คลังเก็บป้ายกำกับ: จีเอเบิล

10 เหตุผลหลักที่ลูกค้าเลือกโครงสร้างพื้นฐาน ที่กำหนดโดยซอฟต์แวร์ Dell PowerFlex

PowerFlex เป็นแพลตฟอร์มโครงสร้างพื้นฐานที่กำหนดโดยซอฟต์แวร์แบบไม่ผูกพัน (Unbounded software-defined infrastructure) ได้รับการออกแบบมาเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นด้านไอทีและเพิ่มความคล่องตัวทางธุรกิจโดยการปรับให้เข้ากับชุดปฏิบัติการและแพลตฟอร์มไฮเปอร์สเกลเลอร์ (hyperscaler) ที่หลากหลาย พร้อมเพิ่มระบบการทำงานอัตโนมัติ (automation) และให้ผลลัพธ์ workload ที่ยอดเยี่ยม

1 | โครงสร้างพื้นฐานที่กำหนดโดยซอฟต์แวร์แบบไม่ผูกพันเพื่อการรวมโดยไม่มีเงื่อนไข

PowerFlex เป็นแพลตฟอร์มที่ทรงพลังสำหรับการรวมแบบวงกว้าง PowerFlex จะรวมการจัดเก็บข้อมูลแบบบล็อก (block storage) file storage1 และคำนวณทรัพยากรเชิงวิศวกรรมในระบบ พร้อมรองรับไฮเปอร์ไวเซอร์ (hypervisor) และระบบปฏิบัติการที่หลากหลายบนแพลตฟอร์มทั่วไป PowerFlex ยังอ้างอิงมาตรฐานการเชื่อมต่อ(connectivity1) แบบ NVMe/TCP ความสามารถเหล่านี้ช่วยให้องค์กรสามารถรวบรวม workload ที่หลากหลายให้ตรงความต้องการและสภาพแวดล้อมการปฏิบัติงานที่แตกต่างกันได้อย่างเหมาะสม

2 | สถาปัตยกรรมที่ปรับเปลี่ยนได้ช่วยเพิ่มการตอบสนองด้านไอที

PowerFlex ปรับการคำนวณและทรัพยากรในการจัดเก็บข้อมูลได้อย่างยืดหยุ่นและไม่รบกวนจุดที่มีปัญหาคอขวด จัดหาและปรับเปลี่ยนแหล่งทรัพยากรได้อย่างรวดเร็วเพื่อตอบสนองต่อความต้องการทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลง ก้าวข้ามข้อจำกัดแบบเดิมๆ ปรับขนาดโครงสร้างพื้นฐานของคุณ และเพิ่มลดแหล่งทรัพยากรตามความต้องการ โดยไม่ต้องมีการวางแผนที่ซับซ้อน

3 | การเพิ่มประสิทธิภาพอย่างชาญฉลาดช่วยให้มั่นใจได้ถึงประสิทธิภาพการทำงานสูงสุดและความสามารถในการปรับขยายได้

ซอฟต์แวร์ PowerFlex จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้วยการรวบรวมทรัพยากรข้ามโหนด ในขณะที่ทำการปรับเส้นทางข้อมูลและตำแหน่งให้เหมาะสม ส่งผลให้ IO ไม่ถูกจำกัดและทำให้ประสิทธิภาพของเวลาการทำงานรวม (throughput) ตอบสนองเร็วกว่ามิลลิวินาที สถาปัตยกรรมนี้สามารถปรับเชิงเส้นได้ถึง 1,000 โหนด เพื่อให้มั่นใจถึงผลลัพธ์สูงสุด ไม่ว่าคุณจะปรับฐานข้อมูลที่มีประสิทธิภาพสูงให้ทันสมัย หรือรวบรวม application landscape ขนาดใหญ่

4 | ความสามารถในการแก้ไขปัญหา (self-healing) เพื่อการให้บริการอย่างต่อเนื่อง

ระบบ PowerFlex ได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับความล้มเหลวที่เกิดขึ้นตามติดกันหลายครั้งโดยไม่หยุดการให้บริการหรือไม่ให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง PowerFlex ตรวจสอบทรัพยากรอย่างต่อเนื่องและสร้างชุดข้อมูลที่อยู่ในไดรฟ์หรือโหนดที่ล้มเหลวซ้ำใหม่อย่างรวดเร็ว เพื่อให้มั่นใจว่า service มีความพร้อมในการใช้งานโดยไม่หยุดชะงัก โดยที่ยังส่งมอบการปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตรงตามเป้าหมาย

5 | Intelligent insights และการจัดการแบบครบวงจรทำให้การดำเนินงานตามขนาดง่ายขึ้น  

PowerFlex Manager เป็นชุดเครื่องมือการจัดการแบบครบวงจรสำหรับระบบ PowerFlex ได้รับการออกแบบมาเพื่อลดความซับซ้อนของการดำเนินงานด้านไอทีและงาน lifecycle management ด้วยระบบอัตโนมัติที่ความครอบคลุมช่วยลดเวลาการดูแลระบบได้ถึง 95% และลดจำนวนขั้นตอนการดำเนินงานมากกว่า 77%2 การทำงานร่วมกับ CloudIQ intelligent insights ช่วยลดความยุ่งยากในการตรวจสอบ PowerFlex ซึ่งถูกนำไปใช้งานในแบบกระจายหลากหลายตำแหน่งโดยใช้ Cloud-based AIOps mechanism ได้อย่างลงตัว

6 | การสนับสนุนไฮเปอร์สเกลเลอร์แบบกว้างช่วยเพิ่มความคล่องตัวและความยืดหยุ่นของ multi-cloud

PowerFlex นำเสนอทางเลือกและให้อิสระเมื่อใช้คู่กับ multi-could รองรับแพลตฟอร์มไฮเปอร์สเกลเลอร์หลักทั้งหมด รวมถึง AWS EKS Anywhere, Google Cloud Anthos และ Kubernetes ที่เปิดการใช้งาน Azure Arc คุณสามารถลดความซับซ้อนของการดำเนินการ multi-could ข้ามแพลตฟอร์มคลาวด์ไฮเปอร์สเกลเลอร์ที่มีหลายตัวได้ด้วยโครงสร้างพื้นฐาน PowerFlex ภายในองค์กรแบบรวมศูนย์ (unified on-premises PowerFlex infrastructure)

7 | เครื่องมือที่ครอบคลุมช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ DevOps และความคล่องตัวด้านไอที

นอกเหนือจากการรองรับไฮเปอร์สเกลเลอร์แล้ว PowerFlex ยังรองรับแพลตฟอร์มการจัดการคอนเทนเนอร์ภายในองค์กรที่หลากหลายผ่าน Bare Metal หรือไฮเปอร์ไวเซอร์ รวมถึง Red Hat OpenShift, SUSE Rancher และ VMware Tanzu ตลอดจน Dell Container Storage Modules (CSM) และไดรเวอร์ CSI PowerFlex ทำให้การดำเนินการจัดเก็บข้อมูลสำหรับ Kubernetes ง่ายขึ้น นอกจากนี้ PowerFlex ยังมีชุดเครื่องมือที่สมบูรณ์แบบและพร้อมใช้งานทันที เช่น PowerFlex REST API, โมดูล PowerFlex Ansible และ Dell AppSync ที่ทำให้ DevOps การจัดการโครงสร้างพื้นฐาน และ DBA workflow เป็นแบบอัตโนมัติ

8 | Ecosystem ที่ได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียดช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการ Workload

PowerFlex ได้รับการปรับเพิ่มประสิทธิภาพและตรวจสอบความถูกต้องของชุด workload ขององค์กรเป็นวงกว้างเพื่อส่งมอบผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพดีเยี่ยม PowerFlex มอบประสิทธิภาพระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรม และความสามารถในการคาดการณ์ IO-intensive transactional หรือ throughput-intensive analytics workloads ในขณะที่ลด hardware footprint ให้เหลือน้อยที่สุด

9 | บริการข้อมูลระดับองค์กร (Enterprise data services) ทำให้การป้องกันและการปฏิบัติตามข้อกำหนดง่ายขึ้น

PowerFlex ให้บริการข้อมูลระดับองค์กรที่รวมถึงการบีบอัด การเข้ารหัส สแนปช็อต และการจำลอง เพื่อช่วยตอบสนองต่อ workload และความต้องการเฉพาะขององค์กร โซลูชัน PowerFlex และ Dell PowerProtect Cyber Recovery ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและการป้องกันทรัพย์สินด้านไอทีที่มีความสำคัญ

10 | Dell Technologiesพันธมิตรของคุณที่เชื่อถือได้เพื่อความสำเร็จในระยะยาว

PowerFlex ได้ถูกวางแผน นำไปใช้ และสนับสนุนให้เป็นระบบเดียวกันโดย Dell Technologies ซึ่งลดความเสี่ยงในการติดตั้งและส่งมอบผลลัพธ์ที่คาดการณ์ได้ ลูกค้าของ PowerFlex จะได้รับประโยชน์จากข้อเสนอของ Dell ในด้านต่อไปนี้:

G-Able มีทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญคอยช่วยให้คำปรึกษาตั้งแต่การออกแบบ Solution และการติดตั้ง รวมถึงบริการหลังการขาย โดยเป็นการให้บริการแบบครบวงจร สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

Email: contactcenter@g-able.com

Tel.02-781-9000

from:https://www.enterpriseitpro.net/dell-powerflex-to-boost-performance/

Dell EMC PowerFlex เทคโนโลยีระบบอินฟราสตรัคเจอร์สุดล้ำ สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์สมัยใหม่โดยเฉพาะ

เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นศูนย์กลางในการทำงานของธุรกิจในปัจจุบัน ที่ช่วยสร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขันอย่างมาก องค์กรต่างๆ จำเป็นต้องให้บริการที่ซับซ้อนแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน และเพื่อรับมือกับความต้องการใหม่ๆ เหล่านี้ องค์กรต่างๆ จึงต้องหาทางปรับปรุงศูนย์ข้อมูลของตนให้ทันสมัยและสอดรับกับธุรกิจในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม องค์กรต่างๆ มักประสบปัญหากับโครงสร้างพื้นฐานแบบเดิมที่ไม่ยืดหยุ่น ล้าสมัย และไม่เกี่ยวข้องกัน ดังนั้น เพื่อให้เกิดความทันสมัยและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ องค์กรจำเป็นต้องมีแพลตฟอร์มโครงสร้างพื้นฐานที่ยืดหยุ่นซึ่งให้ SLA ที่เข้มงวด, ลดความซับซ้อนในการดำเนินงาน และเพิ่มความคล่องตัว เพื่อรองรับปริมาณงานทั้งแบบดั้งเดิมและแบบคลาวด์ได้อย่างยอดเยี่ยม

แพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวและทันสมัย

แพลตฟอร์มที่กำหนดโดยซอฟต์แวร์นั้น ได้มอบทางเลือกที่น่าสนใจในการสร้างความคล่องตัวขององค์กร ซึ่งรวมเอาทั้งฮาร์ดแวร์ที่ได้รับการรองรับตามมาตรฐานอุตสาหกรรม ผนวกเข้ากับซอฟต์แวร์อัจฉริยะเข้าด้วยกัน เพื่อแบ่งปันและจัดการทรัพยากรได้อย่างชาญฉลาด อย่างไรก็ตามเมื่อองค์กรต้องเลือกแพลตฟอร์มดังกล่าวมาใช้งาน จำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยที่สำคัญดังนี้:

• ต้องให้ SLA ที่เข้มงวดและคาดการณ์ได้ รองรับเวิร์กโหลดขนาดใหญ่ นอกจากนี้ยังต้องสามารถให้ความน่าเชื่อถือ ความปลอดภัย และบริการข้อมูลที่สำคัญได้อีกด้วย
• แพลตฟอร์มต้องให้ความความยืดหยุ่นในระดับสูง รองรับการทำงานในสถาปัตยกรรมที่หลากหลาย สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของปริมาณงาน และความต้องการในการปรับขนาด
• ต้องเพิ่มความเรียบง่ายและความคล่องตัวของสภาพแวดล้อมได้ดีกว่าเดิม ด้วยการอนุญาตให้ผู้ดูแลระบบจัดการขั้นตอนการทำงานของโครงสร้างพื้นฐานให้เป็นไปแบบอัตโนมัติ

PowerFlex: โครงสร้างพื้นฐานที่กำหนดโดยซอฟต์แวร์สายพันธุ์ใหม่

Dell EMC PowerFlex ตอบโจทย์ตรงตามวัตถุประสงค์ด้านไอทีที่จำเป็น ทำให้องค์กรสามารถใช้ประโยชน์จากพลังของซอฟต์แวร์และพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง และยังให้ผลลัพธ์ที่คาดการณ์ได้อย่างสม่ำเสมอสำหรับเวิร์กโหลดงานที่มีความสำคัญ

PowerFlex เป็นแพลตฟอร์มสมัยใหม่ ที่ให้ความยืดหยุ่นและสร้างประสิทธิภาพได้อย่างมหาศาล และสามารถปรับขนาดได้โดยตรง ในขณะเดียวกันก็ทำให้การจัดการโครงสร้างพื้นฐานได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นรากฐานในอุดมคติสำหรับองค์กร ในการปรับปรุงแอปพลิเคชันที่มีความสำคัญให้ทันสมัย รวมภาระงานที่ต่างกันเข้าด้วยกัน และสร้างคลาวด์ส่วนตัวและแบบไฮบริดที่มีความคล่องตัวได้

ส่งมอบ SLA ที่เข้มงวดได้อย่างง่ายดาย

PowerFlex ใช้ประโยชน์จากซอฟต์แวร์ในการปลดปล่อยศักยภาพเพื่อความก้าวหน้าที่รวดเร็วในฮาร์ดแวร์มาตรฐานอุตสาหกรรม และให้ผลลัพธ์ SLA ที่เหนือชั้น PowerFlex รวบรวมทรัพยากรทั่วทั้งชุด Node ปลดล็อก I/O ขนาดใหญ่ และประสิทธิภาพด้านปริมาณงาน ในขณะลดลาเทนซีในการใช้งานลงไป
ด้วยระบบโครงสร้างแบบสมดุลในตัวเองที่ช่วยขจัดปัญหาต่างๆ ได้ พร้อมสร้างความมั่นใจในการทำงานได้อย่างต่อเนื่อง สามารถขยายระบบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน จาก Node เพียง 4 Node ไปจนถึง 1,000 Node ได้อย่างต่อเนื่อง PowerFlex จึงจัดการกับดาวน์ไทม์ที่ต่างๆ โดยให้ความพร้อมในการใช้งานได้ในระดับ 99.9999% นอกจากนี้ PowerFlex ยังมีการกำหนดค่าทรัพยากรที่หลากหลาย ช่วยให้คุณบรรลุวัตถุประสงค์ด้านสมรรถนะได้อย่างแม่นยำด้วยตัวเลือก CPU ที่ครอบคลุม (Intel และ AMD) ตัวเลือก GPU ประเภทของไดรฟ์ที่หลากหลาย รวมถึง SAS, NVMe และหน่วยความจำ Intel Optane และตัวเลือกเครือข่ายซึ่งได้แก่ ตัวเลือกเครือข่ายแบบ 25GbE และ 100GbE

พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง

PowerFlex มอบความคล่องตัวในการเปลี่ยนแปลงที่ช่วยให้องค์กรสามารถตอบสนองความต้องการทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วได้ PowerFlex มีความยืดหยุ่นในการผสมผสานและจับคู่หน่วยเก็บข้อมูล โหนดประมวลผล และ Node HCI ในการปรับใช้แบบไดนามิก ช่วยให้คุณปรับขนาดพื้นที่จัดเก็บและประมวลผลทรัพยากรพร้อมกันหรือแยกจากกันได้ ครั้งละ 1 Node และตามความต้องการของคุณ แพลตฟอร์มนี้ยังสามารถสนับสนุนสภาพแวดล้อมการทำงานที่หลากหลายพร้อมกันได้ ไม่ว่าจะเป็น ระบบปฏิบัติการ Bare Metal ไฮเปอร์ไวเซอร์ และแพลตฟอร์มคอนเทนเนอร์ – ด้วยแพลตฟอร์มโครงสร้างพื้นฐานและการจัดการที่เป็นหนึ่งเดียวกันนี้ คุณสามารถสนับสนุนภาระงานที่มีความต้องการแตกต่างกัน บนแพลตฟอร์มโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้ร่วมกันแบบยืดหยุ่นได้ และปรับปรุงระบบโครงสร้างของแอปพลิเคชันของคุณให้ทันสมัยตามกำหนดเวลาของคุณได้

โครงสร้างพื้นฐานของ PowerFlex สามารถกำหนดค่าใหม่ได้อย่างรวดเร็วตามความจำเป็นเพื่อตอบสนองความต้องการของภาระงานที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีตัวเลือกการบริโภคที่สร้างขึ้นบนพื้นฐานของนวัตกรรมภายในเซิร์ฟเวอร์ PowerEdge รุ่นล่าสุดของ Dell โดยแร็คของ PowerFlex นั้น ได้รับการออกแบบมาเพื่อลดความซับซ้อนในการปรับใช้และเร่งเวลาในการสร้างมูลค่าเพิ่มขึ้น ลูกค้าสามารถเริ่มต้นจากขนาดเล็กและปรับระดับได้ด้วยอุปกรณ์ และเมื่อมีความต้องการมากขึ้น PowerFlex จะมีการจัดการการดำเนินงานด้านไอที (ITOM) และวงจรชีวิต (LCM) อย่างเต็มรูปแบบด้วย PowerFlex Manager เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างเต็มที่พร้อมกับการจัดการต้นทุนไปพร้อมกัน คุณสามารถใช้ PowerFlex โดยเลือกรูปแบบการใช้ OPEX จากโซลูชัน APEX Custom ของเดลล์ เทคโนโลยีส์ ได้แก่ APEX Flex on Demand หรือ APEX Datacenter Utility

ให้ผลลัพธ์ที่คาดการณ์ได้

PowerFlex ออกแบบตั้งแต่เริ่มต้น จนกระทั่งสามารถให้ผลลัพธ์ที่คาดการณ์ได้อย่างสม่ำเสมอ สำหรับภาวะแวดล้อมที่สำคัญต่อภารกิจที่เป็นความต้องการที่มากที่สุดของคุณ มีการปรับระบบให้เหมาะสมกับเวิร์กโหลดที่หลากหลายตั้งแต่ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์แบบดั้งเดิม และฐานข้อมูล NoSQL ในรูปแบบของการพัฒนาแอปลิเคชั่นยุคใหม่ ไปจนถึงภาระงานด้านการวิเคราะห์ที่เน้นปริมาณงาน

PowerFlex ช่วยสร้างระบบขนาดใหญ่สำหรับระบบคลาวด์อัตโนมัติและแพลตฟอร์มการจัดการคอนเทนเนอร์ พร้อมความสามารถด้านระบบอัตโนมัติที่ครอบคลุมด้วย PowerFlex Manager REST API และโมดูล Ansible แบบกำหนดค่าเอง เพื่อรวมเข้ากับโครงสร้างพื้นฐาน แอปพลิเคชัน และขั้นตอนในการประมวลผล DevOps

