คลังเก็บป้ายกำกับ: RAAS

ขับเคลื่อนธุรกิจยุคใหม่ ปฏิวัติองค์กรสู่ Digital Transformation กับ AIS 5G NEXTGen for Business

ในยุค Disruption ที่องค์กรต่างถูกแวดล้อมไปด้วยความเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันและวิกฤตการณ์ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว องค์กรที่ยังคงทำธุรกิจแบบดั้งเดิมอาจพลาดโอกาสในการผงาดก้าวขึ้นมาเติบโตยิ่งใหญ่ได้อย่างเคย หากไม่เร่งเรียนรู้และปรับตัวก็คงยากที่จะก้าวข้ามความท้าทายและยืนหยัดอยู่รอดต่อไปได้ในสมรภูมิการแข่งขันอันดุเดือดในช่วงเวลานี้

ถึงเวลาแล้วที่ธุรกิจต้องหันมาปรับกระบวนการดำเนินงานด้วยการเดินหน้าทรานส์ฟอร์มองค์กรสู่ดิจิทัล และ 5G ก็ถือเป็นอีกหนึ่ง Game Changer ที่ช่วยขับเคลื่อนให้องค์กรก้าวไปสู่โลกแห่งอนาคตได้อย่างทรงพลัง ซึ่งวันนี้ AIS Business ในฐานะผู้ให้บริการ AIS 5G ก็พร้อมเป็นที่พึ่งสำหรับทุกธุรกิจ พร้อมนำพาองค์กรไปสู่การทำ Digital Transformation ภายใต้แนวคิด AIS 5G NEXTGen for Business 

อะไรเป็นเหตุผลสำคัญที่องค์กรควรวางใจให้ AIS Business เป็นผู้ช่วยคนสำคัญในการเริ่มต้นทำ Digital Transformation และธุรกิจจะได้รับผลประโยชน์อย่างไรจากการที่ AIS Business เสริมสร้าง 5G Ecosystem ร่วมกับพาร์ตเนอร์ผู้นำระดับภูมิภาคอย่าง NCS telco+ ร่วมค้นหาคำตอบได้ในบทความนี้

ก้าวแรกสู่อนาคตใหม่ ก้าวไปด้วยกันกับ AIS 5G NEXTGen for Business

หากมองในมุมขององค์กรแล้ว การทำ Digital Transformation อาจสร้างความกังวลให้กับธุรกิจไม่น้อย หลายบริษัทที่ต้องการพลิกโฉมกระบวนการทำงานให้ตามทันยุคดิจิทัลอาจกำลังหลงทาง จับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้ว่าต้องเริ่มต้นอย่างไร ไม่เข้าใจว่ามีกระบวนการและขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อนมากน้อยเพียงใด จำเป็นต้องใช้งบประมาณลงทุนเท่าไร และใช้เวลาดำเนินการยาวนานแค่ไหนกว่าจะปรับเปลี่ยนได้สำเร็จ

คำถามเหล่านี้อาจสร้างความตระหนกและปิดกั้นความคิดของธุรกิจที่เดิมตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงสู่การทำ Digital Transformation ไปเลยก็เป็นได้ แต่ทุกคำถามย่อมมีคำตอบ เพียงแค่ธุรกิจเปิดใจให้ผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์อย่าง AIS Business ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการเดินทางครั้งใหม่ขององค์กรกับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี 5G ในหลายมิติ เพื่อต่อยอดการสร้างโอกาสใหม่ทางธุรกิจในอนาคตร่วมกัน

ปัจจัยสำคัญที่องค์กรควรหันมาเปิดรับโอกาสใหม่ทางธุรกิจร่วมกับ AIS Business นั้น คือ องค์ประกอบครบครันทั้ง 5 ประการ จากบริการของ AIS Business ที่สามารถตอบโจทย์ธุรกิจทุกอุตสาหกรรมในการก้าวเข้าสู่การทำ Digital Transformation อันประกอบด้วย

  1. 5G Ecosystem and Partnership: ระบบนิเวศน์ 5G และความร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจด้วยเทคโนโลยีและโซลูชัน 5G
  2. Intelligent Network: เชื่อมโยงธุรกิจด้วยโครงข่ายอัจฉริยะประสิทธิภาพสูงและมั่นคงปลอดภัย โดยเฉพาะการผสานโครงข่ายมีสายความเร็วสูงกับโครงข่ายอัจฉริยะ 5G เสริมศักยภาพการเชื่อมต่อ ยืดหยุ่น รองรับความต้องการให้กับองค์กรยุคใหม่
  3. Digital Infrastructure and Platform: โครงสร้างพื้นฐานและแพลตฟอร์มดิจิทัลรองรับการเติบโตของธุรกิจ ทั้ง Cloud, IoT, Cyber Security และ ICT
  4. Data-Driven Business: ขับเคลื่อนองค์กรด้วย Data ปลดล็อกโอกาสใหม่ให้ธุรกิจด้วย Intelligent Data Analytics และโซลูชันการตลาดดิจิทัล
  5. Trusted Professionals: ส่งมอบบริการคุณภาพจากทีมงานที่เชื่อถือได้ระดับมืออาชีพ
Image credit: AIS Business

