คลังเก็บป้ายกำกับ: WIRELESS

7 ที่ชาร์จไร้สายน่าใช้ ชาร์จไวสะใจไม่ต้องรอนานแถมสะดวกด้วย!! เริ่มแค่ 499 บาท อัพเดท 2023

ที่ชาร์จไร้สายเป็นแกดเจ็ตน่าใช้อีกชิ้นสำหรับคนใช้สมาร์ทโฟนรุ่นเรือธง ณ ตอนนี้

7 Wireless Charging 1

ที่ชาร์จไร้สายเป็นแกดเจ็ดที่ออกแบบมาใช้งานกับสมาร์ทโฟนหรืออุปกรณ์เสริมอย่างหูฟังไร้สาย True Wireless (TWS) และสมาร์ทว็อชซึ่งออกแบบมาใช้งานคู่กันแล้วมีระบบชาร์จไร้สาย ณ ตอนนี้ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนชั้นนำหลายเจ้าก็ติดตั้งฟีเจอร์นี้มาเป็นพื้นฐานสำหรับสมาร์ทโฟนรุ่นเรือธงแล้วแถมยังพัฒนาให้ชาร์จได้เร็วขึ้นอีกด้วย บางแบรนด์ก็ออกแบบให้ชาร์จไร้สายกระแส 50 วัตต์ได้เลยทีเดียว เรียกว่าชาร์จได้เร็วทันใจไม่แพ้สายชาร์จกับอแดปเตอร์ชาร์จไวที่ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนชั้นนำหลายๆ เจ้าโฆษณากันอย่างสนุกสนานเลย

Advertisementavw

สำหรับเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการชาร์จไร้สายนั้น คือ มาตรฐาน Qi (ชี่) ซึ่งผู้เขียนได้กล่าวถึงไปก่อนหน้านี้แล้วผู้ที่สนใจสามารถอ่านในบทความนี้เพิ่มเติมได้ ซึ่งส่วนตัวผู้เขียนเองก็ชื่นชอบฟีเจอร์นี้เป็นอย่างมากนั่นเพราะสะดวกและปลอดภัยมาก เพียงเราเอาอุปกรณ์ที่ต้องการไปวางทิ้งเอาไว้แล้วระบบชาร์จก็จะทำงานให้เองโดยอัตโนมัติและถ้าชาร์จเต็ม ตัวระบบก็มีตัวตัดไฟป้องกันชาร์จเกินแล้วเครื่องร้อนจนเกิดความเสียหายได้อีกด้วย ดังนั้นถ้าสมาร์ทโฟนของใครรองรับการชาร์จไร้สายก็แนะนำให้ลองใช้เทคโนโลยีนี้ดู เชื่อว่าจะถูกใจฟีเจอร์นี้อย่างแน่นอน

ที่ชาร์จไร้สาย

สรุปสเปค 7 ที่ชาร์จไร้สายน่าใช้ มีแล้วชีวิตสะดวกขึ้นอย่างแน่นอน!

สเปคที่ชาร์จไร้สาย จำนวนอุปกรณ์ กำลังชาร์จและพอร์ต ราคา (บาท)
Hoco CW33 3-in-1 Wireless Charger 3 ชิ้น

สมาร์ทโฟน, TWS, สมาร์ทว็อช

15 วัตต์ (สมาร์ทโฟน)

3 วัตต์ (TWS)

USB-C

499
Baseus MagCharge Magnetic Simple Mini 2 1 ชิ้น

ระบบ MagSafe เป็นแม่เหล็ก

15 วัตต์ มีหน้าจอแสดงผล

USB-C

729
Xiaomi Vertical Air-cooled Wireless Charger 55W 1 ชิ้น

เป็นแท่นชาร์จกำลังสูง

55 วัตต์

USB-C

1,099
AUKEY LC-A1S 1 ชิ้น

เป็นแม่เหล็กดูดติดสมาร์ทโฟน

15 วัตต์

USB-C

990
AUKEY LC-A3 3 ชิ้น

สมาร์ทโฟน, TWS, สมาร์ทว็อช

20 วัตต์ (รวม)

10 วัตต์ (สมาร์ทโฟน)

5 วัตต์ (TWS, สมาร์ทว็อช)

USB-C

1,590
AUKEY LC-Q10 3 ชิ้น

สมาร์ทโฟน, TWS, สมาร์ทว็อช

25 วัตต์ (รวม)

10 วัตต์ (สมาร์ทโฟน)

5 วัตต์ (TWS, สมาร์ทว็อช)

USB-C

1,690
RIN นาฬิกาหัวเตียงพร้อมแท่นชาร์จไร้สาย 1 ชิ้น

สมาร์ทโฟนหรือ TWS

5 วัตต์

ต่อปลั๊กไฟบ้านตามปกติ

1,250

7 ที่ชาร์จไร้สายน่าใช้ ชาร์จไวและสะดวกจนลืมสายชาร์จเลย!

ที่ชาร์จไร้สาย ณ ปัจจุบันนี้จะมีให้เลือกหลากหลายแบบและดีไซน์ ตั้งแต่แท่นชาร์จแนวนอน, ตั้ง หรือจะเป็นแบบชาร์จพร้อมกันได้ 3-5 อุปกรณ์พร้อมกันก็ได้ หรือแม้แต่รวมเอาไว้กับเครื่องใช้อื่นๆ ด้วยซ้ำ ซึ่งที่ชาร์จไร้สายทั้ง 7 รุ่นที่เลือกมาแนะนำจะมีดังนี้

  1. Hoco CW33 3-in-1 Wireless Charger (499 บาท)
  2. Baseus MagCharge Magnetic Simple Mini 2 (729 บาท)
  3. Xiaomi Vertical Air-cooled Wireless Charger 55W (1,090 บาท)
  4. AUKEY LC-A1S (990 บาท)
  5. AUKEY LC-A3 (1,590 บาท)
  6. AUKEY LC-Q10 (1,590 บาท)
  7. RIN นาฬิกาหัวเตียงพร้อมแท่นชาร์จไร้สาย (1,250 บาท)
1. Hoco CW33 3-in-1 Wireless Charger (499 บาท)

bc22faa462a3dc48ad6f754d04913a23

Hoco CW33 3-in-1 Wireless Charger เป็นแท่นชาร์จไร้สายดีไซน์ให้ชาร์จแกดเจ็ตพร้อมกับสมาร์ทโฟนได้ 3 ชิ้นพร้อมกัน โดยกำลังชาร์จสูงสุดสำหรับสมาร์ทโฟนอยู่ที่ 15 วัตตํ และชาร์จให้กับหูฟัง TWS ที่รองรับการชาร์จไร้สายด้วยโดยมีกำลังชาร์จ 3W มีแท่นสำหรับใส่ตัวชาร์จสมาร์ทว็อชอีกด้วย พอร์ตที่ตัวแท่นชาร์จเป็น USB-C ส่วนวัสดุของแท่นชาร์จตัวนี้เป็นพลาสติก PC ผสมกับ ABS แข็งแรงและน้ำหนักเบาระดับหนึ่งและยังมีไฟ LED แสดงสถานะการชาร์จอีก 2 ดวงด้วย ซึ่งตัวชาร์จนี้เหมาะกับผู้ใช้ iPhone, Apple Watch และ AirPods อย่างแน่นอน

สเปคของ Hoco CW33 3-in-1 Wireless Charger
จำนวนอุปกรณ์ 3 ชิ้น รองรับสมาร์ทโฟน, TWS และสมาร์ทว็อช
กำลังชาร์จและพอร์ต 15 วัตต์ (สมาร์ทโฟน) / 3 วัตต์ (TWS)

มีแท่นติดตั้งที่ชาร์จสมาร์ทว็อช มีพอร์ต USB-C

ราคา 499 บาท (gadget_d.dee Shopee)
2. Baseus MagCharge Magnetic Simple Mini 2 (729 บาท)

sg 11134201 23020

ส่วนผู้ใช้คนไหนใช้ iPhone หรืออุปกรณ์ที่ใช้ชาร์จระบบ MagSafe ได้ แต่ราคาของทาง Apple แพงเกินไปล่ะก็หันมาซื้อ Baseus MagCharge Magnetic Simple Mini 2 ตัวนี้แทนได้เลย ใช้งานได้เหมือนกัน มีกำลังชาร์จสูงสุด 15 วัตต์ ใช้ชาร์จได้ทีละชิ้นเท่านั้น ใช้ชาร์จ iPhone และ AirPods ได้และยังมีหน้าจอแสดงกำลังไฟตอนชาร์จติดตั้งมาให้กับตัวสายอีกด้วย ส่วนหัวสายอีกด้านเป็น USB-C ใช้ต่อกับอแดปเตอร์ได้หลากหลายแบบ หากใครหาที่ชาร์จไร้สายระบบ MagSafe แบบไม่แพงมาก แนะนำให้ซื้อตัวนี้ไปใช้งาน

สเปคของ Baseus MagCharge Magnetic Simple Mini 2
จำนวนอุปกรณ์ 1 ชิ้น เป็นระบบ MagSafe ดูดติดสมาร์ทโฟนด้วยแม่เหล็ก
กำลังชาร์จและพอร์ต 15 วัตต์ มีหน้าจอแสดงกำลังไฟ สายเป็น USB-C
ราคา 729 บาท (Moov Thailand Shopee)
3. Xiaomi Vertical Air-cooled Wireless Charger 55W (1,090 บาท)

d5f2c0722dbff03dd1745e8b8d6e2708

ปัจจุบันนี้สมาร์ทโฟนหลายๆ รุ่นจะรองรับการชาร์จไร้สายอย่างรวดเร็วแล้ว ตั้งแต่ 15~50 วัตต์ทีเดียว โดยขึ้นอยู่กับผู้ผลิตว่าให้กำลังชาร์จมาเท่าไหร่ แต่ถ้าใครมองหาที่ชาร์จไร้สายกำลังสูงอยู่ล่ะก็  Xiaomi Vertical Air-cooled Wireless Charger 55W ตัวนี้น่าจะตอบโจทย์อย่างแน่นอนด้วยกำลังชาร์จ 55 วัตต์ มีพัดลมระบายความร้อนในตัวและชาร์จทั้งที่ยังใส่เคสได้อีกด้วยแต่มีเงื่อนไขว่าเคสนั้นๆ จะต้องหนาไม่เกิน 3 มม. โดยทางผู้ผลิตแนะนำให้ใช้กับอแดปเตอร์กำลังชาร์จ 65 วัตต์เพื่อให้ทำงานได้เร็วเต็มประสิทธิภาพ ส่วนพอร์ตที่ตัวแท่นชาร์จเป็น USB-C ซึ่งถ้าใครใช้สมาร์ทโฟนรุ่นเรือธงแล้วอยากชาร์จไร้สายให้เร็วทันใจ แท่นชาร์จตัวนี้ตอบโจทย์แน่นอน

สเปคของ Xiaomi Vertical Air-cooled Wireless Charger 55W
จำนวนอุปกรณ์ 1 ชิ้น เป็นแท่นชาร์จไร้สายกำลังสูง
กำลังชาร์จและพอร์ต 55 วัตต์ สายเป็น USB-C แนะนำให้ใช้กับอแดปเตอร์กำลังสูง
ราคา 1,099 บาท (Coca Mall Shopee)
4. AUKEY LC-A1S (990 บาท)

sg 11134201 23010

ด้านแบรนด์ชั้นนำระดับโลกเรื่องอุปกรณ์ชาร์จต้อง AUKEY จากเยอรมันเลย โดย AUKEY LC-A1S ตัวนี้เป็นที่ชาร์จไร้สายกำลังชาร์จ 15 วัตต์ ติดกับ iPhone ที่มี MagSafe ได้ด้วยแม่เหล็กในตัวชาร์จ ตัวสายเป็นหัว USB-C ความยาว 1.2 เมตร ซึ่งอุปกรณ์ชิ้นนี้ก็ไม่ได้จำกัดว่าต้องใช้กับ iPhone ที่มี MagSafe เท่านั้น หากใครมี iPhone ที่รองรับการชาร์จไร้สาย, หูฟัง TWS ที่ชาร์จไร้สายได้หรือแม้แต่สมาร์ทโฟน Android ก็ใช้กับ AUKEY LC-A1S ตัวนี้ได้เลยเช่นกัน และทาง AUKEY ก็ได้เสริมฟังก์ชั่นคุมอุณหภูมิและตรวจสอบกำลังชาร์จมาให้ในตัว ใช้งานได้ปลอดภัยอย่างแน่นอน