PowerFlex Manager ช่วยให้คุณทำการดีพลอยและการขยายระบบแบบอัตโนมัติ โดยใช้เวลาเพียงเล็กน้อย ทำให้ทีมไอทีมีเวลาเพื่อไปที่การริเริ่มเชิงกลยุทธ์อื่นๆ ได้ และด้วยความสามารถขั้นสูงอย่างเช่นเช่น การจำลองแบบดั้งเดิม การบีบอัด และการเข้ารหัสแบบผสมผสาน และการปฏิบัติตามข้อกำหนด FIP-140-2 ทำให้การจัดการและการป้องกันข้อมูลง่ายขึ้น และทำให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยได้ เมื่อรวมกับ VMware Site Recovery Manager (SRM) แล้ว PowerFlex จะสามารถกู้คืนระบบจากผลกระทบจากภัยพิบัติและสร้างความต่อเนื่องทางธุรกิจได้ อีกทั้งการรองรับ Native CloudIQ ช่วยลดความยุ่งยากในการจัดการโครงสร้างพื้นฐานได้ในวงกว้าง ในขณะที่มีการผสานรวมกับ AppSync จะทำให้เกิดการจัดการสำเนาข้อมูลและการปกป้องข้อมูลของแอปพลิเคชัน

PowerFlex มอบผลลัพธ์ SLA ที่ยอดเยี่ยม ในขณะเดียวกันก็ช่วยให้คุณพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงและให้ความสามารถในการคาดการณ์ได้ในการเพิ่มปริมาณงานที่มีความสำคัญต่อภารกิจที่หลากหลาย PowerFlex เติมพลังให้ศูนย์ข้อมูลที่ทันสมัยของคุณ ดังนั้น ไอทีของคุณจะเป็นผุ้เปิดใช้งานและเป็นรากฐานที่สำคัญในนวัตกรรมทางธุรกิจของคุณ

G-Able มีทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญคอยช่วยให้คำปรึกษาตั้งแต่การออกแบบ Solution และการติดตั้ง รวมถึงบริการหลังการขาย โดยเป็นการให้บริการแบบครบวงจร สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : contactcenter@g-able.com โทร. 02-781-9333

from:https://www.enterpriseitpro.net/dell-emc-powerflex-g-able/

PowerFlex เทคโนโลยีระบบอินฟราสตรัคเจอร์สุดล้ำ สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์สมัยใหม่โดยเฉพาะ

เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นศูนย์กลางในการทำงานของธุรกิจในปัจจุบัน ที่ช่วยสร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขันอย่างมาก องค์กรต่างๆ จำเป็นต้องให้บริการที่ซับซ้อนแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน และเพื่อรับมือกับความต้องการใหม่ๆ เหล่านี้ องค์กรต่างๆ จึงต้องหาทางปรับปรุงศูนย์ข้อมูลของตนให้ทันสมัยและสอดรับกับธุรกิจในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม องค์กรต่างๆ มักประสบปัญหากับโครงสร้างพื้นฐานแบบเดิมที่ไม่ยืดหยุ่น ล้าสมัย และไม่เกี่ยวข้องกัน ดังนั้น เพื่อให้เกิดความทันสมัยและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ องค์กรจำเป็นต้องมีแพลตฟอร์มโครงสร้างพื้นฐานที่ยืดหยุ่นซึ่งให้ SLA ที่เข้มงวด, ลดความซับซ้อนในการดำเนินงาน และเพิ่มความคล่องตัว เพื่อรองรับปริมาณงานทั้งแบบดั้งเดิมและแบบคลาวด์ได้อย่างยอดเยี่ยม

แพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวและทันสมัย

แพลตฟอร์มที่กำหนดโดยซอฟต์แวร์นั้น ได้มอบทางเลือกที่น่าสนใจในการสร้างความคล่องตัวขององค์กร ซึ่งรวมเอาทั้งฮาร์ดแวร์ที่ได้รับการรองรับตามมาตรฐานอุตสาหกรรม ผนวกเข้ากับซอฟต์แวร์อัจฉริยะเข้าด้วยกัน เพื่อแบ่งปันและจัดการทรัพยากรได้อย่างชาญฉลาด อย่างไรก็ตามเมื่อองค์กรต้องเลือกแพลตฟอร์มดังกล่าวมาใช้งาน จำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยที่สำคัญดังนี้:

• ต้องให้ SLA ที่เข้มงวดและคาดการณ์ได้ รองรับเวิร์กโหลดขนาดใหญ่ นอกจากนี้ยังต้องสามารถให้ความน่าเชื่อถือ ความปลอดภัย และบริการข้อมูลที่สำคัญได้อีกด้วย
• แพลตฟอร์มต้องให้ความความยืดหยุ่นในระดับสูง รองรับการทำงานในสถาปัตยกรรมที่หลากหลาย สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของปริมาณงาน และความต้องการในการปรับขนาด
• ต้องเพิ่มความเรียบง่ายและความคล่องตัวของสภาพแวดล้อมได้ดีกว่าเดิม ด้วยการอนุญาตให้ผู้ดูแลระบบจัดการขั้นตอนการทำงานของโครงสร้างพื้นฐานให้เป็นไปแบบอัตโนมัติ

PowerFlex: โครงสร้างพื้นฐานที่กำหนดโดยซอฟต์แวร์สายพันธุ์ใหม่

PowerFlex ตอบโจทย์ตรงตามวัตถุประสงค์ด้านไอทีที่จำเป็น ทำให้องค์กรสามารถใช้ประโยชน์จากพลังของซอฟต์แวร์และพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง และยังให้ผลลัพธ์ที่คาดการณ์ได้อย่างสม่ำเสมอสำหรับเวิร์กโหลดงานที่มีความสำคัญ

PowerFlex เป็นแพลตฟอร์มสมัยใหม่ ที่ให้ความยืดหยุ่นและสร้างประสิทธิภาพได้อย่างมหาศาล และสามารถปรับขนาดได้โดยตรง ในขณะเดียวกันก็ทำให้การจัดการโครงสร้างพื้นฐานได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นรากฐานในอุดมคติสำหรับองค์กร ในการปรับปรุงแอปพลิเคชันที่มีความสำคัญให้ทันสมัย รวมภาระงานที่ต่างกันเข้าด้วยกัน และสร้างคลาวด์ส่วนตัวและแบบไฮบริดที่มีความคล่องตัวได้

ส่งมอบ SLA ที่เข้มงวดได้อย่างง่ายดาย

PowerFlex ใช้ประโยชน์จากซอฟต์แวร์ในการปลดปล่อยศักยภาพเพื่อความก้าวหน้าที่รวดเร็วในฮาร์ดแวร์มาตรฐานอุตสาหกรรม และให้ผลลัพธ์ SLA ที่เหนือชั้น PowerFlex รวบรวมทรัพยากรทั่วทั้งชุด Node ปลดล็อก I/O ขนาดใหญ่ และประสิทธิภาพด้านปริมาณงาน ในขณะลดลาเทนซีในการใช้งานลงไป
ด้วยระบบโครงสร้างแบบสมดุลในตัวเองที่ช่วยขจัดปัญหาต่างๆ ได้ พร้อมสร้างความมั่นใจในการทำงานได้อย่างต่อเนื่อง สามารถขยายระบบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน จาก Node เพียง 4 Node ไปจนถึง 1,000 Node ได้อย่างต่อเนื่อง PowerFlex จึงจัดการกับดาวน์ไทม์ที่ต่างๆ โดยให้ความพร้อมในการใช้งานได้ในระดับ 99.9999% นอกจากนี้ PowerFlex ยังมีการกำหนดค่าทรัพยากรที่หลากหลาย ช่วยให้คุณบรรลุวัตถุประสงค์ด้านสมรรถนะได้อย่างแม่นยำด้วยตัวเลือก CPU ที่ครอบคลุม (Intel และ AMD) ตัวเลือก GPU ประเภทของไดรฟ์ที่หลากหลาย รวมถึง SAS, NVMe และหน่วยความจำ Intel Optane และตัวเลือกเครือข่ายซึ่งได้แก่ ตัวเลือกเครือข่ายแบบ 25GbE และ 100GbE

พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง

PowerFlex มอบความคล่องตัวในการเปลี่ยนแปลงที่ช่วยให้องค์กรสามารถตอบสนองความต้องการทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วได้ PowerFlex มีความยืดหยุ่นในการผสมผสานและจับคู่หน่วยเก็บข้อมูล โหนดประมวลผล และ Node HCI ในการปรับใช้แบบไดนามิก ช่วยให้คุณปรับขนาดพื้นที่จัดเก็บและประมวลผลทรัพยากรพร้อมกันหรือแยกจากกันได้ ครั้งละ 1 Node และตามความต้องการของคุณ แพลตฟอร์มนี้ยังสามารถสนับสนุนสภาพแวดล้อมการทำงานที่หลากหลายพร้อมกันได้ ไม่ว่าจะเป็น ระบบปฏิบัติการ Bare Metal ไฮเปอร์ไวเซอร์ และแพลตฟอร์มคอนเทนเนอร์ – ด้วยแพลตฟอร์มโครงสร้างพื้นฐานและการจัดการที่เป็นหนึ่งเดียวกันนี้ คุณสามารถสนับสนุนภาระงานที่มีความต้องการแตกต่างกัน บนแพลตฟอร์มโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้ร่วมกันแบบยืดหยุ่นได้ และปรับปรุงระบบโครงสร้างของแอปพลิเคชันของคุณให้ทันสมัยตามกำหนดเวลาของคุณได้