ดังนั้น ข้อกังวลต่าง ๆ ที่ลูกค้าธุรกิจเคยตั้งข้อสงสัยไว้ก็สามารถคลี่คลายได้หากขอรับคำปรึกษาและร่วมวางแผนแนวทางการดำเนินงานจากผู้ช่วยตัวจริงอย่าง AIS Business และด้วย 5 องค์ประกอบที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้ AIS Business ก้าวไปอีกขั้นกับแนวคิด AIS 5G NEXTGen for Business พร้อมเป็น “Your Trusted Smart Digital Partner” เคียงคู่ธุรกิจไทยในการส่งเสริมขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ เร่งเดินหน้าองค์กรสู่การทำ Digital Transformation ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและบริการครบครันพร้อมส่งมอบโดยผู้เชี่ยวชาญที่ลูกค้าวางใจได้ในความสามารถและความเป็นมืออาชีพ

สร้าง 5G Ecosystem ให้แข็งแกร่ง สร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ AIS Business ก้าวขึ้นมาพร้อมเป็นผู้ช่วยธุรกิจในการทำ Digital Transformation ให้สำเร็จได้นั้น คือ การขยายความร่วมมือ AIS 5G กับพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้าง 5G Ecosystem ที่แข็งแรง ขยายขีดความสามารถในการต่อยอดผลิตภัณฑ์และส่งมอบโซลูชัน AIS 5G แบบครบวงจรสู่การทรานส์ฟอร์มองค์กรให้แก่ลูกค้าทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคอุตสาหกรรม 

Image credit: AIS Business

ดังนั้น แน่นอนว่าความร่วมมือของ AIS Business กับพาร์ตเนอร์ย่อมสร้างผลประโยชน์นานัปการแก่ลูกค้าธุรกิจโดยตรงได้อย่างรอบด้านและครบครัน ทั้งในแง่ของการวางแผนการทำงานเชิงกลยุทธ์ การส่งเสริมศักยภาพของธุรกิจ การสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้า การพัฒนาโมเดลธุรกิจและโซลูชันใหม่ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ รวมไปถึงการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันเหนือคู่แข่งให้สามารถเติบโตต่อไปอย่างยั่งยืนได้ในโลกอนาคตยุคดิจิทัล

รู้จัก NCS telco+ พันธมิตรคนสำคัญ เสริมแกร่งความร่วมมือเดินหน้าธุรกิจ

ความสำเร็จและโอกาสใหม่ของธุรกิจย่อมเกิดขึ้นได้จากความร่วมมือ ด้วยเหตุนี้เอง AIS Business จึงยังคงเฟ้นหาพาร์ตเนอร์หน้าใหม่อย่างไม่หยุดยั้ง โดยล่าสุด AIS Business ได้ลงนาม MOU ผนึกกำลังร่วมกับ NCS Telco+ หนึ่งในพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ที่จะเข้ามาร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลงองค์กรของไทยให้เข้าสู่ดิจิทัลไปด้วยกันกับ AIS Business

Image credit: NCS telco+

Telco+ เป็นกลุ่มธุรกิจด้านยุทธศาสตร์ของ NCS ซึ่งเป็นบริษัท System Integrator รายใหญ่ภายใต้บริษัท Singtel จากประเทศสิงคโปร์ นับว่าเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม IT ในระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบและการนำเทคโนโลยี 5G และโซลูชันด้าน Video Analytics, Robotics, IoT & Digital Twins, AI/ML, AR/VR มาประยุกต์ใช้ร่วมกับแพลตฟอร์มคลาวด์สำหรับธุรกิจ

นอกจากนี้ NCS telco+ ยังมีความชำนาญในการพัฒนาประสิทธิภาพด้านการปฏิบัติการระดับองค์กรด้วยการใช้ข้อมูลเชิงลึกให้เป็นประโยชน์ ควบคู่กับการให้บริการด้านแอปพลิเคชัน โครงสร้างพื้นฐาน วิศวกรรม และ ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์แก่ลูกค้าองค์กรในหลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นด้านการดูแลสุขภาพ การค้าปลีก การผลิต การเกษตร การท่า การพัฒนาเมือง และการขนส่ง

Image credit: NCS telco+

AIS Business x NCS telco+: เปิดโอกาสใหม่ทางธุรกิจในทุกอุตสาหกรรม

ความร่วมมือครั้งใหม่ระหว่าง AIS Business และ NCS telco+ ไม่เพียงแต่เป็นการผสานความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของทั้งสองฝ่าย แต่ยังคงเพิ่มขีดความสามารถเสริมความแข็งแกร่งร่วมกันในการพัฒนาโซลูชันใหม่ ๆ และส่งมอบบริการตอบโจทย์ธุรกิจไทยในการทำ Digital Transformation โดยสมบูรณ์

