมิ่งเมาส์ เบาเหมือนนุ่น ไฟ RGB ไหลลื่น 16,000DPI

HyperX Pulsefire Haste Wireless cov7

HyperX Pulsefire Haste Wireless เกมมิ่งเมาส์ไร้สายไซส์กลางๆ เหมาะกับการเล่นเกมทั้ง Action FPS และอื่นๆ น้ำหนักเบาเพียง 61 กรัม ปุ่มสำหรับมาโคร 6 ปุ่ม ให้ความละเอียดสูงถึง 16,000DPI เคลื่อนไหวได้ลื่นไหลกับ Virgin-grade PTFE ที่ใช้เป็น Mouse skate มีความแข็งแรง สวิทช์ที่ทนทาน รองรับการคลิ๊กได้ 80 ล้านครั้ง เพิ่มสายต่อมาให้ในกล่อง สำหรับชาร์จผ่านพอร์ต USB ให้แบตที่อึดใช้ได้ยาวนาน 100 ชั่วโมง เพิ่มความสวยงามด้วยไฟ RGB ที่ Scroll wheel ปรับแต่งได้บนซอฟต์แวร์ HyperX NGENUITY ราคา 2,690 บาท

HyperX Pulsefire Haste Wireless เกมมิ่งเมาส์ไร้สาย


จุดเด่น

Advertisementavw
  • เมาส์ไร้สาย ให้อิสระในการใช้งาน
  • ใช้งานได้นาน 100 ชั่วโมงต่อการชาร์จ
  • มีแสงไฟเพิ่มความสวยงาม ปรับแต่งได้
  • ให้ความละเอียดสูงสุด 16,000DPI
  • เคลื่อนไหวได้อย่างลื่นไหล
  • มีช่องระบายอากาศ สบายมือ

ข้อสังเกต

  • น่าจะมีตัวบอกระดับแบตมาด้วยบนเมาส์
  • ควรมีจุดแสงไฟ RGB ให้มากอีกหน่อย

Specification

HyperX Pulsefire Haste Wireless รายละเอียด
น้ำหนัก สีดำ 61g/ สีขาว 62g
เซ็นเซอร์ Pixart PAW3335
ความละเอียด สูงสุด 16,000 DPI
ปุ่ม 6 ปุ่ม
สวิทช์ซ้าย-ขวา TTX Golden Micro Dustproof Switch
ความทนทานสวิทช์ 80 ล้านครั้ง
หน่วยความจำ 1 โพรไฟล์
Polling Rate 1000Hz
การเชื่อมต่อ สาย/ ไร้สาย 2.4GHz
สายสัญญาณ HyperFlex USB-C to A ถอดได้
วัสดุ Skate Virgin-grade PTFE
แบตเตอรี่ 370mAh ลิเธียม-ไอออน โพลิเมอร์
อายุแบต สูงสุดถึง 100 ชั่วโมง (เมื่อปิดแสงไฟ)
อื่นๆ สายยืดระยะดองเกิล USB
ราคา 2,690 บาท

ข้อมูลเพิ่มเติม: HyperX


Unbox

HyperX Pulsefire Haste

ด้านหน้ากล่องมาในโทนที่แตกต่างจากเดิม ซึ่งมักจะเป็นสีแดงเป็นส่วนใหญ่ แต่ HyperX Pulsefire Haste Wireless รุ่นนี้ มาในโทนสีขาว-ดำ และมีภาพกราฟิกของตัวเมาส์มาให้เห็นแบบชัดๆ เน้นไปที่ Ultra-Lightweight เพราะเมาส์เบาเพียง 62 กรัมเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีโลโก้ของซอฟต์แวร์ HyperX NGENUITY มาด้วย สำหรับการปรับแต่งมาโคร และการปรับแสงไฟ RGB รองรับการใช้งานได้นานถึง 100 ชั่วโมงกับเซ็นเซอร์จาก Pixart 3335 ให้ค่า DPI ได้สูงสุดถึง 16,000 DPI เลยทีเดียว

HyperX Pulsefire Haste

ด้านหลังกล่องจะบอกถึงฟีเจอร์พิเศษ อย่างเช่น TTC Golden Micro Dustproof Sewitch ที่ให้ความทนทานรองรับการกด รวมถึง Mouse skate ในแบบ PTFE Virgin-grade และรองรับการโปรแกรมได้ทั้ง 6 ปุ่มบนตัวเมาส์อีกด้วย

ส่วนด้านข้างกล่องทั้ง 2 ด้านก็จะเป็นรายละเอียดที่บอกคุณสมบัติพื้นฐาน แบบหน้ากล่อง เช่น น้ำหนัก เซ็นเซอร์และระยะเวลาในการใช้งานแบตเตอรี่นั่นเอง

HyperX Pulsefire Haste

เมื่อแกะกล่องออกมา ก็จะมีอุปกรณ์และคู่มือแนะนำอุปกรณ์มาพอสมควร หลักๆ จะมีประมาณ 4-5 ชิ้นด้วยกัน

HyperX Pulsefire Haste

คู่มือแนะนำการใช้งาน แม้จะเป็นเมาส์ที่หลายๆ คนใช้กันอยู่แล้ว แต่ก็แนะนำการใช้ เพื่อให้สะดวกมากขึ้น รวมถึงแนะนำชิ้นส่วนต่างๆ ที่เสริมเข้ามา เช่น แผ่นกันลื่น ที่ใช้แปะบนปุ่ม และแถบด้านข้างที่เป็น Grip นั่นเอง

เป็นวัสดุคล้ายกับยาง เรียกว่า Grip tape ซึ่งเป็นที่เป็นชิ้นส่วน ที่คุณสามารถแกะออกมาแปะเข้ากับเมาส์ได้เลย เพื่อเพิ่มการจับยึดที่แน่นหนามากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการจับเมาส์แนว Palm grip หรือ Claw ก็ตาม

HyperX Pulsefire Haste

Extend Dongle USB สำหรับขยายการเชื่อมต่อ ซึ่งจะมาเป็นสายต่อ USB-A to USB-C และแปลงเป็น USB-A ได้ เพื่อต่อจากด้านหลังเคสได้สะดวกมากขึ้น สายต่อเป็นแบบ HyperFlex จะเป็นแบบเดียวกับ Pulsefire Haste รุ่นที่ใช้ต่อสายปกติ USB ปกติ

HyperX Pulsefire Haste

USB Receiver ตัวรับ-ส่งสัญญาณ WiFi ในแบบ USB ขนาดเล็ก ติดตั้งสะดวก ประหยัดพื้นที่ โดยเฉพาะ คนที่ใช้เกมมิ่งโน๊ตบุ๊ค หรือโน๊ตบุ๊คทั่วไป ไม่ต้องกังวลว่าอุปกรณ์อื่นๆ ที่มาต่อใกล้ๆ จะเบียดกัน

HyperX Pulsefire Haste

และเมาส์ก็มาในกล่องกันกระแทกแบบนี้ เป็นกล่องกระดาษสีดำ ที่มีพลาสติกแข็งด้านในอีกชั้นหนึ่ง ส่วนอุปกรณ์เสริมอื่นๆ อยู่ในช่องด้านล่าง


Design

HyperX Pulsefire Haste

มาดูที่ตัวเมาส์ HyperX Pulsefire Haste Wireless กันบ้าง การออกแบบ แทบจะไม่ได้ต่างไปจากรุ่นเดิมที่เป็นแบบมีสาย (Pulsefire Haste) ที่เราได้เคยรีวิวไปก่อนหน้านี้ ภาพด้านบนทางซ้ายเป็นรุ่นเดิมที่มีสาย และทางขวาเป็นรุ่นใหม่แบบไร้สาย ซึ่งทั้งภาพรวมและมิติแทบไม่ได้ต่างกัน

HyperX Pulsefire Haste

เป็นเมาส์ขนาดกลาง ซึ่งให้ผู้ใช้ในเอเซียบ้านเรา จับถือกันได้สะดวก จากภาพด้านบน จะมีทั้งมือผู้หญิงตัวเล็กๆ และมือของเกมเมอร์ผู้ชาย จะเห็นได้ว่า โอบรับจับสะดวกเลยทีเดียว จะต่างจากในกลุ่มของ FPS Pro อยู่ระดับหนึ่ง ซึ่งถ้าใครชอบแนวจับง่าย ไม่ใหญ่เกินไป Pulsefire Haste Wireless รุ่นนี้ ตอบโจทย์ได้ดี ขนาดพอๆ กับ Pulsefire Core

HyperX Pulsefire Haste

ภาพด้านข้าง จะเห็นปุ่มมาโคร 2 ปุ่ม ที่มีมาให้บริเวณกริ๊ปที่จับ ซึ่งใช้งานค่อนข้างสะดวก เดิมๆ จะไม่ได้มีกริ๊ปข้างมาให้ แต่จะเรียบๆ แบบนี้ และคุณสามารถนำกริ๊ปที่มีมาให้ในกล่อง แปะเข้าไปทั้ง 2 ข้างได้เลย เรื่องความสวยงาม อาจจะดูแปลกตาไปบ้าง แต่การจับถือดูถนัดมือมากขึ้น

HyperX Pulsefire Haste

บริเวณที่วางอุ้งมือ ออกแบบเป็นลักษณะของรังผึ้ง ซึ่งถือว่าเป็นเอกลักษณ์ของเมาส์จาก HyperX รุ่นนี้ จุดเด่นอยู่ที่การระบายอากาศ ที่จะผ่านมือได้มากขึ้น ไม่ค่อยรู้สึกเหนียวมือจากเหงื่อให้น่ารำคาญ ตรงนี้เห็นเมาส์หลายค่ายก็ทำกันอยู่ โดยส่วนตัวก็มองว่า นอกจากจะทำให้ดีไซน์ไม่ซ้ำเดิมจนน่าเบื่อ ก็ยังได้ประโยชน์จากการใช้งานจริงอีกด้วย

HyperX Pulsefire Haste
HyperX Pulsefire Haste Wireless grip 2

บริเวณกริ๊ปด้านข้างขวา เดิมๆ จะปล่อยโล่งเอาไว้ก็ได้ แต่ถ้าคุณจะจริงจังกับการเล่นเกม ก็แนะนำให้แปะกริ๊ปข้างเข้าไปด้วยเลยครับ ช่วยให้คุณจับได้ง่าย ถนัดมือมากยิ่งขึ้น

HyperX Pulsefire Haste

ด้านบนเป็นปุ่มคลิ๊กซ้าย-ขวา ค่อนข้างตอบสนองได้ไว การกดไม่ได้ลึกมาก เหมาะกับเกม FPS และ RTS ดีทีเดียว โดยมีสวิทช์ TTX Golden Micro Dustproof ซึ่งให้ระดับการกดได้ถึง 80 ล้านครั้ง เรื่องเสียงกดก็มีอยู่บ้าง รองรับการกดรัวๆ ได้อย่างสนุก

