คลังเก็บป้ายกำกับ: เกมมิ่งเมาส์

7 เมาส์ไร้สายแนะนำ สายทำงานชอบ เกมเมอร์ก็โดน! อัพเดทปี 2023

เมาส์ไร้สายแนะนำ รวมมิตรตัวเด็ดสายทำงานและเกมมิ่ง!

7mouse

เมื่อเมาส์ไร้สายได้รับความนิยมและเทคโนโลยีได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ตอนนี้มีเมาส์ไร้สายแนะนำน่าใช้ให้เลือกหลายต่อหลายรุ่นไม่ว่าจะเมาส์เกมมิ่งค่า DPI สูงพร้อมโปรแกรมตั้งค่าเมาส์ให้ใช้ลากเป้าเล่นเกมได้อย่างสนุกสนานหรือเมาส์สายทำงานดีไซน์พิเศษออกแบบมาเข้าสรีระร่างกายมนุษย์ได้เป็นอย่างดี ออกแบบตามรูปแบบการวางมือไม่ต้องบิดข้อมือเข้ามาให้เลือกด้วย

ข้อดีของเมาส์ไร้สายนอกจากเรื่องจัดโต๊ะคอมได้สวยงามไม่มีสายไฟมาพาดรกรุงรังแล้ว ก็มีข้อดีอื่นอีกอย่างตอนใช้งานหรือเล่นเกมก็สามารถกวาดเมาส์ไปมาได้โดยไม่มีสายมารั้งดึงเมาส์ให้เสียอารมณ์ตอนเล่นเกมหรือทำงาน และถ้าอยู่ในระยะ 10 เมตรจากตัว USB 2.4 GHz ก็ยังใช้งานได้ตามปกติ เวลาจะกดดูหนังหรือเปลี่ยนเพลงในคอมก็เอาเมาส์มาวางบนเตียงหรือโต๊ะใกล้ๆ ที่นั่งแล้วกดเลือกได้เลย และยังไม่นับรวมฟีเจอร์เฉพาะของเมาส์ไร้สายแนะนำแต่ละรุ่นซึ่งผู้เขียนเลือกมาแนะนำอีกด้วย

Advertisementavw
เมาส์ไร้สายแนะนำ

สรุปสเปค 7 เมาส์ไร้สายแนะนำ รวมมิตรสายเกมมิ่งและทำงาน

สเปคเมาส์ไร้สายแนะนำ Sensor & DPI

Connectivity

Software Supported OS Weight (กรัม) Price (บาท)
SteelSeries Rival 3 SteelSeries TrueMove Air

100~18,000 DPI

USB 2.4GHz

Bluetooth 5.0

SteelSeries Engine Windows

macOS

ChromeOS

Linux

PlayStation 4 และ 5

Xbox

106 1,690
FANTECH XD7 ARIA Pro PixArt 3395

50~26,000 DPI

USB 2.4GHz

Bluetooth 5.0

Personalization+ Windows

macOS

59 1,890
ASUS ROG Spatha X สูงสุด
19,000 DPI

USB 2.4 GHz

USB-C

ASUS Armoury Crate Windows 10 เป็นต้นไป 168 4,290
Pulsar X2 PixArt 3395
สูงสุด
26,000 DPI

USB 2.4 GHz

USB-C

โปรแกรมของ Pulsar Windows 7
ขึ้นไป

macOS

Linux

56 3,890
Seenda เมาส์ไร้สาย Ergonomic 800 / 1,200 / 1,600 DPI

USB 2.4 GHz

Bluetooth 4.0

เชื่อมต่อได้
3 เครื่อง

Windows

macOS

Android

756
Logitech Lift Vertical Ergonomic Mouse 400~4,000 DPI

USB 2.4 GHz

Bluetooth

เชื่อมต่อได้
3 เครื่อง

Logi Options+
รองรับ
Logitech Flow
Windows

macOS

iPadOS

ChromeOS

Linux

Android 8

125 1,790
Logitech MX Anywhere 3 Darkfield ปรับได้ 200~4,000 DPI

USB 2.4 GHz

Bluetooth

เชื่อมต่อได้
3 เครื่อง

Logi Options+
รองรับ
Logitech Flow
Windows

macOS

ChromeOS

Linux

iOS

iPadOS

Android

99 1,990

7 เมาส์ไร้สายแนะนำ รวมมิตรทั้งสายเกมมิ่งและ Ergonomic ให้เลือกกันแบบจุกๆ

ในอดีตเมาส์ไร้สายอาจจะมีราคาแพงประมาณ 3-5 พันบาท แต่เพราะเทคโนโลยีดีขึ้นเรื่อยๆ ราคาจึงถูกลงและหาซื้อได้ง่ายกว่าเดิมทั้งจากผู้ผลิตชั้นนำคุ้นหูใครหลายๆ คนและผู้ผลิตรายใหม่ที่ทำราคาถูกแต่ดีมาแข่งก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ซึ่งเมาส์ไร้สายแนะนำทั้งสายทำงานและเกมมิ่งตอนนี้มี 7 รุ่น ได้แก่

  1. SteelSeries Rival 3 (1,690 บาท)
  2. FANTECH XD7 ARIA Pro (1,890 บาท)
  3. ASUS ROG Spatha X (4,290 บาท)
  4. Pulsar X2 (3,890 บาท)
  5. Seenda เมาส์ไร้สาย Ergonomic (756 บาท)
  6. Logitech Lift Vertical Ergonomic Mouse (1,790 บาท)
  7. Logitech MX Anywhere 3 (1,990 บาท)

1. SteelSeries Rival 3 (1,690 บาท)

buyimg rival3wl 001.jpg 1920x1080 q100 crop fit optimize subsampling 2

เริ่มต้นกับเมาส์เกมมิ่งราคาประหยัดแบรนด์ขวัญใจเกมเมอร์หลายๆ คนอย่าง SteelSeries Rival 3 ซึ่งราคาไม่แพงหลักพันบาทต้นๆ แต่ฟีเจอร์เรียกว่าเทียบชั้นเกมมิ่งเมาส์ชั้นนำหลายรุ่นได้สบายๆ ดีไซน์เป็นแบบ False Ambidextrous จับถนัดทั้งสองมือ โดยเหมาะกับสไตล์ Claw, Fingertip Grip เน้นมือขวาเป็นหลัก ติดไฟ RGB มาตรงลูกล้อเมาส์ เชื่อมต่อผ่าน USB 2.4GHz หรือ Bluetooth 5.0 ก็ได้ ใช้งานได้นาน 400 ชั่วโมง ติดตั้งโปรแกรม SteelSeries Engine ไว้ตั้งค่าเซนเซอร์ SteelSeries TrueMove Air เซ็ตค่า DPI ได้ละเอียดตั้งแต่ 100~18,000 DPI มีอัตราเร่ง 40G ความเร็ว 400 IPS น้ำหนัก 106 กรัม ใช้งานได้หลากหลายระบบปฏิบัติการทั้ง Windows, macOS, ChromeOS, Linux, PlayStation 4 และ 5, Xbox ได้ทันที เป็นเมาส์ไร้สายแนะนำสำหรับคนหาของดีราคาไม่แรงเอาไว้เล่นเกมที่บ้านแล้วพกใส่กระเป๋าไปทำงานก็ดี

สเปคของ SteelSeries Rival 3

Sensor & DPI SteelSeries TrueMove Air ตั้งค่าได้ 100~18,000 DPI
การเชื่อมต่อ USB 2.4GHz, Bluetooth 5.0
โปรแกรมตั้งค่าเมาส์ SteelSeries Engine
ระบบปฏิบัติการ Windows, macOS, ChromeOS, Linux, PlayStation 4 และ 5, Xbox
น้ำหนัก 106 กรัม
ราคา 1,690 บาท (Pro Gadgets Shopee Mall)

2. FANTECH XD7 ARIA Pro (1,890 บาท)

Aria XD7 Superlightweight

ถ้าไม่ชอบไฟ RGB แต่ขอเมาส์ไร้สายแนะนำเจ๋งๆ เอาไว้ทำงานและเล่นเกมสักตัว FANTECH XD7 ARIA Pro เมาส์เกมมิ่งทรงไข่ทรง False Ambidextrous น้ำหนักเบาแค่ 59 กรัม ตัวนี้น่าสนใจมาก ซึ่งทางผู้ผลิตแนะนำว่ามันเมาะกับวิธีจับแบบ Claw, Fingetip Grip เป็นหลัก มีสวิตช์สลับโหมดการเชื่อมต่อได้ 3 แบบ ทั้งสาย USB-C, USB 2.4GHz หรือ Bluetooth 5.0 โหลดโปรแกรม Personalization+ มาติดตั้งใช้เซ็ตฟังก์ชั่น, มาโครและปรับค่า DPI ของเซนเซอร์ PixArt 3395 ได้ละเอียดตั้งแต่ 50~26,000 DPI มีอัตราเร่ง 50G และความเร็ว 650 IPS ใช้งานกับระบบปฏิบัติการ Windows, macOS ได้ ระยะเวลาใช้งานตอนเล่นเกมอยู่ได้นาน 40 ชั่วโมง เป็นเมาส์ไร้สายแนะนำสำหรับคนอยากซื้อเมาส์ตัวเดียวใช้เล่นเกมที่บ้านก็ดีหรือพกไปออฟฟิศก็ทำงานได้สะดวกและถ้าใครเบื่อไฟ RGB อยากจัดโต๊ะคอมคุมโทนให้ดูสวยมีสไตล์ก็แนะนำให้ซื้อเมาส์ตัวนี้ไปใช้ได้เลย

สเปคของ FANTECH XD7 ARIA Pro

Sensor & DPI PixArt 3395 ตั้งค่าได้ 50~26,000 DPI
การเชื่อมต่อ USB-C, USB 2.4 GHz, Bluetooth 5.0
โปรแกรมตั้งค่าเมาส์ Personalization+
ระบบปฏิบัติการ Windows, macOS
น้ำหนัก 59 กรัม
ราคา 1,890 บาท (Gadget Villa Shopee)

3. ASUS ROG Spatha X (4,290 บาท)

hero

ถ้าเกมเมอร์จะหาเมาส์ไร้สายแนะนำสำหรับเล่นเกม MOBA, MMO อยากเซฟปุ่มมาโครไว้ใช้หลายๆ แบบมี ASUS ROG Spatha X เป็นเมาส์ไร้สายแนะนำ นอกจากดีไซน์จะเท่ไม่เหมือนใครยังมีแท่นชาร์จไร้สายเฉพาะของเมาส์เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ได้แถมยังแต่งโต๊ะทำงานไปในตัว มีไฟ RGB เลือกโหมดเชื่อมต่อได้ 2 แบบ ทั้ง USB 2.4GHz และ USB-C ใช้โปรแกรม ASUS Armoury Crate เซ็ตตั้งค่าปุ่มมาโครบนตัวทั้ง 12 ปุ่ม ปรับค่า DPI ได้ละเอียดสุด 19,000 DPI มีอัตราเร่ง 50G กับความเร็ว 400 IPS ใช้งานไร้สายได้นานสุด 67 ชั่วโมง มีฟีเจอร์ชาร์จไว 15 นาทีเล่นเกมได้ 12 ชั่วโมง แต่เพราะฟังก์ชั่นเยอะตัวเมาส์จึงใหญ่มีน้ำหนักมากถึง 168 กรัม รองรับระบบปฏิบัติการ Windows 10 เป็นต้นไป ถือเป็นเมาส์ไร้สายแนะนำฟีเจอร์อลังการเน้นการเล่นเกมโดยเฉพาะรุ่นหนึ่ง

สเปคของ ASUS ROG Spatha X

Sensor & DPI 19,000 DPI
การเชื่อมต่อ USB 2.4 GHz, USB-C
โปรแกรมตั้งค่าเมาส์ ASUS Armoury Crate
ระบบปฏิบัติการ Windows 10 เป็นต้นไป
น้ำหนัก 168 กรัม
ราคา 4,290 บาท (ROG Shopee Mall)

4. Pulsar X2 (3,890 บาท)

Pulsar X2 Wireless Gaming Mouse 002

เมาส์ไร้สายสำหรับเกมเมอร์สาย FPS ตอบสนองไวต้องเป็น Pulsar X2 ดีไซน์เรียบสวยตอบสนองเร็วทันใจด้วยเซนเซอร์ PixArt PAW3395 ปรับค่า DPI ได้สูงสุด 26,000 DPI มีความเร็ว 650 IPS อัตราเร่ง 50G ตั้งค่าเซฟมาโครเซ็ตโปรไฟล์ได้ด้วยโปรแกรมของ Pulsar เมาส์ดีไซน์สมมาตร (Symmetrical) เหมาะกับ Claw, Fingertip Grip เป็นหลัก มีน้ำหนักเบาเพียง 56 กรัม ใช้เล่นเกมได้นาน 70 ชั่วโมง แบบไร้สายด้วย USB 2.4GHz หรือ USB-C ก็ได้ แถมมีสีแดงให้เลือกนอกจากสีขาวดำอีกด้วย ใช้งานได้ทั้ง Windows 7 ขึ้นไป, macOS, Linux

สเปคของ Pulsar X2

Sensor & DPI PixArt PAW3395 ปรับได้ 26,000 DPI
การเชื่อมต่อ USB 2.4 GHz, USB-C
โปรแกรมตั้งค่าเมาส์ โปรแกรมของ Pulsar
ระบบปฏิบัติการ Windows 7 ขึ้นไป, macOS, Linux
น้ำหนัก 56 กรัม
ราคา 3,890 บาท (Pulsar Shopee Mall)

5. Seenda เมาส์ไร้สาย Ergonomic (756 บาท)

sg 11134202 23030 wv9q6brhucovdd

นอกจากเล่นเกมแล้วก็มีเมาส์ไร้สายดีไซน์ตามหลักสรีระศาสตร์ให้เลือกอย่าง Seenda เมาส์ไร้สาย Ergonomic ที่ดีไซน์ให้จับเมาส์แบบแนวตั้งช่วยลดอาการปวดข้อมือหรือเมื่อยเวลาใช้งานยาวนานทั้งวัน เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ 3 เครื่องผ่านทาง USB 2.4GHz และ Bluetooth 4.0 ได้ ติดพอร์ต USB-C มาใช้ชาร์จแบตเตอรี่ ปรับค่า DPI ได้ 3 ระดับ คือ 800 / 1,200 / 1,600 DPI ใช้กับระบบปฏิบัติการ Windows, macOS, Android ได้ มีไฟ RGB เพื่อความสวยงามและบอกปริมาณแบตเตอรี่ที่เหลือในเมาส์ได้อีกด้วย เป็นเมาส์ไร้สายแนะนำสำหรับคนหาเมาส์ทำงานราคาประหยัดเอาไว้ใช้สักตัวหนึ่ง

สเปคของ Seenda เมาส์ไร้สาย Ergonomic

Sensor & DPI 800 / 1,200 / 1,600 DPI
การเชื่อมต่อ USB 2.4 GHz และ Bluetooth 4.0 เชื่อมต่อได้ 3 เครื่อง
โปรแกรมตั้งค่าเมาส์
ระบบปฏิบัติการ Windows, macOS, Android
น้ำหนัก
ราคา 756 บาท (Seenda Shopee Mall)

6. Logitech Lift Vertical Ergonomic Mouse (1,790 บาท)

lift intro pink tablet

เมาส์ไร้สายสำหรับใช้ทำงานจากแบรนด์ชั้นนำระดับโลกจะมี Logitech Lift Vertical Ergonomic Mouse เป็นรุ่นแรกที่เลือกมาแนะนำ ซึ่งดีไซน์ออกแบบตามหลักสรีระศาสตร์และทดสอบใน The Logi Ergo Lab ให้ใช้งานได้ดีสุด โดยเมาส์จะตั้งทำมุม 57 องศาให้วางมือแนวตั้งตามแนวแขนแล้วใช้ได้เลย ติดปุ่มใช้งานต่างๆ มาครบถ้วน ตั้งค่าได้ด้วยโปรแกรม Logi Options+ ปรับตั้งค่า DPI ได้ 400~4,000 DPI เชื่อมต่อ USB 2.4GHz และ Bluetooth กับ Windows, macOS, iPadOS, ChromeOS, Linux, Android 8 ได้พร้อมกันได้มากสุด 3 เครื่องและกดสลับใช้งานได้ ใช้ถ่าน AA x 1 ก้อน ใช้งานได้นาน 24 เดือน น้ำหนักรวม 125 กรัม สกรอล์เมาส์เป็นแบบ SmartWheel หมุนตามความเร็วการกรอนิ้วและรองรับ Logitech Flow ใช้เมาส์คีย์บอร์ด Master Series ชุดเดียวคุมคอมพิวเตอร์พร้อมกันได้ 3 เครื่อง สลับใช้งานโดยอัตโนมัติ ไม่เกี่ยงระบบปฏิบัติการอีกด้วย เป็นเมาส์ Ergonomic เพื่อสายทำงานที่น่าใช้และราคาไม่แพงอีกด้วย

สเปคของ Logitech Lift Vertical Ergonomic Mouse

Sensor & DPI 400~4,000 DPI
การเชื่อมต่อ USB 2.4 GHz, Bluetooth
โปรแกรมตั้งค่าเมาส์ Logi Options+ รองรับ Logitech Flow
ระบบปฏิบัติการ Windows, macOS, iPadOS, ChromeOS, Linux, Android 8
น้ำหนัก 125 กรัม
ราคา 1,790 บาท (Hardware Corner Shopee)

7. Logitech MX Anywhere 3 (1,990 บาท)

mx anywhere 3 product gallery rose rear

ถ้าหาเมาส์ไร้สายดีไซน์จับถนัดมือและสกรอล์เมาส์ MagSpeed เลื่อนหน้าจอได้อย่างรวดเร็วและปรับโหมดการเลื่อนได้ 2 แบบทั้งสกรอล์ปกติและแบบ Linear ลื่นต่อเนื่อง ต้อง Logitech MX Anywhere 3 เมาส์สายทำงานหนึ่งในซีรี่ส์ Master ที่ลงทุนเอาไว้อย่างไรก็คุ้ม โดยตัวนี้ติดตั้งเซนเซอร์ Darkfield ปรับค่า DPI ได้ 200~4,000 DPI และเป็นเซนเซอร์ประสิทธิภาพสูงใช้งานบนโต๊ะกระจกได้ ใช้โปรแกรม Logi Options+ ปรับตั้งค่าเมาส์ได้โดยละเอียดแถมรองรับ Logitech Flow เช่นกัน เชื่อมต่อ Windows, macOS, ChromeOS, Linux, iOS, iPadOS, Android ได้ด้วย USB 2.4 GHz และ Bluetooth มีแบตเตอรี่ในตัวใช้งานได้นาน 70 วัน ชาร์จแบตเตอรี่ด้วยพอร์ต USB-C มีน้ำหนัก 99 กรัม แต่ขนาดกะทัดรัดจึงเหมาะจะพกใส่กระเป๋าไปไหนมาไหนมาก ถ้าใครหาเมาส์ไร้สายพกสะดวกไว้ใช้ รุ่นนี้ถือว่าตอบโจทย์มากๆ

สเปคของ Logitech MX Anywhere 3

Sensor & DPI Darkfield ปรับได้ 200~4,000 DPI
การเชื่อมต่อ USB 2.4 GHz และ Bluetooth
โปรแกรมตั้งค่าเมาส์ Logi Options+ รองรับ Logitech Flow
ระบบปฏิบัติการ Windows, macOS, ChromeOS, Linux, iOS, iPadOS, Android
น้ำหนัก 99 กรัม
ราคา 1,990 บาท (Hardware Corner Shopee)
sanju pandita BBgkm62ySL0 unsplash

เมาส์ไร้สายนาทีนี้ไม่ว่าจะสายทำงานหรือเกมมิ่งก็ถือว่าน่าใช้ทั้งนั้น โดยเฉพาะเมาส์เกมมิ่งไร้สายที่ผู้ใช้หลายคนน่าจะซื้อมาใช้เล่นเกมและทำงานได้ทั้งคู่ แต่เมาส์สำหรับใช้ทำงานโดยเฉพาะอาจโดนเมินไปบ้าง ซึ่งเมาส์ Ergonomic นั้นนอกจากจะดีต่อสุขภาพแขนลดโอกาสเกิด Office syndrome ได้แล้ว มันยังใส่ฟีเจอร์ไว้ใช้ทำงานมาโดยเฉพาะซึ่งไม่มีเมาส์เกมมิ่งตัวไหนเหมือนมาให้ โดยเฉพาะ Logitech Flow ฟีเจอร์ที่ใช้คุมคอมพิวเตอร์ 2-3 เครื่องพร้อมกันได้โดยไม่ต้องกดสลับเครื่องและยังโอนย้ายไฟล์ข้ามคอมพิวเตอร์ได้ไม่เกี่ยงระบบปฏิบัติการก็ช่วยให้ผู้ใช้ที่มีพีซีและโน๊ตบุ๊คสามารถทำงานได้ไหลลื่นขึ้น แถมยังมีลูกเล่นอย่างตั้งคีย์ลัดใช้งานบ่อยในแต่ละโปรแกรมเอาไว้ได้อีก เรียกว่ามีข้อดีให้เลือกและทุ่นเวลาทำงานไปได้ระดับหนึ่งเลย ดังนั้นถ้าเราเลือกเมาส์ให้ถูกโจทย์การทำงานล่ะก็ นอกจากสะดวกแล้วยังเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้มากขึ้นอีก


บทความที่เกี่ยวข้อง

ReviweLogaMouse
Share image Edit Name 232inch 1
5สินค้าaMD

from:https://notebookspec.com/web/701966-7-wireless-mouse-for-work-and-gaming

รีวิว LOGA GARUDA PRO+, LOGA Shinryu Pro Wireless 2 เมาส์เทพแบรนด์คนไทย คุณภาพระดับโลก เกมเมอร์ถูกใจ!

LOGA GARUDA PRO+ และ LOGA Shinryu Pro Wireless เกมมิ่งเกียร์คนไทยคุณภาพระดับโลก!

ReviweLogaMouse jpg

LOGA GARUDA PRO+ และ LOGA Shinryu Pro Wireless เมาส์เกมมิ่งแบรนด์ไทยคุณภาพดีเทียบชั้นเมาส์เกมมิ่งชั้นนำจากต่างประเทศได้สบายๆ ซึ่งผู้เขียนเคยแนะนำไปในบทความแนะนำเมาส์เกมมิ่งก่อนหน้านี้ และผู้เขียนเชื่อว่าเกมเมอร์ชาวไทยน่าจะคุ้นเคยและได้ยินชื่อแบรนด์นี้ไปจับมือสร้างสินค้าร่วมกับแบรนด์และศิลปินชั้นนำหลายแบรนด์ เช่น CARNIVAL, INDIGOSKIN, Benzilla เป็นต้น ด้านคุณภาพและฟีเจอร์ของเกมมิ่งเกียร์จาก LOGA ก็ถือว่าอยู่ในระดับชั้นแนวหน้า ไม่แพ้แบรนด์จากต่างประเทศแน่นอน อย่างเช่นเมาส์เกมมิ่ง LOGA GARUDA PRO+ และ LOGA Shinryu Pro Wireless ในรีวิวครั้งนี้

Advertisementavw

เริ่มจากเกมมิ่งเมาส์เรือธงของทาง LOGA รุ่น LOGA Shinryu Pro Wireless ราคา 3,190 บาท เป็นเมาส์เกมมิ่งดีไซน์เรียบง่าย บอดี้กึ่งโปร่งใสมีไฟ RGB สามารถถอดเปลี่ยนสวิตช์แบบ Hot Swap ทั้งปุ่มคลิ๊กซ้ายและขวาแถมยังมีสวิตช์สำรองแถมมาอีก 4 คู่ ให้ผู้ใช้เปลี่ยน Pretravel ได้ตามรสนิยมของแต่ละคน แถมมีอุปกรณ์สำหรับถอดเปลี่ยนปุ่มมาในกล่องอีกด้วยและยังมีฝาหลังสำรองเอาไว้เปลี่ยนความสูงของ Shinryu Pro Wireless ให้เข้ากับมือของแต่ละคน โดยทางบริษัทเคลมไว้ว่าเมาส์นี้จะเหมาะกับคนชอบจับแบบ Claw หรือ Fingertip Grip เป็นหลัก นอกจากนี้ยังมีซอฟท์แวร์ของทาง LOGA ไว้ปรับแต่งเมาส์ได้ด้วย

ด้าน LOGA GARUDA PRO+ ราคา 2,990 บาท รุ่นนี้ก็โดดเด่นไม่แพ้กับ Shiryu Pro Wireless เพราะทางบริษัทออกแบบให้เมาส์ตัวนี้ถอดแบตเตอรี่ในตัวออกมาชาร์จแล้วใส่แบตฯ สำรองที่ชาร์จจนเต็มเข้าไปแทนแล้วเล่นเกมต่อได้ทันที แถมยังมีฝาหลังสำรองให้เปลี่ยนอีก 3 ชิ้น ทั้งแบบฝาหลังเรียบและฉลุ หลังโด่งและลาดลงให้เลือกได้ตามต้องการและมีซอฟท์แวร์ปรับตั้งค่าจากทาง LOGA ให้โหลดไปใช้ได้เช่นกัน จัดว่ามีจุดเด่นน่าใช้ไปคนละสไตล์ตามที่ผู้ใช้แต่ละคนชอบได้เลย

LOGA Shinryu Pro Wireless 

NBS Verdicts

LOGA GARUDA PRO+

LOGA GARUDA PRO+ และ LOGA Shinryu Pro Wireless เป็นเมาส์เกมมิ่งแบรนด์ไทยที่น่าใช้ทั้งคู่ โดยแต่ละรุ่นก็จะมีจุดเด่นแตกต่างกันไปและมีซอฟท์แวร์ของทาง LOGA แยกเฉพาะของเมาส์เกมมิ่งแต่ละตัวเอาไว้เปลี่ยนฟังก์ชั่นของปุ่มต่างๆ บนเมาส์, ไฟ RGB, เซฟมาโครปุ่มใช้งานบ่อยเอาไว้กดใช้งานได้ตามต้องการ จัดว่าค่อนข้างครบเครื่องสำหรับเกมเมอร์ส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้แล้ว

จุดเด่นของเมาส์เกมมิ่งทั้งสองตัวนี้นอกจากการเปลี่ยนสวิตช์คลิ๊กซ้ายขวาของ Shinryu Pro Wireless และถอดเปลี่ยนแบตเตอรี่ออกมาชาร์จได้ของ GARUDA PRO+ แล้ว การเชื่อมต่อไร้สายด้วย USB 2.4GHz Dongle ของทั้งสองรุ่นตอบสนองได้ยอดเยี่ยม รวดเร็วทันใจพอกับเมาส์เกมมิ่งจากแบรนด์ชั้นนำระดับโลกหลายๆ รุ่น แถมยังใช้เซนเซอร์คุณภาพดีระดับโลกอย่าง PAW 3395 ทั้งคู่ ปรับค่า DPI ไปได้สูงสุด 26,000 DPI ความเร็วสูงถึง 650 IPS เท่ากับเมาส์เกมมิ่งชั้นนำจากต่างประเทศหลายๆ รุ่น แถมงานประกอบเมาส์ยังแข็งแรงทนทานมากและอาจจะดีกว่าแบรนด์เกมมิ่งจากต่างประเทศบางรุ่นเสียด้วยซ้ำ

จุดน่ารักของเมาส์เกมมิ่งจาก LOGA ทั้ง 2 รุ่น และถือเป็นความใส่ใจของทางบริษัท ต้องยกให้อุปกรณ์เสริมในกล่องทั้งฝาหลังเมาส์ถอดเปลี่ยนได้ 2~4 แบบ และยังได้ Mouse Feet (Glide) แถมมาให้อีกชุดเป็นอุปกรณ์สำรองเวลาใช้งานไปนานๆ แล้วของเดิมติดเมาส์เริ่มเสื่อมใช้งานได้ไม่ดีเท่าเดิมก็ถอดเปลี่ยนได้ด้วยตัวเองอีกด้วย จัดเป็นความใส่ใจเล็กๆ น้อยๆ แต่น่าประทับใจจากแบรนด์ LOGA ซึ่งผู้เขียนชื่นชอบมาก

กลับกัน จุดสังเกตจากที่ได้ใช้เมาส์เกมมิ่งมาหลากหลายรุ่น อย่างแรกคือเมาส์ทั้งสองรุ่นนี้จะใช้ซอฟท์แวร์แยกกันคนละตัว ถ้าเป็นแบรนด์ชั้นนำส่วนใหญ่จะทำซอฟท์แวร์รวมเอาไว้ตัวเดียวเพื่อรองรับเกมมิ่งเกียร์ทุกตัวในเครือ ทั้งเมาส์, คีย์บอร์ด, หูฟังเกมมิ่ง ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องลบโปรแกรมลงใหม่เรื่อยๆ แค่ต่ออุปกรณ์เข้าเครื่อง โปรแกรมจับได้ว่าอุปกรณ์ชิ้นนั้นเป็นรุ่นใดแล้วโหลดการตั้งค่าจากโรงงานผ่าน Cloud มาใช้งานได้เลยเป็นต้น หากทาง LOGA พัฒนาส่วนของซอฟท์แวร์ด้วยตัวเองเช่นนี้จะยอดเยี่ยมมาก

หากเป็นไปได้ ผู้เขียนมีความเห็นว่าถ้า LOGA จะออกเมาส์รุ่นใหม่ก็น่าเอาฟีเจอร์ถอดแบตเตอรี่ของ GARUDA PRO+ มารวมกับฟีเจอร์ถอดสวิตช์ได้ของ Shinryu Pro Wireless ให้เป็นเมาส์รุ่นใหม่ ถอดแยกชิ้นส่วนได้แทบทั้งหมดปรับแต่งได้ตามต้องการน่าจะถูกใจเกมเมอร์สายแกะถอดชิ้นส่วนหรือปรับแต่งเมาส์ตามใจชอบอย่างแน่นอน

ข้อดีของ LOGA GARUDA PRO+ และ LOGA Shinryu Pro Wireless
  1. งานประกอบเมาส์แข็งแรงทนทานเหมือนแบรนด์ชั้นนำจากต่างประเทศ
  2. มีซอฟท์แวร์ตั้งค่าเมาส์ทั้งไฟ RGB, บันทึกมาโคร, ปรับเปลี่ยนปุ่มให้โหลดมาใช้งาน
  3. ใช้เซนเซอร์ PAW 3395 ปรับได้ 26,000 DPI ทำงานได้รวดเร็วแม่นยำมาก
  4. ใช้งานแบบไร้สายด้วย USB 2.4GHz Dongle ไม่มีสายเมาส์ติดให้กวนใจ
  5. พอร์ตของเมาส์เป็น USB-C แล้ว หาสายเชื่อมต่อหรือชาร์จใช้งานได้ง่ายมาก
  6. มีฝาหลังเมาส์สูงต่ำ 2~4 แบบ ให้ถอดเปลี่ยนได้ตามรูปมือของเจ้าของเมาส์
  7. แถม Mouse Feet (Glide) มาในแพ็คเกจอีก 1 ชุด ถอดเปลี่ยนอันเก่าได้ตามต้องการ
  8. Shinryu Pro Wireless ใช้วัสดุ Polycarbonate แข็งแรงทนทานน่าใช้
  9. Shinryu Pro Wireless ถอดสวิตช์เมาส์ได้แบบ Hotswap ได้ เปลี่ยนสวิตช์ได้ตามชอบ
  10. Shinryu Pro Wireless ได้สวิตช์แถมมาให้เปลี่ยน 4 คู่ ถอดเปลี่ยนได้ตามต้องการ
  11. GARUDA PRO+ ถอดแบตเตอรี่มาชาร์จได้ด้วยสาย USB-C ใช้งานได้ต่อเนื่องไม่สะดุด
  12. GARUDA PRO+ ได้ฝาหลังถอดเปลี่ยน 4 แบบ มีแบบฉลุหลังหรือเรียบให้เลือก
ข้อสังเกตของ LOGA GARUDA PRO+ และ LOGA Shinryu Pro Wireless
  1. ซอฟท์แวร์ทำแยกตามรุ่นเมาส์ ไม่ได้ทำรวมเกมมิ่งเกียร์แบบแบรนด์ชั้นนำ
  2. แบตเตอรี่ของ GARUDA PRO+ ต้องชาร์จด้วยไฟจาก USB ของคอมเท่านั้น
  3. สวิตช์ GARUDA PRO+ เลื่อนเปิดปิดไม่ถนัด น่าทำเป็นขีดให้ใช้เล็บดันได้แบบ Shinryu Pro 

รีวิว LOGA GARUDA PRO+ และ LOGA Shinryu Pro Wireless

Specification

GarudaShinryu DSC01237

LOGA เมาส์เกมมิ่งแบรนด์ไทยคุณภาพระดับโลก ณ ปัจจุบันนี้มีรุ่นเรือธงน่าใช้ทั้งหมด 2 รุ่น ได้แก่ Shinryu Pro Wireless และ GARUDA PRO+ ซึ่งทั้ง 2 รุ่นนี้มีจุดเด่นแตกต่างกันตามดีไซน์ โดยมีรายละเอียดสเปคดังนี้

สเปคของ LOGA GARUDA PRO+
Sensor&DPI PAW 3395 ปรับได้ 26,000 DPI, 650 IPS
Battery Life 44 ชั่วโมง 300mAh ถอดเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้
Switch Huano Blue shell Pink dot switch 80M
Weight&Game Style 69 กรัม เล่นได้ทุกแนวโดยเฉพาะ FPS
Software ซอฟท์แวร์ของทาง LOGA
Price 2,990 บาท
สเปคของ LOGA SHINRYU PRO WIRELESS
Sensor&DPI PAW 3395 ปรับได้ 26,000 DPI, 650 IPS
Battery Life 44 ชั่วโมง ความจุ 300mAh 
Switch แบบ Hot-Swap เลือกได้

Huano blue shell white dot, TTC gold, Kailh 8.0, Omron 20M

Weight&Game Style 69 กรัม เล่นได้ทุกแนวโดยเฉพาะ FPS
Software ซอฟท์แวร์ของทาง LOGA
Price 3,190 บาท

Unboxing

GarudaShinryu DSC01142

กล่องสินค้าของ LOGA ไม่ว่าจะ LOGA Shinryu Pro Wireless หรือ LOGA GARUDA PRO+ จะไม่ใช่ภาพเมาส์ปริ้นท์ติดหน้ากล่อง แต่เป็นงานอาร์ทสวยงามพร้อมเขียนฟีเจอร์เด่นเอาไว้ข้างกล่อง เพื่อบอกจุดเด่นของเมาส์เกมมิ่งแต่ละรุ่นว่ามีอะไรบ้าง เมื่อเปิดกล่องแล้วจะเห็นเมาส์และอุปกรณ์เสริมอื่นๆ เก็บเอาไว้ในช่องโฟมตัดแยกพอดีตัว โดยจะมี 3 ช่อง ได้แก่ ช่องใส่เมาส์, ช่องเก็บสาย USB-C แบบสายถักและมีเข็มขัดยางรัดสายไฟ ด้านล่างเป็นกรอบเก็บอุปกรณ์เสริมต่างๆ ไม่ว่าจะฝาหลังเมาส์สำรอง, Mouse Feet (Glide), กล่องใส่สวิตช์เสริมของ Shinryu Pro Wireless และอื่นๆ ด้วย

GarudaShinryu DSC01245

GarudaShinryu DSC01260
GarudaShinryu DSC01256
GarudaShinryu DSC01251
GarudaShinryu DSC01250
GarudaShinryu DSC01247
GarudaShinryu DSC01248

ภายในกล่องของ Shinryu Pro Wireless นอกจากตัวเมาส์แล้ว ในกล่องจะมีอุปกรณ์เสริมใส่มาให้หลายชิ้น ได้แก่ ฝาหลังเมาส์แบบหลังโด่งหรือลาด, Mouse Feet สำรองสีขาวและแบบใสบนแผ่นกาวสีเหลือง, กล่องใสใส่สวิตช์ 4 คู่ บนโฟมสีดำ พร้อมคีมคีบสวิตช์และไขควง ภายในกล่องจะมี Huano blue shell white dot สีฟ้าขีดขาว, TTC gold สวิตช์สีส้ม, Kailh 8.0 สวิตช์ดำโครงบนใส, Omron 20M สวิตช์สีดำทึบขีดขาว เอาไว้ถอดเปลี่ยนกับ Huano Blue shell Pink dot switch 80M ภายในเมาส์ได้หากสัมผัสตอนใช้งานไม่ถูกใจหรือต้องการการตอบสนองที่เร็วขึ้น

ด้านสายถัก USB-C ในกล่องจะมีเข็มขัดยางรัดเก็บสายติดมาให้ จะต่อใช้กับเมาส์โดยตรงก็ได้หรือจะเข้ากับตัวแปลง USB-C to A ของ LOGA แล้วเอามาวางหน้าเมาส์ให้ระยะสัญญาณของ USB 2.4GHz Dongle อยู่ใกล้เมาส์ก็ได้เช่นกัน เป็นอุปกรณ์เสริมซึ่งเมาส์เกมมิ่งหลายๆ รุ่นในยุคนี้นิยมทำกัน เพราะหากตัวรับส่งสัญญาณอยู่ใกล้เมาส์ก็ยิ่งตอบสนองได้ดีนั่นเอง

GarudaShinryu DSC01141

ด้าน LOGA GARUDA PRO+ ก็เช่นกัน โดยหน้ากล่องจะเป็นงานอาร์ทรูปครุฑแบบหุ่นยนต์ ดูล้ำสมัยไม่แพ้กับกล่องของ Shinryu Pro Wireless และมีจุดเด่นของเมาส์เขียนเอาไว้ข้างกล่อง เปิดมาแล้วจะมีเมาส์, สายถัก USB-C, หัวแปลง USB-C to A และ USB 2.4GHz Dongle ในตัวและอุปกรณ์เสริมอื่นๆ ของตัวเมาส์อีกด้วย

GarudaShinryu DSC01288

GarudaShinryu DSC01287
GarudaShinryu DSC01306
GarudaShinryu DSC01289
GarudaShinryu DSC01316

ด้าน Mouse Feet (Glide) ของ GARUDA PRO+ จะเป็นแผ่นสีน้ำเงิน 3 แผ่น เอาไว้ติดขอบบนและล่างอย่างละแผ่นและมีวงตรงกลางสำหรับล้อมเซนเซอร์เอาไว้ มีกรอบหลังแถมมาให้เปลี่ยนอีก 3 รวมกับตัวเมาส์เป็น 4 ชิ้น แบ่งเป็นกรอบหลังโด่งและหลังราบลง มีทั้งแบบฉลุกรอบหลังกับแผ่นเรียบให้เลือกเปลี่ยนได้ตามความชอบของผู้ใช้แต่ละคนและแบตเตอรี่ลูกสำรองสำหรับสลับใช้งานกับแบตฯ ลูกหลัก ชาร์จด้วยสาย USB-C ที่แถมมาให้ในกล่องหรือจะต่อแยกก็ได้ แต่ทาง LOGA แนะนำให้ชาร์จแบตเตอรี่ของเมาส์ GARUDA PRO+ กับพอร์ต USB ของพีซีเท่านั้น เพื่อป้องกันกระแสไฟเกินแล้วทำให้แบตเตอรี่เกิดความเสียหายนั่นเอง

Design, Weight, Grip

GarudaShinryu DSC01148

GarudaShinryu DSC01262
GarudaShinryu DSC01264
GarudaShinryu DSC01266
GarudaShinryu DSC01263