สเปคของ AUKEY LC-A1S
จำนวนอุปกรณ์ 1 ชิ้น เป็นระบบแม่เหล็กดูดติดสมาร์ทโฟน
กำลังชาร์จและพอร์ต 15 วัตต์ สายเป็น USB-C แนะนำให้ใช้กับอแดปเตอร์ 20 วัตต์
ราคา 990 บาท (AUKEY Shopee Mall)
5. AUKEY LC-A3 (1,590 บาท)

sg 11134201 22110 wq2m343q70jv8c

AUKEY LC-A3 ตัวนี้เป็นแท่นชาร์จไร้สาย 3 อุปกรณ์ของ AUKEY ซึ่งตัวแท่นชาร์จจะมีไฟ LED ติดตั้งมาเพื่อแสดงสถานการชาร์จ กำลังชาร์จรวม 20 วัตต์ ส่วนกำลังชาร์จของสมาร์ทโฟนอยู่ที่ 10 วัตต์ และอุปกรณ์เสริมอย่างหูฟัง TWS จะมีกำลังชาร์จ 5 วัตต์ มีแท่นชาร์จ Apple Watch กำลังชาร์จ 5 วัตต์ ด้วย ด้านพอร์ตต่อแท่นชาร์จไร้สาย AUKEY จะเป็นหัว USB-C ซึ่งแท่นชาร์จไร้สายตัวนี้ออกแบบมาให้ผู้ใช้ iPhone และสินค้า Apple โดยเฉพาะ หากใครใช้อุปกรณ์ iOS อยู่ล่ะก็แนะนำให้ซื้อแท่นชาร์จนี้ไปใช้งานได้เลย

สเปคของ AUKEY LC-A3
จำนวนอุปกรณ์ 3 ชิ้น รองรับสมาร์ทโฟน, TWS และสมาร์ทว็อช
กำลังชาร์จและพอร์ต กำลังชาร์จรวม 20 วัตต์
แยกเป็น 10 วัตต์ (สมาร์ทโฟน) / 5 วัตต์ (TWS) /
5 วัตต์ (Apple Watch)

มีแท่นติดตั้งที่ชาร์จสมาร์ทว็อช มีพอร์ต USB-C

ราคา 1,590 บาท (AUKEY Shopee Mall)
6. AUKEY LC-Q10 (1,590 บาท)

f282c03f08eabe0fc664c6a338bd42c5

ส่วนที่ชาร์จไร้สายรหัส AUKEY LC-Q10 ตัวนี้ก็ใช้ชาร์จอุปกรณ์และสมาร์ทโฟนได้พร้อมกันสูงสุด 3 ชิ้นทีเดียว โดยตัวแท่นชาร์จนี้จะรองรับกำลังไฟสูงสุด 25 วัตต์ โดยใช้ชาร์จสมาร์ทโฟนที่ใส่เคสหนาไม่เกิน 3 มม. ได้ทันที, หูฟัง TWS ได้ ส่วน Apple Watch จะต้องใช้สายของทาง Apple ควบคู่ด้วย โดยแท่นชาร์จนี้จะมีอแดปเตอร์กำลังชาร์จ 36 วัตต์แถมมาให้ในแพ็คเกจ ตัวแท่นชาร์จมีไฟ LED แสดงสถานะการชาร์จด้วย เหมาะกับผู้ที่ใช้สมาร์ทโฟนและแกดเจ็ตของ Apple และผู้ใช้สมาร์ทโฟน Android อย่างแน่นอน

สเปคของ AUKEY LC-Q10
จำนวนอุปกรณ์ 3 ชิ้น รองรับสมาร์ทโฟน, TWS และสมาร์ทว็อช
กำลังชาร์จและพอร์ต กำลังชาร์จรวม 25 วัตต์
แยกเป็น 10 วัตต์ (สมาร์ทโฟน) / 5 วัตต์ (TWS) /
5 วัตต์ (Apple Watch)

มีช่องติดตั้งหัวชาร์จ Apple Watch
มีอแดปเตอร์ชาร์จ 36 วัตต์ แถมมาให้ในกล่อง

ราคา 1,690 บาท (AUKEY Shopee Mall)
7. RIN นาฬิกาหัวเตียงพร้อมแท่นชาร์จไร้สาย (1,250 บาท)

1cecca4ad2764173dec29d1a33820056

หากเป็นแท่นชาร์จอย่างเดียวแล้วดูฟังก์ชั่นน้อยใช้งานได้ไม่เยอะ ก็มี RIN นาฬิกาหัวเตียงพร้อมแท่นชาร์จไร้สาย ให้เลือกซื้อ โดยตัวแท่นชาร์จจะถูกติดตั้งเอาไว้ตรงฝาด้านบนเหนือนาฬิกา มีกำลังชาร์จ 5 วัตต์เท่านั้น แต่ถ้าใครชอบใช้มือถือจนพอใจแล้วปล่อยชาร์จไว้ทั้งคืนน่าจะถูกใจนาฬิกาเรือนนี้อย่างแน่นอน ส่วนตัวนาฬิกามีหน้าจอปรับความสว่างได้ 3 ระดับ มีไฟ Nightlight ใต้ตัวนาฬิกาให้มองเห็นเวลากลางคืนอีกด้วย แม้กำลังชาร์จจะไม่สูงมาก แต่ฟังก์ชั่นใช้งานถือว่าดีน่าใช้ไม่แพ้ที่ชาร์จไร้สายชิ้นอื่นอย่างแน่นอน

สเปคของ RIN นาฬิกาหัวเตียงพร้อมแท่นชาร์จไร้สาย
จำนวนอุปกรณ์ 1 ชิ้น ใช้ชาร์จสมาร์ทโฟนหรือ TWS ได้
กำลังชาร์จและพอร์ต 5 วัตต์

เป็นนาฬิกาดิจิตอลใช้ปลั๊กไฟบ้านและมีไฟ Nightlight ในตัว

ราคา 1,250 บาท (ideacube Shopee Mall)

mikey wu r0Do56ntkBs unsplash 1

จะเห็นว่าแท่นชาร์จไร้สาย ณ ตอนนี้จะมีทั้งแบบกำลังชาร์จสูง ชาร์จแบตเตอรี่ให้สมาร์ทโฟนกลับมาเต็มได้อย่างรวดเร็วหรือจะชาร์จอุปกรณ์อื่นอย่างหูฟังไร้สายและสมาร์ทว็อชก็ได้ และถ้าใครคิดว่ารูปทรงเป็นแท่นชาร์จอย่างเดียวดูน่าเบื่อ ปัจจุบันนี้ทางผู้ผลิตก็ออกแบบดีไซน์ให้รวมไว้กับอุปกรณ์อื่นๆ อย่างเช่นนาฬิกาตั้งโต๊ะเป็นต้น หากใครชื่นชอบหรือมองหาแท่นชาร์จไร้สายแบบไหนอยู่ก็เลือกให้เข้ากับสไตล์การใช้งานของตัวเองแล้วค่อยตัดสินใจซื้อ จะได้คุ้มค่าที่สุด


บทความที่เกี่ยวข้อง

8 เคสคอมสีขาว 1

NBS 230130 FB Link Review Zenbook 14 OLED 1

7 หูฟังเกมมิ่ง 2023 1

from:https://notebookspec.com/web/685722-7-wireless-charger-2023

Advertisement

บทความน่ารู้ – ระบบ Mesh กับตัวขยายสัญญาณไวไฟ: อันไหนเหมาะกับเรากว่ากัน?

ปัญหาพื้นที่อับสัญญาณเน็ตยังคงหลอกหลอนเราอยู่เสมอ ไม่จำเป็นต้องเป็นเขตกันดารห่างไกลความเจริญอย่างเดียว แม้แต่ในบ้านอย่างบางมุมของห้องนอนเรา ในโฮมออฟฟิศบางตำแหน่ง หรือแม้แต่บางจุดในสำนักงานก็มีปัญหาทั้งนั้น

ธุรกิจที่ต้องการแก้ปัญหาดังกล่าว หรือเพิ่มความครอบคลุมสัญญาณ ก็มักมองอยู่สองวิธีได้แก่การใช้เครือข่ายกระจายสัญญาณแบบ Mesh หรือใช้ตัว Wi-Fi Extender ซึ่งทั้งสองแบบนี้มีวัตถุประสงค์การใช้งานแตกต่างกันเล็กน้อย

ตัวขยายสัญญาณ Wi-Fi คือ?

Wi-Fi Extender หรือบางทีเรียกว่า Wi-Fi Repeater เป็นการเอาสัญญาณไวไฟเดิมที่มีอยู่มาขยายให้ครอบคลุมกว้างมากขึ้น ส่วนใหญ่เป็นแบบใช้ง่าย Plug-and-Play เสียบปุ๊บใช้ได้เลย แม้บางรุ่นอาจต้องอาศัยต่อสายแลนร่วมด้วย

อย่าลืมว่านี่เป็นแค่การขยายความครอบคลุมสัญญาณ ไม่ได้เพิ่มแบนด์วิธหรือความเร็วตามมาด้วย ถือเป็นโซลูชั่นราคาถูกไว้แก้ปัญหาจุดอับสัญญาณในบ้านหรืออฟฟิศ จึงเหมาะกับอาคารขนาดเล็กๆ มากกว่าสำนักงานขนาดใหญ่

แล้ว Mesh Network คืออะไร?

ระบบ Mesh Wi-Fi ประกอบด้วยเราท์เตอร์คอร์หลัก และเราท์เตอร์ย่อยๆ ที่เรียกว่า Node รูปลักษณ์เล็กกะทัดรัดเหมือนอุปกรณ์อัจฉริยะในบ้านทั่วไป แต่การเชื่อมต่อกันเป็นร่างแหหรือ Mesh ของโหนดเหล่านี้ สื่อสารระหว่างกันแบบนี้จะช่วยให้ได้ทั้งความเร็วและความครอบคลุมที่เพิ่มขึ้นพร้อมๆ กัน

นี่จึงเป็นจุดต่างจากตัว Wi-Fi Extender ทั่วไป เนื่องจากตัวขยายสัญญาณไวไฟจะสื่อสารกับเราท์เตอร์หลักตัวเดียวเท่านั้น ไม่ได้มีการแชร์ทราฟิกสื่อสารระหว่างตัวขยายสัญญาณด้วยกันด้วย

หลักการทำงานเป็นอย่างไรบ้าง

สำหรับตัวขยายสัญญาณไวไฟนั้น จะเป็นการเอาสัญญาณจากเราท์เตอร์ต้นกำเนิด ขยายส่งต่อไปยังตำแหน่งที่เดิมส่งไปไม่ถึง ซึ่งหลายครั้งจะเป็นการสร้างเครือข่ายไวไฟใหม่เป็นชื่อของตัวเองแทนที่จะเป็นการผสานเข้าเครือข่ายแกนหลักเดิมเหมือนกรณี Mesh

โดยเวลาที่คุณเชื่อมต่อกับตัว Repeater หรือ Extender นั้น คุณไม่ได้เชื่อมต่อกับเราท์เตอร์หลักโดยตรง จุดนี้เองที่มักสร้างปัญหาหรือติดขัดบ้างเวลาเอาอุปกรณ์มาเชื่อมต่อไวไฟผ่านตัวขยายสัญญาณที่บางทีก็ทำงานไม่เหมือนกับต่อเราท์เตอร์ตรง

ในทางกลับกัน ระบบ Mesh จะใช้อัลกอริทึมสื่อสารที่ไม่ใช่แค่กับเราท์เตอร์หลักในฐานะฮับเท่านั้น แต่ยังสื่อสารระหว่างเราท์เตอร์โหนดด้วยกันด้วย จึงสามารถแบ่งโหลดได้อย่างยืดหยุ่นเวลาที่คุณต้องการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับเครือข่าย

เรามักจะเห็นการวางเครือข่าย Mesh ในพื้นที่สาธารณะขนาดใหญ่อย่างเช่นมหาวิทยาลัย อาคารสำนักงาน หรือสนามกีฬา เพื่อให้การเชื่อมต่อที่ต่อเนื่องไม่สะดุดภายในพื้นที่กว้างขนาดใหญ่ที่มีจำนวนผู้ใช้หนาแน่น เรียกว่าเสมือนเป็นวงออเครสตร้าที่บรรเลงได้ทั้งวง แทนที่จะแค่ขยายสัญญาณต่อๆ กันมา

แล้ว Mesh ก็ดีกว่า Extender ล่ะสิ?