HyperX Pulsefire Haste Wireless 102

ส่วน Scroll mouse เป็นแบบมีสเตป เลื่อนได้ทีละขั้น เหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวันเป็นหลัก ส่วนถ้าเล่นเกม ผู้ใช้อาจจะต้องทำความคุ้นเคยสักระยะ โดยเฉพาะกับคนที่เล่นสไนป์ เน้นยิงไกลหรือใช้ในเกมแอ็คชั่นอื่นๆ โดยส่วนตัวผมชอบแบบนี้มากกว่า เพราะทำให้กำหนดระยะได้ง่ายขึ้น ไม่ล้นหรือขาดมากไป

HyperX Pulsefire Haste

ด้านใต้ของเมาส์ก็ยังออกแบบมาเป็นลักษณะของรูๆ แบบรังผึ้งด้วยเช่นกัน ครึ่งบนจะเป็นสติ๊กเกอร์ บอกถึงรุ่น และมาตรฐานต่างๆ ด้านล่างจะเป็นช่องเล็กๆ ในการระบายอากาศ รวมถึงเซ็นเซอร์ Pixart PAW3335 ที่ให้ความละเอียดสูงสุดถึง 16,000DPI โดยที่ปรับแต่งได้จากปุ่มตรงกลางที่อยู่ด้านบนตัวเมาส์ และซอฟต์แวร์ HyperX NGENUITY

HyperX Pulsefire Haste Wireless 69

และอีกสิ่งหนึ่งที่เห็นเป็นช่องเล็กๆ ด้านล่าง สามารถเอาไว้เก็บตัว USB Receiver ได้อีกด้วย จะได้อยู่ด้วยกัน หยิบใช้งานได้สะดวกกว่าเดิม แต่อาจจะแน่นๆ ไปบ้าง เมื่อจะหยิบออกมา และสวิทช์เปิด-ปิดการทำงาน เมื่อไม่ได้ใช้หรือจะพกพาไปใช้ข้างนอก จะได้ประหยัดพลังงานได้มากขึ้น

HyperX Pulsefire Haste

พอร์ต USB-C ที่อยู่ด้านหน้า มีประโยชน์อย่างมากทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น ใช้ชาร์จไฟให้กับเมาส์ และการเชื่อมสัญญาณเมาส์ เพื่อใช้งานร่วมกับซอฟต์แวร์ ในการปรับแต่ง เช่น แสงไฟ RGB หรือการอัพเดตเฟิร์มแวร์ก็ตาม และข้อดีอีกอย่างหนึ่งคือ ต่อสายก็ใช้งานได้นะครับ อันนี้ตามสะดวกเลย

HyperX Pulsefire Haste

การติดตั้งใช้งานก็ง่ายมากๆ แค่หาพอร์ต USB Type-A ว่างๆ สักหนึ่งช่อง แล้วต่อ USB Receiver เข้าไปได้เลย จากนั้นรอจนกว่าระบบจะค้นหาและ Detect ไดรเวอร์จนเสร็จ ซึ่งขั้นตอนที่ว่ามานี้ หากเป็น Windows 10 หรือ Windows 11 จะใช้เวลาแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น

hyperx software 1

แต่สิ่งหนึ่งที่เจอ เมื่อเราติดตั้งอุปกรณ์ไปแล้ว สามารถใช้ได้ทันที แต่เมื่อติดตั้งโปรแกรม HyperX NGEUNITY ระบบจะให้เราต่อสาย USB เข้ากับตัวเมาส์ก่อน เพื่อที่จะทำการอัพเดต Firmware เป็นตัวล่าสุดให้ และเมื่ออัพเดตแล้วคุณจะใช้การปรับแต่งเมาส์ ร่วมกับซอฟต์แวร์ได้ทันที

HyperX Pulsefire Haste

มิติของเมาส์ HyperX Pulsefire Haste Wireless เมื่อเทียบกับ Pulsefire FPS Pro จะเห็นได้ว่า Haste จะเล็กกว่าเล็กน้อย ในแง่ของความยาวและกว้าง ส่วนเลย์เอาท์ปุ่มต่างๆ ยังคงคล้ายคลึงกัน แต่น้ำหนักน้อยกว่าพอสมควร

HyperX Pulsefire Haste

โดยในส่วนของ Scroll mouse นั้น จะมาพร้อมแสงไฟ RGB ที่ปรับแต่งได้ผ่านทางซอฟต์แวร์ ซึ่งเป็นจุดเดียวที่มีแสงไฟสว่างขึ้นมา และเป็นแบบเดียวกับ Pulsefire Haste รุ่นก่อนหน้านี้


HyperX NGENUITY

HyperX Pulsefire Haste

HyperX Pulsefire Haste Wireless รองรับการทำงานบนซอฟต์แวร์ HyperX NGEUNITY ได้ จะมีฟังก์ชั่นให้เลือก 3 ส่วนด้วยกัน คือ Light, Buttons และ Sensor

HyperX Pulsefire Haste

มาเริ่มกันที่ Lights เป็นฟังก์ชั่นสำหรับปรับแต่งแสงไฟบนเมาส์ ที่ปรากฏอยู่บน Scroll wheel มีให้เลือกทั้ง เอฟเฟกต์ของแสงไฟ ความเข้มของแสง และเลือกสีที่ต้องการได้ รวมถึงความเร็วของแสงที่เปลี่ยนไปในแต่ละจังหวะ นอกจากนี้ด้านบน ยังมีฟังก์ชั่นบอกถึงระดับแบตเตอรี่ของเมาส์บอกเอาไว้ด้วย

HyperX Pulsefire Haste

ส่วนของ Brightness ที่อยู่ตรงเมนูด้านบน จะให้คุณเพิ่ม-ลดความสว่างของแสงได้ หรือถ้าไม่อยากให้มีแสงเลย เพราะต้องการใช้งานได้นานขึ้น ให้เลื่อนมาที่ 0% แต่ถ้าจะสวยเด่นเน้นไปที่ 100% ได้เลยครับ

HyperX Pulsefire Haste

ขยับมาที่ Options จะมีให้เลือก Polling Rate หรือความเร็วในการติดต่อสัญญาณกับระบบ ถ้าเล่นเกมปรับที่ 1000Hz ได้เลย เพื่อลดความหน่วงของสัญญาณให้น้อยที่สุด รวมถึงยังปรับ Lift of Distance หรือ LOD ที่เป็นระยะในการยกเมาส์ขึ้นจากพื้น สำหรับเกมเมอร์ที่เล่นเกม แล้วติดที่จะต้องยกเมาส์ในการเคลื่อนไหว เพื่อจำกัดพื้นที่ให้ได้มากที่สุด มีให้เลือก 1mm และ 2mm ตามความถนัด

HyperX Pulsefire Haste

โดยในการปรับแต่งแสงสีนั้น สามารถกด + เพื่อเพิ่มสีที่ชอบ เข้าไปในโหมดเอฟเฟกต์แสงที่เลือกไว้ได้เลย จะมีทั้งสีหลักพื้นฐาน และเลื่อนเพื่อกำหนดสีที่ต้องการได้

HyperX NGENUITY 6

และในฟังก์ชั่น Buttons นี้ จะให้คุณตั้งมาโครปุ่มได้ เพื่อใช้ในโอกาสต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทำงานเอกสาร คีย์ลัดทั่วไป หรือจะเป็นการทำงาน โปรแกรมพิเศษ และการเล่นเกม ซึ่งมีให้เลือกใช้ทั้ง 6 ปุ่ม เช่น ปุ่มคลิ๊กซ้าย-ขวา Scroll wheel และปุ่มด้านข้าง โดยเลือกปุ่มที่ต้องการ จากนั้นไปที่ Assignment และเลือกได้เลยว่า จะให้แทนคีย์บอร์ด เป็นปุ่มคีย์ลัด หรือใช้กับมัลติมีเดีย หรือจะเป็นมาโครในเกม จากนั้นกด Save to mouse เพื่อใช้งานได้ทันที

HyperX Pulsefire Haste

สุดท้ายคือในส่วนของ Sensor ตรงนี้จะให้ผู้ใช้ สามารถเช็คได้ทันทีว่า ตอนนี้เมาส์ใช้ค่า DPI ใดอยู่ โดยจะรายงานเป็นสีตามลำดับ และสามารถให้ผู้ใช้เลือกปรับตั้งค่าได้ตามใจชอบ แต่สีที่ให้มานี้ ก็ค่อนข้างจะแยกความต่างได้ง่ายกว่า


Performance

HyperX Pulsefire Haste

เริ่มต้นจากเรื่องของการใช้งาน เริ่มต้นง่ายๆ จากการชาร์จไฟ ที่เสียบจากพอร์ต USB และใช้งานได้เลย โดยจะมีแบตมาให้แล้วในระดับหนึ่ง แต่ถ้าคุณต้องการจะพกพาไปใช้ข้างนอก แนะนำว่าให้ชาร์จเอาไว้ให้เต็ม โดยคุณจะสามารถใช้ต่อเนื่องได้แบบไม่ชาร์จอยู่ได้หลายวันทีเดียว ติดอย่างเดียวคือ น่าจะมีแสงไฟบอกสถานะแบตบนเมาส์ ก็จะดีไม่น้อยเลย

หลังจากที่อัพเดตไดรเวอร์ เฟิร์มแวร์และปรับแต่งแสงไฟ RGB บนเมาส์เรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มใช้งานกันได้เลย สีสันอาจจะไม่โดดเด่นเท่ากับเมาส์รุ่นพี่อื่นๆ เพราะมีแสงไฟมาเพียงจุดเดียวเท่านั้น และยังมีขนาดเล็กอีกด้วย จะเอาที่ความสวย สีสันสดใส อาจจะพูดไม่ได้เต็มปากนัก แต่ถ้ามองในแง่ของความแปลกแตกต่าง และช่องระบายอากาศ ที่เข้ากับบ้านเราที่เป็นเมืองร้อน ตรงนี้ถือว่า HyperX ทำได้ค่อนข้างดี

HyperX Pulsefire Haste

การวางปุ่มมาโครมาให้ ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้ผู้ใช้ สามารถปรับปรุงรูปแบบการใช้งานของปุ่มได้หลากหลายมากกว่า เพราะไม่ใช่แค่การเล่นเกม ที่คุณจะตั้งมาโคร ให้ใช้งานได้สะดวกขึ้น เช่น แทนการรีโหลดกระสุน การเติมเลือด หรือจะใช้เป็นการขยับตัวละคร หรือการเทรดสิ่งของบางอย่าง ก็ยังนำมาใช้บน Windows เช่น การซูม-ย่อ ภาพบนจอ การเปลี่ยนหน้าเอกสาร หรือจะใช้เรียกฟังก์ชั่นบนโปรแกรมที่ใช้อยู่ ก็ยังสะดวกอยู่พอสมควร และมีถึง 6 ปุ่มด้วยกัน