Image credit: AIS Business

ด้าน NCS telco+ มีโซลูชันมากมายจากเทคโนโลยี 5G และ IoT ที่ใช้งานจริงในอุตสาหกรรมหลายแขนง ตั้งแต่การผลิต โลจิสติกส์ การขนส่ง การค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์ และการป้องกันประเทศ ซึ่งทาง NCS telco+ ได้นำเสนอโซลูชันต่าง ๆ ที่น่าสนใจในงาน Thailand 5G Summit 2022 ให้กลุ่มธุรกิจได้ลองสัมผัสประสบการณ์การใช้งานกัน อาทิ

  • Robot-as-a-Service (RaaS): หุ่นยนต์อัตโนมัติ (Autonomous Robot) พร้อมใช้งานผ่าน 5G ที่ผนวกรวมเข้ากับ robotmanager แพลตฟอร์มกลางสำหรับการจัดการแบบเรียลไทม์จากทางไกลเพื่อการประยุกต์ใช้งานในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น อุตสาหกรรมค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์ การป้องกันประเทศ เป็นต้น
  • Digital Twins: การนำ AR/VR มาสร้างแบบจำลองเป็นฝาแฝดดิจิทัล สามารถนำข้อมูลต่าง ๆ จากกล้องวงจรปิดหรืออุปกรณ์สวมศีรษะ มาสร้างเป็น 3D Visualization ให้เห็นภาพเพื่อประกอบการตัดสินใจทางธุรกิจได้ ซึ่งการใช้งานเทคโนโลยี Digital Twins กำลังเป็นที่นิยมในภาคการผลิตและอสังหาริมทรัพย์เป็นส่วนใหญ่
  • Open Video Intelligence Platform: แพลตฟอร์มเชื่อมต่อระบบกล้องวงจรปิดที่สามารถป้อนข้อมูลฝึกระบบด้วยตัวเอง สร้างเงื่อนไขได้โดยไม่ต้อง Coding ผ่าน Machine Learning ซึ่งสามารถนำไปใช้งานเพื่อการวิเคราะห์วิดีโอได้หลายรูปแบบ เช่น การอ่านค่ามิเตอร์จากมาตรวัดกายภาพแล้วแปลงค่าเป็นข้อมูลดิจิทัล เป็นต้น

นอกจากนี้ NCS telco+ ยังมีอีกหลากหลายโซลูชันที่ตอบโจทย์ความต้องการของภาคธุรกิจ ยกตัวอย่างสำหรับธุรกิจค้าปลีกที่สามารถนำโซลูชันหลายแบบมาปรับใช้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการนำ Digital Signage หน้าจอแสดงผลอัจฉริยะมาฉายโฆษณาตามจุดต่าง ๆ หรือการใช้งาน Real-time Indoor Positioning เพื่อระบุตำแหน่งภายในอาคารแบบเรียลไทม์อย่างแม่นยำสำหรับเป็นข้อมูลแก่ผู้เข้าใช้บริการ รวมไปถึงการใช้งาน 5G POS Devices ตามจุดขายเพื่อการทำธุรกรรมได้อย่างคล่องตัวและมั่นคงปลอดภัยไปพร้อม ๆ กับความสะดวกในการเชื่อมต่อกับระบบสินค้าคงคลัง เป็นต้น

Image credit: NCS telco+

ทรานส์ฟอร์มธุรกิจ มุ่งสู่โลกดิจิทัลไปด้วยกันกับ AIS Business

จากตัวอย่างโซลูชันที่กล่าวมาข้างต้นได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เทคโนโลยี 5G สามารถนำไปประยุกต์ใช้งานได้ในรูปแบบต่าง ๆ ที่ AIS Business ร่วมกับ NCS telco+ พร้อมส่งมอบให้ทุกธุรกิจได้เข้ามาสำรวจ สัมผัสประสบการณ์ดิจิทัลที่ตอบโจทย์ลูกค้า เฟ้นหาโอกาสใหม่ทางธุรกิจ และพลิกโฉมองค์กรสู่การทำ Digital Transformation อย่างสัมฤทธิ์ผล

วันนี้ AIS Business พร้อมแล้วที่จะขับเคลื่อนแนวคิด AIS 5G NEXTGen for Business กับการช่วยเหลือธุรกิจไทยให้ก้าวไปสู่ Ecosystem ของการทำ Digital Transformation อย่างครบวงจร ควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนธุรกิจด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ บริการ โซลูชันตอบสนองความต้องการ และเสริมประสบการณ์ใช้งานของลูกค้าที่ดียิ่งขึ้น

สำหรับลูกค้าธุรกิจที่กำลังมองหาผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้ความช่วยเหลือในการทรานส์ฟอร์มองค์กรไปสู่ความเป็นดิจิทัลตั้งแต่ก้าวแรก สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ AIS Business ที่ดูแลองค์กรของคุณ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่อีเมล business@ais.co.th ได้แล้ววันนี้

AIS Business พาร์ตเนอร์ที่ช่วยตอบโจทย์ทุกเรื่อง ICT & Digital ที่คุณมั่นใจ

“Your Trusted Smart Digital Partner”

ปรึกษาและวางแผนพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อรองรับการทำงานและต่อยอดธุรกิจได้ที่

Email : business@ais.co.th 

Website : https://business.ais.co.th

from:https://www.techtalkthai.com/5g-digital-transformation-with-ais-5g-nextgen-for-business/