ในแง่ของค่าใช้จ่ายแล้ว ตัวขยายสัญญาณถูกกว่าแน่นอน มีชิ้นส่วนอุปกรณ์รวมๆ น้อยกว่า ไม่ต้องใช้ความรู้ทางเทคนิคมากเท่า ลงตัวกับผู้ใช้ระดับคอนซูเมอร์ทั่วไปที่มักใส่ใจด้านราคามากกว่า แถมยังเชื่อมต่อง่าย เสียบปุ๊บหรือกดปุ่มเดียวก็ใช้ได้ทันที

แต่ก็ไม่สามารถรองรับในพื้นที่ขนาดใหญ่ได้ ตัวขยายสัญญาณเหมาะกับพื้นที่เล็กๆ ที่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่ไม่ค่อยย้ายหรือเคลื่อนที่เท่าไร เพราะการที่ใช้กลไกการสร้างเครือข่ายใหม่ของตัวเองนั้นมักทำให้การย้ายตำแหน่งเชื่อมต่อไปเรื่อยๆ มีปัญหา

แต่ปัญหานี้จะหมดไปเมื่อใช้เครือข่าย Mesh ที่ราคาและความซับซ้อนสูงกว่ามาก โหนดต่างๆ ก็เหมือนกลุ่มเครื่องเราท์เตอร์ที่คุณต้องคอยตั้งค่าแต่ละตัวอย่างเหมาะสม แต่ก็แลกมาด้วยความปลอดภัยและความเสถียรที่เหนือชั้น

อ่านเพิ่มเติมที่นี่ – ITPro

from:https://www.enterpriseitpro.net/mesh-network-vs-wi-fi-extender/

รีวิว Razer Naga V2 Pro เปลี่ยนกรอบได้เล่นเกมก็เทพ งานก็รุ่ง! ปุ่มมาโครเพียบ เร็วสะใจ 30,000 DPI ราคา 7,490 บาท

Razer Naga V2 Pro พญานาคปุ่มมาโครรุ่นใหม่ ดุดันไม่เกรงใจใคร! เล่นเกมก็เทพทำงานก็รุ่ง!!

Razer Naga V2 Pro 1

Razer Naga V2 Pro เกมมิ่งเมาส์รุ่นใหม่ในตระกูล Naga ซึ่งตั้งต้นจากการเป็นเมาส์เพื่อเกม MOBA โดยเฉพาะ แต่เมื่อเทคโนโลยีและดีไซน์ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ดีไซน์ของเมาส์ตระกูล Naga ก็ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ จากเมาส์พร้อมปุ่มมาโคร 12 ปุ่มข้างตัวแบบเดียว ก็สามารถแกะถอดฝาเปลี่ยนจำนวนปุ่มให้ลดลงเป็น 6 หรือ 2 ปุ่มให้เหมาะกับสไตล์เกมที่เล่นได้ง่ายๆ ตั้งค่าไฟ RGB หรือการทำงานของปุ่มแต่ละปุ่มบนตัวเมาส์ได้ในโปรแกรม Razer Synapse 3 และ Razer Chroma ได้ด้วย

Advertisementavw

ด้านจุดเด่นน่าสนใจของเมาส์นี้ นอจากการเปลี่ยนกรอบฝาข้างแล้วทาง Razer ได้เสริมฟีเจอร์ดีๆ เข้ามาใน Razer Naga V2 Pro อีกเพียบ ทั้งปุ่มเปลี่ยนไฟ RGB ออนบอร์ดบนตัวเมาส์, ปุ่มปรับโหมดสกรอล์เมาส์ Razer HyperScroll Pro ให้สัมผัสตอนใช้งานต่างจากลูกล้อทั่วไปถึง 6 แบบ ได้แก่ Standard ใช้ตามแบบสกรอล์เมาส์ทั่วไป, Distinct ลูกล้อมีความแข็งฝืนนิ้วมาก, Ultra-fine สกรอล์มีความลื่นต่อเนื่องตามการเลื่อนนิ้ว, Adaptive สกรอล์เมาส์มีความแข็งฝืนนิ้วเล็กน้อยคล้ายการหมุนลูกบิด, Smooth Scroll หรือ Custom ปรับการตอบสนองได้ตามใจของผู้ใช้ว่าต้องการความแข็งและความต่อเนื่องเท่าไหร่ ก็ปรับเซ็ตได้ตามถนัดเลย

ส่วนอื่นๆ ที่ได้รับการอัพเกรด คือ Razer Naga V2 Pro ได้เปลี่ยนหัวพอร์ตของสาย Razer Speedflex จาก MicroUSB มาเป็น USB-C แทนแล้ว ทำให้หาสายชาร์จแบตให้เมาส์ได้ง่ายขึ้นและเชื่อมต่อไร้สายได้ด้วย Bluetooth หรือ Razer HyperSpeed Wireless USB Dongle ก็ได้ เปลี่ยนเซนเซอร์เป็นรุ่นใหม่ประสิทธิภาพสูงอย่าง Razer Focus Pro 30K ซึ่งตอบสนองได้เร็วและต่อเนื่องและละเอียดยิ่งขึ้น คมยิ่งกว่าเซนเซอร์ Razer Focus+ รุ่นก่อนอย่างชัดเจนแถมยังซื้ออุปกรณ์เสริมอย่าง Razer Mouse Dock Pro หรือแท่นวางเมาส์มาใช้ชาร์จแบตเมื่อใช้งานเสร็จแล้วได้ด้วยแถมยังมีลูกเล่นอย่าง Razer Wireless Charging Puck หรือเหรียญแปลงระบบเมาส์ให้ใช้กับแท่นชาร์จไร้สายหลายๆ รุ่นในปัจจุบันได้ โดยใส่แทนฝาปิดขั้วใต้เมาส์แล้วใช้งานได้ทันที จัดว่า Naga V2 Pro ตัวนี้มีลูกเล่นน่าสนใจให้เกมเมอร์ใช้งานเพียบ!

Razer Naga V2 Pro

NBS Verdicts

Razer Naga V2 Pro DSC01194

Razer Naga V2 Pro เป็นเมาส์เกมมิ่งที่แม้จะเริ่มจากเมาส์สาย MOBA แต่มันก็ถูกพัฒนาดีไซน์ให้เปลี่ยนเพลตข้างให้มีจำนวนปุ่มน้อยลงให้เข้ากับเกมสไตล์ต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะ RPG, FPS หรือจะเซ็ตคีย์ลัดเอาไว้ใช้ทำงานก็สะดวกทีเดียว ดังนั้นเจ้าของเมาส์ Razer ตัวนี้เมื่อตั้งค่ามันใน Razer Synapse 3 เสร็จก็เซฟโปรไฟล์เก็บเอาไว้ออนบอร์ดได้และกดเปลี่ยนด้วยปุ่มสลับโปรไฟล์ใต้เมาส์ได้อีกด้วย ดังนั้นถ้าใครจะใช้เมาส์ตัวเดียวเหมาทุกหน้าที่ Naga V2 Pro ก็รับหน้าที่นั้นได้สบายๆ เวลาไปทำงานก็สลับเข้าโหมด Bluetooth ต่อโน๊ตบุ๊คทำงานแล้วกลับมาบ้านก็สับสวิตช์เปลี่ยนโหมดต่อ HyperSpeed USB Dongle เปลี่ยนโปรไฟล์แล้วเล่นเกมต่อได้ทันที จ่ายทีเดียวใช้ได้ทุกหน้าที่อย่างนี้ก็ถือว่าคุ้ม

การตอบสนองของเมาส์ไม่ว่าจะใช้ Razer HyperSpeed Wireless USB หรือ Bluetooth ก็ยังตอบสนองได้รวดเร็วทันใจไม่ต่างกับการต่อด้วยสาย Razer Speedflex USB-C แม้แต่นิดเดียว ต้องถือว่าเทคโนโลยีการรับส่งข้อมูลแบบไร้สายนั้นมาถึงจุดที่ดีมากจนแทบไม่ต่างกับการใช้สาย USB แถมระยะเวลาใช้งานยังอยู่นานถึง 150~300 ชั่วโมง หากแบตเตอรี่ใกล้จะหมดก็ต่อสาย Razer Speedflex USB-C แล้วเล่นเกมต่อหรือจะซื้อแท่นชาร์จมาตั้งเอาไว้ พอจะนอนก็วางทิ้งไว้บนแท่นแล้วหยิบออกมาใช้ตอนเช้าต่อได้เลย นอกจากนี้ทางบริษัทยังออกแบบให้ Razer HyperSpeed Wireless USB ตัวเดียวรับสัญญาณจากเมาส์และคีย์บอร์ดเกมมิ่งของ Razer ได้พร้อมกัน ไม่ต้องต่อแยกให้เปลืองช่อง USB และได้ความสะดวกไปเต็มๆ

ดีไซน์ Naga V2 Pro ยังคงเหมือนกับ Naga Pro รุ่นก่อนหน้าที่ยังเอื้อมือขวาเป็นหลักและมีสันโค้งเอาไว้พาดนิ้วนางให้มีที่วางได้ถนัดมือแล้วเกมเมอร์ก็สามารถหนีบนิ้วโป้งกับก้อยเข้าหาตัวเมาส์ให้จับได้กระชับมือและนิ้วไม่พาดลงมาถึงแผ่นรองเมาส์เลย ดังนั้นตอนลากเมาส์ไปมาจึงเร็วทันใจไม่สะดุดแม้แต่น้อย แต่อย่างไรก็ตาม ตัว Razer Naga V2 Pro มีขนาดค่อนข้างใหญ่ จึงเหมาะกับเกมเมอร์มือใหญ่สักนิดถึงจะจับได้ถนัด ผิดกับ Razer Naga รุ่นก่อนๆ ที่ยังออกแบบให้เหมาะกับเกมเมอร์มือเล็กจับได้ถนัดมือด้วย ส่วนของน้ำหนักเฉพาะตัวเมาส์ 134 กรัมนั้น หากเทียบกับเมาส์เกมมิ่งแบรนด์คู่แข่งต้องถือว่ามันเป็นเมาส์เกมมิ่งที่มีน้ำหนักพอควร ไม่เหมาะกับคนจับแบบ Fingertip Grip นัก

ข้อดีของ Razer Naga V2 Pro
  1. เปลี่ยน Side Plate ข้างเมาส์ได้ 3 แบบ ปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานได้หลากหลาย
  2. ตั้งมาโครให้ปุ่มข้างเมาส์ได้มากสุด 20 ปุ่ม เหมาะกับการเล่นเกมหรือใช้กดคีย์ลัดตอนทำงานก็ได้
  3. ดีไซน์เมาส์จับถนัดมือมาก มีที่รองนิ้วนางไม่ให้ตกไปจนแตะพื้นโต๊ะจึงใช้งานได้สะดวก
  4. ตั้งโปรไฟล์ออนบอร์ดได้ 5 แบบ แยกได้ตามเกมหรือเอาไว้ทำงานก็ได้
  5. สกรอล์เมาส์สามารถปรับสไตล์การหมุนเลื่อนหน้าจอได้ 6 แบบตามต้องการ
  6. เซนเซอร์ปรับค่า DPI ได้สูงมากถึง 30,000 DPI และปรับค่า DPI ได้ละเอียดมาก
  7. แบตเตอรี่ใช้งานได้นานถึง 150~300 ชั่วโมง จัดเป็นอันดับต้นๆ ของกลุ่มเกมมิ่งเมาส์ไร้สาย
  8. มีหัวแปลง USB-C to A แถมมาให้หัวรับสัญญาณ USB ใกล้เมาส์ให้รับส่งสัญญาณได้ดีขึ้น
  9. ใช้แท่นชาร์จ Razer Mouse Dock Pro หรือ Wireless Charging Puck เพื่อชาร์จแบตได้
  10. Razer HyperSpeed Wirelesss USB ใช้รับสัญญาณจากเมาส์และคีย์บอร์ด Razer พร้อมกันได้
  11. มีโปรแกรม Razer Cortex พ่วงมาช่วยจัดการทรัพยากรเครื่องตอนเล่นเกม ช่วยเพิ่มเฟรมเรทได้
ข้อสังเกตของ Razer Naga V2 Pro
  1. ดีไซน์เน้นเกมเมอร์ถนัดมือขวาเท่านั้น ไม่ใช่ทรง Ambidextrous ที่จับถนัดได้ทั้งสองมือ
  2. เมาส์มีขนาดใหญ่และมีน้ำหนัก 136 กรัม เทียบกับแบรนด์คู่แข่งแล้วจัดว่าหนัก
  3. ราคาเมาส์ 7,490 บาท เมื่อเทียบกับแบรนด์คู่แข่งแล้วราคาสูงแต่ก็ได้ฟีเจอร์เยอะ

