คลังเก็บป้ายกำกับ: profile

Meta แก้ไขข้อผิดพลาด Facebook ที่ส่งคําขอเป็นเพื่อนอัตโนมัติให้กับผู้ใช้แล้ว!

Meta ได้แก้ไขข้อผิดลาด Facebook ที่ส่งคำขอเป็นเพื่อนอัต […] More

from:https://www.iphonemod.net/meta-fixed-a-facebook-bug.html?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=meta-fixed-a-facebook-bug

วิธีเปลี่ยนภาพโปรไฟล์ Facebook ใน iPhone ให้เป็นสีเทาและติดริบบิ้นสีดำ

Facebook Profile Blackwhite Ribbon Cover

ในช่วงของความโศกเศร้าและการไว้ทุกข์ในช่วงนี้หลายคนอาจยังไม่ทราบ วิธีการเปลี่ยนภาพโปรไฟล์ Facebook ใน iPhone ให้เป็นสีเทาและติดริบบิ้นสีดำ ว่าทำอย่างไร มาชมกัน

เปลี่ยนภาพโปรไฟล์ Facebook ให้เป็นสีเทาและติดริบบิ้นสีดำบน iPhone

สำหรับการ เปลี่ยนภาพโปรไฟล์ Facebook ใน iPhone ให้เป็นสีเทาและติดริบบิ้นสีดำ นั้นมีขั้นตอนทำอยู่ 2 ส่วนหลัก คีือ เปลี่ยนภาพเป็นสีเทาและติดริบบิ้นบน Facebook

เปลี่ยนภาพเป็นสีเทา

เริ่มต้นให้ เปิดแอป Photo แล้วเลือกภาพที่ต้องการ > (1) แตะ Edit > (2) แตะ Filter

Facebook Profile Blackwhite Ribbon 1

(3) เลือก Mono > (4) แตะ Done

Facebook Profile Blackwhite Ribbon 2

ติดริบบิ้นบน Facebook

เปิดแอป Facebook > ไปที่ Profile ของเรา > (1) แตะ Edit > (2) อัปโหลดภาพโปรไฟล์สีเทาจากขั้นตอนที่แล้ว

Facebook Profile Blackwhite Ribbon 3

เลือกภาพโปรไฟล์สีเทา > (3) ปรับขนาดให้เหมาะสม > (4) แตะ Done

Facebook Profile Blackwhite Ribbon 4

(5) แตะ Add Frame > เลือกหรือค้นหา (6) Frames ชื่อ “Ribbon Black”

Facebook Profile Blackwhite Ribbon 5

(7) แตะ Use เป็นอันเสร็จ

Facebook Profile Blackwhite Ribbon 6

ทีมงาน iPhonemod.net ขอเชิญชวนให้สมาชิกทุกท่าน ร่วมเปลี่ยนภาพโปรไฟล์ Facebook และ Social Media อื่นๆ เป็นสีเทาหรีือติดริบบิ้นสีดำ เพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายอาลัยและรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (ในหลวงรัชกาลที่ 9) ในช่วงนี้ด้วย

from:https://www.iphonemod.net/facebook-profile-blackwhite-ribbon.html

ETDA เปิดพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตปี 2017 พบคนไทยใช้เน็ตเพิ่มเป็น 6 ชั่วโมง 30 นาที

ETDA พบคนไทยใช้อินเทอร์เน็ตต่อวันนานขึ้น เฉลี่ย 6 ชั่วโมง 30 นาทีในวันทำงาน และ 6 ชั่วโมง 48 นาทีในวันหยุด ข่าวดีคือมีความตระหนักเรื่องความเป็นส่วนตัวในการใช้อินเทอร์เน็ตมากขึ้น แต่ในเรื่องซีเคียวริตี้ เช่น การตั้งพาสเวิร์ดยังไม่ดีเท่าที่ควร ด้าน e-Commerce พบข่าวดี หลังติดอันดับ 1 ใน 5 ของกิจกรรมที่คนไทยในการใช้งานอินเทอร์เน็ตเป็นครั้งแรก โดยมูลค่าที่คนไทยพร้อมจ่ายสูงสุดคือไม่เกิน 1,000 บาท

​สำหรับผลสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในปี 2560 นี้ คุณสุรางคณา วายุภาพ ผู้อำนวยการ ETDA ได้กล่าวว่า ETDA ได้รับความร่วมมือในการตอบแบบสำรวจจากประชาชนรวม 25,101 คน ในช่วงเดือนมิถุนายน – กรกฎาคม 2560 ไม่เพียงแต่จะเก็บรวบรวมข้อมูลพื้นฐาน แต่ยังศึกษาถึงพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตและการซื้อสินค้าและบริการทางออนไลน์ ทั้งยังให้ระบุถึงปัญหาที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตพบมาก ปัจจัยที่ทำให้ปฏิเสธอีคอมเมิร์ซ ปัญหาของผู้ที่เคยซื้อสินค้าและบริการออนไลน์ได้รับ และวิธีการแก้ปัญหาของผู้ซื้อ ทั้งนี้เพื่อนำมาเป็นข้อมูลสำหรับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในการปรับปรุงแก้ไขปัญหา และสามารถช่วยเหลือให้แก่ผู้ซื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ผลสำรวจมีดังนี้ Gen Y เป็นกลุ่มที่ใช้อินเทอร์เน็ตต่อวันสูงสุด โดยในช่วงวันทำงานหรือวันเรียนหนังสือใช้เฉลี่ย 7.12 ชั่วโมง/วัน และมากถึง 7.36 ชั่วโมง/วันในช่วงวันหยุด ขณะที่ Gen X และ Gen Z ใช้อินเทอร์เน็ตในวันทำงานและวันเรียนหนังสือ โดยเฉลี่ยเท่ากันที่ 5.48 ชั่วโมง/วัน แต่ในวันหยุด Gen Z กลับใช้เพิ่มขึ้นเป็น 7.12 ชั่วโมง/วัน สวนทางกับ Gen X ที่ใช้ลดลงที่ 5.18 ชั่วโมง/วัน โดยกลุ่ม Baby Boomerใช้ 4.54 ชั่วโมง/วันในวันทำงาน และ 4.12ชั่วโมง/วันในวันหยุด

ส่วนสถานที่ที่นิยมใช้อินเทอร์เน็ตมากที่สุดยังคงเป็นที่บ้าน คิดเป็น 85.6% รองลงมาคือที่ทำงาน 52.4% ตามมาด้วยการใช้ระหว่างเดินทาง 24% เพิ่มขึ้นจาก 14% ในปีก่อน ขณะที่การใช้อินเทอร์เน็ตที่สถานศึกษาลดลงจาก 19.7% เป็น 17.5% ในปีนี้

ส่วนกิจกรรมที่นิยมทำเมื่อใช้อินเทอร์เน็ตมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่

  • การใช้โซเชียลมีเดีย (86.9%)
  • การค้นหาข้อมูล (86.5%)
  • การรับส่งอีเมล (70.5%)
  • การดูทีวีและฟังเพลงออนไลน์ (60.7%)
  • การซื้อสินค้าออนไลน์ (50.8%)

คุณสุรางคณา ชี้ว่า เป็นเรื่องที่สังเกตว่ากิจกรรมที่คนนิยมทำบนอินเทอร์เน็ตในการสำรวจปีนี้ แตกต่างจากปีก่อน ๆ ตรงที่การซื้อสินค้าออนไลน์ขึ้นมาติด ใน กิจกรรมยอดฮิตเป็นครั้งแรก นั่นแสดงให้เห็นถึงการยอมรับในการทำอีคอมเมิร์ซมากขึ้นในสังคมไทย

การสำรวจยังชี้ให้เห็นว่าคนไทยมีไลฟ์สไตล์ดิจิทัลมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเปลี่ยนวิธีทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่เคยทำในแบบออฟไลน์มาเป็นออนไลน์มากขึ้น เช่น การจองและซื้อตั๋วโดยสาร การจองห้องพักโรงแรม การฟังเพลง การดูภาพยนตร์ และการบริการรับส่งเอกสาร

สำหรับโซเชียลมีเดียที่คนไทยนิยมใช้มากที่สุด ได้แก่ YouTube (97.1%), Facebook (96.6%), Line (95.8%), Instagram (56%), Pantip (54.7%), Twitter (27.6%) และWhatsApp (12.1%) นอกจากนี้ คนไทยเผชิญกับปัญหาการถูกรบกวนจากโฆษณาออนไลน์มากที่สุด คิดเป็น 66.6% ตามด้วยความล่าช้าในการเชื่อมต่อ  และใช้งานอินเทอร์เน็ต 63.1% และอินเทอร์เน็ตหลุดบ่อย 43.7% อีกทั้งการประสบปัญหาจากการออนไลน์แล้วไม่รู้จะไปขอความช่วยเหลือจากใคร และการถูกรบกวนจากอีเมลขยะก็ยังเป็นปัญหาที่คนไทยให้ความสำคัญมากเช่นกัน โดยคิดเป็น 39.6% และ34.2% ตามลำดับ

คุณสุรางคณา ยังกล่าวถึงพฤติกรรมการซื้อสินค้าและใช้บริการทางออนไลน์ของคนไทยว่า ผู้บริโภคตัดสินใจเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ขายของออนไลน์จากโฆษณาและสื่อออนไลน์ต่าง ๆ มากที่สุด คิดเป็น 55.9% โดยมีข้อมูลจากการรีวิวและคอมเมนต์ของผู้เคยใช้สินค้า, ส่วนลดและของแถม และอันดับของเว็บไซต์จากการค้นหาทาง Search Engine เป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลรองลงมา คิดเป็น 54.9%, 47.5% และ 41.9%