TDG แนะ Cloud AI Robotics ทางออกสำหรับธุรกิจหลังยุค COVID-19

การทำ Digital Transformation นั้นจบไปแล้ว ตอนนี้แทบทุกธุรกิจควรจะมี Digital ที่เป็น CORE คือ มีแกนกลางเป็นดิจิทัลในการทำธุรกิจ

แต่พอลงลึกในรายละเอียดว่า ใช้ระบบ Cloud, AI หรือ Robotics ให้เกิดประสิทธิภาพอย่างไร บางครั้งอาจยังเป็นคำถาม และจะสร้างความแตกต่างให้กับองค์กรอย่างไร กลายเป็นสิ่งที่หลายองค์กรอาจยังนึกภาพไม่ออก เพราะนี่คือสิ่งที่เรียกว่า New Normal ที่กำลังเริ่มต้นขึ้น

ยิ่งในยุค COVID-19 ที่บอกได้ว่าเป็นวิกฤตที่รุนแรงและใหม่มากชนิดที่ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน คาดการณ์ไม่ได้ แก้ปัญหาได้ยาก แล้วธุรกิจจะก้าวผ่านไปได้อย่างไร

True Digital Group เทคโนโลยีอยู่ใกล้กว่าที่คิด

คุณเอกราช ปัญจวีณิน กรรมการผู้จัดการ ธุรกิจดิจิทัลโซลูชั่น หน่วยงานในบริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด หรือ TDG บอกว่า เมื่อเกิด COVID-19 ขึ้นมาแล้ว การทำธุรกิจจะมองแบบระยะสั้นอย่างเดียวไม่ได้ และต้องคิดถึงการบริหารจัดการวิกฤตที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอ และหนึ่งในเครื่องมือที่จะช่วยได้คือ Digital

ตัวอย่างของ Digital ที่ทรงพลังแม้ไม่มีธุรกิจ Physical อยู่เลย เช่น Grab, GET หรือ ​LINE Man ที่ให้บริการผ่าน Platform แต่สามารถอยู่รอดและเติบโตได้ ดังนั้น ทางออกของธุรกิจคือ ต้องนำ Digital มาใช้เป็น CORE ได้อย่างถูกต้อง

จุดนี้ถือว่าตรงกับงานของ TDG ที่นำ Digital Technology มาเพิ่มพลังให้กับธุรกิจ โดยมีธุรกิจหลัก 4 ส่วน

  1. True ID เน้นส่วนของ Content สำหรับ Consumer เป็นหลัก
  2. True Point เน้นส่วนของสิทธิพิเศษ Privilege ต่างๆ ให้กับร้านค้าและลูกค้า
  3. True Digital Academy ที่เน้นเพิ่มสกิลดิจิทัลให้กับพนักงานองค์กร
  4. Digital Solutions  ที่เน้นการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆให้บริการกับลูกค้าองค์กรเป็นหลัก

นวัตกรรมและเทคโนโลยีทั้งหมด ต้องสามารถตอบโจทย์ทั้งระดับ บุคคล (Individual) องค์กร (Organisation) สังคม (Society) Regional (ภูมิภาค) และระดับโลก (Global) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

คุณเอกราช ปัญจวีณิน กรรมการผู้จัดการ ธุรกิจดิจิทัลโซลูชั่น หน่วยงานในบริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด หรือ TDG

เจาะลึก Digital Solutions และ Robotics

TDG มีการพัฒนาส่วนของ Digital Solutions มาโดยตลอด และหนึ่งในนั้นคือ Robotics เพรา TDG เชื่อมั่นว่า Robotics หรือ หุ่นยนต์ จะเป็นหนึ่งใน Solutions สำคัญที่มาเปลี่ยนโฉมการทำธุรกิจ และมาในรูปแบบของ Robot as a Service (RaaS) ที่ TDG กำลังจะนำร่องในเร็วๆ นี้

ในอดีตเราเคยรู้จัก Software as a Service หรือ Platform as a Service ซึ่งเป็นการพัฒนาบริการให้เกิดขึ้น แต่จากนี้จะคุ้นเคยกับ Robot as a Service หรือ RaaS มากขึ้นเรื่อยๆ โดยมีปัจจัยสำคัญคือ ราคาไม่สูง ทุกคนสามารถเข้าถึงและใช้งานได้

เหนือสิ่งอื่นใด นอกจาก RaaS ที่จะช่วยให้องค์กรเติบโตได้ TDG วันนี้ได้เล่าถึงสิ่งที่จะมาเปลี่ยนความคิดที่เรามีเกี่ยวกับ Robotics หรือสิ่งที่เรียกว่า “True Digital RoboCore” มันสมองอัจฉริยะ ที่สุดท้ายอาจไม่ได้ออกมาเป็นตัวหุ่นยนต์ที่เราเคยเห็น โดยมีองค์ประกอบที่เกี่ยวข้อง ได้แก่