ดีไซน์ของ LOGA Shinryu Pro Wireless ทางบริษัทออกแบบให้เป็นเมาส์ตูดโก่งเล็กน้อยให้เหมาะกับการจับทุกรูปแบบ แต่จะเน้นสไตล์ Claw หรือ Fingertip Grip เป็นหลัก แต่ถ้าใครชอบจับแบบ Palm Grip ก็ถอดเปลี่ยนฝาหลังเมาส์ให้ราบลงเล็กน้อยให้นาบมือไปทั้งตัวเมาส์ได้ ตัวเมาส์ทำจากวัสดุโพลีคาร์บอเนต เป็นพลาสติกเนื้อกึ่งโปร่งใสโทนสีเทาควันบุหรี่และท้ายเมาส์มีโลโก้ของ LOGA ติดเอาไว้บนแผงสีขาว ซึ่งทั้งแผงนั้นจะเป็นไฟ RGB และปรับได้ในซอฟท์แวร์ของทางบริษัท ด้านหน้าเมาส์เป็นพอร์ต USB-C สำหรับต่อใช้งานแบบมีสายและชาร์จแบตเตอรี่ให้เมาส์ได้ด้วย สามารถชาร์จด้วยอแดปเตอร์ของสมาร์ทโฟนได้แต่ควรเป็นแบบ 5V1A ให้จ่ายกระแสได้พอดีกับตัวเมาส์

ตัวเมาส์จากรูปลักษณ์เป็นแบบ False Ambidextrous เหมือนเมาส์เกมมิ่งหลายๆ รุ่นในปัจจุบัน กล่าวคือเป็นเมาส์จับถนัดทั้งมือซ้ายและขวาแต่ปุ่ม Back/Forward ติดไว้ข้างซ้ายตัวเมาส์เอื้อคนถนัดมือขวามากกว่า แต่คนถนัดซ้ายก็ใช้งานได้แต่ต้องใช้นิ้วนางกดแทน

GarudaShinryu DSC01258

GarudaShinryu DSC01260
GarudaShinryu DSC01281

การเปลี่ยนฝาหลังของ LOGA Shinryu Pro Wireless แกะเปลี่ยนได้ง่ายมาก แค่เอาเล็บสะกิดที่ร่องตะเข็บท้ายเมาส์ถัดลงมาจากโลโก้ของ LOGA ก็ถอดเปลี่ยนเอาฝาหลังอันใหม่ใส่ใช้งานได้เลยและหยิบเอา USB 2.4GHz Dongle มาใช้งานได้ หากใครจับแบบ Claw, Fingertip Grip จะเหมาะกับฝาหลังโด่ง ด้าน Palm Grip จะเหมาะกับฝาหลังโค้งลงมากกว่า และเมื่อสับสวิตช์เปิดเมาส์จะมีไฟ RGB ติดขึ้นมาบนแผงสีขาวบนตัวเมาส์ด้วย

ปุ่มต่างๆ บนตัวเมาส์ นอกจากคลิ๊กซ้าย, ขวาและสกรอล์เมาส์ตรงกลาง ถัดลงมาจะมีปุ่มปรับค่า DPI ด้านข้างซ้ายเป็นปุ่ม Back/Forward เอาไว้ให้กดใช้งาน ซึ่งปุ่มทั้งหมดบนเมาส์สามารถตั้งค่าด้วยโปรแกรมจากทาง LOGA ได้อีกด้วย

GarudaShinryu DSC01275

GarudaShinryu DSC01279
GarudaShinryu DSC01278
GarudaShinryu DSC01280

ด้านใต้ LOGA Shinryu Pro Wireless จากด้านบนจะเป็น Mouse Feet ตัวเล็ก ถัดลงมาเป็นช่องสล็อตของสวิตช์คลิ๊กซ้ายขวาให้ผู้ใช้ถอดเปลี่ยนได้ด้วยตัวเอง ตรงกลางเมาส์มีช่องเซนเซอร์ PAW 3395 คู่กับสลักสวิตช์เลื่อนเปิดปิดเมาส์ สามารถเลื่อนสวิตช์ปรับโปรไฟล์ได้ 3 แบบ เป็น P1, P2, P3 และด้านล่างเป็นโค้ง Mouse Feet ตัวใหญ่อีกชิ้น

ด้านการถอดเปลี่ยนสวิตช์ทำได้ง่ายไม่ยุ่งยากและดีต่อเกมเมอร์คลิ๊กเมาส์หนักอย่างแน่นอน แค่เอาเล็บสะกิดสลักด้านล่างยกขึ้นบนก็ดึงรางสวิตช์ออกจากเมาส์ได้แล้ว แต่มีระยะไม่มากเพราะมีสายไฟต่อกับตัวฐานเอาไว้ หากใครอยากเปลี่ยนจากสวิตช์ Huano blue shell pink dot ในตัวเมาส์ก็เอาคีมในกล่องหนีบสวิตช์ของเมาส์แล้วดึงขึ้นตรงๆ แล้วเอาสวิตช์อันใหม่ใส่กลับไปใช้งานต่อได้เลย

ภายในตลับสวิตช์สำรองจะมี Huano blue shell white dot สีฟ้าขีดขาวสัมผัสเบาเสียงไม่ดัง ทริกเกอร์เร็วปานกลาง, TTC gold สวิตช์สีส้มเสียงดังสัมผัสกดค่อนข้างเบา, Kailh 8.0 สวิตช์ดำโครงบนใส น้ำหนักกดน้อยเสียงก้องได้อารมณ์, Omron 20M สีดำทึบขีดขาว น้ำหนักกดเบาเสียงก้องแบบมาตรฐานเมาส์เกมมิ่งหลายๆ รุ่นในปัจจุบัน ซึ่งข้อดีของเมาส์แบบถอดเปลี่ยนสวิตช์ Hot Swap ได้เช่นนี้จะเหมาะกับเกมเมอร์สาย FPS มาก เนื่องจากบุคลิคการกดของแต่ละคนจะแตกต่างกัน ตัวอย่างเช่นผู้เขียนเองเป็นคนกดเมาส์หนักและเร็ว ทำให้คลิ๊กซ้ายเกิดอาการ “เบิ้ล” เร็ว จะซ่อมเองก็ไม่สะดวกนัก แต่ LOGA Shinryu Pro Wireless ก็ตัดปัญหานี้ทิ้งได้เลย ถ้าปุ่มเสียก็ถอดทิ้งใส่อันใหม่ใช้งานต่อได้ทันที ยิ่งมีสวิตช์สำรองแถมมาให้อีก 4 คู่ ก็ตัดปัญหาเรื่องนี้ได้เลย

GarudaShinryu DSC01146

GarudaShinryu DSC01311
GarudaShinryu DSC01310
GarudaShinryu DSC01313
GarudaShinryu DSC01315

ดีไซน์ของ LOGA GARUDA PRO+ หากดูเทียบกันกับ Shinryu Pro Wireless จะเห็นว่าเมาส์ตัวนี้จะยาวและลาดกว่า ใช้บอดี้เป็นสีดำทึบกับปุ่มสีแดง มีไฟ RGB ติดอยู่เช่นกันแต่จะเรืองแค่โลโก้ LOGA ในตัวเมาส์และโค้งท้ายเมาส์เท่านั้น ด้านหน้าเมาส์มีพอร์ต USB-C เอาไว้ใช้งานแบบมีสายก็ได้ หรือใช้งานแบบไร้สายก็ต่อ USB 2.4GHz Dongle เข้ากับตัวแปลงแล้วลากสายมาวางเอาไว้หน้าเมาส์ได้เช่นกัน

ปุ่มบนตัวเมาส์จะเป็นเลย์เอ้าท์เดียวกับ Shinryu Pro Wireless คือ มีปุ่มคลิ๊กซ้ายขวา, สกอร์ลเมาส์กลาง ถัดลงมาเป็นปุ่มปรับ DPI ของเมาส์และด้านข้างติดปุ่ม Back/Forward มาให้ใช้งานด้วย โดยปุ่มทั้งหมดตั้งค่าในโปรแกรมของทาง LOGA ได้เช่นกัน รวมถึงเอฟเฟคของไฟ RGB ของเมาส์อีกด้วย ว่าต้องการให้แสงไฟเป็นแบบไหน

GarudaShinryu DSC01293
GarudaShinryu DSC01292
GarudaShinryu DSC01294
GarudaShinryu DSC01295

จุดเด่นของ GARUDA PRO+ อย่างแรก คือ ทางบริษัทให้ฝาหลังเมาส์สำรองมา 3 แบบ รวมทรงรังผึ้งที่ติดมาจากโรงงานเป็น 4 แบบ ให้ผู้ใช้ถอดเปลี่ยนได้ตามชอบ ว่าต้องการให้ดีไซน์และสัมผัสตอนจับเมาส์เป็นแบบใด โดยฝาหลังแบบทึบจะมีทั้งหลังราบลงและหลังโด่งขึ้นเล็กน้อย ส่วนฝาหลังฉลุช่องเอาไว้ทั้งสองแบบถ้าเป็นทรงรังผึ้งจะเป็นฝาหลังลาดลง และฝาหลังวงรีสลับจุดจะเป็นหลังโด่ง ต้องถือว่าทาง LOGA ให้อุปกรณ์เสริมกับ GARUDA PRO+ มาเยอะไม่แพ้กับ Shinryu Pro Wireless เลย ส่วนสไตล์การจับทางบริษัทดีไซน์มาเน้นสาย Palm Grip เป็นหลัก แต่ส่วนตัวผู้เขียนเองจะจับแบบ Claw Grip ก็จับได้ดีและนิ้วชี้กับกลางก็วางปุ่มคลิ๊กซ้ายขวาได้พอดีไม่แพ้กัน

GarudaShinryu DSC01309

Mouse Feet (Glide) ด้านใต้ตัวเมาส์ของ GARUDA PRO+ จะเป็นแผ่นใหญ่ 2 แผ่นบนล่างสีขาวและแบบวงกลมเล็กล้อมเซนเซอร์กลางเมาส์เอาไว้ สามารถแกะเปลี่ยนเป็นตัวแถมจากโรงงานสีน้ำเงินก็ได้หรือจะใช้เป็นตัวสำรองเพื่อเปลี่ยนตอนอันเดิมจากโรงงานเสื่อมสภาพก็ได้ ถัดมาด้านขวาเมาส์จะมีสวิตช์ปิดเปิดเมาส์ติดมาให้ โดยสลักบนสุดเป็นการปิดเมาส์ไม่ใช้งาน ถัดลงมาเปิดไฟตรงโลโก้ LOGA ในเมาส์ หรือด้านล่างสุดจะเปิดไฟ RGB เต็มระบบ

GarudaShinryu DSC01300

GarudaShinryu DSC01302
GarudaShinryu DSC01307
GarudaShinryu DSC01308

ฟีเจอร์จุดเด่นอีกอย่างของ GARUDA PRO+ คือ การถอดเอาแบตเตอรี่ในเมาส์มาชาร์จแล้วใส่แบตฯ สำรองเข้าไปเพื่อเล่นเกมต่อได้ เวลาชาร์จทาง LOGA แนะนำให้ชาร์จผ่านทางพอร์ต USB ของพีซีให้กระแสไฟไม่แรงเกินไปจนแบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็ว ถัดลงมาจากรางแบตเตอรี่จะมีช่องใส่ USB 2.4GHz Dongle ของเมาส์นี้อีกด้วย เวลาจะพกเมาส์ไปไหนมาไหนก็ใส่เข้าช่องนี้แล้วพกไปใช้งานได้เลย

การถอดและใส่แบตเตอรี่ให้เอาเล็บเกี่ยวดึงครีบปลายแบตเตอรี่ขึ้นมาแล้วดึงออกได้ทันที เวลาใส่กลับให้หันขั้วแบตเตอรี่คว่ำลงตามภาพแล้วดันเข้าไปจนสุดแล้วกดเล็กน้อยให้ท้ายแบตเตอรี่เข้ากรอบใส่แบตฯ ก็ใช้งานต่อได้ทันที ทำให้เล่นเกมได้ต่อเนื่องไม่ขาดตอน

GarudaShinryu IMG20230310171313
GarudaShinryu IMG20230310171252

น้ำหนักของเมาส์ทั้งสองรุ่น ทางบริษัทเคลมข้อมูลเอาไว้บนหน้าสเปคเอาไว้เท่ากัน คือ 69 กรัม บวกลบ 3 กรัม เมื่อชั่งน้ำหนักแล้ว GARUDA PRO+ อยู่ที่ 72 กรัม รวมแบตเตอรี่ในตัวแล้ว ส่วน Shinryu Pro Wireless เป็น 73 กรัม ถ้าเทียบกับเมาส์เกมมิ่งระดับราคาใกล้เคียงกันที่อยู่ช่วง 80 กรัมแล้ว ต้องถือว่าเมาส์เกมมิ่งทั้งสองรุ่นนี้เบาใช้ง่าย ถ้าใครจับแบบ Fingertip Grip ก็ลากเมาส์ไปมาได้สะดวกไม่มีปัญหา เชื่อว่าถูกใจเกมเมอร์ทุกกลุ่มโดยเฉพาะเกมเมอร์สาย FPS Competitive น่าจะถูกใจอย่างแน่นอน

GarudaShinryu DSC01152

Palm Grip

GarudaShinryu DSC01153
GarudaShinryu DSC01154

วิธีการจับเมาส์ทั้ง 3 แบบ เมื่อลองจับ GARUDA PRO+ จากที่ลองจับทั้ง 3 แบบดูแล้ว ต้องถือว่าเหมาะกับการจับแบบ Palm Grip ตามที่ LOGA เคลมเอาไว้ แต่อีกสไตล์ที่จับได้ดีไม่แพ้กันคือ Fingertip Grip เนื่องจากน้ำหนักของมันเบาสามารถเอานิ้วโป้งและนิ้วนางคีบเมาส์ลากไปมาได้ง่ายๆ ส่วน Palm Grip ก็จับเข้ามือดีไม่แพ้กัน แต่ข้อสังเกตคือถ้าใช้ฝาหลังแบบฉลุช่องเอาไว้จะมีพื้นที่หน้าสัมผัสเข้าอุ้งมือน้อยไปนิดหน่อย ทำให้บางจังหวะจับแล้วลื่นหลุดมือได้บ้างแต่ถ้าเปลี่ยนเป็นฝาหลังทึบตามปกติก็ไม่มีปัญหา

GarudaShinryu DSC01149

Palm Grip

GarudaShinryu DSC01150
GarudaShinryu DSC01151

ด้าน LOGA Shinryu Pro Wireless นั้นจะเหมาะกับสไตล์การจับแบบ Claw หรือ Fingertip Grip ซึ่งในส่วนนี้ขึ้นอยู่กับรูปแบบของฝาหลังเมาส์ด้วย หากใช้ฝาหลังแบบลู่ลงตามตัวเมาส์จะเหมาะกับ Fingertip ซึ่งใช้ปลายนิ้วแตะเมาส์เท่านั้น ด้าน Palm Grip ก็จะทาบมือเข้าตัวเมาส์ได้เลย ส่วนท้ายโด่งเหมาะกับสไตล์ Claw Grip เพราะท้ายเมาส์จะแนบติดอุ้งมือพอดีแล้วโก่งนิ้วแตะเข้าปุ่มคลิ๊กเมาส์ได้เลย

Software

Shinryu 1

Shinryu 2
Shinryu 3
Shinryu 4
Shinryu 5
Shinryu 6

หน้าตาโปรแกรมของ LOGA สำหรับเมาส์เกมมิ่งทั้ง Shinryu Pro Wireless หรือ GARUDA PRO+ จะมีหน้าตาและฟังก์ชั่นค่อนข้างคล้ายกัน โดยหน้าแรกของทั้งสองตัวจะเริ่มจากหน้าตั้งค่าปุ่มต่างๆ บนตัวเมาส์ ว่าต้องการให้แต่ละปุ่มทำงานอย่างไรและมีตัวเลขกำกับเอาไว้ทั้งหมดเป็นเลข 1~6 ให้ตั้งคำสั่งใหม่ให้แต่ละปุ่มบนเมาส์ได้

ถัดมาเป็นหน้าต่างตั้งค่า DPI แบบบาร์เลื่อนปรับค่า ค่าเริ่มต้นเป็น 400/800/1,600/2,400/3,200/6,400 DPI ตั้งค่าต่ำสุดได้ 50 DPI เพิ่มครั้งละ 50 DPI ดันไปจนสุดที่ 26,000 DPI ถ้าเปิดคำสั่ง DPI Effect จะมีไฟเอฟเฟคติดขึ้นมาตรงกรอบสี่เหลี่ยมหลังปุ่มปรับค่า DPI ตามสีที่ตั้งค่าเอาไว้ มีเอฟเฟคไฟ Steady หรือ Breathing แถมตั้งค่า USB Polling Rate ได้ 4 ระดับ คือ 125/250/500/1,000Hz

2 หน้าสุดท้ายมีคำสั่งเซฟค่ามาโครและปรับไฟ RGB ซึ่ง Shinryu Pro Wireless จะเปลี่ยนเอฟเฟคที่ลูกโดมสีขาวท้ายเมาส์ให้เป็นเอฟเฟคที่ต้องการได้ ด้าน GARUDA PRO+ จะเป็นเส้นขอบท้ายเมาส์แทน มีเอฟเฟคให้เลือก 6 แบบ มี Steady, Breathing, Streaming, Neon, Single color flow, Colorful breathing หรือจะปิดไฟทิ้งไปก็ได้เช่นกัน 

 

garuda 1

garuda 2
garuda 3
garuda 4
garuda 5

จากการใช้งาน ส่วนตัวผู้เขียนถือว่าหน้าตาของโปรแกรมทั้งสองตัวนี้สำหรับเมาส์ทั้งสองรุ่นมีฟังก์ชั่นแทบไม่ต่างกัน จะต่างกันเล็กน้อยแค่ชื่อรุ่นเมาส์และรูปเมาส์ในหน้าโปรแกรมเท่านั้น แต่ฟังก์ชั่นในโปรแกรมเหมือนกันแทบทั้งหมด และจากที่ลองเช็คหน้าเว็บไซต์ของทาง LOGA แล้วก็เห็นว่าทางบริษัทก็มีเกมมิ่งเกียร์กลุ่มคีย์บอร์ดด้วย ซึ่งถ้าทางบริษัทจะเปิดตัวเกมมิ่งเกียร์รุ่นใหม่ในอนาคตก็น่าเปลี่ยนระบบให้เป็นโปรแกรมแพลตฟอร์มกลางรวมเกมมิ่งเกียร์ทั้งหมดเอาไว้ในตัวแล้วให้ตัวโปรแกรมคุยกับเมมโมรี่ออนบอร์ดในอุปกรณ์ชิ้นนั้นๆ  แล้วดึงการตั้งค่าจากโรงงานขึ้นมาให้แล้วเปิดให้เกมเมอร์ตั้งค่าเกมมิ่งเกียร์ชิ้นนั้นๆ ได้ตามต้องการจะดีที่สุด

User Experience

GarudaShinryu DSC01144

โดยองค์รวมแล้ว ไม่ว่าจะ Shinryu Pro Wireless หรือ GARUDA PRO+ ทั้งสองรุ่นนั้นเป็นเกมมิ่งเมาส์ที่น่าใช้งานทั้งคู่ ทั้งตั้งค่า DPI ได้สูงถึง 26,000 DPI เอาไว้เล่นเกมแนวต่างๆ ได้เป็นอย่างดีและตั้งค่าให้มันทำงานได้ดีไม่แพ้กับเมาส์เกมมิ่งจากแบรนด์ชั้นนำหลายๆ รุ่นจากต่างประเทศเลย แถมเมาส์แต่ละรุ่นก็มีจุดเด่นของมันอย่างชัดเจนอีกด้วย

สำหรับ Shinryu Pro Wireless เป็นเมาส์เกมมิ่งสำหรับคนจับเมาส์แบบ Claw, Fingertip Grip เป็นหลัก มีฟีเจอร์เด่นคือสามารถถอดเปลี่ยนสวิตช์คลิ๊กซ้ายขวาได้ตามต้องการ ซึ่งฟีเจอร์นี้ดีกับเกมเมอร์สาย FPS ที่กดคลิ๊กซ้ายบ่อยๆ แล้วปุ่มเสื่อมเร็วอย่างแน่นอนยิ่งถ้ากดแรงยิ่งเห็นผลว่าปุ่มเบิ้ลเร็วมาก แต่ในกรณีนี้ก็ไม่ต้องกลัวเพราะเราสามารถถอดสวิตช์ที่เสียทิ้งไปแล้วเอาตัวสำรองในตลับเก็บสวิตช์มาใส่แทนได้เลย หรือถ้าใครอยากได้จังหวะทริกเกอร์ปุ่มและความเร็วตอบสนองตอนกดปุ่มแตกต่างจากปุ่มเดิมจากโรงงานก็ถอดเปลี่ยนเอาสวิตช์สำรองมาเปลี่ยนได้เช่นกัน ทำให้เปลี่ยนสัมผัสตอนคลิ๊กได้ตามชอบ ดีต่อเกมเมอร์ที่ชอบการถอดเปลี่ยนชิ้นส่วนอุปกรณ์ของเมาส์ตัวเองไปมาอย่างแน่นอน

ถ้าเป็น GARUDA PRO+ ก็เหมาะกับเกมเมอร์สายเล่นเกมนานหลายชั่วโมงแล้วไม่อยากต่อสายเล่นเกมมาก เพราะทางบริษัทให้แบตเตอรี่มา 2 ก้อน แยกเป็นตัวหลักในเมาส์และแบตฯ สำรองในกล่อง จะใช้แบบปล่อยให้แบตฯ เสื่อมก้อนต่อก้อนก็ดีเพราะตอนมีปัญหาก็หยิบก้อนสำรองมาใส่แทนได้ทันทีแล้วค่อยสั่งแบตเตอรี่ลูกใหม่มาเตรียมเอาไว้ หรือใช้สลับกันไปมาก็ใช้งานแบบไร้สายได้ต่อเนื่องไม่เสียจังหวะเลย แถมยังมีฝาหลังสำรองให้เปลี่ยนตามชอบด้วย จัดว่าดีใช้เล่นเกมได้ทุกแนวอย่างแน่นอน และถ้าใครเป็นคนมือใหญ่ชอบจับเมาส์แบบ Palm Grip ก็น่าจะถูกใจเจ้า GARUDA PRO+ แน่นอน เพราะตัวมันยาวจับถนัดมือมาก

ด้านเซนเซอร์และการใช้งานจริงถือว่าเซนเซอร์ PAW 3395 ตอบสนองได้เร็วยอดเยี่ยมและคม ลากได้เร็วไม่มีไถลเกินระยะที่ต้องการแม้แต่นิดเดียว ทำให้ตอนเล่นเกมสามารถลากเป้ายิงคู่แข่งได้แม่นยำ ด้านการใช้งานอื่นๆ ก็ตั้งโปรไฟล์แยกไว้ใช้ได้ทั้งทำงานและเล่นเกม โดยเฉพาะ Shinryu Pro Wireless จะเลื่อนสวิตช์เปลี่ยนโปรไฟล์ได้ถึง 3 โปรไฟล์ หากต้องการเซฟโปรไฟล์แยกตามเกมที่เล่นหรือรูปแบบการใช้งานก็ทำได้ง่ายมากๆ ด้าน GARUDA PRO+ ก็ทำได้เช่นกัน และราคาของแต่ละรุ่นก็ถือว่าไม่แพงมาก ด้าน Shinryu Pro Wireless ก็แค่ 3,190 บาท ส่วน GARUDA PRO+ ก็เพียงแค่ 2,990 บาทเท่านั้น เมื่อเทียบสเปคกับฟีเจอร์แล้วต้องถือว่าราคาคุ้มค่าน่าซื้อมาใช้มากๆ

อย่างไรก็ตาม จุดสังเกตของเมาส์ทั้งสองรุ่นนี้ คือซอฟท์แวร์แยกเฉพาะของเมาส์แต่ละตัวที่มีหน้า User Interface (UI) เหมือนกันมาก ต่างกันแค่หน้าตาเมาส์กับโลโก้ของมันเท่านั้น หากทาง LOGA ปรับแต่งให้มันเป็นโปรแกรมแบบแพลตฟอร์มรวมเกมมิ่งเกียร์แทนจะดีมาก ส่วนตัวผู้เขียนเสนอว่าถ้าต่อไปทาง LOGA จะออกเมาส์เกมมิ่งรุ่นใหม่อีกตัว อาจเอาจุดเด่นของ Shinryu Pro Wireless และ GARUDA PRO+ มารวมกันให้กลายเป็นเมาส์เกมมิ่งตัวเดียวที่แบบถอดสวิตช์และแบตเตอรี่ได้หมด ให้ฝาหลังมารวม 4 ชิ้น ให้เกมเมอร์ถอดเปลี่ยนได้ตามชอบแล้วเพิ่มราคาไปราว 1,000 บาท ก็ยังถือว่าน่าสนใจ เพราะมีเกมเมอร์ที่อยากซ่อมและปรับแต่งเมาส์ได้ตามใจชอบก็มีตัวเลือกที่เป็นตัวท็อปของรุ่นให้หาซื้อได้

Summary

GarudaShinryu DSC01139

LOGA GARUDA PRO+ และ LOGA Shinryu Pro Wireless ถือเป็นเกมมิ่งเมาส์คุณภาพดีแบรนด์คนไทยสองรุ่นที่มีจุดเด่นแตกต่างกันไป อย่าง Shinryu Pro Wireless สามารถถอดสวิตช์เปลี่ยนได้ตามต้องการ ส่วน GARUDA PRO+ ก็ถอดสลับแบตเตอรี่สองลูกใช้งานได้ต่อเนื่องและเปลี่ยนฝาหลังเมาส์ได้อีก 3 แบบ ซึ่งฟีเจอร์ของเมาส์ทั้งสองรุ่นนี้หากเป็นแบรนด์ต่างประเทศราคาอาจสูงราว 4~5,000 บาท แต่ทาง LOGA ทำราคาให้อยู่ในเรทที่จับต้องได้เพียง 2-3 พันบาทเท่านั้น และงานประกอบถือว่าเทียบชั้นแบรนด์ต่างประเทศได้สบายๆ และราคาก็ย่อมเยาว์กว่าอย่างชัดเจน หากใครมีแผนอยากเปลี่ยนเมาส์เกมมิ่งตัวเดิมที่ใช้งานมานานจนหมดสภาพ ก็แนะนำให้ลองดูแบรนด์ LOGA เอาไว้ได้เลย

award

NBS award Innovation

best innovation

เมาส์เกมมิ่งทั้งสองรุ่นมีฟีเจอร์น่าใช้งานให้เลือกได้ตามชอบ รุ่นหนึ่งถอดสวิตช์ อีกรุ่นถอดแบตฯ ในตัวเปลี่ยนได้ตามใจชอบ ซึ่งในประเทศไทยมีเมาส์เกมมิ่งไม่กี่รุ่นที่ทำแบบนี้ได้และถ้าทำให้ราคาเข้าถึงง่ายเช่นนี้ยิ่งหายาก ถ้าใครต้องการเมาส์เกมมิ่งฟีเจอร์ล้ำๆ เอาไว้ใช้ก็แนะนำให้ดูเมาส์ทั้งสองรุ่นนี้ได้เลย

award new Gaming

best gaming

สัมผัสและประสบการณ์การเล่นเกมถือว่าดีมาก เซนเซอร์ PAW 3395 ของเมาส์ทั้งสองรุ่นนี้ปรับค่าได้สูงสุดถึง 26,000 DPI และเซนเซอร์ก็ถือว่าคมตอบสนองดีทันใจอีกด้วย หากใครหาเมาส์เกมมิ่งดีๆ ไว้ทำงานและเล่นเกม เซฟโปรไฟล์แยกใช้งานได้ก็ดูเมาส์รุ่นนี้ไว้ได้เลย

from:https://notebookspec.com/web/691061-review-loga-garuda-pro-loga-shinryu-pro

รีวิว Razer Naga V2 Pro เปลี่ยนกรอบได้เล่นเกมก็เทพ งานก็รุ่ง! ปุ่มมาโครเพียบ เร็วสะใจ 30,000 DPI ราคา 7,490 บาท

Razer Naga V2 Pro พญานาคปุ่มมาโครรุ่นใหม่ ดุดันไม่เกรงใจใคร! เล่นเกมก็เทพทำงานก็รุ่ง!!

Razer Naga V2 Pro 1

Razer Naga V2 Pro เกมมิ่งเมาส์รุ่นใหม่ในตระกูล Naga ซึ่งตั้งต้นจากการเป็นเมาส์เพื่อเกม MOBA โดยเฉพาะ แต่เมื่อเทคโนโลยีและดีไซน์ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ดีไซน์ของเมาส์ตระกูล Naga ก็ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ จากเมาส์พร้อมปุ่มมาโคร 12 ปุ่มข้างตัวแบบเดียว ก็สามารถแกะถอดฝาเปลี่ยนจำนวนปุ่มให้ลดลงเป็น 6 หรือ 2 ปุ่มให้เหมาะกับสไตล์เกมที่เล่นได้ง่ายๆ ตั้งค่าไฟ RGB หรือการทำงานของปุ่มแต่ละปุ่มบนตัวเมาส์ได้ในโปรแกรม Razer Synapse 3 และ Razer Chroma ได้ด้วย

Advertisementavw

ด้านจุดเด่นน่าสนใจของเมาส์นี้ นอจากการเปลี่ยนกรอบฝาข้างแล้วทาง Razer ได้เสริมฟีเจอร์ดีๆ เข้ามาใน Razer Naga V2 Pro อีกเพียบ ทั้งปุ่มเปลี่ยนไฟ RGB ออนบอร์ดบนตัวเมาส์, ปุ่มปรับโหมดสกรอล์เมาส์ Razer HyperScroll Pro ให้สัมผัสตอนใช้งานต่างจากลูกล้อทั่วไปถึง 6 แบบ ได้แก่ Standard ใช้ตามแบบสกรอล์เมาส์ทั่วไป, Distinct ลูกล้อมีความแข็งฝืนนิ้วมาก, Ultra-fine สกรอล์มีความลื่นต่อเนื่องตามการเลื่อนนิ้ว, Adaptive สกรอล์เมาส์มีความแข็งฝืนนิ้วเล็กน้อยคล้ายการหมุนลูกบิด, Smooth Scroll หรือ Custom ปรับการตอบสนองได้ตามใจของผู้ใช้ว่าต้องการความแข็งและความต่อเนื่องเท่าไหร่ ก็ปรับเซ็ตได้ตามถนัดเลย

ส่วนอื่นๆ ที่ได้รับการอัพเกรด คือ Razer Naga V2 Pro ได้เปลี่ยนหัวพอร์ตของสาย Razer Speedflex จาก MicroUSB มาเป็น USB-C แทนแล้ว ทำให้หาสายชาร์จแบตให้เมาส์ได้ง่ายขึ้นและเชื่อมต่อไร้สายได้ด้วย Bluetooth หรือ Razer HyperSpeed Wireless USB Dongle ก็ได้ เปลี่ยนเซนเซอร์เป็นรุ่นใหม่ประสิทธิภาพสูงอย่าง Razer Focus Pro 30K ซึ่งตอบสนองได้เร็วและต่อเนื่องและละเอียดยิ่งขึ้น คมยิ่งกว่าเซนเซอร์ Razer Focus+ รุ่นก่อนอย่างชัดเจนแถมยังซื้ออุปกรณ์เสริมอย่าง Razer Mouse Dock Pro หรือแท่นวางเมาส์มาใช้ชาร์จแบตเมื่อใช้งานเสร็จแล้วได้ด้วยแถมยังมีลูกเล่นอย่าง Razer Wireless Charging Puck หรือเหรียญแปลงระบบเมาส์ให้ใช้กับแท่นชาร์จไร้สายหลายๆ รุ่นในปัจจุบันได้ โดยใส่แทนฝาปิดขั้วใต้เมาส์แล้วใช้งานได้ทันที จัดว่า Naga V2 Pro ตัวนี้มีลูกเล่นน่าสนใจให้เกมเมอร์ใช้งานเพียบ!

Razer Naga V2 Pro

NBS Verdicts

Razer Naga V2 Pro DSC01194

Razer Naga V2 Pro เป็นเมาส์เกมมิ่งที่แม้จะเริ่มจากเมาส์สาย MOBA แต่มันก็ถูกพัฒนาดีไซน์ให้เปลี่ยนเพลตข้างให้มีจำนวนปุ่มน้อยลงให้เข้ากับเกมสไตล์ต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะ RPG, FPS หรือจะเซ็ตคีย์ลัดเอาไว้ใช้ทำงานก็สะดวกทีเดียว ดังนั้นเจ้าของเมาส์ Razer ตัวนี้เมื่อตั้งค่ามันใน Razer Synapse 3 เสร็จก็เซฟโปรไฟล์เก็บเอาไว้ออนบอร์ดได้และกดเปลี่ยนด้วยปุ่มสลับโปรไฟล์ใต้เมาส์ได้อีกด้วย ดังนั้นถ้าใครจะใช้เมาส์ตัวเดียวเหมาทุกหน้าที่ Naga V2 Pro ก็รับหน้าที่นั้นได้สบายๆ เวลาไปทำงานก็สลับเข้าโหมด Bluetooth ต่อโน๊ตบุ๊คทำงานแล้วกลับมาบ้านก็สับสวิตช์เปลี่ยนโหมดต่อ HyperSpeed USB Dongle เปลี่ยนโปรไฟล์แล้วเล่นเกมต่อได้ทันที จ่ายทีเดียวใช้ได้ทุกหน้าที่อย่างนี้ก็ถือว่าคุ้ม

การตอบสนองของเมาส์ไม่ว่าจะใช้ Razer HyperSpeed Wireless USB หรือ Bluetooth ก็ยังตอบสนองได้รวดเร็วทันใจไม่ต่างกับการต่อด้วยสาย Razer Speedflex USB-C แม้แต่นิดเดียว ต้องถือว่าเทคโนโลยีการรับส่งข้อมูลแบบไร้สายนั้นมาถึงจุดที่ดีมากจนแทบไม่ต่างกับการใช้สาย USB แถมระยะเวลาใช้งานยังอยู่นานถึง 150~300 ชั่วโมง หากแบตเตอรี่ใกล้จะหมดก็ต่อสาย Razer Speedflex USB-C แล้วเล่นเกมต่อหรือจะซื้อแท่นชาร์จมาตั้งเอาไว้ พอจะนอนก็วางทิ้งไว้บนแท่นแล้วหยิบออกมาใช้ตอนเช้าต่อได้เลย นอกจากนี้ทางบริษัทยังออกแบบให้ Razer HyperSpeed Wireless USB ตัวเดียวรับสัญญาณจากเมาส์และคีย์บอร์ดเกมมิ่งของ Razer ได้พร้อมกัน ไม่ต้องต่อแยกให้เปลืองช่อง USB และได้ความสะดวกไปเต็มๆ

ดีไซน์ Naga V2 Pro ยังคงเหมือนกับ Naga Pro รุ่นก่อนหน้าที่ยังเอื้อมือขวาเป็นหลักและมีสันโค้งเอาไว้พาดนิ้วนางให้มีที่วางได้ถนัดมือแล้วเกมเมอร์ก็สามารถหนีบนิ้วโป้งกับก้อยเข้าหาตัวเมาส์ให้จับได้กระชับมือและนิ้วไม่พาดลงมาถึงแผ่นรองเมาส์เลย ดังนั้นตอนลากเมาส์ไปมาจึงเร็วทันใจไม่สะดุดแม้แต่น้อย แต่อย่างไรก็ตาม ตัว Razer Naga V2 Pro มีขนาดค่อนข้างใหญ่ จึงเหมาะกับเกมเมอร์มือใหญ่สักนิดถึงจะจับได้ถนัด ผิดกับ Razer Naga รุ่นก่อนๆ ที่ยังออกแบบให้เหมาะกับเกมเมอร์มือเล็กจับได้ถนัดมือด้วย ส่วนของน้ำหนักเฉพาะตัวเมาส์ 134 กรัมนั้น หากเทียบกับเมาส์เกมมิ่งแบรนด์คู่แข่งต้องถือว่ามันเป็นเมาส์เกมมิ่งที่มีน้ำหนักพอควร ไม่เหมาะกับคนจับแบบ Fingertip Grip นัก

ข้อดีของ Razer Naga V2 Pro
  1. เปลี่ยน Side Plate ข้างเมาส์ได้ 3 แบบ ปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานได้หลากหลาย
  2. ตั้งมาโครให้ปุ่มข้างเมาส์ได้มากสุด 20 ปุ่ม เหมาะกับการเล่นเกมหรือใช้กดคีย์ลัดตอนทำงานก็ได้
  3. ดีไซน์เมาส์จับถนัดมือมาก มีที่รองนิ้วนางไม่ให้ตกไปจนแตะพื้นโต๊ะจึงใช้งานได้สะดวก
  4. ตั้งโปรไฟล์ออนบอร์ดได้ 5 แบบ แยกได้ตามเกมหรือเอาไว้ทำงานก็ได้
  5. สกรอล์เมาส์สามารถปรับสไตล์การหมุนเลื่อนหน้าจอได้ 6 แบบตามต้องการ
  6. เซนเซอร์ปรับค่า DPI ได้สูงมากถึง 30,000 DPI และปรับค่า DPI ได้ละเอียดมาก
  7. แบตเตอรี่ใช้งานได้นานถึง 150~300 ชั่วโมง จัดเป็นอันดับต้นๆ ของกลุ่มเกมมิ่งเมาส์ไร้สาย
  8. มีหัวแปลง USB-C to A แถมมาให้หัวรับสัญญาณ USB ใกล้เมาส์ให้รับส่งสัญญาณได้ดีขึ้น
  9. ใช้แท่นชาร์จ Razer Mouse Dock Pro หรือ Wireless Charging Puck เพื่อชาร์จแบตได้
  10. Razer HyperSpeed Wirelesss USB ใช้รับสัญญาณจากเมาส์และคีย์บอร์ด Razer พร้อมกันได้
  11. มีโปรแกรม Razer Cortex พ่วงมาช่วยจัดการทรัพยากรเครื่องตอนเล่นเกม ช่วยเพิ่มเฟรมเรทได้
ข้อสังเกตของ Razer Naga V2 Pro
  1. ดีไซน์เน้นเกมเมอร์ถนัดมือขวาเท่านั้น ไม่ใช่ทรง Ambidextrous ที่จับถนัดได้ทั้งสองมือ
  2. เมาส์มีขนาดใหญ่และมีน้ำหนัก 136 กรัม เทียบกับแบรนด์คู่แข่งแล้วจัดว่าหนัก
  3. ราคาเมาส์ 7,490 บาท เมื่อเทียบกับแบรนด์คู่แข่งแล้วราคาสูงแต่ก็ได้ฟีเจอร์เยอะ

รีวิว Razer Naga V2 Pro

Specification

Razer Naga V2 Pro DSC01138

Razer Naga V2 Pro เป็นเมาส์เกมมิ่งรุ่นปรับแต่งดีไซน์บางส่วนจาก Razer Naga Pro ซึ่งวางขายไปก่อนหน้านี้ หากนำสเปคมาเทียบกันจะเห็นว่าบอดี้ภายนอกค่อนข้างเหมือนกันแต่รายละเอียดที่ต่างไป คือฟีเจอร์ภายในตัวเมาส์ซึ่ง Naga V2 Pro มีความโดดเด่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัดตามสเปคในตารางข้างล่างนี้

เทียบสเปค Razer Naga Naga Pro Naga V2 Pro
Dimension
(ยาว x กว้าง x สูง)
4.69″ x 2.93″ x 1.69″ 4.7″ x 2.97″ x 1.72″
Weight 134 กรัม
(เฉพาะเมาส์)
Connectivity Razer HyperSpeed
Wireless USB

Bluetooth

สาย Razer Speedflex USB

Razer HyperSpeed Wireless USB

Bluetooth

สาย Razer Speedflex USB-C

Battery Life 150 ชั่วโมง 150 ชั่วโมง (HyperSpeed)

300 ชั่วโมง (Bluetooth)

Button 10 /14 / 20 ปุ่ม เปลี่ยนฝาข้างได้ 3 แบบ

เซฟโปรไฟล์ออนบอร์ดได้ 5 แบบ

DPI สูงสุด Razer Focus+ 20,000 DPI Razer Focus Pro 30K
30,000 DPI
Speed 650 750
Acceleration 50 70
Software Razer Chroma RGB

Razer Synapse 3

Razer Chroma RGB

Razer Synapse 3

Price 3,390 บาท
(c2p_gaming gear Shopee)

*หาได้ตามร้านตัวแทนจำหน่ายเท่านั้น ปัจจุบัน Razer Official Store ยกเลิกการจำหน่ายแล้ว*

7,490 บาท
(Razer Shopee Mall)