จากการสำรวจยังพบว่า คนส่วนใหญ่ หรือ 40.7% ยังไม่ได้ซื้อสินค้าและใช้บริการออนไลน์, 38.4% ซื้อเดือนละครั้ง, 17.7% ซื้อ 2-5 ครั้งต่อ เดือน และ 3.2% ซื้อมากกว่า 5 ครั้งต่อเดือน

สำหรับสาเหตุหลักที่ทำให้คนไทยปฏิเสธการซื้อสินค้าและใช้บริการออนไลน์ เป็นเพราะกลัวโดนหลอก (51.1%), ไม่ได้สัมผัสหรือทดลองใช้สินค้าก่อน (39.9%), ไม่พบสินค้าที่ต้องการ (33.9%) และชอบเดินเลือกซื้อสินค้าด้วยตัวเอง (31.1%) ในทางกลับกัน ปัจจัยหลักที่มีอิทธิพลต่อการซื้อสินค้าและใช้บริการออนไลน์ของคนไทยมากที่สุด คือขั้นตอนการซื้อที่ง่าย (85%) โดยมีปัจจัยรอง ได้แก่ การได้รับสินค้าที่สะดวกรวดเร็ว (53.4%), โปรโมชั่นที่ถูกใจผู้ซื้อ(51.4%) และราคาที่ถูกกว่าการซื้อผ่านหน้าร้าน (49.7%)

ส่วนสินค้าและบริการที่คนไทยนิยมซื้อออนไลน์มากที่สุด ประกอบด้วยสินค้าแฟชั่นและเครื่องแต่งกาย (44%), สินค้าด้านสุภาพและความงาม (33.7%), อุปกรณ์ไอที (26.5%), เครื่องใช้ภายในบ้าน (19.5%), บริการสั่งอาหารออนไลน์ (18.7%), บริการเกี่ยวกับการเดินทางและท่องเที่ยว (17.9%) เป็นต้น แต่หากพิจารณาในเรื่องความถี่ในการซื้อสินค้าและใช้บริการ กลับพบว่าในระยะเวลา 3 เดือน บริการด้านการเงินและการลงทุนเป็นประเภทบริการที่คนไทยเลือกใช้ซ้ำมากที่สุดที่ 4.8 ครั้ง รองลงมาคือบริการดาวน์โหลด 4 ครั้ง สินค้าบริการด้านความบันเทิงและด้านการเดินทางและท่องเที่ยวเท่ากันที่ 2.5 ครั้ง ตามด้วยสินค้ากลุ่มแฟชั่นและบริการสั่งอาหาร เท่ากันที่ 2.4 ครั้ง

ผลสำรวจยังระบุอีกว่าสินค้าและบริการในเกือบทุกกลุ่มที่คนไทยนิยมซื้อทางออนไลน์มากที่สุดจะอยู่ในช่วงราคาไม่เกิน 1,000 บาท ยกเว้นบริการด้านการเงินและการลงทุนที่ส่วนใหญ่จะเลือกซื้อที่มูลค่ามากกว่า 10,000 บาท โดยช่องทางการชำระเงินที่มีการใช้มากที่สุดคือบัตรเครดิต (35.1%) รองลงมาคือ การโอนเงินผ่านแอปพลิเคชันธนาคาร (31.9%), การโอนเงินผ่านตู้เอทีเอ็ม (27.1%), การโอนเงินผ่านเว็บไซต์ธนาคาร (22.6%) แต่ก็ยังมีความนิยมในการชำระเงินแบบออฟไลน์อยู่มาก โดย 69.1% ระบุว่าการชำระเงินแบบออฟไลน์สะดวกและสบายใจมากกว่าแบบออนไลน์, 51.4% ไม่มั่นใจในความปลอดภัย, 27.1% ชี้ว่าขั้นตอนการชำระเงินออนไลน์ยุ่งยาก, 22.9% กลัวไม่มีหลักฐานยืนยันการทำรายการ, 11.8% ไม่รู้จักหรือไม่รู้วิธีชำระเงินออนไลน์ และ 5.1% ไม่รู้ว่าใช้กับสินค้าหรือบริการใดได้บ้าง