โครงสร้างพื้นฐานของ PowerFlex สามารถกำหนดค่าใหม่ได้อย่างรวดเร็วตามความจำเป็นเพื่อตอบสนองความต้องการของภาระงานที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีตัวเลือกการบริโภคที่สร้างขึ้นบนพื้นฐานของนวัตกรรมภายในเซิร์ฟเวอร์ PowerEdge รุ่นล่าสุดของเดลล์ เทคโนโลยีส์ โดยแร็คของ PowerFlex นั้น ได้รับการออกแบบมาเพื่อลดความซับซ้อนในการปรับใช้และเร่งเวลาในการสร้างมูลค่าเพิ่มขึ้น ลูกค้าสามารถเริ่มต้นจากขนาดเล็กและปรับระดับได้ด้วยอุปกรณ์ และเมื่อมีความต้องการมากขึ้น PowerFlex จะมีการจัดการการดำเนินงานด้านไอที (ITOM) และวงจรชีวิต (LCM) อย่างเต็มรูปแบบด้วย PowerFlex Manager เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างเต็มที่พร้อมกับการจัดการต้นทุนไปพร้อมกัน คุณสามารถใช้ PowerFlex โดยเลือกรูปแบบการใช้ OPEX จากโซลูชัน APEX Custom ของเดลล์ เทคโนโลยีส์ ได้แก่ APEX Flex on Demand หรือ APEX Datacenter Utility

ให้ผลลัพธ์ที่คาดการณ์ได้

PowerFlex ออกแบบตั้งแต่เริ่มต้น จนกระทั่งสามารถให้ผลลัพธ์ที่คาดการณ์ได้อย่างสม่ำเสมอ สำหรับภาวะแวดล้อมที่สำคัญต่อภารกิจที่เป็นความต้องการที่มากที่สุดของคุณ มีการปรับระบบให้เหมาะสมกับเวิร์กโหลดที่หลากหลายตั้งแต่ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์แบบดั้งเดิม และฐานข้อมูล NoSQL ในรูปแบบของการพัฒนาแอปลิเคชั่นยุคใหม่ ไปจนถึงภาระงานด้านการวิเคราะห์ที่เน้นปริมาณงาน

PowerFlex ช่วยสร้างระบบขนาดใหญ่สำหรับระบบคลาวด์อัตโนมัติและแพลตฟอร์มการจัดการคอนเทนเนอร์ พร้อมความสามารถด้านระบบอัตโนมัติที่ครอบคลุมด้วย PowerFlex Manager REST API และโมดูล Ansible แบบกำหนดค่าเอง เพื่อรวมเข้ากับโครงสร้างพื้นฐาน แอปพลิเคชัน และขั้นตอนในการประมวลผล DevOps

PowerFlex Manager ช่วยให้คุณทำการดีพลอยและการขยายระบบแบบอัตโนมัติ โดยใช้เวลาเพียงเล็กน้อย ทำให้ทีมไอทีมีเวลาเพื่อไปที่การริเริ่มเชิงกลยุทธ์อื่นๆ ได้ และด้วยความสามารถขั้นสูงอย่างเช่นเช่น การจำลองแบบดั้งเดิม การบีบอัด และการเข้ารหัสแบบผสมผสาน และการปฏิบัติตามข้อกำหนด FIP-140-2 ทำให้การจัดการและการป้องกันข้อมูลง่ายขึ้น และทำให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยได้ เมื่อรวมกับ VMware Site Recovery Manager (SRM) แล้ว PowerFlex จะสามารถกู้คืนระบบจากผลกระทบจากภัยพิบัติและสร้างความต่อเนื่องทางธุรกิจได้ อีกทั้งการรองรับ Native CloudIQ ช่วยลดความยุ่งยากในการจัดการโครงสร้างพื้นฐานได้ในวงกว้าง ในขณะที่มีการผสานรวมกับ AppSync จะทำให้เกิดการจัดการสำเนาข้อมูลและการปกป้องข้อมูลของแอปพลิเคชัน

PowerFlex มอบผลลัพธ์ SLA ที่ยอดเยี่ยม ในขณะเดียวกันก็ช่วยให้คุณพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงและให้ความสามารถในการคาดการณ์ได้ในการเพิ่มปริมาณงานที่มีความสำคัญต่อภารกิจที่หลากหลาย PowerFlex เติมพลังให้ศูนย์ข้อมูลที่ทันสมัยของคุณ ดังนั้น ไอทีของคุณจะเป็นผุ้เปิดใช้งานและเป็นรากฐานที่สำคัญในนวัตกรรมทางธุรกิจของคุณ

G-Able มีทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญคอยช่วยให้คำปรึกษาตั้งแต่การออกแบบ Solution และการติดตั้ง รวมถึงบริการหลังการขาย โดยเป็นการให้บริการแบบครบวงจร สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : contactcenter@g-able.com โทร. 02-781-9333

from:https://www.enterpriseitpro.net/powerflex-g-able/

เพิ่มศักยภาพการเรียนการสอนแบบอัจฉริยะ ด้วย Huawei IdeaHub

จากการเรียนการสอนในช่วงที่มีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) เป็นตัวผลักดันสำคัญให้ทั้งอาจารย์ผู้สอนและนักเรียนต้องปรับตัว โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยให้สามารถทำการเรียนการสอนในช่วงเวลาดังกล่าว และการเรียนการสอนหลังจากนี้จะต้องมีการปรับปรุงให้เข้ากับการเรียนการสอนยุคใหม่ที่ได้เปลี่ยนแปลงไปสู่ Hybrid Learning

ระบบห้องเรียนอัจฉริยะ (Smart Classroom solution) คืออะไร?

เป็นระบบห้องเรียนที่ถูกออกแบบและพัฒนาด้วยอุปกรณ์และเทคโนโลยีด้านดิจิทัล เพื่อช่วยเสริมการเรียนรู้และการสื่อสารระหว่างครูผู้สอน วิทยากร กับนักเรียนนักศึกษา หรือ ผู้เข้าร่วมประชุม/ผู้เข้าร่วมสัมมนา ให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น โดยรูปแบบการเรียนการสอนนั้นกระทำได้ทั้งแบบในห้องเรียน/ห้องสัมมนา หรือจะผ่านทางระบบประชุมทางไกลผ่านทางออนไลน์ โดยผู้เรียนหรือผู้เข้าร่วมประชุมอาจจะอยู่ในสถานที่อื่นก็ได้เช่นกัน อีกทั้งในกรณีของการเรียนการสอนเราสามารถดึงเอาข้อมูลที่จำเป็นต้องใช้งานหรือต้องค้นหาผ่านทางอินเทอร์เน็ตได้ทันที สิ่งที่เกิดขึ้นนี้จึงทำให้ระบบการเรียนการสอนถูกพัฒนาให้ล้ำสมัยและช่วยให้ผู้เรียนหรือผู้เข้าประชุมเข้าใจสิ่งที่กำลังศึกษาหรือเรียนรู้ได้ดีมากขึ้นกว่าระบบเดิม

คุณสมบัติพิเศษของระบบห้องเรียนอัจฉริยะของหัวเว่ย

ระบบห้องเรียนอัจฉริยะของหัวเว่ย Smart Classroom solution ออกแบบมาสำหรับยกระดับห้องเรียน และเพื่อตอบสนองการเรียน การสอนในปัจจุบันและอนาคต เพื่อช่วยเพิ่มขีดความสามารถและเพิ่มประสิทธิภาพของทั้งครู อาจารย์ และนักเรียนให้ง่าย และทันสมัย รวมถึงมีความอัจฉริยะมากขึ้น

ให้ความสามารถในการเรียนการสอนที่หลากหลาย

โดยหัวเว่ยได้รวมความสามารถของอุปกรณ์ที่มีอยู่ พร้อมทั้งระบบแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ เพื่อสร้างระบบห้องเรียนอัจฉริยะให้ตอบสนองความต้องการของระบบการศึกษาในปัจจุบันและอนาคต โดยสามารถแยกออกได้เป็น

การเรียนการสอนในรูปแบบ Digital Classroom

โดยอุปกรณ์ Idea Hub พร้อมทั้ง Digital Board จะทำให้อาจารย์สามารถนำความรู้ในรูปแบบต่าง ๆ มาผสมผสานในการสอนกับนักเรียน นักศึกษาได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการแสดงรูปภาพ วีดีโอ การเขียน การจดบันทึก รวมถึงการรับส่งไฟล์ ต่าง ๆ และสามารถทำการแชร์ข้อมูลได้ผ่านทาง QR Code ไปที่นักเรียนได้อย่างง่ายดาย

การเรียนการสอนในรูปแบบ Collaboration หรือ Group discussion

โดยการใช้อุปกรณ์ Idea Hub เสริมเข้ามาในชั้นเรียน และจับกลุ่มนักเรียน เพื่อให้สามารถมีการพูดคุย วิจารณ์ ทำงานกลุ่ม รวมถึงให้ห้องเรียนขนาดใหญ่ ได้เห็นข้อมูลพร้อม ๆ กัน ได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น และให้นักเรียนกลุ่มต่าง ๆ สามารถแสดงความคิดเห็น พร้อมทั้งพรีเซนต์ข้อมูลในกลุ่มของตัวเองไปยังกลุ่มต่าง ๆ ได้พร้อมกันอีกด้วย

การเรียนการสอนในรูปแบบของ Hybrid

โดยใช้อุปกรณ์ Idea Hub ในการทำการเรียนการสอน ที่ห้องปกติ และทำการกระจายการสอน ให้เป็นออนไลน์ไปยังนักเรียนที่อยู่ในที่ต่าง ๆ โดยการใช้อุปกรณ์เสริมในเรื่องของ กล้อง เครื่องเสียง ฯลฯ เพื่อให้การเรียนการสอนมีประโยชน์สูงสุด และยังสามารถใช้ได้กับ platform การเรียนออนไลน์ได้เกือบทุกยี่ห้อ

Huawei IdeaHub เหมาะกับทุกหน่วยงานอย่างแท้จริง

Huawei IdeaHub เป็นระบบที่จะให้คุณสามารถสร้างห้องเรียนอัจฉริยะที่สามารถตอบสนองการเรียนการสอนในแนวใหม่ หรือ New Normal ได้เป็นอย่างดี มาพร้อมฟีเจอร์ฟังก์ชันการทำงานที่ครบถ้วน ช่วยยกระดับด้านการศึกษาในยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง โดยองค์กรที่สามารถนำเอาไปใช้งานได้จริงๆ ตัวอย่างสถาบันการศึกษา ที่นำเอามาเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่ทั้งครูผู้สอนและเด็กนักเรียนนักศึกษา รวมถึงหน่วยงานและบริษัทต่างๆ สำหรับใช้ในการประชุมทั้งในห้องประชุมและนอกสถานที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