รีวิว Razer Naga V2 Pro

Specification

Razer Naga V2 Pro DSC01138

Razer Naga V2 Pro เป็นเมาส์เกมมิ่งรุ่นปรับแต่งดีไซน์บางส่วนจาก Razer Naga Pro ซึ่งวางขายไปก่อนหน้านี้ หากนำสเปคมาเทียบกันจะเห็นว่าบอดี้ภายนอกค่อนข้างเหมือนกันแต่รายละเอียดที่ต่างไป คือฟีเจอร์ภายในตัวเมาส์ซึ่ง Naga V2 Pro มีความโดดเด่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัดตามสเปคในตารางข้างล่างนี้

เทียบสเปค Razer Naga Naga Pro Naga V2 Pro
Dimension
(ยาว x กว้าง x สูง)
4.69″ x 2.93″ x 1.69″ 4.7″ x 2.97″ x 1.72″
Weight 134 กรัม
(เฉพาะเมาส์)
Connectivity Razer HyperSpeed
Wireless USB

Bluetooth

สาย Razer Speedflex USB

Razer HyperSpeed Wireless USB

Bluetooth

สาย Razer Speedflex USB-C

Battery Life 150 ชั่วโมง 150 ชั่วโมง (HyperSpeed)

300 ชั่วโมง (Bluetooth)

Button 10 /14 / 20 ปุ่ม เปลี่ยนฝาข้างได้ 3 แบบ

เซฟโปรไฟล์ออนบอร์ดได้ 5 แบบ

DPI สูงสุด Razer Focus+ 20,000 DPI Razer Focus Pro 30K
30,000 DPI
Speed 650 750
Acceleration 50 70
Software Razer Chroma RGB

Razer Synapse 3

Razer Chroma RGB

Razer Synapse 3

Price 3,390 บาท
(c2p_gaming gear Shopee)

*หาได้ตามร้านตัวแทนจำหน่ายเท่านั้น ปัจจุบัน Razer Official Store ยกเลิกการจำหน่ายแล้ว*

7,490 บาท
(Razer Shopee Mall)

Unboxing

Razer Naga V2 Pro DSC01140

Razer Naga V2 Pro DSC01141
Razer Naga V2 Pro DSC01142
Razer Naga V2 Pro DSC01138

กล่องเมาส์ Razer Naga V2 Pro จะมีคุณสมบัติของตัวเมาส์เขียนติดเอาไว้ด้านข้างและหลังของกล่องว่าจุดเด่นของเมาส์ตัวนี้จะมีเซนเซอร์ใหม่, สกรอล์เมาส์ HyperScroll Pro และ Optical Mouse Switch ซึ่งตอบสนองได้รวดเร็วยิ่งขึ้นและมีวิธีการเปลี่ยนกรอบข้างเพิ่มลดปุ่มมาโครของตัวเมาส์สกรีนเอาไว้ให้ แต่เมื่อเทียบหน้ากล่องจะเห็นว่าตัวกล่องรุ่นเก่าและใหม่ไม่ได้ต่างกันมาก ยกเว้นโลโก้ Razer HyperSpeed มุมบนขวามือที่หายไปและเพิ่มคำว่า V2 และทำภาพสกรีนบนกล่องให้เป็นแบบพลาสติกเนื้อมันแทนการสกรีนภาพติดลงไปตามปกติ

Razer Naga V2 Pro DSC01176

Razer Naga V2 Pro DSC01143
Razer Naga V2 Pro DSC01144
Razer Naga V2 Pro DSC01146
Razer Naga V2 Pro DSC01147

นอกจาก Razer Naga V2 Pro ในกรอบพลาสติกกับเพลตข้างเมาส์อีก 2 ชิ้นแล้ว จะมีคู่มือ, สติ๊กเกอร์, หัวแปลง USB-C to A สำหรับลากสาย Razer Speedflex USB-C เข้าแล้วต่อกับหัว USB Dongle “Razer HyperSpeed” เพื่อให้หัวรับสัญญาณ USB อยู่ใกล้กับเมาส์ที่สุดพร้อมสลักชื่อแบรนด์เอาไว้ด้วย หรือถ้าแบตเตอรี่เมาส์ใกล้หมดก็สามารถถอดสายแล้วชาร์จเมาส์ไปเล่นไปได้ด้วย ซึ่งข้อดีของมันทำให้เวลาต่อคอมพิวเตอร์ด้วย HyperSpeed สามารถรับส่งข้อมูลได้เร็วเหมือนใช้เมาส์สายแบบปกติ

ด้านอุปกรณ์เสริมที่ได้กล่าวไปข้างต้น อย่างแท่นชาร์จเมาส์ Razer Mouse Dock Pro หรือเหรียญแปลงให้รองรับการชาร์จไร้สาย Razer Wireless Charging Puck เป็นสินค้าขายแยกต่างหาก จึงไม่มีแถมมาให้ในกล่อง ซึ่งถ้าต้องการซื้อมาใช้งานก็ยังสั่งผ่านทางหน้าเว็บไซต์ Razer แล้วให้ Ship สินค้าส่งเข้ามาในประเทศไทยก็ได้เช่นกัน

Design, Weight, Grip

Razer Naga V2 Pro DSC01155

Razer Naga V2 Pro DSC01153
Razer Naga V2 Pro DSC01154
Razer Naga V2 Pro DSC01152
Razer Naga V2 Pro DSC01165
Razer Naga V2 Pro DSC01170
Razer Naga V2 Pro DSC01161

ดีไซน์ของ Razer Naga V2 Pro จะเป็นเมาส์เกมมิ่งสำหรับเกมเมอร์ถนัดขวาเท่านั้น บอดี้เมาส์จะมีปุ่มบนตัวเมาส์ทั้งหมด 8 ปุ่ม พอนับรวมกับเพลตเปลี่ยนด้านข้างก็จะมีจำนวนปุ่มเพิ่มเป็น 10 / 14 / 20 ปุ่มตามที่นำมาเปลี่ยนใช้งาน โดยทาง Razer จะติดเพลตข้าง 12 ปุ่มมาจากโรงงาน และสามารถถอดเปลี่ยนได้ตามสะดวก ส่วนด้านขวาจะเป็นกริ๊บกันลื่นติดเอาไว้และเมื่อมองด้านหน้าเมาส์จะเป็นช่องสำหรับต่อสาย USB-C เพื่อชาร์จไฟหรือต่อคอมใช้งานได้

ปุ่มบนตัวเมาส์ นอกจากคลิ๊กซ้ายขวาแล้ว จุดที่เป็นปุ่มกดใช้งานได้จะมีสกอรล์เมาส์ที่สามารถกดคลิ๊กลงตรงๆ หรือดันซ้ายขวาก็ได้ และปุ่มที่ถัดเข้ามาจากสกรอล์เมาส์จะมี 2 ปุ่ม โดยปุ่มแรกที่มีเครื่องหมายลูกศรชี้วนคล้ายเครื่องหมาย Refresh เอาไว้เปลี่ยน Scroll Wheel Stages หรือสไตล์การหมุนตอบสนองของลูกล้อได้ 6 แบบ ปรับแต่งใน Razer Synapse ได้ ส่วนปุ่มถัดลงมาเป็นปุ่มเปลี่ยนค่า DPI ของเมาส์ ทำงานแบบ Toggle กดแล้วเปลี่ยนทันทีและเปลี่ยนได้ 5 ระดับและจะมีหน้าต่างบอกค่า DPI ขึ้นตรงมุมล่างขวาของหน้าจอด้วย

ด้านใต้เมาส์ จะเห็นว่ามี Glide สีขาวทำจาก Polytetrafluoroethylene (PTFE) หรือเทฟล่อน 100% ให้ผู้ใช้สามารถลากเมาส์ไปมาได้อย่างลื่นไหล โดยจะติดไว้เป็นคู่บนใต้ปุ่มคลิ๊กซ้ายขวา, ล้อมกรอบเซนเซอร์ Razer Focus Pro 30K เอาไว้และรองใต้ส่วนล่างสุดของเมาส์เป็นเส้นโค้งอีกหนึ่งเส้น ซึ่ง Glide เดิมจากโรงงานก็ถือว่าลื่นกำลังดี ลากเมาส์ไปมาได้ถนัดมือมากไม่สาก และสังเกตจะเห็นว่าด้านซ้ายของเซนเซอร์จะเป็นสวิตช์เลื่อนเปลี่ยนการเชื่อมต่อระหว่าง Razer HyperSpeed USB Dongle, Bluetooth ถ้าสับเข้าตรงกลางจะเป็น OFF เพื่อปิดเมาส์ ฝั่งขวาเป็นปุ่ม Profile สามารถกดเพื่อเปลี่ยนโปรไฟล์ออนบอร์ดไปมาได้ตามถนัด หากใครใช้เมาส์ตัวเดียวทั้งทำงานและเล่นเกมก็เซฟแยกโปรไฟล์แล้วกดสลับด้วยปุ่มนี้ได้

ส่วนที่ถอดเข้าออกได้ คือแผ่นจานด้านล่างสุดสำหรับปิดขั้วสำหรับใส่เหรียญแปลงเป็นชาร์จไร้สายหรือไว้ต่อแท่นชาร์จเมาส์ก็ได้ และฝั่งขวามือของเมาส์จะมีร่องตะเข็บให้เอาเล็บเกี่ยวดึงฝาเพลตข้างออกเพื่อเปลี่ยนเป็นอันที่ต้องการได้ และ Razer ก็เอา USB 2.4GHz “HyperSpeed” มาเก็บไว้ในนี้โดยวางเป็นแนวตั้งตามภาพที่สลักเอาไว้ด้านใน

Razer Naga V2 Pro DSC01157

Razer Naga V2 Pro DSC01160
Razer Naga V2 Pro DSC01159
Razer Naga V2 Pro DSC01158
Razer Naga V2 Pro DSC01162

เพลตข้างของ Razer Naga V2 Pro จะดูดติดเข้ากับเมาส์ด้วยแม่เหล็กแรงดูดสูง 2 เม็ดซึ่งติดไว้ขอบแผ่นทั้งสองด้าน ตรงกลางเป็นหน้าสัมผัสทองเหลืองไว้เชื่อมต่อระหว่างปุ่มมาโครกับเมาส์เข้าหากันโดยมีด้านข้างตั้งแต่ 2, 6, 12 ปุ่ม โดยเฉพาะแบบ 2 ปุ่มเมื่อติดเข้ากับเมาส์แล้วจะดึงคำสั่ง Back, Forward มาใช้งานโดยอัตโนมัติ ถ้าเป็น 6, 12 ปุ่ม ต้องตั้งค่าด้วย Razer Synapse 3

เมื่อเป็นหน้าสัมผัสทองเหลืองก็อาจจะเกิดคราบความสกปรกติดขึ้นมาได้ ดังนั้นถ้าไม่ได้ใช้งานถอดเปลี่ยนบ่อยๆ ก็ขอแนะนำให้เอาเพลตที่ไม่ได้ใช้เก็บเข้ากรอบพลาสติกใส่กล่องเพื่อป้องกันความชื้นและแนะนำให้หาสเปรย์ Contact Cleaner ติดโต๊ะเอาไว้พ่นทำความสะอาดหน้าสัมผัสทองเหลืองนี้ด้วย

Razer Naga V2 Pro DSC01166

Razer Naga V2 Pro DSC01164
Razer Naga V2 Pro DSC01163
Razer Naga V2 Pro DSC01167
Razer IMG20230118124807 Copy 1