HyperX Pulsefire Haste

และความสะดวกของเมาส์ไร้สาย ก็ทำให้หลายคนติดอกติดใจ โดยเฉพาะคนที่ไม่ต้องการสายที่พันกันยุ่งเหยิงเวลาพกพาไปข้างนอก เพราะบางทีเจอปัญหาสายหัก เสียหาย การมีแค่เมาส์และตัวรับส่งสัญญาณ ก็สะดวกกว่าเดิมหลายเท่า นอกจากนี้น้ำหนักยังน้อยมากๆ ทำให้เคลื่อนไหวเมาส์ระหว่างการเล่นเกมได้อย่างสนุกมือ

HyperX Pulsefire Haste

การเคลื่อนไหวเมาส์ทำได้ดีในหลายๆ เกม โดยเฉพาะ Mouse skate ที่อยู่ด้านใต้ เมื่อสไลด์ไปบนเมาส์แพดที่เป็นแบบ Speed ก็ทำให้คุณเคลื่อนที่ได้แบบทันใจ โดยเฉพาะคนที่เล่นเกมแนว Action FPS จะทราบดีว่า หันตัวกับอาวุธไปจัดการศัตรูได้ช้าแค่วินาทีเดียว ก็อาจจะไปเกิดใหม่ได้ทันที หรือเกม MOBA, RTS คุณก็สามารถเลือกตัวละครได้ง่ายขึ้น รวมถึงการเคลื่อนที่ไปยังจุดต่างๆ ได้รวดเร็ว

HyperX Pulsefire Haste

เรื่องของมิติเมาส์ สำหรับมือผู้หญิงไทย ที่คุ้นเคยกับการใช้เมาส์ทั่วไป ที่อาจจะมีขนาดใหญ่ ให้ความเห็นว่าเมาส์ค่อนข้างกระทัดรัด มิติเล็กลง และใช้งานง่ายกว่าเดิม เพราะการจับถือที่ถนัดมือมากมากกว่า จะยกมือจับแบบ Claw หรือจะเน้นวางมือแบบ Palm grip ก็สะดวก จะมีอยู่จุดเดียวคือ นิ้วโป้งจะไปโดนปุ่มมาโครด้านซ้ายมือบ่อยครั้ง เนื่องจากยังไม่ชินกับการจับถือ แต่ปรับตัวได้ไม่ยาก

HyperX Pulsefire Haste

เรื่องของการระบายอากาศ แม้จะไม่ได้มีเป็นพัดลมมาให้ แต่ด้วยช่องเล็กๆ บนเมาส์แบบนี้ ทำให้พื้นที่ที่จะสัมผัสกับมือน้อยลง และมีอากาศเข้ามาถ่ายเทได้ตลอด ก็มีผลทำให้รู้สึกสบายมือมากยิ่งขึ้น ยิ่งในช่วงที่เล่นเกมต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ เหงื่อที่ออกมือก็จะน้อย และไม่ทำให้ผิวสัมผัสเสียไปจากสารเคมีที่อยู่บนมือนั่นเอง ตรงนี้น่าจะทำให้เกมเมอร์หลายคนชื่นชอบ

HyperX Pulsefire Haste

Conclusion

HyperX Pulsefire Haste

เรามาสรุปการใช้งานเกมมิ่งเมาส์ไร้สาย HyperX Pulsefire Haste Wireless กันดีกว่าครับ สิ่งที่อยากพูดถึงเป็นข้อแรกๆ เลยก็คือ อิสระในการใช้งาน ซึ่งเดิมผมใช้รุ่นที่มีสายอยู่ ความเบาก็ดีแล้ว การเคลื่อนไหวก็สะดวก แต่ยังไม่สุด เพราะบางครั้งสายที่เราม้วนไว้ ก็ไปเกี่ยวกับขอบแผ่นรองเมาส์บ้าง หรือถ้าไม่ม้วน ก็กระจัดกระจาย การไม่มีสายจึงดูตอบโจทย์ที่สุด อีกเรื่องหนึ่งคือ ความอึดทนของแบต ที่ใช้กันมาตั้งแต่แรกได้มาก็ยาวๆ มาเลย จนป่านนี้ก็ยังใช้ได้อยู่ แต่ก็ติดอยู่นิดเดียวทำไมไมทำ Indicator หรือตัววัดระดับแบตมาให้เลย ต้องเข้าไปดูในโปรแกรมแทน ส่วนเรื่องการตอบสนอง ก็ถือว่าทำได้ไวดี แต่การเพิ่ม DPI ไปสูงๆ บางทีก็รู้สึกวืดๆ อยู่เหมือนกัน เพราะเมาส์เบามากๆ ส่วนที่รู้สึกใช้งานง่าย นั่นคือ การปรับแต่งที่สะดวก ไม่ซับซ้อน และให้ความยืดหยุ่นได้ดี ส่วนที่อยากให้เติมเข้ามาก็คือ ไหนๆ จะมีแสงสีมาให้แล้ว ก็น่าจะเพิ่มจุดที่มีแสง RGB สว่างมากขึ้น เช่น ด้านใต้เมาส์ หรือบริเวณอุ้งมือ หรือจะเป็นปุ่มปรับ DPI ก็ได้ อย่างเช่นใน Pulsefire Surge อย่างน้อยให้สาวกที่ชอบความสดใสสมกับเกมเมอร์ ได้ตื่นตาตื่นใจในการใช้งานมากขึ้นนั่นเอง ในภาพรวมผมชอบนะ แม้ว่าราคาจะกระโดดจากรุ่นเดิมไปพอสมควร แต่ถ้าดูจากคู่แข่ง ที่ดีไซน์และฟังก์ชั่นใกล้เคียงกัน ราคานี้สมน้ำสมเนื้อดีแล้ว และยังดีกว่าที่คิดไว้ในหลายๆ จุดอีกด้วยครับ

from:https://notebookspec.com/web/672285-hyperx-pulsefire-haste-wireless

7 เมาส์เกมมิ่ง 2022 รุ่นวิชาตัวเบา ไม่หนักมือ ลากเมาส์ไวสะใจ เริ่มต้น 1,190 บาทเท่านั้น

เมาส์เกมมิ่ง 2022 รุ่นน้ำหนักเบา เอาใจคอ FPS ที่อยากลากเมาส์ให้ไวทันใจ!

Share image Edit Name 1gamingmouse 1

เมาส์เกมมิ่ง 2022 นี้ นอกจากดีไซน์, โปรแกรมและฟังก์ชั่นเด่นเฉพาะของเมาส์แต่ละตัวแล้ว จุดเด่นอีกอย่างที่แต่ละแบรนด์หยิบมาเป็นจุดขายแข่งกันอย่างสนุกสนาน นั่นคือ น้ำหนักเมาส์ของใครเบากว่า ซึ่งจุดเด่นนี้มีผลต่อเกมเมอร์หลายๆ คน นั่นเพราะเมื่อตัวเมาส์นั้นเบาแล้ว เกมเมอร์ก็ใช้แรงขยับมันน้อยลงและพาสกรอล์เมาส์พุ่งตรงไปยังเป้าที่ต้องการได้ง่ายและเร็วยิ่งขึ้น โดยเฉพาะสาย FPS ที่ตัดสินแพ้ชนะกันในเสี้ยววินาทีน่าจะมองหาเมาส์เกมมิ่ง 2022 น้ำหนักเบาเช่นนี้มาประจำมือขวาของตัวเองอยู่อย่างแน่นอน

Advertisementavw

หากเกมเมอร์คนไหนอยากเปลี่ยนเกมมิ่งเกียร์ยกเซ็ตอยู่แล้วกำลังชั่งใจว่าจะซื้อเกมมิ่งคีย์บอร์ดที่เคยแนะนำไปก่อนหน้านี้หรือจะซื้อเมาส์ก่อนดี ในส่วนนี้ผู้เขียนคิดว่าทั้งสองชิ้นนี้มีความสำคัญไม่แพ้กัน ถ้าแนะนำคือ “ให้เริ่มจากชิ้นที่เก่าหรือกำลังจะเสีย” ก่อนเป็นชิ้นแรก แต่ถ้าใครพร้อมซื้อทั้งสองชิ้นก็อยากแนะนำให้ซื้อเกมมิ่งเกียร์เป็นเซ็ตจากแบรนด์เดียวกันจะดีที่สุด นั่นเพราะเราไม่ต้องลงโปรแกรมตั้งค่าเกมมิ่งเกียร์หลายๆ ตัวไว้ในพีซีเครื่องเดียวกัน เวลาจะเซ็ตอัพสักครั้งก็เซ็ตในโปรแกรมเดียวจะสะดวกกว่า

เมาส์เกมมิ่ง 2022

สรุปสเปคเมาส์เกมมิ่ง 2022 ทั้ง 7 รุ่นสุดเบา! ตัวไหนน่าซื้อมาเล่นเกมบ้างมาดูทางนี้!

สเปคเมาส์เกมมิ่ง 2022 Design

Connection

DPI

Software

ความเร็ว

อัตราเร่ง

น้ำหนัก
(กรัม)
ราคา
(บาท)
Razer Viper Mini False Ambidextrous

สาย USB

8,500 DPI

Razer Synapse 3

300 IPS

35G

61 1,190
HyperX Pulsefire Haste False Ambidextrous

สาย USB

16,000 DPI

HyperX NGENUITY

450 IPS

40G

59 1,490
NZXT LIFT False Ambidextrous

สาย USB

16,000 DPI

NZXT CAM

67 1,690
XTRFY M4 RGB Ergonomic
เน้นมือขวา

สาย USB

400
~
16,000 DPI

ไม่มีซอฟท์แวร์

400 IPS

50G

69 1,990
MSI CLUTCH GM41 LIGHTWEIGHT Ergonomic
เน้นมือขวา

สาย USB

USB 2.4GHz
Dongle

20,000 DPI

MSI Dragon Center

400 IPS

50G

74 2,600
Pulsar Xlite V2 Wireless Ergonomic
เน้นมือขวา

สาย USB

USB 2.4GHz
Dongle

50
~
20,000 DPI

Xlite Wireless

400 IPS

50G

59 2,990
Logitech G PRO X Superlight False Ambidextrous

สาย USB

USB 2.4GHz
Dongle

25,600 DPI

LOGITECH G HUB

400 IPS

มากกว่า 40G

น้อยกว่า
63 กรัม
4,669

7 เมาส์เกมมิ่ง 2022 รุ่นวิชาตัวเบา ลากเมาส์ไวสะใจ ถูกใจเกมเมอร์แน่นอน

เกมเมอร์คนไหนมีแผนเปลี่ยนเมาส์เกมมิ่งตัวเก่าเป็นตัวใหม่ที่น้ำหนักเบาลงกว่าเดิม ใช้โปรแกรมตั้งค่าเกมมิ่งเกียร์ได้ด้วยล่ะก็ เมาส์เกมมิ่ง 2022 ทั้ง 7 รุ่นที่ผู้เขียนเลือกมาแนะนำในบทความนี้จัดว่าน่าสนใจมาก โดยมีรุ่นดังนี้

