Microsoft ได้ออกเอกสารอ้างอิงชุดคำสั่งบน Windows ภายใต้เอกสารชื่อ Windows Command Reference ซึ่งได้รวมเอาวิธีการใช้งานกว่า 250 คำสั่งใน Console เอาไว้ภายในเอกสาร PDF ขนาด 948 หน้า เปิดให้ทุกท่านโหลดไปศึกษาหรือใช้อ้างอิงกันได้ฟรีๆ
เนื้อหาในเอกสารนี้สามารถนำไปใช้งานได้กับ Windows 8.1, Windows 10, Windows Server 2008/2008 R2, Windows Server 2012/2012 R2, Windows Server 2016, Windows Server Semi-Annual Channel
Microsoft Storage Spaces Direct: เทคโนโลยี Software-Defined Storage ของ Windows Server 2016
Microsoft Storage Spaces Direct หรือ S2D นี้เป็นความสามารถหนึ่งที่ถูกรวมเข้ามากับลิขสิทธิ์การใช้งาน Windows Server 2016 รุ่น Datacenter อยู่แล้ว โดยความสามารถนี้คือการเปลี่ยนให้ Windows Server สามารถทำหน้าที่ให้บริการ Software-Defined Storage และทำงานเป็น Scale-Out Storage เพื่อทดแทนระบบ SAN Storage หรือ NAS Storage ที่เดิมเคยต้องใช้งานร่วมกับระบบ Virtualization ได้ โดยยังคงมีความสามารถทางด้าน High Availability และ Failover อยู่นั่นเอง
Microsoft S2D นี้นอกจากจะช่วยให้องค์กรสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการลงทุนระบบ SAN หรือ NAS Storage ไปได้แล้ว หากเทียบกับระบบ HCI อื่นๆ นั้น Microsoft S2D ก็ยังถือว่าช่วยให้องค์กรที่มีการใช้งานเทคโนโลยีของ Microsoft เป็นหลักอยู่แล้วในการทำงานสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายทางด้านลิขสิทธิ์ Software ลงไปได้ไม่น้อย เพราะใน Windows Server 2016 รุ่น Datacenter นั้น มาพร้อมกับทั้ง Microsoft S2D และ Microsoft Hyper-V ทำให้สามารถรองรับทั้งการทำ Virtualization และ Software-Defined Storage ได้ทันทีในตัว ต่างจากกรณีของ HCI อื่นๆ ที่ต้องลงทุนทั้ง Virtualization, Software-Defined Storage/Appliance และ Windows Server 2016 แยกจากกันทั้งหมด
Microsoft S2D นี้สามารถเริ่มต้นใช้งานต่อ Cluster ได้ที่ 2 Node และเพิ่มขยายสูงสุดได้ 16 Node ซึ่งด้วยจำนวนเท่านี้ก็ถือว่าเพียงพอต่อองค์กรขนาดเล็กจนถึงขนาดกลางจำนวนมากในตลาดแล้ว และสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ก็สามารถใช้งานหลายๆ Cluster ได้อีกด้วย โดยเครื่องมือที่ใช้ในการบริหารจัดการระบบทั้งหมดนี้ก็คือเครื่องมือมาตรฐานของ Microsoft ทั้งสิ้น ได้แก่ Windows Admin Center, Windows PowerShell, System Center, Failover Cluster Manager หรือ Server Manager เป็นต้น
Dell EMC Microsoft Storage Spaces Direct Ready Nodes: ระบบ Server ประสิทธิภาพสูง รองรับทุกความสามารถของ Microsoft Storage Spaces Direct
เพื่อตอบโจทย์ของเหล่าองค์กรที่ใช้งานเทคโนโลยีของ Microsoft เป็นหลักและต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายด้วย Microsoft Storage Spaces Direct ทาง Dell EMC จึงได้ทำการออกแบบระบบ Hardware ขึ้นมารองรับ Microsoft Storage Spaces Direct โดยเฉพาะภายใต้ชื่อระบบ Dell EMC Microsoft Storage Spaces Direct Ready Nodes ซึ่งได้ผ่านการทดสอบและรับรองการทำงานโดย Microsoft มาแล้ว