ขนาดของ Razer Naga V2 Pro ถือว่ามีขนาดใหญ่และอ้วนทีเดียว น้ำหนักจากหน้าสเปค 134 กรัม เมื่อชั่งน้ำหนักด้วยตาชั่งดิจิตอลแล้วได้น้ำหนักเมาส์อยู่ห 129 กรัม ถ้าเทียบกับเมาส์เกมมิ่งของแบรนด์คู่แข่งต้องถือว่าค่อนข้างหนัก แต่ผู้เขียนมั่นใจว่าเมาส์นี้จะตอบโจทย์เกมเมอร์บางกลุ่มอย่างแน่นอน เพราะมันจับแล้วไม่โหวงได้ความมั่นคงมาก

อย่างไรก็ตาม ขนาดตัวทรวดทรงของ Naga V2 Pro จากที่ผู้เขียนลองจับเมาส์ดูแล้วจะเหมาะกับสไตล์การจับแบบ Palm หรือ Claw Grip ที่สุด แต่คนจับแบบ Fingertip Grip เอาปลายนิ้วจับลากไปมาอาจจะรู้สึกหนักอยู่ระดับหนึ่ง ซึ่งข้อดีของ Naga V2 Pro ที่ออกแบบมาเน้นมือขวาเป็นหลัก คือเราสามารถพาดมือลงเมาส์แล้วนิ้วนางมีสันฝั่งขวามือให้ทาบนิ้วไม่ให้ลงไปถูกพื้นโต๊ะแล้วผู้เขียนสามารถหนีบนิ้วโป้งและก้อยเข้าข้างตัวเมาส์ได้เลย จึงลากเมาส์ไปมาได้เร็วไม่เหมือนกับเมาส์เกมมิ่งหลายๆ รุ่นที่ดีไซน์มาให้ใช้ถนัดทั้งมือซ้ายและขวา (Ambidextrous) เลยทำสันข้างเมาส์เสริมเข้ามาไม่ได้ ดังนั้น Naga V2 Pro จึงเหมาะกับเกมเมอร์ส่วนใหญ่ที่ถนัดขวามาก

Razer Naga V2 Pro DSC01174

Razer Naga V2 Pro DSC01168
Razer Naga V2 Pro DSC01169
Razer Naga V2 Pro DSC01172
Razer Naga V2 Pro DSC01175
Razer Naga V2 Pro DSC01173
Razer Naga V2 Pro DSC01171
Razer Naga V2 Pro DSC01138
Razer Naga V2 Pro DSC01139

ด้านความแตกต่างของ Razer Naga Pro กับ Naga V2 Pro ไม่ว่าจะกล่องหรือตัวเมาส์นั้นจะมีจุดแตกต่างกันเล็กน้อย ซึ่งหน้ากล่องของสินค้านั้นแทบไม่ต่างกันอย่างที่คิด ซึ่งวิธีการใช้งานและเลย์เอ้าท์ของภาพต่างๆ เรียกว่ายังคล้ายเดิม แต่จะมีโลโก้บางส่วนที่ถูกขยับตำแหน่งและถอดออกบ้าง ด้านตัวเมาส์จะมีจุดแตกต่างดังนี้

  • ส่วนบน : Naga V2 Pro ใช้ขอบสกรอล์เมาส์สีดำแทนสีเงิน แต่ดีไซน์โดยรวมคล้ายกัน
  • ด้านใต้ : Naga Pro มี Glide แผ่นเล็ก 4 แผ่นติดตามมุมและมี Glide กรอบสี่เหลี่ยมตรงกลางเมาส์, ปุ่มสลับโหมดการเชื่อมต่อและเปลี่ยนโปรไฟล์ติดไว้ฝั่งซ้ายถัดจากร่องสำหรับวางบนแท่นชาร์จและเปิดกรอบโชว์จุดเชื่อมต่อชาร์จเมาส์ไว้
  • ฝั่งซ้ายและขวา : ฝั่งขวาเป็นกริพกันลื่นสำหรับจับเมาส์และด้านซ้ายภายนอกเป็นชุดปุ่มมาโครเหมือนกัน แต่ภายในจะเปลี่ยนดีไซน์ที่เก็บ Razer HyperSpeed USB Dongle จากแบบเสียบแนวนอนเป็นแนวตั้งแทน
  • ด้านหน้า : เปลี่ยนพอร์ตเป็น USB-C จากสาย MicroUSB 

หากเทียบต้องถือว่าดีไซน์ของทั้งรุ่นแรกและ V2 นั้นแตกต่างกันไม่มาก ยกเว้นด้านใต้ที่เปลี่ยนดีไซน์ไปมากทีเดียว แต่ยังคงมีปุ่มสำคัญอย่างการเปลี่ยนโปรไฟล์และสลับโหมดการเชื่อมต่อติดตั้งมาให้ครบ ซึ่งจุดต่างของเมาส์ทั้งสองตัวจะเป็นสเปคภายในเมาส์เสียมากกว่า

Software

Screenshot 2023 01 18 102343

Screenshot 2023 01 18 102418
Screenshot 2023 01 18 102432

ซอฟท์แวร์ Razer Synapse 3 สำหรับปรับแต่งเกมมิ่งเกียร์ของทางบริษัททั้นสามารถโหลดมาติดตั้งแล้วเซ็ตอัพ Razer Naga V2 Pro ให้เข้ากับสไตล์การใช้งานได้ละเอียด โดยในหน้าแรกหลังจากเลือกเมาส์แล้ว หน้า UI ถือว่าสะอาดมองเข้าใจได้ง่าย ถ้ากดไอคอนรูปเมมโมรี่การ์ดข้างชื่อ Profile ก็สามารถโหลดโปรไฟล์ที่เซฟออนบอร์ดแยกไว้ทั้ง 5 แบบขึ้นมาใช้งานได้ทันที ถัดลงมาจะมีฟังก์ชั่นเปิด/ปิด Razer HyperShift ซึ่งเป็นฟังก์ชั่นเพิ่มคำสั่งเมาส์พิเศษเข้าไปอีกคำสั่งหนึ่งนอกเหนือจากที่เซ็ตเอาไว้แล้ว เช่น ถ้าปุ่มมาโครหมายเลข 1 ถูกเซ็ตให้เอาไว้กดเพิ่มเสียง เมื่อเปิด HyperShift แล้วเราสามารถเพิ่มคำสั่งพิเศษเข้าไปได้อีกคำสั่งหนึ่งเป็นลดเสียงก็ได้ แต่ผู้ใช้ต้องเซ็ตปุ่มสำหรับสลับระหว่างโหมด Standard หรือ HyperShift เอาไว้ด้วย

Screenshot 2023 01 18 102504

Screenshot 2023 01 18 102515
Screenshot 2023 01 18 102531
Screenshot 2023 01 18 102539
Screenshot 2023 01 18 102645
Screenshot 2023 01 18 102653
Screenshot 2023 01 18 102708

การเซ็ตคำสั่งให้เพลตข้างเมาส์แต่ละแบบของ Razer Synapse 3 ทำมาได้ดีและใช้สะดวกมาก โดยหน้า UI จะมีให้ผู้ใช้เลือกเลยว่าเราต้องการเซ็ตคีย์ลัดและคำสั่งใดให้เพลตไหนของ Razer Naga V2 Pro ซึ่งเราเลือกเพลตในหน้าโปรแกรม กดตัวเลขปุ่มมาโครแล้วเซ็ตได้ตามต้องการ พอเปลี่ยนเพลตแล้วเมาส์จะโหลดคำสั่งนั้นๆ ขึ้นมาใช้งานให้โดยอัตโนมัติ

ในหน้าต่างคำสั่งคีย์ลัดของ Naga V2 Pro จะมีคำสั่งให้เลือกหลากหลายแบบมาก ทั้งคำสั่งใช้งานบนคีย์บอร์ดหรือใช้ตั้งค่าการทำงานของเมาส์ก็ได้ นอกจากนี้ยังใช้สลับโปรไฟล์, ใช้กดคีย์ลัดเปิดโปรแกรมที่ต้องการใช้งาน, กด Shortcut ของ Windows หรือกดคีย์ลัดเพื่อส่งข้อความที่เซฟเอาไว้ใช้โดยเฉพาะ อย่างเช่นเอาไว้พิมพ์ประโยคใช้งานบ่อยตอนเล่นเกมกับเพื่อนก็ได้เช่นกัน

Screenshot 2023 01 18 102720

Screenshot 2023 01 18 102824
Screenshot 2023 01 18 102837

หมวด Performance จะเป็นหน้าตั้งค่า DPI ของเมาส์ว่าต้องการให้เมาส์เลื่อนเร็วหรือช้าแค่ไหน ในตัวโปรแกรมตั้งค่าพื้นฐานมาเป็น Sensitivity Stage แยกความเร็วเป็นขั้นบันไดทั้งหมด 5 ระดับ ตอนตั้งค่าให้กดกรอบ Stage ที่ต้องการแล้วจะเลื่อนค่า DPI ที่เส้นด้านล่างหรือพิมพ์ตัวเลขเข้าไปเลยก็ได้เช่นกัน

Lighting จะเอาไว้ตั้งค่าไฟ RGB ตรงโลโก้ของ Razer Naga V2 Pro ว่าจะให้สว่างหรือมืดระดับไหน โดยปรับได้ตั้งแต่ 0~100 และเลือกได้ว่าจะให้ไฟ RGB ปิดตามหน้าจอคอมหรือไม่ได้ใช้งานนานเท่าไหร่ โดยตั้งได้ตั้งแต่ 1~15 นาที รวมทั้งเซ็ตเอฟเฟคของไฟที่โลโก้ Razer ได้ด้วย

Screenshot 2023 01 18 102747
Screenshot 2023 01 18 102913

ส่วนของสกรอล์เมาส์ซึ่งเป็นจุดเด่นของ Razer Naga V2 Pro เอง ทาง Razer ก็ทำหน้าต่างแยกเอาไว้ให้โดยเฉพาะ โดยมี Scroll Wheel Stages ให้เลือก 5 แบบที่เป็นค่าจากโรงงานและ 1 โหมดเป็น Custom ให้ผู้ใช้ตั้งค่าได้ตามต้องการ ฝั่งขวาเป็นกราฟโชว์อัตราการหมุนสกรอล์ต่อความตึงของลูกล้อ (Tension) ว่าเราต้องออกแรงหมุนเยอะหรือเปล่า ซึ่งผู้ใช้สามารถดูจากกราฟด้านข้างได้เลยและถ้าจะใช้หรือไม่ใช้โปรไฟล์ไหน ก็สามารถกดเปิดปิดได้ตามต้องการ

โปรไฟล์ Custom จะเป็นโปรไฟล์พิเศษซึ่งทาง Razer ทำมาให้ผู้ใช้ปรับรูปแบบการหมุนสกรอลเมาส์ได้ด้วยตัวเอง ในตอนแรกโปรไฟล์นี้จะถูกปิดอยู่ต้องมาเปิดและตั้งในโปรแกรมถึงจะใช้งานได้ ตอนตั้งค่าจะใช้วิธีเลื่อนเพิ่มลดค่า Scroll Tension, Scroll Steps ด้านข้างหรือดึงจุดพล็อตกราฟเองเลยก็ได้ จัดว่าใช้งานได้ดีปรับสไตล์ได้ตามความชอบของผู้ใช้แต่ละคนได้เลย

Screenshot 2023 01 19 130510

จุดน่าสนใจนอกจากซอฟท์แวร์ Razer Synapse 3 แล้ว ตัวโปรแกรมจะพ่วง Razer Cortex ซอฟท์แวร์จัดการทรัพยากรคอมมาช่วย Optimize ลดการใช้แรมและจัดการโปรแกรมเบื้องหลังให้ไม่แย่งทรัพยากรตัวเครื่องเวลาเล่นเกมด้วย โดยตัวซอฟท์แวร์จะขึ้นเป็นหน้าต่าง Notificaition มุมขวาล่างของหน้าจอเพื่อบอกผู้ใช้ว่าตอนนี้ตัวซอฟท์แวร์ลดการใช้แรมในเครื่องไปแล้วกี่ GB จัดการ Optimize ไปแล้วกี่โปรแกรม ซึ่งจากที่ทดลองใช้พบว่ามันเพิ่มเฟรมเรทตอนเล่นเกมได้ระดับหนึ่ง ราว 5~10 Fps ซึ่งถือว่ามีประโยชน์ดีทีเดียว อาจนับเป็นลูกเล่นเล็กๆ น้อยๆ จากทาง Razer ก็ได้