สำหรับปัญหาที่ผู้ซื้อสินค้าและใช้บริการทางออนไลน์มักพบบ่อยคือ สินค้าที่ได้รับมีคุณภาพด้อยกว่าหรือไม่ตรงตามที่โฆษณามากที่สุด คิดเป็น 52% และได้รับสินค้าล่าช้ากว่ากำหนด 43.8% ส่วนปัญหาอื่นที่มีการระบุในผลสำรวจ ได้แก่ ได้รับสินค้าไม่ตรงตามในเว็บไซต์ (29.5%), สินค้าชำรุดเสียหาย (21.3%), ชำระเงินแล้วไม่ได้สินค้า (11.9%), ได้รับสินค้าไม่ครบตามจำนวนที่สั่งซื้อ (9.1%) และส่งคืนสินค้าแล้วไม่ได้รับเงินคืน (4.6%)

โดยที่ผู้ประสบปัญหาจะเลือกวิธีที่ร้องเรียนผ่านหน่วยงานรัฐเพื่อแก้ปัญหามากที่สุดคิดเป็น 86.8% ตามด้วยการร้องเรียนผ่านเว็บไซต์ของสินค้าและบริการนั้น ๆ 59.8%, ขณะที่มีผู้เลือกไปแจ้งความ 24% และคอมเมนต์ผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ 19.4%

ในกรณีผู้บริโภคที่เจอปัญหาจากการซื้อสินค้าและบริการทางออนไลน์แต่ไม่ร้องเรียน 56.7% ระบุว่าเป็นเพราะความเสียหายยังไม่มาก 55.8% บอกว่ายุ่งยากไม่ต้องการเสียเวลา 36.2% บอกว่าผู้เสียหายไม่ทราบว่าต้องไปร้องเรียนที่ไหน และ 32.7% ไม่ทราบขั้นตอนหรือวิธีการร้องเรียน

 
Source: thumbsup

from:http://thumbsup.in.th/2017/09/etda-internet-profile-thailand-2017/

ธุรกิจ 65 ล้านแห่งมีเพจบน Facebook, 8 ล้านแห่งมีโปรไฟล์บน Instagram

เก็บตกข้อมูลน่าสนใจจาก Facebook แพลตฟอร์มเครือข่ายสังคมอันดับ 1 ที่ประกาศชัดเจนว่าวันนี้ Facebook คือระบบที่ธุรกิจกว่า 65 ล้านแห่งเลือกสร้างเพจด้วย ขณะที่อีก 8 ล้านแห่งเลือกสร้างหน้าโปรไฟล์ไว้บนเครือข่ายสังคมภาพอย่าง Instagram

สถิติล่าสุดนี้ถูกเปิดเผยพร้อมกับที่ Facebook ฉลองตัวเลขฐานผู้ลงโฆษณาบน Facebook เกิน 5 ล้านราย โดยระบุด้วยว่าฐานผู้ลงโฆษณาบน Instagram นั้นอยู่ที่มากกว่า 1 ล้านรายทั่วโลก

ฐานผู้ลงโฆษณาบน Instagram นั้นทะลุหลักล้านต่อเดือนเมื่อกลางมีนาคมที่ผ่านมา สถิตินี้เพิ่มขึ้นราว 400% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ผลจากแบรนด์มองเห็นโอกาสเติบโต รวมถึงแผนดำเนินงานที่มีข่าวลือว่า Instagram จะแจ้งเกิดเครื่องมือให้ผู้ใช้สามารถจองบริการได้โดยตรงผ่านหน้าโปร์ไฟล์ ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการภายในปีนี้

ปัจจุบัน ฐานผู้ใช้ Instagram รวมนั้นมีจำนวนมากกว่า 600 ล้านคน โดยราว 120 ล้านคนเป็นผู้ใช้ที่ใช้งานเว็บไซต์ Instagram รับแผนที่ ต่อสายโทรศัพท์ ตอบรับอีเมล หรือรับส่งข้อความโดยตรงเป็นประจำในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ข้อมูลเหล่านี้ถือเป็นสิ่งสำคัญที่เหล่าแบรนด์ต้องศึกษาอย่างละเอียด

การเปิดเผยครั้งนี้ของ Facebook ตอกย้ำจุดยืนที่เหนือกว่าคู่แข่ง ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ Twitter ที่มีฐานผู้ลงโฆษณาราว 130,000 รายเท่านั้น ขณะที่ Snap และ Pinterest ไม่มีการเปิดเผย เช่นเดียวกับข้อมูลโปร์ไฟล์หรือบัญชีทางการของเหล่าแบรนด์ธุรกิจ

ที่มา: EconomicTimes

 
Source: thumbsup

from:http://thumbsup.in.th/2017/04/facebook-page-instagram-profile/

Instagram คลอด ’Business Profile’ ช่วยแม่ค้าไอจีจริงไหม?