Unboxing

Razer Naga V2 Pro DSC01140

Razer Naga V2 Pro DSC01141
Razer Naga V2 Pro DSC01142
Razer Naga V2 Pro DSC01138

กล่องเมาส์ Razer Naga V2 Pro จะมีคุณสมบัติของตัวเมาส์เขียนติดเอาไว้ด้านข้างและหลังของกล่องว่าจุดเด่นของเมาส์ตัวนี้จะมีเซนเซอร์ใหม่, สกรอล์เมาส์ HyperScroll Pro และ Optical Mouse Switch ซึ่งตอบสนองได้รวดเร็วยิ่งขึ้นและมีวิธีการเปลี่ยนกรอบข้างเพิ่มลดปุ่มมาโครของตัวเมาส์สกรีนเอาไว้ให้ แต่เมื่อเทียบหน้ากล่องจะเห็นว่าตัวกล่องรุ่นเก่าและใหม่ไม่ได้ต่างกันมาก ยกเว้นโลโก้ Razer HyperSpeed มุมบนขวามือที่หายไปและเพิ่มคำว่า V2 และทำภาพสกรีนบนกล่องให้เป็นแบบพลาสติกเนื้อมันแทนการสกรีนภาพติดลงไปตามปกติ

Razer Naga V2 Pro DSC01176

Razer Naga V2 Pro DSC01143
Razer Naga V2 Pro DSC01144
Razer Naga V2 Pro DSC01146
Razer Naga V2 Pro DSC01147

นอกจาก Razer Naga V2 Pro ในกรอบพลาสติกกับเพลตข้างเมาส์อีก 2 ชิ้นแล้ว จะมีคู่มือ, สติ๊กเกอร์, หัวแปลง USB-C to A สำหรับลากสาย Razer Speedflex USB-C เข้าแล้วต่อกับหัว USB Dongle “Razer HyperSpeed” เพื่อให้หัวรับสัญญาณ USB อยู่ใกล้กับเมาส์ที่สุดพร้อมสลักชื่อแบรนด์เอาไว้ด้วย หรือถ้าแบตเตอรี่เมาส์ใกล้หมดก็สามารถถอดสายแล้วชาร์จเมาส์ไปเล่นไปได้ด้วย ซึ่งข้อดีของมันทำให้เวลาต่อคอมพิวเตอร์ด้วย HyperSpeed สามารถรับส่งข้อมูลได้เร็วเหมือนใช้เมาส์สายแบบปกติ

ด้านอุปกรณ์เสริมที่ได้กล่าวไปข้างต้น อย่างแท่นชาร์จเมาส์ Razer Mouse Dock Pro หรือเหรียญแปลงให้รองรับการชาร์จไร้สาย Razer Wireless Charging Puck เป็นสินค้าขายแยกต่างหาก จึงไม่มีแถมมาให้ในกล่อง ซึ่งถ้าต้องการซื้อมาใช้งานก็ยังสั่งผ่านทางหน้าเว็บไซต์ Razer แล้วให้ Ship สินค้าส่งเข้ามาในประเทศไทยก็ได้เช่นกัน

Design, Weight, Grip

Razer Naga V2 Pro DSC01155

Razer Naga V2 Pro DSC01153
Razer Naga V2 Pro DSC01154
Razer Naga V2 Pro DSC01152
Razer Naga V2 Pro DSC01165
Razer Naga V2 Pro DSC01170
Razer Naga V2 Pro DSC01161

ดีไซน์ของ Razer Naga V2 Pro จะเป็นเมาส์เกมมิ่งสำหรับเกมเมอร์ถนัดขวาเท่านั้น บอดี้เมาส์จะมีปุ่มบนตัวเมาส์ทั้งหมด 8 ปุ่ม พอนับรวมกับเพลตเปลี่ยนด้านข้างก็จะมีจำนวนปุ่มเพิ่มเป็น 10 / 14 / 20 ปุ่มตามที่นำมาเปลี่ยนใช้งาน โดยทาง Razer จะติดเพลตข้าง 12 ปุ่มมาจากโรงงาน และสามารถถอดเปลี่ยนได้ตามสะดวก ส่วนด้านขวาจะเป็นกริ๊บกันลื่นติดเอาไว้และเมื่อมองด้านหน้าเมาส์จะเป็นช่องสำหรับต่อสาย USB-C เพื่อชาร์จไฟหรือต่อคอมใช้งานได้

ปุ่มบนตัวเมาส์ นอกจากคลิ๊กซ้ายขวาแล้ว จุดที่เป็นปุ่มกดใช้งานได้จะมีสกอรล์เมาส์ที่สามารถกดคลิ๊กลงตรงๆ หรือดันซ้ายขวาก็ได้ และปุ่มที่ถัดเข้ามาจากสกรอล์เมาส์จะมี 2 ปุ่ม โดยปุ่มแรกที่มีเครื่องหมายลูกศรชี้วนคล้ายเครื่องหมาย Refresh เอาไว้เปลี่ยน Scroll Wheel Stages หรือสไตล์การหมุนตอบสนองของลูกล้อได้ 6 แบบ ปรับแต่งใน Razer Synapse ได้ ส่วนปุ่มถัดลงมาเป็นปุ่มเปลี่ยนค่า DPI ของเมาส์ ทำงานแบบ Toggle กดแล้วเปลี่ยนทันทีและเปลี่ยนได้ 5 ระดับและจะมีหน้าต่างบอกค่า DPI ขึ้นตรงมุมล่างขวาของหน้าจอด้วย

ด้านใต้เมาส์ จะเห็นว่ามี Glide สีขาวทำจาก Polytetrafluoroethylene (PTFE) หรือเทฟล่อน 100% ให้ผู้ใช้สามารถลากเมาส์ไปมาได้อย่างลื่นไหล โดยจะติดไว้เป็นคู่บนใต้ปุ่มคลิ๊กซ้ายขวา, ล้อมกรอบเซนเซอร์ Razer Focus Pro 30K เอาไว้และรองใต้ส่วนล่างสุดของเมาส์เป็นเส้นโค้งอีกหนึ่งเส้น ซึ่ง Glide เดิมจากโรงงานก็ถือว่าลื่นกำลังดี ลากเมาส์ไปมาได้ถนัดมือมากไม่สาก และสังเกตจะเห็นว่าด้านซ้ายของเซนเซอร์จะเป็นสวิตช์เลื่อนเปลี่ยนการเชื่อมต่อระหว่าง Razer HyperSpeed USB Dongle, Bluetooth ถ้าสับเข้าตรงกลางจะเป็น OFF เพื่อปิดเมาส์ ฝั่งขวาเป็นปุ่ม Profile สามารถกดเพื่อเปลี่ยนโปรไฟล์ออนบอร์ดไปมาได้ตามถนัด หากใครใช้เมาส์ตัวเดียวทั้งทำงานและเล่นเกมก็เซฟแยกโปรไฟล์แล้วกดสลับด้วยปุ่มนี้ได้

ส่วนที่ถอดเข้าออกได้ คือแผ่นจานด้านล่างสุดสำหรับปิดขั้วสำหรับใส่เหรียญแปลงเป็นชาร์จไร้สายหรือไว้ต่อแท่นชาร์จเมาส์ก็ได้ และฝั่งขวามือของเมาส์จะมีร่องตะเข็บให้เอาเล็บเกี่ยวดึงฝาเพลตข้างออกเพื่อเปลี่ยนเป็นอันที่ต้องการได้ และ Razer ก็เอา USB 2.4GHz “HyperSpeed” มาเก็บไว้ในนี้โดยวางเป็นแนวตั้งตามภาพที่สลักเอาไว้ด้านใน

Razer Naga V2 Pro DSC01157

Razer Naga V2 Pro DSC01160
Razer Naga V2 Pro DSC01159
Razer Naga V2 Pro DSC01158
Razer Naga V2 Pro DSC01162

เพลตข้างของ Razer Naga V2 Pro จะดูดติดเข้ากับเมาส์ด้วยแม่เหล็กแรงดูดสูง 2 เม็ดซึ่งติดไว้ขอบแผ่นทั้งสองด้าน ตรงกลางเป็นหน้าสัมผัสทองเหลืองไว้เชื่อมต่อระหว่างปุ่มมาโครกับเมาส์เข้าหากันโดยมีด้านข้างตั้งแต่ 2, 6, 12 ปุ่ม โดยเฉพาะแบบ 2 ปุ่มเมื่อติดเข้ากับเมาส์แล้วจะดึงคำสั่ง Back, Forward มาใช้งานโดยอัตโนมัติ ถ้าเป็น 6, 12 ปุ่ม ต้องตั้งค่าด้วย Razer Synapse 3

เมื่อเป็นหน้าสัมผัสทองเหลืองก็อาจจะเกิดคราบความสกปรกติดขึ้นมาได้ ดังนั้นถ้าไม่ได้ใช้งานถอดเปลี่ยนบ่อยๆ ก็ขอแนะนำให้เอาเพลตที่ไม่ได้ใช้เก็บเข้ากรอบพลาสติกใส่กล่องเพื่อป้องกันความชื้นและแนะนำให้หาสเปรย์ Contact Cleaner ติดโต๊ะเอาไว้พ่นทำความสะอาดหน้าสัมผัสทองเหลืองนี้ด้วย

Razer Naga V2 Pro DSC01166

Razer Naga V2 Pro DSC01164
Razer Naga V2 Pro DSC01163
Razer Naga V2 Pro DSC01167
Razer IMG20230118124807 Copy 1

ขนาดของ Razer Naga V2 Pro ถือว่ามีขนาดใหญ่และอ้วนทีเดียว น้ำหนักจากหน้าสเปค 134 กรัม เมื่อชั่งน้ำหนักด้วยตาชั่งดิจิตอลแล้วได้น้ำหนักเมาส์อยู่ห 129 กรัม ถ้าเทียบกับเมาส์เกมมิ่งของแบรนด์คู่แข่งต้องถือว่าค่อนข้างหนัก แต่ผู้เขียนมั่นใจว่าเมาส์นี้จะตอบโจทย์เกมเมอร์บางกลุ่มอย่างแน่นอน เพราะมันจับแล้วไม่โหวงได้ความมั่นคงมาก

อย่างไรก็ตาม ขนาดตัวทรวดทรงของ Naga V2 Pro จากที่ผู้เขียนลองจับเมาส์ดูแล้วจะเหมาะกับสไตล์การจับแบบ Palm หรือ Claw Grip ที่สุด แต่คนจับแบบ Fingertip Grip เอาปลายนิ้วจับลากไปมาอาจจะรู้สึกหนักอยู่ระดับหนึ่ง ซึ่งข้อดีของ Naga V2 Pro ที่ออกแบบมาเน้นมือขวาเป็นหลัก คือเราสามารถพาดมือลงเมาส์แล้วนิ้วนางมีสันฝั่งขวามือให้ทาบนิ้วไม่ให้ลงไปถูกพื้นโต๊ะแล้วผู้เขียนสามารถหนีบนิ้วโป้งและก้อยเข้าข้างตัวเมาส์ได้เลย จึงลากเมาส์ไปมาได้เร็วไม่เหมือนกับเมาส์เกมมิ่งหลายๆ รุ่นที่ดีไซน์มาให้ใช้ถนัดทั้งมือซ้ายและขวา (Ambidextrous) เลยทำสันข้างเมาส์เสริมเข้ามาไม่ได้ ดังนั้น Naga V2 Pro จึงเหมาะกับเกมเมอร์ส่วนใหญ่ที่ถนัดขวามาก

Razer Naga V2 Pro DSC01174

Razer Naga V2 Pro DSC01168
Razer Naga V2 Pro DSC01169
Razer Naga V2 Pro DSC01172
Razer Naga V2 Pro DSC01175
Razer Naga V2 Pro DSC01173
Razer Naga V2 Pro DSC01171
Razer Naga V2 Pro DSC01138
Razer Naga V2 Pro DSC01139

ด้านความแตกต่างของ Razer Naga Pro กับ Naga V2 Pro ไม่ว่าจะกล่องหรือตัวเมาส์นั้นจะมีจุดแตกต่างกันเล็กน้อย ซึ่งหน้ากล่องของสินค้านั้นแทบไม่ต่างกันอย่างที่คิด ซึ่งวิธีการใช้งานและเลย์เอ้าท์ของภาพต่างๆ เรียกว่ายังคล้ายเดิม แต่จะมีโลโก้บางส่วนที่ถูกขยับตำแหน่งและถอดออกบ้าง ด้านตัวเมาส์จะมีจุดแตกต่างดังนี้

  • ส่วนบน : Naga V2 Pro ใช้ขอบสกรอล์เมาส์สีดำแทนสีเงิน แต่ดีไซน์โดยรวมคล้ายกัน
  • ด้านใต้ : Naga Pro มี Glide แผ่นเล็ก 4 แผ่นติดตามมุมและมี Glide กรอบสี่เหลี่ยมตรงกลางเมาส์, ปุ่มสลับโหมดการเชื่อมต่อและเปลี่ยนโปรไฟล์ติดไว้ฝั่งซ้ายถัดจากร่องสำหรับวางบนแท่นชาร์จและเปิดกรอบโชว์จุดเชื่อมต่อชาร์จเมาส์ไว้
  • ฝั่งซ้ายและขวา : ฝั่งขวาเป็นกริพกันลื่นสำหรับจับเมาส์และด้านซ้ายภายนอกเป็นชุดปุ่มมาโครเหมือนกัน แต่ภายในจะเปลี่ยนดีไซน์ที่เก็บ Razer HyperSpeed USB Dongle จากแบบเสียบแนวนอนเป็นแนวตั้งแทน
  • ด้านหน้า : เปลี่ยนพอร์ตเป็น USB-C จากสาย MicroUSB 

หากเทียบต้องถือว่าดีไซน์ของทั้งรุ่นแรกและ V2 นั้นแตกต่างกันไม่มาก ยกเว้นด้านใต้ที่เปลี่ยนดีไซน์ไปมากทีเดียว แต่ยังคงมีปุ่มสำคัญอย่างการเปลี่ยนโปรไฟล์และสลับโหมดการเชื่อมต่อติดตั้งมาให้ครบ ซึ่งจุดต่างของเมาส์ทั้งสองตัวจะเป็นสเปคภายในเมาส์เสียมากกว่า

Software

Screenshot 2023 01 18 102343

Screenshot 2023 01 18 102418
Screenshot 2023 01 18 102432

ซอฟท์แวร์ Razer Synapse 3 สำหรับปรับแต่งเกมมิ่งเกียร์ของทางบริษัททั้นสามารถโหลดมาติดตั้งแล้วเซ็ตอัพ Razer Naga V2 Pro ให้เข้ากับสไตล์การใช้งานได้ละเอียด โดยในหน้าแรกหลังจากเลือกเมาส์แล้ว หน้า UI ถือว่าสะอาดมองเข้าใจได้ง่าย ถ้ากดไอคอนรูปเมมโมรี่การ์ดข้างชื่อ Profile ก็สามารถโหลดโปรไฟล์ที่เซฟออนบอร์ดแยกไว้ทั้ง 5 แบบขึ้นมาใช้งานได้ทันที ถัดลงมาจะมีฟังก์ชั่นเปิด/ปิด Razer HyperShift ซึ่งเป็นฟังก์ชั่นเพิ่มคำสั่งเมาส์พิเศษเข้าไปอีกคำสั่งหนึ่งนอกเหนือจากที่เซ็ตเอาไว้แล้ว เช่น ถ้าปุ่มมาโครหมายเลข 1 ถูกเซ็ตให้เอาไว้กดเพิ่มเสียง เมื่อเปิด HyperShift แล้วเราสามารถเพิ่มคำสั่งพิเศษเข้าไปได้อีกคำสั่งหนึ่งเป็นลดเสียงก็ได้ แต่ผู้ใช้ต้องเซ็ตปุ่มสำหรับสลับระหว่างโหมด Standard หรือ HyperShift เอาไว้ด้วย

Screenshot 2023 01 18 102504

Screenshot 2023 01 18 102515
Screenshot 2023 01 18 102531
Screenshot 2023 01 18 102539
Screenshot 2023 01 18 102645
Screenshot 2023 01 18 102653
Screenshot 2023 01 18 102708

การเซ็ตคำสั่งให้เพลตข้างเมาส์แต่ละแบบของ Razer Synapse 3 ทำมาได้ดีและใช้สะดวกมาก โดยหน้า UI จะมีให้ผู้ใช้เลือกเลยว่าเราต้องการเซ็ตคีย์ลัดและคำสั่งใดให้เพลตไหนของ Razer Naga V2 Pro ซึ่งเราเลือกเพลตในหน้าโปรแกรม กดตัวเลขปุ่มมาโครแล้วเซ็ตได้ตามต้องการ พอเปลี่ยนเพลตแล้วเมาส์จะโหลดคำสั่งนั้นๆ ขึ้นมาใช้งานให้โดยอัตโนมัติ

ในหน้าต่างคำสั่งคีย์ลัดของ Naga V2 Pro จะมีคำสั่งให้เลือกหลากหลายแบบมาก ทั้งคำสั่งใช้งานบนคีย์บอร์ดหรือใช้ตั้งค่าการทำงานของเมาส์ก็ได้ นอกจากนี้ยังใช้สลับโปรไฟล์, ใช้กดคีย์ลัดเปิดโปรแกรมที่ต้องการใช้งาน, กด Shortcut ของ Windows หรือกดคีย์ลัดเพื่อส่งข้อความที่เซฟเอาไว้ใช้โดยเฉพาะ อย่างเช่นเอาไว้พิมพ์ประโยคใช้งานบ่อยตอนเล่นเกมกับเพื่อนก็ได้เช่นกัน

Screenshot 2023 01 18 102720

Screenshot 2023 01 18 102824
Screenshot 2023 01 18 102837

หมวด Performance จะเป็นหน้าตั้งค่า DPI ของเมาส์ว่าต้องการให้เมาส์เลื่อนเร็วหรือช้าแค่ไหน ในตัวโปรแกรมตั้งค่าพื้นฐานมาเป็น Sensitivity Stage แยกความเร็วเป็นขั้นบันไดทั้งหมด 5 ระดับ ตอนตั้งค่าให้กดกรอบ Stage ที่ต้องการแล้วจะเลื่อนค่า DPI ที่เส้นด้านล่างหรือพิมพ์ตัวเลขเข้าไปเลยก็ได้เช่นกัน

Lighting จะเอาไว้ตั้งค่าไฟ RGB ตรงโลโก้ของ Razer Naga V2 Pro ว่าจะให้สว่างหรือมืดระดับไหน โดยปรับได้ตั้งแต่ 0~100 และเลือกได้ว่าจะให้ไฟ RGB ปิดตามหน้าจอคอมหรือไม่ได้ใช้งานนานเท่าไหร่ โดยตั้งได้ตั้งแต่ 1~15 นาที รวมทั้งเซ็ตเอฟเฟคของไฟที่โลโก้ Razer ได้ด้วย

Screenshot 2023 01 18 102747
Screenshot 2023 01 18 102913

ส่วนของสกรอล์เมาส์ซึ่งเป็นจุดเด่นของ Razer Naga V2 Pro เอง ทาง Razer ก็ทำหน้าต่างแยกเอาไว้ให้โดยเฉพาะ โดยมี Scroll Wheel Stages ให้เลือก 5 แบบที่เป็นค่าจากโรงงานและ 1 โหมดเป็น Custom ให้ผู้ใช้ตั้งค่าได้ตามต้องการ ฝั่งขวาเป็นกราฟโชว์อัตราการหมุนสกรอล์ต่อความตึงของลูกล้อ (Tension) ว่าเราต้องออกแรงหมุนเยอะหรือเปล่า ซึ่งผู้ใช้สามารถดูจากกราฟด้านข้างได้เลยและถ้าจะใช้หรือไม่ใช้โปรไฟล์ไหน ก็สามารถกดเปิดปิดได้ตามต้องการ

โปรไฟล์ Custom จะเป็นโปรไฟล์พิเศษซึ่งทาง Razer ทำมาให้ผู้ใช้ปรับรูปแบบการหมุนสกรอลเมาส์ได้ด้วยตัวเอง ในตอนแรกโปรไฟล์นี้จะถูกปิดอยู่ต้องมาเปิดและตั้งในโปรแกรมถึงจะใช้งานได้ ตอนตั้งค่าจะใช้วิธีเลื่อนเพิ่มลดค่า Scroll Tension, Scroll Steps ด้านข้างหรือดึงจุดพล็อตกราฟเองเลยก็ได้ จัดว่าใช้งานได้ดีปรับสไตล์ได้ตามความชอบของผู้ใช้แต่ละคนได้เลย

Screenshot 2023 01 19 130510

จุดน่าสนใจนอกจากซอฟท์แวร์ Razer Synapse 3 แล้ว ตัวโปรแกรมจะพ่วง Razer Cortex ซอฟท์แวร์จัดการทรัพยากรคอมมาช่วย Optimize ลดการใช้แรมและจัดการโปรแกรมเบื้องหลังให้ไม่แย่งทรัพยากรตัวเครื่องเวลาเล่นเกมด้วย โดยตัวซอฟท์แวร์จะขึ้นเป็นหน้าต่าง Notificaition มุมขวาล่างของหน้าจอเพื่อบอกผู้ใช้ว่าตอนนี้ตัวซอฟท์แวร์ลดการใช้แรมในเครื่องไปแล้วกี่ GB จัดการ Optimize ไปแล้วกี่โปรแกรม ซึ่งจากที่ทดลองใช้พบว่ามันเพิ่มเฟรมเรทตอนเล่นเกมได้ระดับหนึ่ง ราว 5~10 Fps ซึ่งถือว่ามีประโยชน์ดีทีเดียว อาจนับเป็นลูกเล่นเล็กๆ น้อยๆ จากทาง Razer ก็ได้

User Experience

Razer Naga V2 Pro DSC01193

Razer Naga V2 Pro เป็นเมาส์เกมมิ่งที่ขนาดตัวใหญ่และออกแบบมาให้ใช้กับมือขวาโดยเฉพาะ ซึ่งส่วนตัวผู้เขียนเคยใช้ Razer Naga รุ่นแรกๆ เมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ พอข้ามมาจับรุ่นปัจจุบันก็รู้สึกว่าเมาส์รุ่นนี้ได้รับการพัฒนามาไกลมาก จากเมาส์ที่มีขนาดค่อนข้างเล็กจับถนัดมือและผู้หญิงใช้งานได้สบายไม่หนักมาก เป็นเมาส์เกมมิ่งตัวใหญ่เต็มมือจับถนัดและยังเปลี่ยนกรอบข้างเมาส์ได้ตามสไตล์และความถนัดได้เลย โดยเฉพาะสันเมาส์สำหรับรองรับนิ้วนางขวาในรุ่นปัจจุบันโก่งรับมือได้ดีมากแล้วนิ้วไม่ลากไปกับแผ่นรองเมาส์หรือพื้นโต๊ะ ทำให้หนีบนิ้วโป้งและก้อยเข้าข้างเมาส์แล้วลากกวาดได้สะดวกขึ้นมาก แต่ขนาด, น้ำหนัก 129 กรัมและดีไซน์ตัวเมาส์เมื่อจับแล้ว โครงเมาส์ก็แทบจะบังคับให้จับแบบ Palm หรือ Claw Grip ไปโดยปริยาย ส่วน Fingertip Grip แม้จะจับได้แต่น้ำหนักเมาส์นั้นทำให้ดึงเมาส์ไปมาไม่สะดวกเท่าที่ควร

จุดแข็งที่น่าพูดถึง คือปุ่มมาโครข้างเมาส์ซึ่งเซ็ตตั้งค่าเรียกโปรแกรมหรือคำสั่งต่างๆ ได้ตามต้องการ ซึ่งผู้เขียนได้เซ็ตเอาไว้เรียกโปรแกรมใช้งานบ่อยผสมกับคีย์ลัดของ Windows อีกนิดหน่อยก็ช่วยประหยัดเวลาตอนทำงานได้ดีมาก นับว่า Razer Naga V2 Pro เป็นเมาส์เกมมิ่งซึ่งสามารถเปลี่ยนตัวเองมาทำงานได้ดีไม่แพ้เมาส์สำหรับสายทำงานโดยเฉพาะเลย และได้เปรียบกว่าเมาส์สายทำงานตรงปุ่มมาโครมีให้ใช้เยอะ ถ้าใครทำงานกับโปรแกรมที่มีคีย์ลัดมากๆ โดยเฉพาะโปรแกรมสาย Adobe ไม่ว่าจะ Photoshop, Lightroom หรือ Premier Pro น่าจะได้ใช้ประโยชน์จากมันได้มากทีเดียว

ด้านการเชื่อมต่อ เมาส์นี้ถ้าใช้ Razer HyperSpeed USB 2.4GHz แบตเตอรี่จะอยู่ได้นานสุด 150 ชั่วโมง ถ้าใช้ Bluetooth จะอยู่ได้นาน 300 ชั่วโมง ชาร์จแบตเตอรี่ได้ด้วยสาย USB-C ซึ่งจะใช้สาย Razer Speedflex USB-C ในกล่องต่อชาร์จไปเล่นไปหรือใช้สายชาร์จสมาร์ทโฟนก็สะดวกไม่แพ้กัน และระยะเวลาใช้งานเมาส์จัดว่าน่าประทับใจมาก จากที่ใช้เล่นเกมที่บ้านแล้วพกใส่กระเป๋าไปทำงาน แบตเตอรี่ก็ยังไม่หมดง่ายๆ และเชื่อว่าถ้าใครซื้อไปใช้อาจจะใช้เพลินจนลืมชาร์จไปเลยทีเดียว ดังนั้นในแง่ระยะเวลาใช้งานจัดว่าหายห่วยไม่มีข้อกังขา ส่วนการตอบสนองแม้จะต่อ Bluetooth ก็ยังใช้งานได้ดีมากไม่ต่างกับการใช้ HyperSpeed เลย แต่สันนิษฐานว่าถ้าเป็น Bluetooth จะเหมาะกับการใช้ทำงานมากกว่า ถ้าเล่นเกมอาจมีอาการ Input Lag เล็กน้อย

เซนเซอร์ Razer Focus Pro 30K ของ Naga V2 Pro ณ ตอนนี้นับเป็นเซนเซอร์ที่มีค่า DPI สูงและละเอียดสุดในกลุ่มเกมมิ่งเมาส์ในปัจจุบัน ซึ่งแบรนด์คู่แข่งหลายๆ เจ้ายังอยู่ระดับ 26,000 DPI แต่ของ Razer นั้นสูงจนแตะ 30,000 DPI และยังปรับตั้งค่า DPI ได้ละเอียดมากและลากเคลื่อนเคอร์เซอร์ไปมาได้ดีมาก ตอนเล่นเกม FPS แล้วลองปรับค่า DPI เพียงขยับข้อมือเบาๆ ก็หมุนตัวละครแทบจะในทันที แต่เซนเซอร์ไม่เกิดอาการไหลเลย ลากเมาส์ไปแล้วหยุดตรงไหนก็ไม่มีอาการเคอร์เซอร์ไหลแม้แต่น้อย ซึ่งสำคัญมากเพราะถ้าเล่นเกมลากเมาส์เร็วๆ ตามศัตรูแล้ว หากเซนเซอร์เพี้ยนอาจจะส่งผลต่อรูปเกมได้เลย แต่ Razer Naga V2 Pro ไม่เจอปัญหานี้สักนิด

อย่างไรก็ตาม Razer Naga V2 Pro ยังมีข้อสังเกตหลักๆ คือ เมื่อเทียบกับเมาส์เกมมิ่งไร้สายของแบรนด์คู่แข่งแล้วนับว่ามีน้ำหนักมากสุดในกลุ่ม เพราะหลายๆ แบรนด์ ณ ตอนนี้จะอยู่ช่วง 80~90 กรัม แล้วแข่งกันลดน้ำหนัก แต่ระยะเวลาของแบตเตอรี่ก็น้อยกว่า Razer Naga V2 Pro ถึงครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว อย่างมากอยู่ได้ราว 60~80 ชั่วโมงก็หมดแล้วและมักจะเชื่อมต่อเฉพาะ USB 2.4GHz เท่านั้น ไม่มี Bluetooth ให้ใช้ ดังนั้น Naga V2 Pro จึงได้เปรียบเรื่องรูปแบบการใช้งานที่ยืดหยุ่นและใช้งานต่อเนื่องได้นานกว่าอย่างชัดเจน

จุดสังเกตถัดมาเป็นเรื่องดีไซน์ นั่นเพราะ Naga V2 Pro ออกแบบมาเพื่อเกมเมอร์มือขวาเท่านั้น ใครที่ถนัดมือซ้ายแต่อยากใช้ฟังก์ชั่นมาโครเยอะๆ ก็จำเป็นต้องปรับตัวอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ทาง Razer ก็เคยทำ Naga Left-Handed Edition ออกมาขายเมื่อปี 2020 ที่ผ่านมา จึงไม่มั่นใจว่าจะมี Naga V2 Pro Left-Handed Edition ออกมาวางขายในอนาคตหรือไม่ แต่ถ้ามีก็เป็นเรื่องที่ดีเพื่อเกมเมอร์ถนัดซ้ายแน่นอน ส่วนจุดน่าสนใจคือ ถ้าใครใช้เมาส์ Ergonomic ที่ออกแบบมาใช้ทำงานโดยเฉพาะจนติดแล้วมาใช้ Razer Naga V2 Pro ในช่วงแรกๆ จะรู้สึกได้ทันทีว่าจะต้องบิดแขนเข้าเยอะกว่าปกติ หากใช้ทำงานทั้งวันอาจจะมีอาการเมื่อยอยู่บ้างเล็กน้อย

Summary

Razer Naga V2 Pro DSC01187

Razer Naga V2 Pro เป็นเกมมิ่งเมาส์ที่แม้จะมีราคา 7,490 บาทก็ตาม แต่เทคโนโลยี, ฟีเจอร์, อุปกรณ์เสริมต่างๆ ของเมาส์นี้ต้องถือว่าคุ้มค่าตัว คุณจะได้เมาส์ที่เซนเซอร์คม, เปลี่ยนโปรไฟล์และมีปุ่มมาโครให้กดได้อย่างจุใจ แบตเตอรี่ใช้งานต่อเนื่องได้นานมากจนแทบจะลืมชาร์จแบตฯ และ Naga V2 Pro นี้ นับว่าเป็นตัวเดียวจบได้ จะใช้เล่นเกมที่บ้านต่อด้วย Razer HyperSpeed แล้วมีเพลต 1~2 ชิ้นเอาไว้ พอพกไปทำงานก็เปลี่ยนเพลตแล้วต่อ Bluetooth ใช้ทำงานแล้วกับคอมอีกเครื่องต่อได้สะดวกสุดๆ ไม่ต้องแยกเมาส์ให้เสียเงินสองต่อ เพราะถ้าหารราคา 7,490 บาท ก็จะได้เป็นเงิน 3,745 บาท ไว้ซื้อเมาส์ทำงานอย่างดีและเกมมิ่งที่สเปคไล่เลี่ยกันได้อย่างละตัวก็จริง แต่ก็มีของใช้ซ้ำซ้อนเช่นกัน ดังนั้นสู้ซื้อเมาส์ดีๆ เอาไว้ใช้งานตัวเดียวจบดีกว่า

โดยรวมแล้ว Razer Naga V2 Pro เป็นเกมมิ่งเมาส์ที่พัฒนาตัวเองจากเมาส์สำหรับเกมแนว MMORPG, MOBA เป็นหลัก ให้ก้าวมาเป็นเมาส์มาโครน่าใช้ได้อย่างเต็มภาคภูมิ พอผสานกับฟีเจอร์เปลี่ยนเพลตข้างเมาส์ให้เข้ากับรูปแบบการใช้งานได้แล้ว จึงไม่ต้องยึดโยงว่าตระกูล Razer Naga นั้นจะต้องเอาไว้เล่นแค่เกมแนวนี้เท่านั้นหรือทำงานแบบนี้อย่างเดียว เพราะมันกลายเป็นเมาส์อเนกประสงค์เพื่อคนถนัดขวาโดยเฉพาะไปแล้วโดยสมบูรณ์ น่าลงทุนซื้อมาใช้งานมาก

from:https://notebookspec.com/web/683044-review-razer-naga-v2-pro

7 เมาส์เกมมิ่ง 2022 รุ่นวิชาตัวเบา ไม่หนักมือ ลากเมาส์ไวสะใจ เริ่มต้น 1,190 บาทเท่านั้น

เมาส์เกมมิ่ง 2022 รุ่นน้ำหนักเบา เอาใจคอ FPS ที่อยากลากเมาส์ให้ไวทันใจ!

Share image Edit Name 1gamingmouse 1

เมาส์เกมมิ่ง 2022 นี้ นอกจากดีไซน์, โปรแกรมและฟังก์ชั่นเด่นเฉพาะของเมาส์แต่ละตัวแล้ว จุดเด่นอีกอย่างที่แต่ละแบรนด์หยิบมาเป็นจุดขายแข่งกันอย่างสนุกสนาน นั่นคือ น้ำหนักเมาส์ของใครเบากว่า ซึ่งจุดเด่นนี้มีผลต่อเกมเมอร์หลายๆ คน นั่นเพราะเมื่อตัวเมาส์นั้นเบาแล้ว เกมเมอร์ก็ใช้แรงขยับมันน้อยลงและพาสกรอล์เมาส์พุ่งตรงไปยังเป้าที่ต้องการได้ง่ายและเร็วยิ่งขึ้น โดยเฉพาะสาย FPS ที่ตัดสินแพ้ชนะกันในเสี้ยววินาทีน่าจะมองหาเมาส์เกมมิ่ง 2022 น้ำหนักเบาเช่นนี้มาประจำมือขวาของตัวเองอยู่อย่างแน่นอน

Advertisementavw

หากเกมเมอร์คนไหนอยากเปลี่ยนเกมมิ่งเกียร์ยกเซ็ตอยู่แล้วกำลังชั่งใจว่าจะซื้อเกมมิ่งคีย์บอร์ดที่เคยแนะนำไปก่อนหน้านี้หรือจะซื้อเมาส์ก่อนดี ในส่วนนี้ผู้เขียนคิดว่าทั้งสองชิ้นนี้มีความสำคัญไม่แพ้กัน ถ้าแนะนำคือ “ให้เริ่มจากชิ้นที่เก่าหรือกำลังจะเสีย” ก่อนเป็นชิ้นแรก แต่ถ้าใครพร้อมซื้อทั้งสองชิ้นก็อยากแนะนำให้ซื้อเกมมิ่งเกียร์เป็นเซ็ตจากแบรนด์เดียวกันจะดีที่สุด นั่นเพราะเราไม่ต้องลงโปรแกรมตั้งค่าเกมมิ่งเกียร์หลายๆ ตัวไว้ในพีซีเครื่องเดียวกัน เวลาจะเซ็ตอัพสักครั้งก็เซ็ตในโปรแกรมเดียวจะสะดวกกว่า

เมาส์เกมมิ่ง 2022

สรุปสเปคเมาส์เกมมิ่ง 2022 ทั้ง 7 รุ่นสุดเบา! ตัวไหนน่าซื้อมาเล่นเกมบ้างมาดูทางนี้!