G-Able มีทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญคอยช่วยให้คำปรึกษาตั้งแต่การออกแบบ Solution และการติดตั้ง รวมถึงบริการหลังการขาย โดยเป็นการให้บริการแบบครบวงจร สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : contactcenter@g-able.com โทร. 02-781-9333

from:https://www.enterpriseitpro.net/huawei-ideahub-smart-classroom-solution/

จีเอเบิล เตรียมเป็น “Tech Enabler” ตั้งเป้ายอด 10,000 ล้านบาทใน 5 ปี

กลุ่มบริษัทจีเอเบิล (G-Able) ผู้นำด้าน “Tech Enabler” ที่ช่วยยกระดับธุรกิจสู่ยุคดิจิทัลในทุกมิติ ประกาศทิศทางการดำเนินธุรกิจปี 2565 ด้วยความมุ่งมั่นที่จะ “Reshaping The Next” ยกระดับจาก System Integration Plus Plus: SI++ ก้าวสู่การเป็น “Tech Enabler” ผู้นำศักยภาพความพร้อมทางเทคโนโลยีทุกด้านเพื่อช่วยให้องค์กรธุรกิจเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและมีความปลอดภัยจากภัยไซเบอร์ในโลกยุคดิจิทัล พร้อมตอกย้ำความสำเร็จที่ผ่านมาด้วยตัวเลขยอดขาย รายได้ และกำไรที่เติบโตต่อเนื่องกว่าเท่าตัว พร้อมตั้งเป้ายอดขาย 10,000 ล้านบาทใน 5 ปี

ดร.ชัยยุทธ ชุณหะชา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทจีเอเบิล กล่าวว่า “ปี 2564 เป็นปีที่จีเอเบิลประสบความสำเร็จอย่างมากทั้งยอดขายและรายได้ในทุกพอร์ตฟอลิโอโดยกลุ่มโซลูชัน G Security ของบริษัทฯ ขยายตัวเกินความคาดหมาย ด้วยยอดขายกว่า 1,000 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น (CAGR) 42% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการตอกย้ำจุดยืนของจีเอเบิลในฐานะผู้นำทางด้าน Cybersecurity ของประเทศไทย

ส่วนกลุ่มโซลูชัน G Cloud มีอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ถึง 33% ในช่วง 3 ปีเช่นกัน และกลุ่มโซลูชัน G Big Data เติบโตขึ้น 33% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ในขณะที่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ G Digital Product ก็เติบโตขึ้นถึง 76% ในระยะเวลาเดียวกัน ซึ่งทั้งหมดนี้ ส่งผลให้กำไรของจีเอเบิลสูงขึ้น และมีกำไรขั้นต้น (GP) สูงขึ้นถึงเกือบ 200 BPS ในปี 2564 นี่คือความสำเร็จในส่วนของธุรกิจหลักของจีเอเบิล ซึ่งถือว่าเป็น cash cow และฐานรากที่สำคัญ”

“ความสำเร็จและการเติบโตดังกล่าวเป็นไปตามแผนธุรกิจตามกลยุทธ์ G-Able Tree ที่เราได้ประกาศไว้ในปีที่แล้ว ซึ่งเราเปรียบธุรกิจของจีเอเบิลเหมือนต้นไม้ที่มีธุรกิจหลักเป็นรากอันมั่นคง และแตกแขนงกิ่งก้านอย่างแข็งแรงเป็นธุรกิจ Startup นอกจากนี้ ความมุ่งมั่นของเราที่จะ “Reshaping the Next” หรือการสร้างการเติบโตจากโอกาสที่มีอยู่ในตลาดที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ประกอบกับวิสัยทัศน์ของบริษัทฯ ที่ชัดเจน พร้อมกับการมีผลิตภัณฑ์และบริการที่ดี ทำให้เราสามารถช่วยยกระดับลูกค้าในหลายอุตสาหกรรมเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจดิจิทัลที่พร้อมสำหรับอนาคต” ดร.ชัยยุทธกล่าว

from:https://www.enterpriseitpro.net/gable-tech-enabler/

ว้าว!! ตามไปดูระบบ “CiRA CORE” แพลตฟอร์ม AI สัญชาติไทย

รศ.ดร.ศิริเดช บุญแสง คณบดี คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง หนึ่งในหัวเรือสำคัญผู้สร้างแพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์ (AI) สัญชาติไทยที่ชื่อว่า CiRA CORE (ซีร่า คอร์) กล่าวว่า “โครงการ CiRA CORE ถูกพัฒนาขึ้นเมื่อปี 2562 เป็นงานวิจัยที่ได้รับความร่วมมือของ 3 สถาบันการศึกษาชั้นนำ คือ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และมหาวิทยาลัยขอนแก่น ผนวกความร่วมมือจากพันธมิตรที่เป็นบริษัทเอกชนชั้นนำของประเทศ ซึ่งปัจจุบันนี้ CiRA CORE ได้มีการพัฒนาเสร็จสมบูรณ์และมีการนำมาใช้ในภาคอุตสาหกรรมเรียบร้อยแล้ว”

ในปัจจุบัน CiRA CORE ถูกนำไปใช้งานอย่างหลากหลาย เช่น นำ AI ไปตรวจสอบคุณภาพของหน้ากากอนามัย การช่วยตรวจสอบตำแหน่งของการเติมปูนในรถบรรทุกในภาคอุตสาหกรรมอย่างโรงงานปูนซีเมนต์ และยังมีการใช้ตรวจเชื้อไวรัสโควิดกลายพันธุ์สนับสนุนการทำงานของทีมแพทย์ในการวิเคราะห์สายพันธุกรรมของไวรัสจากตัวอักษร เพื่อให้สามารถมองภาพรวมแล้วเทียบได้ว่าเป็นไวรัสสายพันธุ์ใด ความแม่นยำสูงถึง 99% โดยในปีนี้มีโอกาสได้รับความร่วมมือจากกลุ่มบริษัทจีเอเบิลที่มีเป้าหมายเดียวกัน ที่อยากเห็นเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมของไทยสามารถใช้งานได้จริงและแข่งขันในระดับนานาประเทศได้ โดยจีเอเบิลเข้ามาช่วยทางเทคนิคหลายด้าน อาทิ เครือข่าย สตอเรจ การออกแบบระบบ ซึ่งต้องสอดรับกับแผนการเติบโตของ CiRA CORE โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จีเอเบิลช่วยในเรื่องการจัดหาเครื่องมือที่ต้องมีพลังการประมวลระดับสูงอย่างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ เพื่อนำมาสร้างโมเดล สร้างเซิร์ฟเวอร์ AI นั่นคือการจัดหา NVIDIA DGX A100 ที่สามารถตอบโจทย์ระบบการทำงานของแพลตฟอร์ม CiRA CORE ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ดร. ชัยยุทธ ชุณหะชา กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัทจีเอเบิล กล่าวว่า “จีเอเบิลมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนโครงการ CiRA CORE แพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์ที่เป็นของไทยเอง โดยจีเอเบิลได้เข้ามาช่วยในเรื่องการติดตั้งเครื่อง ‘NVIDIA DGX A100’ ซึ่งมีประสิทธิภาพ เป็นศูนย์ข้อมูลแบบเร่งความเร็วระดับ 5 Petaflops ซี่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะกับการทำปัญญาประดิษฐ์ สิ่งสำคัญที่ช่วยนักวิจัยในการเร่งสปีดของงานวิจัยและนวัตกรรม ทั้งด้านประสิทธิภาพและลดระยะเวลาในการประมวลผล การที่จีเอเบิลได้มีโอกาสเข้ามาสนับสนุนในครั้งนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้เห็นเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ถูกพัฒนาจากบุคลากรของไทยที่มีความรู้ความสามารถ ในการนำไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่แพ้แพลตฟอร์มจากต่างประเทศ ที่ผ่านการพิสูจน์และได้การยอมรับจากสถาบันการศึกษา ภาคธุรกิจ และภาคอุตสาหกรรมของไทย”

รศ.ดร.ศิริเดช บุญแสง คณบดี คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง

“สิ่งที่หวังไว้คือ CiRA CORE จะต้องเป็นแพลตฟอร์มที่คนไทยพัฒนาประสบความสำเร็จ และอยู่ในตลาดอย่างต่อเนื่อง และเป็นแพลตฟอร์มที่สามารถต่อยอดไปได้เรื่อยๆ สามารถออกบริการใหม่ๆ ถึงจะอยู่รอดในโลกของนวัตกรรมได้ นอกจากนี้ การที่ประเทศไทยมีแพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์ของคนไทยเอง มีข้อดีในหลายด้าน ยกตัวอย่างเช่น การขยายผลไปสู่เศรษฐกิจสรางสรรค์ ที่เราจะสามารถหารายได้โดยที่ไม่ต้องสูญเสียทรัพยากร โดยการจ่ายเงินราคาแพงเพื่อซื้อแอปพลิเคชันจากต่างชาติมาใช้ ซึ่งจะทำให้เราสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากร หลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง และพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยได้” รศ.ดร.ศิริเดช กล่าวเสริม

from:https://www.enterpriseitpro.net/ai-cira-core/

จีเอเบิล สนับสนุน รพ.พระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร สร้างศูนย์วิจัยนวัตกรรมทางการแพทย์

จีเอเบิล สนับสนุน รพ.พระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร สร้างศูนย์วิจัยนวัตกรรมทางการแพทย์แบบครบวงจรแห่งแรกของไทย ร่วมผลักดันวงการแพทย์สู่ Innovative Hospital