User Experience

Razer Naga V2 Pro DSC01193

Razer Naga V2 Pro เป็นเมาส์เกมมิ่งที่ขนาดตัวใหญ่และออกแบบมาให้ใช้กับมือขวาโดยเฉพาะ ซึ่งส่วนตัวผู้เขียนเคยใช้ Razer Naga รุ่นแรกๆ เมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ พอข้ามมาจับรุ่นปัจจุบันก็รู้สึกว่าเมาส์รุ่นนี้ได้รับการพัฒนามาไกลมาก จากเมาส์ที่มีขนาดค่อนข้างเล็กจับถนัดมือและผู้หญิงใช้งานได้สบายไม่หนักมาก เป็นเมาส์เกมมิ่งตัวใหญ่เต็มมือจับถนัดและยังเปลี่ยนกรอบข้างเมาส์ได้ตามสไตล์และความถนัดได้เลย โดยเฉพาะสันเมาส์สำหรับรองรับนิ้วนางขวาในรุ่นปัจจุบันโก่งรับมือได้ดีมากแล้วนิ้วไม่ลากไปกับแผ่นรองเมาส์หรือพื้นโต๊ะ ทำให้หนีบนิ้วโป้งและก้อยเข้าข้างเมาส์แล้วลากกวาดได้สะดวกขึ้นมาก แต่ขนาด, น้ำหนัก 129 กรัมและดีไซน์ตัวเมาส์เมื่อจับแล้ว โครงเมาส์ก็แทบจะบังคับให้จับแบบ Palm หรือ Claw Grip ไปโดยปริยาย ส่วน Fingertip Grip แม้จะจับได้แต่น้ำหนักเมาส์นั้นทำให้ดึงเมาส์ไปมาไม่สะดวกเท่าที่ควร

จุดแข็งที่น่าพูดถึง คือปุ่มมาโครข้างเมาส์ซึ่งเซ็ตตั้งค่าเรียกโปรแกรมหรือคำสั่งต่างๆ ได้ตามต้องการ ซึ่งผู้เขียนได้เซ็ตเอาไว้เรียกโปรแกรมใช้งานบ่อยผสมกับคีย์ลัดของ Windows อีกนิดหน่อยก็ช่วยประหยัดเวลาตอนทำงานได้ดีมาก นับว่า Razer Naga V2 Pro เป็นเมาส์เกมมิ่งซึ่งสามารถเปลี่ยนตัวเองมาทำงานได้ดีไม่แพ้เมาส์สำหรับสายทำงานโดยเฉพาะเลย และได้เปรียบกว่าเมาส์สายทำงานตรงปุ่มมาโครมีให้ใช้เยอะ ถ้าใครทำงานกับโปรแกรมที่มีคีย์ลัดมากๆ โดยเฉพาะโปรแกรมสาย Adobe ไม่ว่าจะ Photoshop, Lightroom หรือ Premier Pro น่าจะได้ใช้ประโยชน์จากมันได้มากทีเดียว

ด้านการเชื่อมต่อ เมาส์นี้ถ้าใช้ Razer HyperSpeed USB 2.4GHz แบตเตอรี่จะอยู่ได้นานสุด 150 ชั่วโมง ถ้าใช้ Bluetooth จะอยู่ได้นาน 300 ชั่วโมง ชาร์จแบตเตอรี่ได้ด้วยสาย USB-C ซึ่งจะใช้สาย Razer Speedflex USB-C ในกล่องต่อชาร์จไปเล่นไปหรือใช้สายชาร์จสมาร์ทโฟนก็สะดวกไม่แพ้กัน และระยะเวลาใช้งานเมาส์จัดว่าน่าประทับใจมาก จากที่ใช้เล่นเกมที่บ้านแล้วพกใส่กระเป๋าไปทำงาน แบตเตอรี่ก็ยังไม่หมดง่ายๆ และเชื่อว่าถ้าใครซื้อไปใช้อาจจะใช้เพลินจนลืมชาร์จไปเลยทีเดียว ดังนั้นในแง่ระยะเวลาใช้งานจัดว่าหายห่วยไม่มีข้อกังขา ส่วนการตอบสนองแม้จะต่อ Bluetooth ก็ยังใช้งานได้ดีมากไม่ต่างกับการใช้ HyperSpeed เลย แต่สันนิษฐานว่าถ้าเป็น Bluetooth จะเหมาะกับการใช้ทำงานมากกว่า ถ้าเล่นเกมอาจมีอาการ Input Lag เล็กน้อย

เซนเซอร์ Razer Focus Pro 30K ของ Naga V2 Pro ณ ตอนนี้นับเป็นเซนเซอร์ที่มีค่า DPI สูงและละเอียดสุดในกลุ่มเกมมิ่งเมาส์ในปัจจุบัน ซึ่งแบรนด์คู่แข่งหลายๆ เจ้ายังอยู่ระดับ 26,000 DPI แต่ของ Razer นั้นสูงจนแตะ 30,000 DPI และยังปรับตั้งค่า DPI ได้ละเอียดมากและลากเคลื่อนเคอร์เซอร์ไปมาได้ดีมาก ตอนเล่นเกม FPS แล้วลองปรับค่า DPI เพียงขยับข้อมือเบาๆ ก็หมุนตัวละครแทบจะในทันที แต่เซนเซอร์ไม่เกิดอาการไหลเลย ลากเมาส์ไปแล้วหยุดตรงไหนก็ไม่มีอาการเคอร์เซอร์ไหลแม้แต่น้อย ซึ่งสำคัญมากเพราะถ้าเล่นเกมลากเมาส์เร็วๆ ตามศัตรูแล้ว หากเซนเซอร์เพี้ยนอาจจะส่งผลต่อรูปเกมได้เลย แต่ Razer Naga V2 Pro ไม่เจอปัญหานี้สักนิด

อย่างไรก็ตาม Razer Naga V2 Pro ยังมีข้อสังเกตหลักๆ คือ เมื่อเทียบกับเมาส์เกมมิ่งไร้สายของแบรนด์คู่แข่งแล้วนับว่ามีน้ำหนักมากสุดในกลุ่ม เพราะหลายๆ แบรนด์ ณ ตอนนี้จะอยู่ช่วง 80~90 กรัม แล้วแข่งกันลดน้ำหนัก แต่ระยะเวลาของแบตเตอรี่ก็น้อยกว่า Razer Naga V2 Pro ถึงครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว อย่างมากอยู่ได้ราว 60~80 ชั่วโมงก็หมดแล้วและมักจะเชื่อมต่อเฉพาะ USB 2.4GHz เท่านั้น ไม่มี Bluetooth ให้ใช้ ดังนั้น Naga V2 Pro จึงได้เปรียบเรื่องรูปแบบการใช้งานที่ยืดหยุ่นและใช้งานต่อเนื่องได้นานกว่าอย่างชัดเจน

จุดสังเกตถัดมาเป็นเรื่องดีไซน์ นั่นเพราะ Naga V2 Pro ออกแบบมาเพื่อเกมเมอร์มือขวาเท่านั้น ใครที่ถนัดมือซ้ายแต่อยากใช้ฟังก์ชั่นมาโครเยอะๆ ก็จำเป็นต้องปรับตัวอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ทาง Razer ก็เคยทำ Naga Left-Handed Edition ออกมาขายเมื่อปี 2020 ที่ผ่านมา จึงไม่มั่นใจว่าจะมี Naga V2 Pro Left-Handed Edition ออกมาวางขายในอนาคตหรือไม่ แต่ถ้ามีก็เป็นเรื่องที่ดีเพื่อเกมเมอร์ถนัดซ้ายแน่นอน ส่วนจุดน่าสนใจคือ ถ้าใครใช้เมาส์ Ergonomic ที่ออกแบบมาใช้ทำงานโดยเฉพาะจนติดแล้วมาใช้ Razer Naga V2 Pro ในช่วงแรกๆ จะรู้สึกได้ทันทีว่าจะต้องบิดแขนเข้าเยอะกว่าปกติ หากใช้ทำงานทั้งวันอาจจะมีอาการเมื่อยอยู่บ้างเล็กน้อย

Summary

Razer Naga V2 Pro DSC01187

Razer Naga V2 Pro เป็นเกมมิ่งเมาส์ที่แม้จะมีราคา 7,490 บาทก็ตาม แต่เทคโนโลยี, ฟีเจอร์, อุปกรณ์เสริมต่างๆ ของเมาส์นี้ต้องถือว่าคุ้มค่าตัว คุณจะได้เมาส์ที่เซนเซอร์คม, เปลี่ยนโปรไฟล์และมีปุ่มมาโครให้กดได้อย่างจุใจ แบตเตอรี่ใช้งานต่อเนื่องได้นานมากจนแทบจะลืมชาร์จแบตฯ และ Naga V2 Pro นี้ นับว่าเป็นตัวเดียวจบได้ จะใช้เล่นเกมที่บ้านต่อด้วย Razer HyperSpeed แล้วมีเพลต 1~2 ชิ้นเอาไว้ พอพกไปทำงานก็เปลี่ยนเพลตแล้วต่อ Bluetooth ใช้ทำงานแล้วกับคอมอีกเครื่องต่อได้สะดวกสุดๆ ไม่ต้องแยกเมาส์ให้เสียเงินสองต่อ เพราะถ้าหารราคา 7,490 บาท ก็จะได้เป็นเงิน 3,745 บาท ไว้ซื้อเมาส์ทำงานอย่างดีและเกมมิ่งที่สเปคไล่เลี่ยกันได้อย่างละตัวก็จริง แต่ก็มีของใช้ซ้ำซ้อนเช่นกัน ดังนั้นสู้ซื้อเมาส์ดีๆ เอาไว้ใช้งานตัวเดียวจบดีกว่า

โดยรวมแล้ว Razer Naga V2 Pro เป็นเกมมิ่งเมาส์ที่พัฒนาตัวเองจากเมาส์สำหรับเกมแนว MMORPG, MOBA เป็นหลัก ให้ก้าวมาเป็นเมาส์มาโครน่าใช้ได้อย่างเต็มภาคภูมิ พอผสานกับฟีเจอร์เปลี่ยนเพลตข้างเมาส์ให้เข้ากับรูปแบบการใช้งานได้แล้ว จึงไม่ต้องยึดโยงว่าตระกูล Razer Naga นั้นจะต้องเอาไว้เล่นแค่เกมแนวนี้เท่านั้นหรือทำงานแบบนี้อย่างเดียว เพราะมันกลายเป็นเมาส์อเนกประสงค์เพื่อคนถนัดขวาโดยเฉพาะไปแล้วโดยสมบูรณ์ น่าลงทุนซื้อมาใช้งานมาก

from:https://notebookspec.com/web/683044-review-razer-naga-v2-pro

Delta Airlines เตรียมเปิด ไว-ไฟ ฟรีบนเครื่องวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้

ซีอีโอสายการบินเดลต้าแอร์ไลน์ Ed Bastian กล่าวระหว่างการนำเสนอที่งาน CES ลาสเวกัสเมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมาว่า สายการบินเตรียมเปิดบริการไว-ไฟฟรีตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้ หลังจากศึกษาความเป็นไปได้มานานหลายปี

โดยเครื่องบินเดลต้าภายในประเทศประมาณ 80% จะเริ่มเปิดให้บริการเดือนหน้า และจะทยอยเปิดเพิ่มเรื่อยๆ ในแต่ละสัปดาห์ สำหรับไว-ไฟฟรีนี้ได้รับการสนับสนุนจาก T-Mobile ตั้งเป้าจะเปิดให้ใช้บนเครื่องบินมากกว่า 700 ลำภายในปี 2023 นี้

ส่วนไฟลท์บินต่างประเทศนั้นมีแผนจะให้บริการภายในปีหน้าด้วยเช่นกัน ซีอีโอย้ำว่า “เราลงทุนมากกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อ ไว-ไฟ ฟรีนี้โดยเฉพาะ” คาดว่าความเคลื่อนไหวนี้จะทำให้การแข่งขันของสายการบินดุเดือดมากขึ้นหลังฟื้นตัวจากช่วงโควิด