เมื่อเร็วๆ นี้ทาง Microsoft ได้ทำการปล่อย Microsoft Windows Server version 1709 ออกมาในฐานะของ Windows Server Semi-Annual Channel รุ่นแรก เพื่อเป็นระบบปฏิบัติการสำหรับ Server ที่จะเป็นอีกทางเลือกนอกจาก Windows Server 2016 ที่เราคุ้นเคยกัน ทางทีมงาน TechTalkThai เห็นว่า Windows Server รุ่นนี้มีอะไรเปลี่ยนไปจาก Windows Server 2016 อยู่เยอะพอสมควร จึงขอนำมาสรุปเรียบเรียงให้ผู้อ่านทุกท่านได้ทำความรู้จักกับเจ้า Windows Server Semi-Annual Channel ไปพร้อมๆ กันเลยครับ
Credit: Microsoft
จุดกำเนิดของ Windows Server Semi-Annual Channel: Microsoft ต้องการระบบปฏิบัติการฝั่ง Server สำหรับ Cloud โดยเฉพาะจริงๆ แล้ว
ที่ผ่านมาตลาด Server นั้นตกเป็นของ Linux ซะมาก และยิ่งเติบโตรวดเร็วขึ้นไปอีกจากการมาของ Container ทำให้ Microsoft เองเห็นว่าตัวเองต้องเริ่มปรับเข้าสู่ทิศทางนี้ของตลาดแล้ว แต่เนื่องจาก Windows Server 2016 เดิมที่มีอยู่นั้นก็มีฟีเจอร์จำนวนมากสำหรับสนับสนุนการใช้งานภายในองค์กรและการรองรับ Traditional IT การจะปรับมารองรับตลาดนี้แล้วทิ้งฟีเจอร์เดิมๆ ไปนั้นก็คงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก ทำให้โครงการ Windows Server Semi-Annual Channel ถือกำเนิดขึ้นมา
Windows Server Semi-Annual Channel นี้ถูกออกแบบมาให้มีขนาดเล็กที่สุดเพื่อให้รองรับการทำงานบน Cloud ได้โดยประหยัดทรัพยากร อีกทั้งยังเน้นแนวคิดเรื่องของการอัปเดตให้ได้ถี่ที่สุดเพื่อให้ Windows Server สามารถมีฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่ตอบรับต่อความต้องการใหม่ๆ ในตลาดได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่ยังคงบริหารจัดการผ่านเครื่องมือเดิมๆ ที่มีอยู่ได้ ทำให้เหล่าผู้ดูแลระบบไม่ต้องปรับตัวมากจนเกินไปนัก
นอกจากนี้ Microsoft ยังได้ทำการพัฒนา Server Core และ Nano Server ให้มีขนาดเล็กลงกว่าเดิมไปอีกสำหรับบน Windows Server Semi-Annual Channel โดย Nano Server ใน Windows Server Semi-Annual Channel จะเล็กลงจาก 390MB เหลือเพียง 80MB เท่านั้น รวมถึงยังรองรับการทำ Linux Containers ได้ผ่านทาง Hyper-V Isolation ทำให้ Windows Server Semi-Annual Channel รองรับการทำ Container ได้ครบทุกระบบปฏิบัติการที่เหล่านักพัฒนาต้องการ
รอบอัปเดตต่างจาก Windows Server 2016 ชัดเจน
หากใครติดตาม Microsoft มาในระยะหลังๆ นี้ เราจะเริ่มเห็นได้ว่า Microsoft พยายามผลักดันให้ Cycle ในการออก Release ใหม่ๆ ของแต่ละผลิตภัณฑ์สั้นลง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ Windows 10 ที่จะมี Release ใหญ่ปีละ 2 รอบ และในครั้งนี้ Windows Server เองก็พยายามจะนำแนวคิดนั้นมาใช้บ้าง ทำให้เกิดเป็น Windows Server Semi-Annual Channel ขึ้นมา
อย่างไรก็ดี Microsoft ไม่สามารถทิ้งลูกค้าองค์กรกลุ่มเดิมๆ ได้ ดังนั้น Windows Server Semi-Annual Channel นี้จึงจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่คู่ขนานไปกับ Windows Server 2016 ที่มีความแตกต่างกันในแง่ของรอบอัปเดต และเทคโนโลยีพื้นฐานที่มากับระบบ เพื่อรองรับรูปแบบการนำไปใช้งานที่ต่างกันนั่นเอง
ชื่อรุ่นของ Windows Server Semi-Annual Channel นี้จะตั้งตามปีและเดือนที่ถูกปล่อยออกมา เช่น Windows Server 1709 นี้ก็ถูกปล่อยออกมาในปี 2017 เดือน 9 เป็นต้น ส่วนรุ่นถัดไปคือ Windows Server 1803 ก็จะถูกปล่อยออกมาปี 2018 เดือน 3 นั่นเอง