s3-news-tmp-10557-instagram_9--2x1--815

หลังจากเปิดตัวครั้งแรกเมื่อพฤษภาคม Instagram ลงมือขยายบริการ “โปรไฟล์ธุรกิจ” หรือ Business Profile รวมถึงเครื่องมืออื่นทางธุรกิจไปทั่วยุโรปและเอเชียรวมถึงประเทศไทยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นถูกมองเป็นทั้งช่องทางที่ช่วยให้พ่อค้าแม่ขายบน Instagram ได้ทำธุรกิจเต็มที่ แต่อีกด้านก็มองว่าไม่จริง

Business Profile หรือชื่อทางการว่าโปรไฟล์ธุรกิจ ถูกอธิบายว่าจะเป็นส่วนที่ช่วยให้ผู้ใช้ Instagram รับรู้ได้อย่างรวดเร็วว่านี่คือแอคเคาท์ของธุรกิจ โดยลูกค้าสามารถใช้ปุ่ม “ติดต่อ” เพื่อสื่อสารกับธุรกิจต่างๆ ผ่านทาง Instagram ได้

นอกจากติดต่อ Instagram ยังมีเครื่องมือชื่อ “ข้อมูลเชิงลึก” หรือ Insights เพื่อช่วยให้ธุรกิจติดตามผลวิเคราะห์การชมโพสต์อย่างสะเอียด โดยเครื่องมือส่วนนี้จะรวบรวมข้อมูลของผู้คนที่ติดตามธุรกิจนั้นในรูปแบบภาพเข้าใจง่าย ซึ่งธุรกิจสามารถนำไปใช้ต่อยอดได้

ยังมีเครื่องมือชื่อ “โปรโมท” หรือ Promote ไฮไลท์เด่นที่เปรียบเสมือนเป็นโฆษณา จุดนี้ Instagram ระบุว่าจะใช้ระบบกำหนดเป้าหมายและวัดผลชั้นเลิศของ Facebook

นี่เองที่ทำให้สำนักข่าว The Drum ดึงตัวเครือข่ายนักการตลาดในต่างประเทศมาถกกันว่า เครื่องมือใหม่ของ Instagram นี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถต่อกรกับผู้ค้าแบรนด์ใหญ่ได้จริงหรือ ซึ่งผลการอภิปรายนั้นมีหลายจุดน่าสนใจ

https://player.vimeo.com/video/173675853?title=0&byline=0&portrait=0

Creating a Business Account on Instagram from Instagram for Business on Vimeo.

Laura Jenkins ผู้จัดการฝ่าย social media ของบริษัท Thinking Juice มองว่านี่คือโอกาสใหญ่ที่ช่วยให้ธุรกิจมีความสามารถมากขึ้น 2 ช่องทาง นั่นคือทางสร้างคอนเทนต์และทางสร้างความสัมพันธ์

แต่ Phil Crampton ผู้อำนวยการฝ่ายดิจิทัล บริษัท Intermarketing กลับมองว่านี่คือการเพิ่มรายได้โฆษณาของ Instagram ท่ามกลางการปลูกฝังในโลกเห็นว่าก้าวนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้ประกอบการรายย่อย เพราะสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาคือโฟกัสของ Facebook และ Instagram จะไร้รอยต่อมากขึ้น

ยังมี Caroline Westgate ผู้อำนวยการฝ่ายบริการลูกค้า Cult LDN ที่มองว่า Business Profiles มีช่องโหว่ เพราะ Instagram สร้างสรรค์เฉพาะปุ่ม ‘connect’ และฟีเจอร์ ‘Promote’ แต่มองข้ามความสามารถในการจัดตารางโพสต์ล่วงหน้าหรือ schedule post ทำให้ธุรกิจรายย่อยที่มีสำนักงานในประเทศใดประเทศหนึ่งแห่งเดียวแต่ต้องการดึงดูดลูกค้าทั่วโลก จะยังต้องต่อสู้กับปัญหาเวลาที่ต่างกันของแต่ละประเทศหรือ time zones เพื่อให้แน่ใจว่าคอนเทนต์ของตัวเองไปปรากฏสู่สายตาลูกค้าในเวลาที่ต้องการ

ยังมีอีกหลายความเห็นน่าสนใจในรายงานของ The Drum สามารถติดตามได้จากที่มา

ที่มา : The Drum

 
Source: thumbsup

from:http://thumbsup.in.th/2016/08/instagram-business-profile-smaller-business/

ผู้โดยสารได้อะไร เมื่อ Qantas เปิดใช้ Snapchat

ba246c27ba2a67fffc57b684273d519f

Qantas กลายเป็นสายการบินจากแดนจิงโจ้สายการบินแรกที่เตรียมเปิดตัวบน Snapchat ซึ่งผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของ Qantas เผยว่าจะใช้ Snapchat ในการเผยแพร่เรื่องระดับเอ็กซ์คลูซีฟที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน

โดยปัจจุบัน Snapchat มีผู้ใช้งานราว 100 ล้านคนต่อวัน และมีการส่งแมสเซจถึงกันราว 9,000 ข้อความต่อวินาที ซึ่งสายการบิน Qantas ให้ความสนใจและมองว่า การเปิดตัวบน Snapchat จะทำให้ผู้โดยสารได้รับทราบข้อมูลระดับเอ็กซ์คลูซีฟถึงเบื้องหลังการทำงานของ Qantas นั่นเอง โดยผู้ที่โพสต์เนื้อหาเพื่อแชร์บน Snapchat ในนามของสายการบิน Qantas นั้นอาจเป็นกราวน์สต๊าฟ หรือลูกเรือของสายการบินเอง

“พวกเขาจะเผยให้เห็นว่า งานที่ทำในแต่ละวันนั้นมีอะไรบ้าง ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่ผู้คนไม่ค่อยได้เห็นกันบ่อยนัก เช่น การเปลี่ยนล้อของเครื่องบิน A380 หรือภาพที่ถ่ายจากมุมมองของรถลากเครื่องบินเป็นต้น” Olivia Wirth ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของ Qantas กล่าว

อย่างไรก็ดี เขาได้ให้คำมั่นสัญญาเอาไว้ด้วยว่าจะไม่มีการใช้แพลตฟอร์ม Snapchat เพื่อโปรโมตดีล หรือสิทธิพิเศษบนไฟล์ทของ Qantas ใด ๆ ทั้งสิ้น จึงอาจกล่าวได้ว่าเป็นการใช้ Snapchat เพื่อนำเสนอภาพลักษณ์ของ Qantas ในฐานะบริษัทที่ติด 1 ใน 50 บริษัทยักษ์ใหญ่ของออสเตรเลียผ่าน Snapchat โดยสิ่งที่นำเสนอก็ใช้การรวบรวมมาจากมุมต่าง ๆ ของพนักงาน เช่น วิศวกร นักบิน ลูกเรือ เชฟ บริกร ฯลฯ ร่วมกันโพสต์มากกว่าจะเตรียมลุยทำเงินจากโซเชียลมีเดียนั่นเอง

ที่มา News.com.au

 
Source: thumbsup

from:http://thumbsup.in.th/2016/06/qantas-open-snapchat-profile-for-exclusive-content/

Instagram ทดสอบหน้าโปรไฟล์สำหรับธุรกิจ มีปุ่ม Call to action เหมือน Fanpage

Instagram กำลังทดสอบหน้าแสดงโปรไฟล์ของธุรกิจในรูปแบบใหม่ ซึ่งตอนนี้เริ่มใช้ในกลุ่มเล็กๆ โดยโปรไฟล์ที่กำลังถูกทดสอบนี้ ถูกออกแบบมาให้ใกล้เคียงกับ Facebook fanpage มากขึ้น 

นอกจากนี้ ทาง Instagram ก็ออกมาคอนเฟิร์มว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจริง โดยมีตัวแทนจากบริษัทออกมาให้ข้อมูลว่า มันเป็นฟีเจอร์เพื่อธุรกิจ จะเปิดให้ใช้อย่างเป็นทางการในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

InstagramBusinessProfile

InstagramBusinessProfileDirections

InstagramBusinessProfileVideos

สำหรับโปรไฟล์ผู้ใช้งานแบบธุรกิจ จะต่างจากโปรไฟล์ผู้ใช้งานทั่วไป เพราะจะรวมเอาปุ่ม Call to action แผนที่ไปยังร้านค้า หรือบริษัท รวมทั้งมีฟีเจอร์ส่งข้อความผ่านอีเมลด้วย นอกจากนี้ เจ้าของร้านค้ายังสามารถเลือกประเภทของธุรกิจเพื่อให้มันแสดงขึ้นมาบนหน้าโปรไฟล์ได้เช่นกัน

ที่มา : Adweek

 
Source: thumbsup

from:http://thumbsup.in.th/2016/05/instagram-testing-business-profiles/

เฟสบุ๊คเปิดให้ใช้รูปประจำตัวแบบขยับได้ในแบบวีดีโอ บนระบบ Android และ iOS มาดูวิธีใช้งานกัน

เฟสบุ๊คเปิดให้ใช้รูปประจำตัวแบบขยับได้ในแบบวีดีโอ บนระบบ Android และ iOS มาดูวิธีใช้งานกัน