  1. AI Platform คือ แพลตฟอร์มที่รองรับการใช้งานที่หลากหลาย ทุกองค์กรสามารถ Tailor Made หรือออกแบบหุ่นยนต์ได้ตรงความต้องการ สมองของหุ่นยนต์ถูกเก็บไว้บน Clouds ซึ่งทำให้การสั่งการหรืออัพโหลดข้อมูลใหม่ๆ ทำได้เรียลไทม์
  2. 5G ที่ประมูลจบไป จะเป็นปัจจัยสำคัญในการปลดล็อกเรื่องความเร็ว ความเสถียร ความสามารถในการเชื่อมต่อ หุ่นยนต์จะเชื่อมต่อและคิดประมวลผลได้อย่างรวดเร็ว
  3. Endpoint คือ การใช้งานของผู้บริโภค จะมีความหลากหลาย หุ่นยนต์อาจจะมีลักษณะรูปร่างเป็นคน (Physical) หรือไม่ก็ได้ อาจมาในรูปแบบของ Virtual อย่างเช่น Kiosk หรือเป็นหน้าจอแสดงผลโดยเน้นที่ประสิทธิภาพเป็นหลัก

ซึ่ง TDG ได้ร่วมมือกับ CloudMinds พันธมิตรทางธุรกิจในการพัฒนากลุ่ม Cloud AI Robotics ในประเทศไทย

ตัวอย่างที่เห็นในต่างประเทศ​ เช่น Patrol Service บริการหุ่นยนต์ตรวจสอบพื้นที่และแจ้งเหตุ อาจเป็นในห้างสรรพสินค้า, สนามเด็กเล่น หรือสนามบิน เป็นต้น

หุ่นยนต์บริการ Delivery Service ซึ่ง ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเป็นการส่งพัสดุหรืออาหาร แต่รวมถึงการขนย้ายสินค้าทางอุตสาหกรรม หรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ ที่มีความเสี่ยง เพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุด

คุณเอกราช บอกว่า การจะทำให้บริการ Robotics เกิดขึ้นและเป็นจริงได้ ต้องผสมผสานเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน หรือเรียกว่า Digital Convergence ซึ่งมี 5 องค์ประกอบหลัก คือ

  1. IOT Integration เป็นเทคโนโลยีที่มี Sensor เชื่อมต่อสิ่งต่างๆ
  2. AI คือระบบการเรียนรู้และพัฒนาแบบอัตโนมัติ
  3. Analytics วิเคราะห์และประมวลผลได้ทันที
  4. Blockchain เพื่อความมั่นคงและและปลอดภัยของข้อมูลในการใช้งาน
  5. Cyber Security เพื่อความปลอดภัยในระบบจากการคุกคามทางไซเบอร์ภายนอก

เร็วๆนี้ ได้เห็นแน่นอน การใช้งานจริงในไทย

สำหรับเวลานี้ การใช้งานจริงในไทยอยู่ระหว่างการเตรียมการ โดยมีหลายธุรกิจ หลายโครงการที่สั่งผลิต Robotics เพื่อนำไปใช้งาน เช่น สนามบิน, ห้างสรรพสินค้า, อสังหาริมทรัพย์ รวมถึง Healthcare

ดังนั้น ในไทยจะเห็นภาพของการใช้หุ่นยนต์เพื่อ ทำหน้าที่ Delivery Service, Patrol Service, ​Information Service, Cleaning Service และ Sensor Service หรือแม้แต่ Education Service เป็น Virtual Teacher มีทักษะในการสอนได้หลากหลายทักษะ หลากหลายภาษา

อนาคต หุ่นยนต์สามารถไปอยู่ได้ทุกที่ ที่เรานึกไม่ถึง โดยเน้นที่ความเป็น AI Platform กับความ Smart ในการใช้งาน

ความแตกต่างที่ TDG มีให้กับลูกค้าองค์กร

นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ TDG พัฒนาขึ้น เน้นให้ผู้ใช้ได้ประโยชน์สูงสุด ทีมงาน หรือ Resource ของ TDG มีความโดดเด่นทั้งเรื่องของ Technology World คือ เข้าใจเทคโนโลยีที่ทันสมัย แต่ก็สามารถผสมผสานกับ Business World เพื่อให้สามารถนำมาใช้ได้จริง

Digital Solution ของ TDG มี 4 องค์ประกอบที่แตกต่างจากที่อื่น อันดับแรก TDG มี Complete Ecosystem ที่แข็งแกร่ง มี Back up เป็นบริการด้านโทรคมนาคมจาก True Corporation และอยู่ในเครือธุรกิจที่แข็งแกร่งอย่าง CP Group รวมถึงระบบนิเวศน์ภายใน TDG เอง ที่เอื้อต่อการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ทำให้ทุกคนมั่นใจได้ในประสิทธิภาพ

ความร่วมมือทางธุรกิจไม่เหมือนเดิม แต่เกิดขึ้นจากหลากหลายอุตสาหกรรม เพื่อเพิ่มความสามารถทางการแข่งขัน นี่คือจุดที่ TDG เชี่ยวชาญและชำนาญมาก โดยใช้แนวคิด Digital Convergence เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่