  1. Razer Viper Mini (61 กรัม)
  2. HyperX Pulsefire Haste (59 กรัม)
  3. NZXT LIFT (67 กรัม)
  4. XTRFY M4 RGB (69 กรัม)
  5. MSI CLUTCH GM41 LIGHTWEIGHT (74 กรัม)
  6. Pulsar Xlite V2 Wireless (59 กรัม)
  7. Logitech G PRO X Superlight (น้อยกว่า 63 กรัม)
1. Razer Viper Mini (61 กรัม)

razer viper mini hero desktop

เมาส์เกมมิ่ง 2022 รุ่นแรกต้องยกให้ Razer Viper Mini เป็นเมาส์เกมมิ่งน้ำหนักและราคาเบาเข้าถึงง่าย ดีไซน์แบบ False Ambidextrous ซึ่งจับเมาส์ได้ถนัดทั้งสองมือแต่ปุ่มข้างเมาส์จะเหมาะกับมือขวามากกว่า มีไฟ Razer Chroma RGB ด้วย ใช้การเชื่อมต่อด้วยสาย USB ติดเซนเซอร์ Optical ของ Razer มาให้ ปรับค่า DPI ได้สูงสุด 8,500 DPI มีความเร็วสูงสุด 300 IPS อัตราเร่ง 35G ตั้งค่าปุ่มบนตัวเมาส์ได้ 6 ปุ่มโดยใช้ซอฟท์แวร์ Razer Synapse 3 ปรับแต่งตั้งค่าเมาส์ ส่วนน้ำหนักนั้นเบาเพียง 61 กรัมเท่านั้น ซึ่งถ้าใครชอบเมาส์น้ำหนักเบาแต่ราคาไม่แพงเกินไปก็ซื้อ Viper Mini ไปได้เลย

สเปคของ Razer Viper Mini
  • Design & Connection : False Ambidextrous, สาย USB
  • DPI : สูงสุด 8,500 DPI
  • Speed & Acceleration : 300 IPS, 35G
  • Software : Razer Synapse 3
  • Weight : 61 กรัม
  • Price : 1,190 บาท (JIB)
2. HyperX Pulsefire Haste (59 กรัม)

75407d7ef04c9b83cde6f0ee27a1cedc

อดีตแผนกเกมมิ่งเกียร์ของ Kingston อย่าง HyperX ก็มีเมาส์น้ำหนักเบาอย่าง HyperX Pulsefire Haste ให้เกมเมอร์เลือก ดีไซน์ False Ambidextrous เจาะรูรังผึ้งเพื่อระบายความชื้นที่มือ นอกจากนี้ทางบริษัทยังแถมแผ่นกริ๊พแถมมาให้ติดตัวเมาส์ให้จับได้ถนัดมือยิ่งขึ้น ปรับตั้งค่าตัวเมาส์ได้ด้วยซอฟท์แวร์ HyperX NGENUITY ใช้เซนเซอร์ Pixart 3335 ปรับตั้งค่า DPI ได้สูงสุด 16,000 DPI มีความเร็ว 450 IPS กับอัตราเร่ง 40G ตั้งค่าปุ่มได้ 6 ปุ่มและเชื่อมต่อด้วยสาย USB 2.0 ก็ใช้เล่นเกมได้เลย ส่วนตัวเมาส์เบาเพียง 59 กรัมเท่านั้น นับเป็นเมาส์เกมมิ่ง 2022 น้ำหนักเบาน่าใช้ ได้ของแถมมาครบเครื่องอีกด้วย

สเปคของ HyperX Pulsefire Haste
  • Design & Connection : False Ambidextrous, สาย USB
  • DPI : สูงสุด 16,000 DPI
  • Speed & Acceleration : 450 IPS, 40G
  • Software : HyperX NGENUITY
  • Weight : 59 กรัม
  • Price : 1,490 บาท (HyperX Shopee Mall)
3. NZXT LIFT (67 กรัม)

8d05a66861bcd403ee02342943d0c048

เกมเมอร์น่าจะคุ้นชื่อ NZXT ในฐานะผู้ผลิตเคส, ชุดระบายความร้อนซีพียู, เมนบอร์ดเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ทางบริษัทก็มีเมาส์เกมมิ่ง 2022 น้ำหนักเบาอย่าง NZXT LIFT ให้ซื้อไปเล่นเกมด้วย โดยเมาส์เกมมิ่งตัวนี้ใช้โปรแกรม NZXT CAM ตั้งค่าร่วมกับอุปกรณ์ของบริษัทชิ้นอื่นๆ ดีไซน์ตัวเมาส์เป็น False Ambidextrous ใช้เซนเซอร์ PixArt 3389 ปรับความเร็วได้สูงสุด 16,000 DPI เซฟโปรไฟล์ออนบอร์ดได้ 4 โปรไฟล์ เชื่อมต่อด้วยสาย USB เส้นเดียวก็พร้อมเล่นเกมได้ทันที ส่วนน้ำหนักเมาส์เบาเพียง 67 กรัมเท่านั้น ซึ่งถ้าใครเป็นแฟนคลับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ดีไซน์มินิมอลของแบรนด์นี้ก็น่าซื้อเจ้าเมาส์นี้ไปเล่นเกมมาก นอกจากเข้าเซ็ตแล้วยังใช้งานดีด้วย

สเปคของ NZXT LIFT
  • Design & Connection : False Ambidextrous, สาย USB
  • DPI : สูงสุด 16,000 DPI
  • Speed & Acceleration : –
  • Software : NZXT CAM
  • Weight : 67 กรัม
  • Price : 1,690 บาท (NZXT Shopee Mall)
4. XTRFY M4 RGB (69 กรัม)

0573aaf3c35e342a1579b5e5848484d2

XTRFY (อ่านว่า Extra-Fi) เป็นแบรนด์เกมมิ่งเกียร์สัญชาติสวีเดนที่ไม่มีซอฟท์แวร์ตั้งค่าของตัวเอง ใช้การปรับตั้งค่าแบบออนบอร์ดเป็นหลัก โดยมีเมาส์เกมมิ่ง 2022 น้ำหนักเบารุ่น XTRFY M4 RGB ให้เลือก ดีไซน์ตัวเมาส์ผสมความเรโทรกับความล้ำสมัยเอาไว้ด้วยกันและเจาะรูรังผึ้งระบายอากาศมาให้ ดีไซน์ Ergonomic เน้นมือขวาเป็นหลัก ปรับเลือกค่า DPI เป็นระดับขั้นบันไดตั้งแต่ 400~16000 DPI มีความเร็ว 400 IPS อัตราเร่ง 50G เชื่อมต่อด้วยสาย USB เพื่อใช้งาน ใช้งานได้ทั้ง Windows, macOS ส่วนตัวเมาส์มีน้ำหนัก 69 กรัมเท่านั้น หากเกมเมอร์คนไหนไม่เน้นใช้ซอฟท์แวร์ตั้งค่าเมาส์ให้วุ่นวายนักล่ะก็ XTRFY M4 ตัวนี้จัดว่าน่าสนใจมาก

สเปคของ XTRFY M4 RGB
  • Design & Connection : Ergonomic เน้นมือขวา, สาย USB
  • DPI : 400~16,000 DPI
  • Speed & Acceleration : 400 IPS, 50G
  • Software : –
  • Weight : 69 กรัม
  • Price : 1,990 บาท (Gaming Planet Shopee Mall)
5. MSI CLUTCH GM41 LIGHTWEIGHT (74 กรัม)

9d3997807cac6b21e17eacfa4b28646d

MSI CLUTCH GM41 LIGHTWEIGHT เมาส์เกมมิ่งน้ำหนักเบาจากแบรนด์เกมมิ่งที่ชาวไทยคุ้นหูดีก็มีเมาส์น้ำหนักเบาให้ซื้อไปเล่นเกมด้วย โดย MSI CLUTCH มีไฟ RGB ติดมาให้ในตัวไม่พอ เมาส์ตัวนี้จะเชื่อมต่อสาย USB หรือเล่นไร้สายโดยใช้ USB 2.4GHz Dongle ก็เล่นเกมได้นาน 80 ชั่วโมง รองรับชาร์จไว 10 นาที เล่นเกมได้ 9 ชั่วโมง มี Charging Dock แถมมาให้ด้วย ดีไซน์เมาส์ออกแบบเป็น Ergonomic เน้นมือขวา ใช้ซอฟท์แวร์ MSI Dragon Center ปรับตั้งค่าทั้งหมดของตัวเมาส์ ปรับค่า DPI ได้สูงสุด 20,000 DPI มีความเร็ว 400 IPS อัตราเร่ง 50G และน้ำหนักเบา 74 กรัม เทียบแล้วต้องถือว่า MSI CLUTCH GM41 LIGHTWEIGHT เป็นเมาส์เกมมิ่ง 2022 ราคาไม่แรงแต่สเปคดี ยิ่งถ้าใครใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์หรือเกมมิ่งโน๊ตบุ๊คของ MSI อยู่แล้วยิ่งน่าซื้อมาใช้มากๆ ส่วนผู้ที่สนใจเมาส์ตัวนี้สามารถอ่านรีวิวได้ที่นี่

สเปคของ MSI CLUTCH GM41 LIGHTWEIGHT
  • Design & Connection : Ergonomic เน้นมือขวา, สาย USB, USB 2.4GHz Dongle
  • DPI : สูงสุด 20,000 DPI
  • Speed & Acceleration : 400 IPS, 50G
  • Software : MSI Dragon Center
  • Weight : 74 กรัม
  • Price : 2,600 บาท (MSI Shopee Mall)
6. Pulsar Xlite V2 Wireless (59 กรัม)

74c0da6ba94f4831ba8ea1c65a7f59cf

ถ้าถามว่าเมาส์เกมมิ่ง 2022 ตัวไหนเบาสุดในบทความนี้ ต้องยกให้ Pulsar Xlite V2 Wireless ตัวนี้ไปเลย เพราะเมาส์ตัวนี้เบาเพียง 59 กรัม งานประกอบแข็งแรงและทางบริษัทยังออกแบบวางบาลานซ์น้ำหนักให้สมดุลย์ ไม่หนักตรงส่วนไหนส่วนหนึ่งเป็นพิเศษ ยึดดีไซน์ Ergonmic เน้นมือขวาเช่นกัน ใช้ซอฟท์แวร์ Xlite Wireless ตั้งค่าตัวเมาส์ได้โดยละเอียด เซ็ต DPI ได้ตั้งแต่ 50~20,000 DPI มีความเร็ว 400 IPS อัตราเร่ง 50G เชื่อมต่อใช้งานด้วยสาย USB-C หรือเล่นแบบไร้สายด้วย USB 2.4GHz Dongle ก็ใช้ได้นาน 70 ชั่วโมง ดังนั้นถ้าใครชอบเมาส์เบาถึงใจ จับถนัดมือขวาของตัวเองด้วยล่ะก็ Pulsar Xlite V2 Wireless ตัวนี้จัดว่าน่าโดนมาก