เฟสบุ๊คเปิดความสามารถใหม่ที่น่าสนใจให้กับผู้ใช้เฟสบุ๊คผ่านอุปกรณ์ของระบบ Android และ iOS (แต่มาทีละระบบนะ) ด้วยการอนุญาตให้เราใช้งานไฟล์วีดีโอเพื่อสร้างรูปประจำตัวแบบขยับได้ ซึ่งวิธีการใช้งานและตั้งค่านั้นไม่ยากครับ แค่สังเกตตรงรูปประจำตัวของเรา มีไอคอนวีดีโอให้พร้อมใช้งานหรือยัง  (ระบบ iOS มาก่อน ตอนนี้ Android ทยอยได้รับการอัพเดทไปกันบ้างแล้วเช่นกัน ถ้าใครที่ยังไม่ได้ จะยังไม่มีคำสั่งหรือขึ้นว่า เร็วๆ นี้ครับ )
ถ้าพร้อมให้ใช้งานแล้ว จะมีคำสั่ง “ถ่ายวีดีโอโปรไฟล์ใหม่” เพิ่มเติมเข้ามาครับ สามารถเลือกเพื่อเข้าไปถ่ายวีดีโอเพื่อใช้เป็นภาพโปรไฟล์เราได้เลย หรือจะใช้การอัพโหลดวีดีโอเก่าที่อยู่ภายในเครื่องก็ได้เช่นกันนะครับ ผ่านคำสั่ง “อัพโหลดวีดีโอหรือรูปภาพ” ลองกันได้เลย

กดเข้าไปที่รูปประจำตัวแล้วเลือก “ถ่ายวีดีโอโปรไฟล์ใหม่”  จากนั้นตัวแอพก็จะให้เราถ่ายภาพวีดีโอเพื่อนำไปใช้เป็นรูปประจำตัวได้เลย โดยจะมีการกำหนดระยะเวลาในการบันทึกได้สูงสุดประมาณ 5 วินาที หลังจากนั้นเราก็สามารถเลือกตัดได้ครับ รวมทั้งเปิดหรือปิดเสียงได้ด้วยเช่นกัน

บันทึกวีดีโอที่ต้องการ แล้วกดตกลง เพื่อเปลี่ยนภาพประจำตัวให้กลายเป็นวีดีโอ แค่นี้ก็เรียบร้อยแล้วครับ
หลังจากนี้เราก็คงจะได้เห็นหน้าเฟสบุ๊คมีการขยับหน้าขยับตากันมากขึ้นละครับ จะเอาแบบน่ารักหรือเอาแบบน่ากลัวก็เอาที่สบายใจกันได้เลยครับ

from:https://www.appdisqus.com/2015/12/19/facebook-profile-video-how-to-set.html

Facebook เริ่มทดสอบหน้าโปรไฟล์ที่ออกแบบใหม่สำหรับโมบายล์แอป

Facebook เวอร์ชั่นโมบายล์แอปอาจจะมีความเปลี่ยนแปลงในเร็วๆ นี้ เพราะดูเหมือนว่าทางต้นสังกัดกำลังทำ A/B testing กับเวย์เอาท์ในหน้าโปรไฟล์ของผู้ใช้งาน

จากที่เห็นในรูปด้านล่าง รูปโปรไฟล์จะขยับมาอยู่ตรงกลาง จากเดิมที่อยู่ด้านซ้ายมือ ชื่อของผู้ใช้งานก็จะมาอยู่ใต้รูป และรูปคัฟเวอร์ก็จะมีขนาดเล็กลง

slack_for_ios_upload.png

จากภาพสกรีนช็อตที่แคปมานี้ แสดงให้เห็นว่าผู้ใช้งานจะได้รับการแจ้งเตือนว่าหน้าตาของ Facebook เปลี่ยนไปแล้ว ขอเชิญจัดการได้ตามใจชอบ ดังนั้น เราจึงไม่เห็นส่วนของ About, Photos และ Friends ที่เคยอยู่ตรงนั้น

เมื่อทีมงาน The Next Web สอบถามไปยัง Facebook ก็ได้คำตอบมาว่า กำลังปรับเปลี่ยนหน้าตาของ Facebook ในเวอร์ชั่นโมบายล์อยู่จริง เพื่อที่จะให้มันแสดงข้อมูลผู้ใช้งานได้ดียิ่งขึ้น

from:http://thumbsup.in.th/2015/08/facebook-appears-to-be-testing-new-profile-pages-for-mobile-users/

Digital tips: วิธีสร้าง Social Profile ให้คนจดจำได้ง่าย

5-Social-profile-updates

เย็นวันนี้ผมมีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนมุมมองด้านงาน Social Media กันกับน้องนุ่งในวงการดจิทัลคนหนึ่ง แล้วก็พบว่าหนึ่งในเรื่องที่พวกเราคนทำงานดิจิทัลมักจะมองข้ามกันไปก็คือ การสร้าง Social Profile ของตัวเองอย่างไรให้คนจดจำได้ง่าย เลยขอหยิบยกเอามาใส่ในคอลัมน์ Digital tips สัปดาห์นี้ครับ