คุณนวลนิตย์ หงส์ประภาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานขายและพัฒนาธุรกิจ (ที่ 3 จากขวา) และคุณศัศยา อร่ามสินทรัพย์ ผู้อำนวยการฝ่ายขาย (ที่ 2 จากขวา) กลุ่มบริษัทจีเอเบิล ผู้นำในการให้บริการเทคโนโลยีสารสนเทศและดิจิทัลโซลูชันอย่างครบวงจร มอบเงินมูลค่า 1,000,000 บาท ให้กับโรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (ที่ 3 จากซ้าย) และรองศาสตราจารย์ นายแพทย์ประเสริฐ ตรีวิจิตรศิลป์ รองอธิการบดีฝ่ายการแพทย์และสุขภาพ (ผู้อำนวยการโรงพยาบาล) (ที่ 2 จากซ้าย) ให้เกียรติเป็นผู้รับมอบ เพื่อนำไปสมทบทุนสร้างโรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร จัดสร้างเป็นศูนย์วิจัยนวัตกรรมทางการแพทย์แบบครบวงจรแห่งแรกของไทยและอาเซียน ตลอดจนให้บริการรักษาพยาบาลคนไทยทุกวัย เพื่อรองรับวิกฤตสุขภาพในอนาคต

from:https://www.enterpriseitpro.net/innovative-hospital-gable/

5 ขั้นตอนในการเปลี่ยนแปลงไปใช้บริการคลาวด์ภายในองค์กร

แอปพลิเคชันบางตัวไม่สามารถทำงานบนระบบคลาวด์สาธารณะได้ ขั้นตอนต่อไปนี้คือวิธีเข้าถึงระบบคลาวด์

ในปัจจุบัน ระบบคลาวด์มีประโยชน์อยู่หลากหลายอย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้ว เช่น ช่วยในการลดต้นทุน การขยายขนาดบริการ การเพิ่มประสิทธิภาพและเพิ่มความคล่องตัว แต่ไม่ได้หมายความว่าระบบนี้จะเหมาะสำหรับทุกแอปพลิเคชัน ปริมาณงานและข้อมูลขององค์กร ปัญหาด้านของการปฏิบัติตามกฎระเบียบและความปลอดภัยทำให้ไม่สามารถย้ายการทำงานบางส่วนไปยังคลาวด์สาธารณะได้ ในขณะที่บางแอปพลิเคชันมีการทำงานร่วมกัน จึงทำให้ไม่สามารถย้ายไปทำงานบนคลาวด์ได้ ซึ่งในบางกรณี การย้ายไปอาจจะเป็นไปได้ยากหรือเป็นไปไม่ได้ในด้านการเงิน

อย่างไรก็ตาม การย้ายแอปพลิเคชันในองค์กรจากระบบคลาวด์สาธารณะไปยังแบบจำลองการใช้งานจะก่อให้เกิดประโยชน์มากขึ้น กล่าวได้ว่าระบบคลาวด์นี้จะเป็นตัวช่วยในการบริการ ซึ่งแบบจำลองนี้ ธุรกิจต่าง ๆ จะทำงานร่วมกับคู่ค้าที่มีโครงสร้างพื้นฐานและบริการภายในองค์กรที่สามารถช่วยตอบสนองความต้องการทั้งหมดซึ่งจะจ่ายเงินเฉพาะสิ่งที่ใช้เท่านั้น แบบจำลองเศรษฐกิจแบบคลาวด์นี้เปลี่ยนการใช้จ่ายจากค่าใช้จ่ายในด้านต้นทุนไปเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและช่วยให้บริษัทต่าง ๆ ปรับวงจรธุรกิจให้สอดคล้องกับค่าใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานได้ดียิ่งขึ้น

การใช้บริการคลาวด์ในสภาพแวดล้อมภายในองค์กรดูเหมือนเป็นเรื่องที่ยาก แต่ถ้าทำตามขั้นตอนทั้ง 5 ขั้นตอนต่อไปนี้ก็จะทำให้การเข้าถึงบริการเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น

ขั้นตอนที่ 1: ตัดสินใจในการย้ายแอปพลิเคชันและข้อมูล

เริ่มจากการกำหนดว่าควรจะย้าย ไม่ควรย้ายหรือไม่สามารถจะย้ายแอปพลิเคชันและข้อมูลใดไปยังระบบคลาวด์สาธารณะ จากนั้นรวบรวมรายการแอปพลิเคชันและข้อมูลให้ครบถ้วนพร้อมด้วยความต้องการและข้อกำหนด เช่น แอปพลิเคชันทำงานบนฮาร์ดแวร์ใด มีการออกแบบทางสถาปัตยกรรมอย่างไร ตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้ระบุการทำงานร่วมกันระหว่างแอปพลิเคชันต่าง ๆ รวมถึงวิธีและความถี่ที่แต่ละแอปพลิเคชันสื่อสารกัน ระบุข้อกำหนดด้านกฎระเบียบและความปลอดภัยสำหรับแต่ละแอปพลิเคชันและชุดข้อมูล รวมทั้งปัจจัยที่ก่อให้เกิดปัญหาหากบางแอปพลิเคชันมีการใช้งานมากขึ้นในบางช่วงเวลาของปี

ระบุความสำคัญทางธุรกิจของแต่ละแอปพลิเคชัน ชุดข้อมูลและสิ่งที่ไอทีต้องทำเพื่อปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจให้สอดคล้องกับโครงสร้างพื้นฐาน หากแอปพลิเคชันและชุดข้อมูลบางรายการมีความสำคัญน้อย สามารถลดประสิทธิภาพการทำงานลงได้เมื่อสร้างแบบจำลองใหม่ทางสถาปัตยกรรมที่มีประสิทธิภาพสูง หากเป็นบริษัททางการเงินที่มีการซื้อขายจำนวนมากหรือหากต้องการการทำงานแบบ Low latency ด้วยเหตุผลอื่นก็จำเป็นต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้น

สำหรับการตรวจสอบผลงานของแอปพลิเคชันทั้งหมดและพิจารณาที่จะเลิกใช้แอปพลิเคชันที่ซ้ำกันหรือไม่จำเป็น หลักการง่าย ๆ คือดูจากปริมาณงาน โดยร้อยละ 50 เป็นสิ่งที่ดีสำหรับการย้ายไปยังสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกว่า อีกร้อยละ 30 ควรอยู่ในที่เดิม และร้อยละ 20 ควรเลิกใช้

จากข้อมูลทั้งหมดนั้นจะสามารถตัดสินใจได้ว่าแอปพลิเคชันใดควรถูกตัดออก แอปพลิเคชันใดที่ควรคงไว้และแอปพลิเคชันใดที่เป็นตัวเลือกสำหรับแบบจำลองการใช้งานภายในองค์กร

ขั้นตอนที่ 2: กำหนดกรณีศึกษาทางธุรกิจสำหรับการโยกย้าย

ถัดไปคือการรวบรวมกรณีศึกษาทางธุรกิจ เพื่อเลือกว่าแอปพลิเคชันและข้อมูลใดควรถูกย้ายไปยังแบบจำลองการใช้งานภายในองค์กร ลองใช้เครื่องมือที่เป็นเกณฑ์ได้แก่ ความสะดวกและผลกระทบ ซึ่งใช้เมทริกซ์แบบสองต่อสอง: โดยในแกนหนึ่งให้ใส่คะแนนความความสะดวกในการย้ายแต่ละแอปพลิเคชันไปยังแบบจำลองภายในองค์กร และอีกแกนหนึ่ง ให้ใส่คะแนนผลกระทบทางธุรกิจของแอปพลิเคชันแต่ละรายการหากมีการเคลื่อนย้ายในบางกรณี การย้ายแอปพลิเคชันจะทำง่ายขึ้น ตัวอย่างเช่น การย้ายแอปพลิเคชันที่ทำงานบนฮาร์ดแวร์รุ่นเก่า เพื่อมาทำงานบนฮาร์ดแวร์ใหม่ภายในองค์กร อย่างไรก็ตามอาจทำได้ยากกว่าในกรณีอื่น ๆ — เช่น หากจำเป็นต้องออกแบบสถาปัตยกรรมของแอปพลิเคชันใหม่

เมื่อให้คะแนนทุกแอปพลิเคชันทั้งสองแกนแล้ว จะเห็นได้ชัดเจนว่าแอปพลิเคชันใดง่ายต่อการย้ายและแอปพลิเคชันใดจะมีผลกระทบทางธุรกิจมากที่สุดเมื่อถูกย้าย การทำแบบจำลองทางการเงินสำหรับแต่ละแอปพลิเคชัน เพื่อเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายในการปล่อยแอปพลิเคชันไว้ตามที่เป็นอยู่กับการย้ายแอปพลิเคชัน โดยขั้นแรก ระบุค่าใช้จ่ายในการปล่อยไว้ตามที่เป็นอยู่เดิม สำหรับแอปพลิเคชันที่ทำงานบนฮาร์ดแวร์รุ่นเก่า ให้ระบุพลังงานที่ใช้ ความต้องการในการระบายความร้อน ความต้องการพื้นที่กี่ตารางฟุตในศูนย์ข้อมูล ระยะเวลาที่ต้องใช้ในการดูแลระบบ และจำนวนใบอนุญาตที่ต้องการ นำหัวข้อทั้งหมดนี้มาคิดว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายเท่าใดในการทำงานของแอปพลิเคชันบนฮาร์ดแวร์รุ่นเก่าในแต่ละปี

เปรียบเทียบค่าใช้จ่ายดังกล่าวกับค่าใช้จ่ายในการย้ายแต่ละแอปพลิเคชันไปยังแบบจำลองภายในองค์กรโดยพิจารณาจากสิ่งที่คุณจะถูกเรียกเก็บเงินสำหรับการใช้งาน ซึ่งจะช่วยให้คุณประมาณการผลตอบแทนในการลงทุนที่ดีสำหรับการย้ายแต่ละแอปพลิเคชัน