ถ้าพูดถึงนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ TDG พัฒนาขึ้น เน้นให้ผู้ใช้ได้ประโยชน์สูงสุด ทีมงาน หรือ Resource ของ TDG มีความโดดเด่นทั้งเรื่องของ Technology World คือ เข้าใจเทคโนโลยีที่ทันสมัย แต่ก็สามารถผสมผสานกับ Business World เพื่อให้สามารถนำมาใช้ได้จริง 

จุดเด่นที่แตกต่างประการต่อมาคือ TDG มี World Class Innovation Partnership ซึ่งเป็นสิ่งที่ TDG ให้ความสำคัญอย่างมาก ความร่วมมือกับพันธมิตรทำให้บริการของ TDG สมบูรณ์และแตกต่างยิ่งขึ้น

เฝ้าระวัง New Normal ใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น

สิ่งที่เปลี่ยนแปลงและส่งผลให้เกิด Disruption อย่างรุนแรงที่สุดคือ พฤติกรรมผู้บริโภค จากเดิมการ Disruption เกิดภายในอุตสาหกรรม หรือ ระหว่างอุตสาหกรรม แต่ถ้าผู้บริโภคเปลี่ยน ธุรกิจจะถูกบังคับให้เปลี่ยนตามแน่นอน

อีกส่วนที่จะเกิดความเปลี่ยนแปลงคือ Supply Chain ต้องคิดใหม่หมด จะพึ่งพิงจากแหล่งเดียวไม่ได้อีกต่อไป และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสิ่งที่สำคัญสำหรับธุรกิจ คือ Business Model

ตัวอย่าง ร้านอาหารที่ไม่เคยทำ Delivery ก็อยู่ไม่ได้ โรงพยาบาลจะดูแลแพทย์และพยาบาลให้ปลอดภัยได้อย่างไร เหล่านี้คือสิ่งที่ Digital Technology สามารถช่วยได้ และจะนำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต

อนาคตแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีใครต้านทานได้

คุณเอกราช บอกว่า  COVID-19 คือสิ่งที่มาเตือนมนุษย์ทุกคนว่าต้องปรับตัว นี่เป็นแค่คลื่นลูกแรกเท่านั้น จะมีคลื่นลูกต่อๆ ไปตามมาอีกในอนาคตแน่นอน 

โดยที่ COVID-19 เป็นตัวเร่งให้องค์กรต่างๆ กลับมาตื่นตัวเรื่อง Digital Technology เริ่มคิดถึง Business Model ใหม่ๆ สร้างการ Collaboration ระหว่างอุตสาหกรรมขึ้น และส่วนที่สำคัญสำหรับคน คือ ต้องทำการ Reskill และ Upskill ใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์

เราอาจเห็นว่าธุรกิจที่เกี่ยวกับคนจำนวนมาก ธุรกิจที่เกี่ยวกับการเดินทาง ได้รับผลกระทบ แต่สุดท้ายจะมีธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้รับผลกระทบตามไปด้วย คำถามคือ จะทำอย่างไรให้ปรับตัวได้ดี รวดเร็ว และอยู่รอดในโลกยุคใหม่ที่กำลังจะมาถึง

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/tdg-cloud-ai-robotics-for-business/

เตือน DBGer Ransomware ใช้ EternalBlue และ Mimikats แพร่กระจายใส่เป้าหมาย

MalwareHunter เผย Satan Ransomware ชื่อดังรีแบรนด์ตัวเองใหม่ ใช้ชื่อ “DBGer Ransomware” พร้อมเปลี่ยนวิธีดำเนินการ ใช้ช่องโหว่ EternalBlue และ Mimikatz เครื่องมือสำหรับแคร็กรหัสผ่านในการแพร่กระจายตัวเองไปยังคอมพิวเตอร์เป้าหมายบนระบบเครือข่าย

Credit: Zephyr_p/ShutterStock.com

Satan Ransomware ปรากฏโฉมครั้งแรกเมื่อเดือนมกราคม 2017 โดยเปิดให้บริการในรูปของ Ransomware-as-a-Service (RaaS) ช่วยให้เหล่าอาชญากรไซเบอร์สามารถลงทะเบียนและสร้าง Satan Ransomware เวอร์ชันเฉพาะตัวไปใช้โจมตีผู้อื่นได้

Satan Ransomware ถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง และเริ่มมีชื่อเสียงในวงการใต้ดิน ส่งผลให้แฮ็กเกอร์ที่อยู่เบื้องหลัง Ransowmare ดังกล่าวพยายามพัฒนา Ransomware ไปอีกขั้นโดยใช้แนวคิดของ WannaCry Ransomware ที่สามารถแพร่กระจายตัวเองบนเครือข่ายระดับโลกได้มาเป็นต้นแบบ โดยทำการเพิ่ม EternalBlue SMB Exploit ลงไปในตัวมัลแวร์ส่งผลให้เมื่อคอมพิวเตอร์ติดมัลแวร์แล้ว มันจะใช้ EternalBlue ในการสแกนคอมพิวเตอร์ในระบบเครือข่าย แล้วเจาะผ่านช่องโหว่ SMB เพื่อแพร่กระจายตัวต่อไป