ผู้บริหารเดลต้ากล่าวหลายต่อหลายครั้งว่า สายการบินพุ่งเป้ากลุ่มลูกค้าที่ยอมจ่ายแพงกว่าลูกค้าทั่วไป จากบริการเสริมพรีเมียมเช่น ที่นั่งชั้นบิซิเนส ที่ทำยอดเติบโตได้เร็วกว่าที่นั่งทั่วไปเสียอีก ทั้งนี้ ผู้โดยสารที่จะใช้เน็ตฟรีบนเครื่องทำได้เพียงแค่ล็อกอินบัญชีสมาชิก Delta SkyMiles ของตัวเองเท่านั้น

อ่านเพิ่มเติมที่นี่ – CNBC

from:https://www.enterpriseitpro.net/delta-plans-to-offer-free-wi-fi/

LG เปิดตัวหูฟังรุ่น T90 พร้อมเทคโนโลยี Dolby Head Tracking และรุ่น TF8

LG เปิดตัวหูฟัง T90 ที่ใช้เทคโนโลยี Dolby Head Tracking ที่สามารถปรับเสียงในขณะที่ผู้ใช้ขยับศีรษะเพื่อให้เสมือนว่าเสียงมาจากรอบทิศทางเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้งาน

อีกรุ่นหนึ่งคือ Tone Free Fit (TF8) โดยปรับให้เหมาะสมกับการใส่ขณะออกกำลังกายมากขึ้น เพื่อให้หูฟังไม่หลุดออก TF8 สามารถใช้งานได้ถึง 10 ชั่วโมงและ T90 สามารถใช้งานได้ถึง 9 ชั่วโมงเมื่อปิดโหมด Active Noise Cancellation ไว้ ​​

ทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมกับเคสชาร์ตแบตที่สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ด้วยแสง UV-C นอกจากนี้ในรุ่น T90 ยังทำหน้าที่เป็นตัวส่งสัญญาณบลูทูธได้อีกสองทาง ผู้ใช้สามารถเพิ่มการเชื่อมต่อไปยังอุปกรณ์ต้นทางที่ไม่ใช่อุปกรณ์ที่กำลังใช้งานอยู่ได้

เบื้องต้น LG ยังไม่ระบุราคาและวันวางจำหน่าย

ที่มา: Engadget

No Description
รุ่น T90

No Description
รุ่น TF8

Topics: 

from:https://www.blognone.com/node/129722

พบบั๊กร้ายแรง ในซอฟต์แวร์คอนโทรลเลอร์ Wireless LAN ของซิสโก้

ซิสโก้ได้ปล่อยแพ็ตช์ที่แก้ไขช่องโหว่ร้ายแรงด้านความปลอดภัยที่กระทบกับตัวคอนโทรลเลอร์ของเครือข่ายไร้สายหรือ WLC ที่อาจถูกนำไปใช้โดยผู้โจมตีให้สามารถก้าวข้ามการยืนยันตัวตนเพื่อเข้าควบคุมระบบจากระยะไกลได้

เป็นช่องโหว่ที่อยู่ภายใต้รหัส CVE-2022-20695 มีคะแนนความร้ายแรงสูงสุดที่ 10 เต็ม 10 เป็นการเปิดให้ก้าวข้ามระบบยืนยันตัวตนเพื่อล็อกอินเข้าอุปกรณ์ผ่านหน้าอินเทอร์เฟซจัดการของตัว WLC ทั้งนี้ทางบริษัทชี้แจงว่า

“ช่องโหว่นี้เกิดขึ้นจากการวางอัลกอริทึมในการตรวจสอบรหัสผ่านที่ไม่เหมาะสม ซึ่งผู้โจมตีสามารถเจาะช่องโหว่นี้ได้ด้วยการล็อกอินเข้าอุปกรณ์ที่ได้รับผลกระทบโดยใช้รหัสผ่านที่มีการออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับเจาะช่องโหว่นี้โดยเฉพาะ”

ช่องโหว่นี้มีอยู่บนบางผลิตภัณฑ์ เช่น รุ่น 3504, 5520, 8540, Mobility Express, และ vWLC รวมทั้งเป็นเครื่องที่ใช้ซอฟต์แวร์ Cisco WLC เวอร์ชั่น 8.10.151.0 หรือ 8.10.162.0 รวมทั้งตั้งค่าการใช้งานร่วมกับ Macfilter Radius เป็น Other

อ่านเพิ่มเติมที่นี่ – THN

//////////////////

สมัครสมาชิก Enterprise ITPro เพื่อรับข่าวสารด้านไอที

form#sib_signup_form_4 {
padding: 5px;
-moz-box-sizing:border-box;
-webkit-box-sizing: border-box;
box-sizing: border-box;
}
form#sib_signup_form_4 input[type=text],form#sib_signup_form_4 input[type=email], form#sib_signup_form_4 select {
width: 100%;
border: 1px solid #bbb;
height: auto;
margin: 5px 0 0 0;
}
form#sib_signup_form_4 .sib-default-btn {
margin: 5px 0;
padding: 6px 12px;
color:#fff;
background-color: #333;
border-color: #2E2E2E;
font-size: 14px;
font-weight:400;
line-height: 1.4285;
text-align: center;
cursor: pointer;
vertical-align: middle;
-webkit-user-select:none;
-moz-user-select:none;
-ms-user-select:none;
user-select:none;
white-space: normal;
border:1px solid transparent;
border-radius: 3px;
}
form#sib_signup_form_4 .sib-default-btn:hover {
background-color: #444;
}
form#sib_signup_form_4 p{
margin: 10px 0 0 0;
}form#sib_signup_form_4 p.sib-alert-message {
padding: 6px 12px;
margin-bottom: 20px;
border: 1px solid transparent;
border-radius: 4px;
-webkit-box-sizing: border-box;
-moz-box-sizing: border-box;
box-sizing: border-box;
}
form#sib_signup_form_4 p.sib-alert-message-error {
background-color: #f2dede;
border-color: #ebccd1;
color: #a94442;
}
form#sib_signup_form_4 p.sib-alert-message-success {
background-color: #dff0d8;
border-color: #d6e9c6;
color: #3c763d;
}
form#sib_signup_form_4 p.sib-alert-message-warning {
background-color: #fcf8e3;
border-color: #faebcc;
color: #8a6d3b;
}

from:https://www.enterpriseitpro.net/critical-auth-bypass-bug-reported-in-cisco-wireless-lan-controller/

HPE ให้คุณสร้างเครือข่าย Wi-Fi พร้อม 5G ส่วนตัวได้

HP Enterprise เตรียมบริการอุปกรณ์ 5G ส่วนบุคคลสำหรับใช้ร่วมกับชุดอุปกรณ์ Wi-Fi ของ Aruba เพื่อเป็นทางเลือกในการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะกับความต้องการด้านเครือข่ายไร้สายที่หลากหลายของแต่ละองค์กรมากที่สุด

ตามชื่อเลย อุปกรณ์ 5G ส่วนตัวนี้ใช้สำหรับสร้างเครือข่าย 5G ส่วนตัวได้ แม้ไม่ใช่ตัวแทนอุปกรณ์เดิม แต่ก็เสริมชุดอุปกรณ์ Wi-Fi ได้เป็นอย่างดี ซึ่ง HPE กล่าวว่า 5G ก้าวข้าม Wi-Fi ได้ในแง่ของพื้นที่ครอบคลุมและความเร็ว

แต่ Wi-Fi เองก็ได้เปรียบในแง่การเชื่อมต่อภายในอาคารที่ให้ความคุ้มค่ามากกว่า ดังนั้นก็ทำเน็ตเวิร์กแบบไฮบริดจ์ที่สลับไปมาระหว่าง 5G และ Wi-Fi ได้อัตโนมัติจะสนองตอบความต้องการได้ดีที่สุด ระบบใหม่นี้เป็นวิวัฒนาการอีกขั้นของ 5G ก่อนหน้า

สมัยก่อนเป็นระบบ HPE 5G Core Stack เปิดตัวเมื่อปี 2020 เป็นระบบแบบเปิด ใช้งานผ่านคลาวด์ในรูปของคอนเทนเนอร์ จากนั้นได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่สองตัวได้แก่การผสานกับเครือข่าย Wi-Fi ของ Aruba และการใช้ร่วมกับอุปกรณ์เข้าถึงผ่านคลื่นวิทยุ (RAN) แบบ 5G

อ่านเพิ่มเติมที่นี่ – Networkworld

//////////////////

สมัครสมาชิก Enterprise ITPro เพื่อรับข่าวสารด้านไอที

form#sib_signup_form_4 {
padding: 5px;
-moz-box-sizing:border-box;
-webkit-box-sizing: border-box;
box-sizing: border-box;
}
form#sib_signup_form_4 input[type=text],form#sib_signup_form_4 input[type=email], form#sib_signup_form_4 select {
width: 100%;
border: 1px solid #bbb;
height: auto;
margin: 5px 0 0 0;
}
form#sib_signup_form_4 .sib-default-btn {
margin: 5px 0;
padding: 6px 12px;
color:#fff;
background-color: #333;
border-color: #2E2E2E;
font-size: 14px;
font-weight:400;
line-height: 1.4285;
text-align: center;
cursor: pointer;
vertical-align: middle;
-webkit-user-select:none;
-moz-user-select:none;
-ms-user-select:none;
user-select:none;
white-space: normal;
border:1px solid transparent;
border-radius: 3px;
}
form#sib_signup_form_4 .sib-default-btn:hover {
background-color: #444;
}
form#sib_signup_form_4 p{
margin: 10px 0 0 0;
}form#sib_signup_form_4 p.sib-alert-message {
padding: 6px 12px;
margin-bottom: 20px;
border: 1px solid transparent;
border-radius: 4px;
-webkit-box-sizing: border-box;
-moz-box-sizing: border-box;
box-sizing: border-box;
}
form#sib_signup_form_4 p.sib-alert-message-error {
background-color: #f2dede;
border-color: #ebccd1;
color: #a94442;
}
form#sib_signup_form_4 p.sib-alert-message-success {
background-color: #dff0d8;
border-color: #d6e9c6;
color: #3c763d;
}
form#sib_signup_form_4 p.sib-alert-message-warning {
background-color: #fcf8e3;
border-color: #faebcc;
color: #8a6d3b;
}

from:https://www.enterpriseitpro.net/hpe-lets-you-build-integrated-private-5g-and-wi-fi-networks/

วิธีการเบื้องต้นในการเลือก Wi-Fi Router ที่ดีที่สุดสำหรับโฮมยูส

จริงๆ เราควรเลือกเราเตอร์ที่จำเพาะกับรูปแบบการใช้งานของเรามากที่สุด เนื่องจากปัจจุบันการเลือกอุปกรณ์ที่มีบทบาทจำเป็นในการเชื่อมต่อในบ้านนี้มีความสำคัญมากกว่าแต่ก่อน แม้ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตส่วนใหญ่ต่างมีเราเตอร์มาให้อยู่แล้ว

โดยเราเตอร์ดังกล่าวมักมาพร้อมกับโมเด็มสายเคเบิลหรือ DSL ที่หลายคนมองว่าดีที่สุดแล้ว แค่เชื่อมต่ออุปกรณ์ที่ใช้กับอินเทอร์เน็ตได้ก็พอแล้ว ในบางกรณี เราเตอร์จาก ISP ของคุณก็ทำงานได้เป็นที่น่าพอใจ โดยเฉพาะถ้าเป็นเงื่อนไขที่ให้ใช้ฟรีในฐานะส่วนหนึ่งของแพ็กเกจเน็ต

บางบ้านยังคิดแค่ว่า ถ้าใช้อุปกรณ์ไม่กี่เครื่อง เราเตอร์ฟรีที่มีเสาอากาศอันเดียวที่ได้มาก็พอแล้ว ถ้าอยากได้การเชื่อมต่อที่เร็วกว่าเสถียรกว่าก็ต่อผ่านสายแลนแทนที่จะใช้ Wi-Fi แต่รู้ไหมว่ายิ่งถ้าเราเตอร์เครื่องดังกล่าวเก่าและล้าหลังไปมากขึ้นเรื่อยๆ