สเปคเมาส์เกมมิ่ง 2022 Design

Connection

DPI

Software

ความเร็ว

อัตราเร่ง

น้ำหนัก
(กรัม)
ราคา
(บาท)
Razer Viper Mini False Ambidextrous

สาย USB

8,500 DPI

Razer Synapse 3

300 IPS

35G

61 1,190
HyperX Pulsefire Haste False Ambidextrous

สาย USB

16,000 DPI

HyperX NGENUITY

450 IPS

40G

59 1,490
NZXT LIFT False Ambidextrous

สาย USB

16,000 DPI

NZXT CAM

67 1,690
XTRFY M4 RGB Ergonomic
เน้นมือขวา

สาย USB

400
~
16,000 DPI

ไม่มีซอฟท์แวร์

400 IPS

50G

69 1,990
MSI CLUTCH GM41 LIGHTWEIGHT Ergonomic
เน้นมือขวา

สาย USB

USB 2.4GHz
Dongle

20,000 DPI

MSI Dragon Center

400 IPS

50G

74 2,600
Pulsar Xlite V2 Wireless Ergonomic
เน้นมือขวา

สาย USB

USB 2.4GHz
Dongle

50
~
20,000 DPI

Xlite Wireless

400 IPS

50G

59 2,990
Logitech G PRO X Superlight False Ambidextrous

สาย USB

USB 2.4GHz
Dongle

25,600 DPI

LOGITECH G HUB

400 IPS

มากกว่า 40G

น้อยกว่า
63 กรัม
4,669

7 เมาส์เกมมิ่ง 2022 รุ่นวิชาตัวเบา ลากเมาส์ไวสะใจ ถูกใจเกมเมอร์แน่นอน

เกมเมอร์คนไหนมีแผนเปลี่ยนเมาส์เกมมิ่งตัวเก่าเป็นตัวใหม่ที่น้ำหนักเบาลงกว่าเดิม ใช้โปรแกรมตั้งค่าเกมมิ่งเกียร์ได้ด้วยล่ะก็ เมาส์เกมมิ่ง 2022 ทั้ง 7 รุ่นที่ผู้เขียนเลือกมาแนะนำในบทความนี้จัดว่าน่าสนใจมาก โดยมีรุ่นดังนี้

  1. Razer Viper Mini (61 กรัม)
  2. HyperX Pulsefire Haste (59 กรัม)
  3. NZXT LIFT (67 กรัม)
  4. XTRFY M4 RGB (69 กรัม)
  5. MSI CLUTCH GM41 LIGHTWEIGHT (74 กรัม)
  6. Pulsar Xlite V2 Wireless (59 กรัม)
  7. Logitech G PRO X Superlight (น้อยกว่า 63 กรัม)
1. Razer Viper Mini (61 กรัม)

razer viper mini hero desktop

เมาส์เกมมิ่ง 2022 รุ่นแรกต้องยกให้ Razer Viper Mini เป็นเมาส์เกมมิ่งน้ำหนักและราคาเบาเข้าถึงง่าย ดีไซน์แบบ False Ambidextrous ซึ่งจับเมาส์ได้ถนัดทั้งสองมือแต่ปุ่มข้างเมาส์จะเหมาะกับมือขวามากกว่า มีไฟ Razer Chroma RGB ด้วย ใช้การเชื่อมต่อด้วยสาย USB ติดเซนเซอร์ Optical ของ Razer มาให้ ปรับค่า DPI ได้สูงสุด 8,500 DPI มีความเร็วสูงสุด 300 IPS อัตราเร่ง 35G ตั้งค่าปุ่มบนตัวเมาส์ได้ 6 ปุ่มโดยใช้ซอฟท์แวร์ Razer Synapse 3 ปรับแต่งตั้งค่าเมาส์ ส่วนน้ำหนักนั้นเบาเพียง 61 กรัมเท่านั้น ซึ่งถ้าใครชอบเมาส์น้ำหนักเบาแต่ราคาไม่แพงเกินไปก็ซื้อ Viper Mini ไปได้เลย

สเปคของ Razer Viper Mini
  • Design & Connection : False Ambidextrous, สาย USB
  • DPI : สูงสุด 8,500 DPI
  • Speed & Acceleration : 300 IPS, 35G
  • Software : Razer Synapse 3
  • Weight : 61 กรัม
  • Price : 1,190 บาท (JIB)
2. HyperX Pulsefire Haste (59 กรัม)

75407d7ef04c9b83cde6f0ee27a1cedc

อดีตแผนกเกมมิ่งเกียร์ของ Kingston อย่าง HyperX ก็มีเมาส์น้ำหนักเบาอย่าง HyperX Pulsefire Haste ให้เกมเมอร์เลือก ดีไซน์ False Ambidextrous เจาะรูรังผึ้งเพื่อระบายความชื้นที่มือ นอกจากนี้ทางบริษัทยังแถมแผ่นกริ๊พแถมมาให้ติดตัวเมาส์ให้จับได้ถนัดมือยิ่งขึ้น ปรับตั้งค่าตัวเมาส์ได้ด้วยซอฟท์แวร์ HyperX NGENUITY ใช้เซนเซอร์ Pixart 3335 ปรับตั้งค่า DPI ได้สูงสุด 16,000 DPI มีความเร็ว 450 IPS กับอัตราเร่ง 40G ตั้งค่าปุ่มได้ 6 ปุ่มและเชื่อมต่อด้วยสาย USB 2.0 ก็ใช้เล่นเกมได้เลย ส่วนตัวเมาส์เบาเพียง 59 กรัมเท่านั้น นับเป็นเมาส์เกมมิ่ง 2022 น้ำหนักเบาน่าใช้ ได้ของแถมมาครบเครื่องอีกด้วย

สเปคของ HyperX Pulsefire Haste
  • Design & Connection : False Ambidextrous, สาย USB
  • DPI : สูงสุด 16,000 DPI
  • Speed & Acceleration : 450 IPS, 40G
  • Software : HyperX NGENUITY
  • Weight : 59 กรัม
  • Price : 1,490 บาท (HyperX Shopee Mall)
3. NZXT LIFT (67 กรัม)

8d05a66861bcd403ee02342943d0c048

เกมเมอร์น่าจะคุ้นชื่อ NZXT ในฐานะผู้ผลิตเคส, ชุดระบายความร้อนซีพียู, เมนบอร์ดเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ทางบริษัทก็มีเมาส์เกมมิ่ง 2022 น้ำหนักเบาอย่าง NZXT LIFT ให้ซื้อไปเล่นเกมด้วย โดยเมาส์เกมมิ่งตัวนี้ใช้โปรแกรม NZXT CAM ตั้งค่าร่วมกับอุปกรณ์ของบริษัทชิ้นอื่นๆ ดีไซน์ตัวเมาส์เป็น False Ambidextrous ใช้เซนเซอร์ PixArt 3389 ปรับความเร็วได้สูงสุด 16,000 DPI เซฟโปรไฟล์ออนบอร์ดได้ 4 โปรไฟล์ เชื่อมต่อด้วยสาย USB เส้นเดียวก็พร้อมเล่นเกมได้ทันที ส่วนน้ำหนักเมาส์เบาเพียง 67 กรัมเท่านั้น ซึ่งถ้าใครเป็นแฟนคลับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ดีไซน์มินิมอลของแบรนด์นี้ก็น่าซื้อเจ้าเมาส์นี้ไปเล่นเกมมาก นอกจากเข้าเซ็ตแล้วยังใช้งานดีด้วย

สเปคของ NZXT LIFT
  • Design & Connection : False Ambidextrous, สาย USB
  • DPI : สูงสุด 16,000 DPI
  • Speed & Acceleration : –
  • Software : NZXT CAM
  • Weight : 67 กรัม
  • Price : 1,690 บาท (NZXT Shopee Mall)
4. XTRFY M4 RGB (69 กรัม)

0573aaf3c35e342a1579b5e5848484d2

XTRFY (อ่านว่า Extra-Fi) เป็นแบรนด์เกมมิ่งเกียร์สัญชาติสวีเดนที่ไม่มีซอฟท์แวร์ตั้งค่าของตัวเอง ใช้การปรับตั้งค่าแบบออนบอร์ดเป็นหลัก โดยมีเมาส์เกมมิ่ง 2022 น้ำหนักเบารุ่น XTRFY M4 RGB ให้เลือก ดีไซน์ตัวเมาส์ผสมความเรโทรกับความล้ำสมัยเอาไว้ด้วยกันและเจาะรูรังผึ้งระบายอากาศมาให้ ดีไซน์ Ergonomic เน้นมือขวาเป็นหลัก ปรับเลือกค่า DPI เป็นระดับขั้นบันไดตั้งแต่ 400~16000 DPI มีความเร็ว 400 IPS อัตราเร่ง 50G เชื่อมต่อด้วยสาย USB เพื่อใช้งาน ใช้งานได้ทั้ง Windows, macOS ส่วนตัวเมาส์มีน้ำหนัก 69 กรัมเท่านั้น หากเกมเมอร์คนไหนไม่เน้นใช้ซอฟท์แวร์ตั้งค่าเมาส์ให้วุ่นวายนักล่ะก็ XTRFY M4 ตัวนี้จัดว่าน่าสนใจมาก

สเปคของ XTRFY M4 RGB
  • Design & Connection : Ergonomic เน้นมือขวา, สาย USB
  • DPI : 400~16,000 DPI
  • Speed & Acceleration : 400 IPS, 50G
  • Software : –
  • Weight : 69 กรัม
  • Price : 1,990 บาท (Gaming Planet Shopee Mall)
5. MSI CLUTCH GM41 LIGHTWEIGHT (74 กรัม)

9d3997807cac6b21e17eacfa4b28646d

MSI CLUTCH GM41 LIGHTWEIGHT เมาส์เกมมิ่งน้ำหนักเบาจากแบรนด์เกมมิ่งที่ชาวไทยคุ้นหูดีก็มีเมาส์น้ำหนักเบาให้ซื้อไปเล่นเกมด้วย โดย MSI CLUTCH มีไฟ RGB ติดมาให้ในตัวไม่พอ เมาส์ตัวนี้จะเชื่อมต่อสาย USB หรือเล่นไร้สายโดยใช้ USB 2.4GHz Dongle ก็เล่นเกมได้นาน 80 ชั่วโมง รองรับชาร์จไว 10 นาที เล่นเกมได้ 9 ชั่วโมง มี Charging Dock แถมมาให้ด้วย ดีไซน์เมาส์ออกแบบเป็น Ergonomic เน้นมือขวา ใช้ซอฟท์แวร์ MSI Dragon Center ปรับตั้งค่าทั้งหมดของตัวเมาส์ ปรับค่า DPI ได้สูงสุด 20,000 DPI มีความเร็ว 400 IPS อัตราเร่ง 50G และน้ำหนักเบา 74 กรัม เทียบแล้วต้องถือว่า MSI CLUTCH GM41 LIGHTWEIGHT เป็นเมาส์เกมมิ่ง 2022 ราคาไม่แรงแต่สเปคดี ยิ่งถ้าใครใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์หรือเกมมิ่งโน๊ตบุ๊คของ MSI อยู่แล้วยิ่งน่าซื้อมาใช้มากๆ ส่วนผู้ที่สนใจเมาส์ตัวนี้สามารถอ่านรีวิวได้ที่นี่

สเปคของ MSI CLUTCH GM41 LIGHTWEIGHT
  • Design & Connection : Ergonomic เน้นมือขวา, สาย USB, USB 2.4GHz Dongle
  • DPI : สูงสุด 20,000 DPI
  • Speed & Acceleration : 400 IPS, 50G
  • Software : MSI Dragon Center
  • Weight : 74 กรัม
  • Price : 2,600 บาท (MSI Shopee Mall)
6. Pulsar Xlite V2 Wireless (59 กรัม)

74c0da6ba94f4831ba8ea1c65a7f59cf

ถ้าถามว่าเมาส์เกมมิ่ง 2022 ตัวไหนเบาสุดในบทความนี้ ต้องยกให้ Pulsar Xlite V2 Wireless ตัวนี้ไปเลย เพราะเมาส์ตัวนี้เบาเพียง 59 กรัม งานประกอบแข็งแรงและทางบริษัทยังออกแบบวางบาลานซ์น้ำหนักให้สมดุลย์ ไม่หนักตรงส่วนไหนส่วนหนึ่งเป็นพิเศษ ยึดดีไซน์ Ergonmic เน้นมือขวาเช่นกัน ใช้ซอฟท์แวร์ Xlite Wireless ตั้งค่าตัวเมาส์ได้โดยละเอียด เซ็ต DPI ได้ตั้งแต่ 50~20,000 DPI มีความเร็ว 400 IPS อัตราเร่ง 50G เชื่อมต่อใช้งานด้วยสาย USB-C หรือเล่นแบบไร้สายด้วย USB 2.4GHz Dongle ก็ใช้ได้นาน 70 ชั่วโมง ดังนั้นถ้าใครชอบเมาส์เบาถึงใจ จับถนัดมือขวาของตัวเองด้วยล่ะก็ Pulsar Xlite V2 Wireless ตัวนี้จัดว่าน่าโดนมาก

สเปคของ Pulsar Xlite V2 Wireless
  • Design & Connection : Ergonomic เน้นมือขวา, สาย USB-C, USB 2.4GHz Dongle
  • DPI : 50~20,000 DPI
  • Speed & Acceleration : 400 IPS, 50G
  • Software : Xlite Wireless
  • Weight : 59 กรัม
  • Price : 2,990 บาท (IT Friend Shopee)
7. Logitech G PRO X Superlight (น้อยกว่า 63 กรัม)

superlight bmw mice

เมาส์เกมมิ่ง 2022 รุ่นสุดท้ายซึ่งผู้เขียนแนะนำ เป็น Logitech G PRO X Superlight ซึ่งทางเว็บไซต์ได้รีวิวไปก่อนหน้านี้แล้ว โดยข้อดีของเมาส์ตัวนี้นอกจากน้ำหนักจะน้อยกว่า 63 กรัมแล้ว ยังใช้เล่นเกมแบบไร้สายด้วย USB 2.4GHz “LIGHTSPEED” ได้นาน 70 ชั่วโมง และถ้าใครซื้อแผ่นรองเมาส์ LOGITECH POWERPLAY มา ก็ชาร์จแบตฯ และใช้งานแบบไร้สายไปพร้อมกันได้เลย ดีไซน์เมาส์เป็น False Ambidextrous ปรับตั้งค่าเมาส์ได้ด้วยโปรแกรม LOGITECH G HUB ได้ ใช้เซนเซอร์ HERO 25K เซ็ต DPI ได้ละเอียดสุด 25,600 DPI ความเร็ว 400 IPS อัตราเร่งมากกว่า 40G ถ้าเกมเมอร์คนไหนหาเมาส์เกมมิ่ง 2022 น้ำหนักเบาทนทานและดีไซน์สวยเรียบง่ายล่ะก็ ผู้เขียนก็แนะนำ G PRO X Superlight ตัวนี้เป็นพิเศษ

สเปคของ Logitech G PRO X Superlight
  • Design & Connection : False Ambidextrous, สาย USB, USB 2.4GHz Dongle “LIGHTSPEED”
  • DPI : สูงสุด 25,600 DPI
  • Speed & Acceleration : 400 IPS, มากกว่า 40G
  • Software : LOGITECH G HUB
  • Weight : น้อยกว่า 63 กรัม
  • Price : 4,669 บาท (Logitech Shopee Mall)

rebekah yip FwfyVSfUFWs unsplash

นอกจากน้ำหนักที่เบาแล้ว องค์ประกอบอื่นที่มีผลต่อความเร็วตอนลากเมาส์ไปมา ก็หนีไม่พ้น Glide หรือตัวแผ่นพลาสติกใต้เมาส์ซึ่งมันเป็นมีผลไม่แพ้กัน แต่ถึงจะว่าเช่นนั้นก็ตาม แต่ผู้เขียนก็ไม่ได้เจาะจงว่าถ้าซื้อเมาส์เกมมิ่ง 2022 มาแล้วก็ต้องรีบเปลี่ยน Glide ทันทีทันใด อาจจะใช้ตามสภาพไปเดิมๆ แล้วติดแผ่นพลาสติกกริ๊พให้จับแล้วดูดติดมือกว่าจับพลาสติกตัวเมาส์อย่างเดียว เท่านี้เมาส์ของเกมเมอร์ใช้งานได้ดี เล่นเกมได้สนุกขึ้นมากแล้ว


บทความที่เกี่ยวข้อง

Share image Edit Name 2windows11 1

Share image Edit Name 1gaminglaptop 1

Share image Edit Name 3gamingkeyboard 1

from:https://notebookspec.com/web/669943-7-lightweight-gaming-mouse-in-2022

Logitech G203 สีสันสดใส 8,000 DPI แสงไฟ RGB ปรับแต่งมาโครได้ ราคาหลักร้อย

Logitech G203 LIGHTSYNC เมาส์สายแฟชั่น ราคาหลักร้อย ไฟ RGB ปรับ DPI ได้ ตั้งมาโครสะดวก

Logitech G203

Logitech G203 LIGHTSYNC เกมมิ่งเมาส์สไตล์เก๋ ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์แบบจัดเต็มในราคาเบาๆ ในขนาดพอเหมาะ มีแสงไฟ RGB ปรับแต่งได้ พร้อมลูกเล่นอีกมากมายเกินตัว ให้การตอบสนองได้รวดเร็ว ด้วยความละเอียดสูงสุด 8000 DPI กับเซ็นเซอร์ในระดับ Logitech G เพื่อคอเกมโดยเฉพาะ น้ำหนักเบาเพียง 85 กรัมเท่านั้น และสายสัญญาณที่ยาวถึง 2.1 เมตร และปุ่มใช้งานที่มากถึง 6 ปุ่ม รองรับการตั้งค่ามาโคร และเพิ่มแสงไฟ RGB มาบนตัวเมาส์อย่างสวยงาม ทั้งบนโลโก้ที่อุ้งมือ และขอบด้านข้าง เพิ่มความสะดวกในการใช้งาน ด้วยการตั้งค่าบนซอฟต์แวร์ Logitech G Hub เคลื่อนไหวได้รวดเร็ว เหมาะกับเกมเมอร์มือใหม่ และสายแต่งโต๊ะคอม เพราะมีให้เลือกถึง 4 สี การรับประกัน 2 ปี ราคาสบายกระเป๋าเพียง 690 บาทเท่านั้น


จุดเด่น

Advertisementavw
  • สีสันสดใส เหมาะกับใช้จัดโต๊ะคอม
  • ให้ค่า DPI ได้ถึง 8,000
  • ปรับตั้งค่าได้บนซอฟต์แวร์
  • มาพร้อมแสงไฟ RGB มีโพรไฟล์ให้เลือก
  • ปุ่มสวิทช์ตอบสนองไว
  • มีปุ่มให้ใช้ถึง 6 ปุ่ม
  • น้ำหนักเบา พกพาสะดวก
  • ราคาหลักสบายกระเป๋า

ข้อสังเกต

  • ระยะการคลิ๊กอยู่ตรงกลางปุ่ม
  • สายค่อนข้างยาว ต้องจัดเก็บให้ดี
  • น่าจะเพิ่มกริ๊ปยางด้านข้างมาให้ด้วย

Logitech G203 LIGHTSYNC


Specification

Logitech G203 LIGHTSYNC
Color White, Black, Blue, Purple
Dimension 116.6 x 62.15 x 1.50mm
Weight 85g
Cable length 2.1m
Feature LIGHTSYNC RGB lighting
6 programmable buttons
Resolution: 200 – 8,000 dpi
Responsiveness USB data format: 16 bits/axis
USB report rate: 1000Hz (1ms)
Microprocessor: 32-bit ARM
Warranty 2 Year
System Requirement Windows® 7 or later
macOS® 10.13 or later
Chrome OS™
USB port

Unbox

Logitech G203

Logitech G203 LIGHTSYNC มาในกล่องโทนสีเทา พร้อมกราฟิกรูปเมาส์ให้เห็นอย่างชัดเจนที่หน้ากล่อง และชื่อรุ่นขนาดใหญ่ ทำให้เห็นความโดดเด่นของตัวเมาส์อย่างชัดเจน

Logitech G203

โดยที่ G203 รุ่นนี้ จะมีสีให้เลือก 4 สีด้วยกันคือ สีขาว, ดำ, น้ำเงินและม่วงดอกไม้ (Liac) สีใหม่ 2 สีนี้ ดูสวยสะดุดตาทีเดียว

เรื่องของสีสัน บอกได้เลยว่า ทาง Logitech เอง ก็ได้เพิ่มไลน์สำหรับกลุ่มที่ชื่นชอบผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะเกมมิ่งเกียร์ที่มีสีสันแบบ Colorful มาหลายรายการแล้ว ล่าสุดที่เรารีวิวไปก็เป็นเมาส์ Logitech G Pro X รุ่นใหม่และหูฟังในรุ่น G335 ที่ดูล้ำสมัยสวยงาม

Logitech G203

ด้านหลังกล่องมีรายละเอียดฟีเจอร์หลัก อาทิ 8,000DPI, แสงไฟ RGB, 6 ปุ่มใช้งาน และซอฟต์แวร์ Logitech G Hub

Logitech G203

มาดูที่ตัวเมาส์กัน ในครั้งนี้เราได้ 2 สีมาทดสอบ นั่นคือ Blue และ Liac ซึ่งเป็น 2 สีใหม่ ที่มีความโดดเด่นมากเลยทีเดียว เพราะโทนสีนี้ เข้ากับธีมการแต่งโต๊ะคอมของหลายๆ คนได้อย่างลงตัว ซึ่งตัวจริงสีจัดจ้านดูน่าจับถืออย่างมาก โทนสีแบบพาสเทลในแบบเกมเมอร์ที่ชอบจัดโต๊ะคอมสไตล์โมเอะ หรือคนที่ชอบสีสันสดใส โดยเฉพาะสาวๆ ผมเชื่อว่าน่าจะชื่นชอบแนวนี้

Logitech G203

ในกล่องประกอบไปด้วย เอกสารแนะนำสินค้า ใบโฆษณาผลิตภัณฑ์ และสติ๊กเกอร์ G สีฟ้าสดใสมาให้อีกด้วย


Design

Logitech G203

วัสดุเป็นแบบพลาสติกแข็ง เรียบลื่น จับสบายมือ แถบนิ้วด้านขวา มีพื้นผิวให้นิ้วโป้งเกาะได้ง่ายขึ้น ปุ่มกดคลิ๊กซ้าย-ขวา แทบจะถอดแบบมาจากเมาส์รุ่นพี่ๆ เพราะเป็น Logitech G แต่เป็นรุ่นน้อง ให้ความทนทานและตอบสนองไว ได้ทุกแนว ไม่ว่าจะเป็น FPS, Action, RTS หรือ MOBA

มาดูที่การออกแบบตัวเมาส์ ส่วนตัวค่อนข้างชอบสไตล์ของเมาส์เกมมิ่ง ที่ดูขนาดกำลังพอเหมาะเช่นนี้ และยังใช้งานได้ทั้งมือซ้ายและขวา แต่หากใช้มือซ้าย อาจไม่สะดวกต่อการใช้ปุ่มมาโครด้านข้างมากนัก

ในส่วนของมิติ Logitech G203 LIGHTSYNC รุ่นนี้ ขนาดกำลังพอเหมาะกับมือคนเอเซีย เพราะความยาวประมาณ 11cm และกว้าง 6.2cm และสูงเพียง 1.5cm เท่านั้น หากเทียบกับในตระกูล G Pro แล้ว รุ่นน้องแบบนี้ ดูกระชับมือกว่ากันเยอะ

ด้านข้างซ้ายจะเป็นปุ่มมาโคร 2 ปุ่ม ส่วนทางด้านขวา ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ แต่เราจะเห็นเส้นแสง RGB ที่วิ่งไปมาทั้ง 2 ฝั่งได้อย่างชัดเจน แสงไฟ LED ในแบบ RGB 16.8 ล้านสี จัดจ้าน บนโลโก้ที่อุ้งมือ และขอบด้านหลังเมาส์ เล่นแล้ว เหมือนมีออร่าออกจากมือ

Logitech G203

ปุ่มด้านข้างสำหรับการมาโคร ซึ่งปกติจะทำหน้าที่เป็น Back และ FW ซึ่งใช้กับบนวินโดว์ได้ ด้านบนเป็น Scroll wheel และปุ่มตั้ง DPI เป็นแบบกดเลื่อนค่าแบบวนไปเรื่อยๆ สามารถตั้งได้บนโปรแกรม Logitech G Hub

วัสดุเป็นพลาสติกทั้งบอดี้ ผิวภายนอกค่อนข้างเรียบลื่น แต่บริเวณจุดที่เป็นกริ๊ปสำหรับวางนิ้วโป้ง จะมีพื้นผิวเล็กน้อย ให้จับได้ถนัดมือ ทำให้การคอนโทรลได้ง่ายขึ้น

Logitech G203

ปุ่มบนตัวเมาส์หลักๆ 6 ปุ่ม ประกอบด้วย คลิ๊กซ้าย-ขวา, มาโครที่นิ้วโป้ง 2 ปุ่ม, ปุ่มปรับ DPI และ Scroll wheel ตรงกลาง Scroll wheel หมุนเลื่อนได้แบบมีสเตป ไม่เป็นแบบฟรี เหมาะทั้งการเล่นเกม ที่ต้องการความแม่นยำ ในการเล็งระยะไกล และการท่องเน็ต ใช้ง่ายสบายนิ้ว กดลงเพื่อใช้เลื่อนหน้าจอได้ ปุ่มทั้งหมด สามารถตั้งมาโครและโปรแกรมเพิ่มเติมได้ ซึ่งเราจะอธิบายในส่วนของ การตั้งค่าเมาส์

Logitech G203

ด้านใต้มาพร้อม Mouse skate แบบ PPE จำนวน 5 จุด ขยับได้ไว เคลื่อนไหวได้ดีในระดับหนึ่ง เซ็นเซอร์ด้านใต้ ให้ความละเอียดได้ทั้งแต่ 200DPI ไปจนถึง 8,000DPI เพื่อการใช้งานที่แตกต่างกัน

Logitech G203

สายต่อเป็นแบบยางเส้นเล็ก ยาว 2.1 เมตร จัดเก็บได้ง่าย แค่ม้วนสายให้เป็นระเบียบ


Settings

Logitech G203

การใช้งานค่อนข้างง่ายทีเดียว สำหรับเมาส์ Logitech G203 รุ่นนี้ เพราะแค่สาย USB เข้ากับ USB port บนโน๊ตบุ๊ค หรือพีซีที่คุณใช้ จากนั้นให้ระบบตรวจเช็ค และเริ่มใช้งานได้เลย ภายในไม่กี่วินาที แต่ถ้าต้องการปรับแต่งแสงไฟ หรือมาโคร ให้เข้าดาวน์โหลด Logitech G Hub มาติดตั้ง และใช้งานได้ทันที

Logitech G203

สัมผัสแรกที่ได้จับบอกได้เลยว่า สบายมือมากๆ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นเมาส์ในกลุ่มพรีเมียม เหมือนกับ Logitech G Pro หรืออื่นๆ แต่ด้วยความเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน และวัสดุจับกระชับ อาจจะมีเรียบลื่นอยู่บ้างในบางจังหวะ โดยเฉพาะเมื่อจับในขณะมือเปียกหรือทานอะไรมา แต่ด้วยจุดที่เป็นกริ๊ปวางนิ้วโป้งลงไป ก็จับได้กระชับขึ้น

Logitech G203

การวางมือสามารถทำได้ทั้ง Palm grip และ Claw เพราะปุ่มคลิ๊กเป็นแบบแนวยาว แต่สวิทช์กดได้เร็ว จึงง่ายต่อการใช้ หรือถ้าไม่ถนัด จะหักข้อมือหน่อยๆ ให้นิ้วชี้ค่อนมาทางซ้าย เหมือนกับที่เกมเมอร์หลายคนชอบ ก็ทำได้เช่นกัน เพราะตรงอุ้งมือวางได้ถนัดขึ้น

ภาพด้านซ้ายเป็นมือของเกมเมอร์ชาย ส่วนทางด้านขวาเป็นเกมเมอร์ผู้หญิง ลักษณะการจับอาจไม่เหมือนกัน แต่ความถนัด


Performance

Logitech G203

ทดสอบการใช้งาน Logitech G203 LIGHTSYNC ในการเล่นเกม สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือ การจับกระชับมือได้ในแบบที่ไม่ต้องปรับตัวมาก ด้วยขนาดและรูปลักษณ์ ที่เป็นทรงกลางๆ ไม่ใหญ่เกินไป และไม่ได้สูงจนวางมือไม่สะดวก รวมถึงยังพอมีพื้นที่ให้อุ้งมือด้านล่าง ทำหน้าที่ในการประคองเมาส์ได้ง่ายขึ้น และหากคุณเป็นสาวๆ ที่มีมือเล็กๆ ก็ยังใช้งานได้ดีไม่แพ้กัน เพียงแต่ว่านิ้วโป้งอาจจะกดใช้มาโครได้ข้างได้ยากนิดหน่อย หากนิ้วไม่สะดวก แนะนำใช้แบบ Claw ด้วยการเลื่อนนิ้วไปด้านหน้าเมาส์ให้มากขึ้น

Logitech G203

การตอบสนองของสงิทช์ทำได้ไว เพราะสไตล์กับระยะเรียกว่าแทบจะถอดแบบมาจากรุ่นพี่ๆ เสียงไม่ดังมาก ปฏิกิริยาต่อนิ้วทำได้ดี ให้ความรู้สึกในการเล่นที่สนุก แต่หากใครที่คุ้นกับสวิทช์ไวและสั้น อาจจะต้องปรับตัวนิดหน่อย เพื่อให้คอนโทรลได้ดีกว่าเดิม อย่างไรก็ดีการคอนโทรลให้นิ้วกดที่ระยะกลางปุ่ม จะให้เสียงที่ดีกว่า อาการวืดน้อยกว่าการกดปลายๆ ปุ่ม

Logitech G203

การเล่นเกมทั้ง PUBG และ Red Dead Redemption 2 ยังคงสนุกสนานได้เต็มอิ่ม กับการคลิ๊ก เล็ง ยิง ที่ให้ฟิลลิ่งในการเล่นแบบเมาส์รุ่นโปรของค่าย การสะบัดข้อมือทำได้สะดวก เพราะคุณสามารถเลือก DPI ได้ตามต้องการ ไปจนถึงระดับ 8,000 DPI แต่ก็ขึ้นอยู่กับขนาดจอและความละเอียดที่เล่น ว่าคุณต้องการความแม่นยำมากน้อยเพียงใด จากที่ได้เล่นเกมบนความละเอียด 2K 1400p ของจอขนาด 32″ ระดับ 850 DPI ก็เล่นได้ดีแล้ว แต่ขยับมาที่ 1,600 DPI ก็สะดวกดี แต่ขอพื้นที่บนเมาส์แพดเยอะหน่อย เพื่อการใช้งานที่คล่องตัว

Logitech G203

และเมื่อลองเล่นเกมกับแนวอื่นๆ เช่น DOTA2 การปรับใช้ลูกเล่น Macro บนซอฟต์แวร์ ก็มีส่วนช่วยให้สนุกสนานได้มากขึ้น โดยเฉพาะการวางปุ่มให้เล่น โจมตี ใช้เวทย์หรือจะ repeat คำสั่งได้ไวขึ้น ก็ทำให้คุณสามารถเล่นเกมได้สนุกมือ อีกทั้งการเคลื่อนไหวหรือส่องรายละเอียดในแผนที่ ก็จะรวดเร็วมากกว่าเดิม นอกจากนี้ Scroll wheel ก็ลื่นไหลดี แม้จะเป็นสเตปในการหมุน แต่ก็คล่องตัวกับการใช้ในเกมและการท่องเน็ตอีกด้วย


Software

Logitech G203

การปรับแต่งถือเป็นอีกไฮไลต์ของเมาส์ Logitech G203 LIGHTSYNC รุ่นนี้เลย โดยการปรับแต่งก็ง่าย ผ่านทางซอฟต์แวร์ Logitech G Hub ซึ่งครอบคลุมการใช้งานในหลายๆ ด้าน เหมาะกับการเกมเมอร์ ในปัจจุบันได้ดีทีเดียว มาเริ่มต้นกับคนที่ชื่นชอบความสวยงามก่อน

Logitech G203

นอกจากการปรับแต่งแสงไฟ RGB ที่ตัวเมาส์แล้ว คอเกมยังตั้งค่ามาโคร และการโปรแกรมปุ่มสำหรับการใช้เป็นคีย์ลัด หรือทำงานร่วมกับฟังก์ชั่นอื่นๆ ได้อีกด้วย โดยจะอยู่ใน Logitech G Hub เช่นกัน แต่อยู่ในหัวข้อ Assignment

Logitech G203 86

เคยมั้ยครับ ตอนเล่นเกม อยากจะปรับให้เมาส์ไว เล่นได้สนุก แต่พอทำงานอยากให้เมาส์คอนโทรลง่ายขึ้น ซึ่งเมาส์บางรุ่นมันทำไม่ได้ เพราะค่า DPI ตายตัว แต่สำหรับ Logitech G203 LIGHTSYNC นี้ เค้าปรับได้เว้ยเพื่อนๆ อยากจะปรับเพิ่มลด DPI ก็กดปุ่มตรงกลางเมาส์หรือที่เรียกว่า DPI Shift ได้เลย มันจะเพิ่มลดไปตามโพรไฟล์ที่เราตั้งไว้ เช่น ทำงานบนจอ Full-HD หรือท่องอินเทอร์เน็ต เช็คหุ้น เทรดคริปโต จอใหญ่ๆ แบบนี้ ใช้แค่ 400 DPI ก็พอ แต่ถ้าจอใหญ่ ความละเอียดมากขึ้น เช่น 2K หรือ 4K ปรับเป็น 1800 หรือมากกว่า ก็แล้วแต่ความถนัดหรือขนาดของจอ ในส่วนนี้จะมีผลทั้งการเล่นเกม และการทำงานซอฟต์แวร์เฉพาะทางอีกด้วย

โดยในส่วนนี้จะใช้ในการปรับแต่งปุ่มสำหรับใช้งานเป็นคีย์ลัดบน Windows และตั้งมาโครเกม และการสตรีม ซึ่งการปรับแต่งค่อนข้างง่ายดาย เพราะแค่คลิ๊กเลื่อนฟังก์ชั่นที่ต้องการ แล้วเลื่อนไปใส่ไว้ในปุ่มต่างๆ ที่เป็นกราฟิกบนหน้าจอได้ทันที พร้อมใช้งานในเวลาอันรวดเร็ว เช่น ในหน้า Commands เราเลือกสลับหน้าต่างหรือปิดโปรแกรมอะไรต่างๆ ได้ในปุ่มเดียว

Logitech G203

หลายท่านอาจเคยสงสัยนะ เมาส์ที่มีแสงไฟอ่ะ มันสวยก็จริง แต่เราวางมืออยู่ไฟมันวิ่งอยู่ในมือ เราจะเห็นมันได้ไง เหมือนกับผมตอนแรกผมก็คิดแบบนั้นล่ะ แต่คุณลองมาดู Logitech G203 LIGHTSYNC รุ่นนี้สิ มันสว่างคามือเลย และเส้นสายของไฟ ที่วิ่งออกขอบด้านข้าง ขึ้นไปบนตัวเมาส์ มันลอดออกมาสวยงาม ยิ่งปิดไฟแบบนี้ เห็นมั้ยครับ ว่ามันชัดซะยิ่งกว่าชัด สวยแบบนี้ เล่นยันหว่างอ่ะ บอกเลย

การปรับก็ง่ายมากเลย เข้าไปที่ Logitech G Hub แล้วไปที่ LightSync ชอบแบบไหน สไตล์ใด ก็เลือกได้ จะปรับแบบ Preset ที่เค้ามีมาให้ หรือจะเลือกแบบ Free style และ Animation ตามใจชอบได้เลย ส่วนตัวผมหรอ สีไหนก็ได้ แต่ปรับความสว่างแบบสุด และอีกอันคือ Audio Visualizer เวลาฟังเพลง แค่นี้ก็เพอร์เฟกส์แล้ว

Logitech G203

สำหรับ LIGHTSYNCเป็นฟีเจอร์ในเรื่องของแสงสีไฟ RGB ที่อยู่บนอุปกรณ์เกมมิ่งเกียร์ของค่าย Logitech ที่ให้ผู้ใช้สามารถซิงก์แสงไฟของอุปกรณ์ต่างๆ ที่รองรับการใช้งานเข้าด้วยกัน และปรับแต่งได้อย่างง่ายดาย ผ่านทางซอฟต์แวร์ Logitech G Hub ซึ่งทำให้แสงมีความสอดคล้อง และแสดงผลร่วมกันได้อย่างลงตัว


Conclusion

Logitech G203

เมาส์ Logitech G203 LIGHTSYNC นี้ เหมาะกับใคร? ถ้ามองถึงองค์ประกอบต่างๆ แล้ว ดูจะเหมาะกับเกมเมอร์ ที่ชอบเมาส์เบา เคลื่อนไหวรวดเร็ว ตอบสนองได้ดี ไม่ใหญ่ไม่เล็กจนเกินไป ขนาดกำลังพอเหมาะลงตัวกับมือของคนเอเซียได้เลย น้ำหนักค่อนข้างเบา แต่สวิทช์คลิ๊กได้สนุก ระยะการกดไม่ลึก ปรับแต่งค่ามาโครและใช้งานปุ่มได้หลากหลายกว่า มีค่า DPI ให้เลือก และสวยงาม เข้ากับโต๊ะคอมที่ใช้ เพราะมีธีมสีให้เลือกถึง 4 แบบ รวมถึงแสงไฟ RGB ปรับแต่งได้ แม้ว่าเส้นแสงไฟบางส่วน จะถูกซ่อนอยู่ในอุ้งมือบ้าง แต่ก็ยังสวยงามกว่าที่คิด ที่สำคัญราคาจับต้องได้ จ่ายไม่แพง เพราะค่าตัว G203 รุ่นนี้แค่ 6 ร้อยกว่าบาทเท่านั้น และยังรับประกันอีก 2 ปี ถ้าดูแล้วอยู่ในเงื่อนไขที่คุณต้องการ ก็ซื้อหามาใช้กันได้เลยครับ

from:https://notebookspec.com/web/652181-logitech-g203-gaming-mouse

เมาส์ไร้สาย ไฟติด แต่ไม่ขยับ 7 วิธีตรวจเช็ค แก้ไข ให้เมาส์กลับมาใช้งานเหมือนเดิม 2022

เมาส์ไร้สาย ไฟติด แต่ไม่ขยับ 2022 แก้ไขและตรวจเช็คฟรี! ใน 7 ขั้นตอน

เมาส์ไร้สาย ไฟติด แต่ไม่ขยับ

เมาส์ไร้สาย ไฟติด แต่ไม่ขยับ เคยเจอกันมั้ยครับกับอาการแบบนี้ ที่อยู่ๆ หยิบเมาส์ที่วางทิ้งไว้บนโต๊ะทำงาน ซึ่งยังเคยใช้งานมาก่อนหน้านี้ อยู่ดีๆ ก็ใข้งานไม่ได้เสียอย่างนั้น เลื่อนไม่ไป เคอร์เซอร์บนหน้าจอก็ไม่เลื่อน หรือบางครั้งก็ทำเอาคีย์บอร์ดไร้สายที่ใช้อยู่ด้วย ไม่ติดเช่นเดียวกัน อาการแบบนี้อาจเกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากแบตหรือถ่านที่อยู่ในเมาส์หมดหรือเสื่อม หรืออาจจะเกิดจากเซ็นเซอร์บนตัวเมาส์ไม่ทำงาน รวมไปถึงอาการที่เกิดจากซอฟต์แวร์ ไดรเวอร์ แต่ก็ต้องไม่มองข้ามบรรดาพอร์ตที่ติดตั้ง USB Receiver ที่ใช้ในการรับ-ส่งสัญญาณ ร่วมกับเมาส์เอาไว้ด้วย ซึ่งโดยพื้นฐานเราสามารถเช็คและแก้ปัญหาสิ่งเหล่านี้ได้ไม่ยาก แต่ควรทำทีละขั้นตอน เพื่อให้มั่นใจว่า เกิดขึ้นจากสาเหตุใด ซึ่งจะง่ายต่อการแก้ไข

เมาส์ไร้สาย ไฟติด แต่ไม่ขยับ


1.เช็คแบตหรือถ่านในเมาส์

เมาส์ไร้สายบางรุ่น เช่น Logitech G Pro ก็สามารถเช็คระดับแบตได้จากซอฟต์แวร์ เมื่อทำการติดตั้งไดรเวอร์และพร้อมสำหรับการใช้งาน ให้ตรวจเช็คในจุดนี้ก่อน และบนเมาส์บางรุ่น จะมาพร้อมแสงไฟ LED บอกสถานะแบตที่มี ให้ดูจากคู่มือว่า สีใดหมายถึงแบตเต็ม กลาง หรือแบตอ่อน เพราะแม้ว่าแบตที่เหลือน้อยลงบางครั้งจะยังพอใช้งานได้ แต่เมื่อใดที่ต้องเปิดค่า DPI สูงๆ เล่นต่อเนื่องนานๆ หรือขยับระยะออกห่างจากตัวรับ-ส่งสัญญาณ ก็อาจจะทำให้เมาส์ไม่ทำงาน หรือไม่ลื่นไหล และบางทีอาจจะลงเอยด้วยการติดๆ ดับๆ ซึ่งก็จะหมายถึงคุณต้องมองหาแบตก้อนใหม่มาใช้ หรือได้เวลาที่ต้องเสียบชาร์จไฟให้กับเมาส์แล้ว

Advertisementavw
เมาส์ไร้สาย ไฟติด แต่ไม่ขยับ

แต่ในบางกรณีถ่านในเมาส์ก็ยังเยอะอยู่ หรือเพิ่งเปลี่ยนถ่านมาให้ บางรุ่นอาจจะเป็น AA หรือบางรุ่นใช้ AAA แต่เมื่อต่อเข้ากับระบบ ก็ยังใช้งานไม่ได้ ให้ลองดูที่จุดอื่นๆ เช่น เซ็นเซอร์ ไดรเวอร์ หรือบางครั้งก็อาจจะเกิดจากเมาส์แพดหรือพื้นผิวของเมาส์ ที่อาจทำให้เมาส์ไร้สายไม่ทำงาน แนวทางในการตรวจเช็ค ก็แค่เพียงลองใช้แผ่นรองเมาส์แบบอื่นๆ หรือใช้นิ้วไปบังเซ็นเซอร์ แล้วดูว่าเคอร์เซอร์บนหน้าจอที่เป็นรูปลูกศรนั้นขยับหรือไม่ หากไม่ขยับก็ให้ลองเช็คการเชื่อมต่ออื่นต่อไป เช่น บางรุ่นรองรับทั้งการใช้ Wireless และ Bluetooth อาจเลื่อนไปใช้อีกรูปแบบแทนแบบเดิม


2.เปลี่ยนช่องต่อ USB Receiver

เมาส์ไร้สาย ไฟติด แต่ไม่ขยับ

ความผิดปกติในส่วนนี้ ก็มีความเป็นไปได้สูง มีตั้งแต่ตัวรับส่งสัญญาณหาย ถูกเปลี่ยน หรือพอร์ตเสียหาย ไปจนถึงตัวรับสัญญาณทำงานผิดปกติ ต้องมาไล่ดูกันทีละจุด

ตัวรับส่งสัญญาณหาย: กรณีนี้มักจะเจอกันบ่อย เพราะสังเกตได้ว่าในช่วงหลังมานี้ ส่วนใหญ่ผู้ผลิตมักออกแบบตัว USB Receiver ออกมาในลักษณะของ Nano receiver ซึ่งจะเล็กมากๆ ยิ่งผู้ใช้ที่พกพาเมาส์แบบนี้ไปใช้ข้างนอกบ้านหรือใช้กับเครื่องอื่นๆ โอกาสที่จะหลงลืมหรือติดไปกับเครื่องคนอื่น รวมไปถึงถูกดึงออกไปโดยไม่รู้ตัวก็มีอยู่ไม่น้อย โดยแนวทางแก้ปัญหาคือ ต้องซื้อเมาส์ใหม่ ซึ่งเมาส์ของบางค่ายอาจจะต้องใช้ซอฟต์แวร์ในการสแกนหาไดรเวอร์ เพื่อให้ใช้ร่วมกันได้

ถูกเปลี่ยนตัวรับสัญญาณ: เพราะบางคนใช้อุปกรณ์ที่เป็นแบบไร้สาย จึงอาจจะทำให้มี Receiver หลายตัวด้วยกัน บางครั้งก็หยิบเข้าออก แล้วหลงลืมไป หรือใช้งานหลายคน ก็อาจจะหลุดติดมือใครไปบ้าง เมื่อจะใช้ก็ไม่ได้ ต้องไปไล่หากันว่าชิ้นไหนของใคร วิธีง่ายๆ กันลืมคือ อาจจะติดลาเบลบน USB Receiver เพื่อจะได้เห็นชัดๆ ว่าอันไหนของคุณ