ขั้นตอนที่ 3: ปรับขนาดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมสำหรับแอปพลิเคชันและปริมาณงาน

หลังจากที่ตัดสินใจว่าจะย้ายแอปพลิเคชันใดแล้ว ให้จับคู่ความสามารถในการจ่ายกับความต้องการที่แท้จริงขององค์กรและต้องมีการปรับขนาดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับแอปพลิเคชันและปริมาณงานที่จะใช้งาน

สมมติว่าองค์กรหนึ่งตัดสินใจย้ายแอปพลิเคชัน 50 รายการไปยังแบบจำลองการใช้งานภายในองค์กร มันเป็นไปไม่ได้ที่จะย้ายทั้งหมดพร้อมกัน แอปพลิเคชันเหล่านี้ ควรถูกย้ายเป็นรอบ ๆ การทำเช่นนี้จะช่วยกำหนดสภาพแวดล้อมที่มีขนาดเหมาะสม เพราะเป็นเรื่องยากที่จะประมาณการณ์ว่าทั้ง 50 แอปพลิเคชันนั้นต้องการความจุปริมาณเท่าใด แต่ถ้าค่อย ๆ ย้ายทีละน้อย จะเป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่มีขนาดพอดีและเหมาะสมให้กับแอปพลิเคชันในแต่ละรอบอีกด้วย

ขั้นตอนที่ 4: เลือกเครื่องมือที่เหมาะสม

แม้ว่าการย้ายแอปพลิเคชันไปยังแบบจำลองการใช้งานภายในองค์กรแล้ว แต่ยังไม่เสร็จเพียงแค่นั้น ในความเป็นจริงแล้วนี่เป็นแค่การเริ่มต้น เพราะจะต้องมีการจัดการแอปพลิเคชันและสภาพแวดล้อมด้วยเครื่องมือที่เหมาะสมเพื่อให้ผู้ใช้ปลายทางและไอทีได้รับประสบการณ์การบริการที่มีประสิทธิผลสูงสุด

โดยลักษณะงานที่แตกต่างกันจะต้องใช้เครื่องมือที่แตกต่างกัน นักพัฒนาต้องการเครื่องมือที่ช่วยให้จัดเตรียม VMs และ Containers ได้สะดวกและรวดเร็ว เครื่องมือที่ดีที่สุดเหล่านี้ใช้ระบบอัตโนมัติเพื่อให้นักพัฒนาสามารถกดปุ่มเพื่อตั้งค่าสิ่งต่าง ๆ เช่น ขนาดเครื่อง การเชื่อมต่อเครือข่าย ขนาดและประเภทของดิสก์ และกำหนดการสำรองข้อมูล

ทีมไอทีต้องการเครื่องมือเพื่อดำเนินการจัดการและแก้ไขปัญหาที่สำคัญที่สุด เช่น การตรวจสอบประสิทธิภาพและค่าใช้จ่าย การจัดเตรียมสภาพแวดล้อม การจัดการวงจรของระบบ การสำรองข้อมูล และการจัดการปัญหาการปฏิบัติตามข้อกำหนด นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์ด้านข้อมูลก็ต้องการเครื่องมือที่ช่วยให้การเรียนรู้การใช้งานด้วยตนเองผ่านระบบคอมพิวเตอร์และปัญญาประดิษฐ์ได้ทันทีโดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการจัดเตรียมและงานหลังบ้านอื่น ๆ

ขั้นตอนที่ 5: เลือกคู่ค้าที่เหมาะสม

ในการทำธุรกิจต้องเลือกคู่ค้าที่เหมาะสมซึ่งสามารถจัดหาโครงสร้างพื้นฐาน การบริการ และเครื่องมือที่จำเป็นในการส่งมอบบริการคลาวด์ภายในองค์กรได้อย่างรวดเร็ว ควรมองหาคู่ค้าที่มองว่าบริษัทส่วนใหญ่อยู่ในโลกแห่งไฮบริดและไม่มีวิธีการแก้ปัญหาใดที่ตอบโจทย์ได้กับทุกปัญหา

คู่ค้าในอุดมคติจะต้องสามารถทำงานกับแบบจำลองภายในองค์กร คลาวด์สาธารณะ คลาวด์แบบไฮบริด และแบบจำลอง SaaS ได้อย่างคล่องแคล่ว รวมทั้งมีประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีที่หลากหลาย การมองหาคู่ค้าที่สามารถแนะนำการผสมผสานเทคโนโลยีให้เหมาะสมกับปริมาณงาน แอปพลิเคชัน ข้อกำหนดทางธุรกิจ และมีทีมที่แข็งแกร่งพร้อมสำหรับให้บริการและการสนับสนุน

หากปฏิบัติตาม 5 ขั้นตอนเหล่านี้ โดยธุรกิจจะสามารถลด่าใช้จ่ายและมีการปรับปรุงการดำเนินงานอย่างมีนัยสำคัญจากการเปลี่ยนไปใช้บริการคลาวด์ภายในองค์กรและบริษัทที่ดำเนินการอย่างถูกต้องจะสามารถลดค่าใช้จ่ายในการลงทุนสร้างสินทรัพย์ระยะยาวได้ ประมาณร้อยละ 30 และลดเวลาในการดำเนินการลงได้ถึงร้อยละ 65

 

ผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดและเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ HPE

หากต้องการให้ทีมงานติดต่อกลับ กรุณาคลิก ที่นี่   หรือ ติดต่อทีมงาน G-Able เพื่อขอรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ HPE GREENLAKE หรือขอคำแนะนำและปรึกษาการใช้งานระบบได้ทันทีที่ คุณ ลดาวัลย์ แพรสุวัฒน์ศิลป์ email: Ladawan.P@g-able.com

G-ABLE พร้อมให้บริการและคำปรึกษาให้ทุกธุรกิจ
เพื่อเตรียมความพร้อมขับเคลื่อนองค์กรสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

065-719-3899 หรือ inquiry@g-able.com

from:https://www.enterpriseitpro.net/5-cloud-gable-hpe/

G-Able ชี้แจง! กรณีโดนโจมตีจาก Ransomware ยันกู้คืนข้อมูลเรียบร้อยแล้ว!

วันนี้ (25 ส.ค. 2564) เราได้รับทราบข่าวเกี่ยวกับการที่บริษัท G-Able ซึ่งเป็นบริษัทด้านไอทีรายใหญ่ของเมืองไทย โดยมีแหล่งข่าวได้ส่งข้อมูลเกี่ยวกับการที่ G-Able โดนโจมตีจาก Ransomware จากกลุ่ม BlackMatter มาให้ที่กองบรรณาธิการ ให้ตรวจสอบ ซึ่งพบว่ามีข้อมูลจำนวนมากที่โดนโจมตีและถูกปล่อยออกให้ดาวน์โหลดทาง Internet กว่า 100 GB

ประกอบกับการที่ทางเว็บไซต์ Blognone ได้นำเสนอข่าวไปเมื่อเช้าของวันดังกล่าว โดยทางทีมงาน Enterprise ITPro จึงได้สอบถามไปยังตัวแทนของทางบริษัท G-Able เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว ล่าสุดทางตัวแทนประชาสัมพันธ์ของทาง G-Able ชื่อว่า บริษัท Siam PR Consultant ได้ตอบคำถามของทางเรา และได้ส่งจดหมายชี้แจงมายังกองบรรณาธิการของเรา มีใจความดังนี้

“จากกรณีที่กลุ่มบริษัทจีเอเบิล ได้ตรวจสอบพบความผิดปกติในระบบเครือข่ายของบริษัทฯ จากมัลแวร์ประเภทหนึ่ง บริษัทฯ ได้ดำเนินการควบคุมเหตุที่เกิดขึ้นทันที พร้อมทั้งตรวจสอบผลกระทบ ที่เกิดขึ้น โดยได้ทำการกู้คืนระบบที่ได้รับผลกระทบทั้งหมดจากระบบสำรองเป็นที่เรียบร้อย บริษัทฯ ขอยืนยันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทฯ และไม่ส่งผลกระทบต่อระบบของลูกค้าแต่อย่างใด

ทั้งนี้บริษัทฯ ไม่ได้นิ่งนอนใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และได้ทำการยกระดับมาตรการป้องกัน ความปลอดภัยเครือข่ายเป็นขั้นสูงสุด พร้อมทำการตรวจสอบระบบทั้งหมดอย่างละเอียดอีกครั้ง โดยดำเนินการร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ 3rdParty ในการทำ Forensic Investigation ต่อไป

บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการปกป้องและเก็บรักษาข้อมูลของลูกค้า คู่ค้า และพนักงานและมุ่งมั่นในการยกระดับระบบคุณภาพสูงสุดเพื่อป้องกันภัยคุกคาม และความเสี่ยงอันอาจจะเกิดขึ้น อย่างไรก็ตามบริษัทฯ จะสื่อสารให้ลูกค้าและผู้ที่เกี่ยวข้องทราบอีกครั้งหากมีข้อมูลเพิ่มเติม”

และนี่คือจดหมายตัวจริงข้างต้น

 

 

from:https://www.enterpriseitpro.net/g-able-ransomware-backup/

G-Able ชูจุดเด่น System Integration Plus Plus: SI++ มุ่งเน้นการบริการ

กลุ่มบริษัทจีเอเบิล ผู้นำในการให้บริการเทคโนโลยีสารสนเทศและดิจิทัลโซลูชันอย่างครบวงจรประกาศทิศทางและกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจปี 2564 ก้าวข้ามทุกข้อจำกัด สู่อนาคตที่เติบโตและยั่งยืน ชูจุดเด่น System Integration Plus Plus: SI++ มุ่งเน้นการให้บริการวางรากฐานทางเทคโนโลยี และใช้ประโยชน์เพื่อต่อยอดทางธุรกิจ พร้อมผนึกกำลังกับบริษัท ไฟร์ วัน วัน จำกัด (Fire One One) นำเสนอบริการด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นแบบครบวงจร (One Stop Service) และเปิดตัวผลิตภัณฑ์แฟล็กชิพตัวใหม่ Blendata และ InsightEra ภายใต้การนำทัพของ “ดร.ชัยยุทธ ชุณหะชา” กรรมการผู้จัดการ