สเปคของ Pulsar Xlite V2 Wireless
  • Design & Connection : Ergonomic เน้นมือขวา, สาย USB-C, USB 2.4GHz Dongle
  • DPI : 50~20,000 DPI
  • Speed & Acceleration : 400 IPS, 50G
  • Software : Xlite Wireless
  • Weight : 59 กรัม
  • Price : 2,990 บาท (IT Friend Shopee)
7. Logitech G PRO X Superlight (น้อยกว่า 63 กรัม)

superlight bmw mice

เมาส์เกมมิ่ง 2022 รุ่นสุดท้ายซึ่งผู้เขียนแนะนำ เป็น Logitech G PRO X Superlight ซึ่งทางเว็บไซต์ได้รีวิวไปก่อนหน้านี้แล้ว โดยข้อดีของเมาส์ตัวนี้นอกจากน้ำหนักจะน้อยกว่า 63 กรัมแล้ว ยังใช้เล่นเกมแบบไร้สายด้วย USB 2.4GHz “LIGHTSPEED” ได้นาน 70 ชั่วโมง และถ้าใครซื้อแผ่นรองเมาส์ LOGITECH POWERPLAY มา ก็ชาร์จแบตฯ และใช้งานแบบไร้สายไปพร้อมกันได้เลย ดีไซน์เมาส์เป็น False Ambidextrous ปรับตั้งค่าเมาส์ได้ด้วยโปรแกรม LOGITECH G HUB ได้ ใช้เซนเซอร์ HERO 25K เซ็ต DPI ได้ละเอียดสุด 25,600 DPI ความเร็ว 400 IPS อัตราเร่งมากกว่า 40G ถ้าเกมเมอร์คนไหนหาเมาส์เกมมิ่ง 2022 น้ำหนักเบาทนทานและดีไซน์สวยเรียบง่ายล่ะก็ ผู้เขียนก็แนะนำ G PRO X Superlight ตัวนี้เป็นพิเศษ

สเปคของ Logitech G PRO X Superlight
  • Design & Connection : False Ambidextrous, สาย USB, USB 2.4GHz Dongle “LIGHTSPEED”
  • DPI : สูงสุด 25,600 DPI
  • Speed & Acceleration : 400 IPS, มากกว่า 40G
  • Software : LOGITECH G HUB
  • Weight : น้อยกว่า 63 กรัม
  • Price : 4,669 บาท (Logitech Shopee Mall)

rebekah yip FwfyVSfUFWs unsplash

นอกจากน้ำหนักที่เบาแล้ว องค์ประกอบอื่นที่มีผลต่อความเร็วตอนลากเมาส์ไปมา ก็หนีไม่พ้น Glide หรือตัวแผ่นพลาสติกใต้เมาส์ซึ่งมันเป็นมีผลไม่แพ้กัน แต่ถึงจะว่าเช่นนั้นก็ตาม แต่ผู้เขียนก็ไม่ได้เจาะจงว่าถ้าซื้อเมาส์เกมมิ่ง 2022 มาแล้วก็ต้องรีบเปลี่ยน Glide ทันทีทันใด อาจจะใช้ตามสภาพไปเดิมๆ แล้วติดแผ่นพลาสติกกริ๊พให้จับแล้วดูดติดมือกว่าจับพลาสติกตัวเมาส์อย่างเดียว เท่านี้เมาส์ของเกมเมอร์ใช้งานได้ดี เล่นเกมได้สนุกขึ้นมากแล้ว


บทความที่เกี่ยวข้อง

Share image Edit Name 2windows11 1

Share image Edit Name 1gaminglaptop 1

Share image Edit Name 3gamingkeyboard 1

from:https://notebookspec.com/web/669943-7-lightweight-gaming-mouse-in-2022

Logitech G203 สีสันสดใส 8,000 DPI แสงไฟ RGB ปรับแต่งมาโครได้ ราคาหลักร้อย

Logitech G203 LIGHTSYNC เมาส์สายแฟชั่น ราคาหลักร้อย ไฟ RGB ปรับ DPI ได้ ตั้งมาโครสะดวก

Logitech G203

Logitech G203 LIGHTSYNC เกมมิ่งเมาส์สไตล์เก๋ ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์แบบจัดเต็มในราคาเบาๆ ในขนาดพอเหมาะ มีแสงไฟ RGB ปรับแต่งได้ พร้อมลูกเล่นอีกมากมายเกินตัว ให้การตอบสนองได้รวดเร็ว ด้วยความละเอียดสูงสุด 8000 DPI กับเซ็นเซอร์ในระดับ Logitech G เพื่อคอเกมโดยเฉพาะ น้ำหนักเบาเพียง 85 กรัมเท่านั้น และสายสัญญาณที่ยาวถึง 2.1 เมตร และปุ่มใช้งานที่มากถึง 6 ปุ่ม รองรับการตั้งค่ามาโคร และเพิ่มแสงไฟ RGB มาบนตัวเมาส์อย่างสวยงาม ทั้งบนโลโก้ที่อุ้งมือ และขอบด้านข้าง เพิ่มความสะดวกในการใช้งาน ด้วยการตั้งค่าบนซอฟต์แวร์ Logitech G Hub เคลื่อนไหวได้รวดเร็ว เหมาะกับเกมเมอร์มือใหม่ และสายแต่งโต๊ะคอม เพราะมีให้เลือกถึง 4 สี การรับประกัน 2 ปี ราคาสบายกระเป๋าเพียง 690 บาทเท่านั้น


จุดเด่น

Advertisementavw
  • สีสันสดใส เหมาะกับใช้จัดโต๊ะคอม
  • ให้ค่า DPI ได้ถึง 8,000
  • ปรับตั้งค่าได้บนซอฟต์แวร์
  • มาพร้อมแสงไฟ RGB มีโพรไฟล์ให้เลือก
  • ปุ่มสวิทช์ตอบสนองไว
  • มีปุ่มให้ใช้ถึง 6 ปุ่ม
  • น้ำหนักเบา พกพาสะดวก
  • ราคาหลักสบายกระเป๋า

ข้อสังเกต

  • ระยะการคลิ๊กอยู่ตรงกลางปุ่ม
  • สายค่อนข้างยาว ต้องจัดเก็บให้ดี
  • น่าจะเพิ่มกริ๊ปยางด้านข้างมาให้ด้วย

Logitech G203 LIGHTSYNC


Specification

Logitech G203 LIGHTSYNC
Color White, Black, Blue, Purple
Dimension 116.6 x 62.15 x 1.50mm
Weight 85g
Cable length 2.1m
Feature LIGHTSYNC RGB lighting
6 programmable buttons
Resolution: 200 – 8,000 dpi
Responsiveness USB data format: 16 bits/axis
USB report rate: 1000Hz (1ms)
Microprocessor: 32-bit ARM
Warranty 2 Year
System Requirement Windows® 7 or later
macOS® 10.13 or later
Chrome OS™
USB port

Unbox

Logitech G203

Logitech G203 LIGHTSYNC มาในกล่องโทนสีเทา พร้อมกราฟิกรูปเมาส์ให้เห็นอย่างชัดเจนที่หน้ากล่อง และชื่อรุ่นขนาดใหญ่ ทำให้เห็นความโดดเด่นของตัวเมาส์อย่างชัดเจน

Logitech G203

โดยที่ G203 รุ่นนี้ จะมีสีให้เลือก 4 สีด้วยกันคือ สีขาว, ดำ, น้ำเงินและม่วงดอกไม้ (Liac) สีใหม่ 2 สีนี้ ดูสวยสะดุดตาทีเดียว

เรื่องของสีสัน บอกได้เลยว่า ทาง Logitech เอง ก็ได้เพิ่มไลน์สำหรับกลุ่มที่ชื่นชอบผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะเกมมิ่งเกียร์ที่มีสีสันแบบ Colorful มาหลายรายการแล้ว ล่าสุดที่เรารีวิวไปก็เป็นเมาส์ Logitech G Pro X รุ่นใหม่และหูฟังในรุ่น G335 ที่ดูล้ำสมัยสวยงาม

Logitech G203

ด้านหลังกล่องมีรายละเอียดฟีเจอร์หลัก อาทิ 8,000DPI, แสงไฟ RGB, 6 ปุ่มใช้งาน และซอฟต์แวร์ Logitech G Hub

Logitech G203

มาดูที่ตัวเมาส์กัน ในครั้งนี้เราได้ 2 สีมาทดสอบ นั่นคือ Blue และ Liac ซึ่งเป็น 2 สีใหม่ ที่มีความโดดเด่นมากเลยทีเดียว เพราะโทนสีนี้ เข้ากับธีมการแต่งโต๊ะคอมของหลายๆ คนได้อย่างลงตัว ซึ่งตัวจริงสีจัดจ้านดูน่าจับถืออย่างมาก โทนสีแบบพาสเทลในแบบเกมเมอร์ที่ชอบจัดโต๊ะคอมสไตล์โมเอะ หรือคนที่ชอบสีสันสดใส โดยเฉพาะสาวๆ ผมเชื่อว่าน่าจะชื่นชอบแนวนี้

Logitech G203

ในกล่องประกอบไปด้วย เอกสารแนะนำสินค้า ใบโฆษณาผลิตภัณฑ์ และสติ๊กเกอร์ G สีฟ้าสดใสมาให้อีกด้วย


Design

Logitech G203

วัสดุเป็นแบบพลาสติกแข็ง เรียบลื่น จับสบายมือ แถบนิ้วด้านขวา มีพื้นผิวให้นิ้วโป้งเกาะได้ง่ายขึ้น ปุ่มกดคลิ๊กซ้าย-ขวา แทบจะถอดแบบมาจากเมาส์รุ่นพี่ๆ เพราะเป็น Logitech G แต่เป็นรุ่นน้อง ให้ความทนทานและตอบสนองไว ได้ทุกแนว ไม่ว่าจะเป็น FPS, Action, RTS หรือ MOBA

มาดูที่การออกแบบตัวเมาส์ ส่วนตัวค่อนข้างชอบสไตล์ของเมาส์เกมมิ่ง ที่ดูขนาดกำลังพอเหมาะเช่นนี้ และยังใช้งานได้ทั้งมือซ้ายและขวา แต่หากใช้มือซ้าย อาจไม่สะดวกต่อการใช้ปุ่มมาโครด้านข้างมากนัก

ในส่วนของมิติ Logitech G203 LIGHTSYNC รุ่นนี้ ขนาดกำลังพอเหมาะกับมือคนเอเซีย เพราะความยาวประมาณ 11cm และกว้าง 6.2cm และสูงเพียง 1.5cm เท่านั้น หากเทียบกับในตระกูล G Pro แล้ว รุ่นน้องแบบนี้ ดูกระชับมือกว่ากันเยอะ

ด้านข้างซ้ายจะเป็นปุ่มมาโคร 2 ปุ่ม ส่วนทางด้านขวา ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ แต่เราจะเห็นเส้นแสง RGB ที่วิ่งไปมาทั้ง 2 ฝั่งได้อย่างชัดเจน แสงไฟ LED ในแบบ RGB 16.8 ล้านสี จัดจ้าน บนโลโก้ที่อุ้งมือ และขอบด้านหลังเมาส์ เล่นแล้ว เหมือนมีออร่าออกจากมือ