เมาส์ไร้สาย ไฟติด แต่ไม่ขยับ

พอร์ต USB เสียหาย: ก็มีความเป็นไปได้เช่นกัน โดยเฉพาะเมนบอร์ดที่มักจะผ่านการใช้พอร์ต USB มานานหรือใช้อุปกรณ์ต่อพ่วงจำนวนมาก อาจเกิดความเสียหาย ทำให้ใช้งานไม่ได้ มองฮาร์ดแวร์ไม่เห็น แม้จะลงไดรเวอร์ไปแล้วก็ตาม แก้ง่ายๆ ด้วยวิธีย้ายไปใช้พอร์ตอื่นๆ ที่เหลือเท่านั้นเอง

ตัวรับสัญญาณทำงานผิดปกติ: แม้จะไม่ได้เจออาการแบบนี้บ่อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มี เพราะอุปกรณ์ที่เป็น USB module ชิ้นเล็กๆ แบบนี้ จะต้องมีความทนทานพอสมควร บางคนใช้แบบเสียบถอดอยู่บ่อยครั้ง หรือพีซีบางรุ่น ไม่มีปลั๊กไฟต่อลงกราวด์ ก็ย่อมมีผลเรื่องกระแสไฟที่ไหลไปยังอุปกรณ์ต่อพ่วงอื่นๆ ด้วย ก็อาจทำให้เกิดความเสียหายได้ ทางแก้ไขคือ ไม่ควรถอดเข้าออกบ่อยๆ ถ้าเป็นไปได้ รวมถึงจัดการเรื่องสายดินและการลดปัญหาเรื่องกระแสไฟลัดวงจร เช่น ติดตั้งปลั๊กใหม่ รวมถึงมีเครื่องสำรองไฟก็จะดีไม่น้อย


3.ดูการตั้งค่าเมาส์ใน Windows

เมาส์ไร้สาย ไฟติด แต่ไม่ขยับ

โดยปกตินั้นไม่ว่าจะเป็นเมาส์ หรือวินโดว์ก็จะมีระบบที่เรียกว่า Standby หรือการปิดการใช้งานชั่วคราว เมื่อไม่มีการเคลื่อนไหวเป็นเวลากี่นาที ซึ่งโดยปกติแล้ว ก็จะไม่เกิดปัญหาแต่อย่างใด เพราะว่าหากว่า เมื่อขยับเมาส์ ก็จะเป็นการปลุกเมาส์ให้ทำงานตามปกติ เพียงแต่ถ้าแบตเริ่มอ่อนหรือการตั้งค่าเมาส์บนระบบเอาไว้จาก Hibernate หรือ Sleep ตามกำหนดเวลา ก็อาจทำให้เมาส์ไม่ทำงาน ต้องกดปุ่มเพาเวอร์บนคอมพิวเตอร์หรือโน๊ตบุ๊คก่อน เมาส์จึงจะเริ่มกลับมาทำงานได้

และ Windows เอง ก็จะปิดการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่อพ่วง ชั่วคราว หรือสแตนบายระบบไว้ ไปจนถึงการ Hibernate หรือ Sleep นั่นก็จะทำให้เมาส์หยุดทำงานตามปกติ และเมื่อเคลื่อนไหวเมาส์ หรือกดที่คีย์บอร์ด ระบบก็จะกลับมาทำงานเหมือนเดิมในโหมดใช้งาน ซึ่งหลายครั้ง เราก็อาจจะเจอปัญหาที่ว่า เมื่อกลับมาทำงานในวินโดว์ แต่เมาส์ไร้สาย กลับใช้ไม่ได้ ให้ลองเข้าไปดูที่ Hardware ในหัวข้อ Settings และ Mouse properties จากนั้นดูว่ามีการตรวจพบเมาส์อยู่หรือไม่ จากนั้นดูที่ Device status ว่าเมาส์ยังทำงานได้ตามปกติหรือเปล่า

เมาส์ไร้สาย ไฟติด แต่ไม่ขยับ

และที่สำคัญต้องไม่ลืมอัพเดตวินโดว์ และอัพเดตไดรเวอร์ใหม่อยู่เสมอ เท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาในเรื่องของช่องโหว่ บั๊กหรือความผิดพลาด ทำให้ระบบได้รู้จักฮาร์ดแวร์ใหม่ๆ และได้รับการปรับปรุงให้ใช้งานร่วมกันได้ดีที่สุดนั่นเอง


4.เมาส์ไม่ขยับแค่บางโปรแกรม

เมาส์ไร้สาย ไฟติด แต่ไม่ขยับ

การเซ็ตค่าต่างๆ บนซอฟต์แวร์ของเมาส์ ก็มีส่วนทำให้เกิดปัญหาเมาส์ไร้สาย ไฟติด แต่ไม่ขยับหรือขยับใช้งานได้แค่บางโปรแกรมเท่านั้น ซึ่งก็ทำให้เมื่อสลับมาใช้โปรแกรมบางตัวไม่ได้ แต่บางตัวใช้งานได้ตามปกติ ตัวอย่างเช่น การตั้งค่ามาโคร หรือการโปรแกรมปุ่มของการเล่นเกม และโปรแกรมตกแต่งภาพ ให้ลองรีเซ็ตการตั้งค่าซอฟต์แวร์ของเมาส์ หรือลบโพรไฟล์การทำงานบางตัวออกไป จากนั้นลองเช็คดูว่า เมาส์กลับมาทำงานได้ตามปกติหรือไม่

รวมถึงการอัพเดตซอฟต์แวร์เหล่านั้นอีกครั้ง เพื่อเป็นการปรับปรุงระบบ ให้สามารถเข้ากับเมาส์รุ่นใหม่ๆ ได้ดียิ่งขึ้น และอาจเป็นการแก้ปัญหา ซึ่งเคยเป็นความผิดปกติก่อนหน้านี้ได้ดีทีเดียว โดยเข้าไปในเว็บไซต์ผู้ผลิตเมาส์ต่างๆ เช่น Logitech G-Hub, Razer Synapse หรือ Corsair iCUE เป็นต้น

เมาส์ไร้สาย ไฟติด แต่ไม่ขยับ

หรือบางครั้งในกรณีที่เมาส์นั้น Detect หรือตรวจพบบนซอฟต์แวร์ อาจใช้วิธีการอัพเดตเฟิร์มแวร์ ตามที่ระบบแนะนำก็ได้เช่นกัน วิธีการง่ายๆ คือ เมื่อต่อสายที่เมาส์หรือใช้การเชื่อมต่อแบบไร้สายเรียบร้อย และติดตั้งซอฟต์แวร์ที่ใช้กับเมาส์ได้แล้ว ให้เข้าไปที่ Settings และเลือก Update Firmware ได้ทันที จากนั้นรอจนกว่าระบบจัดการเสร็จสิ้น แล้วเช็คการใช้งานของเมาส์ใหม่อีกครั้ง


5.ต่อสายใช้ไปก่อน

เมาส์ไร้สาย ไฟติด แต่ไม่ขยับ

เมื่อเกิดปัญหาในการใช้งาน เมาส์ไร้สาย ไฟติด แต่ไม่ขยับ และเราได้ลองแก้ไข ด้วยการขยับถ่านในแบบ AAA ที่อยู่ภายใน เพื่อเช็คปัญหาว่าไม่ได้เกิดจากขั้วหลวมหรือสกปรก รวมถึงถ่านหมดแบตอ่อน ชัดเจนแล้ว แต่ก็ยังใช้งานเมาส์ไม่ได้ ก็ให้แก้ด้วยการต่อสายผ่านทาง USB เข้ากับพีซีหรือโน๊ตบุ๊คที่คุณใช้ โดยเป็นโหมดแบบ Wire หรือใช้สายแทนไปก่อน และยังเป็นการกระตุ้นแบต กรณีที่เป็นเมาส์ที่มีแบตในตัว ไม่จะไม่สะดวกมากนักในบางครั้ง แต่ก็ช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เป็นอย่างดี

แต่บางครั้งก็ต้องเช็คให้ดีๆ ว่า เมาส์ที่คุณใช้อยู่นั้น รองรับการเชื่อมต่อสาย เพื่อการใช้งานหรือไม่ เพราะหลายครั้งเราจะเห็นว่า สายมีเอาไว้สำหรับการชาร์จไฟเท่านั้น ไม่ได้รองรับการทำงานแบบมีสาย แม้ว่าจะมีพอร์ต USB มาให้ก็ตาม แม้คุณจะต่อสายอย่างไร ก็ไม่สามารถใช้งานได้ ซึ่งต้องลองเช็คในคู่มือหรือเว็บไซต์ของผู้ผลิตเมาส์รุ่นนั้นๆ ให้ดี ก่อนจะเสียบใช้งาน


6.USB Device Not Recognized

เมาส์ไร้สาย ไฟติด แต่ไม่ขยับ

เป็นหนึ่งในอาการที่เกิดขึ้นได้บนอุปกรณ์ที่มีการเชื่อมต่อผ่าน USB รวมถึงเมาส์ไร้สาย ที่ต้องใช้ USB Receiver ในการติดตั้งและส่งสัญญาณไปยังเมาส์ไร้สายนั่นเอง และมักจะสร้างปัญหาใหญ่ให้กับผู้ใช้ เพราะระบบไม่สามารถตรวจเช็คหาฮาร์ดแวร์ที่ติดตั้งเข้าไปได้ และต่อเนื่องมาก็คือ ยังไงก็จะไม่พบเมาส์ที่เราต่อไร้สายอย่างแน่นอน ดังนั้นก็ต้องเช็คตั้งแต่การติดตั้งตัวส่งสัญญาณให้ถูกต้อง ด้วยวิธีการเหล่านี้

Windows Update: ให้เข้าไปที่ Settings แล้วเลือก Windows update จากนั้นให้คลิ๊กที่ View optional update หากระบบตรวจพบฮาร์ดแวร์ที่ยังไม่ได้ลงไดรเวอร์อยู่ ก็จะทำการอัพเดตให้ทันที วิธีนี้เหมาะอย่างมากสำหรับผู้ใช้ Windows 10 และ Windows 11 ส่วนถ้าเก่ากว่านั้น แนะนำให้ลองติดตั้งไดรเวอร์จากเว็บไซต์ผู้ผลิตโดยตรง

เมาส์ไร้สาย ไฟติด แต่ไม่ขยับ

ลงไดรเวอร์ให้ถูกต้อง: นอกจากจะหาไดรเวอร์มาได้แล้ว ก็ควรจะตรงรุ่นและเข้ากับระบบปฏิบัติการที่เลือกใช้ เพื่อให้ระบบ Optimize และแก้ปัญหาการติดตั้งไดร์เวอร์ให้เมาส์สามารถทำงานได้และมีประสิทธิภาพ ซึ่งบางครั้งใช้ไดรเวอร์ใกล้เคียง อาจจะใช้ได้ในบางกรณี แต่เมื่อใช้งานจริงๆ แล้ว อาจจะมีปัญหาระหว่างการใช้งานได้เช่นกัน

เปลี่ยนช่องต่อ USB: อย่าฝืนเสียบ USB Receiver เข้าไปยังพอร์ต USB เดิมๆ ที่เคยใช้ แล้วเกิดปัญหา เพราะอาจเกิดจากการจ่ายไฟของพอร์ตนั้นๆ ผิดปกติ จึงทำให้เมาส์ทำงานได้บ้าง ไม่ได้บ้างหรือบางครั้งก็ใช้งานติดต่อกันเป็นเวลานานได้ แต่เมื่อ Shutdown แล้วเปิดมาใหม่ ดูเหมือนจะมีสัญญาณเข้า ระบบตรวจเช็คฮาร์ดแวร์เจอ แต่ใช้งานไม่ได้ ทางที่ดีคือ เปลี่ยนพอร์ต USB ที่มีเหลืออยู่ โดยเริ่มจาก USB 2.0 ที่เป็นช่องสีดำก็ได้เช่นกัน


7.เซ็นเซอร์เสีย สวิทช์พัง

เมาส์ไร้สาย ไฟติด แต่ไม่ขยับ

หลายคนที่เคยเปลี่นเมาส์หรือซื้อเมาส์ใหม่ เชื่อว่าอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง ต้องเคยเจอกับอาการ เมาส์หลอนหรือคลิ๊กเบิ้ลเป็นแน่ อาการที่ชัดเจนก็คือ เคอร์เซอร์หรือลูกศรของเมาส์ เคลื่อนที่ไปเอง หรือคลิ๊กทีเดียว แต่กลายเป็นดับเบิ้ลคลิ๊กเฉย (Double click) อาการเหล่านี้กำลังบ่งบอกถึงปัญหาของเมาส์ ที่ทำงานผิดปกติ ซึ่งเกิดขึ้นได้ หลายสาเหตุ โดยอาการคลิ๊กเบิ้ล มักเกิดจากการคลิ๊กบ่อย ใช้งานมานาน หรืออาจเกิดจากการเก็บเมาส์ไม่ดี มีการกดทับปุ่มคลิ๊กซ้าย-ขวานานๆ ก็ทำให้เกิดปัญหาได้

การแก้ไขอาจทำได้โดยการส่งซ่อม บางครั้งช่างก็ใช้การเปลี่ยนปุ่มสวิทช์ใหม่ ก็สามารถกลับมาใช้งานได้ตามปกติ ส่วนอัตราการคลิ๊ก ก็ตามที่สวิทช์แต่ละรุ่นระบุไว้ มีทั้งเกรดธรรมดาทั่วไป จนถึง Omron ที่ส่วนใหญ่ใช้กันและให้ความทนทานสูง หรือ Cherry ก็มีว่ากันตั้งแต่หลักร้อยต้นๆ ไปจนถึงหลายร้อยบาท เมื่อรวมค่าเปลี่ยน ซึ่งบางคนก็ยอมที่จะจ่าย เพราะเป็นเมาส์ที่ใช้ถนัดมือ และค่าใช้จ่ายน้อย แต่เหมือนได้เมาส์ใหม่มาใช้งาน

เมาส์ไร้สาย ไฟติด แต่ไม่ขยับ

ส่วนอาการเมาส์หลอน มักเกิดจากเซ็นเซอร์ของเมาส์เสียหาย อาจเกิดได้จากอาการเสื่อมจากการใช้งานมานาน หรือหน้าเซ็นเซอร์ที่คอยตรวจจับพื้นผิวผิดปกติ ทำให้เซ็นเซอร์ผิดเพี้ยน อาจจะเริ่มจากอาการที่เป็นไม่มาก และหนักจนไม่สามารถคลิ๊กได้ตามปกติ คลิ๊กไม่โดนตรงจุด ซึ่งโอกาสจะกลับคืนมาตามปกติค่อนข้างยาก ส่วนใหญ่จะเปลี่ยนเมาส์ใหม่

แต่ถ้าอาการเมาส์ไว คลิ๊กไม่ทัน ไม่แม่น บางครั้งไม่ได้เป็นปัญหาที่เมาส์ แต่คุณอาจจะกดไปถูกปุ่มที่ใช้ปรับค่า DPI เพราะก่อนหน้านี้ เพื่อนของคุณอาจจะใช้เมาส์เดียวกันนี้ในการเล่นเกม หรือทำงานกราฟิก ที่ต้องใช้ค่าที่สูงขึ้น เช่น คุณอาจจะใช้ 800DPI แต่ถูกปรับไปที่ 1200DPI ขึ้นไป ก็อาจจะทำให้การเคลื่อนไหวของเมาส์วืดไปมา จนคลิ๊กไม่ทัน การแก้ไขก็คือ การกดปุ่มบนตัวเมาส์ ที่ส่วนใหญ่มักจะอยู่ด้านบนตรงกลาง ให้กดไปและเคลื่อนเมาส์ไป จนกว่าจะอยู่ในระดับที่เหมาะสม หรือจะใช้ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการควบคุมเมาส์ เปลี่ยนค่า DPI ให้กลับมาอยู่ในโหมดที่คุณใช้งานตามปกตินั่นเอง


เลือกซื้อเมาส์ไร้สาย

การซื้อเมาส์ใหม่ ก็เป็นทางออกที่ดูน่าสนใจที่สุด เพราะถ้าคุณจะต้องมาแก้ไขปัญหาอยู่เรื่อยๆ ดูจะเป็นการเสียเวลามากกว่า บางครั้งงานด่วนและสำคัญ หากจะต้องมาคอยแก้ไข ซ่อมแซมหรือเปลี่ยนใช้งานบ่อยๆ ก็คงจะไม่เหมาะนัก แต่จะเลือกเมาส์ไร้สายอย่างไรดี? เรามีวิธีการเลือกใช้แบบง่ายๆ มาฝากกันครับ

เมาส์ไร้สาย ไฟติด แต่ไม่ขยับ
  • เลือกที่ขนาดและความถนัด: การจับที่กระชับ วางมือได้สะดวก มีปุ่มที่ต้องการรองรับอย่างครบถ้วน ตอบสนองได้ไว คลิ๊กได้นาน มีความทนทาน ชอบแบบไหนก็เลือกแบบที่ต้องการได้เลย
  • แบตแบบถอดเปลี่ยนหรือ recharge: ทั้ง 2 แบบก็มีข้อดีต่างกันไป แบตเปลี่ยนได้ มักราคาประหยัด หาซื้อเปลี่ยนได้ง่าย ไม่ต้องกังวลเรื่องการชาร์จ แต่แบตที่ชาร์จในตัว ก็ง่ายต่อการดูแล ใกล้หมดก็ชาร์จต่อ ไม่ต้องสำรองถ่านเอาไว้ กรณีที่ไม่มีร้านค้าให้ซื้อ ก็ไม่กังวล
  • เชื่อมต่อไร้สายได้ หรือจะใช้สายต่อก็สะดวก: เป็นสิ่งที่ดีมากๆ สำหรับการใช้งานในปัจจุบัน เพราะบางครั้งเราไม่จำเป็นต้องใช้สาย ก็ต่อสายใช้งาน เพื่อเป็นการเซฟพลังงานเอาไว้ เผื่อฉุกเฉินต้องนำไปใช้ข้างนอกที่สะดวกกับการใช้ไร้สายมากกว่า ก็จะได้ไม่ต้องกังวลว่าแบตจะหมดก่อนเสร็จงาน
  • USB Receiver รองรับการเชื่อมต่อได้มากกว่า 1 ตัว: ถ้าเป็นแบบตัวรับ-ส่งสัญญาณ ที่มีซอฟต์แวร์เชื่อมตรงกลางให้รองรับอุปกรณ์อื่น หรือเมาส์อื่นๆ มาใช้สำรองได้ก็น่าสนใจ ในรูปแบบของยี่ห้อเดียวกัน แต่ปัจจุบันก็หาได้น้อยลง ส่วนใหญ่แยกการเชื่อมต่อกันเฉพาะ
  • เน้นการใช้งานแบบใด: เน้นพกพา เลือกขนาดกระทัดรัด หากชอบเล่นเกม เลือกที่มีแบตในตัว พร้อมปุ่มมาโคร และเซ็นเซอร์ที่แม่นยำ หรือถ้าจะเน้นการใช้งานยาวนาน ก็เลือกแบบที่มีปุ่มสวิทช์ที่ทนทาน และวัสดุที่แข็งแรงในระดับหนึ่ง

Conclusion

เมาส์ไร้สาย ไฟติด แต่ไม่ขยับ

เป็นอย่างไรกันบ้างกับการแก้ปัญหาใช้เมาส์ไร้สายไม่ได้ ซึ่งเราก็มีโซลูชั่นต่างๆ ในการแก้ไขมาแนะนำกัน แต่ก็มีอีกหลายคนตกม้าตายหรือหลงลืมบางอย่างไป ทำให้เจอกับปัญหาเมาส์ไร้สาย ไฟติด แต่ไม่ขยับ เช่น ลืมเปิดการทำงานของเมาส์ เพราะเมาส์บางรุ่นจะมีสวิทช์ที่อยู่ด้านใต้ตัวเมาส์ ให้เลื่อนไปที่ On เสมอ เมาส์ก็จะติดต่อกับ Receiver แล้วพร้อมใช้งาน หรือบางคนก็ลืมดึงตัวปิดของถ่าน ที่มักจะเป็นชิ้นพลาสติดเล็กๆ ซ้อนเอาไว้ ทำให้ขั้วต่อไม่สัมผัสกับด้านใน แม้จะเปิด On แล้ว ก็ยังทำงานไม่ได้ หรือบางครั้ง ก็มีพลาสติกใสปิดเอาไว้ ต้องดึงออกก่อน ก็จะใช้งานได้ตามปกติ อย่างไรก็ดีสิ่งสำคัญที่ควรต้องทำก็คือ การต่อ USB Receiver ให้พร้อมสำหรับใช้งาน นั่นคือในระบบต้องตรวจพบ และไม่มีเครื่องหมาย ! เกิดขึ้นด้านหลังชื่อฮาร์ดแวร์บน Device Manager และต้องมีแบตเพียงพอ แต่ถ้าสุดท้ายการแก้ไขไม่ได้ออกมาเป็นอย่างที่คิด เราก็แนะนำให้เลือกซื้อเมาส์ไร้สายใหม่สักรุ่น เพื่อที่จะได้ใช้งานกันต่อไป ราคาเพียงหลักร้อย ก็ให้คุณใช้งานได้สะดวกมากขึ้นแล้ว แต่ถ้าเล่นเกมด้วย การอาจจะต้องนึกถึงฟังก์ชั่น ระยะการใช้งานแบต และซอฟต์แวร์ปรับแต่ง เพื่อเพิ่มศักยภาพในการเล่นเกมให้มากขึ้น

from:https://notebookspec.com/web/642807-7-step-fixed-wireless-mouse-2022

Logitech G PRO X Superlight & G840 XL Magenta ใหม่ปี 2022 สวยปิ๊ง เพื่อเกมเมอร์ตัวจริง

Logitech G PRO X Superlight & G840 XL Magenta เกมมิ่งเมาส์และเมาส์แพดระดับโปร

Logitech G PRO X

Logitech G PRO X Superlight เกมมิ่งเมาส์อย่าง Logitech G series น่าจะเป็นที่หมายปองของเกมเมอร์หลายๆ ท่าน ที่หันมาเป็นจริงจังเกมเมอร์ เน้นการเล่นเกมเป็นหลัก เรื่องงานอื่นรองลงมา ซึ่งทาง NBS ก็ได้รีวิวให้ชมกันไปหลายรุ่น แต่ที่ได้รับความสนใจและมีการสอบถามกันบ่อยก็คือ Logitech G PRO X ที่เรียกว่าฮอตฮิตติดตลาด เป็นเมาส์ไร้สายขนาดกลาง ใช้ง่าย ตอบสนองไว และมีลูกเล่นการปรับแต่งที่ดี รวมถึงเซ็นเซอร์ที่มีความแม่นยำอย่าง HERO™ ให้ Resolution สูงสุดถึง 25,600 DPI เล่นเกมจอใหญ่ความละเอียดสูงได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงให้แบตสุดอึดมาด้วย ใช้งานได้นานถึง 70 ชั่วโมงต่อการชาร์จ และเทคโนโลยี Lightspeed โดยพื้นฐานจะมีให้เลือกเพียง 2 สีเท่านั้น คือ ขาวและดำ แต่ล่าสุดที่ทีมงานได้รับมานี้ เป็นสีสันที่สดใสในแบบ Magenta ดูหรูหรา เข้ากับการจัดโต๊ะของสาวๆ ได้ดี และยังเป็นของขวัญสุดพิเศษ ในช่วงวันวาเลนไทน์ที่จะถึงนี้ด้วย เรียกว่าคนได้รับประทับใจ คนให้ก็ปลื้ม สนนราคาอยู่ที่ 4,990 บาท สำหรับเมาส์ G PRO X นี้

Logitech G PRO X


จุดเด่น

Advertisementavw
  • ให้ความละเอียดได้ถึง 25,600 DPI เหมาะกับการเล่นเกม
  • ปรับแต่งได้ผ่าน G-Hub
  • ไช้งานแบบไร้สายได้
  • แบตอึดใช้งานได้นาน 70 ชั่วโมง
  • สีสันสดใส
  • มิติของเมาส์จับกระชับมือ
  • แผ่นรองเมาส์ขนาดใหญ่
  • หน้าสัมผัสลื่น เคลื่อนไหวเมาส์ได้ดี
  • พื้นยางเกาะกับพื้นโต๊ะได้แน่น

ข้อสังเกต

  • ไม่มีแสงไฟ RGB
  • ปรับใช้งานปุ่ม DPI บนซอฟต์แวร์หรือเลือกกำหนดเอง

Specification

Logitech G PRO X Superlight
  • PHYSICAL SPECIFICATIONS
    • Height: 4.92in (125 mm)
    • Width: 2.50 in (63.5 mm)
    • Depth: 1.57in (40 mm)
    • Weight: <2.22 oz (63 g)
  • TECHNICAL SPECIFICATIONS
    • POWERPLAY compatible
    • LIGHTSPEED wireless technology
    • Onboard memory 1Advanced features require Logitech G HUB Software available for download at logitechg.com/ghub
    • Click tensioning system
    • No-additive PTFE Feet
    • 5 buttons
  • TRACKING
    • Sensor: HERO™
    • Resolution: 100 – 25,600 dpi
    • Max. acceleration: >1.41 oz (40 g) 2Tested on Logitech G240 Gaming Mouse Pad
    • Max. speed: 400 IPS 3Tested on Logitech G240 Gaming Mouse Pad
    • Zero smoothing/acceleration/filtering
  • RESPONSIVENESS
    • USB report rate: 1 ms (1000 Hz)
    • Microprocessor: 32-bit ARM
  • BATTERY LIFE
    • Constant motion: 70h
  • WARRANTY INFORMATION
    • 2-Year Limited Hardware Warranty
Logitech G840 XL Magenta
  • PHYSICAL SPECIFICATIONS
    • Height: 400 mm
    • Width: 900 mm
    • Depth: 3 m
  • Surface: PERFORMANCE-TUNED
  • WARRANTY: 2-Year Limited Hardware Warranty

Unbox

Logitech G PRO X Superlight Magenta

Logitech G PRO X

แพ็คเกจของ Logitech G PRO X Superlight นี้ มาในโทนสีดำ เช่นเดียวกับในเวอร์ชั่นของเมาส์ที่เป็นสีอื่นๆ รวมถึงภาพกราฟิกและโลโก้ต่างๆ แทบจะไม่ต่างกันมากนัก มีเพียงสีของกราฟิกภาพเมาส์ Logitech ที่เป็นสี Magenta สดใส ส่วนด้านข้างมาพร้อมรายละเอียดและคุณสมบัติต่างๆ ของเมาส์มาด้วย เรียกว่าสามารถดูข้อมูลในเบื้องต้นได้จากกล่อง คล้ายกับในเวอร์ชั่น Logitech G PRO ที่เราเคยทดสอบ

ด้านข้างนอกจากสเปคของอุปกรณ์ที่บอกมาละเอียดชัดเจนแล้ว ยังมาพร้อมฟีเจอร์หลักๆ ทั้ง 4 ส่วน ไม่ว่าจะเป็น LIGHTSPEED การเชื่อมต่อแบบไร้สายความเร็วสูง, HERO เซ็นเซอร์อัจฉริยะตอบสนองไว, POWERPLAY เทคโนโลยีการชาร์จแบบไร้สาย และ LIGHTSYNC ในการเชื่อมต่อแสงไฟ RGB ร่วมกับอุปกรณ์อื่นๆ

Logitech G PRO X

ด้านหลังกล่องทำเป็นกราฟิกที่บอกถึงคุณสมบัติต่างๆ ของเมาส์ Logitech G PRO X Superlight รุ่นนี้ รวมถึงโลโก้ PLAY TO WIN

Logitech G PRO X

ภายในกล่องประกอบไปด้วย ฝาปิดสำรองด้านใต้เมาส์ สติ๊กเกอร์และคู่มือการใช้งาน ตามพื้นฐานของอุปกรณ์เกมมิ่งจากค่าย Logitech แต่มีเพิ่มไฮไลต์มาให้ สำหรับเกมเมอร์อีกด้วย

Logitech G PRO X

และที่พิเศษสุดๆ นั่นคือทาง Logitech ได้จัดแผ่นกริ๊ปมาให้ใช้ติดกับตัวเมาส์ทั้งด้านซ้ายและขวา เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการจับและเล่นเกม จะช่วยให้คุณเคลื่อนไหวได้คล่องตัวมากขึ้น แต่ในกรณีที่คุณใช้งานทั่วไป อยากได้สีของเมาส์เดิมๆ เพื่อจัดให้เข้ากับธีมของโต๊ะคอมของคุณ

Logitech G PRO Wireless G840 Magenta 93

อีกสิ่งหนึ่งที่มีมาให้ในกล่องนั่นคือ USB Receiver ในการรับสัญญาณจากเมาส์ Logitech G PRO X Superlight ขนาดเล็กกระทัดรัด จะต่อเข้ากับ USB Front panel ด้านหน้าเครื่องหรือจะต่อด้านหลังก็ดูไม่เกะกะ ที่สำคัญใช้กับโน๊ตบุ๊คยิ่งดูลงตัวเลยทีเดียว

Logitech G PRO X

นอกจากนี้แล้ว ก็ยังมีสาย USB-A to micro USB สำหรับการเชื่อมต่อกับตัวเมาส์เพื่อการอัพเกรดเฟิร์มแวร์และการชาร์จไฟ ให้กับเมาส์นั่นเอง มาพร้อมเขี้ยวที่ใช้ล็อคกับตัวเมาส์ให้แน่นหนา แต่ที่สำคัญก็คือ สามารถต่อสายใช้งานได้ตามปกติอีกด้วย

Logitech G PRO X

ถ้าคุณไม่สะดวกกับการใช้งานไร้สาย หรือกำลังเล่นเกมอย่างต่อเนื่อง แล้วแบตเมาส์ใกล้หมด ก็สามารถต่อสายเล่นต่อเนื่องได้เลย โดยสายสัญญาณที่ให้มานี้ ยาวประมาณ 1.8 เมตร ซึ่งสามารถต่อจากพอร์ต USB ด้านหลังเครื่องได้สะดวก

Logitech G PRO X

และเมื่อชาร์จไฟพร้อมแล้ว ก็เตรียมพร้อมสำหรับการเล่นเกมและการใช้งานของคุณ แต่มีเมาส์แล้ว ก็จำเป็นจะต้องมีอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน นั่นก็คือ แผ่นรองเมาส์ ซึ่งเราก็ได้รับ Gaming Mousepad รุ่นพิเศษมาใช้งานคู่กันอีกด้วย นั่นคือ Logitech G840 Magenta

Logitech G840 XL Magenta

Logitech G PRO X

ในเบื้องต้นเราแกะกล่องกันออกมาก่อน ต้องบอกก่อนว่า Mousepad รุ่นนี้ มาในไซส์ XL ที่มีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ ดังนั้นกล่องจึงมีขนาดที่ใหญ่ ม้วนมาอย่างเรียบร้อย

Logitech G PRO X

เมื่อคลี่ออกมาแล้ว สิ่งที่สะดุดตาก็คือ สีสันที่สดใส เข้าคู่กับ Logitech G PRO X Superlight ได้เป็นอย่างดี แต่จะมีรูปร่างหน้าตา และการใช้งานที่ดีเพียงใด เราไปดูกันในส่วนของ Performance ครับ

Design

Logitech G PRO X

มาดูที่การออกแบบของ Logitech G PRO X Superlight กันก่อน เรื่องของสีสัน บอกได้คำเดียวว่า สวยมากๆ ใครที่เคยสัมผัสเกมมิ่งเมาส์ Logitech G ค่ายนี้ในหลายรุ่นผ่านมา จะเห็นความแตกต่างอย่างขัดเจน เพราะสีสัน Magenta ซึ่งเป็นโทนสีม่วงแดง ถือว่าเป็นเทรนด์ที่มาแรงในปี 2022 นี้ และถูกนำมาใส่ไว้ในเมาส์รุ่นนี้ได้อย่างโดดเด่นทีเดียว

Logitech G PRO X

Logitech G PRO X รุ่นนี้ มาในสไตล์ของเมาส์ที่ใช้ได้ทั้งมือซ้ายและขวา มีโลโก้สีเงินอยู่บริเวณที่วางมือ ตัดกับสีหลักของตัวเมาส์ และไม่มีแสงสีมาให้แต่อย่างใด

Logitech G PRO X

มาดูที่มุมด้านบนกันบ้าง จะเห็นปุ่มคลิ๊กซ้าย-ขวาขนาดใหญ่ ตรงกลางเป็น Scroll mouse ซึ่งให้ระดับความหนืดที่กำลังดี ไม่ปล่อยระยะฟรีมากเกินไป เหมาะกับสายสไนเปอร์ ที่เน้นความแม่นยำ

Logitech G PRO X

บริเวณด้านหน้า

Logitech G PRO X

สำหรับในเรื่องของหน้าตานี้ อาจจะไม่ได้ต่างจาก G PRO X ที่เราเคยได้รีวิวไปก่อนหน้านี้มากนัก เรียกว่าแทบจะถอดแบบมา แต่ก็ถือว่าเป็นสไตล์ที่เหมาะกับเกมเมอร์ที่เน้นความกระชับมือ เพราะรูปทรงเหมาะกับเกมเมอร์เอเซียมากๆ จับได้ถนัดแบบเกือบเต็มมือ แต่ที่สำคัญน้ำหนักเพียง 63 กรัมเท่านั้น ทำให้การเคลื่อนไหวง่ายดายมากยิ่งขึ้น

Logitech G PRO X

ด้านข้างของตัวเมาส์มีเพียงปุ่มมาโครทำหน้าที่ Back / Forward ส่วนอีกฝั่งจะมาพร้อมโลโก้ SUPERLIGHT เพื่อเน้นย้ำว่า เป็นเมาส์ที่เบาสุดๆ และลดแรงต้าน เพื่อให้ไวต่อการพิฆาตศัตรูในเกมได้รวดเร็ว

Logitech G PRO X

สิ่งสำคัญที่เป็นเหมือนไฮไลต์หลักนั่นคือ เซ็นเซอร์ HERO จากทาง Logitech ซึ่งให้ความแม่นยำในการเล่นเกมได้มากขึ้น ด้วยความละเอียดระดับ 25,600 DPI เอาใจคนที่เล่นเกมบนจอใหญ่ๆ ความละเอียดสูงๆ ได้ใช้งานได้อย่างคล่องตัว ไม่ต้องยกเมาส์ขึ้นมาบ่อยๆ ให้เสียจังหวะ ด้านข้างมีปุ่มเปิด-ปิด เพื่อประหยัดพลังงาน ในกรณีที่หยุดใช้งานหรือจะพกพาไปใช้นอกสถานที่

ด้านใต้ของเมาส์ จะเห็นฟีต หรือที่เรียกว่า Mouse skate ใช้วัสดุ PTFE คุณภาพสูงเพื่อสัมผัสในการเลื่อนที่ลื่นไหล ขนาดใหญ่อยู่บริเวณด้านบน และเป็นส่วนโค้งรอบๆ จุดเก็บ USB Receiver รวมถึงรอบๆ เซ็นเซอร์ ซึ่งจัดว่าเป็นสัดส่วนที่เยอะมาก บนพื้นที่ด้านใต้ของเมาส์ และให้ผลดีต่อการสไลด์หรือการกวาดเมาส์ไปมา ระหว่างการเล่นเกม ซึ่งตรงจุดนี้เราจะไปคุยกันใน Performance อีกครั้งหนึ่ง

Logitech G PRO X

และด้านใต้นี้เอง จะใช้เป็นจุดที่เก็บ USB Receiver และมีฝาปิดที่เป็นแม่เหล็กเอาไว้ใช้งานได้สะดวก

Logitech G PRO X

ด้านหน้ามาพร้อมช่อง Micro USB พร้อมตัวล็อค ซึ่งใช้ร่วมกับสายที่มีมาให้ในกล่อง สำหรับการชาร์จไฟ เชื่อมต่อสัญญาณในการใช้งานแบบมีสาย รวมถึงการอัพเดตสิ่งต่างๆ ถูกเก็บซ่อนเอาว้อย่างดี ไม่ทำให้ดูเด่นจนเกินไป

Logitech G840 XL Magenta เกมมิ่งเมาส์แพดไซส์ใหญ่

Logitech G PRO X

สัมผัสแรกที่ได้เห็น ส่วนตัวค่อนข้างชอบครับ โดยสีสันในโทนสี Magenta ซึ่งตัดกับโต๊ะคอมสีขาวหรือสีดำได้ดี และมีโลโก้สีเงินแบบเดียวกับที่อยู่บนตัวเมาส์มาด้วย

Logitech G PRO X

โลโก้สีเงินนี้อยู่บริเวณมุมด้านขวาของ Mousepad ดูลงตัว ดูแล้ว ไม่เกะกะ ตอบโจทย์คนที่ไม่ชอบลวดลายของแผ่นรองเมาส์ ที่มีลวดลายมากเกินไปนัก

Logitech G PRO X

แต่สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งของ Logitech G840 นี้ ยังอยู่ที่วัสดุที่เป็นผิวสัมผัสด้านบน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่จะส่งผลให้การเคลื่อนไหวเมาส์ได้ดี เป็นวัสดุแบบผ้าที่ถักทอมาเป็นอย่างดี ออกมาในแนว Speed เข้าคู่กับเมาส์ Logitech G PRO ได้อย่างลงตัว แต่จะใช้ร่วมกับเมาส์รุ่นอื่นๆ ก็ได้ ถ้าชอบสไตล์แบบลื่นไหล คอนโทรลง่าย และขนาดใหญ่

Logitech G PRO X

เปรียบเทียบความหนากับรุ่นก่อนหน้านี้ Logitech G640 ที่มีความหนาเท่ากันคือ ประมาณ 3mm

Logitech G PRO X

บริเวณด้านใต้เป็นพื้นยาง ที่ทำออกมาเป็นร่องคล้ายกับร่องยางของรถยนต์ ทำให้ยึดเกาะกับผิวโต๊ะได้ดี ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะไม้หรือโต๊ะที่เป็นวัสดุอื่นๆ

Logitech G PRO X

เรื่องของขนาดอยู่ที่ประมาณ 40cm x 90cm เมื่อเทียบกับไม้บรรทัดความยาว 60cm และโต๊ะขนาด 160cm จะเห็นได้ว่า วางได้แบบเต็มที่ ใครที่ชอบแผ่นรองเมาส์ไซส์ XL คลุมโต๊ะคอม 120cm ได้เกือบทั้งโต๊ะ บอกเลยว่า คุณจะชื่นชอบ G840 รุ่นนี้

Logitech G PRO X

แนะนำกันครบทุกสิ่งแล้ว เราไปดูการทำงานของเมาส์และแผ่นรองเมาส์รุ่นพิเศษจาก Logitech นี้กันดีกว่า

Logitech G PRO X

Logitech G Hub

Logitech G PRO X

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบการปรับแต่งหรือการเซ็ตค่าให้กับปุ่มต่างๆ ในการเล่นเกมบนเมาส์ Logitech G PRO X Superlight รุ่นนี้ มีให้ปรับใช้งานได้ถึง 5 ปุ่มด้วยกัน และยังมีเมมโมรีมาในตัว เพื่อให้บันทึกค่าสำหรับการเล่นเกมในแบบต่างๆ ติดเมาส์ไปใช้งานข้างนอกได้ ด้วยการปรับค่าบนซอฟต์แวร์ที่เรียกว่า Logitech G-Hub ซึ่งมีให้ตั้งค่าตั้งแต่ Commands, Keys, Actions, Macros และ System

Logitech G PRO X

นอกจากนี้ยังมีให้คุณได้เลือกปรับค่า DPI หรือความละเอียดในการเคลื่อนไหวได้ตามต้องการ สูงสุดถึง 25,600 DPI ด้วยการคลิ๊กเมาส์ไปเลือกในระดับที่ต้องการ และเมาส์จะเปลี่ยนค่าให้ทันที ส่วนการปรับค่า DPI มากน้อย ก็ขึ้นอยู่กับการใช้งานของผู้ใช้และความถนัด รวมถึงเกมที่เล่นอีกด้วย เกมแอ็คชั่นบางครั้งไม่ต้องปรับสูงมาก แต่เน้นที่ความแม่นยำ แต่ถ้าเกม RTS หรือ MOBA ที่ต้องคู่ไปกับการดู Map ก็อาจจะเพิ่มให้สูงได้เช่นกัน