การอัพเกรดมาใช้เราเตอร์ใหม่ล่าสุดจะทำให้ได้ประโยชน์มากกว่าที่คิด ยิ่งยุคปัจจุบันที่หลายคนถูกบังคับให้ทำงานจากบ้าน ถูกกักตัวหรือต้องอยู่ในพื้นที่จำกัดจากการแพร่ระบาดของโรค การมีเราเตอร์ที่ตอบโจทย์ยิ่งสำคัญมากกว่าเดิม

ตรวจสอบมาตรฐานที่ต่างกันของ Wi-Fi

เริ่มจากมาตรฐาน Wi-Fi ที่เป็นมาตรฐานสากลใช้กันทั่วโลกเพื่อให้มั่นใจได้ว่าอุปกรณ์ในมาตรฐานสามารถเชื่อมต่อกันได้โดยไม่มีปัญหา ซึ่งสิ่งที่ต้องทำความเข้าใจตอนนี้คือ มาตรฐานเดิมที่เคยเห็นกันในชื่อ 802.11 แล้วตามด้วยตัวอักษร

อย่างเช่น a, b, g, n, ac, หรือแม้แต่ใหม่ล่าสุดอย่าง ax นั้น กำลังจะเปลี่ยนวิธีการเรียกชื่อใหม่เพื่อให้ทราบว่าเวอร์ชั่นใดเก่าหรือใหม่กว่ากันอย่างไร โดยอุปกรณ์แต่ละเวอร์ชั่นนั้นใช้งานข้ามเวอร์ชั่นกันได้ แต่จะโดนล็อกความเร็วตามเวอร์ชั่นที่ช้ากว่า

สำหรับเวอร์ชั่นของ Wi-Fi ในปัจจุบันเป็นดังต่อไปนี้: 802.11b เปลี่ยนมาเรียกเป็น Wi-Fi 1, 802.11a เปลี่ยนเป็น Wi-Fi 2, 802.11g เปลี่ยนเป็น Wi-Fi 3, 802.11n เปลี่ยนเป็น Wi-Fi 4, 802.11ac เปลี่ยนเป็น Wi-Fi 5, และ 802.11ax เปลี่ยนเป็น Wi-Fi 6

ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่ามาตรฐาน Wi-Fi ได้รับการพันามาอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง จนถึงเวอร์ชั่นล่าสุดอย่าง AX แม้จะยังพบอุปกรณ์หรือเราเตอร์ในเวอร์ชั่น N และ AC ที่ยังมีการใช้งานอยู่อย่างแพร่หลาย แต่เมื่อมองจากวิวัฒนาการของ Wi-Fi เช่นนี้แล้ว

ควรไป Wi-Fi 6 แล้วไหม?

ตอนนี้ก็ถือว่าไม่สมเหตุสมผลอย่างมากที่จะซื้อเราเตอร์ Wi-Fi ตัวใหม่ที่เป็นมาตรฐานเก่าอย่าง 802.11n หรือแม้แต่การซื้ออุปกรณ์มาตรฐานแบบ AC หรือ Wi-Fi 5 ด้วยเหตุผลที่ราคาถูกลงอย่างมาก เราควรมองการรองรับในอนาคตเป็นสำคัญมากกว่า

ตัวอย่างเช่นเราเตอร์ที่กำลังเป็นที่นิยมอย่าง TP-Link Archer GX90 ก็ขึ้นมาใช้มาตรฐาน AX (Wi-Fi 6) เต็มตัวแล้ว ซึ่ง Wi-Fi 6 ก็ให้ประโยชน์เหนือกว่าเวอร์ชั่นเดิมอย่าง Wi-Fi 5 (802.11ac) อยู่มากมายตามที่ทาง Wi-Fi Alliance ระบุไว้

เช่น ให้ความเร็วในการส่งต่อข้อมูลทั้งรับและส่งจากอุปกรณ์มากกว่าเดิม รองรับจำนวนอุปกรณ์เชื่อมต่อได้มากขึ้น ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะเมื่อมีอุปกรณ์เชื่อมต่อด้วยจำนวนมาก และใช้แบตเตอรี่น้อยกว่าเดิมในการเชื่อมต่อ

ถือว่า Wi-Fi 6 เหนือชั้นกว่ามากในการรองรับทราฟิกจากอุปกรณ์ที่หนาแน่น ให้ความเร็วในเชิงทฤษฎีมากกว่ารุ่นก่อนๆ เป็นอย่างมาก โดยทำได้ถึง 9.6Gbps (เร็วกว่าประมาณ 3 เท่าเมื่อเทียบกับความเร็วทางทฤษฎีเดิมของ Wi-Fi 5)

ยิ่งตอนนี้ผู้คนหันมาใช้การสตรีมมิ่งวิดีโอที่ความละเอียดสูง, เล่นเกมกันหนักมากขึ้น และมีอุปกรณ์ไร้สายที่ใช้งานกับตัวมากกว่าเดิมเยอะ ยิ่งทำให้เห็นคุณค่าของมาตรฐานใหม่อย่าง Wi-Fi 6 ที่คุณควรมองถึงการรองรับในอนาคตอันใกล้นี้เป็นสำคัญ

โดยเฉพาะกรณีถ้าตอนนี้คุณมีอุปกรณ์ที่รองรับ Wi-Fi 6 อยู่แล้ว ก็ยิ่งควรมองเราเตอร์ที่รองรับ Wi-Fi 6 ด้วย ต่อมา เราจะดูกันที่ย่านความถี่วิทยุที่การสื่อสารไร้สายใช้ และความแตกต่างระหว่างแบบ Dual-Band และ Tri-Band

ย่านความถี่ก็เป็นส่วนที่ต้องพิจารณา

ที่ผ่านมา เราเตอร์เก่าไล่มาจนถึงมาตรฐาน 802.11g จะทำงานเฉพาะบนย่านความถี่ 2.4GHz จนกระทั่งเริ่มมารองรับย่านความถี่ 5GHz ด้วยในมาตรฐาน 802.11n ไปจนถึงมาตรฐานใหม่อย่าง 802.11ac และ 802.11ax

สาเหตุที่ต้องมองหาย่านความถี่ใหม่ก็เพราะย่านเดิมอย่าง 2.4GHz มีการใช้งานที่หนาแน่นมากแล้ว โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ทราฟิกแย่งกันใช้งานจนกระทบกับประสิทธิภาพ เราเรียกอุปกรณ์ที่ใช้ได้เฉพาะย่าน 2.4GHz ว่า Single-Band

ขณะที่อุปกรณ์ที่ใช้ได้ทั้งย่าน 2.4GHz และ 5GHz จะเรียกว่า Dual-Band ซึ่งย่านความถี่ต่ำกว่านั้นให้ความเร็วที่จำกัดอยู่ต่ำกว่า มีความกว้างของย่านความถี่ให้ใช้น้อยกว่า ย่าน 5GHz จึงรองรับการใช้งานได้มากกว่า ให้ความเร็วที่ดีขึ้นกว่าเดิม

แต่ย่าน 5GHz ก็ต้องแลกมาด้วยข้อเสียที่ว่า ความถี่ยิ่งสูงก็ยิ่งสูญเสียพลังงานได้ง่ายเมื่อเจอกับอุปสรรคอย่างกำแพง สิ่งของต่างๆ อย่างไรก็ดี เราเตอร์สมัยใหม่ก็มักมาพร้อมกับความสามารถที่เรียกว่า Beamforming ที่ส่งสัญญาณอัดตรงไปที่อุปกรณ์ได้เลยแทนการกระจายแบบไร้ทิศทาง

อ่านทั้งหมดได้ที่นี่ – https://www.windowscentral.com/how-to-choose-best-router

from:https://www.enterpriseitpro.net/how-to-choose-wifi-router/

รีวิวหูฟังไร้สาย HUAWEI FreeBuds 4 เสียง Hi-res เบสแน่น ตัดเสียงรบกวน ANC 2.0

รีวิวหูฟังไร้สาย HUAWEI FreeBuds 4 คุณภาพเสียงทรงพลัง ต […] More

from:https://www.iphonemod.net/huawei-freebuds-4-review.html

เกร็ดความรู้ : เทคนิคการเชื่อมต่อ Wireless ด้วย สัญญาณไมโครเวฟ

การสื่อสารไร้สายแบบบรอดแบนด์ด้วยสัญญาณไมโครเวฟ เป็นหนึ่งในสามระบบการสื่อสารที่เทียบเท่ากับระบบใยแก้วนำแสงและดาวเทียม ช่วยให้เข้าถึงปริมาณข้อมูลจำนวนมากได้อย่างรวดเร็วด้วยแบนด์วิดท์ขนาดหลายร้อยเมกะบิตต่อวินาที (Mbit/s) และการรับส่งข้อมูลผ่านเส้นทาง Backbone ของระบบเครือข่ายได้สูงสุดถึง 20 กิกะบิตต่อวินาที (Gbit/s) ตัวระบบไมโครเวฟยังสามารถใช้งานได้ในทุกสภาพภูมิประเทศโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาวิศวกรรมไฟเบอร์และสายเคเบิลที่ซับซ้อน รวมถึงมีแบนด์วิดท์สูงและมีต้นทุนในการติดตั้งสายต่ำ ควบคู่ไปกับบริการเครือข่ายส่วนตัวที่ยืดหยุ่น ทำให้สัญญาณไมโครเวฟถือได้ว่าเป็น “ใยแก้วนำแสงทางอากาศ” ที่มองไม่เห็น

สำหรับอุตสาหกรรมเฉพาะกลุ่มแล้ว การใช้งานระบบสื่อสารต่างอาศัยความความชาญฉลาดและขับเคลื่อนด้วยข้อมูลมากขึ้น สิ่งเหล่านี้ทำให้เครือข่ายผู้ให้บริการจำเป็นต้องมีระบบที่รองรับความจุข้อมูลขนาดใหญ่ ความครอบคลุมกว้าง ปลอดภัยสูง และความน่าเชื่อถือสูง โซลูชัน Microwave ช่วยให้องค์กรต่าง ๆ สามารถตอบสนองความต้องการดังกล่าวได้อย่างง่ายดาย ด้วยเหตุนี้โซลูชันดังกล่าว จึงเป็นวิธีที่ดีในการเชื่อมต่อไร้สายที่มีความจุสูงในพื้นที่ที่การเชื่อมต่อแบบไฟเบอร์และแบบมีสายอื่น ๆ มีค่าใช้จ่ายสูง ใช้เวลานานในการสร้าง และดูแลรักษายาก

นายเดนเวอร์ ชาง รองประธานฝ่ายการตลาดไร้สายและการขายโซลูชันประจำกลุ่มธุรกิจเอ็นเตอร์ไพรส์ของหัวเว่ยได้สรุปแนวโน้มการพัฒนาที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมสัญญาณไมโครเวฟ ว่า “ในระหว่างงาน Mobile World Congress (MWC) 2021 ที่เซี่ยงไฮ้ องค์กรกำกับดูแลมาตรฐานการสื่อสารอย่าง Global System for Mobile Communications Association (GSMA) ได้เผยแพร่รายงานภายใต้ชื่อ Microwave Backhaul Evolution and Spectrum โดยเน้นบทบาทสำคัญและทิศทางทางเทคนิคของสัญญาณไมโครเวฟ สำหรับองค์กรที่มีโครงสร้างพื้นฐานใยแก้วนำแสงที่ไม่ดีนัก โซลูชันไมโครเวฟถือเป็นทางออกที่ดีที่สุดในการสร้างสมดุลระหว่างต้นทุน เวลาเปิดตัวบริการ และประสิทธิภาพของเครือข่าย”

และล่าสุดทางหัวเว่ย “หัวเว่ย” ได้ประกาศเปิดตัวโซลูชันระดับองค์กร AirFlash Microwave แบบฟูลแบนด์ มอบการเชื่อมต่อไร้สายความเร็วสูงด้วยสัญญาณไมโครเวฟรองรับการใช้งานในสถานการณ์ต่าง ๆ สำหรับองค์กรด้วยแล้ว

from:https://www.enterpriseitpro.net/%e0%b9%80%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b9%87%e0%b8%94%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%a3%e0%b8%b9%e0%b9%89-%e0%b9%80%e0%b8%97%e0%b8%84%e0%b8%99%e0%b8%b4%e0%b8%84%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3/