Logitech G203

ปุ่มด้านข้างสำหรับการมาโคร ซึ่งปกติจะทำหน้าที่เป็น Back และ FW ซึ่งใช้กับบนวินโดว์ได้ ด้านบนเป็น Scroll wheel และปุ่มตั้ง DPI เป็นแบบกดเลื่อนค่าแบบวนไปเรื่อยๆ สามารถตั้งได้บนโปรแกรม Logitech G Hub

วัสดุเป็นพลาสติกทั้งบอดี้ ผิวภายนอกค่อนข้างเรียบลื่น แต่บริเวณจุดที่เป็นกริ๊ปสำหรับวางนิ้วโป้ง จะมีพื้นผิวเล็กน้อย ให้จับได้ถนัดมือ ทำให้การคอนโทรลได้ง่ายขึ้น

Logitech G203

ปุ่มบนตัวเมาส์หลักๆ 6 ปุ่ม ประกอบด้วย คลิ๊กซ้าย-ขวา, มาโครที่นิ้วโป้ง 2 ปุ่ม, ปุ่มปรับ DPI และ Scroll wheel ตรงกลาง Scroll wheel หมุนเลื่อนได้แบบมีสเตป ไม่เป็นแบบฟรี เหมาะทั้งการเล่นเกม ที่ต้องการความแม่นยำ ในการเล็งระยะไกล และการท่องเน็ต ใช้ง่ายสบายนิ้ว กดลงเพื่อใช้เลื่อนหน้าจอได้ ปุ่มทั้งหมด สามารถตั้งมาโครและโปรแกรมเพิ่มเติมได้ ซึ่งเราจะอธิบายในส่วนของ การตั้งค่าเมาส์

Logitech G203

ด้านใต้มาพร้อม Mouse skate แบบ PPE จำนวน 5 จุด ขยับได้ไว เคลื่อนไหวได้ดีในระดับหนึ่ง เซ็นเซอร์ด้านใต้ ให้ความละเอียดได้ทั้งแต่ 200DPI ไปจนถึง 8,000DPI เพื่อการใช้งานที่แตกต่างกัน

Logitech G203

สายต่อเป็นแบบยางเส้นเล็ก ยาว 2.1 เมตร จัดเก็บได้ง่าย แค่ม้วนสายให้เป็นระเบียบ


Settings

Logitech G203

การใช้งานค่อนข้างง่ายทีเดียว สำหรับเมาส์ Logitech G203 รุ่นนี้ เพราะแค่สาย USB เข้ากับ USB port บนโน๊ตบุ๊ค หรือพีซีที่คุณใช้ จากนั้นให้ระบบตรวจเช็ค และเริ่มใช้งานได้เลย ภายในไม่กี่วินาที แต่ถ้าต้องการปรับแต่งแสงไฟ หรือมาโคร ให้เข้าดาวน์โหลด Logitech G Hub มาติดตั้ง และใช้งานได้ทันที

Logitech G203

สัมผัสแรกที่ได้จับบอกได้เลยว่า สบายมือมากๆ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นเมาส์ในกลุ่มพรีเมียม เหมือนกับ Logitech G Pro หรืออื่นๆ แต่ด้วยความเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน และวัสดุจับกระชับ อาจจะมีเรียบลื่นอยู่บ้างในบางจังหวะ โดยเฉพาะเมื่อจับในขณะมือเปียกหรือทานอะไรมา แต่ด้วยจุดที่เป็นกริ๊ปวางนิ้วโป้งลงไป ก็จับได้กระชับขึ้น

Logitech G203

การวางมือสามารถทำได้ทั้ง Palm grip และ Claw เพราะปุ่มคลิ๊กเป็นแบบแนวยาว แต่สวิทช์กดได้เร็ว จึงง่ายต่อการใช้ หรือถ้าไม่ถนัด จะหักข้อมือหน่อยๆ ให้นิ้วชี้ค่อนมาทางซ้าย เหมือนกับที่เกมเมอร์หลายคนชอบ ก็ทำได้เช่นกัน เพราะตรงอุ้งมือวางได้ถนัดขึ้น

ภาพด้านซ้ายเป็นมือของเกมเมอร์ชาย ส่วนทางด้านขวาเป็นเกมเมอร์ผู้หญิง ลักษณะการจับอาจไม่เหมือนกัน แต่ความถนัด


Performance

Logitech G203

ทดสอบการใช้งาน Logitech G203 LIGHTSYNC ในการเล่นเกม สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือ การจับกระชับมือได้ในแบบที่ไม่ต้องปรับตัวมาก ด้วยขนาดและรูปลักษณ์ ที่เป็นทรงกลางๆ ไม่ใหญ่เกินไป และไม่ได้สูงจนวางมือไม่สะดวก รวมถึงยังพอมีพื้นที่ให้อุ้งมือด้านล่าง ทำหน้าที่ในการประคองเมาส์ได้ง่ายขึ้น และหากคุณเป็นสาวๆ ที่มีมือเล็กๆ ก็ยังใช้งานได้ดีไม่แพ้กัน เพียงแต่ว่านิ้วโป้งอาจจะกดใช้มาโครได้ข้างได้ยากนิดหน่อย หากนิ้วไม่สะดวก แนะนำใช้แบบ Claw ด้วยการเลื่อนนิ้วไปด้านหน้าเมาส์ให้มากขึ้น

Logitech G203

การตอบสนองของสงิทช์ทำได้ไว เพราะสไตล์กับระยะเรียกว่าแทบจะถอดแบบมาจากรุ่นพี่ๆ เสียงไม่ดังมาก ปฏิกิริยาต่อนิ้วทำได้ดี ให้ความรู้สึกในการเล่นที่สนุก แต่หากใครที่คุ้นกับสวิทช์ไวและสั้น อาจจะต้องปรับตัวนิดหน่อย เพื่อให้คอนโทรลได้ดีกว่าเดิม อย่างไรก็ดีการคอนโทรลให้นิ้วกดที่ระยะกลางปุ่ม จะให้เสียงที่ดีกว่า อาการวืดน้อยกว่าการกดปลายๆ ปุ่ม

Logitech G203

การเล่นเกมทั้ง PUBG และ Red Dead Redemption 2 ยังคงสนุกสนานได้เต็มอิ่ม กับการคลิ๊ก เล็ง ยิง ที่ให้ฟิลลิ่งในการเล่นแบบเมาส์รุ่นโปรของค่าย การสะบัดข้อมือทำได้สะดวก เพราะคุณสามารถเลือก DPI ได้ตามต้องการ ไปจนถึงระดับ 8,000 DPI แต่ก็ขึ้นอยู่กับขนาดจอและความละเอียดที่เล่น ว่าคุณต้องการความแม่นยำมากน้อยเพียงใด จากที่ได้เล่นเกมบนความละเอียด 2K 1400p ของจอขนาด 32″ ระดับ 850 DPI ก็เล่นได้ดีแล้ว แต่ขยับมาที่ 1,600 DPI ก็สะดวกดี แต่ขอพื้นที่บนเมาส์แพดเยอะหน่อย เพื่อการใช้งานที่คล่องตัว

Logitech G203

และเมื่อลองเล่นเกมกับแนวอื่นๆ เช่น DOTA2 การปรับใช้ลูกเล่น Macro บนซอฟต์แวร์ ก็มีส่วนช่วยให้สนุกสนานได้มากขึ้น โดยเฉพาะการวางปุ่มให้เล่น โจมตี ใช้เวทย์หรือจะ repeat คำสั่งได้ไวขึ้น ก็ทำให้คุณสามารถเล่นเกมได้สนุกมือ อีกทั้งการเคลื่อนไหวหรือส่องรายละเอียดในแผนที่ ก็จะรวดเร็วมากกว่าเดิม นอกจากนี้ Scroll wheel ก็ลื่นไหลดี แม้จะเป็นสเตปในการหมุน แต่ก็คล่องตัวกับการใช้ในเกมและการท่องเน็ตอีกด้วย


Software

Logitech G203

การปรับแต่งถือเป็นอีกไฮไลต์ของเมาส์ Logitech G203 LIGHTSYNC รุ่นนี้เลย โดยการปรับแต่งก็ง่าย ผ่านทางซอฟต์แวร์ Logitech G Hub ซึ่งครอบคลุมการใช้งานในหลายๆ ด้าน เหมาะกับการเกมเมอร์ ในปัจจุบันได้ดีทีเดียว มาเริ่มต้นกับคนที่ชื่นชอบความสวยงามก่อน

Logitech G203

นอกจากการปรับแต่งแสงไฟ RGB ที่ตัวเมาส์แล้ว คอเกมยังตั้งค่ามาโคร และการโปรแกรมปุ่มสำหรับการใช้เป็นคีย์ลัด หรือทำงานร่วมกับฟังก์ชั่นอื่นๆ ได้อีกด้วย โดยจะอยู่ใน Logitech G Hub เช่นกัน แต่อยู่ในหัวข้อ Assignment

Logitech G203 86

เคยมั้ยครับ ตอนเล่นเกม อยากจะปรับให้เมาส์ไว เล่นได้สนุก แต่พอทำงานอยากให้เมาส์คอนโทรลง่ายขึ้น ซึ่งเมาส์บางรุ่นมันทำไม่ได้ เพราะค่า DPI ตายตัว แต่สำหรับ Logitech G203 LIGHTSYNC นี้ เค้าปรับได้เว้ยเพื่อนๆ อยากจะปรับเพิ่มลด DPI ก็กดปุ่มตรงกลางเมาส์หรือที่เรียกว่า DPI Shift ได้เลย มันจะเพิ่มลดไปตามโพรไฟล์ที่เราตั้งไว้ เช่น ทำงานบนจอ Full-HD หรือท่องอินเทอร์เน็ต เช็คหุ้น เทรดคริปโต จอใหญ่ๆ แบบนี้ ใช้แค่ 400 DPI ก็พอ แต่ถ้าจอใหญ่ ความละเอียดมากขึ้น เช่น 2K หรือ 4K ปรับเป็น 1800 หรือมากกว่า ก็แล้วแต่ความถนัดหรือขนาดของจอ ในส่วนนี้จะมีผลทั้งการเล่นเกม และการทำงานซอฟต์แวร์เฉพาะทางอีกด้วย

โดยในส่วนนี้จะใช้ในการปรับแต่งปุ่มสำหรับใช้งานเป็นคีย์ลัดบน Windows และตั้งมาโครเกม และการสตรีม ซึ่งการปรับแต่งค่อนข้างง่ายดาย เพราะแค่คลิ๊กเลื่อนฟังก์ชั่นที่ต้องการ แล้วเลื่อนไปใส่ไว้ในปุ่มต่างๆ ที่เป็นกราฟิกบนหน้าจอได้ทันที พร้อมใช้งานในเวลาอันรวดเร็ว เช่น ในหน้า Commands เราเลือกสลับหน้าต่างหรือปิดโปรแกรมอะไรต่างๆ ได้ในปุ่มเดียว