Logitech G PRO X

นอกจากนี้ยังเลือกเซ็ตค่า DPI ด้วยการกดจากตัวเมาส์ได้ เนื่องจากไม่ได้มีปุ่มแยกสำหรับตั้ง DPI มาให้ แต่ก็ใช้ปุ่มพื้นฐานทั้ง 5 ปุ่ม มาช่วยในการปรับได้เช่นกัน ด้วยการตั้งค่าจากหน้า Assignment นี้

Logitech G PRO X

นอกจากนี้แล้วคุณยังเลือกบันทึกค่าที่ตั้งไว้ ใส่ไว้ในเมมโมรีของเมาส์ได้ทันที เพื่อที่จะนำไปใช้ในเครื่องอื่นๆ ต่อไป โดยในหน้าหลักจะยังคงบอกข้อมูลรุ่นของเมาส์และระดับของแบตให้ได้ทราบตลอดเวลา

Logitech G PRO X

คอเกมไม่ควรพลาดกับการตั้งค่ามาโคร สำหรับใช้งานบนเกมต่างๆ ซึ่งคุณจะ หรือถ้าไม่ได้เล่นเกมเป็นหลัก ก็จะใช้ในการตั้งคีย์ลัดบนโปรแกรมต่างๆ ได้ไม่ว่าจะเป็นซอฟต์แวร์พื้นฐานงานเอกสาร หรือจะเป็นโปรแกรมตัดต่อ ตกแต่งภาพและอื่นๆ ที่คุณคิดว่าการลดอัตราการคลิ๊กที่ซับซ้อน หลายขั้นตอน จะทำให้คุณทำงานได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ก็สามารถใช้ Logitech G-Hub นี้ เป็นตัวช่วยในการทำงานของคุณได้


Performance

Logitech G PRO X

สำหรับเกมมิ่งเมาส์ Logitech G PRO X Superlight นี้ ในแง่ของประสิทธิภาพนั้นแทบไม่ได้ต่างไปจากที่เราเคยได้ทดสอบกันมาก่อนหน้านี้ จะต่างกันไปเพียงในเรื่องของสีสันเท่านั้น ซึ่งพอมาเป็นสี Magenta ก็ทำให้ดูน่าจับน่าเล่นมากขึ้น

Logitech G PRO X

ว่ากันตั้งแต่ความรู้สึกในการสัมผัส นอกจากเรื่องของน้ำหนักที่ 63 กรัมโดยประมาณ เบามากๆ จนบางทีก็เรียกว่าเบาเกิ้นนน แต่ก็คอนโทรลได้เพราะรูปแบบการจับนั้นถนัดมือ ในการจับแบบ Palm Grip หรือจะเป็นแบบ Claw ก็ตาม และได้ทั้งมือของผู้ชายและผู้หญิง นอกจากนี้การเป็นเมาส์ไร้สาย ก็ยิ่งช่วยเพิ่มความคล่องตัว ไม่จำเป็นต้องไปหา Mouse Sling มาช่วยยกสาย ให้วุ่นวาย ในแง่ของสัมผัสและความลื่นไหล ไม่ใช่แค่เพียงการเล่นเกม แต่ยังเข้ากันได้กับเหล่านักสตรีมเมอร์และนักแข่งได้ดีอีกด้วย

Logitech G PRO X

ในการเล่นเกมนั้นการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วก็เป็นสิ่งสำคัญ แต่ความแม่นยำก็จำเป็น อย่างเช่นเกม Horizon Zero Dawn นี้ จังหวะในการโจมตี ต้องไม่ควรวืดวาดไปมาก เพราะอาจจะทำให้ศัตรูเล่นงานเรากลับได้เร็ว เกมมิ่งเมาส์ Logitech G PRO รุ่นนี้ ช่วยให้การคอนโทรลทำได้ดีขึ้น การเพิ่ม DPI ไปประมาณ 1000 DPI ก็พอช่วยให้เล่นได้ลื่นขึ้นบนจอระดับ 29″ 1440p เช่นนี้

Logitech G PRO X

ส่วนในเกม DOTA2 สนุกสนานไม่น้อยเลย ยิ่งเข้าคู่กับ G840 Gaming Mousepad ที่ช่วยให้การลากเมาส์เพื่อดูพื้นที่บน Map กว้างๆ ได้อย่างง่ายดาย และการคอนโทรล Hero ก็ทำได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ Skill และการโจมตีในวงกว้าง ถ้าได้การตั้งค่ามาโครเมาส์ดีๆ ก็จะช่วยลดจังหวะของการเล่นเวทย์ใหญ่ได้อีกเยอะ

Logitech G PRO X

สำหรับ GTAV การคอนโทรลยังเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะจังหวะที่ขับรถ เมื่อโดนตำรวจไล่ตาม ขยับมุมมองไม่ดี มีคว่ำให้เห็นได้ รวมถึงการยิง เพราะเกมนี้เป็นเป้าเล็งตรง ไม่ต้องเผื่อศูนย์เล็ง ยิ่งเคลื่อนไหวได้ไว และควบคุมปืนได้ดี ก็ยิ่งทำให้แม่นยำมากขึ้น และคู่หูเกมมิ่งเมาส์และเมาส์แพด Magenta คู่นี้ ดูจะสอดคล้องไปด้วยกันได้อย่างลื่นไหล ถูกใจคอเกมแนวนี้ไม่น้อยเลย

Logitech G PRO X

สุดท้ายกับเกม Battlefield V กับการตั้งค่า 1440p เล่นบนจอขนาดใหญ่ 29″ แบบนี้ ที่มาพร้อมเอฟเฟกต์อลังการ บวกกับความสนุกสนานแบบต่อเนื่องในฉากต่างๆ การมีเมาส์ที่วางใจได้ และเมาส์แพดที่ลื่นไหล พื้นที่กว้างขวาง ก็ยิ่งทำให้สนุกได้มากขึ้น ซึ่งคอเกมแนว Action Shooting จะได้มันส์ไปกับการเล่นเกมได้แบบต่อเนื่อง ไม่มีสายสัญญาณมาให้วุ่นวาย อีกทั้งน้ำหนักเบา จังหวะที่เล่นในฉากรถถังอย่าง Last Tiger ก็ยิ่งทำให้ยิงปืนใหญ่ได้แม่นขึ้น ไม่วืดวาด ช่วงที่โดนถล่มก็ปิดฉากและหนีออกมาได้ไม่ยากเย็นนัก

ในแง่ของการเล่นเกมก็ถือว่าเข้าทางจุดประสงค์หลักที่ทาง Logitech ได้วางเอาไว้ เรียกว่าต้องลองมาสัมผัสจริงๆ เพราะยังมีฟีเจอร์ที่ยังไม่ได้ลองอีกมากมาย ส่วนในเรื่องของการใช้งานทั่วไป ก็คงไม่ต้องอธิบายกันมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้ร่วมกับไฟล์เอกสาร หรือการทำงานด้านวีดีโอหรือ Content Creator รวมถึงการตกแต่งภาพ ก็ได้รับความสะดวกในการใช้งานด้วยเช่นกัน ขึ้นอยู่กับการปรับแต่งและการเลือกใช้ฟังก์ชั่นให้เหมาะสม


Conclusion

Logitech G PRO Wireless G840 Magenta 74 1

ในภาพรวมของ Logitech G PRO X Superlight และ G840 XL Magenta ที่เป็นเกมมิ่งเมาส์ระดับโปรนี้ ยังคงครบครัน ครบเครื่องสำหรับการเล่นเกม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการตอบสนองและความละเอียดที่ปรับได้สูงถึง 25,600 DPI ช่วยให้การเล่นเกมมีความแม่นยำ รวมถึงการเคลื่อนไหวที่คล่องตัวมากขึ้น การจับถือก็สะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็นขนาด น้ำหนักและพื้นผิว และยังปรับจูนให้เหมาะกับการใช้งาน เช่นเดียวกับการตั้งค่ามาโคร โดยเฉพาะในเรื่องของสีสัน ที่ทำให้คุณจัดโต๊ะคอมได้สวยๆ อีกด้วย แต่จะมีอยู่แค่บางเรื่องเท่านั้นที่อาจจะขาดไปบ้าง นั่นก็คือ ไม่ได้มีส่วนของแสงไฟ RGB มาให้ต่างจากในรุ่น PRO ก่อนหน้านี้ แต่ก็เป็นส่วนดี เพราะจะทำให้เราสามารถใช้เมาส์ในแบบไร้สายได้นานขึ้น อย่างไรก็ดี ถึงแม้แบตจะหมด เพราะยังใช้งานแบบมีสายได้อีกด้วย และสายยังยาวเกือบ 2 เมตร เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลว่าจะยาวไม่พอในการต่อจากหลังเครื่องพีซี และอีกสิ่งหนึ่งที่จะไม่พูดไม่ได้เลย ความเข้ากันได้ของ G840 ที่เป็นเมาส์แพดขนาด XL ที่เอามาวางบนพื้นโต๊ะได้กว้าง และยังยึดแน่นกับผิวโต๊ะให้เล่นได้แบบไม่เสียอารมณ์ สีสันก็วางบนโต๊ะสีขาวหรือดำได้อย่างลงตัว วาดเมาส์ได้อย่างอิสระ ไม่ต้องยกมือขึ้นบ่อยๆ ใครที่เคยใช้เมาส์แพดเล็กๆ จะต้องชื่นชอบกับความรู้สึกใหม่นี้ แนะนำว่าใช้บนโต๊ะระดับ 120-140cm กำลังพอดีๆ สวยงามอีกด้วย


ข้อมูลเพิ่มเติม

ราคา

  • Logitech G PRO X Superlight ราคา 4,990 บาท
  • Logitech G840 XL Magenta ราคา 1,590 บาท

from:https://notebookspec.com/web/638278-logitech-g-pro-x-superlight-g840

รีวิว Alienware Gaming Gear Set 3 ชิ้นสุดเด็ดเพื่ออารยธรรมเกมมิ่งระดับมนุษย์ต่างดาว!

Alienware Gaming Gear เซ็ตสุดเด็ดเพื่อเกมเมอร์ที่ชื่นชอบดีไซน์สุดล้ำควรมีไว้เล่นเกม!

alien cover

ชื่อของ Alienware นอกจากเกมมิ่งโน๊ตบุ๊คหรือพีซีเกมมิ่งประกอบสำเร็จรูปสุดแรงดีไซน์ล้ำแล้ว ก็มี Alienware Gaming Gear ให้เกมเมอร์ที่เลือกซื้อโน๊ตบุ๊คระดับไฮเอนด์ไปเล่นเกมแล้ว ยังมีเกมมิ่งเกียร์ที่เข้าเซ็ตกันได้เอาไปเล่นเกมได้ด้วย และดีไซน์ก็เรียกว่าเข้าเซ็ตกันได้อย่างพรีเมี่ยม คงคอนเซปท์ความเป็น Alienware เอาไว้ครบถ้วนทั้งความพรีเมี่ยมและฟีเจอร์ที่เอื้อเกมเมอร์แบบเต็มที่และไฟ RGB ทำให้จัดโต๊ะคอมได้สวยเท่มีสไตล์อย่างที่เกมเมอร์ต้องชอบอย่างแน่นอน

Advertisementavw

ซึ่งใครกำลังอยากได้ Alienware Gaming Gear เรียกว่าโชคดีมาก ๆ เพราะตอนนี้เค้าจะแถม ที่วางหูฟังที่พิมพ์ Badge โลโก้ Alienware ไว้ วางใน Gaming  Setup ได้เข้าชุดกันดีมาก ได้ความ Alienware แบบเต็มที่ นอกจากนี้ฟีเจอร์และดีไซน์ของเกมมิ่งเกียร์ทั้ง 3 ชิ้นที่ได้รับมารีวิวก็ต้องถือว่าไม่แพ้แบรนด์ผู้ผลิตเกมมิ่งเกียร์ชั้นนำหลายๆ เจ้าอย่างแน่นอน

Alienware Gaming Gear

NBS Verdict

alienwareset DSC09999

Alienware Gaming Gear ทั้งหูฟัง Alienware 510H 7.1 Gaming Headset, เมาส์ AW610M Wired/Wireless Gaming Mouse และคีย์บอร์ด Alienware AW410K Mechanical Gaming Keyboard ต้องถือว่าเป็นเกมมิ่งเกียร์ดีไซน์สวยได้คอนเซปท์ความอวกาศและยานเอเลี่ยนอย่างเต็มที่ สังเกตจากดีไซน์สี่เหลี่ยมผืนผ้าขอบโค้งเหมือนวงรีเป็นรายละเอียดเล็กน้อยที่ทางค่ายใส่ใจออกแบบมาอย่างปรานีต ในส่วนตรงโซนพอร์ตท้ายเครื่องทำให้ดูเหมือนเป็นชิ้นส่วนจากยานเอเลี่ยนจริงๆ

alienware

นอกจากความสวยงามแล้ว ฟีเจอร์ที่ติดตั้งมาให้ในเกมมิ่งเกียร์เซ็ตนี้ก็ให้มาแบบจัดเต็มและตั้งค่าได้ด้วยโปรแกรมตั้งค่าเกมมิ่งเกียร์ Alienware Command Center ซึ่งตั้งค่าฟังก์ชั่นการทำงาน, ปุ่มต่างๆ, ไฟ RGB ฯลฯ ได้ครบถ้วน เรียกว่าโปรแกรมเดียวจบครบพร้อมใช้งานทันที

alienwareset DSC09997

อย่างไรก็ตาม เรื่องจุดสังเกตเล็กๆ น้อยๆ ที่ยังมีให้เห็นอยู่บ้างและผู้เขียนขอตั้งข้อสังเกตเผื่อไว้ โดยแยกชิ้นเกมมิ่งเกียร์คือ ตัวหูฟังจะแยกชุดควบคุมออกมาไว้ที่ตัวสายหูฟัง ไม่มีปุ่มปิด, เพิ่ม, ลดเสียงติดไว้เลย แม้จะคุมที่สายอย่างเดียวได้สะดวกยิ่งถ้ามีปุ่มหลักๆ ติดที่ตัวหูฟังเลย น่าจะยิ่งทำให้การใช้งานสะดวกขึ้น

ด้านของคีย์บอร์ดแบบ Full-size ตั้งค่าได้ละเอียดและมีปุ่มหลักๆ อย่าง Windows Lock และ Multimedia key ติดตั้งมาให้และตั้งค่าได้ละเอียดก็ตาม แต่จุดที่น่าสังเกตจะเป็นเรื่องสวิตช์แม้จะเป็น Cherry MX Brown แบบ Tactile แต่สัมผัสตอนพิมพ์กลับรู้สึกว่าแรงดีดคืนนั้นยังอ่อนไปเล็กน้อยผิดกับที่ผู้เขียนเคยใช้งานมาและคีย์แคปที่ค่อนข้างบางถึงบางมากจนรู้สึกว่าตัวแคปไม่แน่นอย่างที่เกมมิ่งคีย์บอร์ดแบรนด์อื่นเป็น จนรู้สึกว่าทาง Alienware ควรใส่ใจส่วนของคีย์แคปให้ดีกว่านี้เป็นพิเศษด้วย

ข้อดีของ Alienware Gaming Gear Set
  1. ดีไซน์คงความ Alienware ให้ความสวยงามเข้าเซ็ตกับเกมมิ่งโน๊ตบุ๊คของทางค่าย
  2. หูฟัง 7.1 แชนแนลให้เสียงที่ดีและแยกมิติเสียงได้ชัดเจนระดับหนึ่งทั้งตอนเล่นเกมและดูหนังฟังเพลง
  3. ไมค์ของหูฟังดีไซน์ให้ดึงออกและดันเก็บกลับเข้าหูฟังได้ ทำให้เก็บแล้วเรียบร้อยไม่หล่นหายแน่นอน
  4. หูฟังใช้วิธีสไลด์ตัวครอบหูขึ้นลงแทนการยืดก้าน ทำให้ดีไซน์ภายนอกยังสวยและตัวก้านไม่โดนยืดยาวเกินไปและชิ้นส่วนไม่เสื่อมสภาพในระยะยาว
  5. ได้ที่ตั้งหูฟังแถมมาเมื่อซื้อเป็น Boxset และแท่นตั้งหูฟังทำได้แข็งแรงดี
  6. เมาส์เกมมิ่งใช้แบบมีหรือไร้สายก็ได้และมีตัวขยายสัญญาณแถมมาให้ลากเมาส์ได้ไหลลื่นเหมือนต่อสายตามปกติ
  7. เมาส์มีตัวขยายสัญญาณต่อสายมาวางใกล้เมาส์ให้รับส่งสัญญาณตอนเล่นเกมได้ดีขึ้น
  8. ดีไซน์เมาส์มีปีกท้ายเมาส์มารับแม่โป้งกับนิ้วก้อย ทำให้มือลอยเหนือพื้นโต๊ะเล็กน้อย ลากเมาส์ตอนเล่นเกมได้เร็วไม่เบียดมือ
  9. คีย์บอร์ดใช้ Cherry MX Brown เป็น Tactile ทำงานได้ดี กดได้ราว 100 ล้านครั้ง ตั้งค่าปุ่มได้ด้วยโปรแกรม Alienware Command Center
  10. มีช่อง USB-A Passthrough ติดตั้งมาให้หลังคีย์บอร์ดเอาไว้ต่อเมาส์หรือหูฟังได้โดยไม่ต้องต่อคอมโดยตรง
ข้อสังเกต Alienware Gaming Gear Set
  1. ชุดควบคุมเสียงของหูฟังอยู่ที่สายอย่างเดียว ไม่มีปุ่มหลักๆ ที่ใช้งานประจำที่ตัวหูฟัง
  2. คีย์แคปของคีย์บอร์ดจัดว่าบางถึงบางมาก ทำให้สัมผัสตอนพิมพ์งานหรือเล่นเกมรู้สึกไม่แน่นเท่าที่ควร
  3. Alienware Command Center ยังรองรับเฉพาะเกมมิ่งพีซีหรือโน๊ตบุ๊คของ Alienware เป็นหลัก ยังนำไปติดตั้งในเกมมิ่งพีซีหรือโน๊ตบุ๊คเครื่องอื่นๆ ไม่ได้

สเปคและดีไซน์ของ Alienware Gaming Gear Set

alienwareset DSC09897

สำหรับเกมมิ่งเกียร์ของ Alienware ตอนนี้จะมีโปรโมชั่นซื้อยกเซ็ตจะได้มาเป็นกล่องพร้อมเอาไปเล่นเกมได้เลย ได้ทั้งเมาส์, คีย์บอร์ด, หูฟังครบเครื่องและแถมที่ตั้งหูฟังมาอีกชิ้นหนึ่งด้วย เวลาไม่ได้เล่นเกมแล้วก็สามารถวางหูฟังเก็บได้เลย

Alienware 510H 7.1 Gaming Headset

alienwareset DSC09905

alienwareset DSC09906
alienwareset DSC09907
alienwareset DSC09908
alienwareset DSC09909

ดีไซน์ของ Alienware 510H 7.1 Gaming Headset ที่กล่องจะเป็นดีไซน์เรียบๆ เป็นโทนสีขาวดำและสกรีนตัวหูฟังเอไว้ด้านหน้าและด้านหลังเป็นสเปคและอุปกรณ์ต่างๆ ที่ติดมาในหูฟัง ส่วนด้านข้างกล่องจะเป็นสเปคเด่นๆ ซึ่งสเปคโดยละเอียดจะเป็นดังนี้

  • เฮดโฟนแบบ Full-size รองรับความถี่เสียง 20 – 40,000 Hz จำลองเสียง 7.1 แชนแนล
  • เชื่อมต่อด้วยสายหูฟัง 3.5 มม. เข้ากับคอมพิวเตอร์หรือใช้ USB DAC ก็ได้
  • ตัวสายที่แถมมามีสลักเลื่อนเพื่อ Mute หรือ Unmute เสียงไมค์ก็ได้
  • ไมโครโฟนติดตั้งมากับตัวหูฟังเป็นแบบไมค์ Boom รับเสียงแบบ Uni-directional รองรับความถี่เสียง 100-10,000 Hz มีระบบตัดเสียงรบกวน
  • มีหัวแปลงจากช่องหูฟัง 3.5 มม. หัวเดียวแยกเป็นแชนแนลไมค์กับหูฟังแยกเฉพาะด้วย

alienwareset DSC09903

ส่วนขาตั้งหูฟังที่ได้แถมฟรีเมื่อสั่งซื้อ Alienware Gaming Gear ยกเซ็ต จะใส่มาในกล่องให้ประกอบด้วยตัวเอง ซึ่งต่อได้ง่ายๆ แค่เสียบตัวเสาเข้ากับฐานบนและล่างเท่านั้น ไม่กี่วินาทีก็เสร็จพร้อมวางหูฟังได้เลย และมี Badge ยางโลโก้ Alienware แถมมาให้ด้วย

alienwareset DSC09918
alienwareset DSC09921
alienwareset DSC09919
alienwareset DSC09920

ดีไซน์ของหูฟังจะเป็นโทนขาวดำเป็นหลัก ส่วนด้านหน้าหูฟังจะเป็นกรอบวงรีสีดำติดเอาไว้พร้อมก้านไมโครโฟนแบบซ่อนอีกหนึ่งตัว สามารถดึงออกมาหรือสอดกลับไปก็ได้และตัวไมค์มีระบบตัดเสียงรบกวนในตัว ส่วนหูฟังทั้งสองด้านจะมีโลโก้หน้าเอเลี่ยนของ Alienware แบบเพลทอลูมิเนียมติดเอาไว้ ส่วนด้านหลังจะเรียบๆ ไม่มีปุ่มตั้งค่าหรือเพิ่มลดเสียงติดไว้ที่ตัวหูฟังเลย ยกเว้นเฉพาะช่องหูฟัง 3.5 มม. สำหรับต่อกับสายหูฟังและ USB DAC ที่แถมมาในกล่อง

alienwareset DSC09923

alienwareset DSC09922
alienwareset DSC09924
alienwareset DSC09925

ตัวพอร์ตหูฟัง 3.5 มม. จะติดอยู่ที่ตัวหูฟังฝั่งซ้ายมือ ด้านในจะสกรีน L, R แยกฝั่งซ้ายขวาติดไว้ชัดเจนให้เลือกสวมได้อย่างง่ายดายและบิดหูฟังให้วางราบกับพื้นโต๊ะได้แต่จะบิดทางเดียว ถ้าบิดสวนทาง ตัวหูฟังจะบิดออกได้เล็กน้อยเท่านั้น

ส่วนการสไลด์ปรับระยะหูฟังให้เข้ากับขนาดหัวของผู้ใช้ Alienware 510H ตัวนี้จะไม่ได้เลื่อนตัวก้านบิดให้ยืดหดเข้าออกแต่จะสไลด์ตัวครอบหูขึ้นลงให้เข้ากับขนาดศีรษะของผู้ใช้แทน ทำให้รูปร่างของตัวเฮดโฟนไม่เปลี่ยนแปลงและดูสวยเหมือนเดิม ไม่ต้องยืดก้านให้ดีไซน์ตัวหูฟังเปลี่ยนอีกด้วย ซึ่งดีไซน์แบบนี้โดยส่วนตัวผู้เขียนชื่นชอบเป็นพิเศษ

alienwareset DSC09910

alienwareset DSC09912
alienwareset DSC09913
alienwareset DSC09914
alienwareset DSC09917
alienwareset DSC09915
alienwareset DSC09916

สำหรับสายที่ติดมาพร้อมกับ Alienware 510H ตัวนี้ จะมี 3 เส้นด้วยกัน คือสาย 3.5 มม. ต่อตรงเข้ากับพีซีหรือโน๊ตบุ๊คที่ช่องหูฟัง 3.5 มม. ได้โดยตรงแล้วเป็นหัวแบบ Combo รวมทั้งไมค์และหูฟังในตัว แต่ถ้าต่อเข้าพีซีจะมีหัวแปลงแยกเป็นแชนแนลเฉพาะของไมค์และหูฟังอย่างละช่องและมีตัวปรับ Volume เพิ่มลดติดตั้งมาด้วย

USB DAC จะเป็นสาย USB-A กับช่องหูฟัง 3.5 มม. ใช้ต่อระหว่างหูฟังกับพีซีได้เลย ซึ่งถ้าใครเน้นเล่นเกมเป็นหลักผู้เขียนแนะนำให้ต่อ DAC ไปเลยเพราะนอกจากง่าย รับส่งสัญญาณเสียงเป็นดิจิตอลได้เสียง 7.1 แชนแนลแล้ว ที่ตัวก้านควบคุมยังมีตัวสไลด์ Mute, Unmute หูฟังได้ด้วย ทำให้เวลาเล่นเกมที่ต้องใช้ไมค์ไม่ว่าจะ Among Us, Phasmophobia จะสามารถปิดไมค์เมื่อไม่ต้องการใช้งานได้สะดวก

Alienware AW610M Wired/Wireless Gaming Mouse

alienwareset DSC09931

alienwareset DSC09926
alienwareset DSC09927
alienwareset DSC09929
alienwareset DSC09928

ด้านเกมมิ่งเมาส์ Alienware AW610M Wired/Wireless Gaming Mouse ตัวนี้ก็จะยึดดีไซน์กล่องเหมือนกันกับหูฟัง Alienware ในเซ็ตเดียวกัน โดยมีภาพของตัวเมาส์และสกรีนสเปคและจุดเด่นเอาไว้ที่รอบตัวกล่องทั้งสเปคและจุดเด่นหลัก ซึ่งสเปคจะเป็นดังนี้

  • ดีไซน์เมาส์เป็นแบบจับถนัดมือขวา มีปุ่มกด 7 ปุ่ม ตั้งค่าได้ด้วยโปรแกรม Alienware Command Center เลือกได้ระหว่างสีขาวหรือดำ รองรับการกด 50 ล้านครั้ง
  • มีไฟ RGB AlienFX lighting
  • ตัวเมาส์อัตราเร่ง 40G ความเร็ว 400 IPS, Polling Rate 1,000 Hz ทั้งแบบมีสายและไร้สาย
  • ในกล่องแถมสายเชื่อมต่อเมาส์มาให้ยาว 2 เมตร มีตัวรับสัญญาณแถมมาด้วย
  • ค่า DPI สูงสุด 16,000 DPI ตั้งค่าได้
  • บันทึกโปรไฟล์ออนบอร์ดในเมาส์ได้ 5 โปรไฟล์
  • รองรับระบบปฏิบัติการ Windows 10 หรือใหม่กว่า
  • แบตเตอรี่ฝังในตัว ใช้งานต่อเนื่องได้นานสุด 350 ชั่วโมง

alienwareset DSC09938

alienwareset DSC09942
alienwareset DSC09943
alienwareset DSC09941
alienwareset DSC09940

ดีไซน์ของเมาส์เกมมิ่งตัวนี้ จะเป็นแบบจับถนัดขวาและเป็น Ergonomic Design ที่ Alienware วิจัยและออกแบบมาโดยเฉพาะ ซึ่งสังเกตว่าตัวเมาส์จะหลังค่อนข้างโค้งทำให้คนที่จับแบบ Palm, Claw Grip จับได้ดี แต่น้ำหนักค่อนข้างมากทำให้คนจับแบบ Fingertip Grip จับแล้วเมื่อยนิ้วเร็วสักหน่อย แต่จากที่จับใช้ทำงานและเล่นเกมต้องถือว่าดีไซน์ Ergonomic ของ Alienware ทำให้จับเมาส์ใช้งานต่อเนื่องหลายชั่วโมงได้สบายๆ แน่นอน

ด้านปุ่มและพอร์ตเชื่อมต่อนอกจากปุ่มปกติแล้ว ด้านหน้าเมาส์จะเป็นพอร์ต Micro USB ที่เมาส์เกมมิ่งหลายๆ รุ่นนิยมใช้งานกันในปัจจุบัน ส่วนด้านหลังที่ใกล้สันมือนอกจากโลโก้ Alienware ที่เป็นไฟ RGB “AlienFX lighting” ทางบริษัทก็ดีไซน์ให้ตัวท้ายเมาส์โค้งรับมือแล้วยังมีปีกข้างสองฝั่งยื่นออกมารับส่วนของแม่โป้งและนิ้วก้อยให้มือไม่ติดกับพื้นโต๊ะหรือแผ่นรองเมาส์ ข้อดีคือเวลาจับแล้วลากเมาส์แล้วทั้งมือจะลอยอยู่เหนือพื้นโต๊ะเล็กน้อย ช่วยให้ตอนเล่นเกม FPS ลากเมาส์ยาวๆ แล้วเมาส์ไม่เบียดเข้ามือแล้วลากเป้าไม่ทัน ซึ่งดีไซน์ถึงจะแปลกตาไปบ้างแต่ถือว่าใช้งานได้จริงและผู้เขียนชอบเป็นอย่างมาก

alienwareset DSC09944

alienwareset DSC09945
alienwareset DSC09947

ด้านใต้ตัวเมาส์เมื่อตั้งเมาส์ขึ้นจะเห็นว่าตัวเมาส์ดีไซน์พื้นใต้เมาส์เป็นทรงหัวลูกธนูและติดแผ่นใต้เมาส์ (Glide) เอาไว้ 2 เป็นทรงตัว V สองชิ้นเท่านั้นแต่ก็เพียงพอทำให้ลากเมาส์ได้ลื่น มีสวิตช์ทั้งหมด 2 จุด ถ้าไล่จากด้านบนจะเป็นสวิตช์สลับโหมดใช้งาน, เซนเซอร์เมาส์, สวิตช์เปิดปิดเมาส์และ USB Wireless Dongle สกรีนคำว่า G610M ที่เป็นเลขรุ่นเมาส์ เวลาต้องการเก็บก็สอดแล้วกดเข้าไปจะล็อคแบบสปริงและกดเข้าไปอีกครั้งตัว Dongle ก็จะยื่นออกมา เป็นการดีไซน์เก็บตัว USB Wireless ได้ดีมาก

alienwareset DSC09952

alienwareset DSC09932
alienwareset DSC09935
alienwareset DSC09936
alienwareset DSC09937
alienwareset DSC09934

ส่วนการเชื่อมต่อจะมีสายและตัวขยายสัญญาณแถมมาให้ในกล่องเหมือนเมาส์เกมมิ่งไร้สายแบรนด์คู่แข่งหลายๆ แบรนด์ ซึ่งเราสามารถเอา USB-A ต่อคอมพิวเตอร์แล้วเอา Micro USB ต่อเมาส์เล่นแบบมีสายและชาร์จแบตเตอรี่ไปพร้อมๆ กันก็ได้ หรือต่อไร้สายแบบในภาพตัวอย่างคือเอาตัวขยายสัญญาณฝั่ง USB-A ต่อ Dongle ส่วนอีกฝั่งก็ต่อ Micro USB แล้ววางไว้หน้าเมาส์เพื่อขยายสัญญาณได้เลย ทำให้เวลาเล่นเกมแล้วเมาส์รับส่งสัญญาณได้ไหลลื่นไม่มีดีเลย์ให้ลากเมาส์ช้าลงหรือหน่วงอย่างแน่นอน ซึ่งส่วนตัวผู้เขียนก็ใช้เมาส์เกมมิ่งไร้สายประเภทนี้มาร่วมปีแล้วและชื่นชอบเมาส์ประเภทนี้เป็นอย่างมาก ซึ่งถ้าใครสนใจจะซื้อ Alienware Gaming Gear เซ็ตนี้ไปใช้งานก็สามารถนำไปทำงานและเล่นเกมได้อย่างมีความสุขแน่นอน

Alienware AW410K Mechanical Gaming Keyboard

alienwareset DSC09953
alienwareset DSC09954
alienwareset DSC09956
alienwareset DSC09955

Alienware AW410K Mechanical Gaming Keyboard เป็น Alienware Gaming Gear อีกชิ้นในเซ็ตเกมมิ่งเกียร์เซ็ตนี้ เป็น Mechanical Keyboard แบบ Full-size มีปุ่มมาครบถ้วนพร้อมใช้ทำงานและเล่นเกมได้ทั้งหมดและมีไฟ RGB ตั้งค่าสีสันทั้งหมดใน Alienware Command Center ได้ด้วย โดยหน้ากล่องด้านหน้าและหลังจะสกรีนภาพคีย์บอร์ดตัวนี้เอาไว้ และเขียนสเปคกับจุดเด่นเอาไว้ด้านหลังและข้างกล่อง ส่วนสเปคโดยละเอียดเป็นดังนี้

  • Mechanical Keyboard แบบ Full-size มีไฟ RGB 16.8 ล้านสี มีขาตั้งยกระดับความสูงคีย์บอร์ดได้ 2 ระดับ
  • สวิตช์ Cherry MX Brown แบบ Tactile กดได้สูงสุด 100 ล้านครั้ง
  • รองรับ Anti-ghosting, N-Key rollover ทำให้กดปุ่มบนคีย์บอร์ดได้หลายปุ่มพร้อมกัน
  • ติดตั้ง Hot Keys มาให้ มีปุ่มหลักๆ คือ Mute, Play/Pause, Stop, Backward, Skip Forward/Backward 
  • เชื่อมต่อด้วย USB-A x 2 เส้น แบ่งเป็นสายสำหรับคีย์บอร์ดและสายเพื่อใช้ USB-A 2.0 Passthrough อีกเส้นหนึ่ง
  • มีช่อง USB-A Passthrough ติดตั้งไว้ด้านหลังคีย์บอร์ด ใช้โอนไฟล์หรือต่อเมาส์ได้

alienwareset DSC09958

alienwareset DSC09961
alienwareset DSC09962
alienwareset DSC09964
alienwareset DSC09987
alienwareset DSC09988

สำหรับหน้าตาของ Alienware AW410K Mechanical Gaming Keyboard ตัวนี้ จัดว่าเป็นเกมมิ่งคีย์บอร์ดที่ยังคงดีไซน์ของ Alienware Gaming Gear เอาไว้ได้อย่างชัดเจน โดยขอบด้านหน้าคีย์บอร์ดจะมีดีไซน์วงโค้งและสลักคำว่า Alienware ติดเอาไว้ ส่วนขอบข้างซ้ายขวาของตัวคีย์บอร์ดจะออกแบบให้มีสันโค้งไม่เรียบตรงลงมาเหมือนกับคีย์บอร์ดแบรนด์อื่นๆ ทำให้ดีไซน์ดูมีเอกลักษณ์ยิ่งขึ้น

alienwareset DSC09960

ส่วนขอบด้านหลังคีย์บอร์ดจะมีช่อง USB-A Passthrough ใช้โอนไฟล์เข้าออกคอมพิวเตอร์หรือจะเอาไว้ต่อหูฟัง, เมาส์ของ Alienware Gaming Gear ชิ้นอื่นก็ได้ ช่วยให้เราไม่ต้องเอื้อมไปด้านหลังคอมพิวเตอร์ให้ลำบากหรือเสียเวลา นอกจากนี้ยังมีไฟ RGB ปรับเปลี่ยนสีได้ตามชอบ รวมทั้งไฟยังลอดตัวอักษรขึ้นมาด้วย

alienwareset DSC09979

alienwareset DSC09967
alienwareset DSC09968
alienwareset DSC09969
alienwareset DSC09972

ด้านดีไซน์ทรงปุ่มของคีย์บอร์ดจะเป็นแบบ Float Switch Mechanical Keyboard กล่าวคือคีย์บอร์ดทรงนี้จะเห็นตัวโครงครึ่งบนของสวิตช์ (Top Housing) อยู่เหนือตัวโครงคีย์บอร์ดเลยไม่มีกรอบบนของคีย์บอร์ดมาครอบทับเอาไว้เหมือนกับหลายๆ รุ่น วิธีดูง่ายๆ คือถ้ามองด้านข้างคีย์บอร์ดจะเห็นตัวสวิตช์ชัดเจน โดยข้อดีคือโครง Float Switch แบบนี้จะถอดคีย์แคปทำความสะอาดได้ง่ายและฝุ่นไม่ลงไปจนถึงเลเยอร์ด้านในคีย์บอร์ดให้เก็บสะสมฝุ่น ทำความสะอาดได้ง่ายและดูเท่ออกดิบนิดๆ ด้วย แต่ก็ควรหมั่นรักษาความสะอาดเป็นระยะๆ เนื่องจากผู้เขียนเองก็เคยใช้คีย์บอร์ดโครงแบบนี้มาก่อน ถ้าไม่ทำความสะอาดให้ดีอาจจะมีคราบติดที่ตัวคีย์บอร์ดได้

ส่วนปุ่ม Hot Keys ที่ทางผู้ผลิต Mapping มาให้จะต้องกด Fn ค้างก่อนกดใช้งาน โดยปุ่มหลักๆ ที่ Alienware Mapping มาโดยหลักๆ มี Esc เป็น Fn Lock, F1 เป็น Windows Lock, F5-F6 เพิ่มลดแสงไฟ RGB และ F9-F12 เป็น Multimedia Hot Keys เอาไว้คุมการเล่นเพลงหรือคลิปที่เรากำลังดูอยู่ ส่วนปุ่มเพิ่มลดและปิดเสียงจะแยกเป็น 3 ปุ่มเฉพาะที่มุมบนขวามือของคีย์บอร์ดเลย ซึ่งการแยกปุ่มแบบนี้ส่วนตัวผู้เขียนคิดว่าเป็นการ Mapping ที่น่าสนใจเช่นกัน เพราะนอกจากมีการตั้งค่ามาโครและอื่นๆ ในโปรแกรม Alienware Command Center แล้ว ยังเอาไว้คุมเสียงลำโพงได้สะดวกอีกด้วย

alienwareset DSC09974

alienwareset DSC09975
alienwareset DSC09976

alienwareset DSC09984
alienwareset DSC09985
alienwareset DSC09986

ส่วนด้านใต้คีย์บอร์ดจะเป็นดีไซน์เรียบๆ ไม่มีลวดลายอะไรเป็นพิเศษ ส่วนด้านหน้าใกล้ผู้ใช้ (ขอบล่างในภาพ) มีตัวกันลื่นติดมาให้ 3 ชิ้น และมีขาตั้งปรับระดับความสูงของคีย์บอร์ดติดมาให้ สามารถกางขาตั้งได้ 2 ระดับ ทำให้ปรับระยะยกตัวคีย์บอร์ดให้สูงขึ้นให้เข้ากับการวางมือเพื่อเล่นเกมหรือพิมพ์งานได้ดีขึ้นอีกด้วย

ด้านตัวคีย์แคปจะเป็น OEM Profile ซึ่งเป็นดีไซน์ทรงยอดนิยมสำหรับคีย์บอร์ดเกมมิ่งแบรนด์ต่างๆ รวมถึง Alienware Gaming Gear ด้วย ข้อดีคือใช้เล่นเกมและพิมพ์งานได้ดีระดับหนึ่งไม่แพ้กับ Cherry Profile เลย ซึ่งถ้าใครยังต้อง Work From Home แล้วอยากซื้อเกมมิ่งเกียร์สักเซ็ตมาใช้ทั้งทำงานและเล่นเกม Alienware Gaming Gear เซ็ตนี้นับว่าทำหน้าที่ได้ดีทั้งคู่

Alienware Command Center

1

สำหรับซอฟท์แวร์ Alienware Command Center นั้นเป็นซอฟท์แวร์เฉพาะที่ทาง Dell ปรับแต่งมาเพื่อใช้กับ Alienware Gaming Gear โดยเฉพาะ ซึ่งถ้าใครใช้พีซีหรือเกมมิ่งโน๊ตบุ๊ค Alienware ก็สามารถใช้ปรับแต่งเกมมิ่งเกียร์ทั้ง 3 ชิ้นนี้ได้สบายๆ รวมทั้งมอนิเตอร์รายละเอียดส่วนต่างๆ ของตัวเครื่องได้ด้วย

เมื่อเปิดมาหน้าแรกของโปรแกรม ที่หน้า HOME จะรวมรายละเอียดต่างๆ เอาไว้ทั้ง Theme ของตัวเครื่องที่เซ็ตเป็นค่ามาตรฐานหรือแบบที่ผู้ใช้เซ็ตเอาไว้เอง และแถบด้านข้างจะเป็น Games ที่ติดตั้งเอาไว้ในเครื่อง ซึ่งเราอาจจะกดเปิดเกมที่เล่นเป็นประจำจากตรงนี้เลยก็ได้