Windows Server version 1709 เน้นรองรับ Container, DevOps เป็นหลัก เตรียมตัด GUI ทิ้ง
ภายใน Windows Server version 1709 ได้มีฟีเจอร์ที่น่าสนใจดังนี้
รองรับ Nano Container และ Server Core Container อย่างเต็มตัว
รองรับ Server Core as a Container and Infrastructure แล้ว
ปรับปรุง VM Load Balancing ให้ดีกว่าเดิม โดยมี OS Awareness และ Application Awareness เพิ่มเข้ามา
สนับสนุน Storage-class Memory ให้กับ VM โดยรองรับการใช้ Non-volatile DIMM ต่อตรงแบบ Direct Access เข้ากับ Hyper-V VM ได้
Docker ประกาศเปิดตัว Docker Enterprise Edition (EE) รุ่น 17.06 โดยเพิ่มการรับรอง IBM Z และ Windows Server 2016 เข้ามา และสามารถให้บริการโซลูชัน Container-as-a-Service (CaaS) เพื่อตอบรับความต้องการของ Application สมัยใหม่ภายในองค์กรได้เป็นอย่างดียิ่งขึ้น
Credit: Docker
ด้วยการรองรับระบบใหม่ๆ เพิ่มดังกล่าว ทำให้ Docker EE 17.06 สามารถสนับสนุนได้ทั้ง Windows, Linux และ Linux-based Mainframe ในระบบเดียว และทำ Automation ในส่วนของ Application และ Infrastructure ได้อย่างครอบคลุมมากขึ้น อีกทั้งยังได้มีการรวม UCP 2.2 และ DTR 2.3 เอาไว้ใน Docker EE รุ่นนี้ด้วย
ในการรองรับ Windows ครั้งนี้ ทำให้ Docker EE สามารถบริหารจัดการ Docker Windows Container ได้แบบครบวงจร ทั้งการทำ Image Scanning, Secret Management และ Overlay Networking รวมถึงยังทำให้ Windows Application และ Linux Application สามารถเชื่อมต่อกันได้ผ่าน Overlay Networking รวมถึงสร้าง Cluster เดียวที่มีส่วนผสมรวมกันระหว่าง Windows, Linux และ IBM Z ได้
Microsoft ได้เปิดเผยว่าใน Windows 10 อัปเดตหลักถัดไปที่มีชื่อเรียกว่า Redstone 3 นี้ รวมถึง Windows Server 2016 ได้มีการวางแผนที่จะมีการปิด SMBv1 เอาไว้เป็น Default เลย
หลังจากที่ Microsoft Windows Server 2016 ได้เปิดตัวออกมาระยะหนึ่งแล้ว และมีเหล่าผู้ดูแลระบบเริ่มใช้งานกันไปบ้าง ก็คงจะทราบกันดีว่า Windows Server 2016 นี้มีอะไรใหม่ๆ เข้ามาเยอะพอสมควร และในบทความนี้เราก็จะมาแนะนำถึง 10 ความสามารถของ Windows Server 2016 ที่เหล่าผู้ดูแลระบบควรจะหัดใช้งานกัน เพื่อให้เป็นประโยชน์ในระยะยาว ทั้งในแง่การนำไปประยุกต์ใช้ และความคุ้มค่าต่อการใช้งาน ดังนี้ครับ
1. Hyper-V
Hyper-V นั้นกลายเป็นความสามารถพื้นฐานของ Microsoft Windows Server 2016 ที่เหล่าผู้ดูแลระบบควรหัดใช้งานให้เป็นกันไปแล้ว เพราะนอกจากจะเป็นทางเลือกในการทำ Virtualization ให้กับระบบที่ใช้งาน Microsoft Windows Server เป็นหลักได้อย่างคุ้มค่าแล้ว Hyper-V เองก็จะมีบทบาทเป็นอย่างมากต่อสถาปัตยกรรมระบบแบบ Private Cloud และ Hybrid Cloud ของ Microsoft ดังนั้นการหัดใช้งาน Hyper-V เบื้องต้นให้เป็น ทั้งการบริหารจัดการ, การออกแบบให้ทนทาน, การรักษาความมั่นคงปลอดภัย และการเข้าใจถึงความแตกต่างจากเทคโนโลยี Virtualization อื่นๆ จึงเป็นสิ่งแรกๆ ที่ควรเริ่มเรียนรู้นั่นเอง