Logitech G203

หลายท่านอาจเคยสงสัยนะ เมาส์ที่มีแสงไฟอ่ะ มันสวยก็จริง แต่เราวางมืออยู่ไฟมันวิ่งอยู่ในมือ เราจะเห็นมันได้ไง เหมือนกับผมตอนแรกผมก็คิดแบบนั้นล่ะ แต่คุณลองมาดู Logitech G203 LIGHTSYNC รุ่นนี้สิ มันสว่างคามือเลย และเส้นสายของไฟ ที่วิ่งออกขอบด้านข้าง ขึ้นไปบนตัวเมาส์ มันลอดออกมาสวยงาม ยิ่งปิดไฟแบบนี้ เห็นมั้ยครับ ว่ามันชัดซะยิ่งกว่าชัด สวยแบบนี้ เล่นยันหว่างอ่ะ บอกเลย

การปรับก็ง่ายมากเลย เข้าไปที่ Logitech G Hub แล้วไปที่ LightSync ชอบแบบไหน สไตล์ใด ก็เลือกได้ จะปรับแบบ Preset ที่เค้ามีมาให้ หรือจะเลือกแบบ Free style และ Animation ตามใจชอบได้เลย ส่วนตัวผมหรอ สีไหนก็ได้ แต่ปรับความสว่างแบบสุด และอีกอันคือ Audio Visualizer เวลาฟังเพลง แค่นี้ก็เพอร์เฟกส์แล้ว

Logitech G203

สำหรับ LIGHTSYNCเป็นฟีเจอร์ในเรื่องของแสงสีไฟ RGB ที่อยู่บนอุปกรณ์เกมมิ่งเกียร์ของค่าย Logitech ที่ให้ผู้ใช้สามารถซิงก์แสงไฟของอุปกรณ์ต่างๆ ที่รองรับการใช้งานเข้าด้วยกัน และปรับแต่งได้อย่างง่ายดาย ผ่านทางซอฟต์แวร์ Logitech G Hub ซึ่งทำให้แสงมีความสอดคล้อง และแสดงผลร่วมกันได้อย่างลงตัว


Conclusion

Logitech G203

เมาส์ Logitech G203 LIGHTSYNC นี้ เหมาะกับใคร? ถ้ามองถึงองค์ประกอบต่างๆ แล้ว ดูจะเหมาะกับเกมเมอร์ ที่ชอบเมาส์เบา เคลื่อนไหวรวดเร็ว ตอบสนองได้ดี ไม่ใหญ่ไม่เล็กจนเกินไป ขนาดกำลังพอเหมาะลงตัวกับมือของคนเอเซียได้เลย น้ำหนักค่อนข้างเบา แต่สวิทช์คลิ๊กได้สนุก ระยะการกดไม่ลึก ปรับแต่งค่ามาโครและใช้งานปุ่มได้หลากหลายกว่า มีค่า DPI ให้เลือก และสวยงาม เข้ากับโต๊ะคอมที่ใช้ เพราะมีธีมสีให้เลือกถึง 4 แบบ รวมถึงแสงไฟ RGB ปรับแต่งได้ แม้ว่าเส้นแสงไฟบางส่วน จะถูกซ่อนอยู่ในอุ้งมือบ้าง แต่ก็ยังสวยงามกว่าที่คิด ที่สำคัญราคาจับต้องได้ จ่ายไม่แพง เพราะค่าตัว G203 รุ่นนี้แค่ 6 ร้อยกว่าบาทเท่านั้น และยังรับประกันอีก 2 ปี ถ้าดูแล้วอยู่ในเงื่อนไขที่คุณต้องการ ก็ซื้อหามาใช้กันได้เลยครับ

from:https://notebookspec.com/web/652181-logitech-g203-gaming-mouse

เมาส์ไร้สาย 10 รุ่น ไม่เกิน 500 บาทปี 2022 ไซส์กระทัดรัด จับถนัดมือ เชื่อมต่อไว พกพาสะดวก

เมาส์ไร้สาย 10 รุ่นปี 2022 ในงบไม่เกิน 500 บาท พกพาง่าย ได้ทั้งงานและความบันเทิง

เมาส์ไร้สาย

เมาส์ไร้สาย เป็นอะไรที่หลายคนต้องมีติดโต๊ะคอม หรือกระเป๋าโน๊ตบุ๊คเอาไว้เสมอ เพราะช่วยให้การใช้งานสะดวกมากกว่าเดิมไม่น้อย ลดการใช้ทัชแพดไปได้มากพอสมควร จึงทำให้งานเร็วขึ้น ไม่ว่าจะเป็นงานเอกสาร ท่องอินเทอร์เน็ตหรือจะใช้เทรดหุ้น คริปโตก็ตาม ส่วนการเลือกใช้ก็ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของผู้ใช้แต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของมิติ การจับถนัดมือ การเชื่อมต่อ หรือเซ็นเซอร์ความแม่นยำ ไปจนถึงเทคโนโลยีที่มีอยู่ในตัว และบางส่วนก็ให้ความสำคัญกับราคาที่เหมาะสม แต่วันนี้เราเลือกมาให้เป็นแนวทาง สำหรับคนงบประมาณจำกัด ด้วยเมาส์ไร้สาย 10 รุ่นในงบประมาณไม่เกิน 500 บาท มาแนะนำกัน จะมีรุ่นใดที่โดนใจคุณบ้าง ไปติดตามชมกันครับ

เมาส์ไร้สาย 10 รุ่น 2022 ไม่เกิน 500 บาท

  1. Logitech M190
  2. HP S4000
  3. Dell WM126
  4. Logitech M221
  5. Microsoft MBL1850
  6. Anitech W226
  7. Xiaomi Mi Dual Mode
  8. SGEAR MS-MV400
  9. Realme Wireless Mouse
  10. UGREEN MU001

1.Logitech M190 ราคา 459 บาท

เมาส์ไร้สาย

เป็นเมาส์ไร้สายในซีรีส์กลาง จับกลุ่มตลาดมือใหม่ และผู้ใช้ในชีวิตประจำวัน ที่มีความเรียบง่าย ใช้โทนสีสะดุดตา ให้เข้ากับการใช้งานในหลายประเภท จัดว่าเป็นเมาส์ที่ให้ความคล่องตัว และจับสบายอีกรุ่นหนึ่ง เพราะจัดวางส่วนโค้งที่เข้ากับมือคนในบ้านเราได้ดี ขนาดปานกลาง ทำให้ไม่ต้องงอนิ้วมากเกินไป วัสดุเป็นพลาสติกดูแข็งแรงทนทาน น้ำหนักค่อนข้างเบา ไม่ถึง 90 กรัม ตามสไตล์ของเมาส์ไร้สายเช่นนี้ บริเวณกริ๊ปมือจับกระชับมีพื้นผิวให้สัมผัส Scroll mouse ไม่ฟรีจนเกินไป ให้ระยะในการควบคุมง่าย เซ็นเซอร์อยู่ที่ 1000 dpi รองรับการเชื่อมต่อในระยะ 10 เมตร แบตใช้งานได้ประมาณ 18 เดือน โดยเป็นแบตแบบ AA เพียงก้อนเดียว เชื่อมต่อง่าย แค่เสียบตัวรับสัญญาณเข้ากับพอร์ต USB เท่านั้น

Advertisementavw
จุดเด่น ข้อสังเกต
ขนาดปานกลาง จับกระชับมือ ไม่รองรับ Unifying
ใช้งานได้นาน 18 เดือน

ไปช้อปได้ที่: Logitech


2.HP S4000 ราคา 490 บาท

เมาส์ไร้สาย

เมาส์ไร้สายบนรูปทรงกระทัดรัด เน้นพกพาสะดวก ให้การจับได้ทั้งแบบ Palm grip และ Claw ปรับค่า DPI ได้ตามสะดวก มีตั้งแต่ 800/ 1200 และ 1600 dpi เพื่อให้เข้ากับการใช้งานในแบบต่างๆ จุดเด่นอยู่ที่ความบางกระทัดรัด ไม่เปลืองพื้นที่ในกระเป๋า และด้วยสวิทช์ที่มีเสียงเบา ลดการรบกวนผู้อื่นเมื่อใช้งาน ด้านบนมีทั้งปุ่มปรับความละเอียด และ Scroll wheel ที่ลื่นไหล วัสดุทำได้พรีเมียมในระดับหนึ่ง ใช้พลังงานจากแบต AAA จำนวน 2 ก้อน

จุดเด่น ข้อสังเกต
มิติบางกระทัดรัด ใช้แบต AAA 2 ก้อน
เสียงคลิ๊กที่เบา

ไปช้อปได้ที่: HP


3.Dell WM126 ราคา 390 บาท

เมาส์ไร้สาย

กับดีไซน์ที่ดูเข้ากันได้กับทุกสไตล์การใช้งาน กับโครงสร้างที่จับกระชับมือ กับส่วนโค้งเว้า พร้อมกริ๊ปด้านข้าง ที่ช่วยให้คอนโทรลได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการพกพาไปยังที่ต่างๆ เซ็นเซอร์ออพติคอล 1000 dpi ปุ่มคลิ๊กซ้าย-ขวา ไม่ซับซ้อน มีความทนทาน Scroll mouse เคลื่อนไปมาตามนิ้วได้อย่างมีจังหวะ ไม่มีระยะฟรีมากเกินไป กับการเชื่อมต่อกับตัวรับสัญญาณได้ง่าย แค่ต่ออุปกรณ์เข้ากับพอร์ต USB เมื่อระบบเชื่อมต่อแล้ว ก็ใช้งานได้ทันที หรือจะใช้ดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ไดรเวอร์จาก Dell.com ได้อีกด้วย เมาส์ไร้สายจาก Dell รุ่นนี้ ใช้พลังงานจากแบต AA เพียงก้อนเดียวเท่านั้น แต่มีระยะเวลาสแตนบายได้นาน

จุดเด่น ข้อสังเกต
รูปทรงพอเหมาะจับกระชับมือ ค่า DPI 1000 เท่านั้น
สแตนบายได้ 12 เดือน

ไปช้อปได้ที่: Dell


4.Logitech M221 ราคา 490 บาท

เมาส์ไร้สาย

เรียกว่าเป็นเมาส์ที่ยืนตลาดมาอย่างยาวนาน ซึ่งรูปทรงจะค่อนไปทางความเล็กกระทัดรัดเป็นพิเศษ เหมาะกับสาวๆ ที่มือไม่ใหญ่มากนัก วัสดุเป็นแบบพลาสติกแข็ง มีหลายสีให้เลือก ปุ่มคลิ๊กค่อนข้างแน่น กดสนุก แต่เสียงเบา ลดเสียงรบกวน ให้ระยะเวลาการใช้งานประมาณ 18 เดือน มิติความโค้งสูง เน้นการกดแบบ Claw จุดเด่นคือ ใช้งานร่วมกับตัวรับสัญญาณแบบ USB Unifying ที่ใช้ร่วมกับอุปกรณ์ไร้สายที่รองรับได้ร่วมกัน มีระยะการทำงานที่ 10 เมตรตามมาตรฐาน