2

ด้านแท็บ LIBRARY นั้นจะรวมโปรแกรมกับเกมที่รองรับการทำงานกับ Alienware Command Center เอาไว้ทั้งหมดให้ผู้ใช้เลือกเปิดใช้งานได้สะดวก ซึ่งตัวโปรแกรมจะสั่งสแกนโดยอัตโนมัติหรือจะกดที่มุมขวาบนที่คำว่า Manual เพื่อให้โปรแกรมสแกนซอฟท์แวร์และเกมทั้งหมดอีกครั้งเพื่อเติมเข้า LIBRARY นี้ก็ได้

3

4
5
6
7
8
9

ด้านแท็บ FX ก็นับเป็นไฮไลต์ของ Alienware Command Center นี้ก็ได้เช่นกัน เพราะผู้ใช้สามารถปรับธีมสีสันของเกมมิ่งโน๊ตบุ๊ค Alienware และเกมมิ่งเกียร์จากหน้านี้ได้เลย ซึ่งขอยกตัวอย่างเป็นการปรับแต่งสีสันของ Alienware เครื่องนี้ คือซอฟท์แวร์จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือตัวเครื่องและคีย์บอร์ดนั่นเอง โดยเราสามารถเลือกปรับสีสันของโลโก้ด้านหลังเครื่องรวมทั้งปุ่ม Power ที่เป็นโลโก้ Alienware ได้ รวมทั้งกรอบวงรีด้านหลังเครื่องที่ทาง Alienware เรียกพาร์ทชิ้นนี้ว่า Tron ได้ตามสะดวก นอกจากนี้ถ้าสลับไปปรับแต่งสีคีย์บอร์ดก็สามารถเลือกสีสันปุ่มบนคีย์บอร์ดเป็นสีต่างๆ ได้ ตัวอย่างเช่นเ็ซ็ตปุ่ม WASD ที่เกมเมอร์กดเป็นประจำก็เปลี่ยนสีให้ดูสะดุดตายิ่งขึ้นก็ได้เช่นกัน

10

11
12

ส่วนสุดท้ายอย่าง FUSION จะเป็นหน้าต่างเช็คการทำงานของตัวเครื่องว่ามีความผิดปกติหรือไม่ โดยแยกเป็นส่วนหลักๆ คือ CPU ที่แสดงความเร็วเป็น GHz และค่า Voltage และอุณหภูมิตอนทำงาน, แสดงชื่อการ์ดจอว่าอุณหภูมิและความเร็ว ณ ปัจจุบันนี้ทำงานตามปกติหรือไม่รวมทั้งความเร็วของ DRAM ในเครื่อง และผู้ใช้สามารถเลือกปรับแต่งและมอนิเตอร์การทำงานโดยละเอียดอีกด้วย

ต้องถือว่า Alienware Command Center นั้นเป็นซอฟท์แวร์ที่ดีและน่าใช้งานเช่นกัน ซึ่งซอฟท์แวร์นี้ทาง Dell ได้ทำเป็น Exclusive Feature สำหรับแฟนคลับ Alienware โดยเฉพาะ แต่ถ้าผู้ใช้คนไหนใช้ Alienware Gaming Notebook อยู่ก็สามารถใช้งานโปรแกรมนี้ร่วมกับ Alienware Gaming Gear ได้อย่างเต็มที่และปรับแต่งได้เต็มอรรถรสอย่างแน่นอน

User Experience

alienwareset DSC09990

 

เนื่องจากเป็นเกมมิ่งเกียร์สำหรับเกมเมอร์ที่ชื่นชอบอารยธรรม Alienware ดังนั้นนอกจากสเปคที่ดี ทำงานได้ดีเล่นเกมได้ลื่นไหลแล้วก็ยังจัดโต๊ะคอมได้สวยงาม ยิ่งถ้าจับคู่กับ Alienware m15 รุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวหรือจะเป็น Alienware Desktop สวยๆ สักเครื่องให้เข้าเซ็ตกันตอนเล่นเกมยิ่งสวยงามขึ้นไปอีก เพราะว่าธีมการออกแบบที่ล้ำและดูอวกาศแต่ก็สวยหรูและเข้าหลักสรีระศาสตร์ด้วย เลยทำให้เล่นเกมและทำงานต่อเนื่องหลายชั่วโมงได้สบายๆ

จากประสบการณ์การใช้งานของผู้เขียน ถ้าแยกตามเกมมิ่งเกียร์แต่ละชิ้นโดยไม่เกี่ยวกับโปรแกรม Alienware Command Center เริ่มจากคีย์บอร์ด Alienware AW410K Mechanical Gaming Keyboard ที่ใช้สวิตช์ Cherry MX Brown นั้นสามารถตอบสนองทั้งตอนพิมพ์งานและเล่นเกมได้ดีทีเดียว กล่าวคือกดแล้วตอบสนองทันใจและรัวหลายปุ่มได้ไม่มีปัญหา นอกจากนี้ถ้าใครชอบสัมผัสตอนพิมพ์งานของสวิตช์แบบ Tactile ที่มีสองจังหวะคล้าย Cherry MX Blue แต่ไม่ชอบเสียงกระเดื่องที่รบกวนผู้ใช้คนอื่นก็เป็นตัวเลือกที่ดี แต่ส่วนตัวผู้เขียนคิดว่า Cherry MX Brown นั้นจะมีลูก Bump ระดับหนึ่งแต่ไม่ชัดเจนและหนักเท่าแบบ Gateron แต่ออกนุ่มกระเดียดไปทาง Linear เล็กน้อยมากกว่า ซึ่งในส่วนนี้ก็ขึ้นอยู่กับความชอบของผู้ใช้แต่ละคน

อย่างไรก็ตาม จุดเดียวที่ผู้เขียนคิดว่าถ้า Alienware นำไปปรับปรุงเพิ่มเติมอีกสักหน่อยจะช่วยให้ Alienware AW410K ตัวนี้น่าใช้ขึ้นมาก คือเลือก Keycaps ให้หนาขึ้นอีกสักนิดก็ยังดีเพราะจากที่ผู้เขียนใช้และลองถอดแคปออกมาดูแล้วต้องถือว่าตัวแคปค่อนข้างบางจนบางทีผู้เขียนรู้สึกว่าถ้าทำให้แคปหนาขึ้นอีกสักนิดจะทำให้ตอนพิมพ์งานได้เสียงที่แน่นได้อารมณ์ยิ่งขึ้น ส่วนนอกจากนั้นผู้เขียนถือว่าทางบริษัททำคีย์บอร์ดใน Alienware Gaming Gear เซ็ตนี้ได้ดีแล้ว

alienwareset DSC00002

ด้านตัว Alienware AW610M Wired/Wireless Gaming Mouse รุ่นนี้ผู้เขียนชื่นชอบเป็นส่วนตัว เนื่องจากตัวเมาส์นอกจากตั้งค่าได้ละเอียดดีแล้ว ยังได้เรื่องดีไซน์ที่เหมาะกับผู้ใช้ที่เน้น Palm, Claw Grip ได้ดี และดีไซน์หลังเมาส์จะโก่งขึ้นเล็กน้อยให้จับได้เต็มมือเหมาะกับคนมือใหญ่มากและท้ายเมาส์ที่ดีไซน์เป็นปีกสองฝั่งรองนิ้วโป้งกับนิ้วก้อยที่แตะพื้นโต๊ะอยู่เสมอช่วยให้เกมเมอร์สาย FPS ที่ลากเมาส์ไปมาเร็วๆ นิ้วไม่ติดพื้นโต๊ะและลากเป้าได้สะดวกขึ้น 

ส่วนการใช้งานสามารถเล่นได้ทั้งแบบมีหรือไร้สายก็ได้ แต่โดยส่วนตัวผู้เขียนชอบเล่นแบบไร้สายเป็นหลักเพราะไม่ชอบอาการสายเมาส์รั้งตัวเมาส์ในหลายๆ จังหวะ ซึ่งตัว USB Wireless Dongle กับตัวขยายสัญญาณเมื่อต่อสายแล้วเอามาวางใกล้ๆ เมาส์แล้วสามารถตอบสนองได้เร็วทันใจเหมือนใช้เมาส์สายไม่มีผิด เรียกว่าไม่แพ้กับ Wireless Gaming Mouse ของแบรนด์คู่แข่งอย่างแน่นอน

ด้านค่า DPI สูงสุด 16,000 DPI ต้องถือว่าสูงในระดับที่เกมมิ่งเมาส์ไร้สายหลายๆ ตัวทำได้ แม้จะไม่ถึงระดับ 25,600 DPI อย่างที่เกมมิ่งเมาส์บางแบรนด์ทำได้แต่ก็ถือว่าสูงเพียงพอสำหรับเกมเมอร์แล้ว เพราะเชื่อว่าหลายๆ คนเน้นปรับ DPI, Polling Rate ให้อยู่ในระดับที่ใช้เป็นประจำแล้วเน้นเซนเซอร์ที่ตอบสนองได้คมมากกว่า ซึ่งเมาส์ Alienware AW610M ตัวนี้ถือว่าทำได้ดีทีเดียว ส่วนถ้าใครอยากเอาติดตัวไปทำงานก็เอาตัว USB Dongle เก็บกับเมาส์ใส่กระเป๋าไปได้เลย และข้อดีคือตัวเมาส์นั้นจัดการพลังงานได้ดีทำให้ใช้ทำงานได้ทั้งวันไม่ต้องชาร์จก็ได้

alienwareset DSC09997 1

สุดท้ายเกมมิ่งเฮดโฟน Alienware 510H 7.1 Gaming Headset นี้ ผู้เขียนถือว่าเป็นเฮดโฟนที่เอามาฟังเพลงได้ดีระดับหนึ่งทีเดียว เพราะว่าโทนเสียงของเฮดโฟนตัวนี้จะออกไปทางสเตจเสียงกว้างระดับหนึ่งและออกใสหน่อยแต่เบสมาหนักใช้ได้เลยทีเดียว ทำให้ฟังเพลงร็อคหรือ EDM ได้สนุกระดับหนึ่ง ส่วนเสียงไมโครโฟนนั้นสามารถใช้พูดคุยกับเพื่อนๆ ใน Discord และตอนเล่นเกมได้ชัดเจนทีเดียวไม่ว่าจะใช้แบบสายแจ็ค 3.5 มม. หรือเป็น USB DAC ก็ทำได้ดี

ส่วนจุดน่าสนใจ นอกจากการเล่นเกมที่หูฟังนี้สามารถจำลองเสียง 7.1 แชนแนลได้ชัดเจน แยกทิศทางตอนศัตรูเข้าออกได้ง่ายแล้ว ตอนฟังเพลงตัวหูฟังก็จะพยายามจำลองเสียงให้ได้ทิศทางแบบ 7.1 แชนแนลด้วย ทำให้อรรถรสตอนฟังเพลงได้ความแตกต่างไประดับหนึ่งแต่อย่างไรก็ถือเป็นเฮดโฟนที่ใช้งานได้ดีทั้งฟังเพลงและเล่นเกมแน่นอนและเหมาะกับผู้ใช้เน้นความง่ายใช้ USB DAC เส้นเดียวต่อคอมพิวเตอร์ก็ใช้งานได้ทันทีเป็นอย่างมาก

สรุป

 

alienwareset DSC09996

Alienware Gaming Gear เซ็ตนี้ ต้องถือว่าเป็นเกมมิ่งเกียร์เซ็ตที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากหน้าตาสวยงามเข้าธีมกับเกมมิ่งพีซีหรือโน๊ตบุ๊คของ Alienware ที่ดีไซน์ออกล้ำยุคอีกด้วย ด้านสเปคหน้ากระดาษและประสิทธิภาพตอนใช้งานจริงก็ถือว่าน่าประทับใจไม่น้อย นับว่าไม่แพ้แบรนด์ผู้ผลิตเกมมิ่งเกียร์แบรนด์หลักๆ อย่างแน่นอน

ยิ่งถ้าใครชอบแบรนด์ Alienware เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ในตอนนี้ทางแบรนด์ก็จัดเซ็ตเกมมิ่งเกียร์ให้ผู้ใช้ได้เลือกซื้อแบบยกเซ็ตแล้วได้เป็นกล่องเอาไปเล่นเกมได้เลยและยังได้ของสมนาคุณทั้งที่วางหูฟังและ Alienware badge สุดเท่ให้วางประดับห้องได้อีกด้วย นับเป็นโอกาสที่ดีที่จะซื้อ Alienware Gaming Gear เซ็ตนี้มาเล่นเกมเป็นอย่างมาก


บทความที่เกี่ยวข้อง

Alienware M15

from:https://notebookspec.com/web/630801-review-alienware-gaming-gear-set

5 เมาส์เกมมิ่งมาโครไร้สายตัวเด็ด ทำงานได้ออกสกิลไวทันใจ เริ่มแค่ 2,690 บาท

เมาส์เกมมิ่งมาโครไร้สาย มีปุ่มเอาไว้เซ็ตสกิลเอาไว้ได้ไม่พอ ยังเอาไว้ทำงานได้ด้วย!

gaming wireless mouse cover

เมาส์มาโครจัดเป็นตัวเลือกแรกๆ สำหรับเกมเมอร์สาย RTS, MOBA แต่ถ้าเอาเมาส์เกมมิ่งมาโครไร้สายด้วย ปัจจุบันนี้ก็มีให้เลือกหลายรุ่นและมีปุ่มมาโครติดมาข้างเมาส์ให้ตั้งค่าเรียกคำสั่งลัดหรือกดสกิลได้ง่ายขึ้น ซึ่งปกติแล้วเราจะเห็นเมาส์มาโครแบบมีสายเป็นส่วนใหญ่ แต่เพราะเทคโนโลยีการรับส่งสัญญาณดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้ก็จะมีเกมมิ่งเมาส์ไร้สายให้หาซื้อได้ง่ายหลายรุ่นขึ้น

Advertisementavw

อย่างไรก็ตาม เมาส์ไร้สายหลายๆ รุ่นก็ตั้งมาโครได้ แต่จะเป็นมาโครแบบสวมกับปุ่มฟังก์ชั่นหลัก เช่น ปุ่ม Forward, Backward หรือปุ่มคลิกเมาส์ เป็นต้น แต่รุ่นที่ผู้เขียนเลือกมาแนะนำจะเป็นแบบมีปุ่มมาโครให้กดตั้งค่าโดยเฉพาะไม่ได้เข้ามาสวมปุ่มหลัก (หรือถ้าต้องการก็สวมปุ่มหลักได้เช่นกัน) นอกจากนี้ข้อดีของเมาส์มาโครก็คือมันสามารถตั้งมาโครคำสั่งลัดต่างๆ สำหรับการทำงานเป็นปุ่มลัดได้ด้วย

เมาส์เกมมิ่งผมก็มาโครได้นะ แต่มาโคร 7 ปุ่ม ถ้า MOBA ปุ่มจะน้อยหน่อยฮะ

อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนได้เขียนบทความเกี่ยวกับเกมมิ่งเมาส์เอาไว้ระดับหนึ่ง ทั้งการแบ่งแยกดีไซน์ว่าเมาส์นี้ออกแบบมาเพื่อเกมประเภทไหนใน “10 เมาส์เกมมิ่งรุ่นเด็ดสาย FPS, MOBA กดไลค์ เริ่ม 1,490 บาท” วิธีการอ่านสเปคเกมมิ่งเมาส์ใน “5 เมาส์เกมมิ่งไร้สาย สเปคดีในงบ 3,000 บาท ฉบับปี 2021” และดีไซน์กับสไตล์การจับเมาส์ใน “10 เมาส์ไร้สายหลักร้อย คุณภาพดีน่าใช้ให้ชีวิตสะดวกขึ้น!” ด้วย ซึ่งถ้าใครต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถอ่านเพิ่มเติมในบทความดังกล่าวได้เลย

5 เมาส์เกมมิ่งมาโครไร้สายตัวเด็ด เกมเมอร์ควรมีติดโต๊ะ

ถ้าเกมเมอร์คนไหนอยากได้เกมมิ่งเมาส์ไร้สายมีปุ่มมาโครแยกเอาไว้เล่น MOBA มีปุ่มมาโครไว้เซ็ตสกิลให้กดได้สะดกวๆ หรือจะซื้อเอาไว้ทำงานและเซ็ตคำสั่งลัดต่างๆ เอาไว้ให้กดได้ง่ายๆ ส่วนตัวผู้เขียนจะมีเกมมิ่งเมาส์ให้เลือกทั้งหมด 5 รุ่นด้วยกัน ได้แก่

  1. Corsair Iron Claw RGB Wireless (2,690 บาท)
  2. Logitech G604 LIGHTSPEED Wireless Gaming Mouse (2,990 บาท)
  3. Razer Naga Pro Wireless (4,990 บาท)
  4. ASUS ROG Spatha X (5,161 บาท)
  5. Logitech G502 LIGHTSPEED Wireless Gaming Mouse (5,999 บาท)
1. Corsair Iron Claw RGB Wireless (2,690 บาท)

corsair

เกมมิ่งเมาส์ไร้สายมีปุ่มมาโครโดยเฉพาะรุ่นแรกที่ราคาไม่แพงเกินไปรุ่นแรกที่เลือกมาแนะนำ เป็น Corsair Ironclaw RGB Wireless ที่ดีไซน์ตัวเมาส์ออกแบบมาเพื่อเกมเมอร์ถนัดขวาโดยเฉพาะ เชื่อมต่อด้วยสาย USB เพื่อเล่นเกมและชาร์จแบตเตอรี่ไปในตัว หรือ USB Wireless “SLIPSTREAM” ของทาง Corsair ไม่ก็สลับไปโหมด Bluetooth ก็ได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังมีไฟ RGB ที่ตัวเมาส์อีกด้วย

ดีไซน์ตัวเมาส์จะเอื้อกับการจับเมาส์แบบ Palm Grip และคนมือใหญ่ให้จับได้ถนัดยิ่งขึ้น ตัวเมาส์ใช้เซนเซอร์ PMW3391 ปรับค่า DPI ได้สูงสุด 18,000 DPI, Report Rate สูงสุด 1,000 Hz ติดตั้งปุ่มมาโครไว้ที่ตัวเมาส์ 10 ปุ่ม ตั้งค่าด้วยโปรแกรม Corsair iCUE ได้ เซฟโปรไฟล์ออนบอร์ดได้ 3 โปรไฟล์ ใช้แบตเตอรี่แบบลิเธียมโพลีเมอร์ ใช้งานด้วย USB Wireless “SLIPSTREAM” ต่อเนื่องได้นานสุด 16-24 ชั่วโมง ถ้าใช้ Bluetooth จะใช้งานได้ 30-50 ชั่วโมง ขึ้นอยู่ว่าเปิดหรือปิดไฟ RGB อยู่ รองรับระบบปฏิบัติการ Windows เป็นหลัก ซึ่งถ้าใครหาเกมมิ่งเมาส์มีมาโครราคาไม่แพงมากไว้ใช้สักตัว ก็แนะนำให้ดูรุ่นนี้เอาไว้เป็นตัวเลือกแรกเลย

สเปคของ Corsair Ironclaw RGB Wireless
  • ดีไซน์สำหรับจับมือขวา เน้นการจับแบบ Palm Grip และคนมือใหญ่
  • ใช้เซนเซอร์ PMW3391 ปรับค่า DPI ได้สูงสุด 18,000 DPI, Report Rate สูงสุด 1,000 Hz
  • ติดตั้งปุ่มมาโครไว้ 10 ปุ่ม
  • ตั้งค่าด้วยโปรแกรม Corsair iCUE ได้ เซฟโปรไฟล์ออนบอร์ดได้ 3 โปรไฟล์
  • รองรับการเชื่อมต่อ 3 แบบ คือ ต่อสายตามปกติเพื่อชาร์จแบตเตอรี่, USB Wirleless “SLIPSTREAM”, Bluetooth
    • USB Wireless “SLIPSTREAM” ใช้งานต่อเนื่องได้นานสุด 16-24 ชั่วโมง
    • Bluetooth ใช้งานต่อเนื่องได้นานสุด 30-50 ชั่วโมง
  • รองรับระบบปฏิบัติการ Windows เป็นหลัก
  • ราคา 2,690 บาท (Computeandmore)
ข้อดี ข้อสังเกต
1. มีปุ่มมาโคร 10 ปุ่ม ตั้งค่าได้ด้วย Corsair iCUE 1. แบตเตอรี่ใช้งานได้นานสุด 50 ชั่วโมงด้วยโหมด Bluetooth
2. รองรับระบบปฏิบัติการ Windows เป็นหลัก  
2. Logitech G604 LIGHTSPEED Wireless Gaming Mouse (2,990 บาท)

G604 1

พูดถึงเมาส์ไม่ว่าจะเกมมิ่งหรือสายทำงานก็ต้องมี Logitech มาให้เลือกเช่นกัน โดยเกมมิ่งเมาส์ไร้สายและมีปุ่มมาโคร ราคาไม่แพงมากแนะนำเป็น Logitech G604 LIGHTSPEED Wireless Gaming Mouse ที่ใช้เล่นเกมหรือทำงานแบบไร้สายต่อเนื่องได้นานถึง 240 ชั่วโมงแล้ว ยังมีปุ่มมาโครติดมาให้เยอะและใช้เซนเซอร์ HERO 25K ของทาง Logitech อีกด้วย

สเปคของ Logitech G604 ตัวนี้เป็นดีไซน์เมาส์ออกแบบมาเพื่อเกมเมอร์ถนัดขวาเป็นหลัก ใช้เซนเซอร์ HERO 25K ของทาง Logitech เอง ปรับค่า DPI ได้ละเอียดมากตั้งแต่ 100-25,600 DPI มีความเร็ว 40G, อัตราเร่ง 400 IPS และ Report Rate 1,000 Hz จัดว่าตอบสนองได้เร็วและละเอียดมาก มีปุ่มมาโครให้ใช้งานทั้งหมด 15 ปุ่ม ตั้งค่าตัวเมาส์และเซฟโปรไฟล์ไว้ออนบอร์ดได้ด้วยโปรแกรม Logitech G HUB แบตเตอรี่เป็นแบบถอดเปลี่ยนได้ ใช้ถ่าน AA แค่ 1 ก้อน สามารถใช้งานต่อเนื่องได้นานมาก ถ้าเป็น USB Wireless “LIGHTSPEED” จะใช้เล่นเกมต่อเนื่องได้นานสุด 240 ชั่วโมง รองรับระบบปฏิบัติการ Windows 7, macOS 10.12, Android 3.2 เป็นต้นไปและ Chrome OS ถ้าสลับเป็น Bluetooth ใช้ทำงานตามปกติจะใช้ได้นาน 5.5 เดือน รองรับระบบปฏิบัติการ Windows 8, macOS 10.12, Android 5.0 เป็นต้นไปและ Chrome OS ได้ เรียกว่าเป็นเกมมิ่งเมาส์ไร้สายมีปุ่มมาโครจัดเต็มน่าใช้อีกรุ่นหนึ่ง

สเปคของ Logitech G604 LIGHTSPEED Wireless Gaming Mouse
  • ดีไซน์สำหรับจับมือขวาเป็นหลัก
  • ใช้เซนเซอร์ HERO 25K ของทาง Logitech เอง ปรับค่า DPI ได้ 100-25,600 DPI
  • ความอัตราเร่ง 40G, ความเร็ว 400 IPS และ Report Rate สูงสุด 1,000 Hz
  • ติดตั้งปุ่มมาโครไว้ 15 ปุ่ม
  • ตั้งค่าด้วยโปรแกรม Logitech G HUB ได้ เซฟโปรไฟล์ออนบอร์ดได้
  • รองรับการเชื่อมต่อ 2 แบบ คือ USB Wirleless “LIGHTSPEED”, Bluetooth
    • USB Wireless “LIGHTSPEED” ใช้งานต่อเนื่องได้นานสุด 240 ชั่วโมง
    • Bluetooth ใช้งานต่อเนื่องได้นานสุด 5.5 เดือน
  • รองรับระบบปฏิบัติการแยกตามโหมดการเชื่อมต่อ
    • USB Wireless – Windows 7, macOS 10.12, Android 3.2 เป็นต้นไป, Chrome OS
    • Bluetooth – Windows 8, macOS 10.12, Android 5.0 เป็นต้นไป, Chrome OS
  • ราคา 2,990 บาท (Mercular)
ข้อดี ข้อสังเกต
1. มีปุ่มมาโคร 15 ปุ่ม ตั้งค่าได้ด้วย Logitech G HUB 1. ไม่มีโหมดใช้งานแบบต่อสายชาร์จ ต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่เท่านั้น
2. แบตเตอรี่ใช้ถ่าน AA x 1 ก้อน ใช้งานได้นานมาก 2. ระบบปฏิบัติการที่รองรับต่างกันตามโหมดการเชื่อมต่อ
3. Razer Naga Pro Wireless (4,990 บาท)

https hybrismediaprod.blob .core .windows.net sys master phoenix images container hab h34 9081993199646 razer naga pro 1500x1000 gallery 9

ขยับงบประมาณเมาส์เกมมิ่งไร้สายมีมาโครขึ้นมาอีกนิด จะมี Razer Naga Pro Wireless เป็นเกมมิ่งเมาส์ปุ่มมาโครให้ใช้งานเยอะถึง 20 ปุ่ม เปลี่ยนแผ่นข้างเมาส์เพิ่มหรือลดจำนวนปุ่มมาโครได้ตามเกมที่เล่นเกมได้ 3 แบบ ตั้งแต่ 10/14/20 ปุ่ม เปลี่ยนสไตล์ปุ่มมาโครตามเกมที่เล่นได้ง่ายๆ และเมื่อเล่นเสร็จก็สามารถวางบนแท่นเพื่อชาร์จแบตเตอรี่คืนให้เมาส์ได้เลย

ดีไซน์เมาส์ตัวนี้เป็นเมาส์สำหรับจับมือขวาเป็นหลัก มีไฟ Razer Chroma RGB ใช้เซนเซอร์ Razer Focus+ แบบออปติคัล ทำให้ปรับค่า DPI ได้สูงสุด 20,000 DPI อัตราเร่งสูงสุด 50G, ความเร็วสูงสุด 650 IPS, Report Rate 1,000 Hz ซึ่งถือว่าเป็นเมาส์ที่มีความเร็วและอัตราเร่งสูงมาก ส่วนปุ่มมาโครสามารถเปลี่ยนแผ่นข้างตัวเมาส์ได้ 3 แบบ ทำให้เซ็ตปุ่มมาโครได้ตั้งแต่ 10/14/20 ปุ่ม ปรับได้ตามสไตล์เกมที่เล่น เซฟโปรไฟล์ออนบอร์ดไว้ในเมาส์ได้ 5 โปรไฟล์ ตั้งค่าทั้งหมดได้ด้วย Razer Synapse 3 ส่วนแบตเตอรี่เป็นแบบฝังในตัวเมาส์ ใช้งานได้นานสุด 100 ชั่วโมง เมื่อเชื่อมต่อด้วย USB Wireless “Razer HyperSpeed” ถ้าเป็น Bluetooth จะใช้ได้ 150 ชั่วโมง หรือใช้แบบต่อสายชาร์จ Razer Speedflex Cable แล้วเล่นเกมไปด้วยก็ได้ รวมทั้งรองรับการชาร์จด้วย Razer Mouse Dock Chroma ก็ได้ (ซื้อเพิ่มเติม) รองรับระบบปฏิบัติการ Windows เป็นหลัก เรียกว่าเป็นเมาส์เกมมิ่งแบบไร้สายที่เพิ่มลดปุ่มมาโครได้ด้วยตัวเอง สามารถปรับเปลี่ยนดีไซน์ให้เข้ากับเกมได้หลากหลายแนวมาก

สเปคของ Razer Naga Pro Wireless
  • ดีไซน์สำหรับจับมือขวา มีไฟ Razer Chroma RGB
  • ใช้เซนเซอร์ Razer Focus+ แบบออปติคัล ทำให้ปรับค่า DPI ได้สูงสุด 20,000 DPI
  • อัตราเร่งสูงสุด 50G, ความเร็วสูงสุด 650 IPS, Report Rate 1,000 Hz
  • มีแผ่นเปลี่ยนข้างตัวเมาส์เพิ่มลดปุ่มมาโครได้ตั้งแต่ 10/14/20 ปุ่ม
  • ตั้งค่าด้วยโปรแกรม Razer Synapse 3 ได้ เซฟโปรไฟล์ออนบอร์ดได้ 5 โปรไฟล์
  • รองรับการเชื่อมต่อ 3 แบบ คือ ต่อสาย Razer Speedflex Cable เพื่อใช้งานและชาร์จแบตเตอรี่, USB Wirleless “Razer HyperSpeed”, Bluetooth
    • USB Wireless “Razer HyperSpeed” ใช้งานต่อเนื่องได้นานสุด 100 ชั่วโมง
    • Bluetooth ใช้งานต่อเนื่องได้นานสุด 150 ชั่วโมง
  • รองรับระบบปฏิบัติการ Windows เป็นหลัก
  • ราคา 4,990 บาท (Mercular)
ข้อดี ข้อสังเกต
1. มีปุ่มมาโครสูงสุด 20 ปุ่ม ตั้งค่าได้ด้วย Razer Synapse 3 1. ถ้าต้องการชาร์จด้วย Razer Mouse Dock Chroma ต้องซื้อแยก
2. มีอัตราเร่งและความเร็วตอนใช้งานสูงมาก  
3. ใช้งานต่อเนื่องได้นาน 100-150 ชั่วโมง  
4. ASUS ROG Spatha X (5,161 บาท)

h732

ถ้าใครเป็นแฟนคลับ ASUS แล้วอยากได้เมาส์เกมมิ่งไร้สายปุ่มมาโครเยอะจัดเต็มไม่แพ้รุ่นอื่น จะมี ASUS ROG Spatha X รุ่นนี้เป็นตัวแนะนำ แต่เนื่องจากเมาส์รุ่นนี้ได้รับความนิยมมาก ดังนั้นสินค้าในประเทศไทยอาจจะหาซื้อได้ค่อนข้างยาก ถ้าต้องการซื้อมาใช้เล่นเกมให้เข้าเซ็ตกันอาจจะสั่งเข้ามาจากต่าประเทศเลยจะดีกว่า

ดีไซน์ของเมาส์ตัวนี้จะเป็นเมาส์คนถนัดขวา ดีไซน์ล้ำสมัยตามสไตล์ ROG ใช้เซนเซอร์ของ ROG ปรับค่า DPI ได้สูงสุด 19,000 DPI มีความเร็ว 400 IPS, อัตราเร่ง 50G, Report Rate 1,000 Hz ส่วนปุ่มมาโครบนตัวเมาส์มีทั้งหมด 12 ปุ่ม สามารถตั้งค่าแสงสี, เซ็ตไฟ RGB ทั้งหมได้ด้วยโปรแกรม Armoury Crate ระยะเวลาใช้งานเล่นเกมต่อเนื่องได้นานสุด 67 ชั่วโมงด้วย USB Wireless รองรับการชาร์จแบตฯ ได้ด้วยแท่นชาร์จเฉพาะรุ่นจากทาง ASUS รองรับชาร์จไว 15 นาที ใช้เล่นเกมได้ 12 ชั่วโมง หรือชาร์จแล้วเล่นเกมด้วยสาย USB-C “ROG Paracord” ก็ได้ รองรับระบบปฏิบัติการ Windows เป็นหลัก ถ้าใครเป็นแฟนคลับ ASUS ก็แนะนำให้ดูรุ่นนี้เอาไว้ได้เลย

สเปคของ ASUS ROG Spatha X
  • ดีไซน์สำหรับจับมือขวา
  • ใช้เซนเซอร์ ROG ปรับค่า DPI ได้สูงสุด 19,000 DPI
  • อัตราเร่งสูงสุด 50G, ความเร็วสูงสุด 400 IPS, Report Rate 1,000 Hz
  • มีแผ่นเปลี่ยนข้างตัวเมาส์เพิ่มลดปุ่มมาโครได้ตั้งแต่ 12 ปุ่ม
  • ตั้งค่าด้วยโปรแกรม Armoury Crate ได้
  • รองรับการเชื่อมต่อ 2 แบบ คือ ต่อสาย USB-C “ROG Paracord” เพื่อใช้งานและชาร์จแบตเตอรี่, USB Wirleless ของทาง ASUS ก็ได้
    • USB Wireless  ใช้งานต่อเนื่องได้นานสุด 67 ชั่วโมง
    • รองรับการชาร์จไวด้วยแท่นชาร์จเฉพาะรุ่นของ ASUS 15 นาที เล่นเกมได้ 12 ชั่วโมง
  • รองรับระบบปฏิบัติการ Windows เป็นหลัก
  • ราคา 5,161 บาท (Techinn)
ข้อดี ข้อสังเกต
1. ถ้าชาร์จด้วยแท่นเฉพาะรุ่นของ ASUS ชาร์จ 15 นาทีเล่นได้ 12 ชั่วโมง 1. ไม่รองรับโหมด Bluetooth เหมือนเมาส์รุ่นอื่น
2. ดีไซน์สวยล้ำสมัยตามสไตล์ ASUS 2. ใช้งานได้นานสุ 67 ชั่วโมงเท่านั้น
5. Logitech G502 LIGHTSPEED Wireless Gaming Mouse (5,999 บาท)

g502 lightspeed gallery 3

ส่วนเมาส์เกมมิ่งไร้สายมีปุ่มมาโครอีกรุ่นของ Logitech เป็น Logitech G502 LIGHTSPEED Wireless Gaming Mouse ให้เลือกอีกรุ่น ซึ่งจุดเด่นไม่มีใครเหมือนของเมาส์รุ่นนี้ คือตัวเมาส์สามารถใส่ตุ้มถ่วงน้ำหนักให้ตัวเมาส์หนักขึ้นได้สำหรับคนที่ไม่ชอบเมาส์เบาเกินไปและมีฟีเจอร์ชาร์จไร้สายเมื่อใช้กับแผ่นรองเมาส์ POWERPLAY ของ Logitech เรียกว่าใช้เล่นเกมต่อเนื่องได้สบายๆ และมีปุ่ม Sniper button สำหรับสาย FPS ให้กดค้างแล้วลดค่า DPI ด่วนได้ด้วย

ดีไซน์เมาส์ตัวนี้เป็นเมาส์สำหรับเกมเมอร์ถนัดขวามือ มีไฟ RGB “LIGHTSYNC” ติดมาให้และมีตุ้มถ่วงน้ำหนักแถมมาให้ในกล่อง เพิ่มน้ำหนักได้สูงสุดอีก 16 กรัม ใช้เซนเซอร์ HERO 25K ปรับได้ตั้งแต่ 100-25,600 DPI มีความเร็วสูงสุด 400 IPS, อัตราเร่ง 40G และค่า Report Rate 1,000 Hz มีปุ่มมาโครตั้งค่าได้ด้วย Logitech G HUB ทั้งหมด 11 ปุ่ม เซฟโปรไฟล์ออนบอร์ดไว้ในเมาส์ได้ รองรับการเชื่อมต่อด้วย USB Wireless “LIGHTSPEED” หรือต่อสาย USB เข้ากับเมาส์เพื่อเล่นเกมและชาร์จแบตเตอรี่ไปพร้อมๆ กันก็ได้ ใช้งานต่อเนื่องได้นาน 48-60 ชั่วโมง ขึ้นอยู่ว่าเปิดไฟ RGB หรือไม่ รองรับการชาร์จไร้สายเมื่อใช้แผ่นรองเมาส์ POWERPLAY รองรับระบบปฏิบัติการ Windows 7, macOS 10.11 เป็นต้นไป, Chrome OS เรียกว่าเป็นเมาส์เกมมิ่งมีปุ่มมาโครน่าใช้อีกรุ่นและฟีเจอร์ก็ล้ำสมัยดีอีกด้วย

สเปคของ Logitech G502 LIGHTSPEED Wireless Gaming Mouse
  • ดีไซน์สำหรับจับมือขวาเป็นหลัก
  • ใช้เซนเซอร์ HERO 25K ของทาง Logitech เอง ปรับค่า DPI ได้ 100-25,600 DPI
  • ความเร็ว 40G, อัตราเร่ง 400 IPS และ Report Rate สูงสุด 1,000 Hz
  • ติดตั้งปุ่มมาโครไว้ 11 ปุ่ม
  • ตั้งค่าด้วยโปรแกรม Logitech G HUB ได้ เซฟโปรไฟล์ออนบอร์ดได้
  • รองรับการเชื่อมต่อ 2 แบบ คือ USB Wirleless “LIGHTSPEED” เล่นเกมได้ 48-60 ชั่วโมง, สาย USB และรองรับการชาร์จไร้สายด้วยแผ่นรองเมาส์ POWERPLAY
  • รองรับระบบปฏิบัติการ Windows 7, macOS 10.11 เป็นต้นไป, Chrome OS
  • ราคา 5,999 บาท (Logitech Shopee Mall)
ข้อดี ข้อสังเกต
1. รองรับการชาร์จไร้สายด้วยแผ่นรองเมาส์ POWERPLAY 1. ใช้งานได้นานสุด 60 ชั่วโมงเท่านั้น จัดว่าไม่ค่อยนานนักในฐานะที่เป็นเมาส์ Logitech
2. มีตุ้มถ่วงน้ำหนักแถมมาให้ เพิ่มน้ำหนักได้ถ้าเมาส์เบาเกินไป  

สรุปสเปคเมาส์เกมมิ่งมาโครไร้สายทั้ง 5 รุ่น ตัวไหนเด็ดตรงไหนบ้าง?

สำหรับเมาส์เกมมิ่งมาโครไร้สายทั้ง 5 รุ่นที่เลือกมาแนะนำกันนั้น นอกจากเอามาใช้เล่นเกมก็สามารถเซ็ตค่าให้เป็นเมาส์ทำงานสำหรับคนที่ต้องกดปุ่มลัดบ่อยๆ ก็ได้ โดยสรุปสเปคได้ดังนี้

สเปคเมาส์เกมมิ่งมาโครไร้สาย ดีไซน์, โปรแกรมสำหรับตั้งค่าเมาส์, ปุ่มมาโคร เซนเซอร์, อัตราเร่ง, ความเร็ว, Report Rate การเชื่อมต่อและระยะเวลาใช้งาน ระบบปฏิบัติการ ราคา
Corsair Ironclaw RGB Wireless จับมือขวา เน้น Palm Grip

Corsair iCUE

มาโคร 10 ปุ่ม

PMW3391 ปรับค่า DPI ได้สูงสุด 18,000 DPI

Report Rate 1,000 Hz

USB Wireless “SLIPSTREAM” 16-24 ชม.

Bluetooth
30-50 ชม.

Windows 2,690 บาท
Logitech G604 LIGHTSPEED Wireless Gaming Mouse จับมือขวา

Logitech G HUB

มาโคร 15 ปุ่ม

HERO 25K ปรับค่า DPI ได้ 100-25,600 DPI

ความเร็ว 40G

อัตราเร่ง 400 IPS

Report Rate 1,000 Hz

USB Wireless “LIGHTSPEED” 240 ชั่วโมง

Bluetooth
5.5 เดือน

Windows 7-8

macOS 10.12

Android 3.2

Chrome OS

2,990 บาท
Razer Naga Pro Wireless จับมือขวา

Razer Synapse 3

มาโคร 10/14/20 ปุ่ม

Razer Focus+ สูงสุด 20,000 DPI

อัตราเร่ง 50G

ความเร็ว 650 IPS

Report Rate 1,000 Hz

USB Wireless “Razer HyperSpeed” 100 ชม.

Bluetooth
150 ชม.

Windows 4,990 บาท
ASUS ROG Spatha X จับมือขวา

Armoury Crate

มาโคร 12 ปุ่ม

เซนเซอร์ ROG สูงสุด 19,000 DPI

อัตราเร่ง 50G

ความเร็ว 400 IPS

Report Rate 1,000 Hz

USB Wireless 67 ชม.