เท่านั้นยังไม่พอ ล่าสุด Satan Ransomware ได้เพิ่มความสามารถในการทำ Lateral Movement ลงไปโดยใช้ Mimikatz ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์แบบ Open-source สำหรับขโมยรหัสผ่านของคอมพิวเตอร์ในระบบเครือข่าย และใช้รหัสผ่านเหล่านั้นในการเข้าถึงและแพร่กระจายตัวต่อ รวมไปถึงเปลี่ยนชื่อตัวเองใหม่เป็น DBGer Ransomware เพื่อแสดงให้เห็นว่า Ransomware ของตนยังมีการพัฒนาและให้บริการอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อให้เหล่าอาชญากรไซเบอร์สามารถทำเงินได้ไม่แพ้การทำ Cryptocurrency Mining

ที่มา: https://www.bleepingcomputer.com/news/security/dbger-ransomware-uses-eternalblue-and-mimikats-to-spread-across-networks/

from:https://www.techtalkthai.com/dbger-ransomware-uses-eternalblue-and-mimikatz-to-infect-users/

เผยรายงาน Cisco 2017 Midyear Cybersecurity Report นิยามเป้าหมายการโจมตีใหม่ Destruction of Service

Cisco ได้ออกมาเปิดเผยรายงาน 2017 Midyear Cybersecurity Report (NCR) ที่อัปเดตข้อมูลจากทีม Security Research ของ Cisco เอง โดยทาง Cisco ได้พบว่าเป้าประสงค์ในการโจมตีระบบ IT ในทุกวันนี้เปลี่ยนยไปค่อนข้างมาก โดยการโจมตีนั้นๆ ไม่ได้หวังผลเพียงแค่สร้างความเสียหายอีกต่อไป แต่มุ่งเป้าไปที่การทำลายระบบเพื่อไม่ให้ผู้ถูกโจมตีสามารถกู้คืนระบบหรือกู้คืนข้อมูลได้ และตั้งชื่อเป้าหมายในการโจมตีนี้ว่า Destruction of Service (DeOS)

Credit: Cisco

 

สิ่งที่ชี้ชัดว่าเกิดการโจมตีแบบ DeOS นี้ คือการที่เหล่าผู้โจมตีพยายามมองหาวิธีการในการโจมตีที่จะทำให้เหยื่อไม่สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ด้วตนเองได้ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนา Ransomware หรือการโจมตีด้วย DDoS อย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง ในขณะเดียวกันเพื่อไม่ให้ถูกตรวจจับและยับยั้งการโจมตีได้ทัน เหล่าผู้โจมตีเองก็ต้องมองหาแนวทางใหม่ๆ ในการโจมตีอยู่เสมอ และเปลี่ยนแปลงการโจมตีอยู่ตลอดเวลาเมื่อวิธีการที่ใช้งานอยู่เดิมเริ่มไม่ได้ผล ทำให้เหล่าองค์กรเองก็ต้องปรับตัวรับมือให้ทันด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ Cisco เองยังได้เสนอประเด็นน่าสนใจด้านความมั่นคงปลอดภัยเอาไว้อีก 3 ประเด็น ได้แก่

  1. ความสัมพันธ์ระหว่าง IoT และ DDoS ที่เกิดขึ้นจากช่องโหว่ปริมาณมหาศาลบนอุปกรณ์ IoT ที่ผู้โจมตีสามารถเจาะช่องโหว่เพื่อเข้ายึดอุปกรณ์และนำมาใช้โจมตี DDoS ได้ ซึ่ง Cisco กล่าวว่าเรากำลังเข้าสู่ยุคที่การโจมตีแบบ 1-TBps DDoS กลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว
  2. วิวัฒนาการใหม่ของ Malware ที่นอกจากจะหลีกเลี่ยงการตรวจจับได้ด้วยเทคนิคที่หากหลายมากขึ้น และยังมีบริการ Ransomware-as-a-Service (RaaS) ให้ใครๆ ก็สามารถเรียกค่าไถ่คนอื่นได้
  3. Time to Detection (TTD) ที่ใช้ตรวจจับ Malware นั้นลดลงจากแต่ก่อนเป็นอย่างมาก จากสถิติของ Cisco เองที่เคยใช้เวลาเกินกว่า 39 ชั่วโมงในการตรวจจับภัยคุกคามได้โดยเฉลี่ย การสำรวจล่าสุดตั้งแต่พฤศจิกายน 2016 – พฤษภาคม 2017 นี้สถิติก็ลดเหลือเพียง 3.5 ชั่วโมงเท่านั้น

สำหรับรายงานฉบับเต็ม สามารถอ่านได้ที่ Cisco 2017 Midyear Cybersecurity Report ครับ

 

ที่มา: https://blogs.cisco.com/security/cisco-2017-midyear-cybersecurity-report

from:https://www.techtalkthai.com/cisco-2017-midyear-cybersecurity-report-is-released-with-deos-meaning/

Forcepoint ค้นพบแรนซั่มแวร์ตัวใหม่ล่าสุด “CradleCore”

Forcepoint Security Labs ได้เปิดเผยถึงการค้นพบแรนซั่นแวร์ตัวใหม่ที่ชื่อว่า “CradleCore” เป็นชุดเครื่องมือในการทำจารกรรมสำหรับผู้ที่อยากจะเป็นเจ้าของแรนซั่มแวร์