1.   กำหนด Personal Brand ให้ชัด แล้วสื่อสารผ่านทุกๆ Social Channel ด้วยเนื้อหาแนวทางเดียวกัน
แบรนด์ต่างๆ เวลาจะสร้างแบรนด์ทีเขายังมีการทำ Brand Promise (คำมั่นสัญญาของแบรนด์ ที่แบรนด์ๆ นั้นจะทำให้กับลูกค้าให้ได้) เราเองเวลาใช้ Social ถ้าจะทำให้คนจดจำได้ง่ายก็ต้องกำหนด Personal Brand ให้ชัดว่าคนเขาจะมาติดตามเราเพราะอะไร แล้วสื่อสารผ่านทุกๆ ช่องทางอย่างสม่ำเสมอ อย่างผมเองเวลากำหนด Personal Brand ผมจะกำหนดไปเลยว่าผมเป็นคนทำงานดิจิทัลที่ส่งมอบคุณค่าด้านเนื้อหา ข่าวสารเกี่ยวกับดิจิทัลให้ทุกๆ คน ดังนั้นไม่ว่าจะเป็น Facebook, Twitter, LinkedIn, Flickr ฯลฯ ผมจะส่งข้อความออกไปในด้านการให้ความรู้ความเข้าใจ อัปเดตเรื่องราวธุรกิจดิจิทัลอย่างเดียวกันทุกๆ ช่องทางและทำอย่างสม่ำเสมอ คนจึงจะจดจำได้ และมั่นใจว่า follow ไปแล้วไม่หายแน่นอน

2. ใช้รูป Profile และรูป Cover ให้เป็นรูปเดียวกันทั้งหมดทุกช่อง Social เพื่อให้คนจดจำได้ 
อันแรกนี้เป็นวิธีที่ผมใช้อยู่ วิธีการง่ายๆ คือ ไม่ว่า Social ของเราจะมีกี่่ Channel ก็ควรจะใช้รูปภาพรูปเดียวกัน Cover หรือ Background image ควรจะใช้ภาพเดียวกันเพื่อย้ำให้ผู้เยี่ยมชม Profile ของเราจดจำได้ง่าย เรื่องนี้ทำได้ไม่ยาก อยากให้เริ่มกันก่อนครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับธรรมชาติของ Social Channel แต่ละที่ด้วย อย่างผมเอง Facebook, Twitter, LinkedIn, Flickr, ใช้รูปภาพเดียวกันหมด ภาพ Cover ก็พยายามใช้ภาพเดียวกันหมด เว้นแต่ LinkedIn ที่ต้องสื่อสารแตกต่างจาก Social อื่นสักนิด เพราะมันใช้คนละแบบ ทำแบบนี้คนจะแน่ใจได้ว่าไม่ว่าคุณมีกี่ Profile ก็คนเดียวกันแน่นอน

3. อย่าใช้ Tool จนทำให้ดูไม่เป็นธรรมชาติ
การใช้ Social Media ไม่ใช่เรื่องไอที แต่มันเป็นเรื่องของคน เป็นเรื่องการสื่อสาร ดังนั้นอย่าใช้เครื่องมือประเภทดึง feed มาแสดง จนคนที่ติดตามเราเห็นเรากลายเป็นหุ่นยนต์พ่น feed ข่าว จนดูไม่เป็นธรรมชาติ และนำไปสู่ความห่างเหินในความสัมพันธ์ในที่สุด

วันนี้ก็ขอจบ Digital tips ไว้แค่นี้ก่อนครับ tips พวกนี้ทำไม่ยาก ลองใช้กันดูนะครับ ชอบไม่ชอบอย่างไรแสดงความเห็นไว้ด้านล่างได้เลย

เกี่ยวกับคอลัมน์ Digital tips: สมัยนี้เวลาคนเราน้อยลง การอ่าน Best Practice ต่างๆ ใน thumbsup จะช่วยให้คุณทำงานได้ดีขึ้น แต่ Best Practice ที่เขียนกันมาทีนึงก็ย๊าวยาว (ใครจะมีเวลาอ่านอะไรยาวๆ ถ้าอย่างนั้น?) จะดีไหมถ้ามีคอลัมน์รายสะดวก (รายสัปดาห์ ถ้าเป็นไปได้) ในการแชร์ประสบการณ์เชิง tips & tricks ของคนทำงานธุรกิจดิจิทัลแบบสั้นๆ อ่านได้ง่ายจบในไม่กี่อึดใจ ไม่เยิ่นเย้อ แต่ตกตะกอนมาแล้ว ก็คงจะเป็นประโยชน์กับ thumbsupers ไม่มากก็น้อย

ที่มาของภาพ: Culture PC

from:http://thumbsup.in.th/2014/08/digital-tips-build-up-your-social-profile/