จุดเด่น ข้อสังเกต
ตัวรับสัญญาณแบบ USB Unifying ขนาดค่อนข้างเล็ก
รองรับการใช้งานได้ 18 เดือน

ไปช้อปได้ที่: Logitech


5.Microsoft MBL1850 ราคา 450 บาท

เมาส์ไร้สาย

เมาส์สายแฟชั่น ที่ให้สีสันมากถึง 7 สีด้วยกัน อาจจะไม่ได้มีข้อมูลมามากนัก สำหรับเมาส์รุ่นนี้ แต่ก็บอกได้เลยว่ายืนระยะมาได้ยาวนานพอสมควร เป็นเมาส์ขนาดฝ่ามือ ให้ความโค้งพอสมควร มีเซ็นเซอร์ออพติคอล และปุ่มเปิด-ปิด เพื่อประหยัดพลังงาน ซึ่งมาจากแบต AA 1 ก้อน พร้อมด้วยตัวรับสัญญาณ Nano USB โดย Scroll wheel ค่อนข้างนิ่มนวล ตามสไตล์ของเมาส์จากค่ายนี้ มีระยะการใช้งานราว 6 เดือน ตามสเปคที่ระบุ รองรับการใช้งานได้ทั้งมือซ้ายและขวา

จุดเด่น ข้อสังเกต
ขนาดพอเหมาะกับมือคนเอเซีย ระยะการใช้งานแบต 6 gfnvo
มีให้เลือกหลายสี

ไปช้อปได้ที่: Microsoft


6.Anitech W226 ราคา 379 บาท

เมาส์ไร้สาย

เป็นเมาส์ที่ดีไซน์มาให้ใช้งานได้ตั้งแต่ซอฟต์แวร์พื้นฐาน ไปจนถึงการเล่นเกม ด้วยปุ่มให้เลือกใช้งาน และการปรับ DPI ได้ตั้งแต่ 1000 – 1600 dpi เพิ่มความคล่องตัวได้มากขึ้น จุดเด่นอยู่ที่ปุ่ม Soft click เพื่อลดเสียงรบกวน แต่ที่สำคัญใช้งานร่วมกับอุปกรณ์โมบาย พีซีและโน๊ตบุ๊คได้ เพราะมีตัวเลือกการเชื่อมต่อได้ทั้ง Bluetooth และ Wireless ซึ่งทำได้เพียงคลิ๊กเดียว ตัวปุ่มให้การคลิ๊กได้ถึง 5 ล้านครั้ง เหมาะกับการใช้งานได้ทั้งมือซ้ายและขวา เป็นเมาส์ขนาดกลาง ที่เหมาะกับผู้ใช้ทุกเพศและวัย

จุดเด่น ข้อสังเกต
รองรับได้ทั้งบลูทูธและ Wireless มิติค่อนข้างสั้น
ปรับค่า DPI ได้ถึง 1600

ไปช้อปได้ที่: Anitech


7.Xiaomi Mi Dual Mode ราคา 499 บาท

เมาส์ไร้สาย

เมาส์ที่เหมาะกับผู้ใช้ทั้งชายและหญิง จับกระชับมือ มีความโค้งมน ได้รับการออกแบบมาใหม่กว่ารุ่นก่อนหน้านี้ โดยวัสดุเป็นแบบอะลูมิเนียมอัลลอยและ ABS สีและพื้นผิวที่ดูพรีเมียมในระดับหนึ่ง จุดเด่นมาพร้อมกับการเชื่อมต่อ 2 รูปแบบ คือ Bluetooth และ Wireless ตัวรับสัญญาณขนาดเล็ก และเมาส์มีมิติไม่ใหญ่เกินไป แต่ไม่รองรับการปรับแต่ง DPI ใช้พลังงานจากแบต AAA 2 ก้อน แนะนำสำหรับคนที่ชอบพกพา และใช้งานร่วมทั้งพีซี โน๊ตบุ๊คหรือแท็ปเล็ตก็ตาม

จุดเด่น ข้อสังเกต
วัสดุแข็งแรง จับถนัดมือ ใช้แบต AAA 2 ก้อน
เป็นแบบ 2 ระบบเชื่อมต่อ

ไปช้อปได้ที่: Xiaomi


8.SGEAR MS-MV400 ราคา 479 บาท

เมาส์ไร้สาย

เป็นอีกค่ายที่ถือว่าเป็นค่ายที่มีให้เลือกในตลาดเมาส์บ้านเราพอสมควร อีกทั้งรุ่นนี้มาในทรงของเกมมิ่งเมาส์ แต่มิติจะค่อนข้างใหญ่กว่าเมาส์ไร้สายในครั้งนี้อยู่เล็กน้อย รวมถึงมีปุ่มให้ใช้งานมากขึ้นถึง 6 ปุ่มด้วยกัน เลือกปรับการตอบสนองได้ 3 ระดับ สูงสุด 1600 dpi เน้นไปที่ผู้ใช้งานด้วยมือขวา มีการวางมือที่กระชับมากขึ้น ด้วยพื้นที่กริ๊ปสำหรับนิ้วโป้ง จับถนัดมือ ด้วยวัสดุที่แข็งแรง และโครงสร้างที่ใหญ่ขึ้น ทำให้น้ำหนักมากขึ้นอีกหน่อย แต่ก็ยังเบาพอสำหรับการพกพา

จุดเด่น ข้อสังเกต
มีปุ่มให้ใช้งานถึง 6 ปุ่ม ใช้งานมือขวาเท่านั้น
ปรับระดับ DPI ได้

ไปช้อปได้ที่: SGEAR


9.Realme Wireless Mouse ราคา 499 บาท

เมาส์ไร้สาย

เป็นเมาส์ไร้สายที่ดูเรียบง่าย แต่ก็ลงตัว ทั้งในด้านรูปลักษณ์และการจับถือ มิติที่ดูไม่แบนราบเกินไป มีพื้นที่พอให้นิ้วโป้งจับบังคับได้ง่ายขึ้น พื้นผิวที่มีสัมผัสกระชับมือ พร้อมกับ Scroll wheel ที่ลื่นไหล เหมาะกับสายท่องเน็ต น้ำหนักเบาเพียง 62 กรัมเท่านั้น มิติยาวพอให้ใช้งานแบบ Palm grip ได้สะดวก ให้การคลิ๊กแบบ Silent touch ไม่รบกวนผู้ใช้รอบข้าง โดยใช้แบต AA ก้อนเดียว รองรับการใช้งานได้ 8 เดือน ที่สำคัญปรับค่า DPI ได้ 3 ระดับ สูงสุด 1600 dpi

จุดเด่น ข้อสังเกต
ปรับค่า DPI ได้
ดีไซน์าสวย ขนาดพอเหมาะ

ไปช้อปได้ที่: Realme


10.UGREEN MU001 ราคา 399 บาท

เมาส์ไร้สาย

ปุ่มรองรับการคลิ๊กได้ถึง 3 ล้านครั้ง ใช้แบตแบบ AA 1 ก้อน ให้ระยะการใช้งานได้ 18 เดือน ดีไซน์ออกมาในแนวแบนราบ แต่ก็พอให้นิ้วประคอมจับได้ดี แต่มีจุดเด่นที่ ค่า DPI สูงสุดถึง 4000 DPI และปรับได้ 4 ระดับ ปุ่มเป็นแบบลดเสียงรบกวน ด้วยระดับเสียงที่น้อยกว่า 40 dBA มาพร้อมกับ Nano USB ที่เป็นตัวรับสัญญาณขนาดเล็ก เหมาะอย่างยิ่งกับการพกพาไปใช้นอกสถานที่ มี 3 สีให้เลือก เขียว เทา และดำ

จุดเด่น ข้อสังเกต
ปุ่มคลิ๊กเสียงรบกวนน้อย
ให้ค่า DPI สูงถึง 4000

ไปช้อปได้ที่: UGREEN


Conclusion

Dimension Weight Sensor DPI Battery Battery life Price
1.Logitech M190 115.4 x 66.1 x 40.3mm 89.9g Optical 1000 1x AA 18 month 459
2.HP S4000 116 x 63 x 32mm Optical 1600 2x AAA 490
3.Dell WM126 57g Optical 1000 1x AA 12 month 390
4.Logitech M221 99 x 60 x 39mm 75.2g Optical 1000 1x AA 18 month 490
5.Microsoft 1850 Optical 1000 1x AA 6 month 450
6.Anitech W226 103 x 65 x 37mm Optical 1600 1x AA 379
7.Mi Dual mode 112.7 x 62.7 x 36.8mm 93g Optical 1000 2x AAA 12 month 499
8.SGEAR MS-MV400 154 x 78 x 12mm 130g Optical 1600 1x AAA 479
9.realme Wireless Mouse 110 x 62 x 35mm 62g Optical 1600 1x AA 8 month 499
10.UGREEN MU001 130 x 80 x 45mm 134g Optical 4000 1x AA 18 month 399
Razer mouse

ในภาพรวมของเมาส์ไร้สายที่นำมาให้ชมกันในวันนี้ทั้ง 10 รุ่น ก็ถือว่าน่าจะตอบโจทย์คนที่กำลังมองหาเมาส์ขนาดพกพา กระทัดรัด และใช้งานได้นานๆ ไม่ต้องเจอปัญหาสายพันกัน ซึ่งเป็นข้อดีของเมาส์เหล่านี้ และใช้แบตในแบบ AAA หรือ AA เท่านั้น ซึ่งผู้ใช้สามารถหาซื้อแบตแบบนี้ได้ตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป ไม่ต้องกังวล โดย Logitech M221 มาในมิติที่กระทัดรัด และเมาส์จาก Dell และ realme น้ำหนักค่อนข้างเบา แต่ถ้าต้องการความแม่นยำ UGREEN ให้ได้สูงถึง 4000 DPI ส่วนถ้าจะเน้นระยะการใช้งาน มีด้วยกันทั้ง Logitech และ UGREEN รองรับได้ถึง 18 เดือน หรือถ้าชื่นชอบสไตล์ของเกมมิ่ง เมาส์จาก SGEAR ก็ตอบโจทย์ในด้านนี้ได้ โดยที่มีเมาส์ 2 รุ่น นั่นคือ Xiaomi และ Anitech ที่มาพร้อมฟังก์ชั่นการเชื่อมต่อ 2 รูปแบบ ได้ทั้ง Bluetooth และ Wireless สามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ได้หลากหลายมากขึ้น ใครชื่นชอบเมาส์รูปแบบไหน ฟังก์ชั่นแบบใด ก็เลือกในแบบที่ชอบกันได้เลย

from:https://notebookspec.com/web/645816-10-wireless-mouse-500-2022