CradleCore Ransomware นั้นรู้จักกันเป็นอย่างดีว่าเป็นซอร์ส โค้ด ที่มีขายกันในลักษณะ RaaS หรือ Ransomware as a Service โดยอาจจะเป็นโปรเจ็กต์ของใครบางคนในการสร้างขึ้นมาเพื่อหารายได้ คนที่ซื้อซอร์ส โค้ดเหล่านี้ แทบไม่จำเป็นต้องมีความเชี่ยวชาญด้านมัลแวร์เลย ก็สามารถสร้างแรนซัมแวร์ได้แล้ว ซึ่งใครที่ซื้อไปนอกจากจะได้อัพเดตเกี่ยวกับแรนซัมแวร์ใหม่ๆ แล้ว มันยังแชร์พวกซอร์ส โค้ด ไปให้กับคนอื่นๆ ได้อีก ซึ่งจะกลายเป็นว่าจะมีแรนซัมแวร์สายพันธุ์ใหม่ๆ ที่มาจากโค้ดของ CradleCore อีกหลายรุ่นเลยทีเดียว

ที่มา : http://www.informationsecuritybuzz.com/news/new-ransomware-discovery-forcepoint/

from:https://www.enterpriseitpro.net/?p=6344

ปรับแต่ง Ransomware ด้วยตัวคุณเองแบบง่ายๆ ผ่านทาง Shark Ransomware Project

David Montenegro นักวิจัยด้านความมั่นคงปลอดภัย ออกมาเปิดเผยถึงโปรเจ็คท์ Ransomware-as-a-Service ใหม่ ชื่อว่า Shark Ransomware ซึ่งช่วยให้ผู้ไม่ประสงค์ดีสามารถสร้างและปรับแต่ง Ransomware ด้วยตนเองแบบง่ายๆ เพียงแค่กรอกแบบฟอร์มและกดปุ่มคลิก โดยไม่จำเป็นต้องมีทักษะเชิงเทคนิคแต่อย่างใด ที่สำคัญคือ เจ้าของ Shark RaaS คิดส่วนแบ่งให้ตนเองเพียง 20% เท่านั้น

shark_raas_1

Shark RaaS เริ่มให้บริการเมื่อช่วงเดือนกรกฎาคม 2016 ที่ผ่านมา โดยสามารถเข้าถึงได้ผ่านเว็บไซต์ทั่วไปแทนที่จะเป็นเครือข่าย TOR เหมือน RaaS อื่นๆ ผู้ที่ต้องการเป็น Ransomware Distributor สามารถดาวน์โหลด PayloadBundle.zip เพื่อเริ่มสร้างและปรับแต่ง Ransomware ได้ทันที

shark_raas_2

ไฟล์ ZIP ที่โหลดมานี้จะประกอบด้วย Ransomware Configuration Builder ชื่อว่า Payload Builder.exe, ข้อความแจ้งเตือน Readme.txt และตัวไฟล์ Ransomware ชื่อว่า Shark.exe ตรงจุดนี้เอง ถ้าผู้ใช้เผลอกดรัน Shark.exe จะส่งผลให้ผู้ใช้คนดังกล่าวติด Ransomware ทันที

shark_raas_3

RaaS ส่วนใหญ่จะอนุญาตให้ Distributor ทำการปรับแต่ง Ransomware บนเว็บไซต์ของนักพัฒนา ก่อนที่จะดาวน์โหลดตัว Ransomware ไปแพร่กระจายต่อ แต่ Shart RaaS ต่างออกไป กล่าวคือ ใช้วิธีการรัน Payload Builder.exe เพื่อเริ่มการปรับแต่ง Ransomware ซึ่งสามารถเลือกโฟลเดอร์ที่ต้องการเข้ารหัส ประเภทไฟล์ที่เป็นเป้าหมาย ประเทศที่ต้องการโจมตี จำนวนเงินค่าไถ่ และอีเมลสำหรับใช้แจ้งเตือนเมื่อ Ransomware ถูกติดตั้งลงบนเครื่องของเหยื่อ จากนั้น Distributor สามารถใช้ Shark.exe ในการแพร่กระจายไปยังเป้าหมายที่ต้องการได้ทันที

shark_raas_4

ขณะนี้ทาง Bleeping Computer กำลังวิเคราะห์ Ransowmare ดังกล่าวอยู่ จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า หลังจากที่ไฟล์ข้อมูลถูกเข้ารหัสแล้ว จะมีนามสกุลเป็น .locked จากนั้นจะแสดงข้อความเรียกค่าไถ่ ระบุว่า “Data on this device were locked. Follow the instructions to unlock your data.” พร้อมแสดงวิธีการจ่ายค่าไถ่เพื่อปลดรหัสผ่านทาง Bitcoin เหยื่อสามารถเลือกภาษาตามที่ตนต้องการได้มากถึง 30 ภาษา

shark_raas_5

ที่มา: http://www.bleepingcomputer.com/news/security/the-shark-ransomware-project-allows-to-create-your-own-customized-ransomware/

from:https://www.techtalkthai.com/shark-ransomware-project/