คุณนาถ ลิ่วเจริญ ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทจีเอเบิล กล่าวว่า “จากสถานการณ์ปัจจุบันซึ่งมีผลกระทบทั้งจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว องค์กรธุรกิจทั้งในไทยและทั่วโลกต่างเผชิญกับความท้าทายในการทำให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้ จากผลสำรวจ CEO ทั่วโลกโดยบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำอย่างการ์ทเนอร์ เพื่อจัดอันดับ Top Business Priorities ในปี พ.ศ. 2564 – 2565 พบว่า องค์กรต่างๆ ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนธุรกิจโดยมีเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นหัวใจสำคัญ ซึ่งจะช่วยตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่มีความแตกต่างกันในหลากหลายมิติได้ดียิ่งขึ้น ได้แก่ 1. การสร้างรายได้และการเติบโตแบบก้าวกระโดดของธุรกิจรูปแบบใหม่ โดยมุ่งเน้นการสร้างตลาดใหม่และการตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล 2. การทำธุรกิจดิจิทัลด้วยการทำงานแบบ ‘digitalization’ ซึ่งนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาปรับใช้ในองค์กร ลดความซ้ำซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุด และ 3. การทรานส์ฟอร์มองค์กร ด้วยการปรับเปลี่ยนโครงสร้าง กลยุทธ์ รูปแบบการดำเนินธุรกิจ (business model) ไปจนถึงพัฒนาบุคลากร เพื่อให้เกิดความรวดเร็วและเพิ่มความสะดวกให้แก่ผู้บริโภค ทั้งนี้กลุ่มบริษัทจีเอเบิล มีความพร้อมที่จะช่วยปฏิรูปองค์กรธุรกิจต่างๆ ในทุกอุตสาหกรรมของประเทศไทย โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการขับเคลื่อนธุรกิจของลูกค้าให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายภายใต้การนำของ ดร.ชัยยุทธ”

คุณนาถ ลิ่วเจริญ ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทจีเอเบิล

ดร.ชัยยุทธ ชุณหะชา กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัทจีเอเบิล กล่าวว่า “จีเอเบิลเป็นบริษัทไอทีชั้นนำที่สร้างเสาหลักทางเทคโนโลยีให้กับลูกค้าด้วยประสบการณ์มากกว่า 32 ปี ในการบูรณาการระบบโครงสร้างพื้นฐานไปจนถึงดิจิทัลโซลูชันที่ทันสมัย และนำเสนอโซลูชันที่สามารถตอบสนองความต้องการขององค์กรธุรกิจ เพื่อยกระดับความสามารถทางการแข่งขันให้กับธุรกิจในทุกภาคส่วนอุตสาหกรรม โดยจีเอเบิลมีจุดแข็งที่ทำให้มีความแตกต่างและได้เปรียบคู่แข่งในตลาดหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการโดยบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ โดยมีนักพัฒนาระบบและซอฟแวร์ (developer in-house) มากกว่า 1,000 คน รวมถึงการมีประสบการณ์และความเข้าใจในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย เช่น ธุรกิจการเงิน ธุรกิจโทรคมนาคม ธุรกิจประกัน ภาคอุตสาหกรรมพลังงาน ตลอดจนสถาบันการศึกษาต่างๆ นอกจากนี้จีเอเบิลยังเป็นพันธมิตรกับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก และมีศักยภาพในการคัดเลือกผลิตภัณฑ์ด้านฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ ที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล”

ดร.ชัยยุทธ ชุณหะชา กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัทจีเอเบิล

ในปี 2564 นี้ กลุ่มบริษัทจีเอเบิล มุ่งมั่นที่จะเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมก้าวไปข้างหน้า ก้าวผ่านข้อจำกัดต่างๆ ด้วยกลยุทธ์ที่สร้างจุดเด่น และความแตกต่างในการให้บริการผ่านกลยุทธ์ ทั้ง 3 ด้าน

1) กลยุทธ์การพัฒนาตัวเองสู่ System Integration Plus Plus (SI++) คือ กลยุทธ์การพัฒนาตัวเองจาก System Integration หรือ SI ให้เป็น SI++ นอกจากเป็นผู้ให้บริการสร้างรากฐานทางเทคโนโลยีให้กับธุรกิจแล้ว จะมุ่งเน้นที่การช่วยลูกค้าต่อยอดทางธุรกิจโดยการแนะนำการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีรากฐานต่างๆ เหล่านั้น เพื่อให้มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลสูงสุด และปลอดภัยมากที่สุด ด้วยจุดแข็งของจีเอเบิลที่รู้ลึกด้านเทคโนโลยี เข้าใจลูกค้า ตอบโจทย์เทคโนโลยีมาแรงทั้ง 4 กลุ่มโซลูชัน ที่จะมีผลต่อทุกภาคส่วนอุตสาหกรรม ได้แก่

• G Cloud Solution กลุ่มโซลูชันที่ให้บริการคลาวด์เทคโนโลยีแพลตฟอร์มอย่างครบวงจร รองรับตลาดคลาวด์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

• G Security Solution กลุ่มโซลูชันที่ช่วยป้องกันระบบและข้อมูลขององค์กรจากการโจมตีทางไซเบอร์ ที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในยุคปัจจุบัน

• G Big Data Solution กลุ่มโซลูชันที่มุ่งเน้นการจัดการบิ๊กดาต้าและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ทางธุรกิจ

• G RPA Solution กลุ่มโซลูชันการทำงานแบบอัตโนมัติ (Robotic Process Automation) ที่ตอบโจทย์การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและลดต้นทุนให้กับการดำเนินธุรกิจ

2) กลยุทธ์การสร้างทางเลือกใหม่สำหรับดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น ในรูปแบบTransformation As a Service (TAAS) คือ กลยุทธ์การสร้างทางเลือกใหม่ให้กับทุกธุรกิจด้วยโซลูชันที่ช่วยด้านการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นแบบครบวงจร (One Stop Service) โดยจีเอเบิลได้ร่วมมือมือกับ บริษัท ไฟร์ วัน วัน จํากัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านการทำบิสซิเนสทรานส์ฟอร์เมชั่นชั้นนำระดับประเทศ ร่วมพัฒนาคุณค่าและโมเดลธุรกิจใหม่ ด้วยการผสมผสานระหว่างความสามารถทางด้านดิจิทัลของจีเอเบิล และความคิดสร้างสรรค์ทางธุรกิจของไฟร์ วัน วัน เพื่อนำเสนอโซลูชันที่ครอบคลุมในทุกมิติให้แก่ลูกค้า ตั้งแต่เป็นที่ปรึกษาด้านการวางกลยุทธ์ไปจนถึงการต่อยอดทางธุรกิจ ซึ่งกลยุทธ์ธุรกิจ TAAS นี้จะเป็นตัวช่วยในการสร้างรายได้จากกลุ่มธุรกิจใหม่ (new S-curve) ให้กับจีเอเบิลต่อไปในอนาคต

3) กลยุทธ์สร้างความแตกต่างและการเติบโตด้วย Own IP Platform คือ กลยุทธ์การพัฒนา IP Platform ที่เป็นลิขสิทธิ์ของจีเอเบิล เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง และสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดด ด้วยประสบการณ์กว่า 32 ปี ทำให้บริษัทฯ เข้าใจถึงปัญหาของลูกค้าและความต้องการของตลาดเป็นอย่างดี จึงได้พัฒนาแพลตฟอร์มใหม่ที่ชื่อว่า Blendata (เบลนเดต้า) และ InsightEra (อินไซท์เอรา) โดย Blendata เป็นผลิตภัณฑ์แฟล็กชิพยุคบิ๊กดาต้า ซึ่งแพลตฟอร์มนี้จะช่วยองค์กรจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงทางธุรกิจ ด้วยต้นทุนที่จับต้องได้ ส่วน InsightEra นั้นเป็นแพลตฟอร์มทางด้านการตลาดดิจิทัล ที่มาตอบโจทย์ธุรกิจในเรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลของลูกค้าในเชิงลึก รวมถึงความต้องการของลูกค้า เพื่อความได้เปรียบในการแข่งขัน ทั้งนี้จีเอเบิลเตรียมที่จะเปิดตัว Blendata ผลิตภัณฑ์แฟล็กชิพตัวใหม่ของกลุ่มบริษัทในเดือนมิถุนายนนี้

“จีเอเบิลมีความพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน เพื่อการให้บริการลูกค้าอย่างครบวงจรในหลากหลายมิติ ด้วยกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งทั้ง 3 ด้าน จะเป็นตัวขับเคลื่อนจีเอเบิล ให้เติบโตแบบก้าวกระโดด และสามารถสร้างประมาณการรายได้ในอีก 5 ปีข้างหน้าได้ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจีเอเบิลได้ทรานส์ฟอร์มองค์กร เพื่อเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ โดยเทคโนโลยีถือเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างกลยุทธ์ และสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนเองที่เข้าใจความต้องการของลูกค้าเข้าใจในอุตสาหกรรมธุรกิจ รวมถึงการสร้างคุณค่าให้กับองค์กรธุรกิจ เพื่อผลักดันรายได้และผลกำไรที่เหนือกว่า” ดร.ชัยยุทธ กล่าวทิ้งท้าย

from:https://www.enterpriseitpro.net/gable-system-integration-plus-plus/