ชาร์จไวด้วยแท่นชาร์จเฉพาะรุ่น 15 นาทีเล่นได้ 12 ชั่วโมง

Windows 5,161 บาท
Logitech G502 LIGHTSPEED Wireless Gaming Mouse จับมือขวา

Logitech G HUB

มาโคร 11 ปุ่ม

HERO 25K ปรับค่า DPI ได้ 100-25,600 DPI

ความเร็ว 40G

อัตราเร่ง 400 IPS

Report Rate 1,000 Hz

USB Wireless “LIGHTSPEED” 48-60 ชั่วโมง

รองรับการชาร์จไร้สายเมื่อใช้กับแผ่นรองเมาส์ POWERPLAY 

Windows 7

macOS 10.11

Chrome OS

5,999 บาท

สำหรับเมาส์เกมมิ่งไร้สายมีมาโครนั้น ส่วนตัวผู้เขียนเองคิดว่าเป็นเมาส์ที่น่าใช้งานอีกประเภทหนึ่ง เพราะนอกจากจะเอามาเล่นเกมได้แล้วก็ทำงานได้สะดวก ซึ่งถ้าให้เลือกซื้อไว้ใช้งานสักตัว ผู้เขียนแนะนำว่านอกจากจำนวนปุ่มมาโครบนตัวเมาส์แล้ว ก็แนะนำให้ดูระยะเวลาใช้งานแบตเตอรี่เอาไว้ด้วยว่าใช้งานได้นานสุดกี่ชั่วโมง ซึ่งยิ่งมากยิ่งดีจะได้ไม่ต้องคอยเสียบชาร์จแบตเตอรี่บ่อยๆ ทำงานและเล่นเกมต่อเนื่องได้ไม่สะดุด นอกจากนี้ก็แนะนำให้ดูเมาส์ให้เข้ากับเกมมิ่งเกียร์ชิ้นอื่นด้วยว่าใช้โปรแกรมตั้งค่าตัวเดียวกันหรือเปล่า จะได้เซ็ตค่าที่โปรแกรมเดียวแล้วใช้งานได้เลย ไม่ต้องสลับไปตั้งค่าที่โปรแกรมนั้นโปรแกรมนี้ให้เสียเวลามาก


บทความที่เกี่ยวข้อง

mouse gaming cover

wireless gaming mouse cover

mouse wireless cover

from:https://notebookspec.com/web/626571-5-wireless-gaming-mouse-with-macro

Review DeepCool MC310 เกมมิ่งเมาส์ตัวเบา 75 กรัม 12,800 DPI เล่นเกมมันส์!

DeepCool MC310 เกมมิ่งเมาส์ตัวเบาสะใจ คอ FPS, MOBA ถูกใจแน่นอน!

mc310 cover

DeepCool MC310 เป็นรหัสของเกมมิ่งเมาส์ของ DeepCool ซึ่งปกติแล้วแบรนด์นี้จะเน้นสินค้ากลุ่มเคส, พัดลม, ฮีตซิ้งค์สำหรับซีพียูและก็พาวเวอร์ซัพพลายเป็นหลัก แต่เกมมิ่งเมาส์ถึงจะไม่เห็นบ่อยเท่า แต่ก็ถือว่าน่าสนใจทั้งเรื่องสเปคและดีไซน์ดึงดูดสายตาไม่แพ้เมาส์เกมมิ่งจากแบรนด์ชั้นนำหลายๆ แบรนด์เลย

Advertisementavw

และถึงเห็นว่าแบรนด์นี้ผลิตเกมมิ่งเมาส์มาเป็นรุ่นแรกๆ อาจจะใช้งานตามโปรไฟล์จากโรงงานตั้งค่ามาให้ปรับแต่งอะไรไม่ได้ก็ต้องบอกว่าคิดผิดถนัด เพราะเมาส์เกมมิ่งตัวนี้มีซอฟท์แวร์ตั้งค่าได้ตามใจของผู้ใช้ ตั้งค่าปุ่มบนตัวเมาส์ได้ทั้ง 7 ปุ่มว่าต้องการให้แต่ละปุ่มตอบสนองอย่างไร นอกจากนี้ยังเซ็ตมาโครไว้ใช้ตอนเล่นเกม MOBA, MMORPG ต่างๆ ได้ง่ายขึ้นด้วย เรียกว่าเป็นเมาส์เกมมิ่งม้ามืดน่าสนใจอีกรุ่นหนึ่งอีกด้วย

DeepCool MC310 DSC09305

NBS Verdict

DeepCool MC310 DSC09295

DeepCool MC310 ต้องถือว่าเป็นเกมมิ่งเมาส์รุ่นเริ่มต้นคุณภาพดีเกินตัว น่าสนใจทั้งดีไซน์ดูเท่ถูกใจเกมเมอร์หลายๆ คนไม่ว่าจะมีไฟ RGB, เจาะบอดี้ตัวเมาส์ให้มีช่องแบบรังผึ้ง ช่วยระบายอากาศให้อุ้งมือไม่ร้อนเหงื่อไม่ติดอุ้งมือจนเสียอารมณ์เวลาเล่นเกมต่อเนื่องหลายๆ ชั่วโมงอีกด้วย ด้านไฟ RGB เองก็เปลี่ยนตาม DPI ของเมาส์ ซึ่งนอกจากสวยงามแล้วยังเห็นและรู้ได้ทันทีว่าเราใช้เมาส์เร็วหรือว่าช้าอยู่ 

ด้านการใช้งานก็จัดว่าง่าย จะต่อแล้วใช้งานเลยแบบ Plug&Play ก็ดี หรือจะโหลดซอฟท์แวร์ของ DeepCool มาตั้งค่าปุ่มบนตัวเมาส์ให้เข้ากับการใช้งานของเราก็ได้ นอกจากนี้น้ำหนักตัวยังเบาเพียง 75 กรัม เรียกว่าเบาไม่แพ้เมาส์เกมมิ่งตัวบนๆ ของหลายค่ายเลย ทำให้ไม่ต้องใช้แรงเยอะ เวลาจำเป็นจะต้องลากเมาส์ไวๆ ก็ลากได้ง่ายไม่ต้องใช้แรงเยอะเลย

แต่จุดสังเกตหลักลองใช้ MC310 ทำงานและเล่นเกมอย่างแรกคือ ตัวเมาส์ดีไซน์มาเอื้อเกมเมอร์ถนัดขวาเป็นหลักไม่ได้เป็นแบบรองรับทั้งสองมือ (Ambidextrous) เพราะติดปุ่มข้างเมาส์ไว้ขอบซ้ายตัวเมาส์ให้ใช้แม่โป้งมือขวากดได้ง่าย และหลังของเมาส์ดีไซน์มาไม่โก่งนัก ดีไซน์แบบนี้จึงเหมาะกับคนจับเมาส์แบบ Palm หรือ Fingertip Grip มากกว่า ส่วน Claw Grip ไม่ค่อยเหมาะเพราะโครงตรงกลางตัวเมาส์ไม่ค่อยโก่งขึ้นมารับกับอุ้งมือเท่าไหร่ จึงเหมาะกับคนที่วางมือราบกับตัวเมาส์เลยหรือใช้ปลายนิ้วจับแล้วสะบัดเมาส์ไปมาเป็นหลัก

ข้อดีของ DeepCool MC310
  1. เมาส์รองรับการใช้งานแบบ Plug&Play ต่อแล้วใช้งานได้เลยและปรับค่า DPI ได้เลย
  2. มีซอฟท์แวร์ตั้งค่าเมาส์สามารถโหลดมาติดตั้งแล้วปรับแต่งปุ่มบนเมาส์ได้เลย
  3. น้ำหนักเบาเพียง 75 กรัม ไม่ต้องใช้แรงเยอะก็ลากเมาส์ได้อย่างรวดเร็ว
  4. โครงเมาส์ดีไซน์รังผึ้ง ใช้ทำงานหรือเล่นเกมต่อเนื่องหลายชั่วโมงเหงื่อไม่ชุ่มมือ
  5. ปรับค่า DPI ได้สูงสุด 12,800 DPI และไฟ RGB จะเปลี่ยนตามค่า DPI ที่กดเพิ่มหรือลดลง
  6. มีปุ่มข้างเมาส์เป็น Back, Forward ติดมาใช้เปลี่ยนหน้าเบราเซอร์และหน้า File Explorer ต่างๆ ได้สะดวก
  7. สาย USB-A ของตัวเมาส์เป็นสายถัก แข็งแรงเสียหายยาก
  8. แผ่น Glide ใต้ตัวเมาส์เป็นแผ่น PTFE เนื้อลื่น ทำให้ลากเมาส์ได้ลื่นไหล
  9. ตั้งค่าปุ่มต่างๆ บนเมาส์เป็นปุ่มลัดสำหรับเกม PUBG ได้ด้วยโปรแกรม MC310 ของ DeepCool
ข้อสังเกตของ DeepCool MC310
  1. ดีไซน์โค้งหลังเมาส์ไม่สูง ไม่เหมาะกับคนจับแบบ Claw แต่เหมาะกับ Palm, Fingertip Grip
  2. การตั้งค่าพื้นฐานของเมาส์เน้นคนถนัดมือขวา แต่ตั้งค่าให้คนถนัดซ้ายจับใช้งานได้
  3. ซอฟท์แวร์ MC310 ไม่มีการ Preview การตั้งค่าตัวเมาส์เหมือนซอฟท์แวร์เกมมิ่งเกียร์แบรนด์อื่น ต้องกด Apply ก่อนถึงจะทดลองใช้การตั้งค่าที่เซ็ตใหม่ได้

สเปค DeepCool MC310

DeepCool MC310

สเปคของเมาส์ DeepCool รุ่น MC310 เรียกว่าเป็นเมาส์รุ่นเริ่มต้นสำหรับเกมเมอร์หลายๆ คน ซึ่งสเปคเรียกว่าออกแบบมาเพื่อเกมเมอร์ FPS และ MOBA มีปุ่มปรับค่า DPI ขึ้นลงติดตั้งมาให้ถัดจากปุ่ม Scroll mouse ด้านบนและด้านข้างติดปุ่ม Back, Forward มาให้ใช้งานด้วย ปัจจุบันนี้ยังไม่ทราบราคาไทยอย่างเป็นทางการ แต่ราคา MSRP จากทาง DeepCool คือ 29.99 ยูโร หรือราว 1,100 บาท จัดว่ากำลังดีไม่ถูกไม่แพงเกินไป

สเปคของเมาส์นี้จะเชื่อมต่อด้วยสายถัก USB 2.0 มีค่า DPI สูงสุด 12,800 DPI และค่า Polling Rate ปรับได้ตั้งแต่ 125, 250, 500, 1,000 Hz ตั้งค่าได้ ติดตั้งเซนเซอร์แบบ Optical ส่วนสวิตช์ของเมาส์เป็นของ Huano คลิกได้ 10 ล้านครั้ง มีเมมโมรี่ในตัวเมาส์ 32KB อัตราเร่ง 20G เรียกว่าเป็นเมาส์เกมมิ่งรุ่นเริ่มต้นน่าสนใจจากแบรนด์ผู้ผลิตอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เป็นหลัก

สเปคของ DeepCool MC310
  • เชื่อมต่อด้วยสายถัก USB 2.0
  • ค่า DPI สูงสุด 12,800 DPI
  • อัตราเร่ง 20G
  • ค่า Polling Rate ปรับได้ตั้งแต่ 125, 250, 500, 1,000 Hz
  • เซนเซอร์แบบ Optical สวิตช์คลิกเมาส์เป็นของ Huano คลิกได้ 10 ล้านครั้ง
  • มีปุ่มปรับค่า DPI ขึ้นลง และด้านข้างติดปุ่ม Back, Forward มาให้
  • ราคา MSRP 29.99 ยูโร หรือราว 1,100 บาท

Design, Weight, Grip

DeepCool MC310 DSC09308

เมาส์ DeepCool รุ่น MC310 ตัวนี้ เมื่อเปิดกล่องมาจะมีแต่ตัวเมาส์กับสมุดคู่มืออธิบายรายละเอียดตัวเมาส์เท่านั้น ไม่มีไดรเวอร์หรืออุปกรณ์ปรับแต่งตัวเมาส์แถมมาให้ แต่เน้นใช้งานตามปุ่มและฟีเจอร์พื้นฐานติดตัวเมาส์เป็นหลัก ปรับแต่งตัวเมาส์เพิ่มเติมหรือถอดสายไม่ได้

DeepCool MC310 DSC09296
DeepCool MC310 DSC09299
DeepCool MC310 DSC09297
DeepCool MC310 DSC09298

กล่องใส่เมาส์นั้น ด้านหน้าจะเป็นรูปเมาส์ ส่วนด้านข้างซ้ายขวาจะเป็นเส้นสีเขียวอ่อนพาดและสัญลักษณ์รูปเมาส์เล็กๆ ฝั่งขวามือของกล่องและติดอยู่มุมบนขวาด้วย ส่วนด้านหลังกล่องจะเขียนสเปคของเมาส์เอาไว้พร้อมกับสัญลักษณ์มาตรฐานทางอุตสาหกรรมติดเอาไว้

DeepCool MC310 DSC09309

DeepCool MC310 DSC09311
DeepCool MC310 DSC09313
DeepCool MC310 DSC09312
DeepCool MC310 DSC09314

ดีไซน์ของ MC310 ตัวนี้จะออกแบบมาเพื่อคนจับถนัดขวามือและเจาะรูรังผึ้งทั้งด้านบนและด้านใต้ตัวเมาส์เอาไว้เพื่อระบายอากาศ จับเมาส์นานๆ แล้วเหงื่อจะไม่อับอุ้งมือของผู้ใช้มากเกินไป ติดตั้งปุ่มเอาไว้ทั้งหมด 7 ปุ่มด้วยกันคือคลิกซ้ายขวาและคลิกกลางตามมาตรฐานรวม 3 ปุ่มหลัก ส่วนอีก 4 ปุ่ม แยกเป็นปุ่มกดเพิ่ม, ลด DPI ถัดลงมาจากปุ่มลูกล้อเมาส์ ส่วนขอบตัวเมาส์ด้านซ้ายเป็นปุ่ม Forward, Backward เอาไว้กดตอนเลื่อนไปหน้าเว็บเพจหรือ File Explorer ไปหน้าก่อนหรือกดข้ามไปเว็บถัดไปจนถึงหน้าล่าสุด ส่วนสายเมาส์จะเป็นแบบยึดติดกับตัวเมาส์ไม่สามารถถอดออกได้

DeepCool MC310 DSC09310

การเชื่อมต่อเมาส์เข้ากับคอมพิวเตอร์จะใช้สาย USB-A 2.0 ถัดลงมามีก้อนเฟอร์ไรต์ (Ferrite bead) เอาไว้กรองสัญญาณความถี่สูงออกไปจากสาย USB ไม่ให้รบกวนการทำงานของเมาส์ ส่วนสาย DeepCool MC310 เส้นนี้จะเป็นสายถักเนื้อแข็ง มีความยืดหยุ่นแต่ก็ทนทาน ต่อให้บิด, พับหรือม้วนสายเอาไว้ก็ไม่เป็นไร ไม่มีปัญหาสายไฟหักในอย่างแน่นอน

ส่วนตัวผู้เขียนที่เล่นเกม FPS เป็นประจำก็เอาเมาส์นี้ไปลองเล่นก็ไม่ค่อยชอบสายเมาส์ยาวๆ เช่นกัน เนื่องจากมันจะเกะกะแล้วรั้งตัวเมาส์นิดๆ ทำให้เวลาเล่นแล้วต้องสะบัดเมาส์เพื่อหันตัวละครกะทันหันไม่สะดวก ซึ่งผู้เขียนก็ทดลองม้วนพับและจัดระยะสายให้ใช้งานได้สะดวกก็รู้สึกได้เลยว่าสายถักของ DeepCool ตัวนี้แข็งแรงดีไม่เสียหายง่ายๆ อย่างแน่นอน

DeepCool MC310 DSC09318
DeepCool MC310 DSC09325

สำหรับบอดี้เมาส์ด้านบนและด้านล่าง DeepCool จะเจาะโครง MC310 มาให้เป็นแบบรวงผึ้ง ซึ่งเกมมิ่งเมาส์หลายๆ รุ่นในปัจจุบันนิยมทำกันเพื่อลดน้ำหนักเมาส์ และคนชอบจับเมาส์แบบ Palm หรือ Claw Grip แล้วอุ้งมือนาบกับเมาส์นานๆ เหงื่อจะไม่สะสมที่อุ้งมือและไม่รำคาญเวลาใช้งาน และจากที่ผู้เขียนลองเอาเมาส์นี้ไปทำงานและเล่นเกมต่อเนื่องหลายชั่วโมงถือว่าเมาส์ตัวนี้เบา ไม่มีปัญหาเหงื่อตามที่ DeepCool เขียนเคลมเอาไว้ ดังนั้นถ้าใครหาเมาส์เกมมิ่งเอาไว้เล่นเกมต่อเนื่องหลายๆ ชั่วโมง รุ่นนี้ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจทีเดียว

แต่จุดสังเกตหลักๆ จะเป็นความคุ้นเคยเสียเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากคนใช้เมาส์แบบบอดี้เต็มไม่เจาะโครงเป็นรวงผึ้งแบบนี้อาจจะรู้สึกว่ามันโล่งไปบ้าง และหากใครเป็นโรคกลัวรู (Trypophobia) ก็ไม่แนะนำให้ซื้อเมาส์ตัวนี้ไปใช้งานเท่าไหร่เพราะเมาส์นี้ถูกเจาะบอดี้เกือบทั้งตัวจนเห็นชิ้นส่วนภายในเมาส์อย่างชัดเจนและไฟ RGB ก็จะลอดขึ้นมาจากตัวเมาส์อย่างชัดเจนด้วย

DeepCool MC310 DSC09322

DeepCool MC310 DSC09323
DeepCool MC310 DSC09327
DeepCool MC310 DSC09324

สีด้านใต้เมาส์จะเป็นสีเขียวสว่างคล้ายน้ำทะเลตัดกับสีบอดี้สีดำด้านบนและเจาะรูรวงผึ้งเอาไว้ส่วนหนึ่งทั้งครึ่งบนและครึ่งล่างของแผ่นใต้เมาส์ ติดแผ่นรองใต้ตัวเมาส์ (Glide) แบบ PTFE เนื้อลื่นเอาไว้ 4 มุมของแผ่นรองใต้เมาส์ โดยแผ่นแบบ PTFE สีดำทั้ง 4 มุมทำให้ลากเมาส์ได้รวดเร็วไหลลื่นใช้ได้ ส่วนเซนเซอร์เป็นแบบออปติคัลสีแดง ซึ่งไม่ค่อยพบเห็นในเมาส์ปัจจุบันนัก เนื่องจากเมาส์ทั้งแบบใช้งานทั่วไปและเล่นเกมจะเปลี่ยนมาใช้เซนเซอร์แบบไม่มีแสงแล้ว ทำให้เวลาพลิกเมาส์ขึ้นมาแสงจะไม่แยงตา

DeepCool MC310 DSC09304
DeepCool MC310 DSC09302

อิงจากหน้าสเปค DeepCool เคลมน้ำหนัก MC310 เอาไว้ 75 กรัม พอชั่งด้วยตาชั่งดิจิตอลแล้วหนักราว 75-76 กรัม ตรงกับหน้าสเปค (ในภาพผู้เขียนยกสาย USB เอาไว้ให้ชั่งแต่น้ำหนักตัวเมาส์เท่านั้น) ถ้ารวมกับสายและหัว USB 2.0 แล้วหนัก 111 กรัม ซึ่งน้ำหนักเฉพาะเมาส์อย่างเดียวถือว่าเบามากเทียบชั้นกับเมาส์เกมมิ่งรุ่นราคาแพงสเปคสูงได้สบายๆ

ด้านของสายเมาส์ ส่วนตัวผู้เขียนมีวิธีแก้ปัญหา 2 แบบ คือใช้วิธีมัดสายไฟเอาไว้ด้วยเทปตีนตุ๊กแกรัดสายไฟแล้วลากสายหน้าเมาส์ให้หย่อนเล็กน้อย เพื่อให้เมาส์มีระยะสายใช้งานหรือจะซื้อ Mouse Bungee ที่เป็นตัวยกสายเมาส์มาเรียงสายเมาส์เอาไว้ก็ดีเช่นกัน สายไฟจะได้ไม่กวนเวลาเล่นเกมหรือใช้งาน

DeepCool MC310 DSC09315
DeepCool MC310 DSC09316
DeepCool MC310 DSC09317

ส่วนการจับเมาส์ทั้ง 3 แบบที่ผู้เขียนทดลองจับดูแล้ว ส่วนตัวผู้เขียนเห็นว่าเมาส์ DeepCool MC310 ตัวนี้ดีไซน์ออกค่อนข้างจะราบและโค้งหลังเมาส์ส่วนติดกับอุ้งมือของผู้ใช้จะค่อนข้างเตี้ย ดังนั้นสไตล์การจับเมาส์ให้เข้ามือสุดถ้าให้ผู้เขียนเรียง คือ Palm > Fingertip > Claw โดยเหตุผลการเรียงความถนัดเวลาจับเมาส์ทั้ง 3 สไตล์จะมีเหตุผลตามนี้

  • Palm Grip – ตัวเมาส์ถือว่าจับง่าย สามารถวางมือราบไปตามตัวเมาส์แล้วใช้งานได้เลย
  • Claw Grip – ไม่ค่อยถนัดนักเพราะว่าโค้งหลังเมาส์ไม่ค่อยสูงเท่าไหร่ เวลาจับเมาส์แล้วโค้งจะไม่ค่อยแตะติดกับอุ้งมือนัก ถึงจะจับใช้งานได้แต่อาจจะไม่เข้ามือเท่าไหร่
  • Fingertip Grip – จับได้ง่ายและน้ำหนักเมาส์เบา 75 กรัม สามารถลากและสะบัดเมาส์ได้สะดวก

ซึ่งส่วนตัวผู้เขียนที่จับเมาส์แบบ Claw Grip เป็นประจำจะจับไม่ค่อยถนัดมือเท่าไหร่ เนื่องจากเป็นคนมือใหญ่ระดับหนึ่ง ทำให้ตอนโค้งนิ้วขึ้นมาแตะที่คลิกเมาส์ทั้งสองฝั่งแล้วกลายเป็นว่าอุ้งมือจะยกขึ้นเล็กน้อยแล้วไม่แนบกับตัวเมาส์เลยทำให้ตอนใช้งานบางครั้งรู้สึกไม่เข้ามือเท่าไหร่ แต่การจับสไตล์อื่นเรียกว่าไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน

DPI Switch & Light

DeepCool MC310 DSC09319

เมาส์ DeepCool MC310 จากหน้าสเปคจะปรับ DPI ได้สูงสุดที่ 12,800 DPI โดยกดปุ่มปรับ DPI สองปุ่มที่ถัดลงมาจากลูกล้อเมาส์ แยกเป็นปุ่ม DPI up ส่วนปุ่มล่าง DPI down ซึ่งพอกดปรับค่าแล้วเมาส์จะเปลี่ยนแสงไฟ RGB ที่ตัวเมาส์ทั้งแสงที่สว่างลอดช่องรวงผึ้งออกมาและเส้นคั่นระหว่างบอดี้เมาส์ด้านบนกับพื้นล่างของตัวเมาส์โดยแยกแสงไฟไปตามระดับ โดยค่า DPI มาตรฐานจากโรงงานแยกตามสีจะเป็นตามนี้

DeepCool MC310 DSC09328
DeepCool MC310 DSC09335
DeepCool MC310 DSC09329
DeepCool MC310 DSC09336
DeepCool MC310 DSC09330
DeepCool MC310 DSC09337
DeepCool MC310 DSC09333
DeepCool MC310 DSC09339
DeepCool MC310 DSC09334
DeepCool MC310 DSC09340

ด้านค่า DPI ทั้ง 5 ระดับ จะเซ็ตเพิ่มลดค่า DPI ได้ตั้งแต่ 200-12,800 DPI ในซอฟท์แวร์ MC310 ที่โหลดจากหน้าเว็บไซต์ DeepCool ได้เลย ซึ่งเราสามารถเซ็ตค่า DPI ของไฟแต่ละสีแยกได้อิสระ ซึ่งจากที่เอามาใช้ทำงานและเล่นเกมดูแล้วจัดว่าเป็นปุ่มที่ได้ใช้งานบ่อยๆ แน่นอน และส่วนตัวผู้เขียนชอบเมาส์ที่มีปุ่มเพิ่มลด DPI ติดเอาไว้ด้านบนตัวเมาส์เช่นนี้ เพราะเราสามารถกดเพิ่มลดค่า DPI ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเราอาจจะเซ็ตค่าต่ำสุดให้ลากเมาส์ช้าๆ เวลาลากเป้าตอนเล็งยิงหรือจะกดเพิ่มความเร็วเร่งด่วนตอนฉากที่ต้องขยับตัวเร็วๆ ก็กดแค่ 1-2 ครั้งก็เปลี่ยนได้ทันที ทำให้เวลาเล่นเกมไม่เกิดการเสียจังหวะแน่นอน

 

Software DeepCool MC310

1

button settings
pubg mode
profiles

ถึงเมาส์ DeepCool MC310 จะใช้งานแบบ Plug&Play ได้ก็ตาม แต่ถ้าจะใช้งานให้ดีที่สุด ก็แนะนำให้โหลดซอฟท์แวร์เฉพาะของตัวเมาส์มาติดตั้งเพิ่มจะช่วยให้เราเซ็ตค่าต่างๆ ได้เยอะและละเอียด ซึ่งในซอฟท์แวร์จะเซ็ตค่า DPI, Profile, Macro และอื่นๆ ได้ครบถ้วนไม่แพ้เกมมิ่งเมาส์รุ่นอื่นเลย โดยแยกหมวดการตั้งค่าเป็น 4 กลุ่ม คือ Button เอาไว้ตั้งค่าปุ่มบนเมาส์, Macro สำหรับบันทึกมาโครต่างๆ เหมาะกับเกมสาย MOBA, MMORPG, Performance สำหรับปรับ DPI/Polling Rate/Sensitivity/Scroll Speed/Fire speed ได้, Backlight เอาไว้เซ็ตค่าไฟ RGB ของเมาส์

เมื่อติดตั้งแล้วเปิดโปรแกรมขึ้นมา หน้าแรกของโปรแกรมจะแยกเป็นการตั้งค่าปุ่มทั้ง 7 ปุ่มบนตัวเมาส์ แยกเป็นคลิกซ้าย, ขวา, กลาง, Forward, Backward, DPI+, DPI- ถ้าจะเปลี่ยนการทำงานของปุ่มใดบนตัวเมาส์ก็คลิกเลือกแล้วเปลี่ยนเป็น Command ที่ซอฟท์แวร์นี้รองรับได้เลย ซึ่งคนถนัดซ้ายสามารถกดสลับคลิกซ้ายขวาให้จับเมาส์มือซ้ายใช้งานได้สะดวกขึ้น นอกจากนี้มุมล่างซ้ายจะมีช่อง Profiles แยก 4 โปรไฟล์คือ Office และ Game I, II, III ทำให้เราแยกโปรไฟล์เมาส์ใหเข้ากับเกมที่เราเล่นได้ง่ายขึ้น

ส่วนจุดสังเกตที่น่าสนใจ คือ MC310 ตัวนี้เอื้อเกมเมอร์ที่ชอบเล่น PUBG เป็นพิเศษ จะเห็นว่าตอนตั้งค่าปุ่มบนเมาส์จะมีหัวข้อแยกสำหรับ PUBG โดยเฉพาะ เป็นชื่อปืนยอดนิยมและคำสั่งอื่นๆ ในเกมได้ด้วย ทำให้เกมเมอร์ที่เล่นเกมนี้เป็นพิเศษได้เปรียบมากขึ้น 

 

2

pubg macro
pubg macro 2

แท็บ Macro จะมีคำสั่งบันทึกมาโครแยกเป็น Macro, Key list และ LED ตามปุ่มมาโครนั้นๆ ตามปกติ ซึ่งถือว่ามีให้ใช้ครบเครื่อง แต่สังเกตที่ฝั่งขวามือจะเห็นว่ามีปุ่มเขียนว่า PUBG แยกเอาไว้ เมื่อกดเปิดออกมาจะเป็นการเซ็ตมาโครให้ปืนกระบอกต่างๆ ใน PUBG ให้ใช้ด้วย

3

 

แท็บ Performance จะรวมการตั้งค่าตัวเมาส์เอาไว้ทั้งหมด แยกหมวดหมู่ชัดเจนและคลิกเซ็ตตั้งค่าได้ตามใจชอบ โดยแยกหมวดหมู่เป็น 5 อย่างได้แก่ Mouse Sensitivity สำหรับเซ็ตความเร็วตอบสนองของเมาส์, Scroll Speed ความเร็วการเลื่อนหน้าจอขึ้นลงด้วย Scroll mouse ว่าจะให้เลื่อนช้าลงหรือเร็วขึ้นก็ได้, Fire speed เพิ่มความถี่เวลาคลิกเพื่อยิง, Polling Rate ความเร็วการรับส่งข้อมูลระหว่างเมาส์และตัวเครื่อง ยิ่งปรับสูงยิ่งตอบสนองได้เร็วและ DPI ที่เซ็ตค่าได้ละเอียดตั้งแต่ 200-12,800 DPI

สำหรับการตั้งค่า DPI จากโรงงาน จะเห็นว่าแต่ละสีมีค่า DPI มาตรฐานจากโรงงานเลย เวลาตั้งค่าให้คลิกที่ DPI สีต่างๆ แล้วมาเลื่อนที่สไลด์บาร์ด้านล่างที่มีเลข 0-12,800 เพื่อปรับค่า DPI โดยการเลื่อนจะปรับเพิ่มหรือลดครั้งละ 200 DPI ถ้าเทียบกับเซนเซอร์ของเกมมิ่งเมาส์จากแบรนด์ผู้ผลิตเกมมิ่งเกียร์โดยตรงซึ่งสามารถเซ็ตค่า DPI ได้ละเอียดระดับขยับครั้งละ 50 DPI ได้เลย ต้องถือว่าเซนเซอร์ออปติคัลของ DeepCool MC310 ตัวนี้อยู่ในระดับทั่วๆ ไป ใช้เล่นเกมได้ดีระดับหนึ่ง

light

4
color

 

แท็บ Backlight ขวาสุดจะเป็นแท็บเซ็ตค่าไฟ RGB ของ DeepCool MC310 โดยเราสามารถเปลี่ยนเอฟเฟคแสงได้หลากหลายแบบ และเอฟเฟคแสง RGB แต่ละแพตเทิร์นจะมีรายละเอียดการเซ็ตค่าต่างกัน ซึ่งหลักๆ แล้วเราสามารถเซ็ตสีไฟที่ต้องการได้, Speed เพื่อปรับความเร็วของเอฟเฟคว่าจะให้ไฟ RGB เปลี่ยนเร็วเหมือนไฟกระพริบหรือช้าหน่วงไว้ระยะหนึ่งก็ได้รวมทั้งเลือกทิศทางการเปลี่ยนแสงไฟได้ แต่ถ้าใครไม่ชอบเพราะแสงไฟสว่างรบกวนสายตาก็เลือกเป็น LED off ปิดไฟทิ้งไปไม่ให้รบกวนก็ได้ 

อย่างไรก็ตาม จุดสังเกตของซอฟท์แวร์ MC310 คือ เมื่อเปลี่ยนการตั้งค่าเมาส์แล้ว ซอฟท์แวร์จะไม่พรีวิวการตั้งค่าที่เราเซ็ตเมาส์ไป กล่าวคือถ้าเรากดเปลี่ยนเอฟเฟคไฟ RGB แล้ว เกมมิ่งเมาส์จากแบรนด์เกมมิ่งเกียร์ชั้นนำหลายๆ รุ่นจะเปลี่ยนเอฟเฟคและสีไฟโดยอัตโนมัติ แต่ DeepCool MC310 จะต้องกด Apply ก่อน ถึงจะเปลี่ยนการตั้งค่าให้ ถ้าไม่ชอบค่อยเปลี่ยนการตั้งค่าเป็นอย่างอื่นทีหลัง ซึ่งถ้าทาง DeepCool จะจริงจังกับตลาดเกมมิ่งเกียร์ยิ่งขึ้นควรปรับแต่งซอฟท์แวร์ให้มีระบบ Preview การตั้งค่าก่อนกด Apply จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเซ็ตค่าได้สะดวกรวดเร็วขึ้น

User Experience

DeepCool MC310 DSC09308 1

จากที่เอา DeepCool MC310 ไปใช้เป็นเมาส์ทำงานและเล่นเกมมาช่วงหนึ่ง ต้องถือว่าเกมมิ่งเมาส์รุ่นแรกจากแบรนด์ผู้ผลิตชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์เป็นหลักนั้นเป็นเมาส์ที่ใช้งานได้ดีระดับหนึ่งทั้งด้านการทำงานและเล่นเกม แม้เมาส์ตัวนี้จะรองรับการทำงานแบบ Plug&Play ก็ตาม แต่ผู้เขียนก็ยังแนะนำให้ผู้อ่านโหลดซอฟท์แวร์ MC310 สำหรับเมาส์ตัวนี้มาติดตั้งในเครื่องเพื่อเซ็ตค่าปุ่มบนตัวเมาส์ทั้ง 7 ปุ่มให้เข้ากับการทำงานของเราได้ดีระดับหนึ่งและสลับปุ่มคลิกซ้ายขวาให้คนจับมือซ้ายใช้งานได้ถนัดขึ้นด้วย

ถ้าเอามาใช้ทำงาน ปุ่มทางลัดต่างๆ ที่ตั้งค่าได้ด้วยซอฟท์แวร์ของเมาส์ตัวนี้ยังมีเพียงปุ่มพื้นฐานต่างๆ ที่ใช้งานบ่อยๆ เช่น Copy/Paste, Undo ฯลฯ หากเทียบกับเกมมิ่งเมาส์จากแบรนด์ชั้นนำบางรุ่นที่ผู้เขียนเคยรีวิวไปก่อนหน้านี้ต้องถือว่ายังให้คำสั่งมาน้อยไป เพราะนอกจากคำสั่งพื้นฐานที่ว่าไปแล้ว ผู้ใช้บางกลุ่มที่ต้องแคปภาพหน้าจอหรือต้องการคอมมานด์พิเศษก็ต้องไปเซ็ตแยกในมาโครแทน ซึ่งบางคนที่ไม่ถนัดเรื่องการเซ็ตมาโครและอยากได้ปุ่มสำเร็จรูปอาจจะไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ส่วนคนที่ต้อง Scroll ดูหน้าเอกสารยาวๆ สามารถปรับ Scroll speed ให้การหมุนลูกล้อเมาส์เร็วขึ้นหรือช้าลงก็ได้ ซึ่งปรับได้ถึง 10 ระดับ เวลาต้องการเลื่อนขึ้นไปดูข้อมูลที่ต้องการอ้างอิงที่บรรทัดด้านบนและกลับมาเขียนที่บรรทัดล่าสุดต่อ ก็หมุนลูกล้อไปมาได้สะดวกรวดเร็วใช้ได้เลย

DeepCool MC310 DSC09320

ในฐานะเมาส์เกมมิ่ง ต้องถือว่า MC310 ตัวนี้ทำงานได้ดีลากเป้าได้ไวและไม่มีอาการลากแล้วเซนเซอร์ไหลจนคลาดเป้าออกไปเล็กน้อยอย่างที่เมาส์เกมมิ่งบางรุ่นเป็น นับว่าถึงจะเป็นเซนเซอร์แบบออปติคัลก็ตามแต่ก็ทำงานได้คมพอตัว นอกจากนี้ยังเซ็ตปุ่มปรับ DPI+, DPI- ให้เป็นปุ่มสำหรับเกม PUBG ก็ได้ หรือจะเซ็ตแยกให้ DPI ที่ใช้ทั่วไปเป็นค่ามาตรฐานที่ใช้ตอนเล่นเกมตามปกติ และกดลด DPI ลง 1 ระดับเป็นค่า DPI น้อยๆ ให้ใช้ตอนซุ่มยิงก็สะดวกใช้ได้

จากที่ทดลองใช้เมาส์ DeepCool MC310 ตัวนี้เล่นเกมต่างๆ ดูแล้ว จัดว่าการลากเมาส์ไปมาเพื่อเล็งและยิงเป้าหมายทำได้ดีทีเดียว แม้จะตั้งค่า DPI สูงแล้วสะบัดเมาส์ยิงศัตรูก็ไม่มีปัญหาเมาส์เร็วเกินจนคุมไม่อยู่แน่นอน อาจจะเซ็ตค่าส่วนของ Polling Rate และ DPI ให้เข้ากับนิสัยการลากเมาส์ของเราก็พอ 

ส่วนดีไซน์และการจับตัวเมาส์นั้น ส่วนตัวผู้เขียนเป็นคนจับเมาส์แบบ Claw Grip ก็จะเจอปัญหาเรื่องโค้งหลังตัวเมาส์จะโค้งไม่โด่งมาก ทำให้ตอนจับเมาส์แล้วอุ้งมือส่วนกลางติดกับตัวเมาส์แต่ส่วนครึ่งบนของอุ้งมือจะลอยอยู่นิดหน่อย จึงต้องเปลี่ยนวิธีการจับเมาส์คือใช้แม่โป้งกับนิ้วนางคีบข้างตัวเมาส์ดันเข้ามาให้ชิดอุ้งมือขึ้นก็พอช่วยแก้ปัญหาได้บ้างแต่ก็ไม่ดีเท่าไหร่ เพราะพอแม่โป้งไม่แตะรอที่ปุ่มข้างเมาส์ที่เซ็ตมาโครเอาไว้กดในนาทีสำคัญ ก็ต้องเลื่อนนิ้วมากดทำให้ไม่ทันในช่วงเสี้ยววินาทีสำคัญ แต่ถ้าจับแบบ Palm หรือ Fingertip Grip จะไม่มีปัญหาเรื่องนี้เท่าไหร่เพราะมือราบแนบไปกับตัวเมาส์เลยคุมการขยับเมาส์ได้สะดวกทีเดียว

สรุป – เกมมิ่งเมาส์น่าสนใจ ถ้า DeepCool ปรับซอฟท์แวร์ให้ดีขึ้นอีกหน่อยก็สมบูรณ์แบบ

DeepCool MC310 DSC09305 1

แม้ DeepCool MC310 ตัวนี้จะเป็นเกมมิ่งเมาส์รุ่นแรกๆ จากแบรนด์ชิ้นส่วนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ก็ตาม แต่ก็เก็บรายละเอียดต่างๆ ที่เกมมิ่งเมาส์ควรมีได้ค่อนข้างครบถ้วน ทั้งรองรับค่า DPI สูงสุด 12,800 DPI มีปุ่ม DPI+, DPI- ติดตั้งมาให้, มีปุ่ม Back และ Forward สำหรับคนทำงานและน้ำหนักก็เบาลากได้ไว มีซอฟท์แวร์ MC310 สำหรับตั้งค่าปุ่มต่างๆ บนเมาส์ได้ นอกจากนี้ดีไซน์ก็เท่เหมือนเกมมิ่งเมาส์ตัวท็อปจากหลายๆ แบรนด์เลย

ส่วนจุดที่ผู้เขียนเห็นว่าถ้าปรับแต่งเพิ่มเติมแล้วจะทำให้เกมมิ่งเมาส์รุ่นนี้น่าสนใจและใช้งานได้ดีขึ้นกว่าเดิม คือซอฟท์แวร์สำหรับปรับแต่งตัวเมาส์ที่ถ้าเพิ่มระบบการ Preview การตั้งค่าว่าถ้าเซ็ตปุ่มให้ทำงานแบบนี้ หรือเปลี่ยนเอฟเฟคไฟ RGB แล้วสวยถูกใจหรือเปล่า รวมทั้งเพิ่มคำสั่งต่างๆ ที่เป็นคำสั่งใช้งานกับ Windows อย่างคำสั่งเรียก Snipping Tool และอื่นๆ เข้ามาเพิ่มอีกสักหน่อยก็จะทำให้เกมมิ่งเมาส์รุ่นนี้น่าสนใจขึ้นมากและอาจจะแยกเป็นไลน์สินค้าใหม่น่าสนใจของทางบริษัทได้แน่นอน

from:https://notebookspec.com/web/624469-review-deepcool-mc310