และอีกประเด็นที่ถือเป็นข้อได้เปรียบมหาศาลก็คือ การสร้าง Virtual Machine ได้อย่างไม่จำกัดพร้อมทั้งสามารถติดตั้ง Windows Server 2016 ได้ฟรีๆ สำหรับทุกเวอร์ชันที่ยังไม่ EOL อีกทั้งยังสามารถใชง้านคุณสมบติ Secure Boot กับร่วมระบบปฎิบัติการ Linux ตั้งแต่ Ubuntu 14.04, SUSE Linux Enterprise Server 12, Red Hat Enterprise Linux 7.0 และ CentOS 7.0 ขึ้นไป ที่สามารถทำงานบนเครื่อง Virtual Machine ในรุ่นที่ 2 (VM Gen2) ได้แล้ว
2. Windows Container
Container ได้กลายเป็นเทคโนโลยีที่ร้อนแรงที่สุดสำหรับวงการ Software Development และ IT Infrastructure ไปแล้วในเวลานี้ และทาง Microsoft เองก็ประกาศรองรับเทคโนโลยี Container อย่างเต็มตัวใน Microsoft Windows Server 2016 แล้ว และยังสามารถทำงานร่วมกับเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมอย่าง Docker ได้ด้วย ดังนั้นการศึกษาให้เข้าใจถึงการใช้งาน Container และความแตกต่างจาก Virtualization เพื่อให้สามารถเลือกใช้งานในสถานการณ์ที่เหมาะสมได้ ก็จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อเหล่าผู้ดูแลระบบในระยะยาว
ใน Windows Server 2016 นี้ อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจมากคือการเปิดตัวโหมดในการติดตั้งออกมาหลายรูปแบบ ทั้ง Windows Nano Server และ Windows Server Core ให้เราเลือกใช้ได้นอกจากการติดตั้ง Windows Server 2016 แบบเต็มๆ ซึ่งแต่ละแบบเองก็มีความสามารถที่ไม่เท่ากัน และเหมาะกับรูปแบบการนำไปใช้งานที่แตกต่างกัน ด้วยขนาดที่เล็กของ Nano Server อยู่ที่ประมาณ 500 MB นั้น ก็เพื่อจุดมุ่งหมายที่ถูกออกแบบมาให้เป็น ระบบปฏิบัติการในยุคคลาวด์ (Cloud Era Operating System) ซึ่งรองรับการใช้งานได้ทั้้ง Private Cloud และ Public Cloud และด้วยการลด port ที่ไม่จำเป็นออกไปจากการใช้งานนี้ ก็ยังเป็นการเสริมความปลอดภัยให้กับ Server อีกด้วย ทำให้เหล่าผู้ดูแลระบบนั้นควรจะต้องศึกษาและทำการทดสอบจนเข้าใจความแตกต่างของการติดตั้งในรูปแบบที่หลากหลายเหล่านี้ให้ดีครับ
Windows Server 2016 เองนี้ก็ได้ใส่เทคโนโลยี Software-defined Storage (SDS) อย่าง Storage Spaces Direct (S2D) เข้ามาด้วย ทำให้ Windows Server แต่ละเครื่องสามารถสร้างบริการ Scale-out Storage ขึ้นมาใช้งานร่วมกันเป็น Cluster ระหว่าง Server หลายๆ เครื่องได้ และหากใช้งาน Hyper-V ควบคู่ไปด้วยก็จะทำให้ Windows Server 2016 นั้นกลายเป็นระบบ Hyper-converged Infrastructure (HCI) ที่ทรงพลัง และสามารถเริ่มต้นได้จากเพียงแค่ 2-node ไปทันที ไม่ต้องมี NAS Storage หรือ SAN Storage ในการทำ Cluster อีกต่อไป
ความสามารถในการทำ SDS นี้ช่วยให้ Windows Server 2016 สามารถสร้างพื้นที่เก็บข้อมูลให้รองรับข้อมูลขนาดใหญ่ได้ และยังคงมีประสิทธิภาพในการจัดสรรพื้นที่ในการจัดเก็บข้อมูล ตลอดจนเพิ่มความเร็ว และลดความเสี่ยงจากความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับ Hard Disk Drive (HDD) และ Solid State Drive (SSD) ได้ดียิ่งขึ้น
ถึงแม้ ReFS นี้จะมีให้ใช้งานมาตั้งแต่ Windows Server 2012 แล้ว แต่ผู้ดูแลระบบหลายๆ ท่านก็ยังไม่มีโอกาสได้ลองใช้งาน การศึกษา ReFS ที่เป็นระบบ File System ใหม่ล่าสุดของ Microsoft ที่ตอบโจทย์ทั้งประเด็นด้านความทนทานและการเพิ่มขยายระบบได้เป็นอย่างดีนี้ก็ถือเป็นสิ่งที่ควรทำ เพื่อให้เป็นอีก File System ทางเลือกสำหรับการ Deploy ระบบต่างๆ บนเทคโนโลยีของ Microsoft นั่นเอง และจะทำให้การออกแบบระบบ Storage บน Windows Server 2016 มีความยืดหยุ่นมากขึ้นอีกด้วย
นับเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีใหญ่ที่ถูกใส่ลงมาใน Windows Server 2016 ด้วยการพัฒนาความสามารถในการใช้งาน Network Virtualization ไปอีกระดับ โดยมีการพัฒนา Server Role ใหม่ที่เรียกว่า “Network Controller” ขึ้นมาเพื่อตอบสนองการใช้งานในรูปแบบ Software-defined Network และน่าจะกลายเป็นอีกเทคโนโลยีที่ Microsoft พัฒนาต่อเนื่องระยะยาวจากแนวโน้มของการที่ Microsoft ได้พัฒนา SDN เป็นอย่างดีบน Microsoft Azure
SDN ของ Microsoft นี้ถือว่ามีความหลากหลายไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นระบบ Network Controller, VXLAN Overlay, SDN Gateway, Network Security Group, Distributed Firewall, User-defined Routing, RDMA, Switch Embedded Teaming, VM Multi-queue, Software Load Balancer, QoS และ Microsegment โดยสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://docs.microsoft.com/en-us/windows-server/networking/networking ครับ
Credit: Microsoft
8. PowerShell
PowerShell ได้กลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการบริหารจัดการระบบต่างๆ ของ Windows Server 2016 ไปแล้ว และหากผู้ดูแลระบบต้องทำงานกับ Windows Server เยอะๆ การเรียนรู้ PowerShell ให้สามารถใช้งานได้คล่องนั้นก็ถือเป็นข้อได้เปรียบที่ดีทีเดียว
จากข่าว WannaCry Ransomware ที่โด่งดังนั้นก็คงทำให้เราเห็นความสำคัญของการหมั่นอัปเกรดระบบอย่างต่อเนื่อง และ Windows Server 2016 ก็มาพร้อมกับความสามารถในการทำ Cluster OS Rolling Upgrade ที่จะช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถอัปเกรดจาก Windows Server 2012 R2 ภายใน Cluster ให้กลายมาเป็น Windows Server 2016 ได้โดยไม่ต้องหยุดบริการใดๆ ของ Hyper-V และ Scale-Out File Server ทำให้ไม่เกิด Downtime ในระบบเลยนั่นเอง อีกทั้งยังนำไปประยุกต์ใช้ในกรณีของการทำ Patching และ Maintenance ได้อีกด้วยครับ ถือเป็นหนึ่งในฟีเจอร์ที่ควรใช้งานให้เป็นเป็นอย่างยิ่ง
ติดต่อ Microsoft Thailand ได้ทันที พร้อมมีโปรโมชันพิเศษสำหรับลูกค้าองค์กร
สำหรับผู้ที่สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Microsoft Windows Server 2016 สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม พร้อมโปรโมชันใหม่ๆ จากทีมงาน Microsoft Thailand ได้ทันทีที่ https://aka.ms/smb_update_server2016 หรือโทร 02-263-6888 ครับ
สำหรับผู้ดูแลระบบสาย Microsoft Windows Server เรามีของสนุกๆ มาให้อ่านกันอีกแล้ว คือ Windows Server 2016 Performance Tuning Guide ที่ทาง Microsoft ปล่อยออกมาปลายเดือนที่แล้วครับ
Credit: Microsoft
ภายใน Microsoft Windows Server 2016 Performance Tuning Guide ฉบับนี้ จะครอบคลุมเนื้อหาตั้งแต่ส่วนของการทำ Hardware Tuninng จากแบ่ง Tune ตาม Server Role ที่ครอบคลุมทั้ง AD, Container, File Server, Hyper-V, Remote Desktop Server และ Web Server ไปจนถึงการตั้งค่าใน Server Subsystem ต่างๆ เช่น Cache & Memory Management, Software-defined Networking และ Storage Spaces Direct ครับ เนื้อหาไม่ยาวมาก 199 หน้าภาษาอังกฤษล้วนเท่านั้น